Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

7 แลนด์มาร์คแสงศิลป์ หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568 ปลุกมนต์เสน่ห์ล้านนายามค่ำคืน

เชียงรายเปิดเมืองศิลปะยามค่ำคืน “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568” ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์สู่สายตาชาวโลก

เชียงราย, 25 ธันวาคม 2568 – แสงสีที่ค่อย ๆ ทอประกายเหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนใจกลางเมืองเชียงรายในช่วงปลายเดือนธันวาคมปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียงฉากสวยงามของเทศกาลท่องเที่ยวปลายปีเท่านั้น หากยังสะท้อน “ทิศทางใหม่” ของจังหวัดเชียงรายที่กำลังก้าวสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ตามยุทธศาสตร์อาเซียนฉบับใหม่ และแนวคิด “เมืองแห่งการเรียนรู้” ขององค์การยูเนสโก ผ่านการจัดงาน “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568 – Heart Art Light” ควบคู่กับกิจกรรม “Learning Space” ที่บูรณาการการท่องเที่ยวเข้ากับการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ

การขับเคลื่อนดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายด้านเศรษฐกิจและผลกระทบจากอุทกภัยที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน แต่จังหวัดเชียงรายเลือกตอบโจทย์ด้วย “ศิลปะ แสง สี และอัตลักษณ์ท้องถิ่น” เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น กระจายรายได้สู่ชุมชน และสร้างภาพจำใหม่ให้กับเมืองศิลปะแห่งล้านนาเหนือ

“Heart Art Light” ปลุกชีพเมืองเก่าให้มีชีวิตในยามค่ำคืน

ค่ำวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ที่สถานีขนส่งแห่งที่ 1 หรือ Downtown ใจกลางเมืองเชียงราย เนืองแน่นไปด้วยประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มารอชมพิธีเปิดงาน “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568” อย่างเป็นทางการ

บนเวทีหลัก นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ นางสาวนพรัตน์ ศตะรัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย กดปุ่มเปิดม่านแสงสีภายใต้แนวคิด “Heart Art Light” สื่อถึง “หัวใจ–ศิลปะ–แสง” ที่ถูกนำมาผสานเข้าด้วยกันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเมืองเชียงรายในมิติใหม่

เทศกาลครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2568 – 24 มกราคม 2569 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงรายและเทศบาลนครเชียงราย ตั้งเป้าให้เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปีใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา “เมืองท่องเที่ยวยามค่ำคืน” อย่างจริงจัง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุว่า การใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นจุดขาย ไม่เพียงสร้างบรรยากาศให้เมืองมีชีวิตชีวา แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและบ่งชี้ว่าจังหวัดมีความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี สอดคล้องกับนโยบาย “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่จังหวัดผลักดันอย่างต่อเนื่อง

7 เส้นทางแสงศิลป์ เล่าเรื่องเมืองเก่าในรูปแบบร่วมสมัย

หัวใจของเทศกาล “หลงแสง เวียงเจียงฮาย” คือการชวนผู้มาเยือน “ออกเดินทางตามแสงศิลป์” ผ่าน 7 จุดสำคัญทั่วเขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งถูกออกแบบด้วยงานแสงร่วมสมัยผสมผสานกับประวัติศาสตร์และความเชื่อของชุมชน ได้แก่

  1. Downtown สถานีขนส่งแห่งที่ 1 – จุดเริ่มต้นของเส้นทางและศูนย์กลางการเดินทางของผู้คน
  2. ถนนบรรพปราการ – เส้นทางที่สะท้อนภาพเมืองเก่า ผ่านลำแสงและการจัดวางสื่อศิลปะที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์การก่อกำเนิดเมืองเชียงราย
  3. วัดมิ่งเมือง – ศาสนสถานสำคัญที่ถูกเติมชีวิตด้วยการจัดแสงอย่างประณีต ให้ผู้มาเยือนสัมผัสความศรัทธาในมิติใหม่
  4. ประตูเชียงใหม่ –แลนด์มาร์กเชิงสัญลักษณ์ของการเชื่อมต่อเมืองเก่าและเมืองใหม่
  5. ถนนสิงหไคล – ถนนสายเศรษฐกิจที่กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงศิลปะแสงและกิจกรรมทางวัฒนธรรม
  6. อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช – ศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงรายที่ส่องสว่างด้วยการออกแบบแสงที่ให้เกียรติประวัติศาสตร์การสถาปนาเมือง
  7. สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ 75 พรรษา – พื้นที่สาธารณะที่ปรับแต่งด้วยแสงสีและตุงโคมล้านนา สร้างประสบการณ์เดินชมงานยามค่ำคืนอย่างรื่นรมย์

แต่ละจุดไม่ได้เป็นเพียงจุดถ่ายภาพ หากถูกออกแบบให้ “เล่าเรื่อง” ผ่านการผสมผสานระหว่างแสง สี เสียง และองค์ประกอบศิลป์ร่วมสมัย เพื่อให้ผู้เดินชมสามารถรับรู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และจิตวิญญาณของเมืองในคราวเดียวกัน

เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว ยังมีกิจกรรม นักเดินทางแห่งแสง (Light Traveler)” ให้ผู้ร่วมงานเดินทางเยี่ยมชมครบทั้ง 7 จุด รับตราประทับใน Passport ของเทศกาล และนำไปแลกรับของที่ระลึกจำนวนจำกัด กลไกเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงสร้างสีสัน แต่ยังเป็นเครื่องมือกระจายผู้คนไปทั่วเขตเมือง ลดความแออัด และเพิ่มโอกาสให้ร้านค้า–ผู้ประกอบการในจุดต่าง ๆ ได้รับรายได้มากขึ้น

นายวันชัย จงสุทธานามณี ระบุในพิธีเปิดว่า หลังสถานการณ์อุทกภัย เทศบาลนครเชียงรายจำเป็นต้องสร้าง “สัญญาณเชิงบวก” ให้กับทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว กิจกรรมด้านศิลปะและการท่องเที่ยวที่จัดต่อเนื่องปลายปีนี้จึงมีเป้าหมายชัดเจนในการฟื้นฟูบรรยากาศเมืองและกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายย่อยในเขตเทศบาล

“Learning Space” พื้นที่เรียนรู้ที่เชื่อมเมืองท่องเที่ยวกับเมืองแห่งการเรียนรู้

หากเทศกาลแสงสีเป็นการเล่าเรื่องเมืองในยามค่ำคืน กิจกรรม “Learning Space” ที่เปิดตัวในวันที่ 24 ธันวาคม 2568 ณ อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงรายแห่งที่ 1 คือ “อีกครึ่งหนึ่ง” ของยุทธศาสตร์ที่นำการท่องเที่ยวมาผูกกับการพัฒนาคนและชุมชน

กิจกรรมนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24–29 ธันวาคม 2568 รวม 6 วัน ภายใต้โครงการปีส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย มีเป้าหมายชัดเจนในการสร้าง ตลาดการเรียนรู้” ที่เชื่อมต่อแหล่งเรียนรู้ในจังหวัดเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนแนวคิด “เมืองแห่งการเรียนรู้” ตามกรอบขององค์การยูเนสโก

ภายในงานมีการรวบรวม แหล่งเรียนรู้ 30 แห่ง จากทั่วจังหวัด แบ่งออกเป็น 6 ด้านสำคัญ ได้แก่

  1. ศิลปะและสถาปัตยกรรม
  2. อาหาร ชา และกาแฟ
  3. ธรรมชาติและการเกษตร
  4. ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีและประวัติศาสตร์
  5. วิถีชีวิต ผ้าล้านนา และชาติพันธุ์
  6. กีฬา นันทนาการ และสุขภาพ

แต่ละแหล่งเรียนรู้ได้นำเสนอทั้งนิทรรศการ เวิร์กช็อป และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส “ของจริง” ทั้งในแง่ภูมิปัญญาและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มชุมชนที่พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

นายชูชีพ พงษ์ไชย เน้นย้ำในพิธีเปิดว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวของเชียงรายจะต้องไม่หยุดอยู่เพียงการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ต้องเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนและชุมชนให้เข้มแข็ง สร้าง “รายได้” ควบคู่กับ “รากฐานความรู้” เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน

ด้านนายวันชัย จงสุทธานามณี มองว่า Learning Space คือเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก แหล่งเรียนรู้ในชุมชน และกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้แสดงศักยภาพต่อสายตานักท่องเที่ยว รวมทั้งเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวรายใหญ่ในอนาคต

ขณะเดียวกัน นางสาวนพรัตน์ ศตะรัตน์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ชี้ว่ากิจกรรม Learning Space เป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับการท่องเที่ยวเชียงรายให้เข้าสู่มาตรฐาน “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีความหมายต่อผู้เดินทาง มากกว่าการท่องเที่ยวแบบแวะถ่ายภาพแล้วจากไป

ครัวอาข่าบ้านผาหมี และ “รากชู” สมุนไพรที่เล่าเรื่องชาติพันธุ์บนโต๊ะอาหาร

หนึ่งในไฮไลต์ของ Learning Space ปีนี้ คือการนำเสนอ “การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บ้านผาหมี” ตำบลห้วยน้ำขุ่น ซึ่งเป็นชุมชนชาวอาข่าที่ได้รับการยอมรับในด้านกาแฟคุณภาพและการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน

ภายใต้แนวคิด ตามหารากชู ชูรสชาติแห่งดอย สูตรลับแห่งขุนเขา” นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้การทำอาหารอาข่า โดยเฉพาะเมนูน้ำพริกรากชูที่ใช้สมุนไพรหายากรสเผ็ดร้อนเป็นส่วนผสมหลัก “รากชู” ไม่ได้เป็นเพียงวัตถุดิบในครัว แต่เป็นตัวแทนภูมิปัญญาการกินของชาวอาข่าที่ผูกพันกับภูเขาและป่าไม้รอบหมู่บ้านมาหลายชั่วอายุคน

การนำเรื่องราวของรากชูและครัวอาข่ามาเชื่อมกับเทศกาลแสงสีและพื้นที่การเรียนรู้ ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสเชียงรายในฐานะ “เมืองหลากหลายชาติพันธุ์” ที่มีทั้งศิลปะร่วมสมัยและภูมิปัญญาดั้งเดิมอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ซึ่งสอดคล้องกับกรอบแผนการท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2569–2573 ที่เน้นการท่องเที่ยวคุณภาพสูง เคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านเทศกาลแสง–เทศกาลดอกไม้–งานประเพณีสำคัญ

เทศกาล “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568” ไม่ได้ถูกออกแบบให้โดดเดี่ยว หากเชื่อมต่อกับปฏิทินการท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดอย่างเป็นระบบ

ช่วงเวลาเดียวกัน จังหวัดเชียงรายยังจัด มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ณ หนองหลวง ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 ซึ่งเป็นงานระดับภูมิภาคที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และเตรียมต่อเนื่องด้วย งานพ่อขุนเม็งรายมหาราช ระหว่างวันที่ 26 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ 2569

การวางปฏิทินเช่นนี้ทำให้เชียงรายมี “คลื่นนักท่องเที่ยว” ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ สร้างโอกาสในการจับจ่ายใช้สอยแก่ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รถเช่า และสินค้า OTOP ทั่วจังหวัด โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง

แม้จะยังไม่มีตัวเลขสถิติรายได้จากเทศกาลหลงแสงฯ อย่างเป็นทางการ แต่จากประสบการณ์ในหลายจังหวัดที่ใช้เทศกาลแสงสีเป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยว พบว่ารูปแบบกิจกรรมยามค่ำคืนมีแนวโน้มช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวพักค้างคืน และเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อผนวกกับกิจกรรม Learning Space ที่เปิดพื้นที่ให้ชุมชน นำสินค้าและองค์ความรู้ของตนเองมาเสนอโดยตรง ยิ่งทำให้เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวมีโอกาส “ไหลลงสู่ฐานราก” มากขึ้น

เชียงรายบนเส้นทางเมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ ศิลปะ วัฒนธรรม และการเรียนรู้ในทิศทางเดียวกัน

หากมองภาพรวม จะเห็นได้ว่าการจัดงานหลงแสงฯ และ Learning Space ในปลายปี 2568 ไม่ใช่กิจกรรมเฉพาะครั้ง แต่เป็นส่วนหนึ่งของ “โมเสกยุทธศาสตร์” ที่จังหวัดเชียงรายกำลังประกอบขึ้น

ด้านหนึ่ง เมืองกำลังใช้ศิลปะและแสงสีสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของพื้นที่เมืองเก่า ยกระดับให้เป็นเมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่มองหาประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม

อีกด้านหนึ่ง จังหวัดกำลังผลักดันแนวคิดเมืองแห่งการเรียนรู้ ผ่านการเชื่อมโยงแหล่งเรียนรู้ 30 แห่ง ครอบคลุมทั้งศิลปะ อาหาร ธรรมชาติ ศาสนา วิถีชีวิต และกีฬา ให้เป็น “ห้องเรียนเปิด” สำหรับทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่

เมื่อสองมิตินี้มาบรรจบกัน เชียงรายจึงไม่ได้เป็นเพียง “เมืองแวะเที่ยว” หากกำลังกลายเป็นพื้นที่ที่ผู้มาเยือนสามารถใช้เวลาเรียนรู้ ทำกิจกรรม และใช้จ่ายในชุมชนได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน คนเชียงรายเองก็ได้เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาและพื้นที่ของตนในมิติที่ลึกกว่าเดิม

แสงสีที่ปลุกเมือง…และปลุกอนาคตเศรษฐกิจท้องถิ่น

แสงจากเทศกาล “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568” อาจดับลงเมื่อถึงวันที่ 24 มกราคม 2569 แต่คำถามสำคัญสำหรับเชียงรายคือ แสงจากการพัฒนาเมืองเชิงสร้างสรรค์และการเรียนรู้จะส่องทางไปได้ไกลเพียงใด

จากการออกแบบกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน การใช้ศิลปะและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์เป็นจุดขาย และการวางปฏิทินท่องเที่ยวเชื่อมโยงกันทั้งเทศกาลแสง เทศกาลดอกไม้ และงานประเพณีสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่าจังหวัดกำลังเดินบนเส้นทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

หากสามารถรักษาความต่อเนื่องของนโยบาย พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับนักท่องเที่ยว และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชนอย่างแข็งแรง เชียงรายย่อมมีศักยภาพที่จะยืนยันสถานะ “เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์แห่งล้านนาเหนือ” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

สำหรับนักท่องเที่ยว การออกเดินทางตามแสงศิลป์ทั้ง 7 จุด การชิมน้ำพริกรากชูบนดอยสูง หรือการเรียนรู้เรื่องราวของผ้าล้านนาใน Learning Space อาจเป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งค่ำคืน แต่สำหรับชุมชนท้องถิ่น แสงเหล่านี้คือความหวังใหม่ของรายได้ โอกาส และอนาคตที่ยั่งยืนกว่าเดิม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรม “หลงแสง เวียงเจียงฮาย Light Festival 2568 – Heart Art Light”
  • ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรม “Learning Space” และปีส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

บอลลูนเชียงรายคว้า Gold Award IFEA! จุดไฟ Festival Economy นำร่องเศรษฐกิจชุมชน

เชียงรายผงาดเวทีโลก “Gold Award” IFEA จุดไฟ Festival Economy—ททท.ชู “อาหารถิ่น” เป็น Soft Power กอบกู้รายได้ท่องเที่ยว ขณะที่ “แกงแคไก่เมือง” นำร่องเศรษฐกิจชุมชน

เชียงราย, 25 กันยายน 2568 — ท่ามกลางแรงท้าทายของภาคท่องเที่ยวไทยที่รายได้โดยรวม หดตัว -5% ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2568 หรือราว 1 ล้านล้านบาท ประเทศไทยได้รับข่าวดีที่ส่งพลังใจไปทั่วภูมิภาค เมื่อ จังหวัดเชียงราย ก้าวขึ้นคว้า Gold Award สาขา Best Event จากเวทีระดับโลก 2025 IFEA/Haas & Wilkerson Pinnacle Award ด้วยผลงาน “Singha Park Chiangrai International Balloon Fiesta 2025” ขณะที่ เชียงใหม่ คว้า Silver Award สาขา Best Parade จากขบวนรถบุปผชาติใน “มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับเชียงใหม่ 2568” เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงบันทึกความสำเร็จของ “สองเมืองเหนือ” บนแผนที่อีเวนต์โลก หากยังเป็นภาพสะท้อนยุทธศาสตร์ Festival Economy ที่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) — ทีเส็บ ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับ งานเทศกาลฝีมือไทย (homegrown) ให้สร้างมูลค่าเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

จากบอลลูนสู่บัลลังก์ทองทำไมเชียงราย “ชนะใจโลก”

จุดเปลี่ยนสำคัญของเชียงรายเกิดขึ้น 13 กันยายน 2568 เมื่อผลงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติเชียงรายคว้ารางวัลสูงสุดบนเวที IFEA — องค์กรวิชาชีพเทศกาลและอีเวนต์นานาชาติที่ยกย่อง “ความคิดสร้างสรรค์ + มาตรฐานการจัดงาน + ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม” การตัดสินดังกล่าวสะท้อน จุดแข็งเชิงพื้นที่ ของเชียงรายอย่างครบถ้วน:

  • ทุนธรรมชาติ ของสิงห์ปาร์คฯ ที่โอบด้วยภูเขา–ไร่ชา–อากาศเย็น
  • ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับอีเวนต์ขนาดใหญ่ (การจราจร–ความปลอดภัย–บริการทางการแพทย์)
  • การมีส่วนร่วมของชุมชนและเอกชน ทำให้เทศกาล “มีชีวิต” ไม่ใช่ “งานโชว์” เพียงครั้งคราว

ควบคู่กัน เชียงใหม่ ตอกย้ำ “เมืองแห่งวัฒนธรรมและศิลปะ” ผ่านรางวัล Best Parade (Silver Award) จาก “มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับฯ” ที่ยืนระยะความนิยมมานาน—เทศกาลที่สร้างอัตลักษณ์เมืองอย่างมีชั้นเชิง และสอดรับกับสถานะ MICE City ของเชียงใหม่ซึ่งได้รับการรับรองจาก IFEA ตั้งแต่ปี 2565

สารตั้งต้นเดียวกันของทั้งสองเมืองคือ “ความเป็น Homegrown”—เทศกาลที่เติบโตจากทุนวัฒนธรรม–วิถีชุมชน ส่งต่อการเล่าเรื่อง (storytelling) ให้โลกเข้าใจ “ตัวตน” ของภาคเหนือ

ทีเส็บกับยุทธศาสตร์ “Festival Economy” เมื่ออีเวนต์กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

ความสำเร็จบนเวที IFEA ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทีเส็บ วางหมุดหมาย ยกระดับงานไทยสู่สากล” ผ่านการคัดสรรเทศกาลศักยภาพ ให้คำปรึกษา–มาตรฐานการจัดงาน–การตลาด–สื่อสารต่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนค่าใช้จ่าย “การส่งผลงานเข้าประกวด” เพื่อพา งานไทยทำ (homegrown) ก้าวสู่สายตานานาชาติ เมื่อ เทศกาลได้รางวัล เมืองก็ได้ ตรารับรองความน่าเชื่อถือ ดึงดูดทั้ง นักเดินทางเชิงประสบการณ์ (experience seekers) และ นักลงทุนกิจการบริการ เข้ามาเสริมโครงสร้างเศรษฐกิจเมือง

ในระดับพื้นที่ เชียงราย ถูกยกเป็น เมืองไมซ์ดาวรุ่ง” จากการคว้ารางวัล Gold ซึ่งทำให้สมการ “ดึงงาน–ดึงเงิน–สร้างงาน” เด่นชัดยิ่งขึ้น—ตั้งแต่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว–โรงแรม–ขนส่ง–อาหาร–คราฟต์–ดนตรี–ศิลปะ ไปจนถึงซัพพลายเชน SME ที่เกี่ยวเนื่อง

วิกฤตรายได้ท่องเที่ยว -5% ทำไมต้อง “อาหารถิ่น” เป็นหัวหอก

แม้ข่าวดีจากเวทีโลก แต่ “ภาพใหญ่” ยังน่าห่วง—KResearch ประเมินรายได้ท่องเที่ยว 8 เดือนแรกปี 2568 ลดลง -5% (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) และคาดทั้งปีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 1.5 ล้านล้านบาท หดตัว 6% จากปีก่อน เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ท่ามกลางพฤติกรรมจับจ่ายที่ระมัดระวังและภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงเปิดแคมเปญ “Local Taste Local Thai: ชิมไทยให้ถึงถิ่น” เจาะ กลุ่ม expat ซึ่ง อาศัยและทำงานในไทย ประมาณ 3.3 ล้านคน (ข้อมูลสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ก.แรงงาน) กลุ่มนี้ “รู้ค่าใช้จ่าย–เข้าใจวัฒนธรรม–พร้อมเดินทางซ้ำ” ททท.ชู “อาหาร” เป็น Soft Power เชื่อมการเดินทาง—ร่วมพันธมิตรเอกชนตั้งแต่สายการบิน โรงแรม ร้านอาหาร แพลตฟอร์มสะสมแต้ม (Taste Pass) เพื่อเปลี่ยน “มื้ออาหาร” ให้เป็น “ทริป” และต่อยอดเป็น “เศรษฐกิจท้องถิ่น”

TasteAtlas ยังช่วย “คิวเรตความอยาก” ผ่าน 100 จานแห่งปี—ตั้งแต่ โรตีจาไน–ข้าวเหนียวมะม่วง–ไก่ย่าง–ขนมครก–ทอดมันกุ้ง–ปลาทอด—ยืนยัน “ความหลากหลายที่เข้าถึงง่าย” ของอาหารไทยสำหรับต่างชาติ

แกงแคไก่เมือง” เชียงราย มรดกกินได้—โมเดลเศรษฐกิจชุมชน

ภาพของ Soft Power มิได้หยุดที่แคมเปญ ทว่า “ลงดิน” เป็นรูปธรรมในงาน เทศกาลอาหารถิ่น “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ปี 3 (12–14 ก.ย. 2568) โดย กระทรวงวัฒนธรรม/กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิด “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น รสชาติ…ที่หายไป (The Lost Taste)” ซึ่ง แกงแคไก่เมือง” ของเชียงราย กลายเป็น ดาวเด่น ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3

ทำไมแกงแคถึง “ปัง” บนเวทีชาติ?

  • เมนูสุขภาพ–อายุยืน ใช้ผักสมุนไพรพื้นบ้าน >10 ชนิด และ ไก่บ้านวัยเหมาะ (ราว 2–3 เดือน) จากชุมชน—ลดสารเคมี–ต่อยอดเศรษฐกิจฐานราก
  • พริกแกงตำมือ–เรียงลำดับการใส่ผัก คือภูมิปัญญาที่บอกเล่า “ความรักในวัตถุดิบ” ของล้านนา
  • โครงการ “ผักสวนครัว รั้วกินได้” ทำให้ supply ผักพื้นบ้าน “สด–ปลอดภัย–มีเรื่องราว” เชื่อมผู้ปลูก–ครัว–ผู้บริโภค

ผลลัพธ์ มากกว่าอาหาร: งานเทศกาลปีก่อนมีผู้ร่วมงาน >50,000 คน/ปี สร้างมูลค่าเศรษฐกิจท้องถิ่น >10 ล้านบาท จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารถิ่น ผู้ผลิตชุมชน เพิ่มขึ้น 25% เทียบปีแรก และผลสำรวจพบผู้ร่วมงาน 85% ประทับใจรสชาติ “ที่เคยลืม” และ 78% แสดงความตั้งใจ เดินทางตามรอย” ไปจังหวัดต้นทาง—นี่คือ วงจรเศรษฐกิจใหม่ ที่เริ่มจาก “ครัว” แล้วจบลงที่ “ทริป”

สาระสำคัญ: “อาหารถิ่น” ทำหน้าที่เป็น สะพาน เชื่อม Soft Power → การเดินทาง รายได้ชุมชน และเมื่อบูรณาการกับ อีเวนต์ เมืองจะมี “จุดหมาย” ที่ชัดเจนทั้งในปฏิทินและในใจนักเดินทาง

เสียงจากนโยบายวัฒนธรรม อาหารคือการลงทุนระยะยาว

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน ย้ำในพิธีเปิดว่า “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” พร้อมมาตรการ ยกย่อง เชิดชูเกียรติ–จัดทำฐานข้อมูล–ถ่ายทอดทักษะสู่คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ “อาหาร” ไม่ใช่เพียงเมนู หากเป็น ระบบนิเวศ ที่ก่อรายได้และความภาคภูมิใจแก่ชุมชน

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ต่อจิ๊กซอว์ผ่านกิจกรรมเส้นทางเรียนรู้ อร่อยตามรอยภูมิปัญญา” (6 เส้นทาง) และ Cooking Show โดยเชฟมืออาชีพ ที่คงรสอัตลักษณ์แต่ยกระดับการนำเสนอ—ช่วย “แปลภาษา” อาหารถิ่นให้ผู้คนยุคใหม่เข้าใจได้ง่ายขึ้น

เชียงรายบนแผนที่การท่องเที่ยวใหม่: เมื่อรางวัลโลก + อาหารถิ่น = จุดหมายเศรษฐกิจ

สองเส้นเรื่อง “รางวัลอีเวนต์โลก” และ “อาหารถิ่นดาวเด่น” มาบรรจบกันที่เชียงราย—เมืองชายแดนซึ่งมีทุนธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ครัวพื้นบ้านเข้มแข็ง เมื่อนำมาบูรณาการกับ ปฏิทินงาน (Balloon Fiesta, งานวัฒนธรรม–ศิลปะ–ดนตรี) และ เส้นทางอาหาร เมืองจะสามารถ ยืดระยะพำนัก (length of stay) และ เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ผลต่อผู้ประกอบการ:

  • โรงแรม/โฮมสเตย์วางแพ็กเกจ “ห้องพัก + ชิมแกงแค + ชมบอลลูน”
  • ร้านอาหาร–คาเฟ่ทำ “เมนูเล่าเรื่อง” ใช้วัตถุดิบชุมชน—เสิร์ฟใบรับรองแหล่งที่มา (traceability)
  • ทัวร์ชุมชนจัด workshop สมุนไพร–ทำพริกแกง ให้ expat/นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ “ลงมือทำ–เข้าใจวิถี”

ผลต่อชุมชน: เกษตรกร–ผู้สูงอายุ–กลุ่มสตรี มี ตลาดแน่นอน เพิ่มรายได้จากผักสมุนไพร–ไก่บ้าน–งานคราฟต์ที่เชื่อมโยงกับเทศกาล—เป็นการกระจายรายได้ที่ “กินได้จริง”

โอกาสและโจทย์นโยบาย ทำอย่างไรให้ “พีก” ไม่ใช่ “พุ่งวูบ”

  1. ยึดปฏิทินอีเวนต์ให้แน่น: ประกาศล่วงหน้า 6–12 เดือน สร้างความมั่นใจตลาดต่างประเทศ ดึงสายการบิน–ทัวร์–แพลตฟอร์มมาวางแผนร่วม
  2. ยกระดับมาตรฐานงาน: ความปลอดภัย–การจราจร–การแพทย์ฉุกเฉิน–การจัดการขยะ–คาร์บอนฟุตพรินต์ เพื่อให้รางวัล “งอก” เป็นความเชื่อมั่นถาวร
  3. ทำเส้นทาง “กิน–เที่ยว–เรียนรู้”: จับมือ ททท.–ภาคเอกชน สร้างแพ็กเกจ “Festival + Local Taste” เน้นเรื่องเล่า–แหล่งวัตถุดิบ–บุคคลต้นเรื่อง
  4. บ่มเพาะแรงงานท้องถิ่น: หลักสูตรมัคคุเทศก์อาหาร/ผู้จัดการอีเวนต์/สื่อสารการเล่าเรื่อง (storytelling) ให้ชุมชนเป็น “เจ้าบ้านมืออาชีพ”
  5. ข้อมูลโปร่งใส–วัดผลได้: เก็บสถิติผู้ร่วมงาน ยอดใช้จ่าย ระยะพำนัก แรงกระเพื่อมต่อ SME เพื่อใช้ตัดสินใจงบในปีถัดไป

เลนส์กว้างกว่านั้น Expat 3.3 ล้านคน—ตลาด “ใกล้ตัว” ที่ลืมมอง

กลุ่ม expat คือ นักท่องเที่ยวระยะยาว” ที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว—เข้าใจราคา–การเดินทาง–ระเบียบวัฒนธรรม หากเมืองอย่างเชียงรายสื่อสาร คาแรกเตอร์ท้องถิ่น” ผ่านอาหาร–เทศกาล–กิจกรรมเรียนรู้ภาษา–ศิลปะ ให้สอดคล้องกับฤดูกาล (เช่น ฤดูบอลลูน–ฤดูชา–ฤดูกาลผักสมุนไพร) จะเพิ่ม ทริปสั้นซ้ำ” สร้างเศรษฐกิจต่อเนื่องโดยไม่ต้องพึ่ง high season เพียงระยะเดียว

เชื่อมโยงระดับชาติ: เมื่อ ททท. เดินหน้าแคมเปญ Local Taste Local Thai พร้อมพันธมิตรการบิน–รีวอร์ด—เชียงรายสามารถเป็น Pilot City ที่ “แพ็ก” รางวัล IFEA + อาหารถิ่น + เส้นทางเรียนรู้ ออกสู่ตลาด expat และต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง (ญี่ปุ่น–เกาหลี–ยุโรป) โดยอาศัย การสื่อสารหลายภาษา และ เครื่องมือดิจิทัล เป็นตัวช่วย

จากหม้อแกงถึงบอลลูน

“เหนือไม่มีสูตรตายตัว” เชฟท้องถิ่นเปรย—แกงแค ดีเพราะ “ความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ” คล้ายกับ เทศกาลบอลลูน ที่ไม่มีสูตรสำเร็จ หากต้อง ดึงพลังชุมชน–ช่างฝีมือ–ภาคธุรกิจ ขึ้นมาโอบรับแขกทั้งเมือง ทุกปีท้องฟ้าเชียงรายระบายสีด้วยบอลลูนจากนานาชาติ ด้านล่างคือแผงอาหารที่หอมเครื่องแกง—เรื่องเล่าทั้งสองเส้นนี้กำลังค่อย ๆ ผูกเข้าหากัน และนั่นทำให้ ภาพลักษณ์เมือง คมชัด: อบอุ่น เรียบง่าย แต่มาตรฐานสูง น่ากลับมาอีกครั้ง

รางวัลคือ “ใบเบิกทาง” อาหารคือ “หัวใจ” เมืองคือ “เวที”

เชียงราย ไม่ได้ชนะเพราะโชค แต่ชนะเพราะ รู้จักตัวเอง แล้วเล่าเรื่องให้โลกฟังได้อย่างมีศิลปะ—จากทุ่งชาและบอลลูนสู่หม้อแกงแคที่มีกลิ่นเครื่องเทศสดๆ ความสำเร็จ Gold Award จาก IFEA และแรงขับเคลื่อน Festival Economy ของ ทีเส็บ เมื่อเชื่อมกับกลยุทธ์ Soft Power ด้านอาหาร ของ ททท. ทำให้เมืองและชุมชนมี “เครื่องมือสองมือ” ในการกอบกู้และยกระดับเศรษฐกิจท่องเที่ยวหลังวิกฤต

คำถามที่เหลือคือ — เราจะรักษามาตรฐานให้เสถียร และ ขยายผลสู่ความยั่งยืน อย่างไร? คำตอบคงอยู่ที่ การทำงานร่วมกัน ของภาครัฐ–เอกชน–ชุมชน–สถาบันการศึกษา: วางปฏิทินงานให้ชัด อัพสกิลคนท้องถิ่น เปิดข้อมูลโปร่งใส จับมือกันทำเส้นทางกิน–เที่ยว–เรียนรู้ให้มีชีวิต เมื่อนั้น เชียงราย จะไม่ใช่แค่ “เมืองไมซ์ดาวรุ่ง” ในรายงาน แต่คือ เมืองปลายทาง ที่ผู้คนทั่วโลกอยากกลับมา “ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมงานเทศกาลและอีเวนต์นานาชาติ (IFEA)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) 
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • KResearch (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
  • กระทรวงแรงงาน 
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • จังหวัดเชียงราย/สิงห์ปาร์ค เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News