Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 ชวนผจญภัยกับ Monsters’ Journey กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชียงรายยั่งยืน

สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 เปิดฤดูหนาวเชียงราย “The Monsters’ Journey – Blooming Inspiration” ผสานวัฒนธรรม 6 ชนเผ่า เศรษฐกิจชุมชน และการท่องเที่ยวยั่งยืน

เชียงราย, 3 ธันวาคม 2568 – สายหมอกยามเช้าและลมหนาวปลายปีที่โอบล้อมยอดดอยตุง กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เปิดม่านเทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12” อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด The Monsters’ Journey “Blooming Inspiration” ชวนผู้คนออกเดินทางผจญภัยไปกับ “ผู้พิทักษ์ป่าดอยตุง” ท่ามกลางสวนดอกไม้ลายชนเผ่า ศิลปวัฒนธรรมบนดอยสูง และกิจกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตชุมชนอย่างลึกซึ้ง

เทศกาลจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 ธันวาคม 2568 – 25 มกราคม 2569 ทุกวันเสาร์–อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.00–18.00 น. ณ โครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยเปิดให้เข้าร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นการเข้าชมพระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง และสวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง (ดอยช้างมูบ) ซึ่งมีการจัดเก็บค่าบำรุงสถานที่ตามปกติ

ดอยตุง จากพื้นที่ปลูกฝิ่น สู่ต้นแบบการพัฒนา “คนอยู่กับป่า”

ตลอดกว่า 37 ปีของการดำเนินงาน โครงการพัฒนาดอยตุงฯ เปลี่ยนพื้นที่ภูเขาสูงซึ่งเคยเป็นแหล่งปลูกฝิ่นและไร่เลื่อนลอย ให้กลายเป็นผืนป่าต้นน้ำอันอุดมสมบูรณ์ และเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการพัฒนาคนไปพร้อมกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย อธิบายถึงความหมายทางวัฒนธรรมว่า ดอยตุงไม่ใช่เพียงแหล่งท่องเที่ยว หากแต่เป็น “เวทีมีชีวิต” ของชาติพันธุ์หลากหลาย ทั้งอาข่า ลาหู่ ไทใหญ่ ไทลื้อ ไทลัวะ และจีนยูนนาน ที่ยังคงสืบสานประเพณีและพิธีกรรมดั้งเดิม โดยเฉพาะประเพณีกินข้าวใหม่และประเพณีขอบคุณธรรมชาติหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งสะท้อนความผูกพันระหว่างคน ชุมชน และผืนป่า

“สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายทำงานร่วมกับเครือข่ายชาติพันธุ์บนดอยตุง เพื่อรวบรวม ถ่ายทอด และต่อยอดประเพณีเหล่านี้ ไม่ให้เป็นเพียงการจัดแสดงให้ดู แต่ให้คนในชุมชนเป็นผู้เล่าเรื่องของตนเอง” นายพิสันต์กล่าว พร้อมย้ำว่าข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเชื่อและภูมิปัญญาของแต่ละเผ่า ยังสามารถเรียนรู้จากคนในพื้นที่โดยตรง เพื่อให้การท่องเที่ยวไม่ตัดขาดจากรากวัฒนธรรม

“พี่โต–หมานหมาน” ผู้พิทักษ์ป่าดอยตุง เมื่อมาสคอตกลายเป็นครูของคนรุ่นใหม่

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของเทศกาลปีนี้ คือการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ “พี่โต” และ “เหล่าหมานหมาน” สี่ผู้พิทักษ์จากเชียงแสน ผ่านความร่วมมือของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อทำให้เรื่องราวภูเขา ป่าไม้ และชุมชนชาติพันธุ์ ถูกเล่าในภาษาที่คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

พี่โต ได้แรงบันดาลใจจาก “รำนกรำโต” การแสดงของชาวไทใหญ่ กลายเป็นตัวแทนแห่งความหลากหลายทางชีวภาพบนดอยตุง เปรียบเสมือนเจ้าป่าที่ใจดี คอยดูแลสรรพชีวิตบนภูเขาสูง ขณะที่ “หมานหมาน” ทั้งสี่ตัวทำหน้าที่แบ่งปันบทเรียนด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมในรูปแบบน่ารักร่วมสมัย ได้แก่

  • นาคา ผู้พิทักษ์ผืนดิน ผืนน้ำ และอากาศ สัญลักษณ์ของความสมดุลระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรม
  • มาลี ผู้แทนแห่งความหลากหลายและสันติภาพ มองโลกด้วยสายตาแห่งความเท่าเทียม
  • อัคคี พลังแห่งไฟจากครัวเชียงแสน ตัวแทนภูมิปัญญาเรื่องอาหารและวิถีชีวิตชุมชน
  • สะหลีเมือง ผู้พิทักษ์หัวใจเมืองเชียงแสน คอยต้อนรับผู้มาเยือนด้วยไมตรีและพรแห่งความสุข

คาแรกเตอร์เหล่านี้ไม่ได้อยู่เพียงบนป้ายหรือของที่ระลึก แต่กระจายตัวอยู่ทั่วสวนแม่ฟ้าหลวง ผ่านงานจัดสวนดอกไม้ลายผ้าปักชนเผ่า จุดถ่ายภาพ และภารกิจตามหา “ผู้พิทักษ์ป่า” ในกิจกรรม The Monsters’ Journey Quest ที่เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนเรียนรู้เรื่องดอยตุงไปพร้อมกับสนุกกับการท่องเที่ยว

นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

  “ผมขอเน้นย้ำว่า การท่องเที่ยวและบริการเป็นกลไกทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของจังหวัดเชียงรายอย่างแท้จริงครับ เรามีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) อยู่ที่ประมาณ 116,580 ล้านบาท และในจำนวนนี้ 65,000 ล้านบาท หรือ 65% มาจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวและบริการ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องวางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวให้เป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจ

เราได้กำหนดนโยบาย เที่ยวทั้งปี” หรือ “เที่ยว 12 เดือน” ขึ้นมา เพื่อให้การท่องเที่ยวของเชียงรายไม่จำกัดอยู่แค่ช่วงฤดูท่องเที่ยวเท่านั้น โดยเราได้ขับเคลื่อนกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ศิลปะ และวัฒนธรรมท้องถิ่น ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ และ 124 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กิจกรรมเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การแสดง ความเป็นอยู่ หรือแม้แต่อาหารท้องถิ่น และในทุกพื้นที่ เรายืนยันว่าได้ดำเนินการดูแลแหล่งท่องเที่ยวให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมประสานงานกับตำรวจภูธรจังหวัดเพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด

นอกจากนี้ เราตระหนักดีถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหา ฝุ่นละออง PM 2.5 ดังนั้น จังหวัดจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการท่องเที่ยวแบบ Responsible/Sustainable Tourism เรามุ่งเน้นการจัดการและลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ และให้ความสำคัญกับการจัดการ ขยะมูลฝอย ในทุกแหล่งท่องเที่ยว เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขอนามัยของพื้นที่

สำหรับกิจกรรมในช่วง High Season นี้ เรามี เทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง” เป็นแม่เหล็กสำคัญ ซึ่งเรามั่นใจว่าเทศกาลนี้ได้ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมให้กับ พี่น้องชาติพันธุ์ที่อยู่ดอยตุง นอกจากจะดึงดูดนักท่องเที่ยวไปยังสวนแม่ฟ้าหลวงและพระตำหนักดอยตุงแล้ว ยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมเพิ่มเติมเพื่อสร้าง ‘โปรโมชั่นความสุขทางใจ’ ด้วย ที่สำคัญคือ เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงเชียงราย พวกเขา ไม่ได้มาเที่ยวที่เดียว’ แต่จะกระจายตัวไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอื่น ๆ ทั่วทั้ง 18 อำเภอ ทำให้เกิด การสร้างรายได้เป็นเครือข่ายชุมชน ที่กว้างขวาง ทั้งธุรกิจที่พัก โฮมสเตย์ และโรงแรมต่างก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย

ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากจะเชิญชวนพี่น้องชาวไทยและชาวต่างประเทศให้มาสัมผัส สิ่งมหัศจรรย์ ของเชียงรายในช่วง High Season นี้ครับ ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขา ภูผาที่สวยสง่าอุดมสมบูรณ์ หรือลำธารแม่น้ำ ตลอดจนอารยธรรมศิลปะ เพราะเราคือเมืองแห่งความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ผมรับรองว่าท่านมาเชียงรายแล้วจะประทับใจและมีความสุขกลับไปอย่างแน่นอนครับ”

เทศกาลที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเชียงราย เมื่อการท่องเที่ยวคือ 65% ของจีพีพี

ในมิติเศรษฐกิจ นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า การท่องเที่ยวถือเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัด โดยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) อยู่ที่ประมาณ 116,580 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการราว 65,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 65% ของเศรษฐกิจทั้งหมด

“เมื่อเราพูดถึงการสร้างรายได้ให้คนเชียงราย เราต้องมองการท่องเที่ยวเป็นฐานหลัก เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงไม่เพียงดึงคนขึ้นมาเที่ยวบนดอยเท่านั้น แต่ยังช่วยกระจายรายได้ไปสู่เครือข่ายชุมชน บ้านพัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร และผู้ประกอบการในทั้ง 18 อำเภอ 124 อปท. อย่างต่อเนื่อง” รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าว

เขาย้ำด้วยว่า จังหวัดให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการดูแลปัญหา PM2.5 และการจัดการขยะในทุกแหล่งท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการรักษาความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้ภาพลักษณ์เชียงรายในฐานะ “เมืองศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติ” เดินหน้าควบคู่ไปกับคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่น

ธุรกิจเพื่อสังคมบนดอยสูง รายได้หมุนเวียนกลับสู่ชุมชน

ด้านนายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ อธิบายว่า เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงเป็นส่วนสำคัญของภารกิจ “ธุรกิจเพื่อสังคม” ที่มุ่งสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างความมั่นคงให้คนในพื้นที่

ภายในงาน ร้านค้าชุมชนกว่า 35 ร้าน ที่กาดชนเผ่าและกาดดอยตุง นำเสนออาหารท้องถิ่นและฟิวชัน เช่น พิซซ่าหน้าหมูดำดอยตุง เมนูจากหมูดำที่เกิดจากโครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรบนดอย, ร้าน “ใฝ่ดีคาเฟ่” ที่เปิดพื้นที่ให้เยาวชนฝึกฝนทักษะบาริสต้า และร้านผักผลไม้ท้องถิ่นที่จำหน่ายบัวหิมะ สับปะรดภูแล งาขี้ม้อน รากชู ฯลฯ ในราคายุติธรรม

ขณะที่ “ร้านดอยตุงไลฟ์สไตล์” และ “บ้านหัตถกรรมชนเผ่า” เป็นพื้นที่ให้กลุ่มช่างฝีมือ 6 ชนเผ่าจำหน่ายผ้าทอมือ งานปัก เครื่องประดับ และงานคราฟต์ร่วมสมัย ด้วยแนวคิดต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมสู่ผลิตภัณฑ์ที่คนเมืองใช้ได้จริง เช่น กระเป๋าผ้าจากเส้นใยพลาสติกรีไซเคิล (Upcycling) และผ้าทอที่ผสมผสานลายดั้งเดิมกับการออกแบบยุคใหม่

“ทุกชิ้นงานที่ขายในเทศกาลนี้มีคนทำอยู่เบื้องหลัง และคนส่วนใหญ่มาจากชุมชนบนดอยตุง รายได้ที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำให้ครอบครัวมีความมั่นคงมากขึ้น แต่ยังส่งลูกหลานไปเรียนต่อ มีโอกาสกลับมาพัฒนาบ้านเกิดต่อไปในอนาคต นี่คือหัวใจของธุรกิจเพื่อสังคมที่มูลนิธิฯ ยึดถือ” นายประเสริฐกล่าว

Carbon Neutral Event เทศกาลที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น “ศูนย์”

จุดเด่นอีกประการของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุง คือการเป็น “Carbon Neutral Event” หรืองานที่ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้จากวัสดุธรรมชาติ ลดและเลิกใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว รวมถึงมีระบบจัดการขยะอย่างเป็นระบบ ร่วมมือกับกลุ่ม “Eco Crew” ที่ให้บริการภาชนะยืม–คืนภายในงาน เพื่อลดปริมาณขยะจากแพ็กเกจจิงอาหารและเครื่องดื่ม

ด้านการสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อม ภายในงานมีนิทรรศการ “Nature Snap” แสดงภาพถ่ายธรรมชาติจากชาวดอยตุงกว่า 30 ภาพ และบูธสิ่งแวดล้อมที่มีเครือข่ายเยาวชน Young Guardian เป็นผู้บรรยายข้อมูล เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของดอยตุงจากพื้นที่เสื่อมโทรมสู่ผืนป่าต้นน้ำ และตระหนักว่าการท่องเที่ยวในวันนี้สัมพันธ์กับอนาคตของทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร

นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

นายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า

“มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้นำหลักการของ ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) มาใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ดอยตุงมาโดยตลอดครับ ซึ่งเรามุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนในสามมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และสำหรับ เทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 ที่กำลังจะจัดขึ้นนี้ ไม่ได้เป็นเพียงงานฉลองปลายปี แต่เป็นกลไกหลักในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและการสร้างงานสร้างอาชีพที่สำคัญให้กับคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง

เราสนับสนุนการสร้างรายได้ผ่านสองช่องทางหลักครับ คือการส่งเสริม ร้านค้าของชุมชน ซึ่งสินค้าของพวกเขาพัฒนามาจากภารกิจด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิฯ และอีกส่วนหนึ่งคือการจ้างงานคนในชุมชนให้มาผลิตสินค้าภายใต้ แบรนด์ดอยตุง (Doi Tung Lifestyle) แล้วนำมาจำหน่ายในร้านของเราเอง สิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงให้คนในชุมชนมีรายได้ มีความมั่นคงในอาชีพและครอบครัว สามารถส่งบุตรหลานเรียนต่อ มีความรู้เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเราที่ต้องการพัฒนาและสร้างความยั่งยืนให้กับทั้งคนและชุมชน

ในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่เราทำมานานกว่า 30 ปี จนดอยตุงเกิดความยั่งยืน มีป่าต้นน้ำ มีพืชเศรษฐกิจสำคัญอย่างกาแฟและแมคคาเดเมีย เราได้นำ องค์ความรู้ด้านศิลปะและการออกแบบ เข้ามาช่วยสื่อสารภารกิจนี้ โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการสร้างสรรค์ตัวละครอย่าง พี่โต” และ “น้องหม่านหม่าน” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ ผู้พิทักษ์ป่า” รุ่นใหม่ ตัวละครเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นกิมมิกในงาน เพื่อสื่อสารกับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลป่าและสิ่งแวดล้อม การใช้ศิลปะและการออกแบบนี้ช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับทั้งความสุข ความสนุกสนาน ควบคู่ไปกับการได้รับความรู้และเกิดจินตนาการด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ เรายังมีการเตรียมความพร้อมสำหรับคนรุ่นใหม่เพื่อเป็นผู้สืบสานงานในอนาคต โดยมีแผนงานที่ชัดเจนและเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การ ส่งเสริมการศึกษาพื้นฐาน ให้กับชุมชน การจัดค่ายเด็กใฝ่ดีที่หน่วยงาน KLC (Knowledge Center) เพื่อให้นักเรียนเข้ามาศึกษาและค้นพบความถนัดของตนเอง รวมถึงการมอบ ทุนการศึกษา ให้กับเด็กที่เติบโตในพื้นที่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และเมื่อพวกเขาสำเร็จการศึกษา หากมีความตั้งใจ เราก็เปิดโอกาสให้กลับมาทำงานร่วมกันที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงหรือโครงการพัฒนาโดยตุงได้เลยครับ

เทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 นี้ จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2568 ถึง 25 มกราคม 2569 เรามุ่งหวังให้นักท่องเที่ยวทุกวัยได้ขึ้นมาสัมผัสความสุข สนุกสนาน และได้รับความรู้ องค์ความรู้ที่จะสามารถนำกลับไปเป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัวได้ครับ”

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

“ในฐานะสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เราได้เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนและสานสัมพันธ์วัฒนธรรมชาติพันธุ์บนดอยตุงร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ครับ สิ่งที่เราเห็นว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งคือการเชิดชูวัฒนธรรมรากฐาน ซึ่งในปีนี้เราได้นำประเพณีเก่าแก่อย่าง กินข้าวใหม่” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุง

ประเพณีนี้เป็นประเพณีการเก็บเกี่ยวผลผลิตของพี่น้องชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่บนดอยตุง ไม่ว่าจะเป็นชาว อาข่า, ลาหู่, หรือไทใหญ่ ซึ่งมีความหมายเชิงวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งมากครับ คือการแสดงความกตัญญูต่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บรรพบุรุษ และธรรมชาติ ที่ได้มอบความอุดมสมบูรณ์และทำให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้อย่างบริบูรณ์ สำนักงานวัฒนธรรมของเราเองก็จะเข้ามาประสานงานกับเครือข่ายชาติพันธุ์เหล่านี้ เพื่อเก็บรวบรวมและรักษาประเพณีดั้งเดิมอันทรงคุณค่าเหล่านี้ไว้ให้คงอยู่

นอกจากประเพณีดั้งเดิมแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากคือการผนวกภูมิปัญญาชาติพันธุ์เข้ากับศิลปะสมัยใหม่ โดยได้มีการออกแบบ สวนดอกไม้ ในเทศกาล โดยใช้แรงบันดาลใจจาก ลวดลายผ้าปัก ของชาติพันธุ์ในพื้นที่ นี่คือการสื่อสารข้ามมิติที่สวยงามครับ เป็นการผสานระหว่างธรรมชาติของสวนดอกไม้ เข้ากับภูมิปัญญาของชาติพันธุ์ที่ถ่ายทอดผ่านลวดลายผ้าปัก

ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่ความสวยงามรื่นรมย์เท่านั้น แต่ยังส่งผลในเชิงของ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เป็นการยกระดับคุณค่าทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ผู้เข้าชมงานไม่เพียงแต่ได้รับแรงบันดาลใจจากความสวยงาม แต่ยังสามารถเรียนรู้เชิงลึกเกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของแต่ละชาติพันธุ์ได้ด้วย โดยสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือสอบถามจาก พี่น้องชาติพันธุ์ ที่อยู่ภายในงานโดยตรง ซึ่งพวกเขาพร้อมที่จะถ่ายทอดภูมิปัญญาของตนเองได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง

ผมจึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกท่าน ให้มาเที่ยวชมสวนอันงดงามในช่วงฤดูหนาวนี้ครับ มา สัมผัสบรรยากาศหนาว ๆ, ชมดอกไม้สวย ๆ, และสัมผัสสีสันแห่งชาติพันธุ์ บนดอยตุง ซึ่งเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างการอนุรักษ์วัฒนธรรมเก่าแก่เข้ากับรูปแบบการนำเสนอสมัยใหม่ที่ดึงดูดใจครับ”

The Monsters’ Journey Quest เมื่อภารกิจล่ารางวัลเชื่อมโลกออฟไลน์–ออนไลน์

สำหรับผู้ที่ต้องการผจญภัยไปกับผู้พิทักษ์ดอยตุงแบบเต็มรูปแบบ เทศกาลปีนี้มีภารกิจ “The Monsters’ Journey Quest” ให้ร่วมสนุก เริ่มจากการซื้อบัตร Happy Journey Ticket หรือบัตรชมสวนและพระตำหนัก จากนั้นผู้ร่วมกิจกรรมจะถ่ายรูปเช็กอินที่จุด “ปล่อยพลังมอนส์เตอร์” และจุดตัวละครทั้ง 5 ได้แก่ นาคา มาลี อัคคี สะหลีเมือง และพี่โต ท่ามกลางสวนดอกไม้ลายชนเผ่า

เมื่อเก็บครบ 6 จุด ผู้ร่วมกิจกรรมต้องโพสต์ภาพลง Facebook หรือ Instagram ตั้งค่าเป็นสาธารณะ พร้อมแฮชแท็ก #สีสันแห่งดอยตุงครั้งที่12 และ #TheMonstersJourney เพื่อชิงรางวัลตั๋วเครื่องบินไป–กลับ กรุงเทพฯ–เชียงราย พร้อมที่พัก Doi Tung Lodge รวมถึงของที่ระลึกพิเศษอีกหลายรายการ

กิจกรรมนี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์สนุกบนดอยตุง แต่ยังเปลี่ยนผู้เข้าร่วมให้กลายเป็น “สื่อกลาง” ในการประชาสัมพันธ์งานและเชียงรายสู่โลกออนไลน์ ช่วยขยายฐานนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศไปพร้อมกัน

มุมชิล มุมอร่อย มุมสนุก สีสันที่มากกว่าดอกไม้

เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงขึ้นชื่อเรื่องสวนดอกไม้เมืองหนาวที่จัดเต็มทุกปี โดยเฉพาะโซน “สวนดอกไม้ลายผ้าปักชนเผ่า” บริเวณลานประติมากรรมความต่อเนื่อง ที่นำแรงบันดาลใจจากลายผ้าปักดั้งเดิม มาถ่ายทอดบนทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์ ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสภูมิปัญญาชาติพันธุ์ผ่านงานจัดสวนร่วมสมัย

นักท่องเที่ยวยังสามารถแวะจิบกาแฟดริปร้อน ๆ ณ คาเฟ่ดอยตุง Slowbar บนระเบียงไม้กลางสวนแม่ฟ้าหลวง ชิมเมนูพิเศษประจำฤดูกาล เช่น Choco Strawberry Slushy และไอศกรีม Soft Serve รสวานิลลาดอยตุงและชาเขียว รวมทั้งเมนูอาหารจาก “ครัวตำหนัก” ที่ใช้วัตถุดิบจากโครงการ เช่น ลาซานญ่าไส้อั่ว ชุด “ม่วนอ๋ก ม่วนใจ๋” และสเต๊กอกไก่ซอสสะเบี๊ยะ

สำหรับสายครอบครัว มีโซน Craft Workshop ภายใต้ “ซุ้มเพลิดเพลิน” ที่เปิดโอกาสให้เด็กและผู้ใหญ่ได้ลงมือทำงานคราฟต์จากวัสดุธรรมชาติและวัสดุเหลือใช้ โดยทีมงานมูลนิธิฯ คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด ขณะที่โซน “ชนเผ่าสตูดิโอ” เปิดบริการถ่ายภาพในชุดประจำเผ่าทั้ง 6 ให้เก็บเป็นความทรงจำพิเศษ

รายชื่อเรียงลำดับจากซ้ายไปขวา 1. คุณศุภวงศ์ เกื้อสังข์ ผู้จัดการ สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ภาคเหนือ หรือ TCEB 2. คุณยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย 3. คุณประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการ ธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ 4. คุณรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย 5. คุณนคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมไร่แม่ฟ้าหลวง 6. พันเอกประณต ศิริพันธ์ เสนาธิการ ผู้บัญชาการมลฑลทหารบกที่ 37 7. คุณปวิณ ชํานิประศาสน์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการการพัฒนาชุมชน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

เชื่อมโยง 18 อำเภอ ดอยตุงในฐานะ “ประตูสู่เชียงรายทั้งจังหวัด”

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายมองว่า ดอยตุงถือเป็น “สัญลักษณ์” ของจังหวัดที่นักท่องเที่ยวรู้จักมากที่สุด เมื่อใครมาถึงเชียงรายแล้วมักไม่พลาดแวะที่พระตำหนักดอยตุงและสวนแม่ฟ้าหลวง ซึ่งการจัดเทศกาลสีสันแห่งดอยตุงในช่วงไฮซีซัน เดือนธันวาคม–มกราคม ยิ่งทำให้พื้นที่บนดอยตุงกลายเป็น “จุดตั้งต้นการเดินทาง” ไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นทั่วจังหวัด

นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกพักค้างคืนในเชียงราย และต่อเส้นทางไปยังดอยแม่สลอง วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น สามเหลี่ยมทองคำ หรือเส้นทางท่องเที่ยวชุมชนในอำเภออื่น ส่งผลให้ธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร และผู้ให้บริการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้รับอานิสงส์ร่วมกัน

การจัดงานในลักษณะนี้จึงไม่ได้สร้างความคึกคักเฉพาะบนดอยตุง หากแต่เป็นกลไก “กระจายรายได้” ระหว่างเมืองกับภูเขา เมืองใหญ่กับชุมชนชาติพันธุ์ และคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ในระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเดียวกัน

ข้อมูลการเข้าชมและแพ็กเกจบัตร

เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงครั้งที่ 12 มีแพ็กเกจ “Happy Journey Package” มูลค่า 734 บาท จำหน่ายในราคาเพียง 399 บาท ซึ่งรวมบัตรเข้าชมสถานที่ ของที่ระลึก และกิจกรรมต่าง ๆ ในโครงการ ขณะที่ค่าบำรุงสถานที่หากเข้าชมแยกจุดคิดจุดละ 90 บาท

มีส่วนลด 50% สำหรับผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา (ระดับปริญญาตรี) คนพิการ และนักบวชทุกศาสนา เด็กที่มีความสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร เข้าชมฟรี นอกจากนี้ยังมีบริการรถกอล์ฟ รถรับ–ส่งภายในพื้นที่ จุดปฐมพยาบาล และบริการรถเข็นสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้พิการ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงประสบการณ์บนดอยตุงได้อย่างเท่าเทียม

เทศกาลที่สะท้อน “ความยั่งยืนที่จับต้องได้”

เมื่อมองภาพรวม เทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 ไม่ได้เป็นเพียงงานชมดอกไม้ฤดูหนาว หากแต่เป็นพื้นที่แสดงให้เห็นว่า “การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน” สามารถแปลงเป็นกิจกรรมจริงที่จับต้องได้ ตั้งแต่การใช้คาแรกเตอร์การ์ตูนสื่อเรื่องสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการออกแบบระบบจัดการขยะ การลดการใช้พลาสติก การสร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านธุรกิจเพื่อสังคม และการขยายผลทางเศรษฐกิจสู่ทั้งจังหวัดเชียงราย

ในขณะเดียวกัน เทศกาลยังทำหน้าที่เป็นเวทีให้เสียงของชุมชนชาติพันธุ์ ธุรกิจท้องถิ่น ภาครัฐ และภาคเอกชนได้มาบรรจบกันบนภูเขาเดียวกัน ภายใต้เป้าหมายร่วมคือ “การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับป่า”

ฤดูหนาวปีนี้ สำหรับผู้ที่มองหาทั้งความสวยงามของธรรมชาติ เรื่องเล่าทางวัฒนธรรม และตัวอย่างจริงของการท่องเที่ยวยั่งยืน เทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 12 – The Monsters’ Journey Blooming Inspiration” อาจเป็นจุดหมายปลายทางที่ให้อะไรมากกว่ารูปถ่ายสวย ๆ แต่คือแรงบันดาลใจใหม่ให้กับวิถีชีวิตของเราในเมืองใหญ่เช่นกัน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มันรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพโดย : กีรติ ชุติชัย / อังคณา ลาภา 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เปิดตัว “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” 15 เมตร สานภูมิปัญญา 4 ชนเผ่า ตอกย้ำ UNESCO City of Design

เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ผลงานชิ้นเอกแห่งภูมิปัญญาล้านนาและการออกแบบระดับ UNESCO

เชียงราย,11 พฤศจิกายน 2568ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาสูง 15 เมตร ถักทอด้วยภูมิปัญญา 4 ชนเผ่า สืบสานพระปณิธานพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตอกย้ำสถานะ “City of Design” จังหวัดเชียงราย ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย บรรยากาศของการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในครั้งนี้มิได้เป็นเพียงงานรื่นเริงตามปกติธรรมดา แต่กลายเป็นเวทีแสดงศักยภาพด้านการออกแบบของจังหวัดเชียงรายในฐานะ “เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ (City of Design)” ของ UNESCO อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านงานศิลปะชิ้นเอกที่ชื่อว่า “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” ซึ่งเป็นต้นคริสต์มาสไม้ไผ่สานสูงกว่า 15 เมตร ที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ของชนเผ่าบนยอดดอยถึง 4 กลุ่มชาติพันธุ์

ซึ่งกำหนด 26 พฤศจิกายน 2568 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย จะถูกประดับด้วยแสงไฟนับพันดวงจะส่องประกายขึ้นพร้อมกัน เวลาสร้างสรรค์ยาวนานหลายเดือน ในงานจะมีพิธีเปิดไฟอย่างยิ่งใหญ่ คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเป็นจำนวนมากในช่วงไฮซีซั่นของจังหวัดเชียงราย

รากฐานของความสำเร็จ พระปณิธานที่ยั่งยืน

การจัดงาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง” ในครั้งนี้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน แต่ปีนี้มีความพิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ (โครงการพัฒนาดอยตุง) กับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งจังหวัดเชียงราย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2515 เพื่อสืบสานพระปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ดำเนินโครงการพัฒนาดอยตุงมาเป็นเวลากว่า 36 ปี โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนชนเผ่าบนพื้นที่สูงให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมศิลปหัตถกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น โครงการพัฒนาดอยตุงได้รับการยกย่องในระดับสากลว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะหลักการ “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่แก้ไขปัญหาความยากจนควบคู่ไปกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2556 สมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้รับรอง “แนวปฏิบัติสากลว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก (United Nations Guiding Principles on Alternative Development)” ซึ่งมีรากฐานมาจากประสบการณ์ของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ

ผลงานชิ้นเอก ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา

ภายใต้แนวคิด “The Magic of Chiang Rai” ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์โดยทีมงานมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โดยใช้ไม้ไผ่สานเป็นโครงสร้างหลัก ซึ่งสูงกว่า 15 เมตร โดยมีต้นคริสต์มาสขนาดเล็กอีก 6 ต้นล้อมรอบ สะท้อนถึงภูเขาหมอกแห่งดอยตุงและความหลากหลายของชนเผ่าในพื้นที่

สิ่งที่ทำให้ผลงานนี้โดดเด่นคือการประดับตกแต่งด้วยงานหัตถศิลป์จาก 4 ชนเผ่าหลักของเชียงราย ได้แก่ ชาวอาข่า ชาวลาหู่ ชาวลัวะ (ละว้า) และชาวไทใหญ่ โดยแต่ละลวดลายมีความหมายและเล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ชาวอาข่า เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีงานปักและลูกปัดที่ประดับตกแต่งอย่างประณีต สื่อถึงความอ่อนโยนและความขยันอดทนของสตรีชนเผ่า ซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าสู่ลูกหลาน ลวดลายของชาวอาข่ามักใช้ลูกปัดและงานปักที่ละเอียดอ่อน ซึ่งสะท้อนถึงความศรัทธาและความงดงามของเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม

ชาวลาหู่ โดดเด่นด้วยลวดลายเรขาคณิตและการใช้สีตัดกันอย่างมีชีวิตชีวา สะท้อนความเชื่อเกี่ยวกับพลังงานของธรรมชาติและวิถีการดำรงชีวิต ผ้าทอของชาวลาหู่มีลักษณะที่โดดเด่นด้วยลวดลายที่สื่อถึงความสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ชาวลัวะ (ละว้า) มีเอกลักษณ์ในการทอที่เน้นความเรียบง่ายแต่แข็งแรง ใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้จากท้องถิ่น สื่อถึงความผูกพันกับผืนป่าและรากเหง้าของบรรพบุรุษ การทอผ้ามีความหนาแน่น ใช้เทคนิคมัดหมี่หรือมัดก่าน ลวดลายมีความเป็นเอกลักษณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่อากาศเย็น

ชาวไทใหญ่ นำเสนอลวดลายที่หลากหลายและซับซ้อน มักได้รับอิทธิพลจากลายน้ำไหลและดอกไม้บนดอยตุง สื่อถึงความอ่อนช้อยของวัฒนธรรมล้านนา การทอมีเทคนิคที่หลากหลาย เช่น ซิ่นลายน้ำไหล ซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมล้านนาในพื้นที่ราบ แต่ถูกปรับให้เข้ากับวัสดุและฝีมือของดอยตุง

การผสมผสานงานหัตถศิลป์จาก 4 ชนเผ่านี้บนโครงสร้างไม้ไผ่สาน ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความสามัคคี แต่ยังแสดงถึงการใช้วัสดุจากท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ตามแนวทางที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้บุกเบิกมาอย่างยาวนาน

ยอดของต้นคริสต์มาสถูกประดับด้วยริบบิ้นสีทอง เป็นสัญลักษณ์แทนความจงรักภักดีและการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขา

จาก Local สู่ Global ตอกย้ำ City of Design

ความสำคัญของต้นคริสต์มาสหมอกพันวาไม่ได้อยู่แค่ความงดงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็น “ต้นแบบ (Prototype)” สำหรับการสร้างสรรค์ต้นคริสต์มาสอัตลักษณ์ท้องถิ่นให้กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ นี่คือการตอกย้ำอย่างเป็นรูปธรรมถึงการเป็น City of Design ของเชียงราย ที่ไม่ได้มีเพียงแค่งานศิลปะบริสุทธิ์ แต่ยังรวมถึงการออกแบบที่ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัย เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและความภาคภูมิใจให้กับชุมชนชนเผ่าอย่างยั่งยืน

การที่จังหวัดเชียงรายได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ในสาขาการออกแบบ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 นั้น เป็นผลมาจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และการพัฒนาที่ยั่งยืน

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวในช่วงที่เชียงรายได้รับการรับรองว่า เมืองสร้างสรรค์ทั้ง 55 เมืองที่ได้รับการยอมรับจาก UNESCO นั้น เป็นเมืองที่กำลังเป็นผู้นำในการเพิ่มการเข้าถึงวัฒนธรรมและกระตุ้นพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ

การส่งต่อ “ซอฟต์พาวเวอร์งานคราฟต์มาสเตอร์พีซ” จากดอยตุงสู่เวทีระดับประเทศ ทำให้เชียงรายเป็น “เดสติเนชันสำคัญของโลก” ในช่วงไฮซีซั่น ที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสเสน่ห์แห่งอัตลักษณ์ล้านนาอย่างแท้จริง

ธุรกิจเพื่อสังคม สร้างงานสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ดำเนินงานภายใต้ปรัชญาที่ว่า “อะไรที่ชาวบ้านถนัดและทำได้ดีอยู่แล้ว ก็ไปเสริมให้ดียิ่งขึ้น” จึงมุ่งผนวกภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับการทำธุรกิจแบบสากล โดยได้ว่าจ้างนักออกแบบมาทำงานร่วมกับคนในท้องถิ่น เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีเอกลักษณ์ ได้คุณภาพตามมาตรฐาน และเป็นที่ต้องการของตลาดสากล

ผลงานที่เกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะที่สวยงาม แต่ยังเป็นการสร้างงานและรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชนชนเผ่า ทำให้พวกเขาไม่ต้องพึ่งพาการปลูกฝิ่นหรือทำลายป่าอีกต่อไป

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เคยกล่าวว่า “วันนี้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงทำงานต่างจากในอดีต เราไม่ได้เพียงแค่เข้าไปในพื้นที่และสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่เราทำสิ่งต่างๆด้วยการมีความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆเป็นลักษณะ Engagement เพิ่มมากขึ้น เราอยากมีเพื่อนที่เดินไปบนเส้นทางนี้มากขึ้น”

ในปี พ.ศ. 2557 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับรางวัลนิเคอิเอเชียจากหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวนิเคอิของประเทศญี่ปุ่น ในฐานะองค์กรยอดเยี่ยมของเอเชียด้านการพัฒนาชุมชนและวัฒนธรรม สะท้อนถึงการยอมรับในระดับสากลของผลงานที่เกิดจากพระปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว เชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก

จังหวัดเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคเหนือ ตามสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในปี พ.ศ. 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 6,193,932 คน คิดเป็นร้อยละ 24 ของนักท่องเที่ยวทั้ง 8 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวรวม 25,783,263 คน โดยเชียงรายครองอันดับที่ 2 รองจากจังหวัดเชียงใหม่

การจัดงานเทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ในช่วงไฮซีซั่น คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่เป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาตินิยมเดินทางมาท่องเที่ยวภาคเหนือเพื่อชมทะเลหมอกและสัมผัสอากาศหนาว

งานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมาชมความงดงามของต้นคริสต์มาสหมอกพันวาเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของชนเผ่าบนพื้นที่สูง รวมถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนของโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นำเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2568 โดยมุ่งเป้าสู่การผลักดัน “ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก” ผ่านแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ซึ่งเชียงรายในฐานะ UNESCO City of Design ถือเป็นจุดขายสำคัญที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์และความสามารถในการสร้างสรรค์ของไทย

ความร่วมมือที่ขับเคลื่อนความสำเร็จ

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ประสบความสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น การที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เปิดพื้นที่ให้จัดงานและสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงาน แสดงให้เห็นถึงบทบาทของภาคเอกชนในการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ร่วมกับการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ได้ทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ขณะที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายทำหน้าที่ดูแลให้งานสอดคล้องกับนโยบายด้านการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายและเทศบาลนครเชียงรายให้การสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการอำนวยความสะดวก ในขณะที่จังหวัดเชียงรายทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือแบบบูรณาการนี้สะท้อนถึงความตระหนักร่วมกันว่า การพัฒนาท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการอนุรักษ์วัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงแค่ความรับผิดชอบของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

อนาคตของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดเชียงราย การที่ต้นคริสต์มาสหมอกพันวาได้รับการพัฒนาเป็นต้นแบบให้กับศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ แสดงให้เห็นว่าภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถถูกยกระดับและขยายผลไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้นได้

การเป็น UNESCO City of Design ของเชียงรายไม่ใช่เพียงแค่ตราสัญลักษณ์ แต่เป็นความรับผิดชอบในการพัฒนาและส่งเสริมการออกแบบที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม

ในอนาคต จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของภูมิภาคอาเซียน โดยใช้จุดแข็งด้านวัฒนธรรมล้านนา ภูมิปัญญาชนเผ่า และความหลากหลายทางชีวภาพ ผสมผสานกับนวัตกรรมและการออกแบบร่วมสมัย

เสียงจากผู้เกี่ยวข้อง มุมมองที่หลากหลาย

แม้ว่าข้อมูลที่นำเสนอจะไม่มีคำกล่าวโดยตรงจากผู้บริหารในงานครั้งนี้ แต่จากการศึกษาผลงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และโครงการพัฒนาดอยตุงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามารถสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการทำงานที่ชัดเจน

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เคยกล่าวถึงหลักการทำงานว่า “เราต้องการให้ชาวบ้านมีทางเลือกในการดำรงชีวิต ไม่ใช่บอกว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เป็นการสร้างทางเลือกที่ดีกว่า ที่ให้รายได้มากกว่า และยั่งยืนกว่า”

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงแนวทางการทำงานของมูลนิธิที่เน้นการเสริมพลังให้กับชุมชน ไม่ใช่การเข้าไปแก้ปัญหาแบบชั่วคราว แต่เป็นการสร้างศักยภาพให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว สำหรับชาวบ้านในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง ผลงานเช่นต้นคริสต์มาสหมอกพันวาไม่ได้เป็นเพียงงานศิลปะที่ชื่นชม แต่เป็นตัวแทนของความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของตนเอง เป็นการพิสูจน์ว่างานหัตถกรรมที่พวกเขาทำมาตลอดชีวิตนั้นมีคุณค่าและได้รับการยอมรับในระดับสากล

ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจ

โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนอย่างมีนัยสำคัญ จากข้อมูลของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ โครงการได้ช่วยเหลือครัวเรือนในพื้นที่กว่า 11,284 ครัวเรือน คิดเป็นประชากรประมาณ 50,000 คน ครอบคลุมพื้นที่ 150 หมู่บ้าน ใน 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย

รายได้ของครัวเรือนในโครงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการปลูกข้าวโพดและพืชเชิงเดียวที่ให้รายได้น้อยและไม่แน่นอน เปลี่ยนมาเป็นการทำงานหัตถกรรม การปลูกกาแฟอาราบิก้า การปลูกมะคาเดเมีย และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งให้รายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนมากกว่า ด้านสิ่งแวดล้อม โครงการได้ช่วยฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้กว่า 7,165 ไร่ ทำให้พื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมกลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง แหล่งน้ำที่เคยแห้งขอดกลับมามีน้ำไหลตลอดปี และความหลากหลายทางชีวภาพกลับคืนมา

ในด้านสังคม โครงการได้ช่วยลดปัญหายาเสพติดในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ จากการที่ชุมชนมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการปลูกฝิ่นหรือค้ายาเสพติด เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น และชุมชนมีความเข้มแข็งในการพึ่งพาตนเอง

ความท้าทายและโอกาส

แม้ว่าผลงานจะได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ การรักษามาตรฐานคุณภาพของงานหัตถกรรมในขณะที่ต้องเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดเป็นเรื่องที่ต้องสมดุล การถ่ายทอดทักษะและภูมิปัญญาสู่คนรุ่นใหม่ที่อาจมีความสนใจในอาชีพอื่นๆ มากขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ก็เป็นโอกาสในการพัฒนา การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการออกแบบ การจัดการผลิต และการตลาด สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้น การสร้างแบรนด์ที่แข็งแรงและการเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ การเป็น UNESCO City of Design ช่วยเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเมืองสร้างสรรค์อื่นๆ ทั่วโลก เชียงรายสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของเมืองอื่นๆ ในเครือข่าย และนำความรู้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง

บทเรียนสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน

ความสำเร็จของโครงการพัฒนาดอยตุงและการจัดงานเทศกาลสีสันกาสะลอง 2025 ให้บทเรียนสำคัญหลายประการ

  • การพัฒนาที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากการเข้าใจบริบทของชุมชนและเคารพในภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่ใช่การนำเอารูปแบบการพัฒนาที่สำเร็จที่อื่นมาใช้โดยไม่ปรับเปลี่ยน
  • การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นต้องทำอย่างสมดุล ไม่ให้เกิดการแสวงหาผลกำไรจนลืมคุณค่าทางวัฒนธรรม และไม่ยึดติดกับการอนุรักษ์จนชุมชนไม่สามารถพัฒนาได้
  • ความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ ไม่มีหน่วยงานใดที่สามารถทำงานสำเร็จได้ด้วยตัวเอง การสร้างเครือข่ายและพันธมิตรที่เข้มแข็งช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น
  • การพัฒนาต้องให้ชุมชนเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ไม่ใช่การพัฒนาให้ชุมชน แต่เป็นการพัฒนากับชุมชน เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและความภาคภูมิใจ
  • การใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือในการพัฒนาสามารถสร้างผลกระทบที่กว้างไกล ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม มากกว่าการพัฒนาแบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นเพียงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

เชิญชวนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์

ประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกท่านสามารถเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้ได้ด้วยการเดินทางมาชมผลงาน “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” และงานศิลปะอื่นๆ ในงาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” ซึ่งจัดแสดงตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

พิธีเปิดไฟครั้งยิ่งใหญ่จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป พร้อมมินิคอนเสิร์ตจาก “แก้ม วิชญาณี” ศิลปินเสียงทรงพลังที่จะมาสร้างสีสันให้กับงาน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมหลากหลายตลอดช่วงเทศกาล รวมถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนจากโครงการพัฒนาดอยตุงที่ผู้เข้าชมสามารถสนับสนุนชุมชนได้โดยตรง

การเดินทางมาชมงานไม่เพียงแต่เป็นการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรม และการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

มองไปข้างหน้า อนาคตของเชียงรายและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในระดับสากล ในอนาคต คาดว่าจะมีโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น

จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการออกแบบและหัตถกรรมร่วมสมัย โดยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ การจัดเวิร์กช็อป และการแลกเปลี่ยนความรู้กับนักออกแบบและศิลปินจากทั่วโลก การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงจุดท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัด เช่น วัดร่องขุ่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำ โครงการพัฒนาดอยตุง และชุมชนหัตถกรรม จะช่วยกระจายรายได้และสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ลึกซึ้งและมีคุณค่า

การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การสร้าง Virtual Tour การใช้ Augmented Reality เพื่อเล่าเรื่องราวของงานศิลปะและวัฒนธรรม และการสร้าง Platform สำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนออนไลน์ จะช่วยขยายการเข้าถึงและสร้างโอกาสใหม่ๆ

ที่สำคัญที่สุดคือการรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เชียงรายต้องพัฒนาในลักษณะที่ไม่ทำลายสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และคุณค่าของตนเอง แต่ใช้จุดแข็งเหล่านี้เป็นฐานในการสร้างความเจริญก้าวหน้าที่ยั่งยืน

งาน “เทศกาลสีสันกาสะลอง 2025” และผลงาน “ต้นคริสต์มาสหมอกพันวา” เป็นมากกว่างานศิลปะหรือการจัดเทศกาล เป็นการสื่อสารที่ทรงพลังเกี่ยวกับคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น ความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน และศักยภาพของการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก

จากต้นไม้ไผ่สานสูง 15 เมตรที่ตั้งอยู่หน้าศูนย์การค้า เราเห็นเรื่องราวของการสืบสานพระปณิธาน เห็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ถูกถ่ายทอดมาหลายชั่วอายุคน เห็นความพยายามของชุมชนในการพัฒนาตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี เห็นความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม และเห็นอนาคตของการท่องเที่ยวและการพัฒนาที่คำนึงถึงคน วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม

นี่คือ “The Magic of Chiang Rai” ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ความงดงามที่มองเห็นได้ แต่เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับชุมชนและสังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ (โครงการพัฒนาดอยตุง)
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • กระทรวงวัฒนธรรม – ข้อมูลการรับรอง UNESCO City of Design (2566)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – สถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย (2567)
  • สหประชาชาติ – United Nations Guiding Principles on Alternative Development (2556)
  • central pattana
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รับมืออุบัติเหตุ เชียงรายจัดซ้อมแผน 2 โรงพยาบาล เตรียมพร้อมช่วงเทศกาล

โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ซ้อมแผนอุบัติเหตุหมู่ เตรียมพร้อมรับมือช่วงเทศกาล

ซ้อมแผนอุบัติเหตุหมู่ประจำปี 2568 สร้างความพร้อมระบบสาธารณสุขรับมือภัยพิบัติ

เชียงราย – วันที่ 4 เมษายน 2568 โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดยกลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ได้จัดกิจกรรมฝึกปฏิบัติการซ้อมแผนอุบัติเหตุหมู่ประจำปี 2568 ณ หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 37 และโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานด้านความมั่นคง และองค์กรกู้ภัยในจังหวัดเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย ด้านการจราจร สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย และสมาคมแสงธรรมสาธารณกุศล เชียงราย ก็ได้จัดการฝึกซ้อมอุบัติเหตุหมู่ ณ บริเวณโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นช่วงเทศกาลท่องเที่ยว ซึ่งมีการเดินทางจำนวนมาก และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุหมู่สูงกว่าช่วงปกติ

เน้นซ้อมสถานการณ์จริง ให้บุคลากรเข้าใจบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน

กิจกรรมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทุกฝ่าย ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้องตามมาตรฐานวิชาชีพ และสามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

โดยแบบจำลองเหตุการณ์ที่ใช้ในการฝึกซ้อมเป็นสถานการณ์จำลองอุบัติเหตุรถชนจำนวนหลายคัน มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากและต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนจริง ตั้งแต่การแจ้งเหตุ ประสานหน่วยสนับสนุน การเข้าถึงผู้ป่วย การลำเลียง และการรักษาเบื้องต้น ไปจนถึงการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ

ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน

การฝึกซ้อมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน ได้แก่ โรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ ทีม ALS กู้ภัยจากเทศบาลนครเชียงราย ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 37 และตำรวจจราจรจาก สภ.เมืองเชียงราย นอกจากนี้ ยังมีการร่วมซ้อมของสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกับระบบการจัดการอุบัติเหตุหมู่ในระดับจังหวัด

สร้างความมั่นใจในการให้บริการประชาชนช่วงเทศกาล

ในช่วงเทศกาล เช่น สงกรานต์ ซึ่งประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ความเสี่ยงจากอุบัติเหตุบนท้องถนนจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเตรียมความพร้อมในการรับมืออุบัติเหตุหมู่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเป็นไปอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้

แนวคิด “หนึ่งทีม หนึ่งระบบ” สู่การพัฒนาระบบสาธารณสุขเชิงรุก

การฝึกซ้อมครั้งนี้สะท้อนถึงแนวคิด “หนึ่งทีม หนึ่งระบบ” ที่เน้นให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มศักยภาพในการตัดสินใจอย่างเร่งด่วน ณ จุดเกิดเหตุ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขในการส่งเสริมระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระดับจังหวัด

ความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง: ภาครัฐ-ภาคประชาชน

ฝ่ายภาครัฐ เห็นว่าการฝึกซ้อมดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่ภัยพิบัติและอุบัติเหตุมีความซับซ้อนมากขึ้น และต้องใช้การประสานงานข้ามหน่วยงาน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า จังหวัดพร้อมสนับสนุนทรัพยากรและงบประมาณเพื่อให้การรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินมีความรวดเร็วและแม่นยำ

ขณะเดียวกัน จากมุมมองของประชาชนบางกลุ่ม ยังมีความกังวลเรื่องความต่อเนื่องของการฝึกซ้อมในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะในอำเภอห่างไกลที่อาจไม่ได้รับการฝึกอบรมในระดับเดียวกับตัวเมืองเชียงราย และมีข้อเสนอให้กระจายโอกาสการซ้อมและฝึกปฏิบัติไปยังโรงพยาบาลชุมชนมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่ได้รับบริการที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน

ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาระบบรับมืออุบัติเหตุหมู่ในอนาคต

การฝึกซ้อมอุบัติเหตุหมู่ควรได้รับการจัดอย่างต่อเนื่องปีละหลายครั้ง และควรมีการประเมินผลหลังฝึกซ้อมทุกครั้ง เพื่อพัฒนาแนวทางการดำเนินงาน และแก้ไขข้อบกพร่องที่พบเจอ อีกทั้ง ควรมีการฝึกในรูปแบบข้ามจังหวัด เพื่อรองรับกรณีที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัด

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ในปี 2566 ประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุทางถนนมากกว่า 19,000 ครั้ง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพียงช่วงเดียว
  • จังหวัดเชียงรายเกิดอุบัติเหตุรวม 479 ครั้ง ในปี 2566 โดยมีผู้เสียชีวิต 56 ราย และบาดเจ็บ 562 ราย (ที่มา: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน, กระทรวงคมนาคม)
  • อัตราการรอดชีวิตของผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุหมู่จะเพิ่มขึ้น มากกว่า 50% หากได้รับการช่วยเหลือในช่วง ทองคำ” 1 ชั่วโมงแรก (Golden Hour) (ที่มา: กรมการแพทย์ฉุกเฉิน, กระทรวงสาธารณสุข)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กระทรวงคมนาคม
  • กรมการแพทย์ฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

สวนดุสิตโพลเผย เชียงใหม่-เชียงราย จุดหมายปีใหม่ยอดนิยม 2568

สวนดุสิตโพลเผยปีใหม่ 2568 คนไทยนิยมเที่ยว เชียงใหม่-เชียงราย ติดอันดับ

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจาก “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เกี่ยวกับเรื่อง “คนไทยกับของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล” โดยทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,246 คน ผ่านช่องทางออนไลน์และภาคสนาม ระหว่างวันที่ 3-6 ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงทิศทางและพฤติกรรมของคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ประชาชนส่วนใหญ่มีแผนท่องเที่ยวปีใหม่

จากผลการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีแผนเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ 56.02% โดยในกลุ่มนี้

  • เลือกเดินทาง ภายในประเทศถึง 90.26%
  • ขณะที่การเดินทางไป ต่างประเทศอยู่ที่ 9.74%
    อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนจำนวน 43.98% ที่ระบุว่าไม่มีแผนการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว

5 จังหวัดยอดนิยมที่คนไทยอยากไปเที่ยวมากที่สุด

จากผลการสำรวจยังเผยถึงจังหวัดเป้าหมายของการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยอันดับจังหวัดยอดนิยมที่ประชาชนเลือกมากที่สุด ได้แก่

  1. เชียงใหม่ คิดเป็น 56.83% ขึ้นแท่นอันดับหนึ่ง เนื่องจากอากาศเย็นสบายและมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติจำนวนมาก
  2. เชียงราย คิดเป็น 49.05% จังหวัดที่โดดเด่นด้วยความงดงามของดอกไม้และภูเขา อีกทั้งยังมีเทศกาลดอกไม้ช่วงปลายปี
  3. กรุงเทพมหานคร คิดเป็น 38.10% ซึ่งเป็นศูนย์รวมของการจัดงานเทศกาลและกิจกรรมต่าง ๆ
  4. กาญจนบุรี คิดเป็น 37.30% จังหวัดที่มีความโดดเด่นด้านธรรมชาติและสถานที่ประวัติศาสตร์
  5. กระบี่ คิดเป็น 25.71% จังหวัดชายทะเลที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการท่องเที่ยวปีใหม่

ประชาชนคาดการณ์ว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 17,317.10 บาทต่อคน โดยแบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามงบประมาณดังนี้

  • ไม่เกิน 5,000 บาท มากที่สุด คิดเป็น 46.94%
  • กลุ่มที่ใช้จ่ายมากกว่า 5,000 บาทขึ้นไป มีสัดส่วนที่ลดหลั่นกันไป

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวครอบคลุมค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงการซื้อของฝากให้กับคนในครอบครัวและคนสนิท

ของขวัญปีใหม่ที่ประชาชนอยากได้จากรัฐบาล

เมื่อสอบถามถึงของขวัญปีใหม่ที่ประชาชนอยากได้รับจากรัฐบาล อันดับต้น ๆ ได้แก่

  1. การแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว เนื่องจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม
  2. การช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟ และพลังงาน ซึ่งถือเป็นภาระสำคัญที่ประชาชนต้องแบกรับในปัจจุบัน
  3. มาตรการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ โดยเฉพาะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น

ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจและสวัสดิการสังคมเป็น “หน้าที่ของรัฐบาล” ที่ควรให้ความสำคัญอย่างจริงจัง

สรุปภาพรวมเทศกาลปีใหม่

ผลการสำรวจจากสวนดุสิตโพลในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่วางแผนเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะจังหวัดยอดนิยมอย่าง เชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งมีเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน ประชาชนยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลปีใหม่ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การแจกเงินและการลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค

การสำรวจในครั้งนี้จึงเป็นภาพสะท้อนความหวังของคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ที่ต้องการทั้งความสุขจากการเดินทางท่องเที่ยวและมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐในการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

ข้อมูลสำคัญโดยสรุป

  • 56.02% ของประชาชนวางแผนท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ
  • เชียงใหม่และเชียงราย เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 17,317.10 บาทต่อคน โดยส่วนใหญ่ใช้งบไม่เกิน 5,000 บาท
  • ประชาชนต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินและมาตรการลดค่าใช้จ่าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สวนดุสิตโพล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE