Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มหกรรมสีสันล้านนาตะวันออก เพิ่มช่องทางการค้าผู้ประกอบการ

แถลงข่าวการจัดงานมหกรรมสีสันล้านนาตะวันออก: เพิ่มช่องทางการค้าผู้ประกอบการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ได้มีการแถลงข่าวเปิดตัว “งานแสดงและจำหน่ายสินค้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (East-Northern Thailand & GMS Expo) หรือ มหกรรมสีสันล้านนาตะวันออก” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้โครงการบูรณาการการค้าและการลงทุนประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย, พะเยา, แพร่, น่าน) และเปิดโอกาสขยายช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการในท้องถิ่น

กระทรวงพาณิชย์เน้นส่งเสริมผู้ประกอบการ

กระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงพันธมิตรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการสร้างช่องทางการตลาดที่หลากหลาย และขยายการเข้าถึงตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับแนวคิด SDGs และ Soft Power เพื่อผลักดันเศรษฐกิจในระยะยาว

การจัดแสดงสินค้าเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้กำหนดการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 3 ครั้งในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายช่องทางการตลาดนอกภูมิภาค และส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

  • ครั้งที่ 1: วันที่ 30 ตุลาคม – 3 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า นครศรีธรรมราช
  • ครั้งที่ 2: วันที่ 13 – 17 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์บางแค กรุงเทพมหานคร
  • ครั้งที่ 3: วันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2567 ณ บริเวณหน้าด่านพรมแดนแม่สาย จังหวัดเชียงราย

เป้าหมายและผลลัพธ์คาดหวัง

การจัดงานในครั้งนี้คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ไม่น้อยกว่า 18 ล้านบาท และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สายซึ่งได้รับความเสียหายมากที่สุด

วิสัยทัศน์ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน เรามุ่งเน้นการพัฒนาช่องทางการตลาดให้กับสินค้าและบริการ

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการบูรณาการการค้าการลงทุนประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งจริง ๆ แล้วควรจะเริ่มตั้งแต่กลางปีที่แล้ว แต่เนื่องจากติดปัญหาเรื่องข้อระเบียบกฎหมายและการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้เริ่มดำเนินการล่าช้า โดยในปีนี้เรามุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มตำบลที่มีศักยภาพและอัตลักษณ์โดดเด่น โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันออกที่เป็นประตูสู่การค้าในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านและอาเซียน เชื่อมโยงกับสถานีการค้าไทย-พม่าและภาคใต้

ทั้งนี้ กลุ่มตำบลเหล่านี้ยังมีมรดกทางศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณีที่สามารถนำมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าที่มีการบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เช่น ข้าว ข้าวโพด ชา กาแฟ ที่มีศักยภาพโดดเด่น

ในวิสัยทัศน์ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน เรามุ่งเน้นการพัฒนาช่องทางการตลาดให้กับสินค้าและบริการ ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล สอดคล้องกับนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งเน้นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจ

การจัดงานในครั้งนี้หวังว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายที่เผชิญกับปัญหาอุทกภัยที่ผ่านมา เราต้องการแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของเชียงรายพร้อมฟื้นตัว โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการเยียวยาและจะกลับมาสร้างสีสันอีกครั้ง

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการและประชาชนในจังหวัดภาคเหนือตอนบนสอง และขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้

ฟื้นฟูเศรษฐกิจให้พร้อมสำหรับช่วงไฮซีซั่นที่กำลังจะมาถึง

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย กล่าวเสริมในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการกลุ่มภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) กล่าวว่า ขอขอบคุณท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายที่ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีแถลงข่าวในวันนี้ และขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่สนับสนุนงบประมาณและความร่วมมือ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงเครือข่ายในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ที่ร่วมกันผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากที่จังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา

ท่านรองผู้ว่าฯ ได้กล่าวถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย แต่เราก็ไม่เคยย่อท้อ และพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ ปรับตัว และฟื้นฟูเศรษฐกิจให้พร้อมสำหรับช่วงไฮซีซั่นที่กำลังจะมาถึง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

ทั้งนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดนโยบายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยมีกิจกรรมหลายครั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เช่น การจัดแสดงสินค้าที่ศูนย์การค้าเดอะมอลล์บางแคและบางกะปิ เพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมสินค้าจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 สู่ตลาดในระดับประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ เราได้กำหนดกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจที่อำเภอแม่สาย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างหนัก โดยจะมีการจัดงานแสดงสินค้าและส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงรายและกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ที่พร้อมจะก้าวเดินไปข้างหน้า

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนและร่วมมือกันในครั้งนี้

ผลกระทบจากภัยแล้งทำให้ผลผลิตเหลือเพียง 200 กว่าตัน

นางศุภมิตร เต็งเผ่ พาณิชย์จังหวัดพะเยา กล่าวว่า ขอบคุณท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและผู้มีเกียรติทุกท่านที่เข้าร่วมงานแถลงข่าวในวันนี้ สำหรับจังหวัดพะเยาแม้ว่าเราจะเป็นจังหวัดที่แยกออกจากเชียงรายตั้งแต่ปี 2520 แต่เรายังคงมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด โดยสินค้าที่มีความโดดเด่นของพะเยาได้แก่ ข้าวหอมมะลิที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศ รวมถึงลิ้นจี่แม่ใจที่ถือเป็นแรร์ไอเท็มเนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยแล้งทำให้ผลผลิตเหลือเพียง 200 กว่าตัน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์จากชุมชนที่มีความเป็นเอกลักษณ์ เช่น ผ้าทอจากวิสาหกิจชุมชนแม่อิง ที่ใช้สีธรรมชาติและโนว์ฮาวจากประเทศญี่ปุ่น

ในด้านอาหารและเครื่องดื่ม พะเยามีปลานิลจากน้ำตกจ้ำปางที่มีความโดดเด่น และไวน์จากแม่นายไวเนอรี่ที่ได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากการแข่งขันที่ลอนดอน ส่วนเครื่องใช้จากผักตบชวาและเซรามิกซึ่งเป็นการแปรรูปให้ร่วมสมัยก็ได้รับความนิยมในการออกงานที่โตเกียว

นอกจากนี้ พะเยายังมีผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ปลอดสารเคมี เหมาะสำหรับผู้สูงวัย โดยมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สะดวกต่อการใช้งาน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการพัฒนาสินค้าให้ทันสมัยและน่าสนใจ ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนในวันนี้และขอฝากสินค้าจากจังหวัดพะเยาไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

แพร่พร้อมเป็นประตูสู่ล้านนาและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

นายศุภสัณห์ ศิลป์ชูศรี พาณิชย์จังหวัดแพร่ กล่าวว่า กล่าวขอบคุณผู้ร่วมแถลงข่าวในวันนี้ พร้อมกล่าวถึงความพร้อมและความโดดเด่นของสินค้าจากจังหวัดแพร่ โดยเฉพาะสินค้าที่มีอัตลักษณ์และศักยภาพในการแข่งขัน เช่น หมูทุบเพ็ญนภาที่ผลิตด้วยเตาถ่าน ซึ่งเป็นแห่งเดียวในประเทศที่ยังคงใช้เตาถ่านแบบดั้งเดิม รวมถึงสุรากลั่นชุมชนจากตำบลสะเอียบ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาและพร้อมสู้กับสุราเหมาไถของจีน

นอกจากนี้ จังหวัดแพร่ยังมีสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เช่น ปลาปากกาซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของจังหวัด และไม้สักแพร่ซึ่งมีชื่อเสียงระดับประเทศ ผ้าทอจากชุมชนก็เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีอัตลักษณ์ โดยสินค้าจีไอของจังหวัดแพร่ก็ได้รับการยืนยันต่ออายุแล้ว รวมถึงการผลักดันให้ “ส้มโอขาวน้ำขึ้นเมืองลอง” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าจีไอใหม่ของจังหวัด

นายศุภสัณห์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าจังหวัดแพร่พร้อมเป็นประตูสู่ล้านนาและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ โดยมีกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอย่างที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่

ทิ้งท้ายด้วยการเชิญชวนทุกท่านมาเยี่ยมชมสินค้าคุณภาพจากจังหวัดแพร่ ที่มีทั้งความหลากหลายและความร่วมสมัย เพื่อต่อยอดความสำเร็จของผู้ประกอบการในภาคเหนือตอนบน 2

สินค้าจากน่านมีเอกลักษณ์และสะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่น

นางทัศนีย์ กองแดง รักษาการแทนพาณิชย์จังหวัดน่าน กล่าวถึงความพร้อมของจังหวัดน่านในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สินค้าจากน่านมีเอกลักษณ์และสะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น เครื่องเงินที่มีเนื้อเงินบริสุทธิ์ 92.5% ขึ้นไป และผ้าทอลายน้ำไหลที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด รวมถึงผ้าลายใหม่ ๆ ที่ทันสมัย

จังหวัดน่านยังมีสินค้าที่โดดเด่น เช่น เกลือภูเขา ซึ่งเป็นสินค้าจีไอที่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้ กาแฟจากน่านก็ได้รับรางวัลชนะเลิศหลายรางวัล และสินค้าจากการเกษตรแปรรูปอย่างมะไฟจีนก็กำลังจะยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นจีไอ

ทางจังหวัดยังส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรในโครงการ “อะโกรว์” ที่รวมผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูปไว้ในที่เดียว ผู้บริโภคสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อเลือกซื้อสินค้าได้ผ่านช่องทางออนไลน์

พร้อมรับนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว

นายภาคภูมิ ผลพิสิษฐ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย กล่าวขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมแถลงข่าวและกล่าวถึงสถานการณ์หลังน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย ซึ่งตอนนี้การฟื้นฟูดำเนินไปเกือบสมบูรณ์แล้ว แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ การจัดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยโครงการนี้ถือว่ามาในเวลาที่เหมาะสม ช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจของ 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

นายภาคภูมิกล่าวว่าการจัดโครงการนี้ไม่เพียงแต่รอรับนักท่องเที่ยว แต่ยังเป็นการทำตลาดเชิงรุก เพื่อให้สินค้าของจังหวัดเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคใต้และกรุงเทพฯ ซึ่งทางหอการค้าก็พร้อมประสานกับหอการค้าในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาด

นอกจากนี้ ยังได้ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนในการกระจายข่าวว่าเชียงรายพร้อมรับนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว และเตรียมงานใหญ่ที่อำเภอแม่สายในวันที่ 1-5 ธันวาคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง

สรุปสาระสำคัญ

การจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและผู้บริโภคว่าจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือพร้อมกลับมาให้บริการด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ตรวจสอบศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน ใช้พื้นที่ป่าสงวนเกินขอบเขตหรือไม่

การตรวจสอบพื้นที่ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน: มีการรุกล้ำป่าสงวนหรือไม่?

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 เจ้าหน้าที่จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดอยตุง ตำบลห้วยสัก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย การตรวจสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อตรวจสอบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการบุกรุกเกินกว่าเขตที่ได้รับอนุญาตหรือไม่ โดยการตรวจสอบคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน

การตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียด

ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) นายประสิทธิ์ ท่าช้าง พร้อมด้วยสารวัตรจากกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ต.ท.ยศวัฒน์ เอกกุล ได้นำเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เดินสำรวจหลักหมุดแนวเขตและทำการรังวัดที่ดิน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับแผนที่การขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้พื้นที่อยู่ในขอบเขตที่ได้รับอนุญาตหรือไม่

การขอใช้พื้นที่ของศูนย์วิปัสสนา

ศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวันได้ขออนุญาตใช้พื้นที่รวมทั้งสิ้น 143 ไร่ โดยแบ่งออกเป็น 3 แปลง ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติดอยตุง ซึ่งได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบว่าการใช้พื้นที่นี้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและระเบียบหรือไม่ และยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างเป็นธรรม

กระแสข่าวเรื่องการบุกรุกพื้นที่เกินขอบเขต

ในขณะเดียวกัน มีรายงานว่าพื้นที่การใช้จริงอาจเกินจากที่ได้รับอนุญาตเป็นจำนวน 190 ไร่ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียด หากพบว่ามีการบุกรุกเกินกว่าแนวเขต ผู้เกี่ยวข้องจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่หากไม่มีการรุกล้ำ ถือว่าเป็นการใช้พื้นที่ตามที่ขออนุญาต

เจ้าคณะจังหวัดเชียงรายยืนยันการตรวจสอบ

จากกรณีนี้ เจ้าคณะจังหวัดเชียงรายเผยว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อพระ ว.วชิรเมธี เจ้าอาวาสวัดได้ เนื่องจากท่านอยู่ในศาสนกิจต่างประเทศ ดังนั้นการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจึงยังไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรอให้ท่านกลับมาเพื่อตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้พื้นที่

ความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีที่เกี่ยวข้องกับพระ ว.วชิรเมธี

นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่พระ ว.วชิรเมธี ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโฆษณาให้กับบริษัท “ดิไอคอนกรุ๊ป” โดยมีการเผยแพร่คลิปเสียงในสื่อโซเชียล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพุทธศาสนา คณะสงฆ์เชียงรายกำลังติดตามข้อมูลและรอการสอบถามข้อเท็จจริงจากท่าน

การตรวจสอบศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวันจะดำเนินการต่อไปจนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะใช้เวลาอีก 3-4 วันเพื่อตรวจสอบแนวเขตและรายงานผลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

สำรวจความคิดเห็นการท่องเที่ยวไทยปี 67 ประชาชนพอใจนโยบายรัฐ

 

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 นายสานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลในปี 2567 โดยผลสำรวจดังกล่าวได้เก็บข้อมูลจากประชาชน 1,500 รายทั่วประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว

ความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการท่องเที่ยวของรัฐบาล

จากผลสำรวจพบว่าประชาชนพอใจต่อการบริหารจัดการท่องเที่ยวของรัฐบาลปัจจุบันถึง 61.2% โดยแบ่งเป็นพอใจมาก 32.5% และพอใจในระดับปานกลาง 28.7% ขณะที่มีประชาชนที่พอใจในระดับกลาง 20.4% ไม่พอใจ 12.3% และไม่พอใจอย่างมาก 6.1%

เปรียบเทียบการท่องเที่ยวในปี 2567 กับปีก่อน

เมื่อเปรียบเทียบกับการบริหารจัดการท่องเที่ยวของปีที่ผ่านมา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 55.7% เห็นว่าการท่องเที่ยวไทยในปี 2567 ดีขึ้น ส่วนอีก 22.8% เห็นว่าเหมือนเดิม และ 21.5% คิดว่าแย่ลง

การมีส่วนช่วยของการท่องเที่ยวต่อเศรษฐกิจไทย

จากการสอบถามถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่มีต่อเศรษฐกิจไทย พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าภาคการท่องเที่ยวมีส่วนช่วยเศรษฐกิจมากที่สุดในระดับมากถึง 35.4% รองลงมาคือระดับมาก 27.8% ระดับปานกลาง 18.3% ระดับน้อย 12.6% และระดับน้อยที่สุด 5.9%

มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นประโยชน์

ในส่วนของมาตรการที่ประชาชนเห็นว่ามีประโยชน์ต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สุด ได้แก่ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยและการทำประกันนักท่องเที่ยววงเงิน 1 ล้านบาท 27.3% ตามมาด้วยการส่งเสริมการจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวตลอดทั้งปี 16.8% และการเร่งพัฒนาสินค้าและบริการด้านท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน 12.1%

โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม

เมื่อสอบถามถึงโครงการที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในปี 2567 พบว่าโครงการ “Amazing Thailand 365 วัน มหัศจรรย์เมืองน่าเที่ยว” ได้รับความนิยมมากที่สุดที่ 22.7% ตามมาด้วยมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง 16.3% และโครงการการทำตลาดท่องเที่ยวผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 10.7%

ผลกระทบเชิงบวกต่อผู้ประกอบการโรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยว

จากการสอบถามผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เห็นว่านโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาลมีส่วนช่วยฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19

การสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกของประชาชนและผู้ประกอบการต่อมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล และการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านภาคการท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

สถิตินักท่องเที่ยวเชียงรายพุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี รายได้ทะลุ 46,000 ล้าน

สถิติการท่องเที่ยวเชียงรายในช่วงปี 2562-2566

เชียงรายเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือของประเทศไทยที่มีแหล่งท่องเที่ยวมากมายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ในช่วงระหว่างปี 2562 ถึง 2566 เชียงรายมีความเปลี่ยนแปลงด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างมาก จากรายงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) พบว่าสถิติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวและการเติบโตที่น่าสนใจ

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รายงานการเปรียบเทียบสถิติการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายในช่วงปี 2562 ถึง 2566 โดยการสำรวจครอบคลุมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวในแต่ละปี ซึ่งแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัด

สถิติการท่องเที่ยวในปี 2562

ในปี 2562 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังจังหวัดเชียงรายรวมทั้งสิ้น 3,729,148 คน โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 3,091,201 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 637,947 คน รายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้รวมอยู่ที่ 29,292.00 ล้านบาท โดยที่นักท่องเที่ยวชาวไทยสร้างรายได้จำนวน 22,474.22 ล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินำรายได้เข้าจังหวัด 6,817.49 ล้านบาท

สถิติการท่องเที่ยวในปี 2563

ปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มส่งผลกระทบอย่างมาก การท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก จำนวนนักท่องเที่ยวรวมลดลงเหลือ 2,173,683 คน โดยมีนักท่องเที่ยวชาวไทย 2,059,088 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 114,595 คน รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงเหลือ 14,950 ล้านบาท แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยสร้างรายได้ 13,968.15 ล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพียง 981.4 ล้านบาท

สถิติการท่องเที่ยวในปี 2564

ในปี 2564 จำนวนผู้มาเยือนจังหวัดเชียงรายลดลงถึงระดับต่ำสุดที่ 1,389,418 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 1,382,407 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 7,011 คน รายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 7,948.17 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีที่มีรายได้น้อยที่สุดในช่วงเปรียบเทียบ โดยรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 7,898.12 ล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 50.05 ล้านบาท

การฟื้นฟูในปี 2565

ปี 2565 มีการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 5,086,460 คน โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 4,796,289 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 290,171 คน รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 34,338.14 ล้านบาท แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยสร้างรายได้ 31,647.89 ล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2,690.25 ล้านบาท

สถิติการท่องเที่ยวในปี 2566

ปี 2566 เป็นปีที่จังหวัดเชียงรายมีจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวรวมถึง 6,147,860 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 5,391,039 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 756,821 คน รายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 46,773.91 ล้านบาท ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวไทยสร้างรายได้ถึง 37,680.03 ล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสร้างรายได้ 9,093.88 ล้านบาท

สรุป

จากการเปรียบเทียบสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ระหว่างปี 2562 ถึง 2566 พบว่าปี 2566 เป็นปีที่จังหวัดมีจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 6,147,860 คน และรายได้จากการท่องเที่ยวสูงกว่า 46,773.91 ล้านบาท ขณะเดียวกันปี 2564 ถือเป็นปีที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ต่ำสุด โดยมีนักท่องเที่ยวเพียง 1,389,418 คน และรายได้รวม 7,948.17 ล้านบาท

ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
จัดทำโดย: ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ช่วยเหลือหลังน้ำท่วมเชียงรายฟื้นฟูพื้นที่สำเร็จเกือบ 100%

การตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจกำลังพลช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมในเชียงราย

วันที่เกิดเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่เชียงราย

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2567, ศอ.จอส.พระราชทาน ภาค 3/บก.ควบคุมบริหารสถานการณ์ (จังหวัดเชียงราย) ได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัยในชุมชนไม้ลุงขน ซอยอีก้อ อ.แม่สาย โดยมี พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้อำนวยการ ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37/ผบ.ศบภ.มทบ.37 เดินทางลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

สถานการณ์การฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

สำหรับแนวทางการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยนั้น เน้นไปที่การทำความสะอาดถนนและอาคารบ้านเรือนของประชาชนเป็นหลัก โดยมีการแบ่งการดำเนินงานออกเป็นหลายพื้นที่สำคัญที่ได้รับผลกระทบ

พื้นที่ในเขตเทศบาลนครเชียงราย

ในเขตเทศบาลนครเชียงราย ประชาชนได้รับผลกระทบจำนวน 82 ครัวเรือน ซึ่งจนถึงปัจจุบันดำเนินการฟื้นฟูไปแล้ว 72 ครัวเรือน คิดเป็น 87.8% และยังคงดำเนินการต่อไปจนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์

พื้นที่นอกเขตเทศบาลนครเชียงราย

สำหรับพื้นที่นอกเขตเทศบาลนครเชียงราย มีประชาชนได้รับผลกระทบจำนวน 1,285 ครัวเรือน โดยการฟื้นฟูได้ดำเนินการแล้วเสร็จครบทุกครัวเรือน ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม

ความคืบหน้าการฟื้นฟูในอำเภอแม่สาย

ในเขตพื้นที่อำเภอแม่สายได้แบ่งการทำงานออกเป็น 7 โซน ปัจจุบันมีพื้นที่ 4 โซนที่ดำเนินการล้างทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชนแล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ แต่ยังคงเหลืออีก 3 โซนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยรวมแล้วการฟื้นฟูพื้นที่ในอำเภอแม่สายสำเร็จแล้วกว่า 97% มีบ้านเรือนที่ฟื้นฟูแล้วจำนวน 796 ครัวเรือน จากจำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 819 ครัวเรือน

การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ Quick Win

ถึงแม้ว่าการดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยตามแผนปฏิบัติการ (Quick Win) จะคืบหน้าไปแล้วเกือบ 100% แต่เจ้าหน้าที่จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ยังคงปฏิบัติภารกิจบรรเทาความเดือดร้อนและทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

การให้ความช่วยเหลือจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ที่เกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เชียงราย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้เร่งดำเนินการส่งเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลสาธารณภัยลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

การล้างทำความสะอาดพื้นที่และบ้านเรือน

ภารกิจหลักของเจ้าหน้าที่ ปภ. คือการล้างทำความสะอาดพื้นที่และบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ซึ่งปฏิบัติการนี้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์

ความสำคัญของการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด

การฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ชาวบ้านกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยการทำความสะอาดบ้านเรือน ถนน และสิ่งสาธารณูปโภคถือเป็นขั้นตอนแรกที่จำเป็นต้องทำทันทีหลังน้ำลด

แนวทางการทำงานในอนาคต

จากการตรวจเยี่ยมพื้นที่ของ พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ได้มีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การมีส่วนร่วมของชุมชน

ชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัยยังคงได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐและเอกชนในการฟื้นฟูพื้นที่บ้านเรือนของตนเอง ทั้งนี้การมีส่วนร่วมของชุมชนถือเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สรุป

การฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการไปอย่างราบรื่นและใกล้เสร็จสิ้นแล้ว การทำงานของเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นว่า ชาวบ้านจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ในเร็ววัน อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานจะยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติอย่างสมบูรณ์

FAQs

  1. สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายรุนแรงแค่ไหน?
    น้ำท่วมในเชียงรายส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่โดยเฉพาะในอำเภอแม่สายและเขตเทศบาลนครเชียงราย ประชาชนหลายครัวเรือนต้องรับการช่วยเหลือในการฟื้นฟูบ้านเรือน

  2. ใครเป็นผู้ดูแลการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย?
    กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานทหารร่วมกันดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

  3. การฟื้นฟูพื้นที่อุทกภัยเสร็จสิ้นหรือยัง?
    การฟื้นฟูใกล้จะเสร็จสิ้นแล้วกว่า 97% ในหลายพื้นที่ คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้า

  4. ชาวบ้านได้รับการช่วยเหลืออะไรบ้าง?
    ชาวบ้านได้รับการช่วยเหลือในด้านการทำความสะอาดบ้านเรือนและถนน รวมถึงการจัดหาเครื่องใช้จำเป็น

  5. เจ้าหน้าที่จะทำงานต่อไปอีกนานแค่ไหน?
    เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติและบ้านเรือนของประชาชนฟื้นฟูเสร็จสมบูรณ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทุ่มงบ 12,000 ล้านบาท ให้เชียงราย ใช้ 5 ปี เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงลุ่มแม่น้ำโขง

ทุ่มงบ 12,000 ล้านบาท ให้เชียงราย ใช้ 5 ปี เป็นศุนย์กลางเชื่อมโยงลุ่มแม่น้ำโขง

การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ: เน้นจังหวัดเชียงรายและงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุน

ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ : NEC

ประเทศไทยกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการ ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเข้าสู่สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง การลงทุนหดตัว การส่งออกลดลง ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบรุนแรง นักท่องเที่ยวลดลง ธุรกิจต้องปิดกิจการเป็นจำนวนมาก เกิดวิกฤตการว่างงาน ปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาในระบบเศรษฐกิจถดถอย

จากสถานการณ์ดังกล่าว ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และระดับประเทศ โดยการนำแนวคิด BCG Model มาใช้เป็นกรอบการพัฒนา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักคือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว สอดรับกับกระแสความยั่งยืนของการพัฒนาเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน

โดยภาคเหนือ (NEC) เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยโมเดล BCG ด้วยจุดเด่นด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว ทรัพยากรชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่น การพัฒนา NEC ด้วยโมเดล BCG จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน จึงมีแนวคิดในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC – Creative LANNA) ต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม ซึ่งประกอบไปด้วย 4 จังหวัด ขับเคลื่อนด้วย 4 อุตสาหกรรมหลัก ดังนี้

  1. จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ ของภาคเหนือ
  2. จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีพื้นที่ที่ติดกับชายแดน ทำให้มีจุดเด่นด้านการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน
  3. จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมส่งออก และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
  4. จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงของการขนส่งระหว่างภาคกลางและภาคเหนือ

การพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ: โอกาสใหม่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเข้าสู่สังคมสูงวัย หรือการระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ อย่างไรก็ตาม การพัฒนา ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC) ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถกลับมาเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

วิสัยทัศน์ของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ

การพัฒนา NEC มีเป้าหมายหลักในการยกระดับเศรษฐกิจภาคเหนือผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและภูมิปัญญาชาวบ้านในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน

การยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

ภาคเหนือมีจุดเด่นด้าน อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรมล้านนา การพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะช่วยยกระดับมูลค่าสินค้าและบริการในพื้นที่ รวมถึงเชื่อมโยงความเป็นล้านนากับสื่อดิจิทัล นอกจากนี้ NEC ยังมีการผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการผลิตสร้างสรรค์ผ่านการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล

การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร

อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจภาคเหนือ NEC มีแผนที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้มีความยั่งยืนมากขึ้นผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงการสนับสนุนการเกษตรแบบยั่งยืนและเกษตรอัจฉริยะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในระดับโลก

การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสุขภาพ

ภาคเหนือมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวและสุขภาพที่สูง ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงามและเงียบสงบ NEC ได้วางแผนที่จะยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้มีมาตรฐานระดับโลก โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการการดูแลสุขภาพ

การยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัล

NEC มีการส่งเสริม อุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะในด้านการผลิตสื่อสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวอัจฉริยะ ภาคเหนือถูกวางให้เป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลที่จะดึงดูด Digital Nomads จากทั่วโลก อีกทั้งยังมีการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรและการท่องเที่ยว

เชียงราย: ประตูสู่ความเจริญทางเศรษฐกิจภาคเหนือ

จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดหลักที่ถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC) ที่มีการพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อยกระดับศักยภาพด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคผ่าน 4 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดเชียงรายได้รับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับโครงการสำคัญในพื้นที่

โครงการสำคัญในจังหวัดเชียงราย

หนึ่งในโครงการหลักที่ได้รับการผลักดันในจังหวัดเชียงรายคือโครงการ “Gateway to LMC (Lancang-Mekong Cooperation)” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกในกลุ่ม LMC โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการค้า การขนส่ง และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

การสนับสนุนงบประมาณในจังหวัดเชียงราย

จากข้อมูลที่ได้รับมา จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรงบประมาณผ่านกองทุนวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ NEC โดยงบประมาณเหล่านี้ถูกใช้ในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก โครงสร้างพื้นฐาน และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบ BCG Model

ประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

การพัฒนาจังหวัดเชียงรายภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และสร้างงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ

การบริหารจัดการในพื้นที่

การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือในจังหวัดเชียงราย ดำเนินการผ่านการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานในคณะทำงาน และใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมของหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งจะช่วยผลักดันการพัฒนาให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้

สรุป

โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ โดยเน้นจังหวัดเชียงราย เป็นโครงการที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการสนับสนุนงบประมาณและการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลก เชียงรายจึงเป็นพื้นที่ที่ควรจับตามองในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย

 

การพัฒนา ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) เป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจผ่านการใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เกษตรและอาหาร ดิจิทัล และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งจะไม่เพียงแต่ช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ศูนย์ซ่อมอากาศยานเชียงราย สร้างงานและเสริมเศรษฐกิจภาคเหนือ ครบวงจร

โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานสนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย: โอกาสใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจภาคเหนือ

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567 นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ได้เปิดเผยถึงโครงการสำคัญในพื้นที่จังหวัดเชียงราย คือโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO – Maintenance, Repair, and Overhaul) ซึ่งเป็นโครงการร่วมกันระหว่างเชียงรายเอเวชั่นโฮลดิ้ง (CAH) และผู้ผลิตอากาศยานอันดับหนึ่งของจีน คือ AVIC (Aviation Industry Corporation of China) ปัจจุบัน AVIC อยู่ในอันดับที่สามของโลกในอุตสาหกรรมการบิน โดยโครงการนี้ตั้งเป้าหมายเป็นแหล่งซ่อมบำรุงอากาศยานที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียและสร้างงานกว่า 400 อัตราให้กับคนในพื้นที่

รับฟังความคิดเห็นประชาชนชาวเชียงราย

ซึ่งในวันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2567 เวลา 08.30 – 12.00 น. ทางโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) จะมีการให้ประชาชนชาวเชียงรายเข้ามาร่วมรับฟังความคิดเห็น ครั้งที่ 2 รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ ในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จัดที่อาคารอเนทประสงค์ วัดป่าหวายขุมเงิน หมู่ที่ 15 บ้านป่ากุ๊ก ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำหรับโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย สำหรับความคืบหน้าของโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายมีดังนี้ 

  1. แบบการก่อสร้างได้รับการรับรองจากสำนักงานการบินพบเรือนแห่งประเทศไทย “เรียบร้อย”
  2. พื้นที่ก่อสร้างได้รับการถมและบดอัด “เรียบร้อย” ดูจาก Google map จะเห็นพื้นที่สีขาวขนาดใหญ่ด้านทิศเหนือของท่าอากาศยาน
  3. รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมได้ตั้งคณะกรรมการกำกับโครงการ PPP ศูนย์ซ่อมอากาศยานที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย “เรียบร้อย”ในปี 2567

ที่ผ่านมานี้ และ การดำเนินการต่อไปก็คือ “การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ”ซึ่งจะทำประชาพิจารณ์ในวันที่ 22 ตุลาคมนี้“

 

เป้าหมายของโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน

นาวาอากาศตรีสมชนกกล่าวว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเหนือ โดยเฉพาะการสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานที่มีความสามารถในการรับซ่อมเครื่องบินทุกขนาดจากหลากหลายสายการบินทั่วโลก ซึ่งนอกจากจะเป็นโอกาสในการสร้างงานแล้ว ยังจะช่วยเสริมศักยภาพการขนส่งทางอากาศและการเติบโตของธุรกิจการบินในประเทศไทย

โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานนี้จะตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 80 ไร่ในบริเวณทางทิศเหนือของสนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย โดยมีการวางแผนก่อสร้างอาคารซ่อมบำรุงเครื่องบินขนาดใหญ่, อาคารสำนักงาน, ศูนย์ฝึกอบรมช่างซ่อมบำรุง และอาคารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ รวมถึงยังมีการสร้างโรงเก็บเครื่องบิน (Hangar) ที่สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ได้ เช่น โบอิ้ง 737 และแอร์บัส A320 ซึ่งเครื่องบินทั้งสองรุ่นนี้ถือเป็นเครื่องบินโดยสารหลักที่ใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การสร้างงานและเสริมศักยภาพช่างซ่อมบำรุง

การสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในครั้งนี้คาดว่าจะสร้างงานในด้านเทคนิค เช่น ช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน, ช่างไฟฟ้า และเจ้าหน้าที่แผนกวิศวกรรม รวมถึงตำแหน่งในด้านการวางแผนการซ่อมบำรุง คาดว่าจำนวนแรงงานที่ต้องการในขั้นต้นจะอยู่ที่ 400 คน โดยทางบริษัทเชียงรายเอเวชั่นโฮลดิ้งได้เตรียมโครงการฝึกอบรมช่างซ่อมบำรุงรุ่นใหม่ที่สามารถปฏิบัติงานในศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานแห่งนี้ได้ โดยผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรและใบอนุญาตที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและสากล

นอกจากนี้ การสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการซ่อมบำรุงเครื่องบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้กับช่างซ่อมบำรุงที่จบการศึกษาใหม่และผู้ที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพให้ได้มีโอกาสพัฒนาทักษะและประสบการณ์ในสาขางานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน

ศูนย์ซ่อมอากาศยานที่เกิดขึ้นจึงเป็นที่สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง

โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ

จะเป็นแหล่งผลิตทรัพยากรบุคคลในส่วนของช่างซ่อมบำรุงอากาศยานเพราะตามมาตรฐานการบินแล้ว ช่างซ่อมบำรุงอากาศยานจะต้องมีสถานที่ในการปฏิบัติงานเพื่อเก็บประสบการณ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสอบ License ช่างซ่อมบำรุงอากาศยานเพราะตามมาตรฐาน ICAO ที่กำหนดใน Annex 1 คนที่จะสอบใบอนุญาตช่างซ่อมบำรุงอากาศยานได้ต้อง

  1. จบหลักสูตรที่ CAA ของรัฐรับรองและทำงานเก็บประสบการณ์ 2 ปีจึงจะสอบบอนุญาตช่างซ่อมบำรุงอากาศยานได้
  2. ถ้าไม่จบหลักสูตรที่ CAA รัฐรับรอง ต้องทำงานเก็บประสบการณ์ 2 ปีจึงจะสอบบอนุญาตช่างซ่อมบำรุงอากาศยานได้

จากมาตรฐานจึงเห็นว่า ศูนย์ซ่อมอากาศยานจึงสำคัญมากในการพัฒนา สร้างบุคลากรด้านช่างซ่อมบำรุงอากาศยาน ขณะที่ EASA ที่ทางไทยเดินตามก็จะมีรายละเอียดที่มากกว่าและไปในแนวเดียวกันคือ จบหลักสูตรที่ CAAT รับรองและต้องผ่านการทำงานเก็บประสบการณ์

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและการพัฒนาเมืองอากาศยาน (Aerotropolis)

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเมืองเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางอากาศยาน (Aerotropolis) ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ โดยศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานจะเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ผลิตอะไหล่เครื่องบิน, บริษัทโลจิสติกส์ และบริษัทบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากจะเสริมสร้างศักยภาพในการขนส่งอากาศของไทยแล้ว ยังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและภูมิภาคโดยรอบ

นอกจากนี้ การที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงรายตั้งอยู่ใกล้กับจีน ทำให้การขนส่งสินค้าและบริการระหว่างประเทศเป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) เช่น จีนตอนใต้, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระดับภูมิภาค

ข้อสรุป

โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ไม่เพียงแต่สร้างงานและเพิ่มศักยภาพให้กับแรงงานในพื้นที่ แต่ยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โครงการนี้ยังคาดว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจเชิงบวกในระยะยาว โดยเฉพาะการพัฒนาเมืองเชียงรายให้กลายเป็นเมืองอากาศยานที่มีบทบาทสำคัญในภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ กทม.สนับสนุนรถดูดโคลนเพิ่ม ช่วยน้ำท่วมแม่สาย

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเยี่ยมเยือนผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่อำเภอแม่สาย จ.เชียงราย พร้อมสนับสนุนรถดูดโคลนเพิ่ม

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จ.เชียงราย เพื่อเยี่ยมเยือนและให้กำลังใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมทั้งสนับสนุนรถดูดโคลนเพิ่มอีกสองคัน เพื่อเร่งการฟื้นฟูและทำความสะอาดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

การเยี่ยมเยือนครั้งนี้ นายชัชชาติได้มาถึงพื้นที่แม่สายโดยมีนายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย เป็นผู้ต้อนรับ ณ โรงเรียนชุมชนบ้านไม้ลุงขนมิตรภาพที่ 169 ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมหนัก เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ปัจจุบันโรงเรียนได้ฟื้นฟูสภาพแล้วกว่า 90% หลังจากได้รับการสนับสนุนจากกรมการทหารช่าง กรมทางหลวง หน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร จิตอาสา และส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำให้โรงเรียนสามารถจัดการทำความสะอาดครั้งใหญ่ในวันที่ 21 ต.ค. 2567 ได้เป็นที่เรียบร้อย

นายชัชชาติได้กล่าวในงานเยี่ยมเยือนว่า “รู้สึกดีใจมากที่ได้มาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชนชาวเชียงราย เราเห็นถึงความร่วมมือร่วมใจกันของหน่วยงานต่างๆ กทม. รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ช่วยเหลือและร่วมงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ชาวเชียงรายได้กลับมาสู่สภาวะปกติโดยเร็ว”

นอกจากนี้ นายชัชชาติ ยังได้ลงตรวจการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครที่เข้ามาดูดโคลนในพื้นที่ชุมชนบ้านไม้ลุงขนมิตรภาพ โดยในครั้งนี้ กทม. ได้สนับสนุนรถดูดโคลนเพิ่มเป็นจำนวนสองคัน รวมเป็นทั้งหมดหกคัน เพื่อให้การทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในภารกิจนี้ เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการเคลียร์เศษวัสดุและดินโคลนในท่อระบายน้ำ รวมถึงบนผิวถนนในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย

การสนับสนุนเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูโรงเรียนและชุมชน

หลังจากการเยี่ยมเยือนครั้งนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 จะเข้ามาสนับสนุนเงินทุนฟื้นฟูโรงเรียนเพิ่มอีกสองแสนบาท พร้อมมอบชุดการเรียนการสอนให้กับโรงเรียนชุมชนบ้านไม้ลุงขนมิตรภาพ เพื่อให้โรงเรียนมีความพร้อมในการเปิดการเรียนการสอนในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่จะถึงนี้

นายชัชชาติได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูโรงเรียนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมว่า “โรงเรียนชุมชนบ้านไม้ลุงขนมิตรภาพกำลังจะเปิดเทอมในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เราหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นและสามารถเปิดเทอมสำเร็จได้ตามกำหนด”

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปฏิบัติการช่วยเหลือจากกรุงเทพมหานคร

เป็นเวลานับ 30 วันแล้ว ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน ถึงวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ที่กรุงเทพมหานครได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบภัยจังหวัดเชียงราย โดยทีมงานได้เดินทางไปสมทบกับชุดช่วยเหลือแรกที่ออกจากกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2567 เจ้าหน้าที่พร้อมยานพาหนะและเครื่องจักรกลที่ร่วมปฏิบัติการ ได้แก่ รถดูดเลน/โคลน 6 คัน รถตักหน้าขุดหลัง รถบรรทุก 10 ล้อที่ติดตั้งเครน รถเทรลเลอร์ 10 ล้อ รถกระบะเทท้าย รถโมบายยูนิต รถบรรทุกน้ำ รถซ่อมเคลื่อนที่ และรถกู้ซ่อมไฟแสงสว่าง

ภารกิจสำคัญของทีมช่วยเหลือจากกรุงเทพมหานครคือการเคลียร์เศษวัสดุ ดินโคลนในท่อระบายน้ำ และบนผิวถนนในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย โดยในช่วงวันที่ 11-16 ต.ค. 2567 ทีมงานสามารถดูดดินโคลนได้จำนวน 4,074 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งรวมถึงพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย 3,402 ลูกบาศก์เมตร และอำเภอแม่สาย 672 ลูกบาศก์เมตร

นายชัชชาติยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามีเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครกว่า 80 คนที่พร้อมทำงานร่วมกับเทศบาลตำบลแม่สาย เพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงและประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติในเวลาอันรวดเร็ว”

การสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ

การสนับสนุนจากกรมการทหารช่าง กรมทางหลวง หน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร และจิตอาสา ได้ช่วยให้สถานการณ์ในพื้นที่ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ทำให้โรงเรียนและชุมชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ อีกทั้งยังมีการสนับสนุนเงินทุนและอุปกรณ์การเรียนการสอนเพิ่มเติมจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 เพื่อให้การเปิดเทอมในเดือนพฤศจิกายนเป็นไปอย่างราบรื่น

บทสรุป

การเยี่ยมเยือนครั้งนี้ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและการสนับสนุนจากกรุงเทพมหานครในการช่วยเหลือและฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย การสนับสนุนทั้งทางด้านทรัพยากรมนุษย์และอุปกรณ์เครื่องมือ ทำให้การฟื้นฟูพื้นที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การสนับสนุนทางการเงินและการจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนการสอนยังช่วยให้โรงเรียนชุมชนสามารถเปิดการเรียนการสอนได้ตามกำหนด ส่งผลให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น

การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ไม่เพียงแต่ช่วยให้การฟื้นฟูพื้นที่เป็นไปอย่างมีระบบ แต่ยังสร้างความหวังและกำลังใจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอีกด้วย เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินและการฟื้นฟูสังคมหลังวิกฤตภัยธรรมชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

‘ดร.สืบสกุล’ ชวนฟื้นฟูจิตใจหลังน้ำท่วม “มหาอุทกภัยเชียงราย 2567

เชียงรายจัดนิทรรศการศิลปะสะท้อนเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ 2567

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ศิลปินจากจังหวัดเชียงรายและศิลปินจากทั่วประเทศจะร่วมกันจัดนิทรรศการศิลปะชื่อว่า “มหาอุทกภัยเชียงราย 2567 (Chiangrai Disaster Archives 2024)” เพื่อสะท้อนภาพเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เชียงรายผ่านผลงานศิลปะหลากหลายประเภท

งานนิทรรศการที่จัดโดย ศิลปินแห่งชาติ ชลามชัย โฆษิตพิพัฒน์ จะเปิดเผยผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพถ่าย วิดีโออาร์ต และอินสตอลเลชัน มากกว่า 100 ชิ้น จากศิลปินทั้งภายในจังหวัดเชียงรายและจากต่างจังหวัดทั่วประเทศ

รายละเอียดงานนิทรรศการ

นิทรรศการ “มหาอุทกภัยเชียงราย 2567” จะจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2567 โดยมีการเปิดงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 ตุลาคม 2567

งานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการจัดแสดงผลงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นการจดบันทึกเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่เชียงรายผ่านมุมมองของประชาชนและศิลปิน ทำให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับความรู้สึกและประสบการณ์จากเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านงานศิลปะที่สร้างสรรค์

สัมภาษณ์พิเศษจาก ดร. สืบสกุล กิจนุกูล

ดร. สืบสกุล กิจนุกูล อาจารย์สำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์เกี่ยวกับโครงการศิลปะนี้ ว่า:

“น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเชียงรายไม่เพียงแต่ทำลายทรัพย์สินและบ้านเรือนเท่านั้น แต่ยังสร้างขยะน้ำท่วมจำนวนมหาศาลภายในตัวเมือง โดยมีการประเมินขยะที่เกิดขึ้นประมาณ 50,000 ตัน ซึ่งขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตาที่คนใช้เป็นที่ระลึกหรือของเล่นที่กลายเป็นขยะหลังน้ำท่วม”

ดร.สืบสกุลกล่าวต่อว่า:

“ในขณะที่เราไปช่วยเก็บขยะและช่วยเหลือทางบ้าน เราได้นำตุ๊กตาที่ถูกทิ้งมาใช้ในโครงการนี้ โดยนำมาตกแต่งและฟื้นฟูให้กลับมาเป็นศิลปะ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการฟื้นฟูจิตใจของผู้คนหลังน้ำท่วม เราต้องการให้ตุ๊กตาเหล่านี้เป็นตัวแทนในการส่งต่อความรักและความทรงจำของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม”

เป้าหมายของโครงการศิลปะ

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างพื้นที่ในการเยียวยาจิตใจและฟื้นฟูความหวังของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยการนำสิ่งของที่กลายเป็นขยะกลับมาสร้างสรรค์ใหม่เป็นงานศิลปะที่มีความหมายและคุณค่า นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของศิลปินและประชาชนในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงประสบการณ์และความรู้สึกในช่วงวิกฤต

ดร.สืบสกุลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า:

“เราต้องการให้ตุ๊กตาเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงบันดาลใจและความหวังให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เราหวังว่าผู้ที่เป็นเจ้าของตุ๊กตาเหล่านี้จะกลับมารับของที่พวกเขาเคยรัก และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการฟื้นฟูนี้”

กิจกรรมพิเศษภายในนิทรรศการ

ในงานนิทรรศการจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชม เช่น การจัดเวิร์กช็อปศิลปะ การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการฟื้นฟูชุมชนหลังน้ำท่วม และการแสดงผลงานศิลปะสดจากศิลปินที่เข้าร่วมงาน

นอกจากนี้ยังมีการจัดจำหน่ายสินค้าพิเศษ เช่น เสื้อยืดที่ออกแบบด้วยตุ๊กตาที่ถูกฟื้นฟูจากขยะน้ำท่วม ซึ่งเป็นที่ระลึกให้กับผู้ที่มาร่วมงานและสนับสนุนโครงการนี้

สรุป

นิทรรศการ “มหาอุทกภัยเชียงราย 2567” เป็นโอกาสที่ดีในการร่วมกันระลึกถึงเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเชียงรายผ่านมุมมองของศิลปะ และเป็นพื้นที่ในการเยียวยาจิตใจและสร้างความหวังใหม่ให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โครงการนี้ยังเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของศิลปินและประชาชนในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าและความหมาย

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมชมงานได้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) ตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. 2567 ถึงวันที่ 20 ธ.ค. 2567 และสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางช่องทางต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM)
ที่อยู่: https://maps.app.goo.gl/cszwdfWMKmgEqvBQ7
โทรศัพท์: 0884185431
เปิด อังคาร – อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) เวลา 09.00 น. – 17.00 น.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เตรียม Kick Off เปิดเมืองเชียงราย 26 ต.ค. 67 กระตุ้นการท่องเที่ยว

รองผู้ว่าราชการเชียงรายวางแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวส่งเสริมเศรษฐกิจจังหวัด

การประชุมวางแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ณ ห้องประชุมพวงแสด ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยว รวมถึงการประชาสัมพันธ์และการตลาด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย การประชุมมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

แนวทางการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการนำเสนอแนวทางการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว โดยเน้นการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย รวมถึงปฏิทินกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีที่จัดโดยหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เห็นภาพรวมของการพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายอย่างชัดเจน

การฟื้นฟูการท่องเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการ

ในช่วงแรกของแผนการฟื้นฟู จะมุ่งเน้นที่การเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่ และช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การดำเนินการนี้จะควบคู่กับการสร้างการรับรู้และสร้างภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวให้กลับคืนมาอีกครั้ง เพื่อให้ผู้มาเยือนเกิดความเชื่อมั่นและกระตุ้นการเดินทางมายังจังหวัดเชียงรายในช่วงปลายปีนี้

กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวประจำปี

ตัวอย่างกิจกรรมที่วางแผนไว้ เช่น ททท.สำนักงานเชียงรายกำหนดจัดกิจกรรมเปิดการท่องเที่ยวภาคเหนือ “เหนือ..พร้อมเที่ยว” ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ณ จังหวัดเชียงราย โดยจะมีพิธีสืบชะตาหลวงล้านนาเพื่อเสริมสิริมงคลแก่เมืองเชียงราย มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศเข้าร่วมพิธีจำนวน 300 คน นอกจากนี้ยังร่วมกับสายการบิน Thai Air Asia นำคณะสื่อมวลชน บล็อกเกอร์ และ KOL จากกรุงเทพฯ มาเดินทางจัดทำคอนเทนต์การท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย

กิจกรรม Kick Off เปิดเมืองเชียงราย

เทศบาลนครเชียงรายจัดกิจกรรม Kick Off เปิดเมืองในวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ณ สวนตุงและโคมเมืองเชียงราย โดยมีกิจกรรมถนนคนเดินและกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวต่อเนื่องไปจนถึงงานลอยกระทงริมคลอง การจัดกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสีสันและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเชียงรายมากยิ่งขึ้น

การประกวดติ๊กต๊อกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) จะจัดประกวดติ๊กต๊อกเพื่อสื่อสารให้จังหวัดเชียงรายมีภาพจำที่น่าท่องเที่ยว โดยมีรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ร้านอาหาร และร้านกาแฟในจังหวัดเชียงราย สำหรับการท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืน ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการโปรโมทจังหวัด

ความร่วมมือเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว การผสมผสานระหว่างการท่องเที่ยว กีฬา ผลิตภัณฑ์ชุมชน และวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น จะช่วยให้จังหวัดเชียงรายสามารถเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมตลอดทั้งปี

ในฤดูกาลท่องเที่ยวปีนี้ จังหวัดเชียงรายจะมีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยมีการจัดงานประชุม สัมมนา และกิจกรรมต่างๆ จากภาครัฐ ภาคเอกชน และท้องถิ่น เช่น เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อให้การส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเชียงราย

การฟื้นฟูการท่องเที่ยวในเชียงรายไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเมืองเชียงรายในสายตานักท่องเที่ยว การมีสภาพแวดล้อมที่สะอาดและมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ จะทำให้เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าตื่นตาตื่นใจและมีความน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวในทุกฤดูกาล

บทสรุป

การประชุมวางแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวของรองผู้ว่าราชการเชียงราย เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูและพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายอย่างยั่งยืน ด้วยการร่วมมือกันของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การจัดกิจกรรมที่หลากหลายและมีเป้าหมายชัดเจน จะช่วยให้เชียงรายกลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดและส่งเสริมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News