Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘เชียงราย’ ทดสอบเตือนภัยมือถือ Cell Broadcast ครั้งแรกไทย

เชียงรายนำร่องทดสอบระบบเตือนภัย Cell Broadcast ครั้งแรกในประเทศไทย

เชียงราย 3 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายร่วมมือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และผู้ให้บริการโทรคมนาคม จัดทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

จุดเริ่มต้นของระบบเตือนภัยแห่งอนาคต

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการทดสอบระบบ Cell Broadcast อย่างเป็นทางการ ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

การทดสอบครั้งนี้ดำเนินการโดยความร่วมมือจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.), กรมประชาสัมพันธ์ และบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ได้แก่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT), บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (AIS)

จังหวัดเชียงรายได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสี่จังหวัดที่ร่วมทดสอบระบบในครั้งนี้ ร่วมกับจังหวัดสุพรรณบุรี อุบลราชธานี และสงขลา ซึ่งดำเนินการพร้อมกันเวลา 13.00 น.

Cell Broadcast สู่ความปลอดภัยอย่างแท้จริง

การทดสอบส่งข้อความแจ้งเตือนประเภท “National Alert” จำนวน 1 ครั้ง ระยะเวลาแสดงผลบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ 10 นาที ครอบคลุมรัศมี 2 กิโลเมตรรอบศาลากลางจังหวัดเชียงราย ข้อความที่ส่งระบุว่า:

“ทดสอบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โปรดอย่าตื่นตระหนก This is a test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM). No action required.”

จากการรายงานผล พบว่าโทรศัพท์มือถือที่ใช้เครือข่าย AIS ได้รับข้อความเป็นลำดับแรก ตามมาด้วย True และ NT ตามลำดับ โดยใช้เวลาส่งไม่ถึง 1 นาที ถือว่าการทดสอบผ่านไปได้ด้วยดี

ประชาชนเชียงรายรับทราบอย่างทั่วถึง

จากการสอบถามประชาชนในชุมชนน้ำลัด และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ศาลากลางเชียงราย ทุกฝ่ายได้รับข้อความแจ้งเตือนตามที่กำหนดไว้ ประชาชนส่วนใหญ่รับทราบล่วงหน้าว่าจะมีการทดสอบ เพราะมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนอื่อตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น กลุ่มไลน์ หน่วยงานราชการ และใบปลิวที่แจกในพื้นที่ ทำให้ไม่มีความตื่นตระหนกเกิดขึ้น

ปัญหาเล็กน้อยที่ต้องปรับปรุง

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จากการทดสอบพบปัญหาบางประการ เช่น โทรศัพท์บางรุ่นไม่สามารถเก็บข้อความแจ้งเตือนไว้ได้ บางเครื่องที่เก่าหรือไม่ได้อัปเดตระบบ ก็ไม่สามารถรับข้อความได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะถูกส่งไปให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแก้ไขในขั้นตอนต่อไป

กรมปภ.พร้อมเดินหน้าขยายผล

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ผลการทดสอบระบบ Cell Broadcast ครั้งแรกนี้ถือว่าน่าพอใจมาก เพราะสามารถส่งข้อความถึงประชาชนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในอนาคตกรมฯ จะมีการทดสอบเพิ่มอีกในพื้นที่ขนาดกลางและใหญ่ เพื่อให้ระบบมีความพร้อมใช้งานจริงในสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว และโรคระบาด

Cell Broadcast เทคโนโลยีเพื่ออนาคต

ระบบ Cell Broadcast เป็นระบบส่งข้อความแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยไม่จำเป็นต้องทราบหมายเลขโทรศัพท์ผู้รับ แตกต่างจากระบบ SMS ที่ต้องส่งรายบุคคล ระบบนี้เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ที่ต้องแจ้งเตือนประชาชนอย่างเร่งด่วนในพื้นที่เสี่ยง

จุดแข็งของระบบ Cell Broadcast คือการส่งข้อความที่รวดเร็ว เข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกัน มีประสิทธิภาพสูง เหมาะกับการเตือนภัยธรรมชาติร้ายแรง เช่น แผ่นดินไหว น้ำป่าไหลหลาก พายุ และเหตุฉุกเฉินอื่นๆ

การวิเคราะห์ความพร้อมใช้ของระบบ

อย่างไรก็ตาม การทดสอบในครั้งนี้เผยให้เห็นปัญหาเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของโทรศัพท์มือถือบางรุ่น ซึ่งอาจกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญได้หากนำไปใช้งานจริง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว รวมถึงปรับปรุงการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวเข้าใจระบบนี้อย่างชัดเจน และสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับระบบแจ้งเตือนภัย

จากข้อมูลของ International Telecommunication Union (ITU) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระบุว่า การใช้ระบบ Cell Broadcast ช่วยลดเวลาการแจ้งเตือนภัยจากเดิมที่ใช้ระบบ SMS จาก 10-15 นาที เหลือเพียงไม่ถึง 1 นาที ซึ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้มากถึง 50% นอกจากนี้ รายงานจาก ITU ในปี 2024 ยังระบุว่า ประเทศที่มีระบบ Cell Broadcast ครอบคลุมพื้นที่กว่า 90% มีอัตราการเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 30-40%

จังหวัดเชียงรายจะเป็นต้นแบบสำคัญในการใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast เพื่อนำไปสู่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • สำนักงาน กสทช.
  • International Telecommunication Union (ITU) Report 2024
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายขยับ ตรวจน้ำสายด่วน และน้ำกกเพิ่ม 14 จุด

เชียงรายเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย หลังพบสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า จังหวัดเชียงรายได้ยกระดับการตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างเข้มข้น หลังพบสารหนู (Arsenic) ปนเปื้อนในระดับที่เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่ การดำเนินการครั้งนี้เป็นผลจากการประชุมคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการและตรวจสอบคุณภาพน้ำเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน

การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เพื่อวิเคราะห์ระดับโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น อาการผื่นคัน ระคายเคืองผิวหนัง และความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหากมีการสะสมในร่างกาย การดำเนินการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานหลายภาคส่วน รวมถึงสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ปกครองอำเภอแม่สาย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ความท้าทายด้านคุณภาพน้ำในเชียงราย

จังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชุมชน ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คุณภาพน้ำในแม่น้ำเหล่านี้เริ่มเผชิญกับความท้าทายจากมลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะจากกิจกรรมเหมืองทองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2568 ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มรายงานถึงความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เช่น น้ำขุ่นผิดปกติและมีอาการระคายเคืองผิวหนังหลังสัมผัสน้ำ รายงานเหล่านี้จุดประกายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบ และพบว่ามีสารหนูในระดับที่สูงเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามมาตรฐานของประเทศไทย

จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) พบว่าระดับสารหนูในแม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายสูงถึง 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินมาตรฐานถึง 2.6 เท่า ขณะที่การตรวจสอบในแม่น้ำสายเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 โดยทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พบสารหนูในบางจุดสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐาน สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ

ปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการประมง ผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำกก เช่น นายธวัช อายุ 56 ปี เจ้าของเรือหางยาวบริเวณท่าเรือเชียงราย รายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมากตั้งแต่มีการรายงานข่าวการปนเปื้อนสารหนู ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก

การดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น

เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดเชียงรายได้จัดการประชุมคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการและตรวจสอบคุณภาพน้ำเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางการตรวจสอบและแก้ไขปัญหามลพิษอย่างเป็นระบบ ที่ประชุมมีมติให้เพิ่มจุดตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกจากเดิม 3 จุดเป็น 9 จุด และเพิ่มการตรวจในลำน้ำสาขาอีก 5 จุด รวมทั้งสิ้น 14 จุด พร้อมทั้งเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินเพื่อวิเคราะห์โลหะหนักอย่างละเอียด

นอกจากนี้ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ปกครองอำเภอแม่สาย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สาขาวิชาสารสนเทศภูมิศาสตร์ ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินจากแม่น้ำสายจำนวน 3 จุด ได้แก่:

  • จุดที่ 1 (Sa01): บ้านป่าซางงาม หมู่ 6 ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย
  • จุดที่ 2 (Sa02): สะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย
  • จุดที่ 3 (Sa03): บ้านหัวฝาย ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย

ตัวอย่างน้ำที่เก็บได้จะถูกส่งไปยังศูนย์ปฏิบัติการวิเคราะห์มลพิษและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ เพื่อตรวจวิเคราะห์ระดับโลหะหนัก โดยคาดว่าจะทราบผลภายในสัปดาห์หน้า ผลการวิเคราะห์จะเป็นข้อมูลสำคัญในการแจ้งเตือนประชาชนและกำหนดมาตรการป้องกันต่อไป

ด้านสำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้วางแผนเก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกใน 3 ช่วง คือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จุดละ 2 ตัวอย่าง เพื่อตรวจหาการสะสมของสารปนเปื้อนในสัตว์น้ำ ขณะที่สำนักงานเกษตรจังหวัดได้เก็บตัวอย่างพืช 5 ชนิด และดินจากพื้นที่เกษตร 8 แห่งที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก เพื่อตรวจหาการปนเปื้อนเช่นกัน ผลการตรวจทั้งหมดจะถูกรวบรวมและวิเคราะห์โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อจัดทำรายงานกลางสำหรับเผยแพร่สู่สาธารณะ

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำว่า “ผลการตรวจคุณภาพน้ำจะต้องยึดตามผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากกว่าการใช้ชุดตรวจแบบเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับ” นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเสนอให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มเติม เพื่อยืนยันระดับการปนเปื้อนและสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในพื้นที่

มาตรการป้องกันและแนวทางแก้ไข

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าสาเหตุหลักของการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายน่าจะมาจากกิจกรรมเหมืองทองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารหนูจากการสกัดแร่ลงสู่แม่น้ำ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จังหวัดเชียงรายได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อประสานงานกับหน่วยงานในระดับชาติและนานาชาติ โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานคณะทำงานด้านคุณภาพน้ำข้ามพรมแดน คณะทำงานนี้จะมีตัวแทนจากกองทัพที่ 37 หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อมูลและกำหนดแนวทางแก้ไข

ในระยะสั้น จังหวัดเชียงรายได้ออกคำเตือนให้ประชาชนงดใช้และสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายโดยตรง รวมถึงหลีกเลี่ยงการบริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้จนกว่าผลการตรวจจะยืนยันความปลอดภัย หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้จัดตั้งจุดรับแจ้งอาการผิดปกติจากประชาชนที่อาจสัมผัสน้ำในแม่น้ำ เช่น ผื่นคันหรืออาการทางเดินอาหาร เพื่อให้การรักษาทันท่วงที

ในระยะยาว จังหวัดเชียงรายมีแผนขอรับงบประมาณเพื่อติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนและลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันให้กระทรวงการต่างประเทศไทยเจรจากับรัฐบาลเมียนมาและกองทัพว้า เพื่อควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากเหมืองทองในรัฐฉาน ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา

ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของเชียงราย ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากข่าวการปนเปื้อนสารหนู ผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น นางสาวกัญญา หวังจงกลาง พ่อค้าที่ชายหาดโยนก ระบุว่า “ตั้งแต่มีข่าวสารหนู นักท่องเที่ยวหายไปเกือบหมด รายได้ลดลงจนแทบไม่พอจ่ายค่าเช่าที่” เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จังหวัดเชียงรายกำลังพิจารณาแนวทางการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว โดยอาจจัดกิจกรรมที่เน้นความปลอดภัยและความยั่งยืน เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ไม่พึ่งพาแหล่งน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นปัญหาที่ซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับมลพิษข้ามพรมแดน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติ การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เช่น การควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากเหมืองทองในเมียนมา เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งการทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่จังหวัดเชียงรายสามารถระดมหน่วยงานในพื้นที่และจัดตั้งคณะทำงานอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือกับวิกฤต

มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การสัมผัสน้ำที่มีสารหนูปนเปื้อนอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง คลื่นไส้ และท้องเสีย ส่วนการสะสมในร่างกายในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและมะเร็งอวัยวะภายใน การตรวจสอบและแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงทีจึงเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยง

มิติด้านสิ่งแวดล้อม

สารหนูและโลหะหนักอื่นๆ ที่ปนเปื้อนในแม่น้ำอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะสัตว์น้ำและพืชที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหาร การพบสารหนูในตะกอนดินของแม่น้ำกกในระดับที่สูงถึง 20-22 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (เกินมาตรฐานที่ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) บ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อสัตว์หน้าดินและปลา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและการประมงในพื้นที่

มิติด้านเศรษฐกิจ

การปนเปื้อนสารหนูส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการประมง ซึ่งเป็นรายได้หลักของชุมชนริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย การลดลงของนักท่องเที่ยวและการจำกัดการจับสัตว์น้ำทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความสูญเสียทางรายได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์และการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวอาจเป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้จังหวัดเชียงรายพัฒนาระบบการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การลงทุนในเทคโนโลยีตรวจสอบคุณภาพน้ำและการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในพื้นที่และนานาชาติจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการรับมือกับมลพิษในอนาคต นอกจากนี้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและกิจกรรมที่ไม่พึ่งพาแหล่งน้ำในแม่น้ำอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการกระจายรายได้ของชุมชน

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

หน่วยงานภาครัฐและนักวิชาการ
หน่วยงานภาครัฐและนักวิชาการ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้นและการประสานงานกับหน่วยงานนานาชาติเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา การใช้ผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐานและการแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น
ชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น ผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าตามชายหาดโยนก แสดงความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจและความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ พวกเขาต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมมลพิษจากเหมืองทองในเมียนมา และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

ทัศนคติเป็นกลาง การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเป็นระบบและการแจ้งเตือนประชาชนเป็นมาตรการที่จำเป็นในการปกป้องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เช่น การควบคุมมลพิษจากเหมืองทองในเมียนมา ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องใช้เวลาและความร่วมมือในระดับนานาชาติ การสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจนและการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจะช่วยลดความตึงเครียดและสร้างความสมดุลระหว่างการปกป้องสิ่งแวดล้อมและการรักษาเศรษฐกิจท้องถิ่น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำสายบางจุดสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) ขณะที่แม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายพบสารหนูที่ระดับ 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร
    ที่มา: สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์, รายงานจากการประชุมคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการ, 1 พฤษภาคม 2568
  2. ระดับสารหนูในตะกอนดิน: การตรวจสอบตะกอนดินในแม่น้ำกกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม – 1 เมษายน 2568 พบสารหนูในระดับ 20-22 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เกินมาตรฐานที่ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่), รายงานคุณภาพตะกอนดิน, 25 เมษายน 2568
  3. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว: จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายลดลง 30% ในช่วงเดือนเมษายน 2568 หลังมีการรายงานข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำเดือนเมษายน 2568
  4. การพึ่งพาแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: ชุมชนริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายกว่า 50,000 ครัวเรือนพึ่งพาแหล่งน้ำเหล่านี้ในการเกษตร การประมง และการผลิตน้ำประปา
    ที่มา: องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, รายงานการใช้น้ำดิบ, 2568
  5. ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากสารหนู: การสัมผัสสารหนูในระดับที่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและมะเร็งอวัยวะภายในได้ถึง 10%
    ที่มา: องค์การอนามัยโลก (WHO), รายงานความเสี่ยงจากสารหนู, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมเเละควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ชุมชน ‘เวียงป่าเป้า’ สร้างดาว! “วัดเวียงกาหลง” โมเดลท่องเที่ยวยั่งยืน

เวียงกาหลงสุดยอด! วัดคว้า 5 ดาว ท่องเที่ยวยั่งยืน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก “เมืองวัฒนธรรมเวียงกาหลง” ได้เผยแพร่ข่าวสารความสำเร็จของ “วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลง” ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับสูงสุด 5 ดาว จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้โครงการ Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) หลังจากผ่านการประเมินตามเกณฑ์ STGs Easy (Sustainable Tourism Goals) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 โดยประกาศนียบัตรดังกล่าวมีอายุ 2 ปี และจะหมดอายุในวันที่ 28 เมษายน 2570

วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงตั้งอยู่ ณ เลขที่ 98 หมู่ 15 ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย หมายเลขโทรศัพท์ 093-2560187 เป็นหนึ่งในห้าแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับตราสัญลักษณ์ STAR-C00389 ระดับ 5 ดาว ซึ่งนับว่าเป็นระดับสูงสุดของมาตรฐานนี้ โดยการรับรองดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของ ททท. ที่เน้นการยกระดับผู้ประกอบการตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ

คำขวัญของพื้นที่ “เมืองวัฒนธรรม แดนพุทธภูมิ ถิ่นกาขาว ชาวศรีวิไล” สะท้อนถึงรากฐานทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของชุมชนเวียงกาหลง ซึ่งวัดพระยอดขุนพลเป็นศูนย์รวมของความศรัทธาและการเรียนรู้สู่การท่องเที่ยวยั่งยืนในรูปแบบนันทนาการและวัฒนธรรม

โครงการ STAR: Sustainable Tourism Acceleration Rating ถือเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้แหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศดำเนินกิจการโดยยึดถือหลักความยั่งยืนใน 4 มิติหลัก ได้แก่ ธรรมาภิบาล เศรษฐกิจ-สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ผ่านเป้าหมาย STGs รวม 17 ข้อ ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก SDGs ของสหประชาชาติ

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า โครงการ STAR เป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยเน้นการพลิกฟื้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ บนรากฐานของความปลอดภัยและความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “มาร่วมสร้างท่องเที่ยวไทยให้ยั่งยืน” ผ่านการสร้างมาตรฐาน High Value Services & Standard เพื่อมอบประสบการณ์ที่ทรงคุณค่า (Valued Experiences) แก่นักท่องเที่ยว และปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism)

โครงการ STAR ยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานหลายภาคส่วน เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานวิชาการ เช่น ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีระบบการจัดระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวยั่งยืนใน 3 ระดับ ได้แก่:

  • 3 ดาว สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์ STG13 (ลดก๊าซเรือนกระจก), STG16 (ปลอดภัยในการท่องเที่ยว) และ STG17 (ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน)
  • 4 ดาว สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์หลักทั้ง 3 ข้อข้างต้น และเป้าหมายเพิ่มเติมอีก 6 ข้อ รวมเป็น 9 ข้อ
  • 5 ดาว สำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์หลักทั้ง 3 ข้อ และเป้าหมายอื่นไม่น้อยกว่า 9 ข้อ รวมเป็น 12 เป้าหมายขึ้นไป

วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงสามารถผ่านเกณฑ์สูงสุด 5 ดาว ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการเชิงอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีการจัดกิจกรรมพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การฝึกอาชีพ การปลูกป่า การสอนภาษา และการจัดการขยะตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

นางสาวมารีญา พูลเลิศลาภ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2017 และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ได้แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของโครงการ STAR และกล่าวสนับสนุนแนวคิดการท่องเที่ยวที่ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยระบุว่า ธรรมชาติคือทรัพยากรต้นทุนสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หากไร้ความรับผิดชอบในการเดินทาง ก็เท่ากับทำลายจุดขายของประเทศ

วัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงถือเป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อนเป้าหมาย STG13, STG16 และ STG17 อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นแหล่งเรียนรู้การท่องเที่ยวยั่งยืนที่มีชีวิตจริงในชุมชน ซึ่ง ททท. วางเป้าหมายที่จะผลักดันให้แหล่งอื่น ๆ ปรับตัวเข้าสู่เกณฑ์เดียวกัน เพื่อสร้าง “ประเทศไทย” ให้เป็น Sustainable Destination ในระดับโลก

การยกระดับวัดพระยอดขุนพลเวียงกาหลงสู่ระดับ 5 ดาว ไม่เพียงส่งผลต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพ แต่ยังตอกย้ำว่าการท่องเที่ยวยั่งยืนไม่ใช่เพียงแนวคิด หากแต่คือแนวทางที่สามารถนำไปสู่การเติบโตทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เพจเมืองวัฒนธรรมเวียงกาหลง
  • ข้อมูลการประเมิน STGs Easy และระบบ STAR: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), 2566-2568
  • ฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ได้รับตราสัญลักษณ์ STAR ระดับ 5 ดาว: www.tourismthailand.org/star
  • รายงานสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย
  • บทสัมภาษณ์ ผศ.ชล บุนนาค, ศูนย์วิจัย SDG Move
  • รายงานความคืบหน้าโครงการ Shape Supply และ SDG ของ ททท.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

น้ำสายทะลัก! ผู้ว่าฯ จี้เมียนมาร์ขุดลอก ทหารเร่งช่วย

สถานการณ์ภัยพิบัติจากอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง กองทัพบก ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมแบบชั่วคราว-กึ่งถาวร ตลอดแนวแม่น้ำสายตั้งแต่ Sta 0+100 ถึง Sta 3+600 โดยการดำเนินการดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยในเขตเศรษฐกิจของอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างไทยกับประเทศเมียนมา หลังจากที่พื้นที่ดังกล่าวประสบกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในฤดูฝนซึ่งเริ่มมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี จากสาเหตุหลักที่มาจากการตื้นเขินของลำน้ำสาย อันเนื่องมาจากตะกอนดินจากฝั่งประเทศเมียนมา รวมถึงการรุกล้ำแนวแม่น้ำจากสิ่งปลูกสร้าง

แนวทางการดำเนินงานป้องกันอุทกภัย 5 รูปแบบหลัก

การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำในครั้งนี้ ได้ผสมผสานงานก่อสร้างจำนวน 5 รูปแบบหลักที่เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศและสภาพพื้นที่ ได้แก่:

  1. เขื่อนป้องกันตลิ่งด้วยเข็มไอเสียบแผ่น Precast Panel
  2. แนวกำแพงกันน้ำโดยใช้เสาเหล็กเสียบแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป
  3. กำแพงกันน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก บริเวณใต้สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1
  4. โครงเคร่ากรุแผ่นเหล็กเพื่อปิดโพรงน้ำเข้าตามบ้านเรือนประชาชน
  5. แนว Big Bag และการเสริมคันดินให้แข็งแรง

ปัจจุบัน กองทัพบก โดยกรมการทหารช่าง ได้เริ่มดำเนินการสร้างทางลำลองและเตรียมพื้นที่ก่อสร้างภายในลำน้ำสาย โดยกำหนดให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝนที่จะมาถึง

ความคืบหน้าการขุดลอกลำน้ำสายและแม่น้ำรวก

ในส่วนของงานขุดลอกแม่น้ำรวก ซึ่งมีความยาวรวม 32 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่:

  • หน่วยทหารช่างกองทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบดำเนินการขุดลอก 14 กิโลเมตร
  • กรมการทหารช่าง รับผิดชอบอีก 18 กิโลเมตร

การดำเนินงานเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 ซึ่งเมื่อถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 พบว่าผลความก้าวหน้าคิดเป็น 6.89% จากแผนงานที่วางไว้ 6.2% ซึ่งถือว่าเกินเป้าหมายเล็กน้อย และยังคงกำหนดแผนแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2568

สำหรับลำน้ำสายในช่วงตั้งแต่ Sta 0+000 ถึง Sta 12+800 เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายเมียนมา ซึ่งจากผลการประชุม Sub-JCR ของทั้งสองฝ่าย ได้มีข้อสรุปว่าจะขุดลอกตามแนวทางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงระยะตลิ่งทั้งสองฝั่งแต่อย่างใด

ความร่วมมือระหว่างประเทศและความล่าช้าฝั่งเมียนมา

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวว่า ฝ่ายเมียนมายังไม่เริ่มกระบวนการขุดลอกลำน้ำสายแต่อย่างใด โดยกระทรวงการต่างประเทศ และกรมกิจการชายแดน ได้รับมอบหมายให้เร่งประสานงานเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนร่วมที่ตกลงกันไว้ โดยระบุชัดว่าหากดำเนินการแล้วเสร็จตามกำหนด การป้องกันน้ำท่วมใหญ่ในฤดูฝนปีนี้จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในด้านแนวทางป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน กองทัพได้วางแนว Big Bag ไว้ในจุดเสี่ยง พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชนในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำหรือขวางแนวทางน้ำ เพื่อให้การสร้างแนวป้องกันน้ำดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การลงพื้นที่ของอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 นายภาสกร บุญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยคณะผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่บริเวณตลาดสายลมจอย และสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 อ.แม่สาย หลังเกิดฝนตกหนักจากฝั่งประเทศเมียนมา ทำให้แม่น้ำสายเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เศรษฐกิจ

จากการตรวจสอบ พบว่าแม่น้ำสายมีสภาพตื้นเขินอย่างหนัก จากตะกอนดินที่ไหลมาจากพื้นที่ต้นน้ำโดยเฉพาะบริเวณเหมืองแร่ในประเทศเมียนมา ซึ่งยังไม่มีการขุดลอกหรือบำรุงรักษา ส่งผลให้เกิดน้ำหลากแม้มีปริมาณฝนเพียงเล็กน้อย

อธิบดี ปภ. ได้กล่าวว่า แม่น้ำสายในอดีตกว้างถึง 200 เมตร แต่ปัจจุบันแคบลงเหลือไม่ถึง 50 เมตร และยังไม่มีการขุดลอกมาก่อน จึงเป็นเหตุให้น้ำล้นตลิ่งได้ง่าย ซึ่งทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้หารือกับกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำโครงการระยะยาวในอนาคต รวมถึงเตรียมการประชาคมในพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจร่วม

การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าและแผนรับมือฝนหนัก

นอกจากนี้ ทางกรม ปภ. ยังได้เริ่มทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยผ่านเซลล์บรอดแคสต์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่:

  • วันที่ 2 พฤษภาคม: ทดลองระดับศาลากลางจังหวัด
  • วันที่ 7 พฤษภาคม: ทดลองระดับอำเภอ
  • วันที่ 13 พฤษภาคม: ทดลองระดับจังหวัด

โดยมีการประสานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในพื้นที่เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบการแจ้งเตือนและแก้ไขปัญหาการรับสัญญาณ

นายภาสกร ได้กล่าวย้ำว่า การพูดคุยประสานงานกับทางจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ยังจำเป็นต้องใช้กลไกหลายช่องทาง ทั้งระดับผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่น (TBC) เนื่องจากผลกระทบจากน้ำท่วมจะเกิดขึ้นกับประชาชนในฝั่งเมียนมาอย่างรุนแรงหากไม่มีการขุดลอกแม่น้ำสาย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • แม่น้ำสายเคยมีความกว้างถึง 200 เมตร ปัจจุบันลดลงเหลือไม่ถึง 50 เมตร (ข้อมูลจากกรมโยธาธิการและผังเมือง, 2568)
  • ความก้าวหน้าการขุดลอกแม่น้ำรวก ณ วันที่ 30 เม.ย. 2568 คิดเป็น 6.89% จากแผนงาน 6.2%
  • ปริมาณฝนตกในเมียนมา วันที่ 29 เม.ย. 2568 ประมาณ 60 มิลลิเมตร (ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา)
  • แผนการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกของไทย: 32 กม. ให้แล้วเสร็จภายใน 30 มิ.ย. 2568 (ข้อมูลจากกรมการทหารช่าง)

บทสรุป ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย เป็นประเด็นที่ต้องการการจัดการแบบบูรณาการ โดยเฉพาะความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างไทยกับเมียนมา การขุดลอกแม่น้ำ การสร้างแนวป้องกัน และการเตรียมระบบเตือนภัยเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบต่อประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง
  • กรมชลประทาน
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • รายงานความก้าวหน้าโครงการโดยกรมการทหารช่าง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อวดเมือง 68 “เชียงราย” เจ๋ง ลุ้น ‘เทศกาลชากาแฟ’ ระดับโลก

โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ครั้งที่ 1 จังหวัดเชียงรายคว้าตำแหน่ง 1 ใน 12 จังหวัดสุดท้ายด้วย Chiang Rai BREW Festival

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2568 ณ ห้อง Event Lab ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ปิดฉากลงด้วยความสำเร็จ โดยจังหวัดเชียงรายสามารถคว้าตำแหน่ง 1 ใน 12 จังหวัดสุดท้ายจาก 51 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยการนำเสนอ Chiang Rai BREW Festival เทศกาลชากาแฟที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นและศักยภาพทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมผลักดันเชียงรายให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย

โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดนำเสนอแนวคิดเทศกาลที่ตอบโจทย์แนวคิด “น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ซึ่งมุ่งเน้นการใช้จุดแข็งทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรในพื้นที่เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล

ความท้าทายของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

ประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ธรรมชาติที่สวยงาม และการต้อนรับที่อบอุ่นเป็นเอกลักษณ์ จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงเกษตร ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น วัดร่องขุ่น ดอยช้าง ดอยแม่สลอง และชุมชนชาติพันธุ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ เชียงรายยังเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะกาแฟจากดอยช้างและชาอัสสัมจากดอยแม่สลอง ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของราคาค่าบริการที่พักและการเดินทาง ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีความหมายและยั่งยืนมากขึ้น ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของแหล่งท่องเที่ยวในหลายจังหวัด รวมถึงเชียงราย ซึ่งเผชิญกับปัญหาการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีกำลังซื้อสูง ความท้าทายเหล่านี้ทำให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในเชียงรายต้องร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสร้างจุดเด่นที่ยั่งยืนสำหรับจังหวัด

เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว รัฐบาลไทยได้ริเริ่มโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่มุ่งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้แต่ละจังหวัดพัฒนาเทศกาลที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน Chiang Rai BREW Festival” เทศกาลชากาแฟที่สะท้อนอัตลักษณ์และศักยภาพทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัดไปนำเสนอใน โครงการ “อวดเมือง 2568”

โดย การแข่งนำเสนอผลงานของจังหวัด Pitching ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2568 ณ ห้อง Event Lab ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีตัวแทนจาก 51 จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมนำเสนอแนวคิดเทศกาลที่สอดคล้องกับแนวคิด “น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน” การนำเสนอในครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองวัน โดยวันที่ 29 เมษายน มีตัวแทนจาก 20 จังหวัด และวันที่ 30 เมษายน มีตัวแทนจาก 21 จังหวัด แต่ละจังหวัดมีเวลา 15 นาทีในการนำเสนอสไลด์ 15 หน้า พร้อมตอบคำถามจากคณะกรรมการอีก 5 นาที

จาก 51 จังหวัดที่เข้าร่วม มีเพียง 12 จังหวัดที่ได้รับคัดเลือกให้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย และจังหวัดเชียงรายสามารถคว้าตำแหน่งนี้ด้วยการนำเสนอ Chiang Rai BREW Festival เทศกาลชากาแฟที่ไม่เพียงสะท้อนอัตลักษณ์ของจังหวัด แต่ยังบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างเทศกาลที่ยั่งยืนและมีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ Chiang Rai BREW Festival มีรากฐานจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยแนวคิด “องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากความฝันพญามังราย สู่แรงบันดาลใจแม่ฟ้าหลวง” เทศกาลนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานต้นกาแฟต้นแรกให้แก่ชนเผ่าบนพื้นที่สูง ณ ดอยช้าง เพื่อทดแทนการปลูกพืชเสพติด และพัฒนาให้เป็นพืชเศรษฐกิจควบคู่กับชาอัสสัมของล้านนา

เทศกาลนี้ต่อยอดจากความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ส่งเสริมเกษตรกรในการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์ชากาแฟ รวมถึงการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาฯยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล Chiang Rai BREW Festival จึงไม่ใช่เพียงงานอีเวนต์ชั่วคราว แต่เป็นเทศกาลที่ครอบคลุมทั้งปี โดยแบ่งออกเป็นช่วงต่างๆ ตามฤดูกาล ดังนี้

  • ฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม)  เน้นการแข่งขันบาริสต้า เวิร์กช็อปการชงกาแฟ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์
  • ฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน)  เน้นการจับคู่ธุรกิจ (business matching) และการจัดงานสัมมนานานาชาติ เช่น International Symposium เพื่อดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการ
  • ฤดูหนาว (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) เน้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่น ทัวร์ไร่ชากาแฟ การเก็บเกี่ยว และการเรียนรู้กระบวนการแปรรูป

การดำเนินงานของเทศกาลได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ สำนักงานจังหวัดเชียงราย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กลุ่ม กกร. จังหวัดเชียงราย กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) บริษัทเชียงรายพัฒนาเมือง (CRCD) จำกัด มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) และสิงห์ปาร์ค ความร่วมมือนี้ทำให้ Chiang Rai BREW Festival มีศักยภาพในการยกระดับเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย

การนำเสนอและความท้าทาย

จากการสัมภาษณ์ นางสาวนฤมล นิลมานนท์ รองประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) และกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงราย เธอเล่าถึงกระบวนการเตรียมตัวสำหรับการนำเสนอในโครงการนี้ว่า เริ่มจากการประชุมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ซึ่งเรียกทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งภาครัฐและเอกชน มาร่วมหารือเพื่อกำหนดแนวคิดเทศกาลที่เหมาะสม ซึ่งภาคเอกชน รวมถึง YEC และ CRCD จึงเสนอให้ใช้ชากาแฟ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเชียงราย มาเป็นหัวใจของเทศกาล” การตัดสินใจเลือก Chiang Rai BREW Festival มาจากการวิเคราะห์จุดแข็งของจังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โดยเฉพาะกาแฟจากดอยช้างและชาอัสสัมจากดอยแม่สลอง ที่ได้รับรางวัลและการยอมรับในระดับสากล

ไม่ได้ต้องการจัดงานอีเวนต์เพียง 5-10 วัน

นายพงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จของเทศกาลนี้มาจากการ “เชื่อมโยง” ทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้แปรรูป บาริสต้า ไปจนถึงผู้บริโภค “เราไม่ได้ต้องการจัดงานอีเวนต์เพียง 5-10 วัน แต่เราต้องการสร้างเทศกาลที่ยั่งยืนตลอดทั้งปี โดยใช้ชากาแฟเป็นสื่อกลางในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน” เขายังเน้นย้ำว่า เทศกาลนี้จะไม่เพียงมุ่งเน้นการบริโภคชากาแฟ แต่ยังรวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร การจับคู่ธุรกิจ และการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมชากาแฟ

อย่างไรก็ตาม การเลือกชากาแฟเป็นหัวใจของเทศกาลก็เผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากจังหวัดอื่น เช่น น่าน หรือเชียงใหม่ ก็มีจุดแข็งด้านกาแฟเช่นกัน นายพงศกร อธิบายว่า “เชียงรายมีความหลากหลายทั้งในแง่ของกาแฟพิเศษ (specialty coffee) และกาแฟคุณภาพทั่วไป รวมถึงชาที่มีชื่อเสียงในระดับสากล จุดแข็งของเราคือความสมดุลและความหลากหลายของแหล่งปลูก ซึ่งทำให้เราสามารถนำเสนอเทศกาลที่ครอบคลุมทุกมิติของชากาแฟ”

นอกจากนี้ การพัฒนาเทศกาลนี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านการจัดการภาพลักษณ์ของเชียงราย โดยเฉพาะปัญหาการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว นางสาวนฤมล กล่าวว่า “เราตระหนักถึงปัญหานี้ และกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไข โดยการพัฒนา Chiang Rai BREW Festival จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเชียงรายในฐานะเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์และก้าวต่อไป

ผลการประกาศเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ยืนยันว่าเชียงรายเป็น 1 ใน 12 จังหวัดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching จากนี้ไป 12 จังหวัดที่ได้รับคัดเลือกจะเข้าร่วมเวิร์กช็อปกับเมนเทอร์ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เพื่อพัฒนาแผนธุรกิจให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนนำเสนอในรอบสุดท้ายระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจะมีการจัดบูธเพื่อแสดงศักยภาพของแต่ละจังหวัด

ในรอบนี้ จะมีการคัดเลือก 3 จังหวัดที่โดดเด่นที่สุดเพื่อไปศึกษาดูงานที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 และจาก 3 จังหวัดนี้ จะมีการคัดเลือก 2 จังหวัดที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเพื่อจัดเทศกาลอย่างเป็นทางการในปี 2568 นางสาวนฤมล กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการคว้างบประมาณเพื่อพัฒนา Chiang Rai BREW Festival ให้เป็นเทศกาลระดับชาติ แต่แม้ว่าเราจะไม่ได้รับงบประมาณ การที่เราได้สร้างการรับรู้และแสดงศักยภาพของเชียงรายในเวทีนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว”

นายพงศกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “หากเราคว้างบประมาณได้ เราวางแผนที่จะเริ่ม Chiang Rai BREW Festival ในปี 2568 โดยใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้ว เช่น ไร่ชากาแฟ ศูนย์การเรียนรู้ และเครือข่ายผู้ประกอบการ เพื่อขมวดให้เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน” เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยงโครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น การจัดตั้งสมาคมหรือชมรม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการเมืองภายใน “เราต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระภาษีหรือการบริหารจัดการที่ยุ่งยาก”

ความท้าทายและโอกาส

การเข้ารอบ 12 จังหวัดสุดท้ายของเชียงรายในโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching สะท้อนถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของจังหวัดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเผชิญกับความท้าทายและโอกาสดังต่อไปนี้:

มิติด้านเศรษฐกิจ

Chiang Rai BREW Festival มีศักยภาพในการสร้างรายได้จากทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออกชากาแฟ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับกาแฟพิเศษและชาคุณภาพสูง การจับคู่ธุรกิจระหว่างเกษตรกรและนักลงทุนต่างชาติจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตและสร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกับจังหวัดอื่นที่มีจุดแข็งด้านกาแฟ เช่น น่าน หรือเชียงใหม่ อาจเป็นอุปสรรคที่ต้องใช้ความหลากหลายและนวัตกรรมในการเอาชนะ

มิติด้านวัฒนธรรมและซอฟต์พาวเวอร์

การใช้ชากาแฟเป็นสื่อกลางในการนำเสนอซอฟต์พาวเวอร์ของเชียงรายเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่และมีรากฐานจากวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์และเกษตรกร การเชื่อมโยงเทศกาลนี้กับพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม การตีความชากาแฟให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในบริบทที่นักท่องเที่ยวทั่วไปยังมองว่าซอฟต์พาวเวอร์ของไทยคือศิลปวัฒนธรรมหรือการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม

มิติด้านการท่องเที่ยว

เทศกาลนี้ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์เชิงเกษตรและเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวไร่ชากาแฟและเวิร์กช็อปบาริสต้าจะช่วยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในปัจจุบัน เช่น ปัญหาการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยว หรือราคาค่าบริการที่สูงขึ้น อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเชียงราย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขควบคู่ไปกับการพัฒนาเทศกาล

โอกาสในการพัฒนา

การที่เชียงรายได้รับเลือกเป็น 1 ใน 12 จังหวัดเป็นโอกาสในการสร้างการรับรู้ในระดับชาติและนานาชาติ การเข้าร่วมงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และการศึกษาดูงานที่โอซาก้าจะช่วยให้ทีมงานได้เรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีจากเมืองอื่นๆ และนำมาปรับใช้กับเทศกาลของเชียงราย นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภาคเอกชนและหน่วยงานท้องถิ่นจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเทศกาลให้ประสบความสำเร็จ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ผู้สนับสนุนเทศกาลชากาแฟ
กลุ่มที่สนับสนุน Chiang Rai BREW Festival รวมถึงภาคเอกชน YEC และ CCL มองว่าเทศกาลนี้เป็นโอกาสในการยกระดับเศรษฐกิจของเชียงราย โดยใช้จุดแข็งด้านชากาแฟที่มีรากฐานจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น ความหลากหลายของแหล่งปลูกและการบูรณาการทุกภาคส่วนทำให้เทศกาลนี้มีศักยภาพในการสร้างผลกระทบในระยะยาว

ทัศนคติการเลือก Chiang Rai BREW Festival เป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์สามารถบูรณาการการเกษตร การท่องเที่ยว และนวัตกรรมได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทศกาลนี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับจังหวัดอื่นและการจัดการภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนและการเรียนรู้จากเวทีนานาชาติจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เทศกาลนี้ประสบความสำเร็จ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติรวม 2.5 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  2. มูลค่าตลาดกาแฟและชาในประเทศไทย ตลาดกาแฟในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี โดยกาแฟพิเศษ (specialty coffee) มีสัดส่วนการเติบโต 10% ต่อปี ส่วนตลาดชามีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท
    ที่มา: สมาคมกาแฟและชาไทย, รายงานประจำปี 2567
  3. การส่งออกกาแฟและชา ในปี 2567 ประเทศไทยส่งออกกาแฟมูลค่า 5,000 ล้านบาท และชามูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยจังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตหลัก
    ที่มา: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, รายงานการส่งออก 2567
  4. ผลกระทบของซอฟต์พาวเวอร์ต่อการท่องเที่ยว การสำรวจของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ในปี 2567 พบว่า 70% ของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและความยั่งยืน
    ที่มา: WTTC Global Tourism Report, 2567
  5. การลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเชียงราย จากการสำรวจของสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า 88% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • THACCA-Thailand Creative Culture Agency
  • TCEB Domestic MICE
  • นางสาวนฤมล นิลมานนท์ รองประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) และกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงราย
  •  พงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

น้ำสาย-น้ำรวกวิกฤต! สารหนูพุ่ง มฟล.เตือนภัย

เชียงรายเผชิญวิกฤตแม่น้ำปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐานสูงสุดถึง 19 เท่า นักวิชาการเตือนส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

เชียงราย, 1 พฤษภาคม 2568 – จากกรณีที่ อาจารย์ ดร.สุรพล วรภัทราทร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พบว่ามีการปนเปื้อนของ “สารหนู” (Arsenic) ในระดับที่สูงเกินมาตรฐานอย่างมีนัยสำคัญในหลายจุด โดยบางพื้นที่พบค่าที่สูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดถึง 19 เท่า สร้างความวิตกกังวลต่อทั้งหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และประชาชนในพื้นที่อย่างมาก

ผลการตรวจเบื้องต้น ภาพรวมการปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก

จากการเปิดเผยของโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในเขตภาคเหนือตอนบน ซึ่งดำเนินงานโดย ผศ.ดร.สุรพล วรภัทราทร ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาฯ ดังกล่าว ได้ทำการเก็บตัวอย่างน้ำจากพื้นที่เสี่ยงจำนวน 9 จุดใน อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน ได้แก่

  1. น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม – หัวฝาย อ.แม่สาย = 0.14 mg/L
  2. ลำเหมือง บ้านถ้ำผาจม – หัวฝาย อ.แม่สาย = ไม่เกินมาตรฐาน
  3. น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย = 0.14 mg/L
  4. คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย = 0.18 mg/L
  5. น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย = 0.12 mg/L
  6. น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย = 0.12 mg/L
  7. น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน = 0.12 mg/L
  8. น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ = 0.19 mg/L
  9. แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน = 0.14 mg/L

ทั้งนี้ ค่ามาตรฐานของสารหนูในน้ำตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือ 10 ไมโครกรัมต่อลิตร การตรวจพบที่ 0.19 mg/L ถือว่าเกินกว่ามาตรฐานถึง 19 เท่า

เวทีวิชาการ “รู้ทัน ร่วมมือ รับมือ” กับภัยสุขภาพจากน้ำปนเปื้อน

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีการจัดเวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ “รู้ทัน ร่วมมือ รับมือ: ภัยสุขภาพจากแม่น้ำปนเปื้อน” เพื่อตอบสนองต่อผลกระทบของแม่น้ำกกที่พบการปนเปื้อนสารหนูใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (0.026 mg/L) และ อ.เมืองเชียงราย (0.012–0.013 mg/L) ซึ่งล้วนเกินมาตรฐานเช่นกัน

ศาสตราจารย์ ดร.สุจิตรา วงศ์เกษมจิตต์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า “แม่น้ำกกคือเส้นเลือดหลักของเชียงราย ปัญหานี้กระทบทั้งสุขภาพและระบบนิเวศ การวิจัยและความร่วมมือทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันและฟื้นฟู”

ความกังวลจากนักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานสุขภาพ

ผศ.ดร.ไกรลักษณ์ ฟักแก้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ระบุว่า สารหนูเมื่อเข้าสู่ร่างกาย แม้ในปริมาณน้อย แต่หากสะสมในระยะยาวอาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ มะเร็งผิวหนัง และส่งผลต่อระบบประสาท เด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง หากได้รับสารหนูอย่างต่อเนื่องจะกระทบพัฒนาการของสมอง

ขณะเดียวกัน รศ.ดร.ระวิวรรณ์ เจริญทรัพย์ รักษาการผู้อำนวยการ MFU Wellness Center ชี้ว่า “ไม่ควรตื่นตระหนก แต่ต้องเฝ้าระวัง หากมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทันที การหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรงเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ดีที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้”

ปัญหาจากประเทศเพื่อนบ้าน การทำเหมืองและต้นตอการปนเปื้อน

รายงานจาก อ.แม่สาย เปิดเผยว่า แม่น้ำสายมีต้นน้ำมาจากเมืองสาด ประเทศเมียนมา ห่างจากพรมแดนประมาณ 90 กิโลเมตร มีการดำเนินเหมืองแร่ 4 แห่ง โดยทุนจีน ครอบคลุมทั้งการทำเหมืองทองคำ แมงกานีส และสังกะสี ซึ่งบางแห่งสูบน้ำจากลำน้ำสายโดยตรงเพื่อฉีดพ่นดินหิน ทำให้เกิดการปนเปื้อนโลหะหนักอย่างชัดเจน

ข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่า แม่น้ำกกก็มีต้นทางจากเขตว้าแดง (พิเศษที่ 2) ซึ่งมีบริษัทเหมืองแร่ของจีนมากกว่า 23 แห่ง ทำกิจกรรมการทำเหมืองโดยไร้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ปริมาณสารหนู สารตะกั่ว และโลหะหนักอื่นๆ ไหลลงแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง

มาตรการรัฐ ยังอยู่ในขั้นประสานงาน-เฝ้าระวัง

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนให้ “งดใช้และงดสัมผัสน้ำจากแม่น้ำสาย” พร้อมส่งตัวอย่างน้ำให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง โดยเน้นว่าการผลิตน้ำประปายังมีมาตรฐานและปลอดภัยเนื่องจากผ่านกระบวนการกรองโลหะหนัก

ในขณะเดียวกัน อำเภอเชียงแสนและท้องถิ่นในเขตริมฝั่งแม่น้ำโขงได้จัดเวรตรวจน้ำและส่งข้อมูลรายงานรายสัปดาห์เพื่อเฝ้าระวังต่อเนื่อง

วิเคราะห์และข้อเสนอแนะ ปัญหาซับซ้อนที่ต้องการการจัดการข้ามพรมแดน

จากข้อมูลทั้งหมดพบว่า “ต้นตอ” ของการปนเปื้อนอาจไม่ได้อยู่ในฝั่งไทยโดยตรง หากแต่เป็นผลจากการดำเนินการของเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ผลกระทบตกอยู่กับประชาชนไทยทั้งในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาแม่น้ำในชีวิตประจำวัน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเบื้องต้น ได้แก่

  • จัดตั้งกลไกความร่วมมือไทย-เมียนมา ในการควบคุมการทิ้งของเสียลงแม่น้ำ
  • ส่งเสริมเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียในพื้นที่เสี่ยง
  • ตรวจคุณภาพน้ำในพื้นที่เสี่ยงเป็นรายไตรมาส และเปิดเผยต่อสาธารณะ
  • สนับสนุนงบประมาณวิจัย-ติดตามคุณภาพน้ำโดยสถาบันการศึกษาในพื้นที่

สถิติเกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: ≤ 0.01 mg/L ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
  • แม่น้ำสายตรวจพบสูงสุด: 0.19 mg/L (สถาบันวิจัยภัยพิบัติฯ ม.แม่ฟ้าหลวง, 2568)
  • แม่น้ำกกที่แม่อาย: 0.026 mg/L (สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1)
  • รายงานการวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด (G-Lab, เม.ย. 2568)
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การรับสารหนูสะสมในร่างกายมากเกินไปอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง, ระบบทางเดินปัสสาวะ, ตับ และความผิดปกติทางระบบประสาทในระยะยาว

แม้สถานการณ์ขณะนี้จะยังไม่ถึงขั้นวิกฤตระดับต้องอพยพ แต่หากไม่มีการแก้ไขเชิงระบบและความร่วมมือระหว่างประเทศ เชียงรายอาจต้องเผชิญกับภัยสิ่งแวดล้อมระดับวิกฤตในเวลาไม่นานจากนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในเขตภาคเหนือตอนบน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายแฟชั่นโลก ผสานผ้าชาติพันธุ์ สร้างแบรนด์ดัง

โครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3 เปิดอบรมออกแบบผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างแบรนด์เชียงรายสู่ตลาดโลก

เชียงราย, 25 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา จัดอบรมครั้งที่ 1 ภายใต้โครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3 เพื่อส่งเสริมการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างสรรค์ “เชียงรายแบรนด์” สู่เวทีโลก งานนี้ไม่เพียงมุ่งเน้นการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง แต่ยังเปิดโอกาสให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพด้านการออกแบบแฟชั่น พร้อมสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาชุมชนชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

มรดกผ้าทอและความสำคัญของเชียงราย

จังหวัดเชียงราย ถือเป็นศูนย์กลางของความหลากหลายทางวัฒนธรรมในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เช่น ไทลื้อ ไทใหญ่ ลาหู่ และกะเหรี่ยง ซึ่งแต่ละกลุ่มมีเอกลักษณ์ด้านศิลปะการทอผ้าที่สืบทอดมานานหลายศตวรรษ ผ้าทอเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนถึงอัตลักษณ์และประวัติศาสตร์ของชุมชน แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างมูลค่าในตลาดโลกได้

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การทอผ้าของกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับความสนใจจากนักออกแบบและแบรนด์แฟชั่นระดับสากล อย่างไรก็ตาม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดสมัยใหม่โดยคงไว้ซึ่งคุณค่าทางวัฒนธรรมยังคงเป็นความท้าทาย โครงการ Chiang Rai Fashion to the World จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นเวทีที่เชื่อมโยงมรดกทางวัฒนธรรมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ โดยมีเป้าหมายในการสร้าง “เชียงรายแบรนด์” ที่โดดเด่นในระดับสากล และสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผ่านการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจ

การอบรมออกแบบผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์

เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ณ ห้อง Studio 1 พิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดอบรมครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ “การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อขับเคลื่อน นโยบายที่ 7 ศูนย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (TCDC) สร้างเชียงรายแบรนด์สู่ตลาดโลก” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3

งานนี้ได้รับเกียรติจาก นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้แทนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และบริษัท เวลคัม ทู เชียงราย จำกัด (TRADER CHIANG RAI) ซึ่งร่วมกันจัดการอบรมให้ความรู้แก่กลุ่มผู้เข้าร่วมที่ประกอบด้วย:

  • นักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติเวลลิงตันคอลเลจ กรุงเทพ
  • นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • นักออกแบบและดีไซเนอร์เยาวชนรุ่นใหม่

การอบรมครั้งนี้มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการออกแบบผ้าทอของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยผสมผสานความรู้ด้านวัฒนธรรมและเทคนิคการผลิตเข้ากับแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เนื้อหาการอบรมประกอบด้วย:

  1. การบรรยายประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมผ้าทอชาติพันธุ์ลุ่มน้ำโขง โดย รศ.ดร.พลวัต ประพัฒน์ทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของผ้าทอในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รวมถึงความหมายของลวดลายและสีสันที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเชื่อของชุมชน
  2. การบรรยายเทคนิคการทอผ้าจากช่างฝีมือท้องถิ่น โดย นายกฤตพงศ์ แจ่มจันทร์ ช่างทอผ้าผู้มากประสบการณ์ ซึ่งถ่ายทอดเทคนิคการทอผ้าแบบดั้งเดิมและวิธีการปรับใช้เทคนิคเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์สมัยใหม่

ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับโอกาสในการลงมือปฏิบัติจริง โดยได้ทดลองออกแบบลวดลายและสร้างชิ้นงานต้นแบบจากผ้าทอชาติพันธุ์ ผลงานที่โดดเด่นจากการอบรมจะถูกคัดเลือกเพื่อพัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เชียงราย และนำไปจำหน่ายในงานแสดงแฟชั่นของโครงการในอนาคต

ผลกระทบต่อชุมชนและเยาวชน

โครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3 ไม่เพียงเป็นเวทีสำหรับการพัฒนาทักษะด้านการออกแบบของเยาวชน แต่ยังมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสให้กับชุมชนชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะผ่านการสนับสนุนด้านการศึกษา รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบโดยนักเรียนโรงเรียนนานาชาติเวลลิงตันคอลเลจ กรุงเทพ และนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จะถูกนำไปเป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นการสร้างวงจรแห่งโอกาสที่ยั่งยืน

นอกจากการอบรม ผู้เข้าร่วมโครงการยังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเสริมที่ช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรมเชียงรายอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เช่น:

  • พิธีสืบชะตาเสริมบุญญาบารมี ณ วัดพระธาตุดอยเวา ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญที่แสดงถึงความผูกพันของชุมชนกับความเชื่อและศาสนา
  • การเยี่ยมชมและช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่น ณ ร้าน Welcome to Chiang Rai Shop (TRADER CHIANG RAI) ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าจากผู้ประกอบการเชียงราย ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยว

กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวเชียงรายอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่น ขณะเดียวกัน การที่นักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติและนักศึกษาท้องถิ่นทำงานร่วมกันยังช่วยสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเยาวชนจากหลากหลายพื้นเพ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในอนาคต

ความท้าทายและโอกาส

โครงการ Chiang Rai Fashion to the World Season 3 สะท้อนถึงความพยายามในการผสมผสานมรดกวัฒนธรรมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเผชิญกับความท้าทายและโอกาสในหลายมิติ:

มิติด้านวัฒนธรรม การอนุรักษ์และพัฒนาผ้าทอกลุ่มชาติพันธุ์ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมและป้องกันการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่ไม่เหมาะสม การให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความหมายของผ้าทอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความเคารพในมรดกของชุมชนชาติพันธุ์

มิติด้านเศรษฐกิจ การผลักดัน “เชียงรายแบรนด์” สู่ตลาดโลกต้องเผชิญกับการแข่งขันจากแบรนด์แฟชั่นอื่นๆ ที่ใช้ผ้าทอจากภูมิภาคต่างๆ การสร้างจุดเด่นที่แตกต่าง เช่น การเน้นเรื่องราวของชุมชนชาติพันธุ์และความยั่งยืน จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์

มิติด้านการศึกษาและชุมชน การที่รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถูกนำไปเป็นทุนการศึกษาให้เด็กชาติพันธุ์เป็นแนวทางที่ยั่งยืนในการพัฒนาชุมชน อย่างไรก็ตาม การขยายผลกระทบของโครงการให้ครอบคลุมชุมชนชาติพันธุ์ในวงกว้างมากขึ้นยังคงเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไป

โอกาสที่สำคัญของโครงการนี้คือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว นอกจากนี้ การที่เยาวชนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในโครงการจะช่วยสร้างผู้นำด้านการออกแบบและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในอนาคต

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความคาดหวังของชุมชนชาติพันธุ์
ชุมชนชาติพันธุ์อาจคาดหวังว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มรายได้และรักษามรดกวัฒนธรรมของตนไว้ได้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน พวกเขาอาจกังวลว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์อาจทำให้สูญเสียความหมายดั้งเดิมของผ้าทอ หรือไม่สามารถเข้าถึงชุมชนในวงกว้างได้

ความพยายามของหน่วยงานและเยาวชน

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น จังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และบริษัท เวลคัม ทู เชียงราย แสดงถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการศึกษาเยาวชน การที่นักเรียนและนักศึกษามีส่วนร่วมในการออกแบบผลิตภัณฑ์แสดงถึงความตั้งใจในการสร้างนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

ทัศนคติ ความคาดหวังของชุมชนชาติพันธุ์ในเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและควรได้รับการตอบสนองผ่านการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน ความพยายามของหน่วยงานและเยาวชนในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นก้าวสำคัญในการผลักดันเชียงรายสู่เวทีโลก การแก้ไขปัญหาควรเน้นที่การสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ พร้อมทั้งขยายโอกาสให้ชุมชนชาติพันธุ์มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของโครงการ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. มูลค่าตลาดแฟชั่นผ้าทอในประเทศไทย ในปี 2567 ตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าทอและแฟชั่นพื้นบ้านในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 35% (ที่มา: รายงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์, 2567)
  2. จำนวนกลุ่มชาติพันธุ์ในเชียงราย จังหวัดเชียงรายมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 10 กลุ่ม คิดเป็นประชากรประมาณ 20% ของประชากรทั้งจังหวัด หรือราว 250,000 คน (ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2566)
  3. การมีส่วนร่วมของเยาวชนในเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การสำรวจของ TCDC ในปี 2566 พบว่า 70% ของเยาวชนอายุ 15–25 ปีในประเทศไทยสนใจงานด้านการออกแบบและศิลปะ แต่มีเพียง 20% ที่ได้รับโอกาสในการพัฒนาทักษะอย่างเป็นระบบ (ที่มา: รายงานการสำรวจเยาวชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์, TCDC, 2566)
  4. ผลกระทบของการศึกษาต่อชุมชนชาติพันธุ์ องค์การยูเนสโกระบุว่า การเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้เด็กในชุมชนชาติพันธุ์สามารถลดอัตราการยากจนได้ถึง 30% ภายในหนึ่งชั่วอายุคน (ที่มา: UNESCO Education Report, 2023)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)

  • สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

  • ศูนย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (TCDC)

  • องค์การยูเนสโก (UNESCO)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 เลี้ยงส่งพลทหาร ปลดประจำการ อบอุ่น

มทบ.37 จัดเลี้ยงอาหารพิเศษบำรุงขวัญพลทหารกองประจำการก่อนปลดประจำการ สร้างความสัมพันธ์และกำลังใจเพื่อชาติ

เชียงราย, 29 เมษายน 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรมเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษและมอบกำลังใจแก่พลทหารกองประจำการที่ครบกำหนดปลดประจำการ รวมถึงกำลังพลที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบแทนความทุ่มเท เสียสละ และความเข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา กิจกรรมนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองทัพบกในการดูแลขวัญกำลังใจของทหาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการรักษาความมั่นคงของชาติ

ความสำคัญของพลทหารกองประจำการ

พลทหารกองประจำการถือเป็นกำลังสำคัญของกองทัพบกไทย ด้วยภารกิจที่หลากหลาย ตั้งแต่การรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน การช่วยเหลือประชาชนในยามภัยพิบัติ ไปจนถึงการสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงภายใน ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้แนวชายแดนไทย-เมียนมาและไทย-ลาว พลทหารกองประจำการมีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องอธิปไตยและความสงบสุขของประชาชน

ตลอดระยะเวลาการรับราชการ พลทหารเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การฝึกฝนอย่างเข้มข้น ภารกิจที่ต้องปฏิบัติในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก และการอยู่ห่างจากครอบครัวเป็นสิ่งที่ทดสอบความอดทนและความมุ่งมั่นของพวกเขา การจัดกิจกรรมเพื่อบำรุงขวัญและให้กำลังใจก่อนปลดประจำการจึงเป็นวิธีหนึ่งที่กองทัพบกแสดงความขอบคุณและยกย่องความเสียสละของกำลังพลเหล่านี้

กิจกรรมเลี้ยงอาหารพิเศษและมอบกำลังใจ

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 เวลา 17.30 น. พลตรีจักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูง ได้แก่ รองผู้บัญชาการ มทบ.37, หัวหน้าฝ่ายอำนวยการ, หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ, และผู้บังคับบัญชาหน่วยขึ้นตรง ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษ ณ โรงประกอบเลี้ยง มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ดังนี้:

  1. ตอบแทนความทุ่มเทเสียสละ เพื่อยกย่องพลทหารกองประจำการที่ครบกำหนดปลดประจำการในวันที่ 30 เมษายน 2568 ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งและเสียสละตลอดระยะเวลาการรับราชการ
  2. บำรุงขวัญและกำลังใจ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่พลทหารที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงนายทหารและนายสิบที่รับผิดชอบในการปกครองและดูแลกำลังพล
  3. เสริมสร้างความสัมพันธ์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาให้มีความใกล้ชิดและเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีจำนวนทั้งสิ้น 253 นาย ประกอบด้วย

  • พลทหารกองประจำการที่ครบกำหนดปลดประจำการ
  • พลทหารกองประจำการที่ยังไม่ปลดประจำการ
  • นายทหารและนายสิบที่รับผิดชอบในการปกครองและดูแลกำลังพล

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเอง คณะผู้บังคับบัญชาทุกระดับได้ร่วมรับประทานอาหารกับพลทหารกองประจำการ พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมอบคำแนะนำอย่างใกล้ชิด เมนูอาหารที่จัดเลี้ยงได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เหมาะสมกับโอกาสพิเศษและเป็นที่ชื่นชอบของกำลังพล ซึ่งช่วยสร้างความผ่อนคลายและรอยยิ้มให้แก่ผู้เข้าร่วม

พลตรีจักรวีร์กล่าวในงานว่า “พลทหารกองประจำการทุกนายคือกำลังสำคัญของชาติ ความทุ่มเทและเสียสละของทุกคนในการปกป้องความมั่นคงและช่วยเหลือประชาชนเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ กิจกรรมในวันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราแสดงความขอบคุณ และหวังว่าทุกคนจะนำประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตต่อไป”

ความหมายและผลกระทบของกิจกรรม

กิจกรรมเลี้ยงอาหารพิเศษครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการบำรุงขวัญกำลังใจเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจในหมู่พลทหารกองประจำการที่กำลังจะปลดประจำการ รวมถึงกระตุ้นให้กำลังพลที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานต่อไป การที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยอย่างเป็นกันเองช่วยลดช่องว่างระหว่างลำดับชั้นในกองทัพ และสร้างความรู้สึกว่าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวทหาร

สำหรับพลทหารที่ครบกำหนดปลดประจำการ กิจกรรมนี้เป็นการปิดฉากการรับราชการด้วยความทรงจำที่ดีและความรู้สึกถึงคุณค่าในสิ่งที่พวกเขาได้ทำเพื่อชาติ ส่วนพลทหารที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ การได้รับกำลังใจจากผู้บังคับบัญชาจะช่วยเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการปฏิบัติภารกิจต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความท้าทายด้านความมั่นคงอย่างจังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ กิจกรรมดังกล่าวยังส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของกองทัพบกในสายตาประชาชน การแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ต่อสวัสดิการและขวัญกำลังใจของทหารกองประจำการช่วยสร้างความเชื่อมั่นในหมู่ครอบครัวและชุมชนว่า กองทัพบกให้ความสำคัญกับบุคลากรทุกระดับ และมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพล

ความสำคัญของขวัญกำลังใจในกองทัพ

การบำรุงขวัญและกำลังใจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของกองทัพ โดยเฉพาะในหมู่พลทหารกองประจำการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่เพิ่งจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและเข้าสู่การรับราชการทหารด้วยความสมัครใจหรือจากการเกณฑ์ทหาร การที่พลทหารต้องเผชิญกับความกดดันจากภารกิจและการใช้ชีวิตในระเบียบวินัยทหารอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจได้ การจัดกิจกรรมที่แสดงถึงความเอาใจใส่จากผู้บังคับบัญชาจึงมีบทบาทสำคัญในการลดความตึงเครียดและสร้างแรงจูงใจ

มิติด้านจิตใจ การได้รับการยกย่องและกำลังใจจากผู้บังคับบัญชาช่วยให้พลทหารรู้สึกถึงคุณค่าในงานที่ทำ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตนเอง การที่ผู้บังคับบัญชาร่วมรับประทานอาหารและพูดคุยอย่างใกล้ชิดยังช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหน่วย ทำให้พลทหารรู้สึกว่าได้รับการยอมรับและสนับสนุน

มิติด้านความสัมพันธ์ กิจกรรมนี้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำงานเป็นทีมในกองทัพ ความสัมพันธ์ที่ดีจะนำไปสู่การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและการปฏิบัติภารกิจที่ราบรื่นยิ่งขึ้น

มิติด้านภาพลักษณ์ ในยุคที่สังคมให้ความสนใจกับการปฏิบัติต่อทหารกองประจำการมากขึ้น การจัดกิจกรรมที่แสดงถึงความเอาใจใส่ต่อสวัสดิการและขวัญกำลังใจช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับกองทัพบก และอาจส่งผลให้เยาวชนมีความสนใจในการสมัครเป็นทหารกองประจำการมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การบำรุงขวัญกำลังใจไม่ควรจำกัดอยู่เพียงกิจกรรมครั้งคราวเท่านั้น แต่ควรมีการพัฒนาระบบสวัสดิการที่ยั่งยืน เช่น การปรับปรุงสภาพที่พัก การให้โอกาสทางการศึกษา และการสนับสนุนด้านอาชีพหลังปลดประจำการ เพื่อให้พลทหารรู้สึกว่าการรับราชการทหารเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองและมีอนาคตที่มั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนพลทหารกองประจำการในประเทศไทย ในปี 2567 กองทัพบกไทยมีพลทหารกองประจำการประมาณ 60,000–70,000 นายต่อปี โดยมีการเกณฑ์ทหารและรับสมัครทหารกองประจำการในรอบเดือนเมษายนและพฤศจิกายน (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, กองทัพบกไทย)
  2. ระยะเวลาการรับราชการ พลทหารกองประจำการมีระยะเวลาการรับราชการ 2 ปีสำหรับผู้ที่ถูกเกณฑ์ และ 1 ปีสำหรับผู้สมัครใจ (ที่มา: กฎหมายการเกณฑ์ทหาร, กระทรวงกลาโหม)
  3. ผลกระทบของขวัญกำลังใจต่อประสิทธิภาพ การวิจัยจากสถาบันวิจัยกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า การบำรุงขวัญกำลังใจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทหารได้ถึง 20–30% โดยเฉพาะในหน่วยที่ต้องปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย (ที่มา: Defense Research Institute, 2023)
  4. การสนับสนุนหลังปลดประจำการ จากการสำรวจของกระทรวงกลาโหมในปี 2566 พบว่า 65% ของพลทหารกองประจำการต้องการการสนับสนุนด้านการฝึกอาชีพหรือการศึกษาต่อหลังปลดประจำการ (ที่มา: รายงานการสำรวจความต้องการของทหารกองประจำการ, 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กองทัพบกไทย

  • กระทรวงกลาโหม

  • Defense Research Institute

  • มณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

เตือนภัยหน้าร้อน! พยาธิตืดหมูซ่อนในอาหารดิบ กินสุกปลอดภัย

การบริโภคอาหารสุก ป้องกันโรคถุงพยาธิตืดหมูในช่วงหน้าร้อน

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารดิบที่อาจปนเปื้อนพยาธิหรือเชื้อโรค กรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย “ไอ้แจ๋ว เมืองจันท์” โพสต์เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 เกี่ยวกับภาพเอกซเรย์ที่เผยให้เห็นถุงพยาธิตืดหมูในร่างกายผู้ป่วย เป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของการบริโภคอาหารดิบหรืออาหารที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคถุงพยาธิตืดหมู (Cysticercosis) และโรคอื่น ๆ ที่มากับอาหาร

อันตรายจากอาหารดิบ กรณีโรคถุงพยาธิตืดหมู

โพสต์จาก “ไอ้แจ๋ว เมืองจันท์” เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อน ขณะทำงานเป็นผู้ช่วยเอกซเรย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบภาพเอกซเรย์ของผู้ป่วยที่เผยให้เห็นถุงพยาธิตืดหมูในร่างกาย ซึ่งต่อมาอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อธิบายว่าเป็นโรค Cysticercosis เกิดจากตัวอ่อนของพยาธิตืดหมู (Taenia solium) ฝังตัวในอวัยวะต่าง ๆ เช่น กล้ามเนื้อ สมอง ลูกตา หรือหัวใจ สาเหตุหลักเกิดจากการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ หรือการที่พยาธิในลำไส้ขย้อนไข่กลับสู่กระเพาะอาหาร ไข่พยาธิจะฟักเป็นตัวอ่อน ไชผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด และฝังตัวตามอวัยวะต่าง ๆ

โรคนี้พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคกลาง จากข้อมูลระหว่างปี 2490-2547 มีผู้ป่วยประมาณ 500 ราย (ที่มา: วารสารการแพทย์ไทย) อาการขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตัวอ่อนฝังตัว เช่น อาการชักหรือปวดศีรษะหากอยู่ในสมอง หรือตาบอดหากอยู่ในลูกตา การบริโภคเนื้อหมูดิบ หรือผักที่ปนเปื้อนไข่พยาธิจากปุ๋ยคอกที่ไม่สะอาด เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อ

ความอร่อยไม่ต้องดิบก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าลิ้มลอง และเป็นที่น่าจดจำ

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งริเริ่มโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6 มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนลดการบริโภคอาหารดิบและหันมาปรุงอาหารให้สุกอย่างถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อโรคและพยาธิเจริญเติบโตได้ดี แคมเปญนี้ไม่ห้ามกินอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่ชวนให้ลองปรับเมนูดิบเป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติที่คุ้นเคยและเพิ่มความปลอดภัย

ตัวอย่างเมนูที่แนะนำ เช่น ลาบสุก ที่ใช้เนื้อหมูหรือวัวย่างจนสุกก่อนคลุกเคล้ากับเครื่องเทศและสมุนไพร หรือจิ้นส้มหมกไข่ที่เปลี่ยนจากการหมักดิบเป็นการอบหรือนึ่งจนสุก เมนูเหล่านี้ยังคงรสชาติเปรี้ยวเผ็ดและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านภาคเหนือ การเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง เช่น ตลาดที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ และล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง ช่วยลดความเสี่ยงจากไข่พยาธิและเชื้อโรคอื่น ๆ

การป้องกันโรคถุงพยาธิต T. solium คำเตือนในช่วงหน้าร้อน

กรณีโรคถุงพยาธิตืดหมูชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกในช่วงหน้าร้อน ซึ่งสภาพอากาศร้อนชื้นเอื้อต่อการเจริญเติบโตของพยาธิและเชื้อโรค เพจ Drama-addict อธิบายเพิ่มเติมว่า การติดเชื้อแบบนี้ไม่เพียงเกิดจากการกินเนื้อดิบที่มีตัวอ่อนพยาธิเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการกินผักดิบที่ปนเปื้อนไข่พยาธิจากปุ๋ยคอกที่ไม่สะอาด หรือการกินยาขับพยาธิผิดวิธีจนปล้องพยาธิขย้อนกลับสู่กระเพาะอาหาร ทำให้ไข่พยาธิฟักเป็นตัวอ่อนในร่างกาย

คำแนะนำจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ระบุถึง 5 โรคหน้าร้อนที่เกี่ยวข้องกับอาหารไม่ปลอดภัย เช่น อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ และไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยหลัก “สุก ร้อน สะอาด” การปรุงอาหารที่อุณหภูมิอย่างน้อย 63°C หรือจนเนื้อเปลี่ยนสีขาวสนิท และการแช่แข็งเนื้อหมูที่ -20°C เป็นเวลา 1-3 วัน ช่วยฆ่าตัวอ่อนพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่าการบริโภคอาหารสุกเป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบ การปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกสามารถทำได้โดยไม่ยุ่งยาก เช่น การย่างเนื้อแทนการใช้ดิบ หรือการนึ่งส่วนผสมแทนการหมัก ตัวอย่างเช่น น้ำพริกอ่องที่ใช้หมูสับปรุงสุกยังคงความเผ็ดจัดจ้าน หรือข้าวซอยไก่ย่างที่คงความหอมของเครื่องแกงไว้อย่างครบถ้วน การล้างผักและผลไม้ให้สะอาด และเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ผ่านการตรวจสอบ เช่น ตลาดที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากไข่พยาธิ

แคมเปญนี้ยังเชิญชวนให้ประชาชนแชร์เมนูสุกที่ทำเองผ่านโซเชียลมีเดียด้วยแฮชแท็ก #กิ๋นสุกเป๋นสุข #สุกอร่อยปลอดภัย และ #ลดดิบเพิ่มสุข เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ในช่วงหน้าร้อนที่ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น การเลือกกินอาหารสุกไม่เพียงป้องกันโรคถุงพยาธิตืดหมูและโรคที่มากับอาหาร แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาว กรณีภาพเอกซเรย์ที่เผยถุงพยาธิในร่างกายเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มิสยูนิเวิร์สเชียงราย 2025 มาแล้ว! เปิดรับสมัคร 15 พ.ค.

เชียงรายแถลงข่าวจัดประกวด MISS UNIVERSE CHIANG RAI 2025 อย่างเป็นทางการ

เชียงรายพร้อมเฟ้นหาสาวงามสู่เวทีระดับประเทศ

เชียงราย, 25 เมษายน 2568 – คุณชนชนก เชียงแรง ผู้ถือลิขสิทธิ์การประกวด “มิสยูนิเวิร์ส เชียงราย 2025” ได้จัดงานแถลงข่าวรายละเอียดการประกวดอย่างเป็นทางการ ณ ห้องเฮอริเทจ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีผู้สนใจ สื่อมวลชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

แนวคิดโดดเด่น “The Light of Power Brings New Hope”

การประกวดครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “The Light of Power Brings New Hope” หรือ “แสงแห่งพลังนำพาความหวังใหม่มาให้” โดยมุ่งเน้นการค้นหาผู้หญิงที่ไม่เพียงแต่มีความงามภายนอกเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดี มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก มีวิสัยทัศน์ และสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่นได้อย่างแท้จริง เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงรายในการเข้าประกวด Miss Universe Thailand 2025 ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้

ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเผยแพร่วัฒนธรรมเชียงราย

นอกจากการเฟ้นหาสาวงามตัวแทนจังหวัดเชียงรายแล้ว การประกวดครั้งนี้ยังมีเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายในมิติการท่องเที่ยวและการเผยแพร่วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์โดยรวมของจังหวัด

เปิดรับสมัครถึงวันที่ 15 พฤษภาคมนี้

ผู้สนใจเข้าร่วมประกวดสามารถสมัครและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ มิสยูนิเวิร์ส เชียงราย โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และจะมีการจัดประกวดรอบตัดสินในวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ แกรนด์คอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย

คุณชนชนก ได้รับสิทธิ์จัดประกวดที่จังหวัดพะเยาเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง

นอกจากนี้ คุณชนชนก เชียงแรง ยังได้ประกาศเพิ่มเติมว่า ตนเองได้รับลิขสิทธิ์ในการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์ส พะเยา 2025 อีกหนึ่งจังหวัด โดยรายละเอียดและกำหนดการต่างๆ ของจังหวัดพะเยาจะมีการประกาศให้ทราบอีกครั้งผ่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ มิสยูนิเวิร์ส พะเยา ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนในพื้นที่

ชวนชาวเชียงราย-พะเยาร่วมลุ้นเชียร์สาวงามตัวแทนจังหวัด

คุณชนชนกยังเชิญชวนให้ประชาชนจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา ร่วมติดตาม ร่วมเชียร์ และให้กำลังใจสาวงามที่จะเป็นตัวแทนจังหวัดเข้าร่วมประกวด Miss Universe Thailand 2025 ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยสามารถติดตามกิจกรรมและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของการประกวดได้ผ่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ มิสยูนิเวิร์ส เชียงราย และ มิสยูนิเวิร์ส พะเยา

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประกวดความงาม

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติและหน่วยงานจัดการประกวดความงามในระดับประเทศ ระบุว่า ในปี 2567 การจัดประกวดความงามในประเทศไทยมีการจัดขึ้นกว่า 200 เวที มีผู้เข้าประกวดรวมทั้งสิ้นมากกว่า 5,000 คน และมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางตรงและทางอ้อมนับแสนคนทั่วประเทศ (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE