Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

โจรขโมยสายไฟ ซิ่งมอเตอร์ไซค์ หนีด่าน ‘อ.แม่จัน’ เจอพิรุธ

ตำรวจ สภ.แม่จัน รวบผู้ต้องหาขโมยสายไฟหลวง พร้อมของกลางและหลักฐานชัดเจน – เสพยาขณะขับขี่ จ่อแจ้ง 3 ข้อหา

เริ่มต้นจากการตั้งด่านตรวจ สู่การเปิดโปงอาชญากรรมร้ายแรงกระทบสาธารณูปโภค

เชียงราย, 5 พฤษภาคม 2568 – เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรแม่จัน จังหวัดเชียงราย ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และ พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ จิตรประสาร ผู้กำกับการ สภ.แม่จัน พร้อมด้วย พ.ต.ท.ภูริวัฒ รุจิรัฐภาส รองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม พ.ต.ท.นิติการณ์ แก้วรากมุก สารวัตรป้องกันปราบปราม และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการด่านตรวจท่าข้าวเปลือก ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชายวัย 45 ปี ชื่อเล่น “นายตุลุ” (สงวนนามสกุล) พร้อมของกลางสายไฟและเครื่องมือใช้ในการโจรกรรม

การจับกุมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 หลังจากเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจบริเวณถนนบายพาสสายเชียงราย – เชียงแสน จุดตัด ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นจุดที่มักมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มกระทำผิดกฎหมายทั้งด้านยาเสพติดและการลักลอบตัดสาธารณูปโภค

พบพิรุธหนีด่าน ตรวจค้นพบบุคคลต้องสงสัยพร้อมของกลางเต็มคันรถ

ในช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่พบชายขับรถจักรยานยนต์ฮอนด้าสีแดง-ดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน วิ่งมาด้วยความเร็วจากทาง อ.เชียงแสน มุ่งหน้าเข้า อ.เมืองเชียงราย เมื่อเห็นด่านตรวจได้พยายามกลับรถและหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงไล่ติดตามจนสามารถสกัดรถไว้ได้ที่บริเวณหน้าตลาดชุมชน

จากการตรวจค้นเบื้องต้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายในตัวผู้ต้องหา แต่บริเวณเบาะท้ายรถจักรยานยนต์พบของกลางสำคัญ ได้แก่

  1. สายไฟชนิด CV2C ขนาด 35 มม. ยาวประมาณ 8 เมตร
  2. สายไฟชนิด CV2C ขนาด 4 เมตร จำนวน 1 เส้น
  3. เครื่องมือช่าง ได้แก่ ชะแลง 1 อัน, เลื่อยเหล็ก 1 ปื้น และจอบขุดดินอีก 1 อัน

ขณะเดียวกัน นายตุลุ ได้ยอมรับต่อเจ้าหน้าที่ว่าได้เสพยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) มาก่อนหน้านี้ และผลตรวจปัสสาวะพบสารเสพติดประเภทที่ 1 ในร่างกายจริงตามที่กล่าวอ้าง

ยืนยันของกลางเป็นทรัพย์สินราชการ พร้อมลงพื้นที่พิสูจน์การโจรกรรม

เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งไปยังแขวงทางหลวงชนบทเชียงรายเพื่อตรวจสอบของกลาง โดยวิศวกรและเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคได้ยืนยันว่า สายไฟดังกล่าวเป็นชนิดเดียวกันกับที่ใช้ในโครงการไฟส่องสว่างริมทาง โดยเฉพาะในเขตถนนหมายเลข ชร.1063 ซึ่งเชื่อมกับทางหลวงหมายเลข 1

ต่อมา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมพร้อมเจ้าหน้าที่แขวงฯ ได้เดินทางไปตรวจสอบบริเวณ กม. 32+500 บ้านทับกุมารทอง หมู่ 8 ตำบลท่าข้าวเปลือก และพบว่ามีสายไฟที่ถูกตัดออกหายไปจากเสาไฟริมทาง ซึ่งตรงกับจำนวนและชนิดของสายไฟที่ตรวจพบในเบาะรถผู้ต้องหา

ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงชนบทเชียงรายจึงได้มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายนี้ในทันที

แจ้ง 3 ข้อหาหนักตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายยาเสพติด

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหากับนายตุลุ รวม 3 ข้อหาหนัก ได้แก่

  1. ลักทรัพย์ของทางราชการ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ใช้หรือครอบครองเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสอง ประกอบกับมาตรา 336 และ 337 ซึ่งการลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการก่อเหตุ จะมีโทษเพิ่มขึ้นจากลักทรัพย์ทั่วไป โดยมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท
  2. ขับขี่ยานพาหนะขณะเสพสารเสพติด ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก มาตรา 43(8) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลมีอำนาจสั่งพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
  3. เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2564 มาตรา 57(1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายตุลุส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

วิเคราะห์ผลกระทบของการลักทรัพย์สาธารณะต่อสังคม

การลักทรัพย์ในลักษณะเช่นนี้ ถือเป็นภัยร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่พึ่งพาแสงสว่างจากไฟถนนในการเดินทาง การตัดสายไฟส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุจากความมืด และส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจแก่ภาครัฐที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมใหม่

นอกจากนี้ ยังเป็นการลดทอนศักยภาพของรัฐในการดูแลโครงข่ายทางหลวงชนบท และทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อมาตรการรักษาความปลอดภัยของรัฐลดลง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ตามข้อมูลจาก กรมทางหลวงชนบท พบว่าในปี 2566 มีกรณีลักทรัพย์ระบบไฟส่องสว่างทางหลวงชนบทรวมทั้งสิ้น 218 ครั้งทั่วประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ราว 18%
  • จังหวัดเชียงรายพบเหตุลักสายไฟบนทางหลวงชนบทรวม 12 กรณี ในปี 2566 โดยมากกระจุกตัวอยู่ในเขตอำเภอแม่จันและเชียงแสน
  • งบประมาณที่รัฐต้องจ่ายในการซ่อมแซมไฟถนนที่ถูกขโมยหรือทำลาย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 85 ล้านบาท/ปี ทั่วประเทศ
  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) รายงานว่า ในปี 2567 มีผู้ขับขี่ยานพาหนะที่ตรวจพบสารเสพติดในระบบรวมทั้งสิ้น 13,271 ราย โดย 76% เป็นการตรวจพบเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมทางหลวงชนบท

  • ป.ป.ส.

  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

  • สถานีตำรวจภูธรแม่จัน จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ยึด 2,800 กล้าทุเรียน เตรียมส่งข้ามโขง สปป.ลาว

นรข.เชียงรายตรวจยึดต้นกล้าทุเรียนกว่า 2,800 ต้น ลักลอบส่งออกข้ามแดนปลายทาง สปป.ลาว ผ่านแม่น้ำโขง

การขยายตัวของพืชเศรษฐกิจและความเคลื่อนไหวในพื้นที่ชายแดน

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – เจ้าหน้าที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย ได้ดำเนินการตรวจยึดต้นกล้าทุเรียนจำนวนกว่า 2,800 ต้น ที่ถูกลักลอบขนส่งผ่านแม่น้ำโขงเพื่อส่งออกไปยัง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายควบคุมพืชพรรณของประเทศ

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่มีความซับซ้อนมากขึ้นของขบวนการลักลอบค้าพืชเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในฤดูเพาะปลูกและฤดูแล้งที่การขนส่งทางน้ำมีความสะดวกมากกว่าช่วงอื่น

ปฏิบัติการตรวจยึดของกลางริมแม่น้ำโขง

เจ้าหน้าที่ทหารเรือจากสถานีเรือเชียงของ นำโดย ร.ท.สัญญา จันจี รักษาราชการแทนหัวหน้าสถานีฯ ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่า จะมีการลักลอบนำต้นกล้าทุเรียนออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร บริเวณริมแม่น้ำโขง พื้นที่บ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

หลังได้รับแจ้งดังกล่าว หน่วยลาดตระเวนจึงจัดกำลังพลพร้อมเรือจู่โจมทางน้ำออกปฏิบัติหน้าที่ทันที ต่อมาในช่วงค่ำ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบเรือยนต์ขนาดเล็กหรือ “เรือกาบ” สีดำ ลอยลำและจอดอยู่บริเวณดอนกรวด ใกล้หมู่บ้านที่ได้รับแจ้ง โดยมีชายผู้ต้องสงสัย 1 คนกำลังควบคุมเรือ

เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าใกล้จุดตรวจสอบ ชายคนดังกล่าวได้ไหวตัวทันและหลบหนีขึ้นฝั่งไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจค้นภายในเรือ และพบตะกร้าบรรจุต้นกล้าทุเรียนจำนวนมาก คาดว่าทั้งหมดมีจำนวนกว่า 2,800 ต้น บรรจุอยู่ในตะกร้าพลาสติกสีแดงรวม 21 ตะกร้า

ส่งของกลางให้ด่านศุลกากรเชียงของดำเนินคดีตามกฎหมาย

หลังการตรวจยึดเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ได้นำเรือและต้นกล้าทุเรียนของกลางทั้งหมด ส่งมอบให้ด่านศุลกากรเชียงของเพื่อดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507

ทั้งนี้ การส่งออกต้นกล้าพันธุ์พืชจะต้องมีการตรวจสอบและได้รับใบอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร และผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้องก่อน จึงจะสามารถเคลื่อนย้ายข้ามแดนได้ หากไม่ปฏิบัติตามจะเข้าข่ายเป็นการลักลอบนำออกนอกราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย

ความเคลื่อนไหวของตลาดทุเรียนในภูมิภาค

ทุเรียนถือเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจหลักของไทย โดยเฉพาะในตลาดส่งออก ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศจีน เวียดนาม และ สปป.ลาว โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงของลาวเริ่มหันมาปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์มากขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการต้นกล้าคุณภาพสูงจากฝั่งไทย ซึ่งขึ้นชื่อในด้านสายพันธุ์และการเพาะเลี้ยง

ขบวนการลักลอบนำเข้าต้นกล้าทุเรียนจึงมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของตลาดทุเรียนในลาวและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนับเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้เป็นโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่สนใจผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของพรมแดน

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ พันธุกรรมพืช และความมั่นคงด้านเกษตร

การลักลอบส่งออกต้นกล้าพันธุ์พืช นอกจากจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาการสูญเสียพันธุกรรมพืชท้องถิ่น ซึ่งเป็นทรัพยากรทางเกษตรที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์สูง หากสายพันธุ์พืชสำคัญตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี หรือไม่มีการควบคุมที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในอนาคต

นอกจากนี้ หากมีการนำต้นกล้าปลอม หรือมีเชื้อโรคแฝงออกไป อาจสร้างปัญหาด้านสุขอนามัยพืชในภูมิภาค และทำให้ไทยถูกลดอันดับมาตรฐานการส่งออกในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเกษตรกรรมไทย

ความพยายามร่วมของหน่วยงานความมั่นคงชายแดน

หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในลำน้ำโขง โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือที่ติดกับชายแดนลาว การลาดตระเวนเชิงรุกและการประสานข่าวกรองกับชุมชนในพื้นที่ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสกัดกั้นการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย รวมถึงสินค้าการเกษตร

การจับกุมในครั้งนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่ช่วยแจ้งเตือนภัยและร่วมกันเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งต้นทางของการกระทำผิดกฎหมายข้ามชาติ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจาก กรมวิชาการเกษตร (2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีการขออนุญาตส่งออกต้นกล้าทุเรียนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างถูกต้องเฉลี่ยเพียง 9,400 ต้นต่อปี ในขณะที่พบการลักลอบนำออกกว่า 3,000-5,000 ต้น/ปี
  • ศูนย์บัญชาการป้องกันชายแดนภาคเหนือ (2567) รายงานว่าในรอบปีงบประมาณ 2567 มีการตรวจยึดต้นกล้าทุเรียนลักลอบส่งออกในภาคเหนือรวม 12 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าของกลางกว่า 3.2 ล้านบาท
  • สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 เปิดเผยว่า การลักลอบส่งออกพืชเศรษฐกิจโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 17% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบทศวรรษ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมวิชาการเกษตร
  • ศูนย์บัญชาการป้องกันชายแดนภาคเหนือ
  • สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สปป.ลาว ปะทะหนัก กระสุนข้ามแดนตกบ้านเชียงราย

ความตึงเครียดชายแดนไทย-ลาว ฐานทหาร สปป.ลาว ถูกโจมตี กระสุนทะลุบ้านเรือนในฝั่งไทย

สถานการณ์ชายแดนไทย-ลาวตึงเครียด หลังเกิดเสียงปืนหลายจุดในฝั่ง สปป.ลาว

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-ลาว ด้านอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย หลังมีเสียงปืนดังเป็นระยะจากฝั่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) บริเวณเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพื้นที่บ้านร่มฟ้าผาหม่น หมู่ 15 ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น โดยเสียงปืนดังขึ้นหลายจุดติดต่อกันและกินเวลาหลายชั่วโมง สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงของฝั่งไทย

พลตรีกิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง ได้มอบหมายให้พันเอกไพรัช ศรีไชยวาล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 31 เข้าตรวจสอบสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยพบว่าเสียงปืนดังกล่าวมาจากพื้นที่บ้านพูผามน เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยไม่มาก และยังได้ยินเสียงในหลายจุดที่อยู่ตรงกันข้ามกับตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น ตลอดแนวพื้นที่ตั้งแต่ผาตั้งไปจนถึงภูชี้ฟ้า

ผลกระทบข้ามแดน กระสุนปืนทะลุหลังคาบ้านชาวบ้านฝั่งไทย

ในช่วงเกิดเหตุปะทะกัน มีรายงานว่าหัวกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. จำนวน 1 นัด ตกลงมาในพื้นที่ฝั่งไทย โดยกระสุนทะลุหลังคาบ้านของชาวบ้านในหมู่บ้านร่มฟ้าผาหม่น ตำบลปอ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้สร้างความวิตกกังวลอย่างมากให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และทำให้เจ้าหน้าที่ทหารของกองกำลังผาเมืองต้องวางกำลังเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนอย่างเข้มงวด

หน่วยทหารได้ยืนยันว่ากระสุนที่ตกลงมานั้นน่าจะมาจากการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายกับกองกำลังของ สปป.ลาว โดยบริเวณที่เกิดเสียงปะทะนั้นอยู่ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 2 กิโลเมตร และยังคงมีเสียงดังต่อเนื่องในบางช่วง

ไทยขอความร่วมมือ สปป.ลาว เร่งตรวจสอบและป้องกันเหตุซ้ำ

พลตรีกิดากร จันทรา ได้มีหนังสือประสานไปยังหัวหน้าชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนลาว-ไทย แขวงบ่อแก้ว เพื่อขอให้ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด พร้อมทั้งแสดงความห่วงใยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝั่งไทย ซึ่งส่งผลต่อความปลอดภัยและความรู้สึกของประชาชนบริเวณแนวชายแดน

ในหนังสือดังกล่าว ยังได้ขอความร่วมมือจากทางการ สปป.ลาว ให้แจ้งเตือนล่วงหน้าหากมีความเคลื่อนไหวหรือเหตุการณ์สำคัญ เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถเตรียมการป้องกันและแจ้งเตือนประชาชนได้ทันท่วงที ทั้งนี้ ไทยให้ความสำคัญต่อการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศและการเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของทั้งสองฝ่ายอย่างสูงสุด

ลาวเตรียมการรับมือ-สั่งเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดน

ภายหลังเหตุการณ์ สปป.ลาว ได้มีการสั่งการในระดับพื้นที่ โดยเจ้าเมืองต่างๆ ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้นำชุมชน และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่เสี่ยง โดยเน้นย้ำให้เฝ้าระวังกลุ่มคนไม่หวังดีและกองกำลังติดอาวุธที่อาจเข้ามาก่อความไม่สงบเพิ่มเติม

คำสั่งยังรวมถึงการเตรียมความพร้อมทั้งกำลังพล อาวุธ และแผนเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะบริเวณป้อมชายแดนที่อาจตกเป็นเป้าหมายการโจมตี

วิเคราะห์สถานการณ์ ความมั่นคงของชายแดนไทย-ลาวในบริบทความเปลี่ยนแปลง

เหตุการณ์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่สะท้อนถึงความเปราะบางของสถานการณ์ชายแดนไทย-ลาว แม้ทั้งสองประเทศจะมีความสัมพันธ์ที่ดีและให้ความร่วมมือในหลายด้าน แต่ภัยคุกคามจากกองกำลังนอกระบบหรือกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ชัดเจนทางฝ่าย อาจกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งที่กระทบต่อประชาชนและการค้าชายแดนได้อย่างไม่คาดคิด

การที่กระสุนตกมายังฝั่งไทยแม้เพียงหนึ่งนัด ย่อมเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องรับมือด้วยความรอบคอบ และไม่ควรมองข้ามความเสี่ยงที่อาจลุกลาม

ข้อเสนอเชิงนโยบายและการดำเนินการต่อไป

เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลักษณะนี้ในอนาคต จำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยและลาวจะต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐ ร่วมกันวางแนวทางป้องกันที่ครอบคลุมทั้งทางทหารและการข่าว พร้อมทั้งเปิดช่องทางสื่อสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในยามฉุกเฉิน

ควรมีการจัดเวทีหารือหรือคณะกรรมการร่วมชายแดน (Joint Border Committee – JBC) เพื่อประเมินความเสี่ยงและปรับแผนการรับมือในสถานการณ์ชายแดนร่วมกันเป็นระยะ

ผลกระทบต่อประชาชนและความเชื่อมั่นในความมั่นคงของพื้นที่

ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับธรรมชาติและการค้าชายแดน การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำ ๆ อาจทำให้ประชาชนขาดความมั่นใจในความปลอดภัย และส่งผลต่อเศรษฐกิจฐานรากของพื้นที่ที่พึ่งพาความสงบในการดำเนินชีวิต

หน่วยงานภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับชุมชนในแนวชายแดน เพื่อสร้างความเข้าใจ ลดความตื่นตระหนก และรักษาเสถียรภาพทางสังคม

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อความมั่นคงภาคเหนือ (2566) พื้นที่แนวชายแดนไทย-ลาวในภาคเหนือมีจุดเสี่ยงด้านความมั่นคงมากกว่า 36 จุด โดยเฉพาะในเขตจังหวัดเชียงรายและน่าน
  • รายงานจากศูนย์สันติภาพและความมั่นคง (Peace & Security Studies Center) ระบุว่าในช่วงปี 2565-2567 มีเหตุการณ์กระสุนข้ามแดนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงถึง 14 ครั้ง แม้ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ส่งผลต่อจิตวิทยาชุมชนชายแดน
  • สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (สมัยรัฐบาลปี 2567) มีข้อเสนอให้เพิ่มงบประมาณสนับสนุนหน่วยเฉพาะกิจชายแดน เพื่อการลาดตระเวนและเฝ้าระวังเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่มีความเปราะบางสูง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเพื่อความมั่นคงภาคเหนือ

  • Peace & Security Studies Center

  • สำนักความมั่นคงแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“Art for Earth” เชียงราย 111 ศิลปิน รวมพลัง สร้างงานรักษ์โลก

Art for Earth 2025 จุดเปลี่ยนพลังศิลปะเพื่อโลก ณ เชียงราย

พลังศิลปะร่วมสมัยสู่การเปลี่ยนแปลง

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – โครงการ “Art for Earth” ซึ่งจัดขึ้น ณ ศรีดอนมูล อาร์ต สเปซ (Sridonmoon Art Space) อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดย รองศาสตราจารย์ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ ได้รับการสนับสนุนหลักจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมการร่วมมือจากหลายภาคี ทั้ง Bangkok Art Biennale Foundation, ThaiBev, Master Plan 101, พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM), สมาคมขัวศิลปะ และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

โครงการนี้มุ่งเป้าเพื่อปลุกพลังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการสร้างสรรค์งานศิลปะ พร้อมถ่ายทอดแนวคิด “รักษ์โลก” ไปสู่สาธารณชน

รวมตัวศิลปินแห่งชาติ สร้างพลังศิลป์เพื่อสิ่งแวดล้อม

ศิลปินแห่งชาติและศิลปินชื่อดังระดับประเทศจำนวน 111 คน เข้าร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2568 โดยมีเป้าหมายให้ศิลปะเป็นเครื่องมือกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้คนที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งการลดขยะ ลดการทำลายธรรมชาติ และร่วมฟื้นฟูโลกใบนี้อย่างจริงจัง

อาจารย์ศรีวรรณกล่าวว่า “งานศิลปะไม่ใช่แค่ความงาม แต่คือพลังที่ปลุกเร้าความรู้สึกภายในให้ผู้คนลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างลึกซึ้ง”

พิธีเปิดโครงการและความร่วมมือหลายภาคส่วน

พิธีเปิดโครงการมีการกล่าวแสดงความยินดีจาก อาจารย์ ดร.นฤมล โชติเวช และกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการโดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย ศาตรเมธร ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ และ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมทำพิธีตัดริบบิ้นเปิดโครงการอย่างสมเกียรติ

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน นับเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมสู่รูปธรรม

ศิลปะที่ไม่เพียงงดงาม แต่มีเป้าหมายเพื่อโลก

ผลงานศิลปะทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นในโครงการจะถูกจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม – 31 พฤษภาคม 2568 ระหว่างเวลา 09:00 – 17:30 น. (ปิดวันจันทร์) โดยรายได้จากการจำหน่ายผลงานจะนำไปสนับสนุนหน่วยงานที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมในจังหวัดเชียงราย

แนวคิดเบื้องหลังคือ การให้ศิลปะทำหน้าที่ไม่เพียงแต่ “พูดแทนธรรมชาติ” แต่ยัง “สร้างการเปลี่ยนแปลง” อย่างเป็นรูปธรรม

โลกที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ

ปัญหาโลกร้อน น้ำท่วม ภัยแล้ง และวิกฤตขยะทะเล เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่ไม่เคยรุนแรงเท่านี้มาก่อน เกิดขึ้นจากความไม่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม

โลกกำลังส่งสัญญาณเตือนในทุกทิศทาง ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ และการสูญเสียของสิ่งมีชีวิต งานนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อปลุกเร้าความเข้าใจ ความตระหนักรู้ และการลงมือทำของผู้คนทั่วประเทศ

Chiangrai Art for Earth จุดเชื่อมโยงศิลปะกับธรรมชาติ

โครงการ “Chiangrai Art for Earth 2025” คือเวทีที่เปิดโอกาสให้ศิลปินได้ใช้ศิลปะเป็นภาษาสื่อสารกับประชาชนทุกกลุ่ม โดยไม่จำกัดอายุ เพศ หรือสถานะ ทุกคนสามารถเข้าถึง เข้าใจ และมีส่วนร่วมได้

แนวคิดหลักของงานครั้งนี้คือการสร้าง “ประสบการณ์ร่วม” ที่จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ เพื่อสร้างความยั่งยืนแก่สิ่งแวดล้อมในระยะยาว

กิจกรรมที่จัดขึ้นภายในโครงการ

ภายในงานมีทั้งเวิร์กช็อปสร้างงานศิลปะ การเสวนาเรื่องศิลปะกับสิ่งแวดล้อม การเปิดเวทีให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้แสดงผลงานและแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมผ่านงานศิลป์

กิจกรรมทุกอย่างดำเนินภายใต้แนวทางของความร่วมมือ การเคารพธรรมชาติ และการเรียนรู้จากศิลปินรุ่นใหญ่สู่รุ่นใหม่

เสียงจากศิลปิน ศิลปะคือเครื่องมือปลุกจิตสำนึก

ศิลปินหลายท่านเห็นตรงกันว่า “ศิลปะคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการปลุกจิตสำนึกของมนุษย์” เพราะมันเข้าไปถึงใจโดยไม่ต้องแปล

บางชิ้นงานสะท้อนความปวดร้าวของธรรมชาติ บางชิ้นเน้นภาพโลกในอนาคตหากไม่ลงมือเปลี่ยนแปลง บางชิ้นเผยความงามของธรรมชาติที่ยังพอมีให้รักษา

การตอบรับจากประชาชนและผู้ร่วมชมงาน

ประชาชนที่เข้าร่วมงานต่างรู้สึกตื่นเต้น ประทับใจ และตระหนักในปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หลายคนแสดงความตั้งใจว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมประจำวัน เช่น ลดพลาสติก เลือกซื้อของที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนศิลปินที่มีเป้าหมายเพื่อโลก

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ปี 2567 ประเทศไทยมีปริมาณขยะทะเลสูงถึง 52,000 ตัน/ปี
  • รายงานจากกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า ปี 2567 มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปีถึง 1.3 องศาเซลเซียส
  • ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามลภาวะทางอากาศคร่าชีวิตคนไทยประมาณ 50,000 คนต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ

  • กรมอุตุนิยมวิทยา

  • WHO 2024

  • พิสันต์ จันทร์ศิลป์
  • Sridonmoon Art Space
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พลังเยาวชน เล่าเรื่อง Climate Change ผ่านหนังสั้น

เชียงรายจัดกิจกรรม LearnScape climateX ส่งเสริมเยาวชนสร้างสารคดีแก้ไขปัญหาภาวะโลกรวน

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – พิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม จัดกิจกรรมสำคัญ “LearnScape climateX” เพื่อส่งเสริมบทบาทเยาวชนในการผลิตสื่อสารคดีสั้นแก้ไขปัญหาภาวะโลกรวนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอเวียงป่าเป้า ณ พิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น.

งานนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อปลูกฝังความรู้ สร้างจิตสำนึก และเสริมสร้างทักษะการเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์สารคดีสั้นให้กับเยาวชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะการถ่ายทอดมุมมองการเผชิญหน้ากับปัญหาภาวะโลกรวนที่กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงจังหวัดเชียงรายเองด้วย

จุดเริ่มต้นของโครงการสำคัญเพื่อเยาวชน

กิจกรรม LearnScape climateX เริ่มต้นจากแนวคิดที่ว่า เยาวชนถือเป็นกำลังสำคอันสำคัญในการสื่อสารและเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมเกี่ยวกับปัญหาภาวะโลกรวน โครงการนี้จึงถูกริเริ่มขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของเยาวชนรุ่นใหม่ในการเป็นนักเล่าเรื่อง ผ่านการสร้างภาพยนตร์สารคดีสั้นที่สามารถสะท้อนปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และนำเสนอทางออกที่สามารถนำไปใช้แก้ไขปัญหาได้จริง

ในพิธีเปิดกิจกรรมครั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.พลวัฒ ประพัฒน์ทอง หัวหน้าโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายธนวัฒน์ ตาลสุข หัวหน้าโครงการ กล่าวถึงภาพรวมกิจกรรมและวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายในพื้นที่ โดยมีนายสุพจน์ ทนทาน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ เข้าร่วมเป็นผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เพื่อแสดงถึงความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐในกิจกรรมที่สำคัญนี้

กิจกรรมฉายภาพยนตร์สารคดีสั้น สะท้อนปัญหาภาวะโลกรวน

ภายในกิจกรรมได้มีการฉายภาพยนตร์สารคดีสั้นจำนวน 5 เรื่อง ที่สร้างสรรค์โดยเยาวชนในพื้นที่อำเภอเวียงป่าเป้า (บ้านห้วยหินลาดใน) จังหวัดเชียงราย โดยภาพยนตร์แต่ละเรื่องนำเสนอปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากภาวะโลกรวน ผ่านมุมมองและประสบการณ์จริงของชุมชน ประกอบด้วยภาพยนตร์ดังนี้

  1. เรื่อง คนหลังเขา สะท้อนชีวิตของผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงในพื้นที่ห่างไกล
  2. เรื่อง กลอเกละ ถ่ายทอดวิถีชีวิตของชนเผ่ากะเหรี่ยงและการปรับตัวในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  3. เรื่อง Modus Vivendi เล่าถึงแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
  4. เรื่อง ศรัทธาแห่งป่า สื่อถึงความศรัทธาและความเชื่อในการรักษาผืนป่าของชุมชนท้องถิ่น
  5. เรื่อง คนรวน โลกก็รวน นำเสนอการตระหนักถึงบทบาทของมนุษย์ที่มีส่วนในการสร้างผลกระทบต่อโลกและสิ่งแวดล้อม

สนทนาเชิงลึกกับนักเล่าเรื่องรุ่นเยาว์

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากนักเล่าเรื่องรุ่นเยาว์ที่ได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บข้อมูลจริง โดยมีนายธนบดินทร์ วงค์ตะวัน นายวิโพ โตเชอ นายคฑาเดช ใจเที่ยง และนางสาวณัฐชนันท์ สุริยะวงศ์ ร่วมถ่ายทอดบทเรียนที่ได้จากการทำงานภาคสนาม และการทำหน้าที่ของเยาวชนในการนำเสนอข้อมูลเพื่อสร้างการรับรู้ของสังคม

กิจกรรมสนทนาดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ และนางสาวปวริศา เอลิช แน็ปป์ ซึ่งได้กระตุ้นให้เยาวชนและผู้เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนมุมมอง และนำไปสู่การค้นหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกรวนที่เหมาะสมและยั่งยืนสำหรับชุมชนท้องถิ่น

จุดวิเคราะห์และแนวทางการแก้ไขปัญหา

จากการนำเสนอภาพยนตร์สารคดีสั้นและการสนทนา พบว่า ปัญหาภาวะโลกรวนส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้านในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางระบบนิเวศสูง เช่น พื้นที่ป่าต้นน้ำที่บ้านห้วยหินลาดใน อำเภอเวียงป่าเป้า ดังนั้น การสร้างความตระหนักรู้ในหมู่เยาวชนและชุมชนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

แนวทางสำคัญที่ถูกเสนอในกิจกรรมครั้งนี้คือการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยใช้การผลิตสื่อสารคดีจากเยาวชนเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร สร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระดับชุมชน ซึ่งสามารถขยายผลไปสู่สังคมในวงกว้าง

สถิติและข้อมูลสนับสนุน

จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ มีปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมซ้ำซากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้ชุมชนมีความพร้อมรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ปี 2567 รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประเทศไทย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รายงานผลการดำเนินงานโครงการ LearnScape climateX ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นายก อบจ. ยกฉัตรเจดีย์ วัดห้วยก้าง เสริมสิริมงคล

เชียงรายจัดยิ่งใหญ่ พิธียกฉัตรเจดีย์วัดห้วยก้าง ประชาชนแห่ร่วมขอพรเพื่อความสิริมงคล

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – ณ วัดห้วยก้าง ตำบลไม้ยา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธียกฉัตรเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ โดยมีนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ให้เกียรติเป็นประธานฝ่ายฆราวาส และพระครูโกศลกิจจานุกิจ (บุญมา) เจ้าคณะอำเภอพญาเม็งราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ท่ามกลางความร่วมมือจากหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ พุทธศาสนิกชน และประชาชนจำนวนมากที่เดินทางมาร่วมพิธีเพื่อขอพร เสริมสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

พิธียกฉัตรเจดีย์ในครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป โดยบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยศรัทธาและความเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนที่เดินทางมาจากทั่วทั้งจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างคับคั่ง

จุดเริ่มต้นและความสำคัญของพิธียกฉัตรเจดีย์

ฉัตร ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรแห่งพระรัตนตรัย อันหมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ การยกฉัตรขึ้นประดิษฐานบนยอดเจดีย์จึงถือเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีความหมายถึงการสักการะบูชาพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังแสดงถึงการรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงามที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

วัดห้วยก้างเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอพญาเม็งรายและใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือมาอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดพิธียกฉัตรครั้งนี้จึงได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ต่างพร้อมใจกันจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล และสร้างขวัญกำลังใจให้กับชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง

บรรยากาศในพิธีและกิจกรรมภายในงาน

ภายในพิธีเริ่มต้นด้วยพิธีสงฆ์ พระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล ก่อนเข้าสู่พิธียกฉัตรเจดีย์ซึ่งเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน โดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้ทำพิธีถวายเครื่องสักการะบูชา และร่วมประกอบพิธีทางศาสนากับพระครูโกศลกิจจานุกิจ (บุญมา) เจ้าคณะอำเภอพญาเม็งราย

พิธียกฉัตรเจดีย์ดำเนินไปด้วยความสง่างาม มีการเชิญฉัตรที่ประดับตกแต่งด้วยวัสดุอันประณีตงดงาม ขึ้นประดิษฐานไว้บนยอดเจดีย์ ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์ และเสียงอธิษฐานขอพรจากประชาชนที่มาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก หลังจากพิธีกรรมสำเร็จลุล่วง ประชาชนที่มาร่วมงานต่างพร้อมใจกันกราบไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด เพื่อความสงบสุขและเป็นมงคลในชีวิต

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น การแสดงดนตรีพื้นบ้าน การจัดเลี้ยงอาหารแบบท้องถิ่น เพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองระหว่างคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนพูดคุย และกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวบ้านในพื้นที่อีกด้วย

การอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่น

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวภายในงานว่า การจัดพิธียกฉัตรเจดีย์ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ดีงามแล้ว ยังเป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน และส่งเสริมให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์นี้อีกด้วย

พระครูโกศลกิจจานุกิจ (บุญมา) เจ้าคณะอำเภอพญาเม็งราย ได้กล่าวเสริมว่า การที่ชาวบ้านและหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันจัดพิธีกรรมทางศาสนาเช่นนี้ ถือเป็นการบ่มเพาะจิตสำนึกให้ประชาชนมีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียว และช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนทางด้านจิตใจอีกด้วย

วิเคราะห์ผลดีของการจัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมในชุมชน

การจัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมเช่นพิธียกฉัตรเจดีย์นี้ มีส่วนสำคัญในการสร้างความสงบสุขและความมั่นคงทางจิตใจของประชาชน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างเผชิญกับความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และปัญหาอื่นๆ กิจกรรมเช่นนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยบรรเทาความเครียด และสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้เข้าร่วมพิธี

อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังและส่งเสริมค่านิยมทางสังคมที่ดีงาม เช่น การมีน้ำใจ การแบ่งปัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาชุมชนให้มีความยั่งยืนในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาในจังหวัดเชียงราย

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2567) พบว่า ในแต่ละปี จังหวัดเชียงรายมีการจัดพิธีกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมกว่า 500 ครั้งต่อปี โดยมีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 200,000 คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

บทสรุปและแนวทางในอนาคต

พิธียกฉัตรเจดีย์วัดห้วยก้างครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย โดยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และคณะสงฆ์ ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การจัดกิจกรรมเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง และขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วจังหวัดเชียงรายในอนาคต เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและความยั่งยืนของวัฒนธรรมประเพณีไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2567), รายงานประจำปี 2567
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (2567), รายงานกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมประจำปี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อนุรักษ์ ‘หนองฮ่าง’ กรมน้ำฯ ถกแผนฟื้นฟูระบบนิเวศ

เชียงรายเดินหน้าฟื้นฟู “พื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่าง” มุ่งอนุรักษ์ระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 2 พฤษภาคม 2568 – กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมปัจฉิมนิเทศโครงการค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเหมาะสม สำรวจ ออกแบบพื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่าง จังหวัดเชียงราย เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศ และทรัพยากรธรรมชาติ ณ ห้องประชุมศรีจอมทอง ชั้น 2 โรงแรมไชยนารายณ์ ริเวอร์ไซด์ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายบุญเกิด ร่องแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ผู้แทนกรมทรัพยากรน้ำ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ และประชาชนผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียง

จุดเริ่มต้นของโครงการและความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่าง

โครงการนี้มีจุดเริ่มต้นจากความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของพื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่าง จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตตำบลทานตะวัน ตำบลหัวง้ม และตำบลม่วงคำ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ครอบคลุมพื้นที่รวมประมาณ 1,743 ไร่ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่างประกอบด้วยแหล่งน้ำขนาดเล็ก 3 แห่ง และที่ราบลุ่มแม่น้ำฮ่าง มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าหลากหลายชนิดทั้งสัตว์น้ำ สัตว์บก และนกอพยพที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง เป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การประมง และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย

เนื่องจากที่ผ่านมาพื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่างเผชิญกับปัญหาสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่เหมาะสม ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ การขยายตัวของชุมชน รวมถึงปัญหาคุณภาพน้ำที่ด้อยลงจากกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้กรมทรัพยากรน้ำจำเป็นต้องเร่งดำเนินการศึกษา สำรวจ ออกแบบมาตรการที่เหมาะสมเพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้อย่างยั่งยืน

การประชุมปัจฉิมนิเทศ สู่การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อสรุปผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการที่ได้ดำเนินงานมาตลอดช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันของทุกฝ่าย และนำไปสู่การจัดทำแผนแม่บทการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่างอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ เพื่อให้ข้อเสนอแนะต่างๆ ได้ถูกนำไปประกอบการปรับปรุงแก้ไขรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา และตรงกับความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการนำเสนอข้อมูลสรุปแผนแม่บทสำหรับการอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศ พร้อมด้วยมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงแผนการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่างแบบบูรณาการ โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมในประเด็นสำคัญ เช่น การควบคุมการใช้ที่ดินในพื้นที่ การฟื้นฟูคุณภาพน้ำให้กลับมาสู่สภาพปกติ การจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังและติดตามสภาพแวดล้อม และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม

วิเคราะห์ความสำเร็จและข้อเสนอแนะจากการประชุม

จากการประชุม มีข้อเสนอแนะสำคัญจากประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง คือ การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เน้นให้ประชาชนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ และการพัฒนาทักษะการจัดการทรัพยากรน้ำให้แก่ชุมชน เพื่อให้สามารถดำเนินงานต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบร่วมกันว่า โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจชุมชนโดยรวม โดยเฉพาะในด้านการเกษตรและการท่องเที่ยว ที่สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติสำคัญเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่าง จังหวัดเชียงราย

จากรายงานกรมทรัพยากรน้ำ (2567) พบว่า พื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่างมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยพบพันธุ์สัตว์ป่าอาศัยอยู่ไม่น้อยกว่า 120 ชนิด แบ่งเป็นสัตว์ปีกจำนวน 60 ชนิด สัตว์น้ำและสัตว์บกอีกประมาณ 60 ชนิด นอกจากนี้ ยังมีประชาชนในพื้นที่ที่พึ่งพิงทรัพยากรน้ำเพื่อการเกษตรและประมงไม่ต่ำกว่า 1,500 ครัวเรือน โดยพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้สามารถสร้างรายได้จากกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการเกษตรได้ปีละไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ, รายงานการศึกษาความเหมาะสมโครงการหนองฮ่าง ปี 2567)

สรุปและก้าวต่อไปของโครงการ

การดำเนินการโครงการพื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่างครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการฟื้นฟูระบบนิเวศของจังหวัดเชียงรายให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง โดยจะนำไปสู่การดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับสร้างความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วน ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำจะนำผลสรุปและข้อเสนอแนะจากการประชุมครั้งนี้ ไปปรับปรุงให้เกิดแผนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไปในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2567) รายงานการศึกษาความเหมาะสมโครงการพื้นที่ชุ่มน้ำหนองฮ่าง จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (2567)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“น้องต้าร์-น้องนาตาลี” สร้างชื่อเชียงราย TO BE NUMBER ONE

เชียงรายปลื้ม! เยาวชนคว้ารางวัล TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศ เฝ้ารับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงฯ

ประเทศไทย, 3 พฤษภาคม 2568 – นับเป็นความภาคภูมิใจครั้งสำคัญของชาวจังหวัดเชียงราย เมื่อโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดเชียงราย ได้ร่วมเข้าเฝ้ารับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ในวโรกาสเสด็จพระราชทานรางวัลเยาวชนต้นแบบเก่งและดี TO BE NUMBER ONE IDOL รุ่นที่ 15 ระดับประเทศ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ณ JJ HALL ชั้น 6 ศูนย์การค้า JJ MALL เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

พิธีพระราชทานรางวัลอันทรงเกียรติครั้งนี้ ได้รับพระกรุณาธิคุณจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประธานโครงการ TO BE NUMBER ONE เสด็จพระราชทานรางวัลให้แก่เยาวชนที่ได้รับคัดเลือกจากทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างของเยาวชนไทยที่มีทั้งความสามารถ มีคุณธรรม และเป็นผู้นำที่ดีในอนาคต โดยเฉพาะตัวแทนจากจังหวัดเชียงราย ที่แสดงศักยภาพจนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดในเวทีระดับประเทศได้สำเร็จอีกครั้ง

เชียงรายนำทีมโดยผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมรับเสด็จ

ในการนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำคณะประกอบด้วย นายเอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย นายศุภวิศว์ ตาหล้า ผู้อำนวยการโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ นายชญทัต กิตติธินาโชติ รองผู้อำนวยการโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ พร้อมด้วยคณะครู และนักเรียนจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย ร่วมเฝ้ารับเสด็จอย่างพร้อมเพรียงและเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี

นอกจากนี้ ยังมีนายบรรจง ปะสาวะโพธิ์ หัวหน้ากลุ่มงานยาเสพติดและสุขภาพจิต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และนางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ รองหัวหน้ากลุ่มงานยาเสพติดและสุขภาพจิต เดินทางร่วมแสดงความยินดีและให้กำลังใจแก่เยาวชนผู้แทนจังหวัดเชียงรายตลอดทั้งงาน

เยาวชนเชียงรายโชว์ศักยภาพ คว้ารางวัลใหญ่ระดับประเทศ

สำหรับผลการประกวดเยาวชนต้นแบบเก่งและดี TO BE NUMBER ONE IDOL รุ่นที่ 15 ระดับประเทศ ในสัปดาห์ที่ 5 นี้ เป็นการแข่งขันที่มีโจทย์ให้ผู้เข้าประกวดแสดงความสามารถผ่านบทเพลงตามความถนัด ซึ่งตัวแทนเยาวชนจากจังหวัดเชียงรายแสดงศักยภาพโดดเด่นจนได้รับรางวัลระดับประเทศถึง 2 รางวัล ได้แก่

  • TI 01 น้องต้าร์ นายกวิรัช เรือนคำจันทร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศลำดับที่ 2 (ฝ่ายชาย)
  • TI 42 น้องนาตาลี นางสาวนาตาลี เชลโฟ ได้รับรางวัลชนะเลิศลำดับที่ 6 (ฝ่ายหญิง)

ผลการประกวดครั้งนี้ นับเป็นอีกครั้งที่เยาวชนจากจังหวัดเชียงรายสามารถคว้ารางวัลและสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดได้สำเร็จ พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในจังหวัดให้มุ่งมั่นพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศอย่างต่อเนอนื่อง สร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้ปกครอง โรงเรียน และประชาชนในจังหวัดเชียงรายอย่างกว้างขวาง

โครงการ TO BE NUMBER ONE กับการสร้างเยาวชนต้นแบบที่ยั่งยืน

โครงการ TO BE NUMBER ONE เกิดขึ้นจากพระดำริของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มีเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนไทยให้ห่างไกลจากยาเสพติด ด้วยการมุ่งเน้นให้เยาวชนได้พัฒนาทักษะและศักยภาพของตนเองในด้านต่างๆ เช่น ด้านดนตรี ศิลปะ กีฬา และความเป็นผู้นำ โดยโครงการได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน มีสมาชิกเยาวชนทั่วประเทศเข้าร่วมแล้วกว่า 3 ล้านคน และมีการจัดกิจกรรมระดับประเทศเป็นประจำทุกปี

สำหรับจังหวัดเชียงราย ถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการอย่างเข้มแข็งและจริงจัง โดยโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ถือเป็นโรงเรียนตัวอย่างที่ส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนสู่เวทีระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง และเคยได้รับรางวัลจากโครงการนี้มาแล้วหลายปีติดต่อกัน

วิเคราะห์ความสำเร็จของเยาวชนจังหวัดเชียงราย

ความสำเร็จของเยาวชนเชียงรายในเวที TO BE NUMBER ONE IDOL รุ่นที่ 15 สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเยาวชนผ่านการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ โรงเรียน และชุมชน ซึ่งจังหวัดเชียงรายมีระบบการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง และมีการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายยังมีนโยบายการส่งเสริมเยาวชนอย่างชัดเจนผ่านโครงการต่างๆ ทั้งในระดับโรงเรียนและจังหวัด ซึ่งช่วยสร้างแรงจูงใจและความมุ่งมั่นในการพัฒนาศักยภาพของเยาวชน อีกทั้งยังช่วยป้องกันปัญหายาเสพติดในกลุ่มเยาวชนอย่างได้ผล

สถิติสำคัญสะท้อนความสำเร็จของ TO BE NUMBER ONE ในระดับประเทศ

จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 พบว่าจำนวนสมาชิก TO BE NUMBER ONE ทั่วประเทศมีมากกว่า 3 ล้านคน และมีเยาวชนที่ผ่านการอบรมและเข้าร่วมโครงการ IDOL ไปแล้วกว่า 120,000 คน โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีเยาวชนเข้าร่วมโครงการสะสมรวมมากกว่า 50,000 คน ถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีการดำเนินงานโดดเด่นติดอันดับต้นๆ ของประเทศ (ที่มา: กรมสุขภาพจิต, กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถิติโครงการ TO BE NUMBER ONE ปี 2567)

สรุปและแนวทางในอนาคต

จากความสำเร็จของเยาวชนเชียงรายในเวที TO BE NUMBER ONE IDOL ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนให้สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ ในอนาคต จังหวัดเชียงรายจะยังคงเดินหน้าพัฒนาเยาวชนต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • โครงการ TO BE NUMBER ONE กระทรวงสาธารณสุข (2567)
  • กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถิติสมาชิกโครงการ TO BE NUMBER ONE (2567)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (2567)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

โค้งสุดท้าย! เจาะลึกจุดเด่น “ผอ.แซน-วันชัย” ชิงเทศบาลนครเชียงราย

วิเคราะห์ศึกชิงนายกเทศมนตรีนครเชียงราย ‘วันชัย vs ดร.แซน’ เปิดจุดเด่น-คาดการณ์ผล

เชียงราย, 4 พฤษภาคม 2568 – เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก่อนที่ชาวนครเชียงรายจะได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงราย ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 นี้ โดยศึกชิงเก้าอี้ครั้งนี้ ถือเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นที่สุดในรอบหลายปี ระหว่างสองผู้สมัครที่โดดเด่นด้วยวิสัยทัศน์และกลยุทธ์การหาเสียงที่แตกต่างกัน ได้แก่ นายวันชัย จงสุทธานามณี ผู้สมัครหมายเลข 2 อดีตนายกเทศมนตรีที่คร่ำหวอดในวงการการเมืองท้องถิ่น และ ดร.ศราวุธ สุตะวงค์ หรือ ดร.แซน ผู้สมัครหมายเลข 1 ผู้ท้าชิงไฟแรงจากพรรคประชาชน

เปิดจุดเด่น ‘วันชัย’ ผู้สมัครหมายเลข 2 กับผลงานที่จับต้องได้

นายวันชัย จงสุทธานามณี มีจุดแข็งที่ชัดเจนจากผลงานในอดีตที่สร้างไว้ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครเชียงรายหลายสมัย โดยเฉพาะการสร้างโรงเรียนเทศบาล 6 และ 7, การพัฒนาสวนตุงและโคม บนพื้นที่เรือนจำเก่า, การก่อสร้างหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองเชียงราย รวมถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสร้างความพึงพอใจในกลุ่มประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและวัยทำงาน

นายวันชัยยังคงใช้กลยุทธ์เดิมที่เคยประสบความสำเร็จ คือการเคาะประตูบ้านเพื่อเข้าถึงประชาชนแบบตัวต่อตัวตั้งแต่เริ่มเปิดรับสมัคร และยังเพิ่มการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ประเพณีรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ใกล้ชิดประชาชนได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและชุมชนในพื้นที่รอบนอกของเทศบาลนครเชียงราย

อย่างไรก็ตาม นายวันชัยยังมีจุดอ่อนจากการลดระดับการเคลื่อนไหวบนโซเชียลมีเดีย โดยล่าสุดหายไปจากการอัปเดตข้อมูลมาแล้วถึง 2 วัน (ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2568) ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสในการรักษาฐานเสียงจากกลุ่มวัยทำงาน (21-37 ปี) ที่นิยมรับข่าวสารผ่านช่องทางออนไลน์

เจาะจุดเด่น ‘ดร.แซน’ ผู้สมัครหมายเลข 1 กับภาพลักษณ์ทันสมัย

ในขณะเดียวกัน ดร.ศราวุธ สุตะวงค์ หรือ ดร.แซน ผู้สมัครหน้าใหม่จากพรรคประชาชน ได้ชูวิสัยทัศน์สำคัญในการเปลี่ยนเชียงรายจาก “เมืองที่ตายแล้ว” ให้กลับมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมกับนโยบายแก้ไขปัญหาการอพยพของประชากรวัยรุ่นและวัยทำงานที่มักจะย้ายไปทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ วิสัยทัศน์นี้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในเขตเทศบาลนครเชียงราย (18,359 คน)

นอกจากนี้ ดร.แซน ยังได้รับแรงหนุนจากหัวหน้าพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และ ส.ส.ชื่อดังอีกหลายคน โดยเฉพาะ ส.ส.ปั๋น ชิตวัน และ ส.ส.หญิง จุฬาลักษณ์ ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ

ในเรื่องกลยุทธ์การหาเสียง ดร.แซน ผสมผสานการเคาะประตูบ้านแบบตัวต่อตัวเข้ากับการใช้โซเชียลมีเดียและเวทีปราศรัยขนาดใหญ่ ล่าสุดที่ Center Point Night Bazaar เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา สามารถดึงดูดประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมรับฟัง ซึ่งช่วยเพิ่มแรงสนับสนุนในพื้นที่เขตเมืองได้เป็นอย่างดี

วิเคราะห์การแข่งขัน “เข้าถึงประชาชน” คือปัจจัยชี้ขาด

การแข่งขันระหว่างนายวันชัยและดร.แซน จะตัดสินด้วยกลยุทธ์การเข้าถึงประชาชน โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มผู้สูงอายุ (54-72 ปี) จำนวน 17,146 คน ที่นิยมการสื่อสารโดยตรงกับผู้สมัคร และกลุ่มวัยทำงาน (21-37 ปี) จำนวน 18,359 คน ที่รับข้อมูลข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดีย

นายวันชัยมีข้อได้เปรียบจากฐานเสียงที่แข็งแกร่งในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งยังคงชื่นชมในผลงานและการลงพื้นที่แบบใกล้ชิด ขณะที่ดร.แซน มีความได้เปรียบจากการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานผ่านการใช้สื่อสังคมออนไลน์และนโยบายทันสมัยที่โดนใจคนรุ่นใหม่

อย่างไรก็ตาม การตัดสินผลการเลือกตั้งครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขยายฐานเสียงเพิ่มเติมในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะนายวันชัยต้องกลับมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้คะแนนจากกลุ่มวัยทำงานหลุดมือไป ขณะที่ดร.แซนต้องเร่งขยายพื้นที่หาเสียงให้เข้าถึงผู้สูงอายุในพื้นที่รอบนอกมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงราย

ข้อมูลจากสำนักงานทะเบียนราษฎร์ (City Data Information, 2566) ระบุว่าเทศบาลนครเชียงรายมีประชากรทั้งหมด 77,760 คน แบ่งเป็นกลุ่มวัยทำงานอายุ 21-37 ปี มีจำนวนมากที่สุดถึง 18,359 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 23.6 ของประชากรทั้งหมด ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ 54-72 ปี มีจำนวน 17,146 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 22 ของประชากร ทั้งนี้ จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 50,000 คน มีอัตราการมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 70.3 (ข้อมูลจาก กกต.เชียงราย)

จากสถิติข้างต้น แสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์สูงเช่นกัน และกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งวัย 21-37 ปี จะเป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงรายในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 นี้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสู้ฝุ่น! อบจ. ผนึกกำลังแก้วิกฤต PM 2.5

อบจ.เชียงรายระดมสมองแก้วิกฤติไฟป่า-หมอกควัน ผุดแผนจัดการวัสดุเกษตรยั่งยืน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จัดประชุมครั้งใหญ่ หารือแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันนโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster Operation and Support System: PDOSS) มุ่งบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดอย่างจริงจัง

เชียงรายเผชิญวิกฤตหมอกควันต่อเนื่องยาวนาน

ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ในจังหวัดเชียงรายเป็นวิกฤตสำคัญที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าและการเผาวัสดุทางการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เชียงรายต้องเผชิญกับวิกฤตหมอกควันทุกปี กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน

เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว อบจ.เชียงราย นำโดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย และนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนและงบประมาณ ได้เปิดเวทีประชุมหารืออย่างเป็นทางการขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานสำคัญทั้งจากภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างคับคั่ง เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม

บูรณาการหน่วยงานรัฐ เน้นการจัดการวัสดุเกษตรอย่างยั่งยืน

ประเด็นสำคัญที่ถูกยกมาหารือในที่ประชุมครั้งนี้คือ การบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ โดยจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของประชากรส่วนใหญ่ ทำให้ในแต่ละปีเกิดการเผาวัสดุการเกษตร เช่น ซังข้าวโพด เศษใบอ้อย ตอซังข้าว และวัสดุเหลือใช้อื่นๆ เป็นจำนวนมาก หากไม่มีการจัดการที่ถูกต้อง วัสดุเหล่านี้จะถูกเผาและกลายเป็นแหล่งกำเนิดควันพิษที่กระทบสุขภาพของประชาชนโดยตรง

ในการประชุมมีหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย และสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย โดยมีการเสนอแนวทางบริหารจัดการวัสดุการเกษตรอย่างครบวงจรและยั่งยืน เพื่อลดปัญหาการเผาและส่งเสริมการนำวัสดุเกษตรเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในทางอื่น เช่น การทำปุ๋ยหมัก หรือเชื้อเพลิงชีวมวล

ผลักดันศูนย์ PDOSS บริหารจัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อบจ.เชียงราย ยังได้เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) เพื่อเป็นศูนย์กลางการบูรณาการทุกภาคส่วนในการจัดการภัยพิบัติทั้งด้านการป้องกัน เตรียมพร้อม และรับมือกับภัยต่างๆ รวมถึงการจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 โดยศูนย์นี้จะเน้นการบริหารข้อมูลแบบครบวงจร มีระบบแจ้งเตือนภัยและจัดการเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

จากการหารือครั้งนี้ที่ประชุมได้เสนอแนวทางสำคัญในการแก้ปัญหาในระยะยาว ดังนี้

  1. การส่งเสริมความรู้และการสร้างจิตสำนึก โดยรณรงค์ให้เกษตรกรเลิกเผาวัสดุเกษตรและหันมานำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ
  2. การจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยี สนับสนุนให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการแปรรูปวัสดุเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
  3. การบูรณาการการทำงานของหน่วยงานทุกระดับ เพื่อให้การจัดการปัญหาเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
  4. การผลักดันเชิงนโยบายอย่างเข้มข้น เช่น การสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ เพื่อให้เกิดการลงทุนและดำเนินงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องสะท้อนความรุนแรงของปัญหา

จากรายงานของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) จังหวัดเชียงราย ปี 2567 พบว่า ค่าฝุ่น PM 2.5 ในจังหวัดเชียงรายสูงเกินค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มากถึง 65 วันต่อปี โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงของ ซึ่งมีจำนวนวันที่ค่า PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 35 ของทั้งปี นอกจากนี้กรมควบคุมมลพิษยังรายงานว่า ในปีที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) จากการเผาป่าและวัสดุการเกษตรรวมสูงถึง 3,678 จุด สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ, 2567)

จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 ในจังหวัดเชียงราย จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ เพื่อให้จังหวัดเชียงรายสามารถกลับมาเป็นพื้นที่ที่มีอากาศสะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน และยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) จังหวัดเชียงราย (2567)
  • รายงานกรมควบคุมมลพิษ (2567)
  •  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE