Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายห่วงใย! ผู้ว่าฯ เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวไฟไหม้บ้าน

ผู้ว่าฯ เชียงราย เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้ประสบภัยไฟไหม้บ้านทั้งหลัง มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ให้กำลังใจครอบครัวผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้านทั้งหลังในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้บ้านและทรัพย์สินได้รับความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

เหตุการณ์ไฟไหม้และผลกระทบต่อครอบครัวผู้ประสบภัย

ไฟไหม้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ชุมชนสันโค้งหลวง ซอย 5 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยต้นเพลิงมาจากบ้านของ ส.อ.บุญศรี อายุ 88 ปี ซึ่งถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง ส่งผลให้ทรัพย์สินภายในบ้านมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ถูกเผาทำลายทั้งหมด

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลนครเชียงรายได้รับแจ้งเหตุและระดมกำลังเข้าควบคุมเพลิงโดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง จึงสามารถดับไฟได้สำเร็จ เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านและครอบครัวต้องสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด

ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจและมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจแก่ครอบครัวผู้ประสบภัย พร้อมทั้งนำสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมอบให้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

ผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายและทุกภาคส่วน พร้อมให้ความช่วยเหลือ และฟื้นฟูจิตใจของผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเน้นย้ำถึงความร่วมมือของชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ส.อ.บุญศรี ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้โดยเร็ว

“นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้า แต่สิ่งที่เราทำได้คือร่วมมือกันเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และทำให้ครอบครัวของ ส.อ.บุญศรี ได้รับการฟื้นฟูทั้งทางกายและใจ” นายชรินทร์กล่าว

เทศบาลนครเชียงรายเร่งประสานความช่วยเหลือเพิ่มเติม

ด้าน เทศบาลนครเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่าง การประเมินความเสียหาย และเตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม เบื้องต้นได้จัดหาสถานที่พักชั่วคราวสำหรับครอบครัว ส.อ.บุญศรี และกำลังพิจารณาแนวทางการสนับสนุนเงินเยียวยา

นอกจากนี้ หน่วยงานภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป สามารถร่วมบริจาคช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัย ผ่านกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยของจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะนำเงินไปใช้ในการฟื้นฟูที่อยู่อาศัยและความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สถิติไฟไหม้ในจังหวัดเชียงราย ปี 2567: เกิดเหตุไฟไหม้ทั้งสิ้น 58 ครั้ง (ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย)
  • มูลค่าความเสียหายจากเหตุไฟไหม้เฉลี่ยต่อปีในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 120 ล้านบาท (ที่มา: เทศบาลนครเชียงราย)
  • ระยะเวลาเฉลี่ยในการควบคุมเพลิงของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงในพื้นที่เชียงราย: 90-120 นาที (ที่มา: หน่วยกู้ภัยเชียงราย)
  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ในเชียงราย ปี 2567: 85 ครัวเรือน (ที่มา: สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย)

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย ขอให้ประชาชน เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าในช่วงฤดูแล้ง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ และหากพบเห็นเหตุการณ์ไฟไหม้สามารถแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 199 ตลอด 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ป.ป.ช.เชียงราย ลุยตลาดร้าง 49 ล้าน ประชาชนร้องทิ้งขว้าง เทศบาลยังเงียบ!

ป.ป.ช.เชียงรายร่วมชมรม STRONG ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว หลังถูกปล่อยร้าง

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ ชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่เทศบาลตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก ที่ใช้งบประมาณ 49.31 ล้านบาทในการก่อสร้าง แต่กลับถูกปล่อยร้าง ไม่มีการใช้งาน

การลงพื้นที่ติดตามและตรวจสอบข้อร้องเรียน

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายกิตติศักดิ์ พิมสาร ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายนั้ง แสงเพชรไพบูรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต พร้อมด้วย นางวันดี ราชชมภู ประธานกรรมการชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย นำคณะกรรมการชมรมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อร้องเรียนที่ได้รับจากสมาชิกเกี่ยวกับ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก

โครงการก่อสร้างที่ยังไร้การใช้งาน

โครงการดังกล่าวได้รับการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ 49,310,000 บาท แต่จากการตรวจสอบพบว่า ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ เทศบาลตำบลม่วงยายได้รับการถ่ายโอนโครงการจาก กรมโยธาธิการและผังเมือง เมื่อปี 2567 และแม้จะมีแผนการบริหารจัดการตลาด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน

ป.ป.ช.ให้คำแนะนำแนวทางแก้ไข

ป.ป.ช.เชียงรายได้เสนอแนะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งพิจารณานำสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการถ่ายโอนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงตรวจสอบสาเหตุของความล่าช้าในการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายมีความโปร่งใสและคุ้มค่าต่องบประมาณที่ใช้จ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • งบประมาณโครงการก่อสร้างตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก: 49.31 ล้านบาท (ที่มา: กรมโยธาธิการและผังเมือง)
  • จำนวนโครงการก่อสร้างในเชียงรายที่ได้รับการร้องเรียนเรื่องความล่าช้าและการทุจริตในปี 2567: 12 โครงการ (ที่มา: ป.ป.ช.เชียงราย)
  • ตลาดที่ยังไม่เปิดใช้งานในพื้นที่ภาคเหนือ: มากกว่า 25 แห่ง (ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ความล่าช้าเฉลี่ยของโครงการภาครัฐในภาคเหนือ: 12-18 เดือน (ที่มา: สำนักงานงบประมาณแห่งชาติ)

สำนักงาน ป.ป.ช.เชียงรายระบุว่า จะยังคงติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และเปิดรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนผ่านสายด่วน ป.ป.ช. หมายเลข 1205

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสั่งเร่งแก้ไฟป่า PM2.5 เปิดคลินิกมลพิษออนไลน์

รองผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ย้ำตรวจสอบจุดความร้อน พร้อมหามาตรการแก้ไข

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเผยว่าผู้ว่าราชการจังหวัดได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งตรวจสอบจุดความร้อนที่เกิดขึ้นเพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้ไข

ศูนย์ปฏิบัติการฯ เร่งหารือแนวทางแก้ปัญหา

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามและรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา

มาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ แก้ไขปัญหาหมอกควัน

รองผู้ว่าฯ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 ไปเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้มอบหมายมาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ ได้แก่

  1. ประชาสัมพันธ์กฎหมายห้ามเผาในที่โล่ง – แจ้งโทษและข้อกฎหมายให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง
  2. ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง – บูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหารือแนวทางแก้ไขปัญหา
  3. เพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ – หากค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ให้ฉีดพ่นละอองน้ำและดำเนินมาตรการอื่น โดยเฉพาะใน อำเภอแม่สาย
  4. ตรวจสอบจุดความร้อน – หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเข้าตรวจสอบจุดที่เกิดไฟป่า ค้นหาตัวผู้กระทำผิด และดำเนินคดีทางกฎหมาย

คลินิกมลพิษอำนวยความสะดวกประชาชน

ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายบริการ คลินิกมลพิษทางอากาศ ผ่านระบบ หมอพร้อม” โดยประชาชนสามารถนัดหมายออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันหรือ Line OA ของหมอพร้อม เพื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป 106 แห่งทั่วประเทศ รวมถึง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และโรงพยาบาลแม่สาย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จุดความร้อนสะสม (Hotspot) ในจังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 320 จุด (ข้อมูลจาก GISTDA)
  • คุณภาพอากาศ (AQI) เฉลี่ยในเชียงราย วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 162 (ระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ) (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ)
  • อัตราผู้ป่วยจากปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เข้ารับบริการคลินิกมลพิษที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มี เพิ่มขึ้น 35% เทียบกับเดือนก่อนหน้า

ประชาชนที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ PM2.5 สามารถติดต่อ สายด่วนกรมอนามัย 1478 และ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

FAQs คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันและไฟป่า

  1. ทำไมภาคเหนือถึงเกิดไฟป่าและหมอกควันบ่อยในช่วงต้นปี?
    • สาเหตุหลักมาจาก การเผาป่าเพื่อหาของป่าและทำเกษตร รวมถึงลักษณะภูมิอากาศที่เอื้อต่อการสะสมของฝุ่น
  2. การเผาป่าในเชียงรายผิดกฎหมายหรือไม่?
    • ผิดกฎหมาย โดยผู้ฝ่าฝืนอาจถูก จำคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
  3. ค่าฝุ่น PM2.5 ที่อันตรายต่อสุขภาพคือระดับใด?
    • หากเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
  4. มีวิธีป้องกันฝุ่น PM2.5 อย่างไรบ้าง?
    • สวมหน้ากาก N95, หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และเปิดเครื่องฟอกอากาศในบ้าน
  5. จะตรวจสอบคุณภาพอากาศในเชียงรายได้จากที่ไหน?
    • สามารถติดตามได้ที่ แอป Air4Thai, เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ, และ GISTDA

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพภาค 3 พัฒนาแหล่งน้ำ! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ป่าแดด

แม่ทัพภาค 3 ลุยป่าแดด! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม สร้างความมั่นคง

เชียงราย, 25 กุมภาพันธ์ 2568 – แม่ทัพภาคที่ 3 ลงพื้นที่ติดตามโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน อ.ป่าแดด

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้า “โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ” ณ พื้นที่สาธารณะประโยชน์ หลงช้างตาย อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างกองทัพบกและมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตามแนวคิดที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วม โดยคำนึงถึงลักษณะภูมิสังคมและความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่

ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร

โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 และได้แสดงผลสำเร็จที่ชัดเจนในการลดปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือของไทย ซึ่งในอดีตเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมและการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง การดำเนินงานเน้นการพัฒนาระบบน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มักสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร

ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ

สำหรับปีงบประมาณ 2567 กองทัพภาคที่ 3 ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 9 โครงการ, จังหวัดพะเยา 4 โครงการ, จังหวัดลำพูน 2 โครงการ, จังหวัดขอนแก่น 6 โครงการ และจังหวัดชัยภูมิ 10 โครงการ รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ การดำเนินงานเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 และมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2568 โดยมีการขุดดินทั้งหมด 3,058,018 ลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้ประชาชน 18,436 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตรกรรม 1,507,515 ไร่ ได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม โครงการนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ แต่ยังเพิ่มความมั่นคงในชีวิตและรายได้ให้แก่ชุมชนเกษตรกรในระยะยาว

หน่วยทหารช่าง

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ตรวจสอบการทำงานของหน่วยทหารช่าง ซึ่งกองทัพภาคที่ 3 ได้มอบหมายให้หน่วยต่าง ๆ เข้าร่วมปฏิบัติงาน ประกอบด้วย กองพลพัฒนาที่ 3, กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 302 กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 และกองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 หน่วยเหล่านี้ได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าปรับปรุงแหล่งน้ำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามกำหนดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

การตอบรับอย่างดีจากชุมชน

นอกจากการติดตามความคืบหน้าโครงการแล้ว พลโท กิตติพงษ์ ยังได้มอบถุงยังชีพที่มีเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน พร้อมมอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนในชุมชน เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในท้องถิ่น อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมและให้กำลังใจแก่กำลังพลจากหน่วยทหารที่จัดตั้งจุดบริการเคลื่อนที่ในพื้นที่ โดยมีทั้งการซ่อมรถยนต์, เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง, บริการตัดผม และการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชน


ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต

อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญปัญหาการจัดการน้ำมาอย่างยาวนาน เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มสลับกับเนินเขา และมีแม่น้ำพุงไหลผ่าน ซึ่งในอดีตมักเกิดน้ำท่วมในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาน้ำในการเพาะปลูกพืชผล เช่น ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วลิสง และลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของพื้นที่


มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานราก

การดำเนินงานของกองทัพภาคที่ 3 และมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ประชาชนในเขตชนบท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่นและการเกษตรอย่างทั่วถึง

ในระหว่างการลงพื้นที่ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลและรักษาแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว พร้อมทั้งยืนยันว่ากองทัพบกจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่มักถูกละเลยจากการพัฒนาในอดีต

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำฝนและความถี่ของภัยพิบัติในประเทศไทย โดยการฟื้นฟูแหล่งน้ำจะช่วยเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝน และกระจายน้ำไปยังพื้นที่เกษตรในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ปี 2567 พบว่า พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเฉลี่ย 20-30% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอำเภอป่าแดดที่มีประชากรราว 6,494 คน (ข้อมูลจากเทศบาลตำบลป่าแดด ปี 2561) และพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก
  • ข้อมูลจากมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ระบุว่า โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำตั้งแต่ปี 2559 ได้ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บทั่วประเทศกว่า 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลดีต่อครัวเรือนกว่า 500,000 ครัวเรือน (ที่มา: รายงานประจำปี 2566 มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พระราชทานดินฝังศพ “วีระ เย็นเต็ก” อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานดินบรรจุศพพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร

เชียงราย, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการ พระราชทานดินบรรจุศพพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (วีระ เย็นเต็กมหาเถระ) อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และอดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม ณ วัชระเจดีย์ธรรมสมาธิวัตรอนุสรณ์ วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

พระราชพิธีพระราชทานดินบรรจุศพ

วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2568) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จขึ้น วัชระเจดีย์ธรรมสมาธิวัตรอนุสรณ์ ทรงทอดผ้าไตร 10 ไตรที่จิตกาธานหน้าหีบศพ พระมหาเถระ 10 รูป พิจารณาผ้าไตร จากนั้นทรงหยิบกระทงข้าวตอกดอกไม้จากเจ้าพนักงานพระราชพิธีวางข้างหีบศพ และทรงหยิบดินห่อผ้าขาว-ดำ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 10 คู่ วางที่หน้าหีบศพ รวมถึงทรงหยิบดินส่วนพระองค์ 1 คู่ วางที่หน้าหีบศพ

จากนั้น ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และเจ้าอาวาสวัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม ได้ถวายหนังสือที่ระลึก ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ

บุคคลสำคัญร่วมพิธี

พิธีดังกล่าวมีบุคคลสำคัญเข้าร่วม อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัด ศาล ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ รวมถึงประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ ทั้งนี้ ประชาชนชาวเชียงรายที่เข้าเฝ้าฯ ต่างเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ” ด้วยความจงรักภักดี

ประวัติและคุณูปการของพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร

พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) เกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2479 มีนามเดิมว่า วีระ โพธิชาญประเสริฐ เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี ท่านเข้าบรรพชาอุปสมบทที่ วัดโพธิ์เย็น สังกัดจีนนิกาย อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 ได้รับฉายาทางธรรมว่า เย็นเต็ก”

หลังการอุปสมบท ท่านได้ศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา วัดโพธิ์แมนคุณาราม โดยได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสหลังการมรณภาพของพระอุปัชฌาย์ในปี พ.ศ. 2529 กระทั่งถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณ โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ กรุงเทพมหานคร สิริอายุ 87 ปี พรรษา 66

พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (วีระ เย็นเต็กมหาเถระ) เป็นพระมหาเถระผู้มีคุณธรรมและปฏิบัติงานด้านพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย โดยท่านได้อุทิศตนบำเพ็ญประโยชน์แก่คณะสงฆ์ สังคม และประเทศชาติในด้านต่างๆ ได้แก่:

  • ด้านการปกครอง – เป็นผู้นำจีนนิกายในประเทศไทย และส่งเสริมการพัฒนาวัดจีน
  • ด้านการศึกษา – สนับสนุนการศึกษาพระธรรม และพัฒนาสถาบันสงฆ์
  • ด้านการเผยแผ่พุทธศาสนา – ส่งเสริมการเผยแผ่คำสอนพุทธศาสนาในชุมชนจีนและไทย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • อายุของพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรเมื่อมรณภาพ: 87 ปี (ที่มา: วัดโพธิ์แมนคุณาราม)
  • จำนวนพรรษาที่รับใช้พระพุทธศาสนา: 66 พรรษา (ที่มา: วัดโพธิ์แมนคุณาราม)
  • จำนวนนักบวชจีนนิกายในประเทศไทย: ประมาณ 500 รูป (ที่มา: สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • จำนวนวัดจีนนิกายในประเทศไทย: กว่า 20 แห่ง (ที่มา: สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • จำนวนประชาชนที่เข้าร่วมพิธีในเชียงราย: กว่า 5,000 คน (ที่มา: สำนักข่าวท้องถิ่นเชียงราย)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ จึงเสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีนี้?
    เพื่อทรงพระราชทานเกียรติและแสดงความเคารพแด่พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อพุทธศาสนาในประเทศไทย
  2. วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม คือที่ใด?
    เป็นวัดจีนนิกายสำคัญในจังหวัดเชียงราย ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีพระราชทานดินบรรจุศพครั้งนี้
  3. พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรมีบทบาทอย่างไรในจีนนิกาย?
    ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พุทธศาสนา
  4. ประชาชนสามารถร่วมรำลึกถึงท่านได้อย่างไร?
    สามารถสวดมนต์ถวายบุญกุศล หรือเดินทางไปสักการะที่วัดโพธิ์แมนคุณาราม
  5. จีนนิกายมีความสำคัญอย่างไรในพุทธศาสนาไทย?
    เป็นนิกายหนึ่งของพุทธศาสนาในไทย ที่มีอิทธิพลจากมหายาน และมีวัดสำคัญหลายแห่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

แพเปียก ‘แม่สรวย’ เปิดแล้ว อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวชุมชน

เชียงรายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ล่องแพเปียกแม่สรวย เปิดฤดูกาลปี 2568

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวกิจกรรมท่องเที่ยวโดยชุมชน “การล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย” อย่างเป็นทางการ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีเปิดกิจการดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

พิธีเปิดกิจกรรมล่องแพเปียกแม่สรวย

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00 น. ณ บริเวณลำน้ำแม่สรวย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสาวณิชาภา สันธิ หัวหน้าฝ่ายกิจการคณะผู้บริหาร และ นางสาวสุมิตรา บางขะกูล หัวหน้าฝ่ายการท่องเที่ยว ร่วมเปิดตัวกิจกรรมสำคัญนี้

ในพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางสาวสุภาภรณ์ ยาลังคำ ปลัดอำเภอแม่สรวย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมรับฟังรายงานจาก นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก และมีผู้นำท้องที่และท้องถิ่นเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้

การส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน

กิจกรรม ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย – ลำน้ำแม่ลาว จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 พฤษภาคม 2568 ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมอาชีพและการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นเวทีสำคัญในการสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

นอกจากนี้ การจัดงานยังมุ่งเน้นการสร้างเอกลักษณ์และวัฒนธรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ล่องแพเปียก ท่ามกลางความงดงามของธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กิจกรรมการล่องแพเปียกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิด การสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ อย่างยั่งยืน ไม่เพียงแต่เจ้าของแพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่น และธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก กล่าวว่าการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ได้สร้างรายได้หมุนเวียนให้กับชุมชนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและเกิดความร่วมมือระหว่างชาวบ้านในการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นไปอย่างยั่งยืน

แนวทางการพัฒนาในอนาคต

อบจ.เชียงราย มีแผนพัฒนาโครงการล่องแพเปียกให้มีความปลอดภัยและยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • การเพิ่มมาตรการความปลอดภัย – กำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ช่วยชีวิตและการอบรมไกด์นำเที่ยว
  • การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ – ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน – ปรับปรุงท่าเทียบแพ จุดจอดรถ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว

สรุป

การเปิดตัว ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญของการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่สามารถสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐและการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้กิจกรรมนี้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การล่องแพเปียกแม่สรวยมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
    ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับแพ็คเกจท่องเที่ยวที่เลือก โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากกลุ่มแพเปียกแม่สรวยได้
  2. การล่องแพเปียกเหมาะกับทุกวัยหรือไม่?
    กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับทุกวัย แต่ควรมีการดูแลเด็กและผู้สูงอายุเป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัย
  3. นักท่องเที่ยวควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
    ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม เตรียมอุปกรณ์กันน้ำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
  4. สามารถจองล่องแพล่วงหน้าได้หรือไม่?
    สามารถจองล่วงหน้าผ่านกลุ่มแพเปียกแม่สรวย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความสะดวก
  5. มีมาตรการด้านความปลอดภัยอะไรบ้าง?
    มีอุปกรณ์ชูชีพ การอบรมไกด์นำเที่ยว และการตรวจสอบสภาพแพเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านร้อง! ย้ายทะเบียนบ้านกระทบ 3 ชุมชน วอนแก้ไขด่วน

ฝ่ายปกครองเชียงรายเร่งแก้ปัญหาย้ายทะเบียนบ้าน 3 ชุมชน หลังชาวบ้านวิตกกังวลผลกระทบ

เชียงราย, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – ฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงรายรับฟังปัญหาจากชาวบ้าน 3 ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งทางปกครองให้ย้ายทะเบียนบ้านออกจากเขตเทศบาลนครเชียงราย พร้อมหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

การประชุมหารือกับประชาชน

วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 13.00 น. ณ อาคารพบโชคคอมเพล็กซ์ บ้านห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เชียงราย เขต 1 ว่าที่ร้อยตรี สมชาติ เตชถาวรเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับสูง ได้ร่วมรับฟังปัญหาจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าว

ชาวบ้านจาก ชุมชนห้วยปลากั้ง ชุมชนบ้านดอย และชุมชนทวีรัตน์ (บางส่วน) แสดงความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการย้ายทะเบียนราษฎร์โดยไม่มีการหารือหรือแจ้งข้อมูลล่วงหน้า ทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน วิถีชีวิต และการเข้าถึงบริการสาธารณะของพวกเขา

ต้นเหตุของปัญหาและกระบวนการเปลี่ยนแปลงแนวเขต

พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตเทศบาลเมืองเชียงราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2538 ได้กำหนดให้หมู่บ้านน้ำลัดได้รับการจัดตั้งเป็นชุมชนภายในเขตเทศบาลเมืองเชียงราย ต่อมาเมื่อเทศบาลเมืองเชียงรายได้รับการยกฐานะเป็นเทศบาลนครเชียงรายในปี 2547 ได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมและจัดตั้งชุมชนย่อยเพิ่มเติม ได้แก่ ชุมชนน้ำลัด ชุมชนบ้านห้วยปลากั้ง ชุมชนบ้านดอย และชุมชนทวีรัตน์ เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่เมือง

อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 กระทรวงมหาดไทยได้ออกคำสั่งที่ 133/2566 แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต่อมา สำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลนครเชียงรายได้มีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าบ้านในพื้นที่ดังกล่าว โดยระบุว่าพื้นที่นี้ไม่สอดคล้องกับแนวเขตเทศบาลนครเชียงราย และให้เจ้าบ้านไปพบนายทะเบียนท้องถิ่นของพื้นที่ข้างเคียงเพื่อดำเนินการแก้ไข

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน

ชาวบ้านทั้ง 3 ชุมชนจำนวน 3,579 คน ไม่ประสงค์ย้ายทะเบียนราษฎร์เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึง:

  • ปัญหาทางกฎหมายและธุรกรรม – การเปลี่ยนทะเบียนบ้านส่งผลต่อสิทธิในที่ดินและการทำธุรกรรมทางกฎหมาย
  • การเข้าถึงบริการสาธารณะ – อาจมีผลกระทบต่อสิทธิด้านสาธารณสุขและการศึกษา
  • วิถีชีวิตและเศรษฐกิจ – การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่ออาชีพและสวัสดิการที่ชาวบ้านได้รับ

นอกจากนี้ ในวันแรกของการโอนย้ายทะเบียนบ้าน พบว่าชาวบ้านที่ไปทำใบขับขี่ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงราย ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ยังไม่ได้รับการอัปเดต ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้

แนวทางแก้ไขปัญหา

ว่าที่ร้อยตรี สมชาติ เตชถาวรเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับหนังสือร้องเรียนจากตัวแทนชาวบ้านเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระเร่งด่วน โดยมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • คณะกรรมาธิการกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ
  • รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • ผู้อำนวยการคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย
  • กำนันตำบลบ้านดู่ และกำนันตำบลแม่ยาว
  • นายทะเบียนท้องถิ่นของเทศบาลนครเชียงราย บ้านดู่ และแม่ยาว

โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชน และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงแนวเขตเทศบาล

สรุป

ปัญหาการย้ายทะเบียนบ้านของ 3 ชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงรายส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชาชน ทำให้ฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงรายต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย การประชุมหารือครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของการรับฟังความคิดเห็นและหาทางออกที่เหมาะสม

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุใดจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวเขตเทศบาลนครเชียงราย?
    การเปลี่ยนแปลงเกิดจากแนวทางการจัดทำและแก้ไขแนวเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดโดยกระทรวงมหาดไทย
  2. ชาวบ้านสามารถคัดค้านคำสั่งย้ายทะเบียนบ้านได้หรือไม่?
    สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือร้องเรียนผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาปรับแก้ไขได้
  3. การเปลี่ยนแปลงทะเบียนบ้านส่งผลกระทบอย่างไร?
    อาจส่งผลต่อสิทธิทางกฎหมาย การเข้าถึงบริการสาธารณะ และการดำเนินธุรกรรมทางกฎหมายของประชาชน
  4. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างไร?
    กำลังมีการประชุมหารือและยื่นเรื่องเข้าสภาผู้แทนราษฎรเพื่อหาทางออกที่เป็นธรรม
  5. ชาวบ้านควรทำอย่างไรหากต้องการให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือร้องเรียน?
    สามารถติดต่อฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมและร้องเรียน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเมืองสุขภาพ! ม.แม่ฟ้าหลวงร่วมพัฒนา สู่ต้นแบบแม่กำปอง

พช.เชียงราย ผนึกกำลังมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าโครงการ Chiang Rai Wellness City ผลักดันเชียงรายสู่เมืองแห่งสุขภาพ

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – มุ่งส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างต้นแบบชุมชนสุขภาวะยั่งยืน

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย (พช.เชียงราย) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดกิจกรรมภายใต้โครงการ พัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City)บ้านไร่กองขิง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน ทีมวิทยากรจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และผู้นำชุมชนจากอำเภอเมืองเชียงราย เข้าร่วม

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ พัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะ โดยนำแนวทางของ บ้านแม่กำปอง ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแนวทางในการพัฒนาเชียงราย ให้เป็นเมืองที่มีความสมดุลระหว่างวิถีชีวิตชุมชน วัฒนธรรม และการดูแลสุขภาพ

กิจกรรมสร้างสรรค์เชิงสุขภาพและวัฒนธรรม มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

ภายในงาน มีกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับสุขภาพและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ประชาชนบ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 11 ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมืองเชียงราย และประชาชนบ้านถ้ำผาตอง หมู่ที่ 6 ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ได้แก่

กิจกรรมเพ้นท์แก้วดินเผาโบราณ

  • สร้างสรรค์งานศิลปะบนเครื่องปั้นดินเผาตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน
  • ส่งเสริมให้ชุมชนสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว
  • กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

กิจกรรมทำลูกประคบสมุนไพร

  • ถ่ายทอดความรู้เรื่องสรรพคุณของสมุนไพรไทยในการบำบัดรักษาสุขภาพ
  • ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับชุมชนผ่านการแปรรูปสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ

กิจกรรมเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมสำหรับนักท่องเที่ยว

  • สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การนวดแผนไทย อาหารพื้นเมืองเพื่อสุขภาพ และโยคะสมาธิ
  • ผสมผสานวิถีชุมชนเข้ากับกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาวะ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่มีคุณค่าแก่ผู้มาเยือน
  • ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มองหาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

Chiang Rai Wellness City แนวคิดสู่การพัฒนาเมืองแห่งสุขภาพแบบยั่งยืน

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “Chiang Rai Wellness City” ซึ่งมุ่งเน้นให้เชียงรายเป็น เมืองแห่งสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยอาศัยจุดแข็งของพื้นที่ ได้แก่

  • ภูมิประเทศที่มีธรรมชาติสมบูรณ์
  • วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์
  • วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเหมาะกับการพักผ่อนฟื้นฟูสุขภาพ
  • ทรัพยากรสมุนไพรที่หลากหลาย สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการนี้ว่า

การพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพไม่ใช่เพียงแค่การส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่คือการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้คนในพื้นที่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราต้องการให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลสุขภาพในรูปแบบที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตล้านนา ควบคู่ไปกับการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตผ่านแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

เชียงรายมุ่งสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในระดับนานาชาติ

เชียงรายถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในการเป็น ศูนย์กลางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะในระดับนานาชาติ เนื่องจาก

  • เป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบจาก UNESCO
  • มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะแก่การฟื้นฟูสุขภาพ เช่น บ่อน้ำพุร้อน เชียงราย เทอราพี รีสอร์ท และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
  • เป็นศูนย์กลางการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรล้านนา
  • มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านสุขภาพและสมุนไพร

ทั้งนี้ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีแผนผลักดันเชียงรายให้เข้าสู่เครือข่ายเมืองสุขภาพระดับโลก (Global Wellness Cities) ในอนาคต

สรุปผลสำเร็จของโครงการ และแนวทางในอนาคต

  • กิจกรรมภายใต้โครงการ Chiang Rai Wellness City ได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้นำชุมชนอย่างกว้างขวาง
  • การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนผ่านผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจะเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพรท้องถิ่น
  • มีแผนต่อยอดความร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมสินค้าสุขภาพจากเชียงรายไปสู่ตลาดต่างประเทศ

โครงการนี้ถือเป็น จุดเริ่มต้นที่สำคัญ ในการทำให้เชียงรายกลายเป็น เมืองแห่งสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเชียงราย และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พายุพัดถล่ม เวียงเชียงรุ้ง บ้านเรือนเสียหาย 130 หลัง

อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เร่งสำรวจความเสียหายและช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัย หลังพายุฝนถล่มกว่า 130 หลังคาเรือน

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน เร่งฟื้นฟูความเสียหาย

วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 08.30 น. นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย นำทีมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายจากพายุฝนที่พัดถล่มเมื่อคืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนในหลายพื้นที่ของอำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยเฉพาะ ตำบลป่าซางและตำบลทุ่งก่อ

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ มี ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) นายกองค์การบริหารส่วนตำบลป่าซาง เจ้าหน้าที่กองช่าง สมาชิกสภาจังหวัดเชียงรายในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขตเชียงของ ร่วมลงพื้นที่เพื่อสำรวจและประเมินความเสียหาย รวมถึงให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด

จากรายงานเบื้องต้น พบว่ามีบ้านเรือนได้รับความเสียหายรวมกว่า 130 หลังคาเรือน แบ่งเป็น

  • ตำบลทุ่งก่อ
    • หมู่ที่ 2 จำนวน 6 หลัง
    • หมู่ที่ 3 จำนวน 1 หลัง
  • ตำบลป่าซาง
    • หมู่ที่ 8 จำนวน 112 หลัง
    • หมู่ที่ 12 จำนวน 4 หลัง
    • หมู่ที่ 13 จำนวน 3 หลัง
    • หมู่ที่ 14 จำนวน 4 หลัง

เร่งฟื้นฟูบ้านเรือนประชาชน แจกจ่ายวัสดุก่อสร้างช่วยเหลือผู้เดือดร้อน

ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน เวลา 17.00 น. นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ มอบหมายให้นายพัฒนเศรษฐ์ เหมืองหม้อ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ประสานความร่วมมือกับ องค์การบริหารส่วนตำบลป่าซาง กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ดำเนินการ แจกจ่ายกระเบื้องมุงหลังคาให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากพายุในพื้นที่หมู่ที่ 5 หมู่ที่ 8 และหมู่ที่ 14 ตำบลป่าซาง รวมทั้งสิ้น 140 หลังคาเรือน

นายพัฒนเศรษฐ์ เปิดเผยว่า การให้ความช่วยเหลือครั้งนี้เป็นการดำเนินการเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนสามารถซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกัน ทางอำเภอเวียงเชียงรุ้งกำลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์เพิ่มเติม รวมถึงเตรียมจัดกำลังเจ้าหน้าที่และจิตอาสาเข้าช่วยเหลือการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

“ตอนนี้เราได้ลงพื้นที่สำรวจครบถ้วนแล้ว และกำลังดำเนินการแจกจ่ายวัสดุซ่อมแซมบ้านเรือนให้แก่ผู้ประสบภัย ในส่วนของบ้านที่เสียหายหนัก จะมีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าช่วยเหลือในระยะยาว” นายพัฒนเศรษฐ์ กล่าว

สภาพอากาศยังน่ากังวล ทางการเตือนประชาชนเฝ้าระวังพายุรอบใหม่

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า พื้นที่ภาคเหนือตอนบน รวมถึงจังหวัดเชียงราย ยังคงมีแนวโน้มเผชิญพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อบ้านเรือนประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนในพื้นที่สูง

ทางด้าน กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ตั้งแต่วันที่ 25-28 กุมภาพันธ์ 2568 จะมีแนวปะทะของมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน เคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้มีฝนตกหนักบางพื้นที่ และอาจเกิดลมกระโชกแรง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน

ทางจังหวัดเชียงราย ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับพายุฤดูร้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อีก

แผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะยาว

นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง เปิดเผยว่า อำเภอมีแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะยาว โดยประสานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และภาคเอกชน เพื่อระดมทรัพยากรในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

มาตรการหลักที่กำลังดำเนินการ ได้แก่

  • การสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม เพื่อประเมินจำนวนครัวเรือนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
  • การแจกจ่ายวัสดุก่อสร้างเพิ่มเติม เช่น ไม้ฝา กระเบื้องมุงหลังคา และอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน
  • การสนับสนุนด้านการเงินแก่ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ผ่านกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย
  • การจัดเตรียมแผนรับมือภัยพิบัติในอนาคต โดยร่วมมือกับหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

พายุผ่านไป แต่กำลังใจยังอยู่” – ชาวเวียงเชียงรุ้งร่วมมือฟื้นฟูบ้านเรือน

แม้ว่าพายุจะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนกว่า 130 หลังคาเรือน แต่ประชาชนในพื้นที่ยังคงมีกำลังใจดี และพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐในการฟื้นฟูบ้านเรือนของตนเอง

นายมนตรี แซ่ลิ้ม ชาวบ้านตำบลป่าซาง หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบจากพายุ กล่าวว่า แม้บ้านของตนจะได้รับความเสียหายบางส่วน แต่ยังรู้สึกดีใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากทางอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว

“เมื่อคืนพายุแรงมากครับ หลังคาบ้านปลิวไปเกือบครึ่ง แต่วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็รีบเข้ามาสำรวจและเอากระเบื้องมาให้ ช่วยกันคนละไม้ละมือ ซ่อมแซมกันไป ก็คงจะกลับมาอยู่ได้ในเร็วๆ นี้” นายมนตรี กล่าว

สรุปสถานการณ์โดยรวม

  • บ้านเรือนเสียหายกว่า 130 หลังคาเรือน ในตำบลป่าซางและตำบลทุ่งก่อ
  • เจ้าหน้าที่เร่งแจกจ่ายวัสดุก่อสร้างให้ผู้ได้รับผลกระทบ
  • เตือนประชาชนเฝ้าระวังพายุรอบใหม่ ในช่วง 25-28 กุมภาพันธ์
  • แผนช่วยเหลือในระยะยาวมุ่งเน้นการฟื้นฟูบ้านเรือน และสนับสนุนกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เจ้าหน้าที่จะยังคงเดินหน้าฟื้นฟูและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่า ชุมชนในอำเภอเวียงเชียงรุ้งจะกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘อัครา’ เปิดไฟฟ้าส่องสว่าง บ้านผาลั้ง พัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูง

บ้านผาลั้งได้ไฟฟ้าแล้ว! ฉลอง 70 ปีแห่งการรอคอย รมช.เกษตรฯ นำความเจริญสู่ชุมชนบนพื้นที่สูง

ไฟฟ้าส่องสว่างสร้างโอกาส พัฒนาการศึกษา-เศรษฐกิจ หนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นควบคู่เทคโนโลยี

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568บ้านผาลั้ง หมู่ที่ 4 ตำบลห้วยชมภู อำเภอเมืองเชียงราย ฉลองครั้งใหญ่ในรอบ 70 ปี หลังได้รับการขยายเขตการใช้ไฟฟ้าเข้าสู่พื้นที่สำเร็จ โดยมี นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานเฉลิมฉลอง ณ ลานอเนกประสงค์บ้านผาลั้ง พร้อมเน้นย้ำถึง การบูรณาการเทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่สูง

ในงานดังกล่าวมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และชาวบ้านในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของบ้านผาลั้งที่รอคอยไฟฟ้ามานานกว่า 7 ทศวรรษ

ไฟฟ้า: จุดประกายความหวังใหม่ให้บ้านผาลั้ง

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า โครงการขยายเขตไฟฟ้าเข้าสู่บ้านผาลั้งครั้งนี้ เป็นมากกว่าการติดตั้งเสาไฟฟ้าและเดินสายส่ง แต่ถือเป็น การนำพาความหวัง โอกาส และความก้าวหน้ามาสู่ชุมชน โดยเฉพาะใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

  • การศึกษา – ไฟฟ้าจะช่วยให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสทางการศึกษาที่ดียิ่งขึ้น สามารถเรียนออนไลน์ เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ และเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น
  • เศรษฐกิจและอาชีพ – การมีไฟฟ้าจะช่วย เพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ เช่น การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การพัฒนาหัตถกรรม และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สุขภาพและคุณภาพชีวิต – ไฟฟ้าจะช่วยให้ชุมชนมีน้ำสะอาดผ่านระบบสูบน้ำ มีไฟส่องสว่างในเวลากลางคืน ลดอุบัติเหตุ และช่วยให้บริการสาธารณสุขทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ไฟฟ้าไม่ใช่แค่แสงสว่าง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมเชื่อว่า ไฟฟ้าจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้บ้านผาลั้งเติบโตอย่างยั่งยืน และช่วยให้พี่น้องชาวผาลั้งก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง” นายอัครากล่าว

ภูมิปัญญาท้องถิ่น + นวัตกรรม = ทางรอดของเศรษฐกิจบ้านผาลั้ง

นายอัครา ยังกล่าวถึงความสำคัญของการ ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน

“บ้านผาลั้งเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของพี่น้องชาวบ้านผาลั้ง คือสมบัติล้ำค่าที่สามารถพัฒนาให้กลายเป็นจุดแข็งทางเศรษฐกิจ เราต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ผลิตภัณฑ์และบริการมีคุณภาพดีขึ้น ขยายตลาดได้กว้างขึ้น และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน”

ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มศักยภาพ ได้แก่:

  • เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) – ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับการให้น้ำและปุ๋ย
  • การแปรรูปผลผลิต – เช่น การทำชา กาแฟ หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชท้องถิ่น
  • งานหัตถกรรมและของที่ระลึก – เช่น ผ้าทอพื้นเมือง เครื่องจักสาน และผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่

“ผมขอชื่นชมในความเข้มแข็งของพี่น้องชาวผาลั้ง ที่สามารถรักษาและสืบทอดภูมิปัญญาอันดีงามของบรรพบุรุษไว้ ผมเชื่อมั่นว่า หากเราผสมผสานภูมิปัญญากับเทคโนโลยีอย่างถูกต้อง บ้านผาลั้งจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดได้แน่นอน” รมช.เกษตรฯ กล่าว

บ้านผาลั้งเติบโตอย่างยั่งยืน: กระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุน

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) มีแผนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนบ้านผาลั้งในระยะยาว โดยเน้น 3 แนวทางหลัก ได้แก่

1️.ส่งเสริมอาชีพและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

  • พัฒนาระบบตลาดสินค้าเกษตร
  • สนับสนุนเงินทุนและองค์ความรู้ด้านการประกอบอาชีพ
  • สนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

2.พัฒนาสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน

  • ขยายโครงข่ายไฟฟ้าและระบบน้ำประปาภูเขา
  • สนับสนุนการพัฒนาถนนและเส้นทางคมนาคม
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการท่องเที่ยว

3.เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

  • อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากร
  • สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์
  • พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรภายนอกเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

สรุป

  • บ้านผาลั้งได้ไฟฟ้าแล้วหลังรอคอยกว่า 70 ปี
  • รมช.เกษตรฯ เปิดงานเฉลิมฉลองและเน้นย้ำความสำคัญของไฟฟ้าต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
  • ไฟฟ้าช่วยเปิดโอกาสใหม่ด้านการศึกษา อาชีพ และสุขภาพของชุมชน
  • รัฐบาลส่งเสริมการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจบ้านผาลั้ง
  • กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนอาชีพ สาธารณูปโภค และความเข้มแข็งของชุมชนในระยะยาว

โครงการขยายไฟฟ้าสู่บ้านผาลั้ง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาพื้นที่สูง และเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการนำ พลังงานและเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืนและมีอนาคตที่มั่นคงมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News