Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ! เปลี่ยนโหมดบริหารสู่การแก้ฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน

“เขตควบคุมมลพิษ” ใน 4 จังหวัดภาคเหนือ—เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน—ครอบคลุมช่วงเดือนวิกฤตของทุกปี การขยับตัวนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนป้ายชื่อพื้นที่ แต่เป็นการเปลี่ยน “โหมดการบริหาร”

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 — ปัญหาฝุ่นควันข้ามฤดูกาลในภาคเหนือ—โดยเฉพาะ “ช่วงวิกฤต” ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม—ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ “ใหม่และสำคัญ” คือกรอบกฎหมายและคำพิพากษาที่กำลังผลักดันให้การแก้ปัญหาเดินหน้าอย่างเป็นระบบและวัดผลได้จริง หลังศาลปกครองสูงสุดสั่งการให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ใช้อำนาจตามมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ เพื่อกำหนด “เขตควบคุมมลพิษ” ใน 4 จังหวัดภาคเหนือ—เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน—ครอบคลุมช่วงเดือนวิกฤตของทุกปี การขยับตัวนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนป้ายชื่อพื้นที่ แต่เป็นการเปลี่ยน “โหมดการบริหาร” จากการรับมือรายวัน ไปสู่การวางแผนแบบมีกลไก บทบาท และหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดชัดเจน ตั้งแต่การจัดทำแผนลดและขจัดมลพิษ ไปจนถึงการติดตามประเมินผลและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง (อ้างคำพิพากษาและการอธิบายอำนาจตามกฎหมาย)

“ทำความเข้าใจกรอบกฎหมายเดียวกัน และจัดลำดับงานให้เห็นผลทันก่อนฤดูกาลฝุ่นปีหน้า”

ในห้องประชุมชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภาพบนจอวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เชื่อมผู้บริหาร 4 จังหวัดภาคเหนือเข้าหากัน แนวทางประกาศ “เขตควบคุมมลพิษ” ถูกยกเป็นวาระเร่งด่วนของการประชุมชี้แจง โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ณ จุดศูนย์กลาง พร้อมด้วยนางกัญชลี นาวิกภูมิ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมชี้แจงจากจังหวัดเชียงใหม่ เป้าหมายคือ “ทำความเข้าใจกรอบกฎหมายเดียวกัน และจัดลำดับงานให้เห็นผลทันก่อนฤดูกาลฝุ่นปีหน้า” ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังผูกโยงการทำงานเข้ากับ “วาระแห่งชาติการแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2568–2570)” เพื่อให้มาตรการภาคพื้นที่ไปในทิศทางเดียวกับยุทธศาสตร์ระดับชาติที่คณะรัฐมนตรีเพิ่งเห็นชอบเมื่อกลางปีนี้

จาก “คำสั่งศาล” สู่ “กลไกกฎหมาย” เขตควบคุมมลพิษหมายถึงอะไร

หัวใจของมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 อยู่ที่การให้อำนาจรัฐกำหนด “เขตควบคุมมลพิษ” เมื่อปรากฏเหตุให้ต้องควบคุม ลด หรือขจัดมลพิษอย่างเข้มข้นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เมื่อประกาศแล้ว กฎหมายจะเปิดสวิตช์มาตรการเฉพาะพื้นที่ ทั้งด้านการควบคุมแหล่งกำเนิด การติดตามคุณภาพอากาศ การสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุก และการระดมความร่วมมือข้ามหน่วยงาน โดยมี “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” ตามมาตรา 60 เป็นเครื่องมือนำทาง ส่วนมาตรา 37–39 วางบทบาทให้จังหวัดจัดทำ “แผนสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด” สอดรับกับสถานการณ์และทรัพยากรที่มี เพื่อไม่ให้แผนบนกระดาษขาดตอนกับการปฏิบัติจริง

ก้าวยาวของกระบวนการยุติธรรม

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่สั่งให้ประกาศเขตควบคุมมลพิษ 4 จังหวัดภาคเหนือ ชี้เหตุผลเชิงสัดส่วนระหว่าง “สิทธิในสุขภาพและชีวิตที่ปลอดภัยของประชาชน” กับ “ประโยชน์สาธารณะด้านภาพลักษณ์และเศรษฐกิจ” และลงท้ายด้วยข้อสั่งการเชิงปฏิบัติให้ใช้อำนาจตามมาตรา 59 ครอบคลุมช่วงเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคมของทุกปีซึ่งเป็นหน้าต่างเวลาวิกฤตของฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ การยกระดับปัญหาเข้าสู่กลไกตามกฎหมายจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะผูก “ความรับผิดชอบ” เข้ากับ “เส้นตาย” และ “ตัวชี้วัด” อย่างเป็นระบบ แทนการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า

ตัวเลขชวนคิด มาตรฐานไทย–แนวทางโลก–ภาวะเสี่ยงสุขภาพ

ประเทศไทยปรับเข้ม “ค่ามาตรฐาน PM2.5 ราย 24 ชั่วโมง” จาก 50 เหลือ 37.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เพื่อสะท้อนหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์เรื่องผลกระทบสุขภาพและให้เท่าทันสถานการณ์ ในขณะที่แนวทางแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO AQG 2021) เสนอค่าระดับเป้าหมายยิ่งเข้มกว่าไว้ที่ 15 ไมโครกรัม/ลบ.ม.—ตัวเลขสองชุดนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดพื้นที่ที่ “อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานไทย” ยังอาจไม่ “ปลอดภัย” สำหรับกลุ่มเสี่ยง และเหตุใดการสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุกจึงสำคัญไม่แพ้มาตรการควบคุมแหล่งกำเนิด

แพทย์เตือนอะไร—และประชาชนควรทำอย่างไร

คู่มือการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขต่อสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่เผยแพร่ปี 2568 ย้ำให้หน่วยบริการและท้องถิ่นติดตามคุณภาพอากาศแบบรายวัน จัดเตรียมหน้ากากที่มีประสิทธิภาพ (เช่น มาตรฐานเทียบเท่า N95) ให้กลุ่มเปราะบาง ตั้งจุดปลอดฝุ่น (clean air shelter) และสื่อสารคำแนะนำสุขภาพเฉพาะพื้นที่อย่างต่อเนื่อง—ทั้งหมดนี้ต้อง “มาทีมเดียวกัน” ระหว่างฝ่ายสาธารณสุขกับฝ่ายปกครอง เมื่อพื้นที่เข้าสู่สถานะเขตควบคุมมลพิษ.

ฉากประชุมวันนี้ เปิดจอ–ไล่ภารกิจ–นับถอยหลังก่อนฤดูกาลฝุ่น

การประชุมทางไกลที่เชียงรายวันนี้มีสามวาระหลัก (1) ชี้แจงความหมายและผลทางกฎหมายของ “เขตควบคุมมลพิษ” และขั้นตอน/บทบาทของหน่วยงานในพื้นที่ (2) กำหนดกรอบการจัดทำ “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” (มาตรา 60) ให้ทันบังคับใช้ก่อนฤดูวิกฤตปีหน้า โดยยึดกรอบวาระแห่งชาติ PM2.5 ฉบับที่ 2 (2568–2570) เป็นแกน และ (3) จัดกลไกสื่อสารความเสี่ยงและแจ้งเตือนประชาชนแบบ “หนึ่งเสียง” ตั้งแต่ระดับตำบล/เทศบาลขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่เข้าใจง่ายและทันเวลา พร้อมมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจหรือโรคหัวใจ

การ “จับคู่ภารกิจ–ตัวชี้วัด–เส้นตาย” ถูกย้ำตลอดการประชุม เช่น การนับวันถอยหลังสู่เดือนกุมภาพันธ์—ก่อนถึงเวลานั้น แผนจังหวัดต้องตอบได้ว่า “แหล่งกำเนิดไหนลดเท่าไร ใครรับผิดชอบ และติดตามผลอย่างไร” ขณะที่ภาคประชาสังคมและสถาบันการศึกษาจะเข้ามาเสริมฐานข้อมูลจุลภาคและออกแบบระบบแจ้งเตือนที่ประชาชนเข้าถึงจริง

เมื่อ “เขตควบคุมมลพิษ” ลงสู่พื้นที่จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

การบังคับใช้มาตรการชั่วคราวเฉพาะฤดูกาล : ช่วง ก.พ.–พ.ค. หน่วยงานรัฐสามารถออกเงื่อนไขการควบคุมแหล่งกำเนิดชั่วคราว (เช่น การจำกัดกิจกรรมกลางแจ้งในบางช่วง การเข้มตรวจควันดำ/ควันขาว การห้ามเผาในที่โล่งอย่างมีข้อยกเว้นที่ชัดเจน และการเพิ่มความถี่ตรวจโรงงาน/ลานตากการเกษตร) โดยทั้งหมดต้องยึดหลักความจำเป็นและสัดส่วนตามที่กฎหมายกำหนด และการสื่อสารความเสี่ยงแบบแบ่งระดับ เมื่อค่าฝุ่นเข้าใกล้/เกินมาตรฐาน การแจ้งเตือนต้องระบุ “ทำอะไร–กับใคร–เมื่อใด” เช่น ระดับเตือนกลุ่มเสี่ยงให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง พร้อมเปิดจุดปลอดฝุ่นในศูนย์ชุมชน โรงเรียน หรือ รพ.สต. การติดตามและประเมินผลจังหวัดต้องรายงานผลมาตรการตามแผนมาตรา 60 และผนวกเข้ากับแผนสิ่งแวดล้อมจังหวัด (มาตรา 37–39) เพื่อไม่ให้มาตรการเฉพาะฤดูถูก “รีเซ็ตใหม่” ทุกปี

ทั้งหมดนี้คือการทำให้ “ความรับผิดชอบเชิงกฎหมาย” กลายเป็น “ผลลัพธ์เชิงสุขภาพและเศรษฐกิจ” ที่ตรวจสอบได้

มองเชิงระบบ: ทำไม “แผนจังหวัด” ต้องล็อกกับ “วาระแห่งชาติ”
วาระแห่งชาติการแก้ฝุ่น PM2.5 ฉบับที่ 2 (2568–2570) ที่ ครม. เห็นชอบ กำหนดทั้งมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตั้งแต่การจัดการเชื้อเพลิงการเกษตร (agri-residue) การปรับพฤติกรรมการขนส่งและยานยนต์ การยกระดับการตรวจวัดและเปิดเผยข้อมูล ไปจนถึงความร่วมมือข้ามพรมแดนในประเด็นหมอกควันภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การที่ 4 จังหวัดจะยกเครื่องสู่ “เขตควบคุมมลพิษ” จึงต้อง “ล็อกเป้าและภาษานโยบาย” ให้ตรงกับแผนชาติ เพื่อใช้ประโยชน์จากงบกลาง มาตรการจูงใจ และเครือข่ายความร่วมมือที่วางไว้แล้ว ลดการซ้ำซ้อนและเร่งผลลัพธ์ในพื้นที่.

มุมวัดผล ใช้ตัวเลขอะไรติดตามความคืบหน้า

เพื่อให้การขับเคลื่อน “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ใช่แค่คำประกาศ ข่าวชิ้นนี้ขอเสนอ “4 ชุดตัวชี้วัด” ที่จับต้องได้ (และสอดคล้องกับกรอบสาธารณสุข/สิ่งแวดล้อมที่มีอยู่)

  1. คุณภาพอากาศ: จำนวนวัน PM2.5 เกินมาตรฐาน 37.5 µก./ลบ.ม. รายพื้นที่ + ค่าเฉลี่ยความเข้มสูงสุดราย 24 ชั่วโมงในช่วง ก.พ.–พ.ค. (เชื่อม Air4Thai/สถานีเครือข่ายมหาวิทยาลัย)
  2. แหล่งกำเนิด: ปริมาณเชื้อเพลิงการเกษตรที่ถูกนำไปใช้/กำจัดแบบไม่เผา (ตัน) + จำนวนการตรวจโรงงาน/ยานยนต์ควันดำ
  3. สุขภาพ: จำนวนผู้ป่วยกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ/หัวใจที่มารับบริการในช่วงเตือนภัย (เชื่อมระบบเฝ้าระวังของ สธ.)
  4. การสื่อสาร: จำนวนการแจ้งเตือนแบบแบ่งระดับและการเข้าถึง (reach) ของประชาชนในช่องทางจังหวัด/อปท.

“คำถามชวนคิด” ระหว่างทาง

– ถ้าค่ามาตรฐานไทย 37.5 ยังสูงกว่าเป้าหมาย WHO ที่ 15 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เราจะตั้ง “เป้าหมายภายใน” ที่เข้มขึ้นสำหรับกลุ่มเสี่ยงได้อย่างไร โดยไม่ขัดกฎหมายแต่ทำให้คนปลอดภัยขึ้น
– เรามีข้อมูลเชื้อเพลิงการเกษตรรายพืช–รายอำเภอครบถ้วนหรือยัง เพื่อวางมาตรการจูงใจเศรษฐกิจ (เศษวัสดุไปเป็นพลังงาน/อาหารสัตว์/วัสดุชีวภาพ) แทนการเผา?
– ในฐานะ “เขตควบคุมมลพิษตามฤดูกาล” จะออกแบบมาตรการชั่วคราวที่ “เข้มพอ–ยุติธรรม–ไม่บั่นทอนเศรษฐกิจท้องถิ่น” อย่างไร โดยยึดหลักสัดส่วนตามที่ศาลวางไว้

เสียงจากโต๊ะประชุม

ผู้แทนจังหวัดย้ำแนวเดียวกัน 3 เรื่อง: หนึ่ง—ต้องเร่งทำความเข้าใจบทบาทของทุกหน่วย ทั้งฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น สาธารณสุข ตำรวจ หน่วยป่าไม้ และภาคเอกชน เพื่อปิดช่องว่าง “ใครทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร” สอง—ให้เตรียมแผนปฏิบัติการตามมาตรา 60 โดยเลือก “มาตรการไม่เผา” ที่ทำได้จริงในบริบทพื้นที่ และกำหนดกลไกชดเชย/จูงใจชัดเจน สาม—ให้จัดตั้งศูนย์สื่อสารความเสี่ยงระดับจังหวัด เชื่อม รพ.สต.–เทศบาล–กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน เป็นโครงข่ายแจ้งเตือนเดียวกัน ลดความสับสนของประชาชนช่วงค่าฝุ่นแกว่งวันต่อวัน

ในภาพใหญ่ “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ได้ลดบทบาทประชาชน ในทางกลับกัน มันทำให้ “สิทธิรู้เท่าทัน” และ “สิทธิได้รับการคุ้มครอง” ชัดขึ้น—เมื่อค่าฝุ่นสูงไป ทางการต้องบอกล่วงหน้า ต้องเปิดจุดปลอดฝุ่น ต้องมีหน้ากากเพียงพอ และต้องมีมาตรการบรรเทาเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ฝากประชาชนแก้ปัญหาด้วยตัวเองเพียงลำพัง

ทางแยกสู่ “ความยั่งยืน”

แม้เขตควบคุมมลพิษจะตอบโจทย์ฤดูกาลวิกฤต แต่การแก้ฝุ่นอย่างยั่งยืนยังพิงปัจจัยโครงสร้าง—เศรษฐกิจการเกษตรที่ลดการพึ่งพาการเผา, ระบบขนส่งที่ปล่อยมลพิษต่ำ, อุตสาหกรรมที่จัดการมลพิษปลายปล่องอย่างโปร่งใส, และความร่วมมือข้ามพรมแดนที่จริงจัง—ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบใน “วาระแห่งชาติ PM2.5 (2568–2570)” ที่จังหวัดต้องเชื่อมต่อ ไม่ใช่เดินคู่ขนานคนละทิศ เมื่อคำพิพากษาวางกรอบกฎหมายแล้ว สิ่งที่รออยู่ข้างหน้า คือ “กฎของผลลัพธ์” ที่จะวัดจากอากาศที่เด็กๆ สูดได้อย่างปลอดภัยขึ้นในฤดูกาลหน้า

ข้อเท็จจริงเชิงกฎหมาย (สรุปให้เข้าใจง่าย)

• มาตรา 59: หากมีเหตุจำเป็น รัฐสามารถกำหนดพื้นที่ใดเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” เพื่อควบคุม ลด และขจัดมลพิษแบบเข้มข้นตามแผนที่กำหนด
• มาตรา 60: ต้องมี “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” ระบุมาตรการ ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และวิธีติดตามผล
• มาตรา 37–39: จังหวัดต้องมี “แผนสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด” เพื่อบูรณาการมาตรการต่างๆ และจัดสรรทรัพยากรให้ต่อเนื่อง
• คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด (ส.ค. 2568): สั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดภาคเหนือเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ช่วงเดือน ก.พ.–พ.ค. ของทุกปี โดยอาศัยหลักสัดส่วนเพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชนควบคู่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

เช็กสุขภาพสาธารณะมาตรฐาน–คำแนะนำ–การปฏิบัติ

อย่าลืมว่า “ค่ามาตรฐาน” ไม่ได้แปลว่า “ปลอดภัยสำหรับทุกคน” มาตรฐานไทย 37.5 µก./ลบ.ม. ช่วยให้หน่วยงานมีเกณฑ์ปฏิบัติ แต่มาตรการดูแลกลุ่มเสี่ยงควรขยับเข้มขึ้นสู่ระดับแนะนำของ WHO ที่ 15 µก./ลบ.ม. โดยเฉพาะช่วงค่าฝุ่นแกว่งสูง การเตรียมแผนหน้ากากคุณภาพ จุดปลอดฝุ่น การแจ้งเตือนกิจกรรมภายนอก (เช่น การงดกิจกรรมกลางแจ้งในสถานศึกษาเมื่อค่า AQI/PM2.5 เกินเกณฑ์) ล้วนอยู่ในคู่มือของ สธ. แล้ว และควรถูกยกเป็น “มาตรฐานจังหวัด” เมื่อสถานะเขตควบคุมมลพิษมีผลใช้

จาก “คำพิพากษา” สู่ “อากาศที่หายใจได้”

การเตรียมประกาศ 4 จังหวัดเหนือเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะหน้าเท่านั้น แต่คือการวางรางเหล็กให้ขบวนการทำงานของรัฐ–ท้องถิ่น–ภาคเอกชน–ภาคประชาชน แล่นไปในทิศเดียวกันภายใต้กรอบกฎหมายเดียวกัน ตัวเลขมาตรฐาน PM2.5 ที่เข้มขึ้น เสียงเตือนจากวงการแพทย์ และคำพิพากษาที่วางหลักสัดส่วน ล้วนมาบรรจบกันที่จุดเดียว: สุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนเหนือที่ต้อง “ปลอดภัยขึ้นจริง” ภายในเวลาที่วัดได้—เริ่มจากฤดูกาลหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด สั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษช่วง ก.พ.–พ.ค. ของทุกปี (อ้างอิงข่าวสรุปโดยสำนักข่าวอิศรา, 1 ส.ค. 2568)
  • พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
  • ค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศของไทย (PM2.5 ราย 24 ชม. = 37.5 µก./ลบ.ม.
  • WHO Air Quality Guidelines 2021 – ค่าเป้าหมาย PM2.5 ราย 24 ชม. = 15 µก./ลบ.ม. และเหตุผลด้านสุขภาพ
  • แนวทางกระทรวงสาธารณสุขต่อสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 (พ.ศ. 2568)

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดภาคเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ แก้ไขวิกฤต PM2.5

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ สู้วิกฤต PM2.5

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ท้องฟ้าสีเทาหม่นที่ปกคลุมภาคเหนือของประเทศไทยทุกฤดูหนาวและต้นฤดูร้อน ได้กลายเป็นฝันร้ายที่คุ้นชินของชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตและสุขภาพของผู้คนนับแสน ได้ผลักดันให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ และในวันนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดดังกล่าวเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี เพื่อยุติวิกฤตที่ยืดเยื้อมานานนับทศวรรษ

จุดเริ่มต้นของการต่อสู้เสียงจากประชาชน

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ชาวบ้านจากอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากหมอกควันไฟป่าทุกปีจนทนไม่ไหว เขาตัดสินใจยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อศาลปกครองในปี 2566 โดยชี้ว่าหน่วยงานนี้ละเลยหน้าที่ในการจัดการปัญหา PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือ “ทุกเช้าที่ตื่นมา ลูกผมไอจนแทบหายใจไม่ออก ผมทนเห็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” นายภูมิเล่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในวันแถลงข่าวหลังการพิจารณาคดี

คดีนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของนายภูมิเพียงคนเดียว แต่เป็นตัวแทนของชาวบ้านนับล้านที่ต้องสูดอากาศพิษเข้าไปในปอดทุกวัน ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ระบุว่า ในช่วงฤดูหมอกควันระหว่างปี 2561-2564 ผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังใน 4 จังหวัดนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ

การตัดสินใจที่สร้างประวัติศาสตร์

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการมลพิษในประเทศไทย โดยสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอนเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 มักพุ่งสูงเกินมาตรฐานจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ศาลให้เหตุผลว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบถึงปัญหามลพิษ PM2.5 มานาน แต่การดำเนินการที่ผ่านมา เช่น แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ยังไม่เพียงพอที่จะลดระดับมลพิษให้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง ศาลชี้ว่า การที่หน่วยงานนี้ไม่ประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ที่มีปัญหาวิกฤต ถือเป็นการ “ละเลยต่อหน้าที่” ตามที่กฎหมายกำหนด

อย่างไรก็ตาม ศาลยังคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการปกป้องสุขภาพประชาชนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการลงทุนในพื้นที่ จึงกำหนดให้การประกาศเขตควบคุมมลพิษมีผลเฉพาะในช่วงเวลาที่ปัญหาหมอกควันรุนแรงที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของจังหวัดเหล่านี้ในช่วงเวลาอื่นของปี

ผลกระทบของคำตัดสิน ก้าวแรกสู่ท้องฟ้าที่ใสสะอาด

การประกาศเขตควบคุมมลพิษจะนำมาซึ่งมาตรการที่เข้มข้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในการจัดการปัญหา PM2.5 โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะต้องดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งรวมถึงการออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาและกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษ เช่น การจำกัดการเผาในที่โล่ง การควบคุมมลพิษจากโรงงานและยานพาหนะ และการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิเคราะห์ว่า คำตัดสินนี้จะเป็นแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องทำงานอย่างบูรณาการมากขึ้น “การเป็นเขตควบคุมมลพิษจะให้อำนาจแก่หน่วยงานท้องถิ่นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เช่น การปรับผู้ที่เผาในที่โล่งโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและควบคุมมลพิษ รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่”

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้คำพิพากษานี้จะเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประชาชน แต่การแก้ไขปัญหา PM2.5 ในระยะยาวยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ประการแรกคือการจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษที่หลากหลาย ตั้งแต่การเผาในภาคเกษตรกรรม ไฟป่า ไปจนถึงมลพิษข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ

ประการที่สองคือการสร้างความสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การเผาในที่โล่งมักเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านในพื้นที่ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดโดยไม่มีการให้ทางเลือกที่เหมาะสม เช่น การสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดการเศษพืชผลเกษตร อาจสร้างความขัดแย้งและลดความร่วมมือจากชุมชน

สุดท้าย การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับประกันว่ามาตรการต่างๆ จะนำไปสู่การลดมลพิษอย่างยั่งยืน หากในอนาคต ระดับ PM2.5 ลดลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสามารถพิจารณาเพิกถอนการประกาศเขตควบคุมมลพิษได้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณของความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานี้

จุดเปลี่ยนของการปกป้องสิ่งแวดล้อม

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหา PM2.5 ในภาคเหนือเท่านั้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงบทบาทของกระบวนการยุติธรรมในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการมีสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงพลังของประชาชนในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงผ่านการใช้สิทธิทางกฎหมาย

ในมุมมองของผู้เขียน คำตัดสินนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่อาจนำไปสู่การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนมากขึ้นทั่วประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของภาครัฐในการดำเนินการตามคำสั่งศาล ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการสนับสนุนจากประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดมลพิษ

สู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ความหวังของคนเหนือ

สำหรับชาวบ้านอย่างนายภูมิและครอบครัว คำตัดสินในวันนี้คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ “ผมหวังว่าลูกๆ จะได้หายใจอากาศที่สะอาด และไม่ต้องกลัวว่าวันหนึ่งจะป่วยเพราะฝุ่นควัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหวัง

เมื่อมองไปข้างหน้า การต่อสู้กับวิกฤต PM2.5 ในภาคเหนืออาจเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยและทั่วโลก ว่าด้วยพลังของประชาชน ความยุติธรรม และความร่วมมือ เราสามารถเอาชนะภัยคุกคามที่มองไม่เห็นแต่ร้ายแรงนี้ได้ และคืนท้องฟ้าสีครามให้กับลูกหลานของเราในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศาลปกครองสูงสุด: คำพิพากษาคดีนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (1 สิงหาคม 2568)
  • พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, และแม่ฮ่องสอน: รายงานสถิติผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 (2561-2564)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (2566-2568)
  • รายงานสถานการณ์ไฟป่าและมลพิษทางอากาศในภาคเหนือ พ.ศ. 2566-2568, กรมควบคุมมลพิษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News