Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กาแฟเชียงรายผงาด! กวาดรางวัลสุดยอดกาแฟไทยปี 2568 สะท้อนศักยภาพระดับชาติ

 “สุดยอดกาแฟไทย” จากเวทีประกวดสู่ยุทธศาสตร์ชาติ: ถอดบทเรียนการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยและแรงขับเคลื่อนจากภาคเหนือ

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 – ตัวเลขคุณภาพขยับขึ้นจริง ปี 2567 ผู้ชนะสายอะราบิกากระบวนการแปรรูปแบบแห้งทำคะแนนแตะ 91.00 คะแนน (ระดับ “Outstanding” ตามเกณฑ์ SCA) ตอกย้ำศักยภาพกาแฟพิเศษไทยบนมาตรฐานสากล และสะท้อน “เพดานคุณภาพ” ที่ยกสูงกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

  • มาตรฐานเดียวกับโลก: การประกวดใช้ เกณฑ์ SCA พร้อมโครงสร้างประกาศนียบัตรเป็นขั้นบันได (Outstanding/Excellent/Very Good/ชมเชย) ช่วยให้เกษตรกร “เห็นเป้าหมาย–รู้ช่องว่าง–ปรับปรุงได้จริง” และทำให้คะแนนเป็น “ภาษากลาง” ระหว่างผู้ผลิต–ผู้คั่ว–ผู้ซื้อ
  • นโยบายเชื่อมคุณภาพกับสิ่งแวดล้อม: กรมวิชาการเกษตรวางตำแหน่งโครงการเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนคุณภาพ ควบคู่ เป้าหมายสาธารณะ เช่น การเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพและสนับสนุนแนวทางลด PM2.5 ในภาคเกษตร สะท้อน “ผลลัพธ์พหุมิติ” ที่เกินกว่าการแข่งขัน
  • เหนือยังเป็นหัวรถจักร: รายชื่อผู้ชนะปี 2567 กระจุกตัวในภาคเหนืออย่างโดดเด่น (เช่น บ้านมณีพฤกษ์ จ.น่าน) และปี 2568 มีผู้ส่งตัวอย่างจากเชียงรายจำนวนมาก ชี้ทิศทาง “อัตลักษณ์แหล่งปลูก” (origin identity) ที่ชัดขึ้น และโอกาสต่อยอดเป็นแบรนด์พื้นที่/ท่องเที่ยวเชิงเกษตร

รายงานเชิงลึก

เช้าตรู่ปลายฤดูฝนของเชียงราย กลิ่นดินชื้นและเมฆต่ำเหนือดอยเป็นคิวสำคัญของฤดูกาลกาแฟ ขณะเดียวกัน “เส้นกราฟคุณภาพ” ของกาแฟไทยก็พุ่งสูงขึ้นเงียบ ๆ หากดูเพียงภายนอก การประกวดอาจเป็นเรื่องของถ้วยรางวัลและชื่อเสียง แต่สำหรับห่วงโซ่กาแฟไทย “เวทีประกวดสุดยอดกาแฟไทย (Thai Coffee Excellence)” ถูกออกแบบให้เป็น เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์: ตั้งคะแนนเป็นเข็มทิศ กำหนดมาตรฐานร่วม และเชื่อมผู้ผลิตกับตลาดคุณภาพทั่วโลก

จากเวทีแข่งขันสู่เครื่องมือพัฒนา

หัวใจของการประกวดที่กรมวิชาการเกษตรเป็นเจ้าภาพ คือการวัดคุณภาพด้วย มาตรฐาน SCA (Specialty Coffee Association) ซึ่งเป็น “ภาษากลาง” ของอุตสาหกรรมกาแฟพิเศษทั่วโลก ระบบคะแนน (Cupping Score) ทำให้ผู้ซื้อ–ผู้ขาย–ผู้คั่ว เข้าใจตรงกันว่า “กาแฟถุงนี้” อยู่ในระดับใด และควรตั้งราคาหรือพัฒนาต่ออย่างไร โดยทั่วไป กาแฟที่ทำคะแนน ตั้งแต่ 80 คะแนน ขึ้นไปจึงถือเป็น “กาแฟพิเศษ” และยิ่งแตะ 85/90 คะแนน ความโดดเด่นทางรสชาติยิ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล* (ดูกรอบมาตรฐาน SCA)

หมายเหตุ: ประกาศอย่างเป็นทางการของการประกวดไทยปี 2567 ใช้กรอบประกาศนียบัตร 5 ระดับ ได้แก่ Outstanding (90–100), Excellent (85–89.99), Very Good (80–84.99), ชมเชย (80–83.99 ในประกาศเฉพาะส่วน) และประกาศนียบัตรกรมวิชาการเกษตรสำหรับคะแนนต่ำกว่า 80 ซึ่งสื่อสารชัดเจนถึง “ขั้นบันไดคุณภาพ” ให้ผู้ผลิตใช้เป็นเป้าหมายในการพัฒนา

หลักฐานเชิงคุณภาพ คะแนนทะลุ 90 และรายชื่อผู้ชนะ

ปี 2567 นับเป็น “หมุดหมาย” ของกาแฟไทย เมื่อผู้ชนะสาย อะราบิกา – กระบวนการแห้ง (Natural) อย่าง นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ จาก บ้านมณีพฤกษ์ จ.น่าน ทำคะแนน 91.00 สูงสุดของปี ขณะที่สาย กึ่งแห้ง (Honey) อย่าง นายชาติชาย แซ่ท้าว จากแหล่งเดียวกันทำ 91.06 คะแนน สะท้อน “ศักยภาพ terroir” ของผืนป่าภาคเหนือที่ถูกเล่าเรื่องผ่านถ้วยกาแฟอย่างมีพลัง นอกจากนี้ สาย เปียก (Washed) ผู้ชนะทำคะแนนระดับ 89.94 ใกล้แตะเส้น 90 จุด ซึ่งเป็น “โซนหายาก” ของกาแฟพิเศษในตลาดโลก (รายละเอียดปรากฏในประกาศผลฉบับทางการของกรมวิชาการเกษตร)

ความสำคัญของตัวเลขไม่ได้อยู่ที่ สถิติ เท่านั้น แต่คือแรงกระเพื่อมที่เกิดตามมา—จากผู้ซื้อที่ให้ราคาตามคุณภาพ ไปจนถึงผู้ผลิตรายย่อยที่เห็น “ทางลัดสู่ตลาดพรีเมียม” ผ่านการปรับวิธีเก็บ–แปรรูป–จัดเก็บ เพื่อไล่ล่าคะแนนมากกว่าการเพิ่มปริมาณเพียงอย่างเดียว

เชียงรายบนแผนที่ ฐานการผลิต–ฐานคนเล่นคุณภาพ

แม้ปี 2567 บัลลังก์จะอยู่ที่น่าน แต่ “ฐานคุณภาพ” ของเชียงรายยังคงแข็งแรง ทั้งในบทบาทแหล่งปลูกดั้งเดิมและฐานชุมชนกาแฟรุ่นใหม่ ปี 2568 ในรอบการประกวดปัจจุบัน มีผู้ผลิตจากเชียงรายจำนวนมากส่งตัวอย่างเข้าร่วม และตามเอกสารประกาศผลเบื้องต้นกรมวิชาการเกษตรได้ประกาศผลการประกวด สุดยอดกาแฟไทย ประจำปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานจากสมาพันธ์กาแฟโลก (Specialty Coffee Association: SCA)

การประกวดครั้งนี้มีผู้ส่งตัวอย่างกาแฟจากทั่วประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง และผู้ผลิตจากจังหวัดเชียงรายก็สามารถคว้ารางวัลไปได้หลายรายการในหลากหลายประเภท สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของผลผลิตกาแฟที่โดดเด่นและศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพของประเทศ

ผู้ผลิตกาแฟเชียงรายกวาดรางวัลเพียบ

กรมวิชาการเกษตรได้ประกาศผลการประกวด “สุดยอดกาแฟไทย ประจำปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานจากสมาพันธ์กาแฟโลก (Specialty Coffee Association: SCA)

การประกวดครั้งนี้มีผู้ส่งตัวอย่างกาแฟจากทั่วประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง และผู้ผลิตจากจังหวัดเชียงรายก็สามารถคว้ารางวัลไปได้หลายรายการในหลากหลายประเภท สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของผลผลิตกาแฟที่โดดเด่นและศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพของประเทศ

ประเภทการประกวดเมล็ดกาแฟ (Thailand Best Coffee Beans 2025)

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีแห้ง (Dry/Natural Process)

  • ประกาศนียบัตรเหรียญทองแดง (ระดับคะแนน 84 – 86.99)
    • ลำดับที่ 5: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 84.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 6: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 84.25 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 7: นายธนกฤต ชมภู – อ.แม่ฟ้าหลวง: 83.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 11: นายอุกฤษ สิงห์แก้ว – อ.เทิง: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางพิน แก้วสุข – อ.เวียงแก่น: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 15: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 82.25 คะแนน
    • ลำดับที่ 18: นางสาวพรพิมล แลเซอ – อ.เวียงป่าเป้า: 81.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 20: นายกฤชณัท แลเซอ – อ.เวียงป่าเป้า: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 21: นายอินทฤทธิ์ วุยยะกู่ (ไร่กาแฟฅนปางขอน) – อ.เมืองเชียงราย: 81.25 คะแนน

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีเปียก (Wet/Fully Wash Process)

  • ประกาศนียบัตรเหรียญทองแดง (ระดับคะแนน 84 – 86.99)
    • ลำดับที่ 3: นางสาวนาถือ จะแล – อ.เมืองเชียงราย: 85.00 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 5: นายยุทธนา พุ่มพลีก – อ.แม่สรวย: 83.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 10: กาแฟพิเศษห้วยชมภู (นายไกรศักดิ์ แสนหมี่) – อ.เมืองเชียงราย: 82.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 14: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 19: นายธนิน วิบูลจิตธรรม – อ.แม่สรวย: 80.50 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 78.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 22: นางสาวยุพา เยส่อกู – อ.เมืองเชียงราย: 73.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 23: นายสมบัติ อัครวิชัยกุล – อ.เมืองเชียงราย: 73.50 คะแนน

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีกึ่งแห้ง (Semi-Dry/Honey Process)

  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 3: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 83.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 5: นายอภิสิทธิ์ บิเซ – อ.เมืองเชียงราย: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 7: นายอินทฤทธิ์ วุยยะกู – อ.เมืองเชียงราย: 81.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 8: นายอนุสรณ์ จือปา – อ.แม่สรวย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 10: นายสินธพ จือปา – อ.แม่สรวย: 80.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 80.00 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 79.25 คะแนน
    • ลำดับที่ 22: นางพิน แก้วสุข – อ.เวียงแก่น: 75.25 คะแนน

กาแฟโรบัสตา ไม่แยกกระบวนการแปรรูป

  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: นายพิชิต บุญยืนพนากุล – อ.แม่สรวย: 72.00 คะแนน

 

ทำไมคะแนนคือ “เกมยาว” ของทั้งห่วงโซ่

  1. ความโปร่งใสด้านคุณภาพ: คะแนน SCA ทำให้ผู้ผลิตรู้จุดแข็ง–จุดอ่อนเชิงรสชาติ แปลกลับเป็น “เช็กลิสต์ทางเทคนิค” เช่น ความสุกของผลเชอร์รี, สุขอนามัยในกระบวนการ, ระยะเวลาและอุณหภูมิการหมัก/อบแห้ง ฯลฯ—ทั้งหมดเชื่อมตรงกับคุณภาพในถ้วยและราคาขายปลายน้ำ.
  2. สร้างอัตลักษณ์แหล่งปลูก: เมื่อรายชื่อผู้ชนะกระจุกตัวในพื้นที่ (เช่น บ้านมณีพฤกษ์–น่าน) ต่อเนื่อง การรับรู้ “รสชาติประจำถิ่น” (origin identity) จะชัดขึ้น มีผลเชิงเศรษฐกิจทั้งต่อเมล็ดกาแฟและ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ขาย “ประสบการณ์ถ้วยเดียว–เล่าเรื่องทั้งหุบเขา”
  3. เชื่อมคุณภาพกับสิ่งแวดล้อม: กรอบการประกาศผลปี 2567 ระบุชัดว่าการประกวดเชื่อมกับการเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพและ ลดปัญหา PM2.5 ในภาคเกษตร นัยยะคือ การผลักดันให้พื้นที่ต้นน้ำเปลี่ยนผ่านสู่พืชยืนต้น/ระบบเกษตรเชิงฟื้นฟู (ปลูกผสม–รักษาหน้าดิน) แทนการพึ่งพาการเผาเป็นวงจร

คำถามชวนคิด (พร้อมข้อมูลสนับสนุน)

  • เราจะ “ล็อกคุณภาพให้ยั่งยืน” ได้อย่างไร? ปี 2567 คะแนนผู้ชนะทะลุ 90 ได้จริง แต่การรักษาคุณภาพปีต่อปีต้องลงทุนใน “ระบบ” ตั้งแต่โรงสีเปียกมาตรฐาน, พื้นที่ตากสะอาด, ไปจนถึง การวิเคราะห์คุณภาพซ้ำ (QC) ก่อนส่งตลาดส่งออก
  • ใครได้ประโยชน์มากที่สุด? ไม่ใช่เฉพาะผู้ชนะ แต่คือกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยที่ “เห็นเป้าหมายชัด” และเข้าถึงตลาดพิเศษผ่านเครือข่ายผู้คั่ว–ผู้ซื้อที่ติดตามผลประกวดอย่างใกล้ชิด (รายชื่อผู้ชนะถูกเผยแพร่บนเว็บกรมฯ อย่างเป็นทางการ ช่วยเพิ่มการมองเห็นแก่ผู้ผลิตหน้าใหม่)
  • เชียงรายควรเร่งอะไร? จากรายชื่อปี 2568 (เบื้องต้น) เชียงรายมี “ฐานกว้าง” ที่พร้อมต่อยอด หากจังหวัด–อปท.–สถาบันการศึกษา จับมือยกระดับ ห้องปฏิบัติการ cupping/มาตรฐาน post-harvest แบบใช้ร่วมในพื้นที่ จะเร่ง “อัพเพอร์ฟอร์แมนซ์” ของทั้งคลัสเตอร์

กลไกรางวัล เกียรติ–แรงจูงใจ–การเข้าถึงตลาด

นอกจากคะแนน การประกวดยังมี โครงสร้างรางวัล ที่ผสาน “เกียรติยศ” และ “แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ” เช่น ถ้วยรางวัลพระราชทานสำหรับผู้ชนะเลิศ และการยกย่องด้วยประกาศนียบัตรระดับต่าง ๆ ช่วยผลักดันให้ผู้ผลิต “ไม่หยุดที่ดีมาก” แต่ไล่สู่ ยอดเยี่ยม/โดดเด่น อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะเดียวกัน รายชื่อผู้ชนะที่เผยแพร่บนเว็บไซต์กรมฯ ทำหน้าที่เป็น สมุดหน้าเหลืองของความเชื่อถือ ให้ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศค้นหา–ติดต่อได้ง่ายขึ้น (การสื่อสารผลอย่างเป็นทางการของปี 2567 เผยแพร่แล้ว)

ปี 2568 รอบแข่งขันกำลังเดินฐานข้อมูลทางการทยอยเผยแพร่

ในรอบปี 2568 กรมวิชาการเกษตรได้ประกาศ เลื่อน/ขยายรับสมัคร และแจ้งความคืบหน้าผ่านสื่อทางการของหน่วยงาน ขณะเดียวกันเอกสารประกาศผล เบื้องต้น สำหรับบางหมวดหมู่เริ่มกระจายถึงสื่อและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อการยืนยันข้อมูล ผู้สื่อข่าวจึงได้นำเสนอ “ภาพรวมแนวโน้ม” โดยยึดหลักความระมัดระวัง และจะติดตามอัปเดต ประกาศผลฉบับสมบูรณ์ จากหน้าเว็บไซต์ทางการของกรมฯ ต่อไป.

มุมเศรษฐกิจ–สังคมจากคะแนนในถ้วยสู่รายได้ในชุมชน

การ “ทำคะแนนให้ถึง” ไม่ได้จบที่ถ้วยตัดสิน แต่เริ่มต้นที่ ศักยภาพการตั้งราคา ของผู้ผลิต การยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่องเปิดโอกาสให้เกษตรกรกำหนดราคาตามมูลค่าจริง (value-based pricing) แทนการขาย “แบบโภคภัณฑ์” ผลพลอยได้คือ การกระจายรายได้ สู่ครัวเรือนต้นน้ำ ขณะเดียวกัน คลัสเตอร์ผู้คั่ว–คาเฟ่–ท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างเชียงรายก็ได้ประโยชน์จากเรื่องเล่าของ “แหล่งปลูก–ผู้ผลิต–คะแนน” ที่จับต้องได้

และอย่าลืม ผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อม—เมื่อตลาดและรางวัลเอื้อให้การปลูกกาแฟคุณภาพคุ้มทุน การขยายพื้นที่พืชยืนต้นที่ดูแลดิน–น้ำดีขึ้น จะช่วยลดความจำเป็นของการใช้ไฟในพื้นที่สูง เป็นการเชื่อมโยง “คะแนน” กับ “อากาศที่หายใจได้” ของทั้งลุ่มน้ำโขงเหนือในภาพรวม

ภาพใหญ่ที่เห็นชัดในปีนี้คือ ไทยไม่ได้ล่าเพียงถ้วยรางวัล แต่กำลังวาง “ระบบนิเวศคุณภาพ” ที่ปีนทีละขั้นด้วยภาษาเดียวกับโลก—SCA score—ภายใต้กรอบการประกาศผลที่โปร่งใสและสื่อสารได้ ขณะที่เชียงรายยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจของคลัสเตอร์กาแฟเหนือที่ทั้งกว้างและลึก—มีทั้งผู้เล่นหน้าเก๋าและรุ่นใหม่จำนวนมาก การที่รายชื่อผู้ส่งเข้าประกวดจากเชียงรายคว้าประกาศนียบัตรหลายระดับในปี 2568 (ตามเอกสารเบื้องต้น) คือสัญญาณว่าฐานคุณภาพกำลัง “หนาแน่นขึ้น” อย่างแท้จริง

คำถามต่อไปคือ เราจะทำให้ “คะแนน” กลายเป็น “รายได้ที่ยั่งยืน” แก่ครัวเรือนต้นน้ำมากขึ้นแค่ไหน—คำตอบอยู่ที่การลงทุนใน post-harvest และระบบ QC ร่วมของพื้นที่, การเชื่อมโยงกับตลาดพรีเมียมในประเทศ–ต่างประเทศ, และการยึดมั่นในเกณฑ์สากลที่โปร่งใส เพื่อให้ทุกฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง “ปลายลิ้นของผู้ดื่ม” เป็นคนตัดสินใจแทนเรา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมวิชาการเกษตร – ประกาศผล “Thai Coffee Excellence 2024: Thailand Best Coffee Beans” (ระบุรายชื่อผู้ชนะ/คะแนนและเกณฑ์ประกาศนียบัตร) เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ทางการกองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร.
  • กรมวิชาการเกษตร – ข่าว/ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลการประกวดสุดยอดกาแฟไทย 2024 (หน้าเว็บข่าวกองพืชสวน)
  • กรมวิชาการเกษตร (กองพืชสวน) – ข่าวประชาสัมพันธ์/ประกาศขยายรับสมัครและกำหนดการ “Thai Coffee Excellence 2025” (ยืนยันการดำเนินการรอบปี 2568).
  • Specialty Coffee Association (SCA)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานชุมพร
  • ไร่กาแฟครอบครัวมะ
  • LOCAL Coffee
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จากสวนถึงบ้าน! พาณิชย์เชียงรายคิกออฟตลาดส้มโอออนไลน์ จัดส่งฟรีทั่วประเทศ

พาณิชย์เชียงราย “เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นออนไลน์” จัดส่งฟรีทั่วไทย บรรเทาผลผลิตล้นตลาด–ต่อยอดเศรษฐกิจฐานราก

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568 – ฤดูส้มโอของอำเภอเวียงแก่นกำลังเดินหน้าเต็มกำลัง ผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดต่อเนื่องตั้งแต่กลางฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว ขณะที่ราคาในประเทศเผชิญแรงกดดันจากปริมาณผลไม้ที่ออกมาพร้อมกัน จำนวนมากของผลผลิตสะท้อนทั้ง “ความสำเร็จเชิงเกษตร” และ “โจทย์ใหญ่เชิงการตลาด” ในคราวเดียวกัน ท่ามกลางความท้าทายนี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเดินเกมเชิงรุก เปิดกิจกรรม “Kick off เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นผ่านระบบออนไลน์” เชื่อมตรงชาวสวนกับผู้บริโภค พร้อมสนับสนุน กล่องกรมการค้าภายใน (DIT) และบริการ จัดส่ง EMS ฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย เพื่อเร่งระบายผลผลิต ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรในช่วงเวลาสำคัญของปี โดยมีการทยอยส่งมอบวัสดุบรรจุภัณฑ์ให้พื้นที่ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเดินหน้าจัดสรรโควตา “ส่งฟรี” ให้ชุมชนปลูกส้มโออย่างเป็นระบบ

ภาพใหญ่ของฤดูกาล ผลผลิตกำลัง “พีก” ขณะที่ราคาถูกแรงกดดัน

ฤดูกาลส้มโอเวียงแก่นโดยปกติเริ่มตั้งแต่ มิถุนายน–ตุลาคม ของทุกปี ทำให้ช่วง กรกฎาคม–กันยายน เป็นหน้าระบายผลผลิตที่คึกคักที่สุด ทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ ในเชิงพื้นที่ เวียงแก่นถือเป็น “หัวเมืองส้มโอ” ของเชียงราย มีการปลูกกระจายหลายตำบล โดยเฉพาะ พันธุ์ทองดี และ พันธุ์ขาวใหญ่ ซึ่งเป็นพันธุ์หลักของภาคเหนือ ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐระดับจังหวัดเคยชี้ให้เห็นแนวโน้มผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงพีก และราคามีโอกาสอ่อนตัว จึงต้องเร่งใช้มาตรการด้านการตลาดเชิงรุกควบคู่กับการคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานส่งออกอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น ฐานข้อมูลทางการของจังหวัดและหน่วยงานข่าวภาครัฐยังสะท้อน “น้ำหนัก” ของสินค้าเกษตรตัวนี้ไว้ชัด—เวียงแก่นมีพื้นที่ปลูก หลายพันไร่ และเคยมีการสื่อสารเชิงนโยบายระดับจังหวัดว่าผลผลิตรวม แตะหลักหลายหมื่นตันต่อปี ยืนยันสถานะ “พืชเศรษฐกิจ” ที่ขับเคลื่อนรายได้ครัวเรือนในพื้นที่ชายแดนโขงตอนบน พร้อมกันนั้น จังหวัดยังผลักดัน “งานเทศกาลส้มโอเวียงแก่น” เป็นแม่เหล็กตลาดและการท่องเที่ยวเป็นประจำช่วงปลายสิงหาคมของทุกปี เพื่อเร่งยอดบริโภคสดและช่องทางค้าปลีกในประเทศควบคู่ไปกับตลาดส่งออก

กลไก “ส่งฟรี” ที่ลงมือจริง จากกล่อง DIT ถึง EMS ผลไม้

หัวใจของมาตรการระบายผลผลิตปีนี้คือ “การลดต้นทุนเข้าเส้นเลือด” ให้ชาวสวนขายตรงถึงผู้บริโภคโดยไม่พึ่งพาคนกลางมากเกินไป สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจึงเร่งส่งมอบ กล่องผลไม้ DIT ที่ออกแบบเพื่อขนส่งผลไม้สดโดยเฉพาะ และจับมือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดทางให้เกษตรกร ส่ง EMS ผลไม้ฟรี ตามกรอบโครงการที่ประกาศไว้ (มีระยะเวลาสิ้นสุดครอบคลุมถึงปี 2569) ทั้งนี้ เกษตรกรรับกล่องได้ที่พาณิชย์จังหวัด นำผลผลิตที่คัดเกรดแล้วบรรจุและส่งที่ไปรษณีย์ในพื้นที่ ระบบจะคิดค่าส่งตามโครงการ “0 บาท” ช่วยให้ราคาขายหน้าออนไลน์แข่งขันได้มากขึ้น และผู้บริโภคต่างจังหวัดก็เข้าถึง “ส้มโอเวียงแก่นคัดเกรด” ได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคย

ในระดับจังหวัด เชียงรายยัง จัดสรรโควตากล่องส่งฟรี ให้ชุมชนเป้าหมาย พร้อมวางแผน “แพ็กเส้นทาง” จากศูนย์รวมผลผลิตของสหกรณ์ไปยังไปรษณีย์ เพื่อให้เคลื่อนสินค้าได้ทันช่วง พีกดีมานด์ โดยเฉพาะสัปดาห์เทศกาล—ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พฤติกรรมผู้บริโภคต้องการ “ชิมล็อตสดใหม่” และพร้อมเปิดรับดีลออนไลน์สั้น ๆ ที่มีจุดขายชัด เช่น “ส้มโอคัด 1 ลูก 1 กล่อง” หรือ “กล่องครอบครัว 3–5 ลูก” เพื่อเพิ่มโอกาสซ้ำซื้อหลังเทศกาล

จากออฟไลน์สู่ดีจิทัล เวียงแก่นมี “ฐาน” ให้ต่อยอด

การขยับสู่ออนไลน์ปีนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นจากศูนย์ ย้อนดูปี 2565 จังหวัดเคยเปิดตัว “Kick off เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นผ่านระบบออนไลน์” อย่างเป็นทางการแล้ว โดยใช้วิธี “ปล่อยขบวนผลผลิต” ออกจากชุมชนสู่ผู้ซื้อปลายทางผ่านระบบขนส่งพิเศษ แนวทางดังกล่าวช่วยให้ปีนี้สามารถเร่งเครื่องได้ทันที เพราะทั้งกลุ่มสหกรณ์ ร้านค้า และช่องทางโซเชียลของชาวสวนเคยผ่าน “การบ้าน” ขั้นพื้นฐานมาแล้ว จึงเหลือโจทย์การคุมคุณภาพ คัดเกรด และเล่าเรื่องแหล่งผลิตให้สอดรับกับความต้องการของผู้ซื้อยุคอีคอมเมิร์ซเท่านั้น

ในฝั่ง ภาพลักษณ์และมูลค่าเพิ่ม ภาครัฐได้ขับเคลื่อนเชิงนโยบายระยะกลาง–ยาวด้วยการผลักดัน “ส้มโอเวียงแก่น” ขึ้นทะเบียน GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) ตั้งแต่ปี 2567 เพื่อยกระดับมาตรฐาน ตลาด และการรับรู้ของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ หากได้ GI เต็มรูปแบบ จะหนุนราคาเฉลี่ยและความสามารถแข่งขันในช่องทางพรีเมียมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะผู้ซื้อสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาและมาตรฐานก่อนตัดสินใจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้สะดวกขึ้นด้วย

ส้มโอ” ไม่ใช่แค่ผลไม้คือโครงสร้างรายได้ของชายแดนโขงตอนบน

โครงสร้างชุมชนของเวียงแก่นพึ่งพา เกษตรเชิงภูมิอากาศ เป็นหลัก ส้มโอที่ปลูกบนดอนและพื้นที่ติดสันเขาได้รับแต้มต่อจากสภาพดิน–น้ำ–อากาศ ทำให้ได้ผลที่ “หวาน–อมเปรี้ยว–หอม” และเนื้อแน่น โดยเฉพาะพันธุ์ทองดีและขาวใหญ่ที่ “ติดตลาดส่งออก” มานาน ขณะเดียวกันการรักษามาตรฐาน GAP และระบบคัดแยกหน้าแปลงมีผลต่อ “เปอร์เซ็นต์ได้ราคา” โดยตรง หากชุมชนยกระดับ “การคัดหน้าไร่” ให้เสถียร—การขายออนไลน์แบบ “คละเกรดในกล่องเดียว” จะมีโอกาสคืนกำไรให้ชาวสวนมากขึ้น เพราะผู้บริโภคยอมรับการมีลูกใหญ่–ลูกเล็กในกล่องเดียวกันได้ หากทุกลูก “หวาน กรอบ ฉ่ำ” ตามสเป็กคุณภาพ

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจปลายน้ำทั้ง ล้ง และผู้ส่งออกยังได้ประโยชน์ทางอ้อมจากกลไก “ส่งฟรี” เพราะ ตลาดในประเทศ ดูดซับล็อตที่ไม่เข้าเกณฑ์ส่งออกได้เร็วขึ้น ทำให้การจัดการสต็อกปลายสวนมีประสิทธิภาพ และลดแรงกดดันราคาในช่วงพีก การรักษาสมดุล ภายใน–ส่งออก จึงเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ของปีนี้

เล่าให้เห็นภาพเส้นทาง “ลูกส้มโอ” จากเวียงแก่นถึงมือผู้ซื้อ

  1. คัดเกรดหน้าแปลง – คัดลูกขนาดสม่ำเสมอ ตรวจผิว ปิดขั้วให้เรียบร้อย เช็ดแห้ง ลดความชื้น
  2. บรรจุกล่อง DIT – รองกันกระแทก พิมพ์ฉลากแหล่งผลิต–พันธุ์–น้ำหนัก–วันบรรจุ จัดทำคิวอาร์โค้ดลิงก์คำแนะนำปอก–เก็บ
  3. ส่ง EMS ฟรี – นำไปที่ไปรษณีย์ไทย สแกนสิทธิ์โครงการ “ส่งผลไม้ 0 บาท” ตามเงื่อนไขพื้นที่–ช่วงเวลา
  4. รับปลายทางใน 1–2 วันทำการ – ผู้ซื้อได้รับกล่องพร้อมคู่มือการเก็บรักษาและไอเดียเมนู เพื่อเพิ่ม “ประสบการณ์สินค้า” และโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ

โครงเรื่องง่าย ๆ นี้ทำให้ “ส้มโอ” กลายเป็นสินค้าอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันได้ เทียบชั้นผลไม้เมืองร้อนตัวอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ครองตลาดออนไลน์มานานกว่า

หมายเหตุ: โครงการ กล่อง DIT + EMS ฟรี เป็นความร่วมมือเชิงนโยบายระดับประเทศ เกษตรกรสามารถรับกล่องได้ที่พาณิชย์จังหวัด และส่งที่ไปรษณีย์ทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามช่วงเวลาที่กำหนดในประกาศของไปรษณีย์ไทย (สิ้นสุดโครงการ 30 เม.ย. 2569)

ทำไม “ออนไลน์ + ส่งฟรี” ถึงจำเป็นในปีนี้

  • ภาวะผลผลิตออกพร้อมกัน – เมื่อทุกแปลงถึงเวลาเก็บเกี่ยวใกล้เคียงกัน แรงขายในประเทศล้นเร็ว ช่องทางออนไลน์จึงเป็น “วาล์วระบาย” ที่คุมได้เอง
  • ต้นทุนขนส่ง–บรรจุภัณฑ์ – ในโครงสร้างราคาส้มโอ ต้นทุนโลจิสติกส์เป็นสัดส่วนสูง กลไก “กล่องฟรี + EMS ฟรี” ช่วยรักษาราคาเนื้อแท้ให้ชาวสวน
  • คอนซูเมอร์อินไซต์ยุคอีคอมเมิร์ซ – ผู้ซื้อยอมรับ “ค่าส่งเป็นศูนย์” เป็นแรงกระตุ้นซื้อสำคัญ การปิดดีลด้วยราคาหน้ากล่องที่รวมทุกอย่างแล้ว ทำให้ตัดสินใจเร็ว
  • เล่าเรื่องแหล่งผลิต – สินค้า GI หรือกำลังขอ GI “เล่าเรื่องได้” สอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่อ่านป้ายคุณภาพก่อนกดสั่ง โครง GI ช่วยหนุนความน่าเชื่อถือช่องทางออนไลน์ระยะยาว

เสียงจากหน่วยงานและแนวทางเดินหน้าช่วงโค้งพีก

หน่วยงานพาณิชย์จังหวัดสื่อสารต่อเนื่องถึง มาตรการ 5 ช่องทาง ที่ใช้ควบคู่กัน ได้แก่ ตลาดชุมชน–อำเภอ, งานแสดงสินค้า, โมเดล “ส้มโอบินได้” สำหรับพรีเมียม, และ ตลาดออนไลน์ผ่านกล่องกรมการค้าภายใน ส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ” พร้อมจัดสรรโควตากล่องฟรีให้เกษตรกรอย่างเป็นธรรม ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า “ออนไลน์” ไม่ใช่ทางเลือกเดี่ยว แต่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของ แพ็กเกจกระจายผลผลิตทั้งระบบ ซึ่งถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนฤดูกาลจะเข้าสู่ช่วงพีก

เชิงปฏิบัติ จังหวัดยังใช้ อีเวนต์ฤดูกาล เช่น เทศกาลส้มโอเวียงแก่น เป็นตัวเร่ง “ดึงดีมานด์” ผ่านกิจกรรมชิม–ซื้อ–ส่งต่อทางออนไลน์ สร้างวงจร ออฟไลน์ > ออนไลน์ และ ออนไลน์ > ออฟไลน์ เพื่อรักษาโมเมนตัมยอดขายต่อเนื่องไปถึงปลายฤดูกาล

ชุมชน–สหกรณ์ (ช่วงสัปดาห์ทอง)

  1. ล็อกมาตรฐานคัดเกรด – แยก “คัดพรีเมียม” สำหรับลูกค้าแรกซื้อ เพื่อสร้างความประทับใจและรีวิวบวก
  2. ตั้งแพ็กเกจราคาเรียบง่าย – เช่น 1 ลูก/กล่อง, 3 ลูก/กล่อง, 5 ลูก/กล่อง พร้อมน้ำหนักโดยประมาณ ลดการลังเล
  3. เน้นภาพ–คลิปสั้น – โชว์ขั้นตอนคัด–แพ็ก–ส่งจริง เพิ่มความเชื่อมั่นและอัตราปิดการขาย
  4. ใช้คิวอาร์โค้ดเดียวจบ – ลิงก์แนวทางปอก–เก็บ/สูตรยำส้มโอ เพิ่มคุณค่าหลังการขาย
  5. เช็กสิทธิ์ EMS ฟรีล่วงหน้า – ประสานพาณิชย์จังหวัดและไปรษณีย์ในพื้นที่ เพื่อกระจายคิวส่งให้ทันช่วงคำสั่งซื้อหนาแน่น

เมื่อ “ส่งฟรี” ไม่ใช่แค่โปรโมชัน แต่คือสวัสดิการตลาดของชุมชน

มาตรการ เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นออนไลน์ + ส่งฟรี ของเชียงรายในปีนี้ แสดงให้เห็น “งานเชิงระบบ” ที่จับต้องได้—จากการจัดสรรกล่อง DIT, การทำงานร่วมกับไปรษณีย์ไทย, การตั้งโควตา ระบายล็อตพีกด้วยอีเวนต์ฤดูกาล และการสื่อสารต่อเนื่องของหน่วยงานในพื้นที่ ผลที่เกิดขึ้นไม่เพียงช่วย “รักษาราคาเฉลี่ย” หน้าไร่ แต่ยัง ขยายฐานผู้บริโภคทั่วประเทศ ให้รู้จักแหล่งผลิตชายแดนโขงตอนบนมากขึ้น

ที่สำคัญ การผลักดัน GI “ส้มโอเวียงแก่น” ซึ่งเดินหน้าต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จะเป็นชิ้นส่วนที่ทำให้วงจรคุณภาพ–ตลาด–ราคา “ยั่งยืน” กว่าเดิม เพราะทำให้การเล่าเรื่องแหล่งผลิตบนแพลตฟอร์มออนไลน์น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับ โครง “ส่งฟรี” ที่ลดต้นทุนโลจิสติกส์ “ถึงมือผู้ซื้อ” ได้จริง สมการนี้จึงส่งสัญญาณเชิงบวกต่อ รายได้ชาวสวน และ เศรษฐกิจฐานรากของเชียงราย ในฤดูกาลนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย: ความเคลื่อนไหวการส่งมอบ กล่อง DIT และการประชุมเตรียมความพร้อมเชื่อมโยงตลาด–จัดสรรโควตากล่องส่งฟรี; แนวทาง “ตลาดออนไลน์ผ่านกล่องกรมการค้าภายใน ส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ”.
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด: ข่าวประชาสัมพันธ์โครงการ เกษตรกรส่ง EMS ผลไม้ฟรี ด้วยกล่อง/ตะกร้า DIT (สิ้นสุดโครงการ 30 เม.ย. 2569) และโพสต์ประชาสัมพันธ์บนเพจหลัก.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

โครงการ “ลำไยไปแนวหน้า” ช่วยเกษตรกรเชียงรายระบายผลผลิต 2.3 ตันสู่ทหาร

เชียงราย “ลำไยไปแนวหน้า” ส่ง 2,300 กิโลกรัมเสริมขวัญทหารชายแดน–บรรเทาวิกฤตราคาตก ขับเคลื่อนความร่วมมือรัฐ–เอกชน–ชุมชน

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 – เช้าตรู่ที่อาคารคลังสินค้า ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย บรรยากาศคึกคักอย่างเป็นระเบียบ รถบรรทุกผลไม้ทยอยเข้าคิว เจ้าหน้าที่สนามบินตรวจเช็คบรรจุภัณฑ์ ขณะที่อาสาสมัครช่วยกันขนลำไยอย่างคล่องแคล่ว ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นตรงกลางลาน เพื่อเปิดภารกิจ “ลำไยไปแนวหน้า” โครงการที่ตั้งใจส่งลำไยคุณภาพจากเชียงรายกว่าสองตันครึ่งสู่กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อเติมแรงใจ และในขณะเดียวกันช่วยบรรเทาผลกระทบจาก “ลำไยล้นตลาด” ที่กำลังกดดันราคาหน้าสวนในภาคเหนืออยู่ในเวลานี้.

เวลา 08.00 น. นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ภายใต้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)) เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมของจังหวัดเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภารกิจครั้งนี้เป็น “ภาพจำใหม่” ที่ประกอบด้วยความห่วงใย ความร่วมมือ และความหวัง ว่าผลไม้หนึ่งลูกจะส่งต่อพลังใจได้ไกลกว่าที่คาดคิด และยังทำให้ผลผลิตของเกษตรกรถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า.

ภารกิจเชื่อม “แนวหลัง–แนวหน้า” เส้นทางลำไย 2,300 กิโลกรัมจากเชียงรายสู่แนวชายแดน

สาระสำคัญของปฏิบัติการนี้อยู่ที่ “ระบบขนส่งแบบบูรณาการ” ลำไยรวมประมาณ 2,300 กิโลกรัม ถูกบรรทุกขึ้นเครื่องสายการบินนกแอร์ เที่ยวบิน DD 101 เส้นทางเชียงราย–ดอนเมือง เวลา 09.20 น. ก่อนถ่ายต่อสู่เที่ยวบิน DD 324 ดอนเมือง–อุบลราชธานี เวลา 14.30 น. จากนั้นมอบให้ กองพลทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อนำไปกระจายต่อให้กำลังพลในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างทั่วถึง รายละเอียดเที่ยวบินและปริมาณผลผลิตได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวท้องถิ่นและสื่อกระแสหลักหลายสำนัก รวมถึงโพสต์ของสนามบินบนโซเชียลมีเดียด้วย.

นอกจากเส้นทางอากาศที่ “ต่อเดียวถึง” จุดหมาย โครงการยังสะท้อนกลไกประสานงานข้ามหน่วยงานที่ลงล็อกพอดี ตั้งแต่ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย, ตำรวจภูธรเมืองเชียงราย, สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย, หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35, ฝูงบิน 416 เชียงราย, สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย, ไปจนถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และภาคเอกชนในพื้นที่ ที่ช่วยกันสนับสนุนทรัพยากรและโลจิสติกส์เพื่อให้งานเดินหน้าได้จริง ไม่สะดุด

เพื่อความครบถ้วนเชิงข้อเท็จจริง ทีมข่าวได้ตรวจทานตารางเดินทางของเที่ยวบิน DD101 ในวันที่ 14 สิงหาคม พบว่ามีกำหนดออกจากเชียงรายเวลา 09.20 น. ตามฐานข้อมูลติดตามเที่ยวบินจากสนามบิน

บริบท “แนวหน้า” ทำไมกำลังใจจึงสำคัญยิ่งในห้วงเวลาเช่นนี้

คำถามที่หลายคนอาจสงสัยคือ เหตุใดจึงส่งตรงไปยังแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในเวลานี้? คำตอบอยู่ในบริบทความตึงเครียดที่ยังอ่อนไหว หลังเกิดเหตุทหารไทยบาดเจ็บจากกับระเบิดหลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ แม้สองประเทศจะมีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม แต่สถานการณ์ภาคสนามยังเปราะบาง เหตุการณ์บาดเจ็บล่าสุดในวันที่ 12 สิงหาคม ยิ่งสะท้อนความจำเป็นของการสนับสนุนกำลังพลในพื้นที่ปฏิบัติการต่อเนื่อง

รายงานจากสื่อต่างประเทศระบุว่า วันที่ 9 สิงหาคม มีทหารไทย 3 นายได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดตามแนวชายแดนฝั่งศรีสะเกษ ด้านกัมพูชาปฏิเสธการวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยชี้อาจเป็นซากจากความขัดแย้งในอดีต ขณะที่ฝ่ายไทยย้ำการเคารพอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดบุคคล (Ottawa Convention) สถานการณ์ดังกล่าวจึงต้องอาศัย “สมดุลระหว่างการคลี่คลายทางการทูต” กับ “การดูแลขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน” อย่างเท่าเทียมกัน.

บริบท “แนวหลัง” วิกฤตราคาลำไยและโจทย์ใหญ่ของชาวสวนภาคเหนือ

ขณะเดียวกัน ความเดือนร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกำลังปะทุ ผลผลิตปี 2568 สูงกว่า 1.06 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ กระทรวงพาณิชย์จึงตั้งเป้าระบายผลผลิต 9.5 แสนตัน ผ่าน 8 มาตรการเร่งด่วน ทั้งการกระตุ้นบริโภคในประเทศ การส่งออก และการแปรรูป พร้อมตั้ง “วอร์รูม” ติดตามสถานการณ์แบบใกล้ชิดเพื่อพยุงราคา ไม่ให้ตกต่ำจนกระทบฐานรายได้ครัวเรือนในวงกว้าง.

ภาพราคาหน้าสวนในหลายพื้นที่ยังผันผวนอย่างมาก มีรายงานต่อเนื่องว่าราคาในระดับ AA/A ลดลงรวดเร็ว สวนจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องเร่งระบายหรือยอมขาดทุนเพื่อรักษาสภาพเงินสดสำหรับฤดูกาลถัดไป ขณะที่บทวิเคราะห์เชิงสังคมชี้ว่า วิกฤตราคาลำไยปีนี้กระทบครัวเรือนเกษตรกรจำนวนมาก และอาจทำให้รายได้รวมภาคครัวเรือนลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่สามารถเร่งเครื่องมือระบายผลผลิตได้ทัน

ภายใต้แรงกดดันด้านอุปทานและราคา “ลำไยไปแนวหน้า” จึงทำหน้าที่เป็น “วาล์วระบาย” ขนาดย่อมที่จับต้องได้ ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงปริมาณ เพราะทุกกิโลกรัมที่ถูกซื้อจากชาวสวนและเคลื่อนย้ายอย่างเป็นระบบ คือยอดที่หักออกจากสต็อกส่วนเกิน ขณะเดียวกันยังสร้างเรื่องเล่าบวกต่อผลผลิตภาคเหนือ ซึ่งช่วยหนุนความต้องการบริโภคภายในประเทศในช่วงเวลาสำคัญของฤดูกาล

สามเหลี่ยมความร่วมมือ” ที่ทำให้ของถึงมือผู้รับจริง

ความสำเร็จของการส่งมอบครั้งนี้เกิดจาก “สามเหลี่ยมความร่วมมือ” ที่คล้องจองกันพอดี

  1. กลไกสนามบินและสายการบิน – สนามบินทำหน้าที่เป็น “ตัวคูณประสิทธิภาพ” ให้โลจิสติกส์ระยะไกลเกิดขึ้นจริงในเวลาอันสั้น เที่ยวบินพาณิชย์ที่ประสานกับภารกิจสาธารณะ ช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงด้านเวลาอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลเที่ยวบินที่เชื่อถือได้ช่วยยืนยันความตรงต่อเวลาตามมาตรฐานการบินพาณิชย์
  2. ข้อต่อระหว่างจังหวัด–ชายแดน – เมื่อของถึงอุบลราชธานี การเชื่อมต่อกับ กองพลทหารราบที่ 6 ทำให้การกระจายต่อไปยังแนวชายแดนดำเนินไปอย่างปลอดภัยและมีวินัย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่หลายโครงการสาธารณะมักสะดุด หากขาดผู้รับผิดชอบปลายทางที่ชัดเจนและมีศักยภาพ
  3. ชุมชน–ผู้ประกอบการท้องถิ่น – ร้านอาหาร โรงแรม สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว และภาคประชาชน ทำให้ “คนตัวเล็ก” กลายเป็นกำลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในรูปแบบเงินสมทบ แรงงานอาสา และการรณรงค์สื่อสาร ช่วยให้โครงการไม่เป็นเพียงข่าวประชาสัมพันธ์ หากแต่เป็นการลงมือจริงที่มีผลลัพธ์วัดได้

จาก “กิโลกรัม” สู่ “ผลกระทบ”

  • 2,300 กิโลกรัม คือปริมาณลำไยที่เดินทางจากเชียงรายสู่แนวหน้าในรอบนี้ หากประเมินอัตราเฉลี่ยการบริโภคของกำลังพลต่อวัน จะเท่ากับเสบียงผลไม้สดได้หลายพันเสิร์ฟ ซึ่งมีความหมายมากในสภาพแวดล้อมปฏิบัติการ
  • 1.06 ล้านตัน คือผลผลิตลำไยทั้งฤดูกาลปี 2568 (รวม 8 จังหวัดภาคเหนือ) ตัวเลขนี้อธิบายแรงกดดันด้านอุปทานที่ทำให้ราคาตลาดอ่อนแรง
  • 950,000 ตัน คือเป้าระบายผลผลิตของกระทรวงพาณิชย์ผ่าน 8 มาตรการ ซึ่งเป็นเป้าหมายเชิงนโยบายที่ต้องติดตามว่าเดินหน้าได้ตามแผนเพียงใด เมื่อฤดูกาลเข้าสู่ช่วงพีก
  • หลายเหตุการณ์ด้านความมั่นคง บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นบริบทที่อ่อนไหว และความจำเป็นในการดูแลขวัญกำลังใจแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง

เสียงจากพื้นที่ เมื่อ “ขวัญกำลังใจ” พบ “ราคาที่ยุติธรรม”

แหล่งข่าวจากฝ่ายจัดกิจกรรมอธิบายตรงกันว่า ภารกิจนี้มีสองเป้าในหนึ่งครั้ง คือ ยกขวัญกำลังใจทหาร และ ช่วยเกษตรกรขายผลผลิตคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม การคัดเกรดและบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานช่วยให้ผลไม้ถึงมือผู้รับสภาพดี สอดคล้องกับภารกิจด้านความปลอดภัยของหน่วยทหารที่ต้องคุมคุณภาพเสบียงอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ โครงการย้ำ “ความสมัครใจ” ของผู้ร่วมสมทบ และใช้โครงสร้างโลจิสติกส์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดภาระงบประมาณสาธารณะ.

ในเชิงนโยบาย ภารกิจสอดรับยุทธศาสตร์ “ระบายผลผลิต–สร้างการรับรู้” ที่กระทรวงพาณิชย์ผลักดันอยู่แล้ว การส่งของจริงถึงมือผู้รับช่วยสร้าง “เรื่องเล่าบวก” ต่อผลไม้ภาคเหนือ ควบคู่กับแคมเปญตลาดดิจิทัลและห้างค้าปลีก จึงเกิดอานิสงส์ด้านดีมานด์ในประเทศที่ชัดเจนยิ่งขึ้น.

เชื่อมโยงมาตรการรัฐ จาก “วอร์รูม” ถึง “การแปรรูป”

เมื่อมองภาพรวมระดับชาติ มาตรการ 8 ข้อของกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่การจับคู่ซื้อกับค้าปลีก การขยายตลาดส่งออก ไปจนถึงการหนุนแปรรูปและอบแห้ง รวมทั้งตั้ง “วอร์รูม” เฝ้าระวังรายวัน คือเฟืองหลักของเครื่องยนต์นโยบาย การมีโครงการในพื้นที่อย่าง “ลำไยไปแนวหน้า” จึงทำหน้าที่เป็น ฟันเฟืองหน้างาน ที่ช่วยหมุนเครื่องให้ติดในระดับชุมชน ผลที่ตามมาคือ สต็อกส่วนเกินในจังหวัดต้นทางลดลงทีละก้อน เกษตรกรได้ราคาตามตลาดที่ยุติธรรมขึ้น และเกิดการรับรู้เชิงบวกระหว่างผู้บริโภคกับผลไม้ไทย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องติดตามคือ ความต่อเนื่อง หากภารกิจเช่นนี้ทำได้สม่ำเสมอและครอบคลุมหลายจังหวัด แรงสะเทือนเชิงบวกต่อราคาและรายได้ครัวเรือนจะชัดเจนขึ้น สอดคล้องกับข้อเสนอเชิงระบบของนักวิชาการที่ชี้ว่า “เครื่องมือระบาย” ต้องวิ่งทันฤดูกาล ไม่ใช่ตามหลังภัยราคา

ตรวจสอบข้อเท็จจริง–ลดข่าวลวงบทเรียนจากสถานการณ์ชายแดน

ท่ามกลางกระแสข้อมูลบนโซเชียลที่เคลื่อนไหวเร็ว ศูนย์ตรวจข้อเท็จจริงภาครัฐเตือนประชาชนแยกแยะข่าวปลอมเกี่ยวกับปฏิบัติการตามแนวชายแดน โดยย้ำให้ติดตามประกาศทางการและสื่อกระแสหลักที่ตรวจสอบแหล่งข่าวได้ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญของสังคมดิจิทัลในห้วงสถานการณ์อ่อนไหว ความถูกต้องของข้อมูลคือฐานความเชื่อมั่นที่จะช่วยป้องกันความตื่นตระหนก และหนุนความร่วมมือของสังคมให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน.

เมื่อ “ผลไม้หนึ่งลูก” เชื่อมคนไทยจากเชียงรายถึงด่านหน้า

ภารกิจ “ลำไยไปแนวหน้า” ของเชียงรายวันนี้แสดงพลังของ การลงมือทำ ในยามที่ประเทศต้องการทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนโยน มันคือภาพของระบบราชการที่คล่องตัว เอกชนที่ร่วมแรง และชุมชนที่ไม่ทอดทิ้งกัน ผลไม้หนึ่งลูกจึงเป็นมากกว่าอาหาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์ที่ยาวไกลจากแนวหลังสู่แนวหน้า

คำถามต่อไปคือ เราจะต่อยอดอย่างไรให้เกิด ผลยั่งยืน? คำตอบเบื้องต้นชัดเจน: ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างโปร่งใส ทำให้วัดผลได้ และทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง หากทำได้ โครงการขนาดย่อมเช่นนี้จะไม่ใช่เพียง “ข่าวดีประจำวัน” แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือบริหารจัดการผลผลิตการเกษตรและการดูแลขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ประเทศต้องพึ่งพาในยามวิกฤต

ท้ายที่สุด แม้สถานการณ์ชายแดนยังต้องอาศัยกระบวนการทางการทูตและความร่วมมือระดับรัฐชาติ แต่การมี “หลังบ้านที่มั่นคง” ก็สำคัญไม่แพ้กัน และวันนี้ เชียงรายได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เมืองหนึ่งเมือง เมื่อเชื่อมคนและทรัพยากรเข้าด้วยกัน ก็สามารถส่งพลังใจไปได้ไกลกว่าที่คิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  •  Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport (CEI): โพสต์ประชาสัมพันธ์งานและเวลาเที่ยวบิน DD101 วันที่ 14 ส.ค. 2568.
  • Trip.com Flight Status: สถานะเที่ยวบินนกแอร์ DD101 เชียงราย–ดอนเมือง เวลาออก 09.20 น. วันที่ 14 ส.ค.
  • The Associated Press (AP): ข่าวเหตุกับระเบิดบาดเจ็บทหารไทยบริเวณชายแดน – บริบทความตึงเครียดล่าสุด
  • Reuters: ข่าวเหตุกับระเบิด 12 ส.ค. ใกล้พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ – สภาวะแนวชายแดนที่ยังเปราะบาง
  • The Guardian: รายงานกรณีบาดเจ็บ 9 ส.ค. และภาพรวมข้อตกลงหยุดยิงปลายก.ค. – เสริมกรอบบริบทระหว่างประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ขุนตาลยืนยัน “จุดรับซื้อลำไยเพียงพอ” รัฐเร่งประสานผู้ประกอบการช่วยปลายฤดู

ขุนตาลยืนยัน “จุดรับซื้อลำไยเพียงพอ” รัฐเร่งประสานผู้ประกอบการรับซื้อต่อเนื่อง ปลายฤดูยังเดินหน้า—ชี้โจทย์ยั่งยืนอยู่ที่ระบบตลาดและคุณภาพผลผลิต

เชียงราย, 12 สิงหาคม 2568 — คณะทำงานจากอำเภอขุนตาล ของชุมชนแห่งหนึ่งริมทางสายรอง ผู้รับซื้อทยอยชั่งผลผลิตจากรถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก สลับเสียงเรียกคิวจากเกษตรกรที่ยืนรอขายผลผลิตล็อตสุดท้ายของฤดูกาล สิ่งที่ทุกคนถามเหมือนกันคือ “วันนี้ยังรับอยู่ไหม ราคาจะตกอีกหรือเปล่า” คำยืนยันที่ได้จากนายอดิเรก ไลไธสง นายอำเภอขุนตาล และทีมพาณิชย์จังหวัดเชียงราย คือ “จุดรับซื้อมียังเพียงพอ และมีการประสานผู้ประกอบการเสริมทันที” เพื่อไม่ให้ผลผลิตค้างลาน และเพื่อยืนยันว่ายังมีตลาดรองรับจนจบฤดูกาล

แม้ภาพรวม “รับซื้อได้” ยังเดินต่อ แต่ความกังวลไม่ได้หายไปง่าย ๆ ช่วงปลายฤดู ลำไยมักคุณภาพลดลง น้ำหนักและความหวานผันผวน อีกทั้งเป็นช่วงวันหยุดยาวที่เกษตรกรเก็บผลผลิตพร้อมกัน ทำให้ปลายทางมีข้อจำกัดด้านกำลังการคัดและการแปรรูป ผู้ประกอบการบางส่วนจึงย้ายไปรับซื้อพื้นที่ที่คุณภาพสูงกว่า เกิดแรงกดดันระยะสั้นในระดับหมู่บ้าน อำเภอ และด่านขนส่ง

ภาพรวมฤดูกาล ทำไม “สิงหาคม” จึงเสี่ยงคอขวด

ปีนี้ผลผลิตลำไยใน 8 จังหวัดภาคเหนือถูกประเมินว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศท.1) รายงานว่า ปี 2568 ภาคเหนือคาดมีผลผลิตรวมราว 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 12% โดย “สิงหาคม” คือเดือนที่ผลผลิตออกมากสุดตามฤดูกาล ซึ่งทำให้จุดรับซื้อและโรงงานปลายทางเผชิญแรงกดดันพร้อมกันในช่วงสั้น ๆ ของเวลาเดียวกัน การระบายผลผลิตจึงต้องพึ่งความพร้อมทั้ง “หน้าลาน” และ “ปลายน้ำ” มากกว่าช่วงต้นฤดูที่กำลังการผลิตยังเหลือเฟือ

ด้านวิชาการก็สอดรับกับความจริงในพื้นที่ ลำไยต้องการอากาศเย็นเพื่อกระตุ้นการออกดอก จึงปลูกหนาแน่นในภาคเหนือ โดยรอบเก็บเกี่ยวหลักอยู่ช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคม ช่วงปลายฤดู “ดอ” หลายสวนอาจขนาดลดลง เปลือกหนาขึ้น และคละเกรดมากขึ้น ซึ่งกระทบต่อราคาเฉลี่ยหน้าลานและปริมาณที่โรงงานต้องคัดทิ้ง ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ย้ำว่า “เดือนสิงหา” คือเดือนที่ระบบโลจิสติกส์และตลาดต้องทำงานหนักที่สุดในปี

สิ่งที่อำเภอยืนยัน “จุดรับซื้อมีพอ” แต่ต้องเสริมการจัดคิวและขนส่ง

การลงพื้นที่วันนี้ นายอำเภอขุนตาลทำงานร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายและเครือข่ายผู้ประกอบการ เพื่อเช็คกำลังรับซื้อจริงหน้างาน ผลคือ “จุดรับซื้อมีพอรองรับ” หากกระจายคิวอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ดี ปัญหาเกิดเฉพาะหน้าในช่วงหยุดยาว เมื่อสวนจำนวนมากเก็บพร้อมกัน รถบรรทุกต่อคิวนาน โรงงานปลายทางรับไม่ทัน ผู้ประกอบการบางรายจึงชะลอรับซื้อ หรือย้ายไปตั้งลานในอำเภอที่ผลผลิตกำลังพีกและคุณภาพดีขึ้น เพื่อบริหารต้นทุนคัดเกรดและตากแห้ง

คำตอบเชิงนโยบายสั้น ๆ ของทีมพาณิชย์จังหวัดคือ “โทรหาและดึงผู้ประกอบการสำรองเข้าพื้นที่ทันที” พร้อมจับคู่ลานคัด–ลานอบ–รถขนส่ง ให้หมุนเวียนต่อเนื่อง ทั้งหมดทำเพื่อยึดหลัก “ไม่ให้ผลผลิตค้างลาน” และรักษาความเชื่อมั่นในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดู

ราคา “ดีขึ้นบ้าง” ปลายสัปดาห์ ทำไมมีสัญญาณบวก

ราคาเฉลี่ย “ลำไยรูดร่วงเกรด AA” ในพื้นที่เหนือมีแนวโน้มดีขึ้นจากสัปดาห์ก่อน จากช่วง 5–6 บาท/กก. ขยับมา 8–12 บาท/กก. ตามที่เครือข่ายรับซื้อแจ้งในหลายจุด บางลานปรับกำลังตากเพิ่มเพื่อสต็อกก่อนหมดฤดูกาล ความต้องการอบแห้งปลายปีในตลาดส่งออกยังเป็นแรงหนุนสำคัญ ผู้ประกอบการจึงเร่งปิดสต็อกเมื่อเห็นว่าผลผลิตกำลังลดลงเร็วหลังกลางเดือน

สำหรับเกษตรกร ตัวเลขนี้ไม่ใช่ “ราคาดีที่สุดของปี” แต่เป็นสัญญาณว่าตลาดยังทำงานอยู่ ความต่างของราคาเกิดจากคุณภาพ ความชื้น ความหวาน และการจัดส่งทันเวลา เกรดที่มั่นคงย่อมขายได้ดีกว่าเกรดคละ การจัดการหลังเก็บเกี่ยวจึงสำคัญพอ ๆ กับต้นทุนการผลิตทั้งฤดู

ภาครัฐ “อัดฉีดกำลังซื้อล่วงหน้า” ตั้งแต่ต้นฤดูช่วยเชื่อมช่วงคอขวด

มาตรการสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในผลักดันในฤดูกาลนี้ คือการ “ดูดซับผลผลิต” ล่วงหน้า เพื่อป้องกันราคาดิ่งช่วงพีก โดยกรมการค้าภายในประกาศเป้ารองรับผลผลิตผลไม้ฤดูปี 2568 รวม 252,000 ตัน ผ่านเครือข่ายผู้ประกอบการ โรงงานอบ และผู้ส่งออกที่เข้าร่วมแผนเชิงรุก ขยับสัญญาณตลาดตั้งแต่ต้นฤดู และกระจายแรงซื้อไปยังจุดผลิตหลักในภาคเหนือและตะวันออกอย่างเป็นระบบ มาตรการนี้ช่วยให้ผู้เล่นปลายน้ำมี “เหตุผล” ในการเร่งรับและสต็อก แม้ต้นทุนคัดเกรดและตากจะแน่นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม

ก่อนหน้านี้ กรมการค้าภายในยังได้เดินหน้า “ชุดมาตรการเชิงรุก” ในพื้นที่แหล่งผลิตใหญ่ เช่น เชียงใหม่–ลำพูน ทั้งการเชื่อมโยงตลาด การจับคู่ธุรกิจ และการกำกับดูแลการซื้อขายให้เป็นธรรม เพื่อให้การระบายผลผลิตช่วงพีกเป็นไปตามแผนและลดความเสี่ยงเชิงสัญญาในตลาดล่วงหน้า เอกสารข่าวทางการย้ำแนวทางเดียวกันคือ “ทำให้ตลาดทำงานได้จริง” ในหน้าสวน ไม่ใช่เฉพาะบนกระดาษ

ปลายน้ำ” คือจุดชี้ขาด อบแห้ง–คัดเกรด–ขนส่ง ต้องไหลลื่น

ลำไยสดที่ “รูดร่วง” ส่วนใหญ่ไปต่อที่เตาอบเพื่อผลิตลำไยแห้งคุณภาพส่งออก ความสามารถของโรงอบและการจัดการความชื้นเป็นตัวกำหนด yield และคุณภาพปลายทาง โรงอบที่บริหารวัตถุดิบได้สม่ำเสมอจะกล้ารับหน้าลานมากขึ้นและราคารับซื้อเสถียรกว่า ขณะเดียวกัน ระบบขนส่งจากลานไปโรงอบต้องรวดเร็วเพื่อไม่ให้คุณภาพตก การมีรถเย็นหรือจัดส่งแบบ “หมุนรอบสั้น” จะช่วยให้โรงงานควบคุมคุณภาพได้ดีขึ้น

ในมิติส่งออก ข้อกำหนดกักกันพืชและมาตรฐานปลายทางยังเป็นกรอบที่ผู้ประกอบการต้องเคารพ การส่งออกลำไยสดของไทยถูกควบคุมตามระบบของกรมวิชาการเกษตรเพื่อให้ผ่านเงื่อนไขประเทศคู่ค้า ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่า “คุณภาพและมาตรฐาน” เป็นเส้นเลือดใหญ่ของตลาด ไม่ใช่แค่เรื่องราคา ณ จุดซื้อขายวันเดียว

เสียงจากแปลงเกษตรกรอยากได้ “ราคาพยุง” แต่พร้อมปรับตัว

เกษตรกรที่เราพบวันนี้หลายรายยอมรับว่า ราคาปลายฤดู “ไม่สวย” เท่าต้นฤดู แต่ยัง “ขายได้” หากส่งทันและคัดเกรดดีขึ้น หลายสวนเริ่มตัดสินใจ “ทะยอยเก็บ” ไม่กองไว้ทีเดียว เพื่อไม่ให้ชนคิววันหยุด มีบางกลุ่มหันมารวมตัวคัดเกรดเบื้องต้นก่อนเข้าโรงอบ ช่วยให้ได้ราคาเฉลี่ยดีขึ้นในงบประมาณแรงงานที่พอจ่ายได้

คำขอหลัก ๆ ที่สะท้อนต่อจนท.รัฐคือ “อย่าให้คิวขาด” และ “อย่าให้จุดรับซื้อเงียบ” เพราะความต่อเนื่องสร้างความมั่นใจ มาตรการของกรมการค้าภายในที่เร่งดึงผู้ประกอบการเข้าพื้นที่จึงตอบโจทย์ระยะสั้น และตอกย้ำว่ารัฐจะไม่ปล่อยให้ผลผลิตค้างสวน

คำถามใหญ่คือมาตรการเชิงรุก “ดึงผู้ประกอบการเข้าไปซื้อปลายฤดู” แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ไหม

คำตอบสั้น ๆ ช่วยได้มากในระยะสั้น แต่ไม่พอสำหรับความยั่งยืนระยะยาว

เหตุผลข้อที่หนึ่ง มาตรการเชิงรุกทำหน้าที่ “กันชน” ราคาเฉพาะหน้าในเดือนพีก ลดความผันผวน และสร้างแรงจูงใจให้โรงงานเร่งรับสต็อก หากรัฐไม่เข้าจังหวะนี้ ราคาหน้าลานอาจ “หลุดกรอบ” มากกว่านี้ ทว่า กันชนไม่ใช่ “โครงสร้าง” กันชนต้องเติมซ้ำทุกปีเมื่อฤดูมาถึง

เหตุผลข้อที่สอง ความยั่งยืนต้องเกิดจาก “คุณภาพ–มาตรฐาน–สัญญา” ที่ลิงก์สวนกับโรงงานและผู้ส่งออกให้แน่นขึ้น เช่น สัญญาซื้อขายตามเกณฑ์คุณภาพชัดเจน การนัดหมายส่งมอบแบบ “คิวฉลาด” และระบบจ่ายเงินที่โปร่งใส มาตรการรัฐควรเปลี่ยนจาก “รับซื้อพยุงราคา” ไปสู่ “พยุงกติกา” ให้ตลาดยืนได้ด้วยตัวเอง

เหตุผลข้อที่สาม ด้านอุปสงค์ต่างประเทศยังนำเกม ไทยต้องขยับฐานตลาดและรูปแบบสินค้า ทั้งลำไยสดเกรดพรีเมียม ลำไยอบแห้งเกรดสม่ำเสมอ และผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูงกว่า ความหลากหลายของสินค้าและตลาดจะลดแรงกระแทกราคาในเดือนพีกได้ดีกว่าการอัดฉีดกำลังซื้ออย่างเดียว

แผนยั่งยืนสิ่งที่ควรเริ่ม “ปีนี้เลย” ก่อนถึงฤดูหน้า

  1. ทำ “คิวดิจิทัลหน้าลาน” ระดับอำเภอ รวมคิวจากจุดรับซื้อหลายลาน เชื่อมกับโรงอบและรถขนส่ง ลดรถรอคิว ลดต้นทุนเสียโอกาส เกษตรกรเห็นคิวจริงแบบเรียลไทม์ ช่วยตัดสินใจวันเก็บ
  2. ตั้ง “เกณฑ์คุณภาพมาตรฐานอำเภอ” สำหรับรูดร่วง ประกาศ Brix, ความชื้น, และสัดส่วนคละเกรดขั้นต่ำให้ตรงกันทุกลาน ลดข้อโต้แย้งตอนชั่ง–คัด และทำให้ข้อมูลราคาเปรียบเทียบกันได้
  3. สนับสนุนเครื่องมือหลังเก็บเกี่ยวในกลุ่มเกษตรกร เช่น ถาดตาก–เตาอบชุมชน–โรงคัดเบื้องต้น เพื่อยกระดับเกรดก่อนเข้าลาน ราคาจะสะท้อนคุณภาพได้ดีขึ้น ลดสัดส่วนของเสียปลายน้ำ
  4. ขยายความร่วมมือ “สัญญาซื้อขายก่อนฤดู” ระหว่างกลุ่มเกษตรกร–โรงอบ–ผู้ส่งออก รัฐทำหน้าที่พี่เลี้ยงและเป็นกรรมการกลางดูแลข้อพิพาท เพิ่มทุนหมุนเวียนสำหรับสัญญาที่ตรวจสอบได้
  5. ข้อมูลตลาดที่เข้าถึงง่าย พาณิชย์จังหวัดและ สศก. เผยแพร่ “แดชบอร์ดลำไย” รายอำเภอ ทั้งราคาเฉลี่ย คิวรับซื้อ และสถานะโรงอบ เพื่อให้ทุกฝ่ายวางแผนร่วมกันได้บนข้อมูลเดียวกัน

ประชาชนและชุมชนได้อะไรจาก “การประสานทันใจ” ช่วงปลายฤดู

การประสานผู้ประกอบการเข้าพื้นที่เร็ว ช่วย “หยุดเลือด” ราคาไม่ให้หลุดกรอบมากไปกว่านี้ สวนเล็กขายได้ต่อเนื่อง สวนใหญ่ขนได้เป็นรอบ ไม่ค้างลาน ซึ่งชุมชนเห็น “รัฐอยู่หน้างาน” ความเชื่อมั่นกลับมา แม้ราคาไม่สูง แต่การรับซื้อต่อเนื่องคือสัญญาณสำคัญว่าตลาดยังเดิน ระบบสินเชื่อชุมชนและสหกรณ์ก็วางแผนหมุนเงินได้ พื้นที่ได้บทเรียนร่วมกันว่า “คอขวด” อยู่ตรงไหน ปีหน้าจึงแก้ถูกจุด ทั้งเรื่องคิว การคัดเกรด และการวางแผนเก็บเกี่ยวให้เหลื่อมกัน

มองจากภาพใหญ่ประเทศลำไยคือพืชเศรษฐกิจที่ต้อง “บริหารฤดู” ให้เก่งขึ้น

ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐยืนยันตรงกันว่า ลำไยกระจุกตัวในภาคเหนือ เก็บเกี่ยวมากสุดช่วงมิถุนายน–สิงหาคม และ “สิงหาคม” คือพีกของพีก เมื่อผลผลิตปีนี้เพิ่มขึ้น การบริหารฤดูจึงยากขึ้นตามไปด้วย จุดรับซื้อและโรงอบต้องปรับกำลังผลิตให้สัมพันธ์กับของจริงในพื้นที่ ขณะที่รัฐต้องร่นเวลาตัดสินใจให้เร็วขึ้น ทั้งมาตรการเชิงรุกและเชิงโครงสร้าง

การทำให้ตลาดเดินในเดือนเดียวอาจไม่พอ เป้าหมายที่แท้จริงคือ “ทำให้ตลาดมั่นคงทั้งฤดู” ตั้งแต่ต้นฤดูที่ราคาแรง ไปจนปลายฤดูที่ราคาเปราะบาง ทุกช่วงต้องมีเครื่องมือคู่มือคนละแบบ และทุกแบบต้องเชื่อมข้อมูลเดียวกัน

คำตอบต่อโจทย์ผู้สั่งการ “มาตรการเชิงรุกดึงผู้ประกอบการเข้าซื้อลำไยปลายฤดู” ยั่งยืนไหม

ยั่งยืนได้ หากเปลี่ยนจากมาตรการ “อุ้มราคา” เป็นมาตรการ “อุ้มกติกา” ระยะสั้นต้องไม่ปล่อยให้ผลผลิตค้างสวน ระยะกลางควรยกระดับคุณภาพ–มาตรฐาน–สัญญา และระยะยาวต้องกระจายตลาดและรูปแบบสินค้า รัฐบาลควรลงทุนในโครงสร้างข้อมูล คิวดิจิทัล และเครื่องมือหลังเก็บเกี่ยวระดับชุมชน ควบคู่การกำกับการซื้อขายให้เป็นธรรม หากทำครบวงจร “ฤดูหน้า” เราจะใช้เงินอัดฉีดน้อยลง แต่ได้ราคาที่เสถียรกว่าและเชื่อมโยงมากกว่า

บทสรุป

อำเภอขุนตาลยืนยันจุดรับซื้อลำไย “ยังเพียงพอ” และมีการเสริมกำลังผู้ประกอบการทันที ปัญหาคอขวดช่วงปลายฤดูเกิดขึ้นจริง แต่แก้ได้ด้วยการจัดคิว–คัดเกรด–ขนส่งให้ไหลลื่น พร้อมกันทั้งหน้าลานและปลายน้ำ มาตรการเชิงรุกของกรมการค้าภายในช่วยพยุงราคาและความเชื่อมั่นระยะสั้น ขณะที่ความยั่งยืนต้องพึ่งระบบคุณภาพ สัญญา และข้อมูลกลางที่ใช้ร่วมกันทั้งห่วงโซ่

ในวันที่ลานคัดเงียบลงหลังบ่าย คลื่นไอร้อนยังคงลอยบนผิวถนน รถบรรทุกคันสุดท้ายขยับออกจากคิวชั่ง เกษตรกรยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ก่อนสตาร์ตรถกลับบ้าน สำหรับพวกเขา “การรับซื้อต่อเนื่อง” ในวันนี้ คือความหวังว่าพรุ่งนี้จะยังขายได้ และปีหน้าจะขายได้ดีกว่าเดิม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศท.1). “ภาพรวมลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือ ปี 68 ผลผลิตรวม 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12% …” เผยแพร่ 15 ก.ค. 2568. ใช้ยืนยันปริมาณผลผลิตและช่วงออกตลาดมากสุดในเดือนสิงหาคม. oae.go.th
  • กรมวิชาการเกษตร (กลุ่มพัฒนาระบบควบคุมพืชส่งออก). “ระบบควบคุมการส่งออกลำไยสด” เอกสารอธิบายฤดูกาลเก็บเกี่ยวและพื้นที่ปลูกหลักภาคเหนือ รวมถึงกรอบมาตรฐานส่งออก. doa.go.th
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. “พาณิชย์เดินหน้ารองรับผลไม้ฤดูกาลปี 68 รวม 252,000 ตัน” ข่าวแจกอย่างเป็นทางการ 21 ก.ค. 2568 ยืนยันเป้ารองรับผลผลิตผลไม้ฤดูปีนี้. dit.go.th
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. “เดินหน้ามาตรการเชิงรุกฤดูกาลลำไย” ข่าวแจก (ตัวอย่างกรณีเชียงใหม่–ลำพูน) ใช้ประกอบแนวทางเชิงรุกในพื้นที่แหล่งผลิต.
  •  สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สู้ราคาตกต่ำ! พาณิชย์เชียงรายมอบกล่องไปรษณีย์ฟรี ช่วยเกษตรกรขายผลไม้ตรงสู่ผู้บริโภค

พาณิชย์เชียงรายคิกออฟมอบ “กล่องไปรษณีย์ฟรี” ช่วยเกษตรกรดันลำไยพ้นวิกฤตราคาตก

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 –  วิกฤตราคาผลไม้ในเชียงรายปี 2568 สะท้อนปัญหาซ้ำซากเรื่องผลผลิตล้นตลาดและต้นทุนขนส่งสูง เกษตรกรรายย่อยเผชิญอำนาจต่อรองจำกัด ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้อออนไลน์มากขึ้น โอกาสจึงอยู่ที่ “เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง” เพื่อลดชั้นกลางและเพิ่มรายได้สุทธิ กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” และ 6 มาตรการเชิงรุกของจังหวัด มุ่งปลดล็อกประเด็นคอขวดทั้งฝั่งตลาด การรวบรวมผลผลิต และโลจิสติกส์ จุดแข็งคือความร่วมมือรัฐ–เอกชน และเครื่องมือโลจิสติกส์ที่จับต้องได้ อย่างไรก็ดี ความสำเร็จจะยั่งยืนเมื่อมีการสื่อสารคุณภาพสินค้า การติดตามคำสั่งซื้อ และบริหารอุปทานอย่างสมดุล ทั้งหมดนี้ชี้ว่าประชาชนทั่วไปได้ประโยชน์จากราคาที่เป็นธรรมและการเข้าถึงผลไม้คุณภาพถึงหน้าบ้าน

พาณิชย์เชียงราย “คิกออฟกล่องไปรษณีย์ช่วยเกษตรกร” ดันลำไย–ส้มโอพ้นวิกฤตราคาตก

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเปิดกิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกรจังหวัดเชียงราย” ณ ลานหน้าศาลากลางจังหวัด โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน วัตถุประสงค์เพื่อเร่งกระจายผลผลิตจากสวนสู่ผู้บริโภคโดยตรง ท่ามกลางวิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ โดยเฉพาะ ลำไย และ ส้มโอ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่

ฉากหลังวิกฤตเมื่อผลผลิตมากกว่าความต้องการ

8 สิงหาคม 2568 สถานการณ์ราคาผลไม้ในหลายอำเภออ่อนแรงลงจากอุปทานที่พุ่งสูง ขณะที่การรับซื้อของภาคเอกชนไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้เกษตรกรแบกรับต้นทุนเก็บเกี่ยว แพ็กกิ้ง และขนส่ง การแทรกแซงเชิงระบบจึงจำเป็น ทั้งในมิติ “ตลาด” และ “โลจิสติกส์ระยะสุดท้าย” เพื่อพยุงราคาและรักษาคุณภาพผลผลิต

6 มาตรการเชิงรุก: จากสวนถึงมือผู้บริโภค

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดแผนบริหารจัดการผลผลิตลำไยส่วนเกินปี 2568 จำนวน 6 มาตรการ ดังนี้

  1. เชื่อมโยงตลาดลำไยสดช่อ ผ่านเครือข่ายพาณิชย์จังหวัด สหกรณ์ และสภาเกษตรกรทั่วประเทศ
  2. รณรงค์บริโภคในจังหวัด จัดระบบพรีออเดอร์พร้อมส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย และนัดรับทุกวันพฤหัสบดีที่ศาลากลาง เชื่อมโยงผลผลิตแล้ว 1,329 กก. มูลค่า 57,400 บาท
  3. งานแสดงสินค้า ทั้งใน–นอกจังหวัด เพื่อเปิดหน้าร้านชั่วคราวและฐานลูกค้าใหม่
  4. เพิ่มประสิทธิภาพการรวบรวมรับซื้อ ลดความสูญเสียและจัดคิวตัด–คัด–แพ็กอย่างมีมาตรฐาน
  5. โครงการ “ลำไยบินได้” ส่งลำไยเกรด AA+A จากเชียงรายสู่ภูเก็ตด้วยเที่ยวบินพาณิชย์ เป้าหมาย 24,000 กก. มูลค่า 1,080,000 บาท
  6. ตลาดออนไลน์ สนับสนุนกล่องบรรจุผลไม้ 10 กก. จำนวน 35,000 กล่อง และตะกร้าพลาสติก 3,000 ใบ พร้อมค่าจัดส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย ช่วยลดต้นทุนและขยายการขายทั่วประเทศ

กล่องส่งฟรี” หัวใจโลจิสติกส์ระยะสุดท้าย

มาตรการเด่นคือการมอบกล่องผลไม้ขนาด 10 กก. พร้อม จัดส่งฟรี ผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ช่วยให้เกษตรกรเข้าสู่ตลาดออนไลน์ได้ทันที ลดค่าแพ็กกิ้งและค่าส่ง ซึ่งเป็นต้นทุนใหญ่ในช่วงผลผลิตออกมาก การจัดสรร 35,000 กล่อง ถูกออกแบบให้รองรับคำสั่งซื้อกระจายทั่วประเทศ สร้างเสถียรภาพด้านการระบายสินค้าในเวลาจำกัด

บทสะท้อนจากพื้นที่เมื่อรัฐ–เอกชนจับมือ

ภาพการทำงานร่วมกันระหว่างพาณิชย์จังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น ไปรษณีย์ไทย และเครือข่ายสหกรณ์ ทำให้ “การสั่ง–แพ็ก–ส่ง” เดินหน้าอย่างเป็นระบบ เกษตรกรได้ช่องทางขายโดยตรง ผู้บริโภคได้ผลไม้สดใหม่ในราคายุติธรรม จังหวัดได้เครื่องมือระบายผลผลิตอย่างรวดเร็วในฤดูกาลสำคัญ

วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

ระยะสั้น มาตรการช่วย พยุงราคา และ เร่งระบายของ ลดความเสี่ยงของผลไม้ค้างสต็อก ระยะกลาง การสร้างฐานลูกค้าออนไลน์และช่องทางขนส่งที่คาดการณ์ได้ จะเพิ่ม รายได้สุทธิ ให้เกษตรกร ขณะที่ภาครัฐได้ข้อมูลดีมานด์จริงเพื่อวางแผนผลิตปีต่อไป หากควบคู่ด้วยมาตรฐานคัดเกรด การติดตามพัสดุ และบริการลูกค้า จะยิ่งสร้าง ความเชื่อมั่นซ้ำซื้อ ซึ่งเป็นกุญแจของความยั่งยืน

ประชาชนได้อะไร

ผู้บริโภคเข้าถึงผลไม้คุณภาพใหม่สด ราคาตรงจากสวน ประหยัดค่าขนส่ง และได้รับความสะดวกในการรับสินค้า ทั้งแบบ ส่งถึงบ้าน และ นัดรับวันพฤหัสบดี ที่ศาลากลาง นอกจากนี้ เศรษฐกิจท้องถิ่นหมุนเวียนเร็วขึ้นจากเม็ดเงินกระจายสู่ชุมชน และลดการสูญเสียอาหารจากการตกค้าง

จังหวัดเตรียมสื่อสารอย่างต่อเนื่องเรื่องคุณภาพลำไย–ส้มโอ มาตรฐานแพ็กกิ้ง และเงื่อนไขส่งฟรี พร้อมขยายจุดรับพรีออเดอร์ในอำเภอหลัก ตลอดจนติดตามตัวชี้วัดการขายและระยะเวลาขนส่ง เพื่อปรับแผนสัปดาห์ต่อสัปดาห์ในช่วงพีกผลผลิต

สรุป

กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” คือเครื่องมือเชื่อมสวนกับครัวเรือนทั่วประเทศ ผ่านโลจิสติกส์ที่รัฐสนับสนุนและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่าย เมื่อทำงานร่วมกับ 6 มาตรการครบวงจร จึงมีศักยภาพพยุงราคา สร้างรายได้ที่เป็นธรรม และทำให้ผู้บริโภคได้ผลไม้คุณภาพในต้นทุนเหมาะสม โมเดลนี้หากเดินหน้าต่อเนื่องและวัดผลอย่างโปร่งใส จะต่อยอดเป็น “ระบบระบายผลผลิตอัจฉริยะ” ของเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ลำไยเชียงรายล้นตลาด ราคาดิ่งหนัก! รองนายกฯ อบจ.ลงพื้นที่ดอยลาน รับฟังปัญหาเกษตรกร

อบจ.เชียงรายเร่งแก้ “ลำไยล้นตลาด”! รองนายกฯ ลงพื้นที่ดอยลาน รับฟังปัญหาเกษตรกร พร้อมประสาน “ผู้ว่าฯ-รมว.เกษตรฯ” ด่วน

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – ลำไยเชียงรายราคาดิ่ง-ผลผลิตล้นตลาดรองนายกฯ อบจ. ลงพื้นที่ดอยลาน ร่วมหาทางออก วิกฤตเกษตรกร

สถานการณ์ราคาลำไยตกต่ำและผลผลิตล้นตลาดในจังหวัดเชียงรายปีนี้ สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตตำบลดอยลาน อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกลำไยสำคัญของภาคเหนือ เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ผลผลิตที่ล้นโรงอบจนไม่สามารถขายได้ กลายเป็นภาระสะสมในชีวิตและหนี้สิน

ในช่วงเช้าวันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้ นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย และนางสาวอริญชยา กายาไชย สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 6 ลงพื้นที่ตำบลดอยลาน เพื่อพบปะพูดคุยและรับฟังปัญหาโดยตรงจากกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการโรงอบในพื้นที่ รวมถึงรับฟังข้อมูลจากบริษัท ไทย หม่าน อี้ จำกัด ผู้ประกอบการโรงอบรายใหญ่ประจำตำบล เพื่อรวบรวมข้อมูลและหาแนวทางแก้ไขวิกฤตครั้งนี้

ภาพรวมปัญหา ผลผลิตล้น-ราคาตก-โรงอบรับไม่ไหว

จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูล พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ต่างประสบปัญหาลำไยสดล้นตลาด โรงอบไม่สามารถรับซื้อได้หมด เนื่องจากปริมาณผลผลิตปีนี้สูงเกินความต้องการของตลาด โดยราคาลำไยสดคุณภาพดี (เกรด AA) เฉลี่ยอยู่เพียง 8-10 บาท/กก. (ต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ย 15-16 บาท/กก.) ขณะที่ลำไยเกรดรอง (A, B, C) ราคาตกต่ำเหลือ 2-5 บาท/กก. และบางโรงอบถึงกับหยุดรับซื้อลำไยเกรดต่ำ ทำให้เกษตรกรจำนวนมากจำใจต้องปล่อยให้ลำไยเน่าเสียหรือแจกจ่ายฟรีให้ชุมชนโดยไม่ได้รายได้

“ปีนี้ลำไยเต็มสวนแต่ไม่มีที่ขาย โรงอบก็เต็ม บางเจ้ารับซื้อแบบจำกัดปริมาณ โรงร่อนรับได้น้อยมาก เกษตรกรขาดทุนต่อเนื่อง บางคนถึงขั้นต้องกู้เงินนอกระบบมาจุนเจือครอบครัว” ตัวแทนเกษตรกรเผย

ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังกระทบเศรษฐกิจฐานรากทั้งระบบ เนื่องจากเชียงรายถือเป็นจังหวัดปลูกลำไยรายใหญ่ อันดับ 3 ของประเทศ รองจากเชียงใหม่และลำพูน ผลผลิตที่ล้นตลาดเกินศักยภาพของระบบแปรรูปและตลาดรับซื้อ นำไปสู่ราคาดิ่งลงต่ำต่อเนื่อง

อบจ.เชียงรายเดินหน้าประสานทุกภาคส่วน เร่งช่วยเหลือเฉพาะหน้าและวางแนวทางยั่งยืน

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย เปิดเผยภายหลังการหารือว่า “อบจ.เชียงรายรับทราบความเดือดร้อนของเกษตรกรทุกคน จะไม่นิ่งนอนใจโดยเด็ดขาด เบื้องต้นได้ประสานโรงอบไทย หม่าน อี้ รับซื้อลำไยเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อช่วยระบายผลผลิตออกจากสวน ลดแรงกดดันในพื้นที่ พร้อมทั้งจะรวบรวมข้อเสนอแนะและปัญหาจากเกษตรกรทุกกลุ่ม นำไปรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และประสานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขทั้งระยะสั้นและระยะยาวโดยเร็วที่สุด”

วิกฤตลำไยเชียงราย บททดสอบใหญ่ “ระบบจัดการผลผลิตไทย”

ปัญหาลำไยล้นตลาดและราคาตกต่ำไม่ได้เกิดขึ้นเพียงปีนี้ แต่เป็นปัญหาซ้ำซากที่สะสมมานาน ข้อมูลกรมวิชาการเกษตร ระบุว่า ปี 2568 ปริมาณผลผลิตลำไยสดในภาคเหนือพุ่งสูงกว่าปีที่แล้วถึง 12% ขณะที่ตลาดส่งออกหลักอย่างจีนและเวียดนามต่างมีข้อจำกัดเรื่องนำเข้าและมีผลผลิตในประเทศเองมากขึ้น ทำให้พึ่งพิงตลาดในประเทศเป็นหลัก โรงอบในพื้นที่ไม่สามารถรับซื้อลำไยได้ทันกับผลผลิตที่หลั่งไหลออกมาพร้อมกัน

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา:

  • การรับฟังปัญหาและประสานงานรวดเร็ว: การที่ อบจ.เชียงราย ส่งรองนายกฯ ลงพื้นที่รับฟังเสียงประชาชนอย่างใกล้ชิด แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาจริงจัง ต่างจากการสื่อสารผ่านระบบราชการปกติที่อาจล่าช้าและห่างไกลข้อเท็จจริง
  • บทบาท “องค์กรปกครองท้องถิ่น” ในวิกฤต: การประสานงานเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่ผู้ว่าราชการจังหวัดและกระทรวงเกษตรฯ สะท้อนการขับเคลื่อนปัญหาขึ้นสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายได้ตรงจุด ไม่ใช่แค่ “ฟังแล้วจบ” ในระดับท้องถิ่น
  • แนวทางบรรเทาฉุกเฉิน: แม้การรับซื้อลำไยเพิ่มของโรงอบจะช่วยได้เพียงบางส่วนและชั่วคราว แต่หากรัฐเร่งสนับสนุนการกระจายตลาด ส่งเสริมการแปรรูป ผลักดันตลาดออนไลน์หรือส่งเสริมการส่งออกนอกฤดู น่าจะช่วยสร้างสมดุลให้กับอุปทานที่ล้นตลาดได้มากขึ้น

ข้อเสนอแนะสู่ความยั่งยืน:

  • ระบบข่าวกรองและบริหารจัดการผลผลิต: ควรวางระบบติดตามผลผลิตและคาดการณ์ปริมาณล่วงหน้าอย่างแม่นยำ เพื่อป้องกันภาวะล้นตลาดซ้ำซาก และผลักดันการวางแผนการผลิตแบบยั่งยืน
  • การเสริมศักยภาพแปรรูปและเพิ่มมูลค่า: ควรเร่งรัดสนับสนุนโรงงานแปรรูปขนาดเล็กในพื้นที่ กระตุ้นการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากลำไย เพิ่มโอกาสส่งออก และลดการพึ่งพาตลาดสดเพียงอย่างเดียว
  • ส่งเสริมความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน: ต้องสร้างความร่วมมือระหว่างเกษตรกร-โรงอบ-ผู้ส่งออก เพิ่มความเข้มแข็งและยืดหยุ่นให้ระบบรับมือวิกฤตได้ดีขึ้นในอนาคต

สรุป:

สถานการณ์ลำไยล้นตลาดที่เชียงรายในปีนี้ ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ระบบเกษตรกรรมไทยทุกระดับ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและเชิงโครงสร้าง เชียงรายจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสสร้างความแข็งแกร่งให้เกษตรกรในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ไทย หม่าน อี้ จำกัด
  • กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • รายงานข่าวสถานการณ์ผลผลิตลำไยภาคเหนือ (2568)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจัด ‘มหกรรมสินค้าเกษตร 68’ หนุนเกษตรปลอดภัย สร้างผู้ประกอบการเข้มแข็ง

เชียงรายจัด “มหกรรมสินค้าเกษตร 2568” หนุนตลาดปลอดภัย ยกระดับเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการมืออาชีพ

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าจัดงาน “มหกรรมสินค้าเกษตรจังหวัดเชียงราย ปี 2568” เพื่อส่งเสริมเกษตรกรท้องถิ่น พร้อมดันสินค้าเกษตรปลอดภัยสู่ตลาดผู้บริโภคและเชื่อมโยงเครือข่ายสู่ความยั่งยืน โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตร ตลาดเกษตรกรจังหวัดเชียงราย ภายใต้บรรยากาศคึกคักจากเกษตรกร ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงาน

มุ่งสร้างตลาดเกษตรถาวรและความมั่นคงของเกษตรกร

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดงานว่า จังหวัดเชียงรายมีเป้าหมายสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรด้วยการผลักดันตลาดถาวรสำหรับรองรับผลผลิตคุณภาพดี นำร่องโดยโครงการตลาดเกษตรกรที่ริเริ่มตั้งแต่ปี 2558 ภายใต้การสนับสนุนของกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยงานนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานสินค้าและการตลาดให้แก่เกษตรกร เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน

นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำถึงบทบาทของตลาดเกษตรกรในฐานะศูนย์กลางเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตร ส่งเสริมการผลิต การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ การตลาด และต่อยอดเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการที่เข้มแข็ง สามารถแข่งขันและพึ่งพาตนเองได้

พื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้และตรวจสอบคุณภาพ

ภายในงานมีการแสดงและจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรปลอดภัย ผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตร พร้อมบริการตรวจหาสารเคมีตกค้างในพืชผลและให้คำปรึกษาทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้กับเกษตรกรและประชาชน สร้างความเข้าใจถึงมาตรฐานความปลอดภัย ตลอดจนส่งเสริมการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างเกษตรกร สถาบันการเกษตร ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว

ผลลัพธ์และบทวิเคราะห์

การจัด “มหกรรมสินค้าเกษตรจังหวัดเชียงราย ปี 2568” ถือเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการภาคเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรทั้งระบบ จากการผลิตไปจนถึงตลาดผู้บริโภค ด้วยกลยุทธ์ส่งเสริมตลาดถาวร สร้างความมั่นคง และเปิดโอกาสให้เกษตรกรปรับบทบาทสู่ผู้ประกอบการมืออาชีพ ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่สำคัญในการพัฒนาการเกษตรไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • ศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตร ตลาดเกษตรกรเชียงราย
  • งานมหกรรมสินค้าเกษตรจังหวัดเชียงราย ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เริ่มแล้ว “ลิ้นจี่เมืองเชียงราย” งานดีที่เซ็นทรัล ถึง 20 พ.ค. นี้

ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” เปิดพื้นที่กลางเมืองช่วยเหลือเกษตรกร สู้ราคาตกช่วงผลผลิตล้นตลาด

เชียงรายระดมทุกภาคส่วน เปิดพื้นที่จำหน่ายลิ้นจี่คุณภาพจากสวนโดยตรง

เชียงราย, 15 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางสถานการณ์ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายออกสู่ตลาดพร้อมกัน ส่งผลให้ราคาผลไม้ฤดูร้อนชนิดนี้ตกต่ำลงกว่าทุกปี หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เร่งหามาตรการรองรับ โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เกษตรกรสามารถส่งตรงลิ้นจี่คุณภาพดีถึงมือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

ล่าสุด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย และสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดผลผลิตลิ้นจี่ ภายใต้ชื่องาน ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 ณ ชั้น G โซนทางเชื่อมกาดจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการกระจายผลผลิตคุณภาพสู่ผู้บริโภคในราคาที่เป็นธรรม และสร้างการรับรู้ให้กับลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายในฐานะผลไม้คุณภาพของประเทศ

ผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำ เกษตรกรได้รับผลกระทบหนัก

จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในปี 2568 จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตลิ้นจี่รวมกว่า 2,145 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 89.9% เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและพื้นที่ปลูกขยายตัว ผลผลิตจำนวนมากจึงออกสู่ตลาดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ราคาลิ้นจี่ลดลงเฉลี่ยเหลือเพียง 25 – 40 บาท/กิโลกรัม ในบางพื้นที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับเกษตรกรในหลายอำเภอ เช่น แม่จัน แม่สาย พาน เวียงแก่น และเวียงป่าเป้า ที่ถือเป็นพื้นที่ปลูกหลักของจังหวัดเชียงราย จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในด้านการตลาดอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันความเสียหายจากผลผลิตล้นตลาด

กิจกรรมส่งเสริมการขาย เพิ่มช่องทางกระจายผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” จึงเป็นความร่วมมือเชิงบูรณาการที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที โดยเปิดพื้นที่จำหน่ายผลผลิตสดจากสวนโดยตรงจำนวน 2 จุดหลัก ได้แก่

  1. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ระหว่างวันที่ 15 – 20 พฤษภาคม 2568 โดยมีเกษตรกรเข้าร่วม 10 ราย แบ่งพื้นที่ออกเป็นบูทขายผลผลิตแบบคละเกรด ราคาเริ่มต้น 35 – 80 บาท/กิโลกรัม ตามคุณภาพ
  2. บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภายใต้ตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน คนเชียงราย เน้นจำหน่ายผลผลิตแบบคัดคุณภาพ AA และ A ในราคาคงที่ 50 บาท/กิโลกรัม

ภายในงานยังมีกิจกรรมเสริม เช่น ลิ้นจี่ชิมฟรี โปรโมชั่นลดราคา และการจำหน่ายลิ้นจี่ของฝาก ซึ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเดินจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง

การรับคำสั่งซื้อล่วงหน้า เสริมรายได้เกษตรกรแบบไม่ต้องตั้งร้าน

อีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรคือระบบรับคำสั่งซื้อแบบ Pre Order ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจัดทำขึ้น โดยมีการรวบรวมคำสั่งซื้อจากหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่

ในรอบแรกของการจำหน่ายเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ลิ้นจี่คุณภาพ AA+A ถูกบรรจุในตะกร้าน้ำหนัก 5 กิโลกรัม จำหน่ายในราคาตะกร้าละ 250 บาท และมีการส่งมอบที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยสามารถระบายผลผลิตได้กว่า 1.6 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 80,000 บาท

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลฯ สนับสนุนพื้นที่ฟรี ดึงกลุ่มผู้บริโภคเข้าถึงผลผลิต

การดำเนินงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ที่เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นการแบ่งเบาภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ปลูกลิ้นจี่ และเพิ่มโอกาสการขายในทำเลศูนย์กลางเมืองซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน

ขณะเดียวกัน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ยังร่วมกันประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาซื้อผลผลิตผ่านกิจกรรมดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้เกษตรกรฝ่าวิกฤตครั้งนี้ได้

ความร่วมมือที่เป็นต้นแบบการจัดการผลผลิตเกษตรกรรม

สถานการณ์ราคาผลไม้ตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกัน เป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดขึ้นทุกปี หากไม่มีมาตรการรองรับเชิงระบบ อาจทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้และขาดแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต

กิจกรรม “ลิ้นจี่ของดีเมืองเชียงราย” สะท้อนให้เห็นว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชน สามารถบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่การตลาดตรงถึงผู้บริโภค ช่วยลดความเสี่ยงจากการขายผ่านพ่อค้าคนกลาง และยังเสริมสร้างแบรนด์ผลไม้ของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่จดจำ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ผลผลิตลิ้นจี่จังหวัดเชียงรายปี 2568: 2,145 ตัน (เพิ่มจากปี 2567 เกือบ 90%)
  • ราคาเฉลี่ยลิ้นจี่ตกต่ำบางพื้นที่ต่ำกว่า 30 บาท/กิโลกรัม
  • ยอดจำหน่ายวันที่ 15 พฤษภาคม 2568: 1.6 ตัน มูลค่า 80,000 บาท
  • จุดจำหน่ายหลัก: 2 จุด ได้แก่ เซ็นทรัลเชียงราย และศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • ราคา Pre Order แบบคัดคุณภาพ: 50 บาท/กิโลกรัม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

  • รายงานผลผลิตและราคาตลาดลิ้นจี่: กรมส่งเสริมการเกษตร ปี 2568

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

Thai Beef Model เกษตรกรเชียงรายเสนอ ยกระดับโคเนื้อไทย

เกษตรกรเชียงรายยื่นหนังสือผู้ว่าฯ วอนรัฐเร่งแก้ผลกระทบ FTA อุตสาหกรรมโคเนื้อทรุดหนัก

FTA ทำเกษตรกรเลี้ยงโคเดือดร้อนหนักทั่วประเทศ

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อจังหวัดเชียงราย นำโดย นายนเรศ รัศมีจันทร์ ผู้แทนกลุ่ม เดินทางยื่นหนังสือต่อ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ณ ศาลากลางจังหวัด เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาจากการเปิดเสรีทางการค้า (FTA) ที่ส่งผลให้ราคาโคเนื้อภายในประเทศตกต่ำอย่างต่อเนื่อง

FTA กับผลกระทบจากเนื้อนำเข้าราคาถูก

เกษตรกรระบุว่า การเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ทำให้มีการนำเข้าเนื้อโคและเครื่องในในราคาต่ำกว่าต้นทุนผลิตในไทยมาก ส่งผลให้ราคาขายในประเทศลดลงเกือบ 20% ภายใน 3 ปีที่ผ่านมา หลายฟาร์มขาดทุนต่อเนื่อง จำใจเลิกกิจการหรือขายฟาร์มทิ้ง

ต้นทุนสูง รายได้ต่ำ อนาคตไม่แน่นอน

จากข้อมูลของกลุ่มฯ ต้นทุนการเลี้ยงโคเฉลี่ยอยู่ที่ 80-90 บาทต่อกิโลกรัม แต่พ่อค้ารับซื้อเพียง 70 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้เกษตรกรแบกรับภาระต้นทุนขาดทุนต่อกิโลกรัมเป็นเงิน 10-20 บาท หากไม่มีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ก็ยากที่จะอยู่รอดได้ในระบบตลาดเสรี

Thai Beef Model ทางรอดของโคเนื้อไทย

เพื่อฟื้นฟูและยกระดับอุตสาหกรรมโคเนื้อ กลุ่มเกษตรกรเสนอโมเดลใหม่ในชื่อว่า “Thai Beef Model” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่วางร่วมกันระหว่างเกษตรกร ผู้เชี่ยวชาญ และภาคเอกชน โดยมีข้อเสนอสำคัญ ดังนี้

  • จัดตั้งองค์กรกลางเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อ
  • สร้างฐานข้อมูลโคเนื้อระดับชาติ
  • ยกระดับฟาร์มและโรงเชือดให้ได้มาตรฐานสากล
  • สนับสนุนการผลิตเนื้อคุณภาพสูง
  • พัฒนาโครงสร้างตลาดและส่งเสริมการส่งออก

รัฐบาลรับลูก เตรียมส่งเรื่องถึงส่วนกลาง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายรับหนังสือจากกลุ่มเกษตรกรและให้คำมั่นว่าจะเร่งนำเสนอต่อ นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยจะมีการติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด

สู้ยกแผ่นดิน 25 จังหวัดเข้าร่วม

นอกจากเชียงรายแล้ว เกษตรกรจากอีก 25 จังหวัดทั่วประเทศ ได้ร่วมยื่นข้อเสนอในวันเดียวกันเพื่อผลักดันให้รัฐบาลนำ Thai Beef Model เข้าสู่แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สะท้อนว่าปัญหานี้ไม่ใช่เฉพาะท้องถิ่น แต่กระทบต่อชีวิตของเกษตรกรกว่า 1.4 ล้านครัวเรือน

ความเหลื่อมล้ำระหว่างไทยกับต่างชาติ

นายนเรศเผยว่า การเลี้ยงโคในประเทศออสเตรเลียสามารถเพิ่มน้ำหนักได้ 1.8-2 กิโลกรัมต่อวัน ขณะที่ไทยทำได้เพียง 1 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างด้านระบบสนับสนุนและนวัตกรรม อีกทั้งออสเตรเลียมีระบบสนับสนุนฟาร์มที่ชัดเจนจากรัฐ ขณะที่ประเทศไทยยังขาดการลงทุนที่ต่อเนื่องในภาคเกษตร

เสียงจากเกษตรกรที่หมดแรงสู้

“เราไม่ได้ต้องการเงินชดเชย แต่ต้องการความยั่งยืน” นายนเรศกล่าว “เกษตรกรเลี้ยงโคคือรากฐานของระบบอาหารไทย ถ้าไม่มีการสนับสนุนหรือแนวทางพัฒนาที่ชัดเจน ในอนาคตเราอาจต้องพึ่งเนื้อนำเข้าเป็นหลัก”

ทางออกต้องร่วมมือทุกภาคส่วน

Thai Beef Model ไม่ใช่เพียงแผนงานของเกษตรกรเท่านั้น แต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาโคไทยให้มีคุณภาพสูงขึ้น แข่งขันในตลาดโลกได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เกษตรกรในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อในประเทศไทย: 1.4 ล้านครัวเรือน (ที่มา: กรมปศุสัตว์ 2567)
  • ต้นทุนการเลี้ยงโคเฉลี่ย: 80-90 บาท/กิโลกรัม
  • ราคาขายเฉลี่ยในประเทศ: 70 บาท/กิโลกรัม (ที่มา: สมาคมผู้เลี้ยงโคเนื้อไทย 2567)
  • อัตราการเพิ่มน้ำหนักโค (ต่อวัน):
    • ออสเตรเลีย: 1.8-2.0 กิโลกรัม
    • ไทย: 1.0 กิโลกรัม (ที่มา: รายงาน FAO และมหาวิทยาลัยแม่โจ้)

โมเดล Thai Beef คือความหวังใหม่ในการสร้างอนาคตอุตสาหกรรมโคเนื้อของไทย หากได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง อาชีพเกษตรกรเลี้ยงโคจะไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่ยังสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมปศุสัตว์ 2567
  • สมาคมผู้เลี้ยงโคเนื้อไทย 2567
  • รายงาน FAO และมหาวิทยาลัยแม่โจ้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

หอมหัวใหญ่ถูก เชียงรายหาทางออก พยุงราคาเกษตรกร

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ จับมือพาณิชย์ดันราคาสู่ความยั่งยืน

ปัญหาหอมหัวใหญ่ราคาตกต่ำสะเทือนเกษตรกรเชียงราย

เชียงราย,วันที่ 26 มีนาคม 2568 – ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย มีการจัดประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเกษตรกรระดับจังหวัด ครั้งที่ 1/2568 โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย นำโดย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

หนึ่งในวาระหลักของการประชุมคือ การหารือแนวทางแก้ไขปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรสำคัญของอำเภอเวียงป่าเป้า ที่กำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวและออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก

แนวทางการแก้ไขปัญหาด้านราคาแบบเร่งด่วน

เกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในปีการผลิต 2567/68 ได้ร้องเรียนเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ บริหารจัดการผลผลิตในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่ผลผลิตออกสู่ตลาด ด้วยการกระจายผลผลิตไปยังผู้บริโภคภายในจังหวัด

โดยกำหนดราคาขายอยู่ที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมตั้งเป้าหมายกระจายผลผลิตจำนวน 271 ตัน ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จะเข้ามารับซื้อเพิ่มอีก 500 ตัน รวมผลผลิตที่ได้รับการบริหารทั้งหมดอยู่ที่ 751 ตัน

การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา

แผนงานดังกล่าวมุ่งหวังให้สามารถ ดึงผลผลิตออกจากระบบตลาดส่วนหนึ่ง เพื่อพยุงราคาซื้อขายของหอมหัวใหญ่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุนของเกษตรกร ช่วยลดแรงกดดันและป้องกันไม่ให้ราคาตกต่ำลงไปกว่านี้

ในที่ประชุมยังได้หารือการขอรับสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) โดยเสนอในโครงการเชื่อมโยงการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่แหล่งผลิต-

ขยายแผนช่วยเหลือสินค้าเกษตรอื่น

ไม่เพียงแต่หอมหัวใหญ่เท่านั้น ที่ประชุมยังได้ติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้าเกษตรอื่นในพื้นที่ อาทิ ลิ้นจี่ฮงฮวย สับปะรด และลำไย ซึ่งกำลังจะออกสู่ตลาดในเร็ว ๆ นี้ โดยมีมติให้เร่งเสนอแผนเพื่อรองรับสถานการณ์ราคาตกต่ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โครงการกระจายผลผลิตเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางระบายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่เกิดจากตลาดผันผวน

เสียงสะท้อนจากเกษตรกรในพื้นที่

ตัวแทนเกษตรกรอำเภอเวียงป่าเป้า ได้แสดงความพึงพอใจกับแผนการของจังหวัดที่มุ่งเน้นช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลผลิตหอมหัวใหญ่เริ่มทะยอยเข้าสู่ตลาดแล้ว

ในขณะเดียวกัน เกษตรกรบางรายยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และแรงงาน ซึ่งยังไม่ได้รับการเยียวยาโดยตรงจากโครงการนี้

ความเห็นจากฝ่ายราชการ

ฝ่ายราชการยืนยันว่าทางจังหวัดพร้อมทำงานเชิงรุก ร่วมกับหน่วยงานระดับชาติ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อเกษตรกร โดยตั้งเป้าจะประเมินผลของมาตรการในช่วง 2 สัปดาห์ เพื่อวางแผนระยะกลางและยาว

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายจะพัฒนาระบบข้อมูลการผลิตและการตลาดให้แม่นยำมากขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางวางแผนการผลิตในฤดูกาลถัดไป ลดความเสี่ยงจากปัญหาซ้ำซาก

สรุปภาพรวมสถานการณ์และทิศทางในอนาคต

สถานการณ์ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำในปี 2568 ถือเป็น บททดสอบสำคัญ ของทั้งเกษตรกรและหน่วยงานภาครัฐในการทำงานเชิงระบบ โดยการบริหารจัดการผลผลิตในระยะสั้นร่วมกับแผนระยะยาวน่าจะเป็นคำตอบที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างเสถียรภาพให้กับภาคเกษตรต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านนโยบายการค้า การเงิน และการส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกร

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ราคาหอมหัวใหญ่ ณ เดือนมีนาคม 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 6-8 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: กรมการค้าภายใน)
  • ต้นทุนเฉลี่ยของการปลูกหอมหัวใหญ่ในภาคเหนือ อยู่ที่ประมาณ 7.50 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร)
  • ผลผลิตหอมหัวใหญ่จังหวัดเชียงราย ปี 2567/68 คาดการณ์ไว้ที่กว่า 10,000 ตัน (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย)

ทัศนคติที่เป็นกลางจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายเกษตรกร มองว่ามาตรการช่วยเหลือที่ออกมายังไม่ครอบคลุมต้นทุนที่แท้จริง แต่ก็เป็นก้าวแรกที่น่ายินดี ขณะที่ ฝ่ายภาครัฐ เห็นว่าต้องอาศัยเวลาปรับตัว และย้ำว่ารัฐบาลไม่ทอดทิ้งเกษตรกร พร้อมเดินหน้าสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อมี การรับฟังซึ่งกันและกัน และดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE