Categories
ECONOMY

ทอท.โชว์ผลงาน 6 เดือนแรก รายได้ทะลุเป้า หนุนสนามบินไทย

AOT เผยรายได้ 6 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 พุ่งแตะ 36,235 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยาน 6 แห่งทั่วประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเทศไทย, 15 พฤษภาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) โดยมีรายได้รวม 36,235.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.98 สะท้อนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและการเดินทางภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายลง พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และบริการของท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รายได้จากกิจการการบินเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ปริมาณเที่ยวบินในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งสิ้น 414,377 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 237,511 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 176,866 เที่ยวบิน

ผู้โดยสารรวมทั้งหมด 68.42 ล้านคน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.76 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 42.34 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 26.08 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้รายได้จากกิจการการบินอยู่ที่ 18,188.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง ร้อยละ 17.82

เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-บริการ-เทคโนโลยี มุ่งสู่ “Smart Airport – Smart Immigration”

เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว AOT ได้ดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องในท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่:

  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ: กำลังดำเนินโครงการขยายศักยภาพรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 15 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง: เตรียมขยายขีดความสามารถจาก 30 ล้านคนเป็น 50 ล้านคนต่อปีภายในปี 2576
  • ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และภูเก็ต: อยู่ระหว่างพัฒนาอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างท่าอากาศยานแห่งที่ 2 ในทั้งสองจังหวัด

ในด้านเทคโนโลยี AOT ได้นำระบบอัจฉริยะมาใช้บริการภายในสนามบินเพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสาร อาทิ:

  • ระบบบริหารจัดการเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติ
  • ระบบโหลดสัมภาระอัตโนมัติ
  • ระบบสแกนใบหน้า (Biometric)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC)
  • การใช้ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) แทน ตม.6 แบบเดิม

ระบบเหล่านี้ช่วยลดระยะเวลารอคอย เพิ่มความปลอดภัย และลดความแออัด โดยเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นมา

เดินหน้าพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์และร่วมลงทุน PPP สร้างรายได้ยั่งยืน

AOT ไม่เพียงมุ่งพัฒนาบริการสนามบิน แต่ยังได้ขับเคลื่อนโครงการพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:

  • โครงการ AOT Property Showcase
  • โครงการ ลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น
  • โครงการ คลังสินค้า
  • การก่อสร้างอาคาร Junction Building อาคารจอดรถ และศูนย์เชื่อมต่อระบบราง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง

โดยทั้งหมดนี้เปิดรับการลงทุนในรูปแบบ ร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริการและสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจรอบสนามบินให้เข้มแข็ง

การพัฒนาที่ยั่งยืน สู่เป้าหมาย Net Zero Emissions

ด้านสิ่งแวดล้อม AOT ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยติดอันดับ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ทั้งในระดับโลกและตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่อง 6 และ 10 ปี ตามลำดับ และยังได้รับการจัดอันดับ SET ESG Ratings ระดับ A

AOT ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2587 ผ่านการดำเนินงาน เช่น:

  • การติดตั้งระบบ โซลาร์เซลล์
  • การใช้ พลังงานสะอาด
  • การเปลี่ยน ยานพาหนะในสนามบินเป็นระบบไฟฟ้า (EV)

ความสำเร็จระดับโลกสะท้อนภาพลักษณ์องค์กร

ปี 2025 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับการจัดอันดับจาก Skytrax ให้เป็นท่าอากาศยานที่ดีที่สุดอันดับที่ 39 ของโลก เพิ่มขึ้น 19 อันดับจากปีก่อน และติดอันดับ 3 ท่าอากาศยานที่พัฒนาดีที่สุดในโลก ขณะเดียวกันอาคาร SAT-1 ยังคว้ารางวัล Prix Versailles 2024 ในฐานะท่าอากาศยานที่สวยที่สุดในโลก

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กับบทบาทในระบบการบินภาคเหนือ

แม้จะเป็นท่าอากาศยานระดับภูมิภาค แต่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างภูมิภาคเหนือกับศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มประเทศ และยังได้รับการรับรอง ระดับ 2 (Level 2) ด้านคุณภาพบริการภายใต้โครงการ Customer Experience จากสภาท่าอากาศยานนานาชาติ (ACI) ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของสนามบินในพื้นที่ระดับจังหวัด

บทบาท AOT ต่อเศรษฐกิจไทยและเชียงราย

จากภาพรวมการดำเนินงานของ AOT จะเห็นได้ว่าท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของบริษัทเป็น “ฟันเฟืองหลัก” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในด้านการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุน โดยมีการลงทุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สนามบินไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

ในขณะที่สนามบินระดับภูมิภาคอย่าง แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอิงกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวภาคเหนือที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์แบบองค์รวมของ AOT ที่ไม่เน้นเพียงสนามบินหลักในเมืองใหญ่ แต่ยังพัฒนาท่าอากาศยานทั่วประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

รายการ

ข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

รายได้รวม AOT

36,235.82 ล้านบาท

รายงาน AOT, พ.ค. 2568

กำไรสุทธิ

10,397.57 ล้านบาท

AOT

จำนวนเที่ยวบินทั้งหมด

414,377 เที่ยวบิน

AOT

จำนวนผู้โดยสารทั้งหมด

68.42 ล้านคน

AOT

เที่ยวบินระหว่างประเทศ

237,511 เที่ยวบิน

AOT

เที่ยวบินภายในประเทศ

176,866 เที่ยวบิน

AOT

รายได้จากกิจการการบิน

18,188.15 ล้านบาท

AOT

เป้าหมาย Net Zero Emissions

ภายในปี 2587

รายงานความยั่งยืน AOT

ระดับการรับรองบริการ ACI (เชียงราย)

Customer Experience Level 2

Airport Council International

AOT ยืนยันศักยภาพการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินของภูมิภาค ด้วยการพัฒนาเชิงรุก ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี การให้บริการ และความยั่งยืน สะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับชาติควบคู่กับการยกระดับท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เวียดนามแซงไทย! ชิงเจ้าการบิน เจ้าการเกษตร ไทยจะตามทันไหม?

การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไทยเผชิญความท้าทายจากเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตร

เวียดนาม, 12 พฤษภาคม 2568 – การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมาสะท้อนถึงความท้าทายที่กำลังเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ซึ่งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกมิติของเศรษฐกิจ ด้วยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ขยายตัวเพียง 1.9% ในปี 2566 ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการพัฒนาที่ชะลอตัว ขณะที่เวียดนามก้าวขึ้นเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการบิน การท่องเที่ยว และการเกษตร

เศรษฐกิจไทยในมุมมองภูมิภาค

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยเป็นหนึ่งในผู้นำทางเศรษฐกิจของอาเซียน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่ต่อเนื่องและการขาดวิสัยทัศน์ระยะยาวทำให้การพัฒนาในหลายภาคส่วนเริ่มชะลอตัว ข้อมูลจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า การเติบโตของจีดีพีไทยในปี 2566 ที่ 1.9% นั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่อยู่ราว 4.2% สะท้อนถึงความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ในทางตรงกันข้าม เวียดนามแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยนโยบายของรัฐบาลที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมหลัก เช่น การผลิต การท่องเที่ยว และการเกษตร การสนับสนุนจากรัฐบาลเวียดนามที่มีความต่อเนื่องช่วยให้ภาคเอกชนสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งมีสายการบินเวียตเจ็ทเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น

การบินและการท่องเที่ยว – เวียตเจ็ทขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนาม

นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนาม โดยเฉพาะในภาคการบินและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจีดีพี สายการบินเวียตเจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินราคาประหยัดชั้นนำของเวียดนาม ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายเครือข่ายการบินทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งสร้างรายได้เสริมจากธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo) และการให้บริการภาคพื้น

จากงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เวียตเจ็ทรายงานรายได้รวม 17.952 ล้านล้านดอง (ประมาณ 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และกำไรก่อนหักภาษี 836,000 ล้านดอง (ประมาณ 32.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รายได้เสริมจากบริการต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนถึง 35% ของรายได้รวม สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจที่หลากหลาย

เวียตเจ็ทยังขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 ได้เปิดเส้นทางใหม่เชื่อมโยงกรุงฮานอยและโฮจิมินห์ ซิตี กับเมืองสำคัญในจีน (ปักกิ่งและกวางโจว) และอินเดีย (เบงกาลูรูและไฮเดอราบาด) รวมถึงวางแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังนิวซีแลนด์ (โฮจิมินห์ ซิตี – โอ๊คแลนด์) ภายในปลายปี 2568 ปัจจุบัน เวียตเจ็ทให้บริการ 137 เส้นทางทั่วโลก โดยมีเส้นทางระหว่างประเทศ 97 เส้นทาง และภายในประเทศ 40 เส้นทาง

นอกจากนี้ เวียตเจ็ทยังลงทุนในฝูงบินที่ทันสมัย โดยเพิ่มเครื่องบินใหม่ 2 ลำในไตรมาสแรกของปี 2568 ทำให้มีเครื่องบินทั้งสิ้น 106 ลำ ซึ่งเป็นหนึ่งในฝูงบินที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค ด้วยอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 87% และความน่าเชื่อถือทางเทคนิคสูงถึง 99.72% เวียตเจ็ทจึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

การขนส่งสินค้าทางอากาศ จุดแข็งของเวียตเจ็ท

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เวียตเจ็ทแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัว โดยมุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางอากาศเพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากการเดินทางของผู้โดยสาร การขนส่งแบบ Cargo in Cabin และการโหลดสินค้าใต้ท้องเครื่องบินช่วยให้เวียตเจ็ทรักษาผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงวิกฤต บริษัทลูกอย่างสายการบินไทยเวียตเจ็ทยังได้รับการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งเห็นได้จากโครงการต่างๆ เช่น “ลิ้นจี่บินได้” “ลำไยบินได้” และ “สับปะรดบินได้” ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รวมถึงโครงการ “ทะเลบินได้” และ “กุ้งบินได้” จากภูเก็ต

ความสามารถในการขนส่งสินค้าเกษตรทางอากาศของเวียตเจ็ทและไทยเวียตเจ็ทแสดงถึงความเข้าใจในความต้องการของตลาดและการตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เวียดนามสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเกษตร เวียดนามแซงหน้าด้วยตัวเลขการส่งออก

นอกเหนือจากภาคการบิน อุตสาหกรรมเกษตรของเวียดนามยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้สามารถแซงหน้าประเทศไทยในแง่ของมูลค่าการส่งออก ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม (MARD) ระบุว่า ในปี 2567 มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนามคาดว่าจะสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากรวมการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมง มูลค่ารวมจะสูงถึง 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.7% จากปี 2566

ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2567 อยู่ที่ 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่ก็ถูกเวียดนามแซงหน้าไปเล็กน้อย สินค้าเกษตรหลักของเวียดนาม เช่น ผลไม้ ข้าว กาแฟ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตลาดส่งออก

ไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร

การแข่งขันระหว่างไทยและเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตรสะท้อนถึงความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาที่ชะลอตัวและนโยบายที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามการเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับเวียดนาม ซึ่งมีนโยบายที่ต่อเนื่องและชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีจุดแข็งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและบุคลากรที่มีศักยภาพ การลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย การเรียนรู้จากความสำเร็จของเวียดนาม เช่น การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของเวียตเจ็ท และการสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตรอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันและแข่งขันในเวทีโลกได้

โอกาสและความท้าทาย

การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนามแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนโยบายที่ต่อเนื่องและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ในขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร การขาดความชัดเจนในนโยบายและการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งทำให้เสียโอกาสในการแข่งขัน การลงทุนในเทคโนโลยี เช่น การใช้ระบบดิจิทัลในการจัดการซัพพลายเชนเกษตร และการพัฒนาฝูงบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย

นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างไทยและเวียดนาม จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศ การแข่งขันที่สร้างสรรค์จะเป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายพัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การเติบโตของจีดีพี:
    • ประเทศไทย: 1.9% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
    • เวียดนาม: 5.0% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
  2. มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร:
    • เวียดนาม: 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม)
    • ประเทศไทย: 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย)
  3. ผลการดำเนินงานของเวียตเจ็ท:
    • รายได้รวมไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 17.952 ล้านล้านดอง (690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
    • กำไรก่อนหักภาษี: 836,000 ล้านดอง (32.1 ล้าน初心
  4. จำนวนผู้โดยสารของเวียตเจ็ท:
    • ไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 6.87 ล้านคน (ที่มา: รายงานผลประกอบการของเวียตเจ็ท)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารโลก: รายงานการเติบโตของจีดีพีในอาเซียน ปี 2566
  • กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของสายการบินเวียตเจ็ท
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News