Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

อีคอมเมิร์ซไทยยืน 1 อาเซียน คนไทยแชมป์โลกช้อปออนไลน์ ธุรกิจเชียงรายท้าทาย

อีคอมเมิร์ซไทยยืน 1 อาเซียน โตสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัว คนไทยครองแชมป์ซื้อของออนไลน์มากที่สุดของโลก คาดในปี 2573 ตลาดโต 2 ล้านล้านบาท

เชียงราย, 11 กันยายน 2568 – ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก แต่ภาคอีคอมเมิร์ซกลับเติบโตอย่างแข็งแกร่งสวนกระแส โดยสถิติล่าสุดเผยให้เห็นว่า คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์สูงที่สุดในโลก ส่งผลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านบาทในปี 2567 และเติบโตถึง 21.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียนอย่างมีนัยสำคัญ

น.ส.วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า “คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วน 68.2% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 56.1% อย่างชัดเจน” ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่หันมายอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลในชีวิตประจำวันมากขึ้น

การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการที่เอื้อต่อการขยายตัว ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ง่ายขึ้น และที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นหลังสถานการณ์โรคระบาด ทำให้การซื้อสินค้าออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตใหม่

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เน้นความคุ้มค่าและแบรนด์เชื่อถือได้

ความสำเร็จของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยไม่ได้มาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนการซื้อเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างชัดเจน น.ส.วาริสฐา ชี้ให้เห็นว่า “นักช้อปออนไลน์ไม่ได้ลดจำนวนการซื้อลง แต่เปลี่ยนพฤติกรรมไปเน้นการซื้อสินค้าที่มีความคุ้มค่าและมาจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น”

แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากตัวเลขการใช้คูปองส่วนลด โดยในช่วงแคมเปญต่างๆ พบว่ากว่า 50% ของคำสั่งซื้อมีการใช้คูปองส่วนลดหลายตัวพร้อมกัน ทั้งคูปองส่งฟรีและคูปองส่วนลดประเภทอื่นๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความชาญฉลาดในการเลือกซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการได้สินค้าคุณภาพในราคาที่เหมาะสม

ตัวเลขจากแพลตฟอร์ม LazMall ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำ ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันแนวโน้มนี้ เมื่อยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 22% ตั้งแต่ต้นปี 2568 และยอดใช้จ่ายต่อครั้งผ่าน LazMall เพิ่มขึ้นเป็นครั้งละ 1,000 บาท ในขณะที่ยอดใช้จ่ายต่อครั้งบนแพลตฟอร์มทั้งหมดในช่วงแคมเปญเพิ่มขึ้นถึง 15% ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคไม่เพียงแต่ซื้อสินค้ามากขึ้น แต่ยังยินดีจ่ายเงินในราคาที่สูงขึ้นเพื่อได้สินค้าคุณภาพจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้

อีคอมเมิร์ซไทยสู่เป้าหมาย 2 ล้านล้านบาทในปี 2573

ด้วยอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะสามารถเติบโตแตะ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2573 ซึ่งหมายถึงการขยายตัวเกือบสองเท่าจากปัจจุบัน การเติบโตดังกล่าวจะส่งผลให้ยอดขายสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซในปี 2568 คิดเป็น 1 ใน 4 ของตลาดค้าปลีกไทยทั้งหมด

ความสำเร็จของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยยังได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างของตลาดที่เอื้ออำนวย โดย 67% ของมูลค่าทั้งหมดเป็นการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลส ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น และผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น

ผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิน กรณีศึกษาจังหวัดเชียงราย

การเติบโตของอีคอมเมิร์ซไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะในพื้นที่เมืองใหญ่เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญและมีธุรกิจร้านค้าหน้าร้านจำนวนมาก

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2568 จังหวัดเชียงรายมีการจดทะเบียนธุรกิจใหม่จำนวน 241 ราย ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่เพียงแห่งเดียว ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตทางเศรษฐกิจที่คึกคักในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของภาคการท่องเที่ยวเชียงราย ซึ่งสร้างรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2568 และได้รับตำแหน่งเมืองรองด้านการท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ ก็มาพร้อมกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร

ข้อมูลระดับประเทศแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของธุรกิจที่มีการจดทะเบียนใหม่สูงสุด โดยมีจำนวนถึง 1,832 รายในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2568 แต่ในขณะเดียวกัน ธุรกิจประเภทนี้ก็ติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของธุรกิจที่มีการเลิกกิจการสูงสุดเช่นกัน โดยมีจำนวน 276 ราย

ร้านค้าเชียงรายเผชิญหน้าการปรับตัวครั้งสำคัญ

การเติบโตของอีคอมเมิร์ซส่งผลให้ร้านค้าหน้าร้านในเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการรักษาฐานลูกค้าและแข่งขันกับช่องทางออนไลน์ที่มีความสะดวกสบายและราคาแข่งขันได้สูง ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์และหาจุดแข็งที่ไม่สามารถทดแทนด้วยการซื้อขายออนไลน์ได้

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ร้านค้าในเชียงรายพิจารณาปรับตัวในสามด้านหลัก ได้แก่ การสร้างความน่าเชื่อถือบนออนไลน์ผ่านการผสานช่องทางขายแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุน และการสร้างประสบการณ์หน้าร้านที่ไม่เหมือนใครซึ่งหาไม่ได้จากการซื้อขายออนไลน์

การสร้างประสบการณ์หน้าร้านที่มีคุณค่าถือเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันกับช่องทางออนไลน์ ร้านค้าควรเป็นมากกว่าแค่จุดขาย แต่เป็นสถานที่ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากออนไลน์ เช่น การนำเสนอเรื่องราวของสินค้า การจัดเวิร์กช็อป หรือการให้คำปรึกษาเชิงลึก ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและสร้างความภักดีในระยะยาว

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าการเติบโตของอีคอมเมิร์ซจะสร้างความท้าทายต่อธุรกิจแบบดั้งเดิม แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวได้ทัน ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า อัตราส่วนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ต่อการเลิกกิจการในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 7:1 ซึ่งดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่มีอัตราส่วน 4:1

ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ถึงสุขภาพโดยรวมของระบบเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตและแข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน สำหรับจังหวัดเชียงราย การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังคงเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการดึงดูดการลงทุนและการท่องเที่ยวต่อไป

ในขณะเดียวกัน แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของทุนจดทะเบียนแม้ว่าจำนวนธุรกิจใหม่จะลดลงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจขนาดใหญ่และใช้เงินทุนสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่มีการแข่งขันสูงและต้องการความมั่นคงในระยะยาว

ร้านค้าเชียงรายเผชิญหน้าความท้าทายใหม่ จากกระแสดิจิทัลที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค

ปรากฏการณ์การเติบโตของอีคอมเมิร์ซไทยท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แสดงให้เห็นถึงพลังของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าภาคการค้าปลีกของประเทศ การที่คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์สูงที่สุดในโลกไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการยอมรับเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับธุรกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างเชียงราย การปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น ผู้ประกอบการที่สามารถผสานจุดแข็งของหน้าร้านกับความสะดวกสบายของช่องทางออนไลน์ จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัล

เป้าหมาย 2 ล้านล้านบาทของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2573 ไม่เพียงแต่เป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการบริโภคและการค้าขาย ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากทุกภาคส่วน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • น.ส.วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (Department of Business Development – DBD) กระทรวงพาณิชย์
  • รายงานการวิเคราะห์ภาวะการจดทะเบียนธุรกิจในจังหวัดเชียงราย ปี พ.ศ. 2568
  • ข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • DBD DataWarehouse+ ฐานข้อมูลธุรกิจกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อินฟลูฯ-ขายออนไลน์ สรรพากรเตือน ยื่นภาษี ก่อนโดนปรับหนัก

กรมสรรพากรเร่งย้ำประชาชนยื่นภาษีภายในกำหนดปี 2568 – อินฟลูเอนเซอร์-อีคอมเมิร์ซเป้าหมายหลัก

กรุงเทพฯ, 22 มีนาคม 2568 – กรมสรรพากรแจ้งเตือนประชาชนทุกกลุ่มอาชีพให้เร่งยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2567 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยผู้ที่ยื่นผ่านระบบออนไลน์ เช่น D-MyTax หรือ e-Filing จะสามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2568 พร้อมระบุว่า กลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ อีคอมเมิร์ซ และผู้ค้าขายออนไลน์ เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องได้รับการติดตามอย่างเข้มข้น หลังพบว่าเป็นกลุ่มที่หลีกเลี่ยงการยื่นภาษีสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ยอดการยื่นแบบภาษีเพิ่มขึ้น แต่ยังมีผู้เลี่ยงภาษีจำนวนมาก

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า รายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือเป็นรายได้อันดับที่สามของกรมสรรพากร โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาทต่อปี ข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 13 มีนาคม 2568 มีการยื่นแบบภาษีแล้วกว่า 7.4 ล้านแบบ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 13 โดยมีการขอคืนภาษีกว่า 3.5 ล้านแบบ คิดเป็นร้อยละ 46.9 ของจำนวนแบบที่ยื่นเข้ามาทั้งหมด และกรมฯ ได้คืนภาษีไปแล้วกว่า 82%

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่น่าห่วงคือกลุ่มที่มีรายได้แต่ไม่เคยยื่นภาษีเลย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มผู้ทำงานอิสระ และกลุ่มที่มีรายได้จากช่องทางดิจิทัล เช่น ขายของออนไลน์ ทำคอนเทนต์ รีวิวสินค้า หรืออินฟลูเอนเซอร์

อินฟลูเอนเซอร์ไม่ยื่นภาษี เสี่ยงถูกตรวจย้อนหลัง

อธิบดีกรมสรรพากรยืนยันว่า มีการติดตามการเสียภาษีของกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ ผ่านการวิเคราะห์จากข้อมูลในโซเชียลมีเดีย และพบว่าหลายรายไม่มีประวัติการยื่นภาษีย้อนหลังถึง 3-4 ปี ทั้งที่มีรายได้เข้าข่ายต้องเสียภาษี ซึ่งกรมฯ มีอำนาจตรวจสอบย้อนหลังได้ 2 ปี และขยายได้ถึง 5 ปี หากพบว่าไม่ยื่นแบบโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะต้องเสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ ซึ่งบางรายจากภาษีแค่ 10,000 บาท อาจต้องจ่ายถึง 50,000 บาท

แนวทางยื่นภาษีของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์และผู้ขายออนไลน์

กรมสรรพากรได้กำหนดแนวทางชัดเจนในการยื่นภาษีสำหรับกลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ดังนี้

  1. รายได้จากค่าจ้างทั่วไป ต้องยื่นแบบภาษีเหมือนพนักงานประจำ
  2. รายได้ที่มีต้นทุน เช่น รีวิวสินค้า สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง
  3. รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
  4. รายได้ที่ได้รับในรูปแบบสินค้า ต้องประเมินมูลค่าเทียบเท่าเงินสดและยื่นเป็นรายได้เช่นเดียวกับเงินสด

ทั้งนี้ อินฟลูเอนเซอร์ยังต้องยื่นภาษีกลางปี และสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามรายการที่กำหนดกว่า 20 รายการ โดยมีสำนักงานสรรพากรพื้นที่ และช่องทางออนไลน์ให้คำแนะนำตลอดการยื่นแบบ

กรณีตัวอย่าง “เซฟ กระทะฮ้าง” จุดกระแสดราม่าภาษีบนโซเชียล

กรณี “เซฟ กระทะฮ้าง” หรือ นายสมบูรณ์ วรรณวงศ์ อดีตเชฟโรงแรมที่ผันตัวมาเป็นครีเอเตอร์ดิจิทัล โพสต์ตัดพ้อผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับภาษีที่ต้องจ่ายเกือบ 2 แสนบาท ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นการเลี่ยงภาษีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวออกมายืนยันว่าจะจ่ายแน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบกระบวนการที่ชัดเจน

เรื่องนี้กลายเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่ทำอาชีพอิสระ หรือมีรายได้จากโลกออนไลน์ว่า แม้จะไม่มีรายได้ประจำ แต่เมื่อมีรายได้เข้าข่ายเกณฑ์ ก็ควรต้องยื่นแบบเสียภาษีอย่างถูกต้อง

ทัศนะจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายกรมสรรพากร ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งเล่นงานกลุ่มใดเป็นพิเศษ แต่ต้องดูแลความเป็นธรรมและสร้างระบบรายได้ของประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำว่าการไม่ยื่นภาษีหรือหลบเลี่ยง อาจทำให้ต้องเผชิญกับค่าปรับจำนวนมากในอนาคต

ฝ่ายประชาชนและผู้เสียภาษี บางส่วนมีความกังวลว่าหากเข้าระบบแล้วจะถูกเรียกเก็บย้อนหลัง จึงเลือกไม่ยื่นแบบภาษี ขณะเดียวกันบางรายยังขาดความรู้ในการยื่นแบบภาษี ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

บทลงโทษสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตาม

อธิบดีกรมสรรพากรชี้แจงว่า ผู้ไม่ยื่นแบบภาษีภายในกำหนด หรือไม่ชำระภาษี จะถูกปรับไม่เกิน 2,000 บาท และต้องชำระเงินเพิ่มอัตรา 1.5% ต่อเดือน หากพบว่ามีเจตนาหลบเลี่ยงภาษี อาจถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากแจ้งข้อมูลเท็จ อาจถูกจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 200,000 บาท

สถานการณ์ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในปี 2568

ปี 2568 เป็นปีที่มีแนวโน้มการเติบโตของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์อย่างก้าวกระโดด โดยข้อมูลจาก MI GROUP คาดการณ์ว่าจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทยอาจแตะ 3 ล้านราย จากปี 2567 ที่มีประมาณ 2 ล้านราย เติบโตจากกลุ่ม Micro และ Nano Influencer ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก

ในแง่เศรษฐกิจ สื่อดิจิทัลเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าเม็ดเงินโฆษณาในปี 2568 จะอยู่ที่ 92,048 ล้านบาท โดยเฉพาะโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะมีมูลค่าแตะ 2,360 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยปีละ 10.24% จนถึงปี 2572 ตามข้อมูลจาก Statista

ความเห็นจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ

นายภวัต เรืองเดชวรชัย จาก MI GROUP ระบุว่า อินฟลูเอนเซอร์จะยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำตลาด โดยเฉพาะกลุ่ม Micro และ Nano ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้สูงในงบประมาณจำกัด ขณะที่นายศิวัตม์ วิลาสศักดานนท์ จาก AnyMind Group เผยว่า อินฟลูเอนเซอร์ไทยเข้าสู่ยุคใหม่ที่เน้นความเรียลและเข้าถึงผู้บริโภคได้จริง พร้อมระบุว่าผู้ใช้จริงและนักขายออนไลน์จะเป็นกลุ่มหลักในอนาคตของอุตสาหกรรมนี้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ยอดการยื่นภาษีถึงวันที่ 13 มีนาคม 2568: 7.4 ล้านแบบ (กรมสรรพากร, 2568)
  • อัตราขอคืนภาษี: 46.9% หรือ 3.5 ล้านแบบ (กรมสรรพากร, 2568)
  • จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทย (คาดการณ์ปี 2568): 3 ล้านคน (MI GROUP, 2568)
  • มูลค่าตลาดโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์ปี 2567: 2,360 ล้านบาท (Statista, 2567)
  • การซื้อสินค้าออนไลน์รายสัปดาห์ของคนไทย: 66.9% (DataReportal, 2567)
  • อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทย: 89.5% (สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลฯ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมสรรพากร
  • สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP)
  • บริษัท AnyMind Group ประเทศไทย
  • Statista
  • สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)
  • DataReportal
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE