Categories
VIDEO WORLD PULSE

อินโดนีเซียเดือด! ประชาชนจลาจลเผารัฐสภา ปมเงินเดือน ส.ส. และคำดูถูก

อินโดนีเซียเดือด! ประชาชนจลาจลเผารัฐสภา ปมเงินเดือน ส.ส. และคำดูถูกที่จุดชนวนความรุนแรง

 

จาการ์ตา, อินโดนีเซีย – นครหลวงของอินโดนีเซียต้องเผชิญกับเหตุการณ์จลาจลครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนเสถียรภาพทางการเมืองและสังคม หลังความโกรธแค้นที่สะสมของประชาชนต่อการกระทำของชนชั้นนำได้ปะทุขึ้นเป็นความรุนแรงจนนำไปสู่การเผาทำลายอาคารรัฐสภาและบ้านของนักการเมือง เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤตความเชื่อมั่นของประชาชนต่อผู้แทนของตนเท่านั้น แต่ยังเป็นบทเรียนราคาแพงที่แสดงให้เห็นว่าเพียงแค่ “คำพูด” คำเดียวสามารถจุดชนวนความขัดแย้งให้ลุกลามจนยากจะควบคุมได้อย่างไร

ชนวนความขัดแย้งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 หลังจากที่รัฐสภาอินโดนีเซียได้อนุมัติกฎหมายฉบับใหม่ที่อนุญาตให้นักการเมืองได้รับเงินค่าที่พักสูงถึง 50 ล้านรูเปียห์ต่อเดือน หรือเทียบเท่ากับเกือบ 10 เท่าของค่าแรงขั้นต่ำ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ประชาชนต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การตัดสินใจดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและเป็นการหักหลังประชาชนที่กำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

“โง่เง่า”: คำพูดที่กลายเป็นเชื้อเพลิงแห่งความรุนแรง

ขณะที่คลื่นความไม่พอใจของประชาชนกำลังก่อตัว คำพูดที่ขาดความยั้งคิดของนักการเมืองชื่อดังได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จุดให้สถานการณ์ระเบิดออกมาเป็นความรุนแรงอย่างไม่คาดคิด นายอาห์มัด ซาห์โรนี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมากล่าวเรียกผู้ประท้วงว่า “โง่เง่า” คำพูดที่เปรียบเหมือนน้ำมันที่ถูกราดลงบนกองไฟที่กำลังคุกรุ่นอยู่แล้วได้จุดให้ความโกรธแค้นที่สั่งสมมาอย่างยาวนานพุ่งถึงขีดสุด

ฝูงชนจำนวนมหาศาลบุกเข้าทำลายและเผาอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอธิปไตยของประชาชน รวมถึงบุกทำลายบ้านพักของนักการเมืองหลายคนเพื่อแสดงออกถึงความคับแค้นใจ เหตุการณ์จลาจลได้ลุกลามไปยังเมืองอื่น ๆ ทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว และมีรายงานผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่ทางการจะสามารถควบคุมได้

บทเรียนจากจาการ์ตา เมื่อความเชื่อมั่นพังทลาย

เหตุการณ์ความไม่สงบในอินโดนีเซียครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองกับประชาชนนั้นเปราะบางเพียงใด การกระทำที่ขัดต่อความรู้สึกของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปากท้องและเศรษฐกิจ สามารถทำลายความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาได้อย่างง่ายดาย

การที่นักการเมืองซึ่งควรจะเป็นผู้แทนของประชาชน กลับใช้คำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามผู้ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างคนสองกลุ่มและทำให้ประชาชนรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการเคารพ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้สามารถนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้อย่างคาดไม่ถึง

บทเรียนจากจาการ์ตาครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับรัฐบาลและชนชั้นนำทางการเมืองทั่วโลกว่า การบริหารประเทศในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วและประชาชนสามารถแสดงออกถึงความไม่พอใจได้โดยง่ายนั้น จำเป็นต้องอาศัยความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความเข้าใจในความรู้สึกของประชาชนอย่างแท้จริง การมองข้ามความรู้สึกของประชาชนเพียงชั่วขณะอาจนำไปสู่วิกฤตที่ไม่อาจแก้ไขได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บรรณาธิการข่าว : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • รายงาน : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI AUTOMOTIVE

Tesla พับแผนตั้งโรงงาน ‘ไทย-มาเลย์-อินโด’ หลังไม่สามารถแข่งขันกับรถอีวีจากจีนได้

 

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซียเปิดเผยว่า “เทสลา อิงค์” (Tesla) ได้ตัดสินใจยกเลิกแผนการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เนื่องจากความท้าทายจากการแข่งขันที่ดุเดือดจากประเทศจีนและสถานการณ์ที่บริษัทเผชิญอยู่

เว็บไซต์เดอะสเตรทไทม์สในสิงคโปร์รายงานว่า นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เทสลาตัดสินใจเปลี่ยนแผน โดยระบุว่า ซาฟรุล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย ได้รับข้อมูลตรงจากแหล่งข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเทสลาว่า บริษัทไม่สามารถแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนได้

อันวาร์อธิบายว่า ซาฟรุลได้รับข้อมูลล่าสุดซึ่งแสดงถึงความเพลี่ยงพล้ำของเทสลาในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากรถอีวีที่ผลิตในจีน ซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้ นอกจากนี้ เขายังระบุว่า ข้อมูลที่ได้รับเป็นการรายงานโดยตรง ไม่ใช่จากสื่อ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ยังกล่าวด้วยว่าแผนการลงทุนในมาเลเซียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น และตอนนี้เทสลามีเพียงการตั้งสำนักงานขายและโชว์รูมในประเทศไทยและมาเลเซียเท่านั้น

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำนักนายกรัฐมนตรีไทยได้เปิดเผยว่ามีการเจรจาเบื้องต้นกับเทสลาสำหรับการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยได้เสนอแผนการใช้พลังงานสีเขียว 100% ในโรงงานเพื่อดึงดูดการลงทุนจากเทสลา

ทางด้านซาฟรุล อาซิสได้ชี้แจงว่ากระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าเทสลาจะเปิดโรงงานในประเทศมาเลเซีย และเทสลาก็ไม่เคยประกาศแผนการตั้งโรงงานในประเทศนี้เช่นกัน

ซาฟรุลยังกล่าวถึงรายงานล่าสุดที่เทสลาพับแผนการลงทุนในอาเซียนว่าไม่ได้มาจากแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากเทสลา แต่เป็นข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้นจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนสามารถเสนอราคาและเทคโนโลยีที่แข่งขันได้อย่างดุเดือด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของบริษัทต่างชาติในการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เว็บไซต์เดอะสเตรทไทม์สในสิงคโปร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News