Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

โปร่งใสกว่าเดิม อำเภอแม่สายเปิดให้ยื่นขอสัญชาติโดยตรงหลังมีข่าวร้องเรียนเรื่องเรียกรับเงิน

ที่ว่าการอำเภอแม่สายปฏิรูประบบ “ยื่นขอสัญชาติไทย” เปิดทางประชาชนเข้าถึงบริการตรง ลดทุจริต-เพิ่มความโปร่งใส

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – การขอสัญชาติไทยในพื้นที่ชายแดนไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสำหรับประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย หรือผู้อพยพที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง และมีประชาชนจำนวนมากยังขาดสถานะทางทะเบียนหรือสถานะทางสัญชาติ ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล และสวัสดิการของรัฐ

ที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาในการยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยว่า ต้องผ่านตัวกลางอย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่บางรายที่อาจเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญของคนที่ต้องการเพียงแค่ “การรับรองว่าเขาคือคนไทย”

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่ว่าการอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศฉบับสำคัญที่อาจถือได้ว่าเป็น “จุดเปลี่ยนของระบบราชการชายแดน” โดยระบุว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผู้ที่ประสงค์จะยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยจะต้อง “เดินทางมายื่นเรื่องด้วยตนเองเท่านั้น” ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย และขอรับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านผู้นำชุมชนอีกต่อไป เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเท่าเทียม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากเสียงร้องเรียน สู่การปรับระบบ

การประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีที่มาจากเสียงร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งในโซเชียลมีเดียและการยื่นคำร้องผ่านช่องทางต่าง ๆ ว่ามีการเรียกรับเงินในการดำเนินเรื่องสัญชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนไร้สถานะซึ่งอยู่ในสถานะเปราะบางและเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร

สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันต่อภาครัฐในระดับอำเภอ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายโดยนายวรายุทธ  ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ที่ได้เร่งสั่งการเปิด “ห้องสถานะบุคคลและสัญชาติ” ขึ้นอย่างเป็นทางการ และจัดตั้ง “ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ” หรือ OSS (One Stop Service) เพื่อให้ประชาชนสามารถยื่นคำร้องได้โดยตรงกับเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ โดยไม่ต้องผ่านระบบเดิมที่เปิดช่องให้เกิดความไม่โปร่งใส

ระบบใหม่ชัดเจน โปร่งใส และลดความเหลื่อมล้ำ

เพื่อให้กระบวนการยื่นคำร้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อำเภอแม่สายได้วางแนวทางดำเนินการไว้ 3 ประการหลัก ได้แก่:

  1. ยื่นคำร้องด้วยตนเอง: ผู้มีความประสงค์ต้องเดินทางมาด้วยตนเองและรับบัตรคิวที่อำเภอ โดยไม่มีการลงชื่อจองคิวล่วงหน้า
  2. จำกัดจำนวนผู้ยื่นคำร้อง: เปิดรับเพียง 50 รายต่อวัน โดยเริ่มแจกคิวเวลา 08.00 น. เพื่อควบคุมปริมาณและรักษาคุณภาพของการบริการ
  3. ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจ: มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นเพื่อตรวจสอบเอกสาร และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้กระจายจุดบริการ OSS ไปยังตำบลต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและกระจายภาระงานอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ

  • ห้องทะเบียนราษฎร: สำหรับตำบลแม่สายและเกาะช้าง
  • อาคาร OSS กลาง: สำหรับตำบลเวียงพางคำและโป่งงาม
  • สำนักงานเทศบาลตำบลห้วยไคร้: สำหรับตำบลห้วยไคร้และบ้านแซว

วิเคราะห์มิติของการเปลี่ยนแปลงก้าวใหม่ของระบบราชการไทย

  1. การต่อสู้กับทุจริตระดับรากหญ้า

การที่อำเภอแม่สายตัดระบบ “ตัวกลาง” ออกจากกระบวนการรับคำร้อง คือการหักวงจรแห่งการเรียกรับผลประโยชน์อย่างจริงจัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติจริงจังตามนโยบายของรัฐในการต่อต้านคอร์รัปชันระดับท้องถิ่น และเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ “กลไกจากข้างล่าง” มาสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ

  1. ยกระดับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

การได้สถานะทางทะเบียนและสัญชาติไทย หมายถึงสิทธิในการได้รับการรักษาในระบบสาธารณสุข สิทธิทางการศึกษา และการเข้าถึงสวัสดิการอื่น ๆ จากรัฐ สำหรับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในประเทศมานานโดยไม่ได้รับสถานะ สิ่งนี้คือการ “เปลี่ยนชีวิต” อย่างแท้จริง

  1. นวัตกรรมการบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ

การนำระบบ OSS มาใช้ เป็นสัญญาณว่า ราชการในระดับอำเภอกำลังปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และมีแนวโน้มขยายแนวทางนี้ไปยังอำเภออื่น ๆ ที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มศักยภาพของกลไกรัฐ

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากความหวัง สู่ความเป็นจริง

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือกลุ่มเป้าหมาย 37,987 ราย ที่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่ในไทยมานาน บางรายเกิดในประเทศไทยแต่ไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนหรือทะเบียนบ้าน การได้สัญชาติไทยอย่างถูกต้องคือการได้ตัวตนทางกฎหมาย

นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ เช่น ครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้นำชุมชน และนักพัฒนาสังคม ก็จะสามารถทำงานช่วยเหลือผู้ไม่มีสถานะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการที่เปิดเผยและตรวจสอบได้

ข้อคิดและแนวทางในอนาคต

แม้การปฏิรูประบบในครั้งนี้จะเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” แต่ก็ถือว่าเป็นต้นแบบที่ดีในการนำระบบราชการให้ใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น การตัดวงจรการทุจริตด้วยนโยบายเชิงรุกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงรัฐได้โดยตรง คือแนวทางที่ควรได้รับการยกย่องและขยายผลในระดับนโยบาย

หากหน่วยงานอื่นในพื้นที่ชายแดน หรือพื้นที่ที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน ได้นำแนวคิดเดียวกันนี้ไปประยุกต์ใช้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราชการในระดับรากฐานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำทะลักท่วมตลาด-ชุมชน มทบ.37 ระดมพลพร้อมกู้ภัยเร่งอพยพผู้เปราะบาง

แม่สายวิกฤตหนักน้ำทะลักท่วมตลาด-ชุมชน มทบ.37 ระดมพลพร้อมกู้ภัย เร่งอพยพผู้เปราะบาง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – แม่สายอ่วม! น้ำหลากทะลักท่วมกลางดึก ประชาชนรีบอพยพ สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ยังคงวิกฤตหนักอีกครั้งหลังจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งรัฐฉานตะวันออก ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วและไหลทะลักเข้าท่วมชุมชนริมฝั่งอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งห้าแยกตลาดพลอย (ห้าแยกไข่ดาว) บ้านไม้ลุงขน ตลาดสายลมจอย รวมถึงพื้นที่ชั้นใต้ดินของตลาดและแนวผนังกั้นน้ำชั่วคราวที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น ถูกมวลน้ำบ่าไหลผ่านจนไร้ผล ประชาชนจำนวนมากต้องขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูงและเร่งอพยพกันท่ามกลางความโกลาหลตั้งแต่กลางดึก

ทหาร-กู้ภัยระดมกำลังฉุกเฉิน ปกป้องชีวิตกลุ่มเปราะบาง

เมื่อเวลา 09.00 น. พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 / ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 ได้สั่งการด่วนให้ พันเอก สิงหนาท โลสุยะ เสนาธิการ มทบ.37 นำกำลังทหาร ชุดยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่ประสบภัยทันที โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 ชุดปฏิบัติการรวม 32 นาย พร้อมชุดแพทย์เดินเท้า เข้าช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางในตำบลเกาะทรายซึ่งถูกน้ำท่วมอย่างรุนแรง

พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจาก สมาคมปิยะมิตรแม่สายร่วมใจบรรเทาสาธารณภัยและการกุศล และ สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย ก็ได้สนธิกำลังวางแผนรับมือร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในที่พักอาศัย ขนย้ายของขึ้นที่สูงและอพยพผู้สูงอายุ เด็กเล็ก รวมถึงผู้ป่วยติดเตียง ไปยังศูนย์อพยพที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด

ภาคสนามปฏิบัติการต่อเนื่อง – รายงานสถานการณ์ล่าสุด

ณ เวลา 10.54 น. ระดับน้ำยังเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงสะพานข้ามตลาดสายลมจอย พร้อมไหลทะลักเข้าพื้นที่ชั้นใต้ดินและแนวผนังกั้นน้ำชั่วคราวของชาวบ้านถูกเจาะทะลุเสียหาย ปฏิบัติการของทหารและกู้ภัยจึงเร่งมืออย่างเต็มที่ ทั้งการกรอกกระสอบทรายเสริมแนวป้องกัน การขนย้ายสิ่งของในชุมชนเกาะทราย ซอย 7, 11, 12 และการเร่งระบายน้ำตามจุดที่น้ำไหลบ่าเข้าสู่บ้านเรือน

ในขณะที่สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกก บริเวณสะพานท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แม้จะยังมีฝนตกและท้องฟ้าครึ้ม แต่ระดับน้ำยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถระบายออกได้ ไม่ส่งผลกระทบถึงพื้นที่เมืองเชียงรายในขณะนี้

การบูรณาการช่วยเหลือ – ติดตามต่อเนื่อง

มณฑลทหารบกที่ 37, ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน และหน่วยงานกู้ภัยต่างๆ ร่วมบูรณาการทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่หยุดยั้ง มีการจัดตั้งกองบัญชาการควบคุมภาคสนาม เร่งอพยพและดูแลกลุ่มเปราะบางตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงประสานศูนย์แพทย์ทหารและหน่วยสาธารณสุขเคลื่อนที่ช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่เสี่ยง

วิกฤตซ้ำซากกับโจทย์ใหญ่ของแม่สาย

สถานการณ์น้ำท่วมแม่สายปีนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนที่ต้องเผชิญมวลน้ำหลากข้ามพรมแดนจากเมียนมา แม้จะมีการวางแนวป้องกันชั่วคราวและแผนฉุกเฉิน แต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้

ประเด็นสำคัญที่ชัดเจน:

  • การระดมฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ: การปฏิบัติการของ มทบ.37 และภาคีเครือข่ายทั้งทหาร กู้ภัย และภาคประชาชน เป็นตัวอย่างของการบูรณาการทรัพยากรเพื่อลดการสูญเสียและช่วยเหลือชีวิตประชาชนในห้วงวิกฤต
  • ปกป้องกลุ่มเปราะบาง: การอพยพผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียงออกจากพื้นที่เสี่ยงทันที เป็นมาตรการสำคัญยิ่งที่แสดงถึงความพร้อมและความใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตประชาชน
  • การป้องกันแบบเฉพาะหน้า: การกรอกกระสอบทราย ขนของขึ้นที่สูง เร่งระบายน้ำ คือการรับมือเฉพาะหน้าที่จำเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเพียงการยื้อสถานการณ์ให้ชุมชนมีเวลาตั้งตัวมากขึ้น
  • บทเรียนจากภัยซ้ำซาก: การเกิดน้ำท่วมซ้ำรอยทุกปี ยืนยันถึงความจำเป็นในการวางระบบป้องกันถาวรและพัฒนาโครงสร้างระบายน้ำให้สอดคล้องกับภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากสภาพอากาศและต้นน้ำข้ามแดน

ประเด็นที่ต้องจับตาต่อไป:

  • ความสมบูรณ์ของแนวป้องกันถาวร: หากไม่มีการเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำถาวรและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ แม่สายอาจต้องเผชิญภัยน้ำท่วมซ้ำอีกในอนาคตอันใกล้
  • ระบบแจ้งเตือนและความรู้ชุมชน: แม้จะมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้ว แต่หากการสื่อสารไม่ทั่วถึงหรือชาวบ้านยัง “คาดไม่ถึง” ว่ามวลน้ำจะเข้าท่วม ต้องปรับปรุงช่องทางแจ้งเตือนและเสริมสร้างความรู้ด้านการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง

สรุป: สถานการณ์แม่สายในวันนี้เป็นบททดสอบย้ำเตือนถึงโจทย์ใหญ่ของการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ชายแดน ทั้งความจำเป็นของแนวป้องกันถาวร การพัฒนาระบบรับมือฉุกเฉิน และการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อรับมือกับธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นในทุกปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37

  • ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37

  • ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37

  • สมาคมปิยะมิตรแม่สายร่วมใจบรรเทาสาธารณภัยและการกุศล

  • สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย

  • รายงานสถานการณ์จากภาคสนาม (เวลา 10.54 น. วันที่ 28 กรกฎาคม 2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายรุดติดตามด่วน หลังแม่สายท่วมซ้ำ นักวิชาการย้ำขาดแผนรับมือ “น้ำพิษ”

วิกฤตแม่สาย “แม่น้ำสาย” ทะลักซ้ำปี 67 แนวป้องกันชั่วคราวรับไม่ไหว ผู้ว่าฯ เชียงรายรุดบัญชาการด่วน นักวิชาการเตือนขาดแผน “น้ำพิษ” ข้ามพรมแดน

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ซ้ำรอยวิกฤติเมื่อปลายปี 2567 สร้างความเสียหายและความวิตกกังวลให้แก่ประชาชนริมฝั่งแม่น้ำสายทั้งฝั่งไทยและเมียนมา การระบายน้ำที่ล้นตลิ่งจากฝนที่ตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือของไทยและรัฐฉานตะวันออกของเมียนมา กลายเป็นบททดสอบสำคัญของทุกหน่วยงานในพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อแนวป้องกันชั่วคราวที่ตั้งขึ้นโดยกรมการทหารช่างไม่สามารถรับมือมวลน้ำได้ ทำให้หลายชุมชนใน อ.แม่สาย และ จ.ท่าขี้เหล็ก ต้องรับเคราะห์ซ้ำอีกครั้ง

ผู้ว่าฯ เชียงราย บัญชาการเหตุการณ์ ย้ำเร่งอพยพ-จัดการอุปสรรคทางน้ำ

เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ จุดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกับนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หลังมวลน้ำเหนือหลากทะลักเข้าท่วมหลายจุดของชุมชนสายลมจอย ชุมชนเกาะทราย ตลาดสายลมจอย ตลาดไม้ลุงขน ตลอดจนฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ฝ่ายไทยและเมียนมาระดมกำลังเคลียร์พื้นที่ ขนย้ายสิ่งของอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ ผู้ป่วยติดเตียง ไปยังจุดปลอดภัยตั้งแต่เช้ามืด

ผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้บูรณาการระหว่างกรมการทหารช่าง เทศบาลแม่สาย และหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ออกปฏิบัติการนำเครื่องจักรกลหนัก เช่น รถแบ็คโฮ เข้าเคลียร์เศษขยะและท่อนซุงที่ไหลมาติดสะพาน ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคสำคัญขัดขวางทางน้ำให้ระบายไม่สะดวกจนเอ่อท่วมถนนและพื้นที่ชุมชน

นอกจากนี้ ได้กำชับให้นายอำเภอแม่สายเร่งประสานเจ้าของอาคารริมน้ำที่ยังไม่ได้รื้อถอน รวมถึงสิ่งปลูกสร้างที่มีช่องว่างใต้อาคารซึ่งกลายเป็นทางให้น้ำทะลุเข้าพื้นที่ชุมชน แม้จะวางแนวพนังบิ๊กแบ็คไว้แล้วก็ตาม พร้อมทั้งเน้นย้ำให้เร่งอพยพประชาชนจากจุดเสี่ยงให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และย้ำถึงความจำเป็นในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ฝนเหนือ-น้ำเมียนมา ทำระดับน้ำพุ่งเกิน 100 มม. สะพานมิตรภาพฯ ทะลัก 115%

ข้อมูลสถานการณ์น้ำเช้าวันที่ 28 ก.ค. 68 ระบุว่าฝนที่ตกในบ้านโจตาดา จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา สูงถึง 118.8 มิลลิเมตร ในเวลา 08.00 น. ส่งผลให้มวลน้ำล้นเข้าสู่ชายแดนไทยในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ระดับน้ำที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 วัดได้ 115.15% ของระดับตลิ่ง สร้างความวิตกให้กับทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านว่าระลอกใหม่ของน้ำจะเข้าท่วมอีกในช่วงบ่าย

ขณะเดียวกัน จุดวัดระดับน้ำและรายงานพื้นที่เสี่ยงในฝั่งไทย อาทิ ซอย 7 เกาะทราย ถ.หน้าหมู่บ้านปิยะพร และคลองชลประทาน เริ่มเกิดน้ำล้นตลิ่งและเข้าสู่ภาวะวิกฤติอย่างต่อเนื่อง

ขยะ-ท่อนซุงปิดสะพาน อุปสรรคซ้ำเติมสถานการณ์

ปัญหาขยะ เศษไม้ ท่อนซุงที่ไหลตามกระแสน้ำมาจากต้นน้ำเมียนมาและพื้นที่รอยต่อ ติดค้างใต้สะพานและแนวป้องกันน้ำชั่วคราว กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการระบายน้ำ โดยนายอำเภอแม่สายสั่งปิดด่านชั่วคราว เปิดทางให้แบ็คโฮจัดการสิ่งกีดขวาง ลดความเสี่ยงสะพานเสียหายและเร่งการระบายน้ำออกนอกพื้นที่

เสียงสะท้อนนักวิชาการ – วิกฤตซ้ำซ้อน “น้ำพิษ” ขาดแผนรับมือจริงจัง

วิกฤตในแม่สายรอบนี้ยังมีประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายเริ่มตระหนักมากขึ้น คือ “น้ำพิษข้ามพรมแดน” ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ตั้งคำถามและข้อเสนอแนะเร่งด่วนถึงหน่วยงานภาครัฐให้จัดทำแผนรับมือและเฝ้าระวังสารโลหะหนักและมลพิษที่มากับน้ำท่วมข้ามพรมแดน หลังจากปัญหาเหมืองแร่ในรัฐฉานส่งผลต่อต้นน้ำของแม่น้ำสายในเขตแม่สายมาอย่างต่อเนื่อง

คำถามสำคัญที่ต้องตอบให้ชัด ได้แก่

  1. หน่วยงานใดจะตรวจสอบสารโลหะหนักในน้ำท่วม?
  2. ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะรู้ผล?
  3. เจ้าหน้าที่และประชาชนควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อสัมผัสน้ำท่วมที่อาจปนเปื้อนสารพิษ?
  4. ประชาชนจะล้างบ้านและโคลนที่มีสารพิษได้อย่างไร?

ทั้งนี้ ดร.สืบสกุล ยังย้ำให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ทำหน้าที่ตรวจสอบสารโลหะหนักให้เร็วที่สุด เนื่องจากเป็นห้องแล็บที่มีมาตรฐานสูงสุดในพื้นที่

วิกฤต “น้ำท่วม-น้ำพิษ” บททดสอบการบริหารจัดการข้ามพรมแดน

แม่สายในวันนี้ คือภาพสะท้อนความซับซ้อนของภัยพิบัติยุคใหม่ที่เกินขีดจำกัดของแนวป้องกันชั่วคราวและแผนฉุกเฉินเฉพาะหน้า หลายประเด็นที่เกิดขึ้นในพื้นที่นับเป็นบทเรียนสำคัญ:

  • แนวป้องกันน้ำต้องยกระดับ: เหตุการณ์ซ้ำซ้อนแสดงว่าจำเป็นต้องพัฒนาแนวป้องกันน้ำถาวร ลดจุดอ่อนที่ทำให้น้ำล้นผ่านได้ง่าย
  • การจัดการขยะ-ท่อนซุงในแม่น้ำต้นน้ำ: ต้องวางระบบและแผนร่วมมือข้ามพรมแดนไทย-เมียนมา เพื่อลดขยะจากต้นน้ำมิให้ซ้ำเติมวิกฤติในเขตเมือง
  • แผนรับมือ “น้ำพิษ” ต้องมีจริง: ควรจัดทำคู่มือ แนวทางปฏิบัติที่เข้มงวด สื่อสารกับประชาชนอย่างรัดกุม และจัดตั้งระบบแจ้งเตือนเชิงรุก
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน: ปัญหาต้นน้ำที่เมียนมาต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจัง โดยอาศัยกลไกทางการทูตและข้อตกลงร่วม

บทสรุป

น้ำท่วมแม่สายปีนี้ไม่ได้เป็นแค่วิกฤตธรรมชาติซ้ำรอย แต่เป็นการสะท้อนโจทย์ใหญ่ด้านนโยบายและการบริหารภัยพิบัติข้ามพรมแดน ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งมือออกมาตรการเชิงรุกทั้งด้านโครงสร้างและระบบเฝ้าระวังสารพิษ เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

  • อำเภอแม่สาย

  • กรมการทหารช่าง

  • เทศบาล ต.แม่สาย

  • เทศบาล ต.เวียงพางคำ

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1

  • อ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร, ม.แม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พลเอก ณัฐพล ตรวจเชียงราย! แนวกันน้ำแม่สายคืบ 93% พร้อมรับมือฝน

เชียงรายรับมือภัยพิบัติ! รัฐเร่งเดินหน้าแนวป้องกันน้ำหลากแม่สาย-แม่น้ำกก

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ติดตามการดำเนินงานโครงการป้องกันและลดผลกระทบจากดินโคลนถล่มและน้ำหลาก โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย ซึ่งประสบอุทกภัยใหญ่ในปี 2567

ประชาชนในพื้นที่ชุมชนถ้ำผาจม, บ้านไม้ลุงขน และเกาะลอย ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมแสดงความขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่เร่งสร้างแนวป้องกันแบบกึ่งถาวร เพื่อรองรับฤดูฝนปีนี้

แนวกันน้ำกึ่งถาวรแม่สาย คืบหน้าแล้ว 93.63%

พลเอก ณัฐพล ได้ตรวจสอบความคืบหน้าโครงการเสริมพนังป้องกันน้ำหลากบริเวณแม่น้ำสาย ระยะทางกว่า 2.3 กิโลเมตร ครอบคลุม 6 ชุมชน เขตแม่สาย โดยใช้โครงสร้างแบบผสมผสานระหว่างแนวกันน้ำเดิมและวัสดุก่อสร้างเสริมแรง

โครงการดังกล่าวคืบหน้าแล้วกว่า 93% และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์กลางเดือนกรกฎาคมนี้

ขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย เดินหน้าเต็มกำลัง 32 กิโลเมตร

อีกภารกิจหลักของกองทัพคือการขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย ตั้งแต่บ้านสบสาย ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ไปจนถึงบ้านวังลาว ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางกว่า 32 กิโลเมตร

แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ช่วง ได้แก่

  • กองทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบช่วงต้นทาง 14 กิโลเมตร
  • กรมการทหารช่างรับผิดชอบอีก 18 กิโลเมตร

ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วกว่า 81.67% คาดว่าจะเสร็จภายในวันที่ 21 กรกฎาคม

ตรวจแม่น้ำกก ชื่นชมความสำเร็จขุดลอกแล้วเสร็จ 100%

จากแม่สาย พลเอก ณัฐพล เดินทางต่อไปยังหาดเชียงราย อำเภอเมือง เพื่อตรวจโครงการขุดลอกแม่น้ำกก ซึ่งมีเป้าหมายลดความเสี่ยงน้ำท่วมและส่งเสริมภูมิทัศน์ท่องเที่ยว

งานขุดลอกดำเนินการแล้วเสร็จครบ 4 จุด รวมปริมาณดินขุดกว่า 189,108 ลูกบาศก์เมตร ใช้งบประมาณกว่า 12.1 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 55 วัน

ห่วงพื้นที่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ยังไม่ได้รับการจัดการ

แม้แม่น้ำกกจะขุดลอกแล้วเสร็จ แต่รัฐมนตรีช่วยฯ ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับจุดต้นน้ำและปลายน้ำที่ยังไม่มีการดำเนินการ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในภาพรวม

จึงได้สั่งการให้ประสานงานกับกระทรวงเกษตรและกระทรวงคมนาคม เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานในจุดที่ยังขาดการพัฒนา

รัฐเดินหน้าเตรียมรับมือฝนเดือนกันยายน

พลเอก ณัฐพล เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนรับมือฤดูฝน โดยเฉพาะเดือนกันยายนซึ่งคาดว่าอาจมีฝนตกหนักอีกครั้ง โดยร่วมมือระหว่างมณฑลทหารบกที่ 37 กับจังหวัดเชียงราย เพื่อบริหารจัดการและเตรียมแผนเผชิญเหตุอย่างมีระบบ

ยุทธศาสตร์เชิงรุกสู้ภัยธรรมชาติ

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การตรวจงาน แต่เป็นสัญญาณสำคัญของรัฐบาลต่อการบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

  1. ยกระดับมาตรการฉุกเฉินสู่โครงการระยะยาว

โครงการแนวกันน้ำแบบกึ่งถาวรถือเป็นระยะเร่งด่วน ในขณะที่แนวกันน้ำถาวรจะเริ่มก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2572 เพื่อสร้างความมั่นคงระยะยาว

  1. บูรณาการภาครัฐ-ท้องถิ่น-ทหาร

การทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพ, หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35, กรมการทหารช่าง และจังหวัดเชียงราย แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้น และประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว

  1. ความพร้อมของแผนสำรอง

แม้จะมีแผนหลักครบถ้วน แต่รัฐยังต้องวางแผนสำรอง และมีระบบเตือนภัยที่ทันสมัย เพื่อรับมือภัยธรรมชาติที่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ความมั่นใจของประชาชนขึ้นอยู่กับ “การลงมือทำ”

การลงพื้นที่ของ พลเอก ณัฐพล ไม่เพียงแต่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความจริงจังของภาครัฐ ที่ต้องการให้ทุกโครงการเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

ด้วยความคืบหน้าที่ชัดเจนของแต่ละโครงการ ชาวเชียงรายจึงเริ่มรู้สึกมั่นใจว่าจะสามารถผ่านพ้นฤดูฝนปีนี้ไปได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงกลาโหม
  • กรมการทหารช่าง
  • กองทัพภาคที่ 3
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กระทรวงคมนาคม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

สามนายทหารเพื่อนร่วมรุ่นนำทัพ! ขุดลอกแม่น้ำรวก กอบกู้แม่สายจากอุทกภัย

สามนายทหารเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร รุ่น 26 ผนึกกำลังแก้วิกฤตน้ำท่วมเชียงราย: บทบาทนำสู่ความหวังของคนในพื้นที่

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซากในหลายพื้นที่ การรวมพลังของสามนายทหารเพื่อนร่วมรุ่นจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 กลายเป็นแสงแห่งความหวังในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่คุกคามจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สายที่ได้รับผลกระทบหนักจากอุทกภัยในอดีต

เบื้องหลังวิกฤตที่ซ่อนเรื่องราว

นอกเหนือจากการเป็นเพื่อนร่วมรุ่นแล้ว การที่ พลตรี วรเทพ บุญญะ รองแม่ทัพภาคที่ 3 และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการก่อสร้าง กองทัพภาคที่ 3, พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง, และ พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 มาร่วมมือกันในครั้งนี้ ยังสะท้อนถึงการตระหนักรู้ในความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นระบบ

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2567 ได้ทำลายอำเภอแม่สายอย่างรุนแรง ใช้เวลาถึง 2 เดือนในการทำความสะอาดและฟื้นฟูพื้นที่ ความเสียหายครั้งนั้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดเผยจุดอ่อนของระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีอยู่

ภารกิจสำคัญของ “สามทหารเสือ”

การทำงานของนายทหารทั้งสามท่านนี้มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนและเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการขับเคลื่อนโครงการใหญ่ๆ ให้บรรลุเป้าหมาย

พลตรี วรเทพ บุญญะ ในฐานะรองแม่ทัพภาคที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานนโยบายระดับสูงและบูรณาการการทำงานในระดับภาค ท่านได้เน้นย้ำการปฏิบัติงานให้ได้มาตรฐานตามโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อป้องกันและลดผลกระทบภัยพิบัติ พร้อมทั้งมอบขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่

พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง เป็นผู้นำทางด้านเทคนิคการก่อสร้างและควบคุมมาตรฐานการดำเนินงาน ท่านลงพื้นที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของกำลังพลกรมการทหารช่างอย่างใกล้ชิด และจัดลำดับความเร่งด่วนในการปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 มีบทบาทสำคัญในการประสานงานระดับพื้นที่ และการสนับสนุนกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มกำลัง

ความคืบหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหา

โครงการขุดลอกแม่น้ำรวกเป็นโครงการสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในอำเภอแม่สาย ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าที่น่าพอใจ ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

  • งานขุดลอกแม่น้ำ: 96.23%
  • งานถากถางพื้นที่: 100%
  • ผลงานรวมทั้งหมด: 96.18%

โครงการนี้ครอบคลุมระยะทาง 14 กิโลเมตรภายใต้ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการใหญ่ที่ขุดลอกแม่น้ำรวกทั้งหมด 32 กิโลเมตร โดยกรมการทหารช่างรับผิดชอบอีก 18 กิโลเมตรหลัง

ความสำคัญของโครงการนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขความคืบหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการอุดช่องว่างและแก้ไขจุดอ่อนที่เคยเป็นสาเหตุของอุทกภัยในอดีต การดำเนินการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพนี้ แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของกำลังพลที่ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จก่อนฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

การเตรียมความพร้อมเชิงรุก MOU และการฝึกซ้อมครอบคลุม

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น การเตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ได้นำทีมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกับ 7 หน่วยงานหลักในจังหวัดเชียงราย ซึ่งประกอบด้วย

  1. จังหวัดเชียงราย
  2. มณฑลทหารบกที่ 37
  3. ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย
  4. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  5. ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย
  6. องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

การลงนาม MOU นี้ไม่ใช่เพียงแค่การลงนามเป็นพิธีการ แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญในการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกำลังพลเข้าร่วมการฝึกซ้อมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (อุทกภัย) ระดับจังหวัด ระหว่างวันที่ 7-10 กรกฎาคม 2568 ซึ่งครอบคลุมการฝึกปฏิบัติระบบการแจ้งเตือน การกู้ภัยด้วยอากาศยาน การขับเรือยนต์ห้องแบน การใช้เครื่องสูบน้ำท่วมขัง การใช้เครื่องสูบน้ำระยะไกล และการใช้เครื่องจักรกลสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่ทำให้ฝนตกหนักและมีความถี่มากขึ้น ข้อมูลจากการติดตามสถานการณ์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าระดับน้ำในแม่น้ำสายยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เช้าวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 และใกล้จะล้นตลิ่ง

การที่ทหารได้เข้าไปช่วยเหลือและสนับสนุนการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการตอบสนองต่อภัยฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่หมู่บ้านเกาะทรายซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง

ความสำคัญของความร่วมมือข้ามหน่วยงาน

การทำงานร่วมกันของนายทหารทั้งสามท่านนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการทำงานข้ามหน่วยงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนอย่างปัญหาน้ำท่วม การที่แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ และสามารถประสานงานกันได้อย่างราบรื่น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำเร็จของโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกที่มีความคืบหน้าถึง 96.18% ในช่วงเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นถึงพลังของการทำงานเป็นทีม และความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น

ปัญหาน้ำท่วมในอำเภอแม่สายไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาการท่องเที่ยวและการค้าขายชายแดนเป็นหลัก การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว

การที่รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณเกือบ 2 หมื่นล้านบาทสำหรับการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

มุมมองอนาคต ความยั่งยืนและการป้องกันเชิงรุก

การดำเนินการของนายทหารทั้งสามท่านนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับการจัดการภัยพิบัติในอนาคต การจัดตั้งเขตปลอดการก่อสร้างกว้าง 40 เมตรเพื่อขยายฝั่งแม่น้ำ และการรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตในเขตดังกล่าว เป็นมาตรการป้องกันเชิงรุกที่จะช่วยลดความเสี่ยงในอนาคต

แผนการฟื้นฟูที่แบ่งออกเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว แสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลและการวางแผนที่มีระบบ ซึ่งจะช่วยให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน

พลังแห่งมิตรภาพเพื่อชาติและประชาชน

การรวมพลังของพลตรี วรเทพ บุญญะ, พลโท สิรภพ ศุภวานิช, และพลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำงานร่วมกันของเพื่อนร่วมรุ่น แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของความสามัคคีและความมุ่งมั่นที่จะใช้ความรู้ความสามารถเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน

ความสำเร็จของโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกที่มีความคืบหน้าเกือบ 100% และการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ที่ครอบคลุมและเป็นระบบ เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

การทำงานของทหารทั้งสามท่านนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการที่กองทัพบกไทยสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภัยทางการทหารเท่านั้น แต่รวมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติและปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีความซับซ้อน

ในท้ายที่สุดแล้ว ความสามารถในการบูรณาการภารกิจทางทหารเข้ากับการบริการสาธารณะและการพัฒนาประเทศ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างความไว้วางใจจากประชาชนและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชาติโดยรวม การที่สามเพื่อนร่วมรุ่นจากเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 สามารถมาทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ เป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจและความหวังให้กับทุกคนในสังคมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • ข้อมูลความคืบหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำรวก: กองทัพภาคที่ 3 (7 กรกฎาคม 2568)
  • ข้อมูลการลงนาม MOU และการฝึกซ้อม: มณฑลทหารบกที่ 37 (7 กรกฎาคม 2568)
  • Nation Thailand: “Mae Sai flooding: Military reinforces flood barriers” (24 May 2025)
  • Nation Thailand: “Residents evacuate as downpour causes flooding in Mae Sai” (24 May 2025)
  • Bangkok Post: “Stemming the floodwaters” (2 June 2025)
  • Chiang Rai Times: “Flood Warning Issues For Mae Sai Chiang Rai” (July 2025)
  • กองทัพภาคที่ 3: https://www.army3.mi.th/
  • กรมการทหารช่าง: https://www.engineer.rta.mi.th/
  • กองทัพบกไทย: https://www.rta.mi.th/
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ข้อมูลการฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม: Nation Thailand (25 December 2024)
  • Dailynews: “กรมควบคุมมลพิษแนะแนวทางจัดการตะกอนดินจากการขุดลอกแม่น้ำ” (June 2025)
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย เร่งช่วยน้ำท่วม

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย ติดตามการแก้ไขน้ำท่วมและให้กำลังใจผู้ประสบภัย

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่จากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่กลางดึกวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่หน่วยงานทุกภาคส่วนระดมกำลังติดตั้งแนวป้องกันน้ำและสูบน้ำออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน แม้ว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในบางจุด แต่คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยายังระบุถึงฝนตกชุกที่อาจยืดเยื้อจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ทำให้ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างต่อเนื่อง

ฝนที่ไม่หยุดและสายน้ำที่ล้นตลิ่ง

ในค่ำคืนของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเมื่อเสียงฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย เมฆฝนหนาที่ยังคงปกคลุมพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำแม่สาย รวมถึงเขตชายแดนฝั่งเมียนมา ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนที่มีความคึกคัก

ความรุนแรงของน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ถนนหลายสายถูกตัดขาด บ้านเรือนของประชาชนถูกน้ำซัดจนทรัพย์สินเสียหาย และระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านไม้ลุงขน และบริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ต้องเผชิญกับน้ำที่ไหลเชี่ยวและโคลนตมที่ทับถมในบ้านเรือน ความหวาดกลัวและความสูญเสียเริ่มครอบงำชุมชน โดยเฉพาะเมื่อหลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสาย ในช่วงฤดูมรสุมของปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เคยประสบภัยน้ำท่วมรุนแรงมาแล้ว ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของแนวป้องกันน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำและความท้าทายจากน้ำที่ไหลมาจากฝั่งเมียนมาเป็นประเด็นที่ทั้งชุมชนและหน่วยงานรัฐต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง

การระดมกำลังและการลงพื้นที่ของผู้ว่าฯ

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมทวีความรุนแรง นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไม่รอช้าที่จะลงพื้นที่เพื่อติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่และให้กำลังใจประชาชน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดวิกฤตที่น้ำล้นพนังกั้นน้ำ ผู้ว่าฯ ได้ตรวจสอบการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่เร่งเสริมแนวป้องกันน้ำด้วยกระสอบทรายและติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ พร้อมสอบถามความต้องการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างตรงจุด

นายชรินทร์ เปิดเผยว่า แนวผนังกั้นน้ำเดิมที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การป้องกันน้ำท่วมไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ ส่งผลให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่สองจุดสำคัญ ได้แก่ บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถปิดกั้นน้ำที่จุดสะพานมิตรภาพได้สำเร็จ ขณะที่จุดที่สองบริเวณสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนกำลังเร่งดำเนินการ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ชุมชนได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในพื้นที่ที่น้ำเริ่มลดลง เช่น ชุมชนบางส่วนในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมกับอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนในการทำความสะอาดบ้านเรือน โดยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม บริเวณตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญ ยังคงมีน้ำท่วมขังในระดับสูง หน่วยงานต่างๆ จึงเตรียมติดตั้งแนวกระสอบทรายแบบ Big Bag และเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากจุดวิกฤต โดยเฉพาะที่สวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนและตลาดสายลมจอย

นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนว่าภาคเหนือตอนบน รวมถึงจังหวัดเชียงราย จะยังคงมีฝนตกชุกต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ผู้ว่าฯ จึงขอให้ประชาชนยกของขึ้นที่สูง ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น อำเภอแม่สายได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยมีที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายเป็นจุดรองรับผู้ประสบภัย พร้อมจัดเตรียมที่พักชั่วคราวและจุดจอดรถเพื่ออำนวยความสะดวก

ในด้านโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมถาวร กรมการทหารช่างกำลังดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้า 27% หากโครงการนี้แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนในแม่สายจากอุทกภัยในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินต่อเนื่องเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและประเด็นสารปนเปื้อนในน้ำ โดยเฉพาะในแม่น้ำสาย ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน

เกี่ยวกับคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่แม่สาย การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายได้ตรวจสอบและยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตสามารถใช้อุปโภคและบริโภคได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการดื่มหรือสัมผัสน้ำโดยตรงจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำสาย จนกว่าสถานการณ์จะปลอดภัย และควรระมัดระวังการสัมผัสน้ำท่วมขังที่อาจปนเปื้อนสารเคมีหรือเชื้อโรค

ความหวังท่ามกลางสายฝน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเริ่มแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลงในบางพื้นที่ หลังจากเครื่องสูบน้ำและแนวกระสอบทรายช่วยควบคุมการไหลของน้ำได้ดีขึ้น ชุมชนที่น้ำลดลง เช่น บริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 เริ่มมีการเคลียร์พื้นที่และฟื้นฟูบ้านเรือน โดยมีอาสาสมัครและทหารจากมณฑลทหารบกที่ 37 เข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่

ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่จัดตั้งขึ้นในพื้นที่ช่วยให้การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ลดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ และทำให้ทรัพยากรถูกจัดสรรไปยังจุดที่ต้องการมากที่สุด ผู้ประสบภัยที่อพยพไปยังที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายได้รับการดูแลด้านอาหาร ที่พัก และการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่น้ำท่วมขัง เช่น ตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน การเร่งระบายน้ำและฟื้นฟูพื้นที่นี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนที่อาจตกต่อเนื่องยังเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องจับตา โดยหน่วยงานในพื้นที่มีการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น

ในระยะยาว การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำถาวรโดยกรมการทหารช่างจะเป็นความหวังของชุมชนในการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อบริหารจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการ รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนแม่สาย

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและการระดมทรัพยากรจากหน่วยงานต่างๆ ช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ทันท่วงที
  2. ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การทำงานร่วมกันของมณฑลทหารบกที่ 37 กรมการทหารช่าง การประปาส่วนภูมิภาค และเทศบาลตำบลแม่สาย สร้างความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติ
  3. การสนับสนุนชุมชน การจัดตั้งศูนย์อำนวยการและที่พักชั่วคราวช่วยให้ผู้ประสบภัยได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำจังหวัดและการให้กำลังใจประชาชนช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำที่ไม่สมบูรณ์ แนวผนังกั้นน้ำที่ยังไม่แล้วเสร็จเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในครั้งนี้
  2. ความเสี่ยงจากฝนต่อเนื่อง คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนตกชุกจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
  3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจชายแดนในระยะสั้น
  4. สารปนเปื้อนในน้ำ ความกังวลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในน้ำท่วมขังและแม่น้ำสายยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เร่งรัดการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ เพิ่มงบประมาณและกำลังคนเพื่อให้โครงการแนวป้องกันน้ำถาวรแล้วเสร็จโดยเร็ว
  • พัฒนาระบบเตือนภัยและติดตามสภาพอากาศ ใช้เทคโนโลยี เช่น เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำและแอปพลิเคชันแจ้งเตือน เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวล่วงหน้า
  • ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอยและให้การสนับสนุนด้านการเงิน
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายและน้ำท่วมขัง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

  1. จำนวนผู้ประสบภัยในอำเภอแม่สาย
    • น้ำท่วมในปี 2567 ส่งผลกระทบต่อประชากรในอำเภอแม่สายกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในชุมชนลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอย
    • แหล่งอ้างอิง หอการค้าจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจชายแดน.
  3. การใช้ทรัพยากรในการจัดการน้ำท่วม
    • ในปี 2567 หน่วยงานในภาคเหนือใช้กระสอบทรายกว่า 100,000 ใบและเครื่องสูบน้ำ 50 ชุดในการจัดการน้ำท่วม
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมการทหารช่าง
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไทม์ไลน์ระบุเงินช่วย ‘ค่าล้างโคลน’ “เชียงราย” รับเงินก่อน 10 เม.ย. นี้

จังหวัดเชียงรายเร่งจัดสรรเงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ปี 2568

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 292,147,249 บาท แบ่งเป็นเงินช่วยเหลือสำหรับอำเภอแม่สาย จำนวน 134,776,273 บาท และอำเภอเมืองเชียงราย จำนวน 157,770,976 บาท การจัดสรรครั้งนี้เกิดขึ้นตามคำสั่งด่วนจากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ ชร 0021/ว 749 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

การจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการดำรงชีพตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 รวมถึงค่าใช้จ่ายในการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุบริเวณที่อยู่อาศัยของผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของบ้าน โดยกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท เงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ข้อ 8 (8) และข้อ 8 วรรคสอง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้น

ความเป็นมาของการจัดสรรเงินช่วยเหลือ

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนของปี 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อน้ำท่วมเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ลุ่มน้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำโขงและแม่น้ำสายอื่น ๆ ที่ไหลผ่านจังหวัด ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น ถนน ระบบระบายน้ำ และสถานที่ราชการบางแห่งด้วย อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงรายได้ยื่นขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากจังหวัดเชียงราย ตามหนังสือด่วนที่สุดจากอำเภอแม่สาย ที่ ชร 1018.3/1105 และ ชร 1018.3/1106 รวมถึงจากอำเภอเมืองเชียงราย ที่ ชร 0118.3/1460 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อนำไปใช้ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน

จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่ามีครัวเรือนจำนวนมากในทั้งสองอำเภอที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งดินโคลนและซากวัสดุที่ถูกน้ำพัดพามาได้สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยเหตุนี้ จังหวัดเชียงรายจึงได้เร่งดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายอำเภอทั้งสองอำเภอดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด

รายละเอียดการจัดสรรและขั้นตอนการเบิกจ่าย

ตามหนังสือที่ส่งถึงนายอำเภอแม่สายและนายอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายได้กำหนดให้มีการจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินทดรองราชการ เช่น ใบสำคัญรับเงินและรายงานการใช้จ่าย ไปยังสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับเงินจากคลังจังหวัด เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายได้อย่างโปร่งใส นอกจากนี้ ยังขอให้ทั้งสองอำเภอรายงานผลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวกลับมาที่จังหวัด เพื่อประเมินผลกระทบและความครอบคลุมของการช่วยเหลือ

วงเงินที่จัดสรรทั้งหมด 292,147,249 บาท ถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉิน โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้ตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 ซึ่งครอบคลุมหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ (ข้อ 5.1.4 ถึง 5.1.16) และการอนุมัติการปฏิบัติที่นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ในกรณีจำเป็น โดยเฉพาะการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนในพื้นที่เผชิญอยู่

แผนการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ

เพื่อให้การช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว จังหวัดเชียงรายได้กำหนดกรอบระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 13 วันทำการ (ไม่รวมวันหยุดราชการ) ดังนี้

  • 20 มีนาคม 2568: ประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัดเชียงราย (กชภจ.) เพื่อพิจารณาแผนการช่วยเหลือ
  • 21 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายอนุมัติการจัดสรรเงินให้อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย
  • 22-24 มีนาคม 2568: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เสนอขออนุมัติเงินยืมจากคลังจังหวัด
  • 24-25 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเงินยืมให้ทั้งสองอำเภอ
  • 26-27 มีนาคม 2568: ปภ.จ.เชียงรายดำเนินการเบิกเงินและโอนให้อำเภอ
  • 27-28 มีนาคม 2568: อำเภอรับเงินยืมจากจังหวัด
  • 29 มีนาคม – 10 เมษายน 2568: อำเภอเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือให้ผู้ประสบภัยตามรายชื่อที่ได้รับการสำรวจและอนุมัติ

กรอบระยะเวลานี้แสดงถึงความพยายามของจังหวัดในการเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ประชาชนได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม หากความเสียหายในพื้นที่มีมูลค่าเกินกว่าวงเงินที่จัดสรร อำเภอสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากจังหวัดได้ตามความจำเป็น

ความสำคัญของการช่วยเหลือครั้งนี้

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากจังหวัดนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากในช่วงฤดูฝน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาทสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุ ถือเป็นมาตรการที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของผู้ประสบภัย ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยโคลนและสิ่งสกปรกหลังน้ำลด

นอกจากนี้ การจัดสรรเงินทดรองราชการยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ตามที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง ซึ่งกำหนดให้การช่วยเหลือต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมและให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง

บริบทของน้ำท่วมในประเทศไทยและจังหวัดเชียงราย

น้ำท่วมเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำซากในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปี เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่อ 65 จังหวัด และสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 1.43 ล้านล้านบาท ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้มีการออกพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ (พ.ศ. 2561-2580) เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว

สำหรับจังหวัดเชียงราย อุทกภัยในปี 2567 ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา และมักเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงที่เอ่อล้น รวมถึงอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของจังหวัด การที่ทั้งสองอำเภอนี้ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนมาก แสดงถึงความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้น และความจำเป็นในการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน

การบริหารจัดการงบประมาณน้ำท่วมในอดีต

หากย้อนดูงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำท่วมในประเทศไทย จะพบว่ารัฐบาลได้จัดสรรเงินจำนวนมหาศาลเพื่อรับมือกับภัยพิบัตินี้ ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูลครบถ้วน งบประมาณทั้งหมดของประเทศอยู่ที่ 3.185 ล้านล้านบาท โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมรวม 53,377.55 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 1.68% ของงบประมาณทั้งหมด งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น เขื่อนป้องกันตลิ่ง (19,821.42 ล้านบาท) ระบบระบายน้ำและประตูระบายน้ำ (6,899.69 ล้านบาท) และฝายต่าง ๆ (5,441.61 ล้านบาท) ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังมีงบกลางที่ถูกนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉิน โดยในช่วงปี 2560-2566 มีการอนุมัติงบกลางเพื่อน้ำท่วมรวม 97,832.80 ล้านบาท โดยปี 2566 เป็นปีที่มีการเบิกจ่ายสูงเป็นอันดับ 3 ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน (8,171.60 ล้านบาท) การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (6,258.54 ล้านบาท) และการฟื้นฟูถนนที่เสียหาย (3,786.55 ล้านบาท) การจัดสรรเงินทดรองราชการในครั้งนี้จึงสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเน้นทั้งการป้องกันและการเยียวยา

ความท้าทายและข้อกังวล

ถึงแม้ว่าการจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้จะเป็นการตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทันท่วงที แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นคือความล่าช้าในกระบวนการเบิกจ่าย ซึ่งอาจเกิดจากขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารหรือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แม้ว่าจะมีการกำหนดกรอบระยะเวลา 13 วันทำการ แต่หากเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การขาดแคลนบุคลากรหรือความล่าช้าในการสำรวจผู้ประสบภัย อาจทำให้เงินถึงมือประชาชนช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

อีกประเด็นหนึ่งคือความเพียงพอของวงเงินช่วยเหลือ เงินครัวเรือนละ 10,000 บาทอาจเพียงพอสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุในบางครัวเรือน แต่สำหรับบ้านที่มีความเสียหายหนักหรือมีพื้นที่กว้างขวาง อาจไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูทั้งหมด ผู้ประสบภัยบางรายอาจต้องใช้เงินส่วนตัวเพิ่มเติม ซึ่งอาจสร้างภาระให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของผู้สนับสนุนการจัดสรรเงินทดรองราชการ การดำเนินการครั้งนี้แสดงถึงความรับผิดชอบของรัฐบาลในการดูแลประชาชนในยามวิกฤต การกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท และการจัดสรรเงินเกือบ 300 ล้านบาทให้สองอำเภอที่ได้รับผลกระทบหนัก เป็นหลักฐานถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ การกำหนดกรอบระยะเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจนยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงต่อการทุจริต ผู้ที่เห็นด้วยอาจมองว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฟื้นฟู และหากวงเงินไม่เพียงพอ อำเภอยังสามารถขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมได้ ซึ่งแสดงถึงความยืดหยุ่นของระบบ

ในทางกลับกัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์อาจมองว่าการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว เงิน 10,000 บาทต่อครัวเรือนอาจดูเหมือนเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และการที่ต้องรอถึงวันที่ 29 มีนาคมถึง 10 เมษายน 2568 กว่าผู้ประสบภัยจะได้รับเงิน อาจช้าเกินไปสำหรับบางครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือทันที นอกจากนี้ การที่งบประมาณส่วนใหญ่ในอดีตถูกใช้ไปกับการก่อสร้างมากกว่าการพัฒนาระบบเตือนภัยหรือการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อาจทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายการจัดการน้ำท่วมโดยรวมของรัฐบาล

ทั้งสองมุมมองมีเหตุผลในตัวเอง การช่วยเหลือฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็นและควรได้รับการชื่นชมในแง่ของความรวดเร็วในการตอบสนอง แต่การป้องกันภัยพิบัติในอนาคตและการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การสร้างสมดุลระหว่างการเยียวยาระยะสั้นและการลงทุนระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่จังหวัดเชียงรายและรัฐบาลต้องพิจารณาต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.) และสำนักงบประมาณ:

  • ปี 2567: อุทกภัยในประเทศไทยระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม – 2 กันยายน 2567 ส่งผลให้มีพื้นที่น้ำท่วมรวม 1,231,323 ไร่ ครอบคลุม 11 จังหวัด และมีผู้ได้รับผลกระทบ 241,875 ครัวเรือน (ที่มา: ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วม, GISTDA)
  • ปี 2566: งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมทั้งหมด 53,377.55 ล้านบาท โดยงบก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งสูงสุดที่ 19,821.42 ล้านบาท คิดเป็น 37.13% ของงบน้ำท่วมทั้งหมด (ที่มา: รายงานงบประมาณลงพื้นที่จังหวัด ปีงบประมาณ 2566, สำนักงบประมาณ)
  • ปี 2554: มหาอุทกภัยสร้างความเสียหายมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท พื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย 11,798,241 ไร่ และกระทบประชาชนกว่า 13 ล้านคน (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)

สถิติเหล่านี้สะท้อนถึงความรุนแรงและความถี่ของปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย รวมถึงความพยายามของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้รับการรวบรวมและวิเคราะห์โดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น GISTDA และสำนักงบประมาณ

การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย แต่ยังคงต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าความช่วยเหลือจะถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างทั่วถึงและทันเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย)
  • สำนักงบประมาณ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • Rocket Media Lab
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สทนช. ติดตามสถานการณ์น้ำ ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่องถึงเดือนกันยายน

 

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2567ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ โดยนางพัชรวีร์ สุวรรณิก ที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่รับฟังบรรยายผลการดำเนินการมาตรการฤดูฝน ปี 2567 พื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยมีนายณรงค์พล คิดอ่าน นายอำเภอแม่สาย นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น เข้าร่วมประชุม และบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำในพื้นที่อำเภอแม่สาย ตลอดจนการบริหารจัดการน้ำ จากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

จากนั้นคณะฯ ได้ลงพื้นที่จำนวน 2 จุด ได้แก่สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 และบ้านป่าซางงามหมู่ที่ 6 ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามการดำเนินการการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมและน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 

นางพัชรวีร์ สุวรรณิก ที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สืบเนื่องจากความห่วงใยจากรองนายกรัฐมนตรี ท่านภูมิธรรม เวชยชัย ที่ได้มอบเป็นนโยบายให้กับทางสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ โดยนายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำ ได้เข้ามาดำเนินการดูแลในเรื่องของสถานการณ์ที่เป็นห่วง กังวลในเเรื่องของอุทกภัยตั้งแต่ภาคเหนือ ซึ่งคาดว่าจะประสพกับเรื่องของฝนที่ตกในช่วงเดือนกันยายนนี้ อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน พร้อมเตรียมในเรื่องของมวลน้ำให้สามารถระบายลงสู่น้ำโขงได้อย่างรวดเร็ว ไม่เป็นอุปสรรคในการที่จะดำรงชีพ  
สำหรับ สทนช.เป็นหน่วยงานในการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการคาดการณ์ฝน ในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ ในเรื่องของการดูแลมวลน้ำและมวลชน ร่วมกับกรมบรรเทาสารณภัยท้องที่ ท้องถิ่น และอำเภอ ซึ่งในพื้นที่ อ.แม่สาย เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่ง ซึ่งถ้าเกิดปัญหาอุทกภัยแล้วก็จะก่อเกิดความเสียหาย ก็ควรที่จะต้องเร่งมีมาตรการให้บรรเทาให้กลับสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด ที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในขณะนี้ โดยเฉพาะในภาคเหนือ ทางหน่วยงานได้มีการติดตามประเมินในเรื่องของปริมาณน้ำฝน โดยเฉพาะในช่วงของ สิงหา ถึง กันยายน  โดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดเชียงราย ภาคเหนือตอนบน ฝนจะตกสะสม และมากกว่าค่าเฉลี่ย จะเห็นได้ว่าขณะนี้ฝนเริ่มตกแล้ว  มีน้ำไหลหลากลงมา โดยเฉพาะแม่สายส่งผลให้น้ำเอ่อล้น 5 รอบแล้ว และ หลังจากนี้ไป ช่วงต้นเดือนกันยายนจนถึงวันที่ 15 กันยายน ฝนก็ยังจะตกซ้ำอยู่บริเวณภาคเหนือตอนบนเหมือนเดิม และทยอยตกตลอดเดือนสิงหาคม เพราะฉะนั้น สถานการณ์ต่อจากนี้ไปในเรื่องของน้ำหลากยังมีความเสี่ยงที่จะต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้อมูลปริมาณน้ำฝน จึงขอให้มีการติดตามเฝ้าระวังติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด สำหรับพี่น้องประชาชน เมื่อทราบข้อมูลแล้วอยากให้มีการส่งข่าวทางกลุ่มไลน์ กลุ่มเครือข่ายของพี่น้องประชาชนเพื่อให้รับทราบร่วมกัน ก็จะเป็นช่องทางหนึ่งและเป็นช่องทางที่ดีที่สุด ในการที่จะร่วมกันแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัยสู่ลานพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2567

 

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 67 ที่ภายในวัดศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2567 ภายใต้ชื่อว่า “2006 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมี พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยตุง ตลอดจนพระเถรานุเถระ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายอำเภอแม่สาย หัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียง

 

เข้าร่วมพิธีกันอย่างคึกคักท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายไร้หมอกควัน หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีฝนตกลงมาอย่างมากมายทั่วทั้งจังหวัดทำให้อากาศและบรรยากาศโดยทั่วไปสดใส สดชื่น ทำให้เป็นที่สนใจแก่นักเดิน นักวิ่ง และผู้แสวงบุญ ที่ต้องการเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งชาวล้านนาที่นับถือกันมายาวนานจนถึงปัจจุบัน เข้าร่วมจำนวนมาก

 

 ภายในพิธีช่วงเช้ามืดของวันนี้ นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยตุง ประกอบพิธีทางศาสนา วางพานพุ่มดอกไม้สดสักการะครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ด้านหน้าวัดศาลาเชิงดอย เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกอบพิธีเดินจาริกแสวงบุญ โดยได้มีการปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร เพื่อขึ้นไปไหว้สาพระธาตุดอยตุงเจดีย์องค์แรกของล้านนา เพื่อสืบสานประเพณีนสมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้

 

 นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า พระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นโบราณสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา สร้างมาแต่โบราณกาล และเป็นหลักฐานแรกที่พระพุทธศาสนาเข้ามาประดิษฐานในล้านนา ตามประวัติได้กล่าวไว้ว่า พระมหากัสสะปะเถระ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนพระธาตุรากขวัญเบื้องซ้าย หรือ กระดูกไหปลาร้าข้างซ้าย ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาถวายแด่พระพุทธเจ้าอุชุตราช เจ้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกชัยบุรี รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ เป็นประธานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ณ ดอยดินแดง หรือดอยตุงในปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ 561 ซึ่งการบูชาพระธาตุเจดีย์ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งคนล้านนาถือเอาพระธาตุเจดีย์เป็นที่พึ่งของตน ทุกคืนเวลาไหว้พระจะต้องไหว้พระธาตุคือไหว้พระเจดีย์ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐาน ณ ที่ต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่เกิดปีกุน คือปีหมู หรือกุลชอน คือมปีช้าง  ตามความเชื่อของชาวล้านนาต้องไหว้พระธาตุเจดีย์ที่ดอยตุง จะเป็นสิริมงคลแก่การดำรงชีวิต

 

สำหรับปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2567 จังหวัดเชียงราย จึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย จัดให้มีกิจกรรมเดินจริกแสวงบุญ ตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยตุง ซึ่งเมื่อครั้งครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้เดินทางจารึกแสวงบุญและทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุดอยตุง ด้วยแรงแห่งความศรัทธา เมื่อปีพุทธศักราช 2470 พระครูบาเจ้าศรีวิชัยได้ใช้เส้นทางแห่งนี้ เป็นทางเดินขึ้นองค์พระธาตุดอยตุง คณะศรัทธาพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย จึงได้ยึดถือเป็นประเพณีการเดินจาริกแสวงบุญ สืบต่อมาเป็นประเพณีทุกๆ ปี อีกด้วย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“พิสันต์” ยืนยันสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประชาชนร่วมได้ 23 – 24 มี.ค. 67 นี้

 

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2567 ที่วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และนายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2567 “2006 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” โดยมี นายอำเภอแม่จัน หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงาน และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมรับฟังการแถลงข่าว

 

การจัดงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุงของทุกปีตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 หรือเดือน 6 เหนือ จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมด้านศาสนาของพุทธศาสนิกชน สืบทอดประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามที่มีมาแต่อดีต อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมในการพัฒนาด้านจิตใจให้เกิดคุณธรรมจริยธรรมอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะคนที่เกิดปีกุล โดยกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 23 – 24 มีนาคม 2567 นี้ ภายในงานได้กำหนดให้มีกิจกรรมคือ ในวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2567 ช่วงเช้าเป็นพิธีเดินจาริกแสวงบุญธรรมยาตราของพุทธศาสนิกชน จะร่วมเดินจาริกจากอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย ไปตามเส้นทางเดินเท้าสายเดิม ขึ้นไปยังวัดพระธาตุดอยตุง รวมระยะทาง 9 กม. เพื่อสักการะพระบรมสารีริกธาตุกระดูกไหปลาร้า (พระรากขวัญเปื้องข้าย) ของพระสัมมาพระพุทธเจ้า ส่วนช่วงบ่ายเป็นพิธีตักน้ำทิพย์สรงพระธาตุดอยตุง เพื่อนำน้ำทิพย์เข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ซึ่งอาณาบริเวณโดยรอบพระธาตุดอยตุงเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ปรากฏบ่อน้ำศักดิ์สิทธิอายุนับพันกว่าปี และบ่อน้ำศักด์สิทธิ์เป็นหนึ่งในสถานที่ตักน้ำประกอบพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 
 

ในพิธีดังกล่าวยังได้จัดให้มีพิธีขบวนแห่น้ำสรงพระราชทานและสิ่งของพระราชทาน โดยเคลื่อนขบวนจากเทศบาลตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย มุ่งสู่ วิหารวัดน้อยดอยตุง และช่วงค่ำเป็นพิธีสมโภช เทศน์สวดเบิก โดยพระสงฆ์ 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์สมโภชน้ำทิพย์ ส่วนในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2567 ในช่วงเช้าเป็นพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง เริ่มในเวลาประมาณ 05.00 น. ณ บริเวณวัดน้อยดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย โดยมีพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 50 รูป ออกรับบิณฑบาตรับข้าวสารอาหารแห้ง จากนั้นต่อด้วยพิธีบวงสรวงพระธาตุดอยตุง เริ่มในเวลาประมาณ 07.00 น. ณ บริเวณพระธาตุดอยตุง พร้อมขบวนเครื่องสักการะพระธาตุดอยตุง และพิธีสืบชะตาหลวงล้านนา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ร่วมงาน โดยมีพระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ลืบชะตาหลวงล้านนา และพิธีสุดท้ายเป็นพิธีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการจัดงาน เป็นการนำเครื่องสักการะซึ่งผู้เข้าร่วมงานพุทธศาสนิกชน ได้เข้าร่วมขบวนมาถวายเป็นพุทธบูชาต่อองค์พระธาตุเจ้าดอยตุง เป็นสิริมงคลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระราชทานสิ่งของเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในครั้งนี้อีกด้วย

 

โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2567

       เวลา 06.00 น. กิจกรรมเดินจาริกแสวงบุญ ธรรมยาตราของพุทธศาสนิกชนร่วมเดินจาริกจากอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย ไปตามเส้นทางเดินเท้าสายเดิม เข้าสู่วัดพระธาตุดอยตุง

       เวลา 13.00 น. พิธีตักน้ำ ณ บ่อน้ำทิพย์ วัดน้อยตอยตุง เพื่อเตรียมใช้สรงน้ำพระธาตุดอยตุง

       เวลา 13.00 น. ขบวนเชิญน้ำสรงพระราชทานและสิ่งของพระราชทาน เคลื่อนขบวนจากเทศบาลตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย มุ่งสู่ วิหารวัดน้อยดอยตุง

       เวลา 17.00 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และสวดเบิกสมโภชน้ำทิพย์ น้ำสรงพระราชทาน ผ้าห่มพระธาตุพระราชทาน และผ้าไตรพระราชทาน ณ วิหารวัดน้อยดอยตุง

 

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2567

       เวลา 05.00 น. พิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง ณ บริเวณวัดน้อยดอยตุง

       เวลา 07.00 น. พิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ บริเวณพระธาตุดอยตุง

       เวลา 08.00 น. ขบวนเครื่องสักการะพระธาตุดอยตุง ขบวนอัญเชิญสิ่งของพระราชทาน อาทิ น้ำสรงพระราชทาน ผ้าห่มพระธาตุดอยตุงพระราชทาน ผ้าไตรพระราชทาน และเครื่องสักการะ ต่าง ๆ ตามจารีตประเพณีล้านนา ขบวนพุทธศาสนิกชน 18 อำเภอ ขบวนฟ้อนเล็บเชียงราย ขบวนชาติพันธุ์ เคลื่อนจากวัดน้อยดอยตุงขึ้นสู่ลานพระธาตุดอยตุง

       เวลา 09.00 น. พิธีสืบชะตาหลวงล้านนา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมงาน

       เวลา 09.39 น. พิธีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง นำโดย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีฯ

       จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน ข้าราชการและประชาชน ร่วมงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2567 “2006 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” โดยพร้อมเพรียงกัน

 

พระธาตุดอยตุง ปฐมธาตุเจดีย์แห่งล้านนา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1454 สมัยพระเจ้าอชุตราชแห่งโยกนาคพันธุ์นคร ประดิษฐานพระรากขวัญเบื้องซ้ายและพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า มีประเพณีสักการะและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง เป็นประจำทุกปี ในวันเพ็ญเดือน 6 (เหนือ) หรือตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ของภาคกลาง โดยในการจัดงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2567 ในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ น้ำสรงพระธาตุดอยตุงสำหรับประกอบพิธี และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทาน น้ำสรงพระธาตุดอยตุง ผ้าห่มพระธาตุดอยตุง และผ้าไตร เพื่อประกอบพิธีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2567

 

ทั้งนี้หากท่านใดสนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดตามข่าวสารการจัดงาน และรับชมถ่ายทอดสดการจัดกิจกรรม งานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2567 “2006 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ผ่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ “ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” หรือติดต่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โทรศัพท์. 0-5315-0169 หรือ E-mail: chiangrai.culture001@gmail.com
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

วิชชากรณ์ กาศโอสถ : รายงาน 
อภิชาต กันธิยะเขียว : ภาพ และบรรณาธิการข่าว 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News