Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนา สู่นวัตกรรมวัฒนธรรม

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนาโบราณ สู่นวัตกรรมวัฒนธรรมที่ชุมชนร่วมสร้าง

เชียงราย, 18 สิงหาคม 2568 – ประเพณี “ตักบาตรพระขี่ม้า” ที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย กลับมาเป็นข่าวเด่นอีกครั้ง เพราะไม่ใช่เพียงภาพงามตาของพระสงฆ์บนหลังม้า หากแต่เป็น “แบบฝึกหัดร่วมสมัย” ของสังคมท้องถิ่นในการชุบชีวิตภูมิปัญญาล้านนา สร้างพื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น และต่อยอดเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอเพียง กิจกรรมครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 อยู่ภายใต้โครงการ “เข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายร่วมกับวัดถ้ำป่าอาชาทอง จุดสังเกตที่ควรจับตา ได้แก่ (1) การใช้ “วันธรรมสวนะ” เป็นจุดศูนย์ถ่วงให้ชุมชนกลับมาพบกันในวัด (2) การแปะป้าย “อุดหนุนชุมชน” ควบคู่การทำบุญ สื่อถึงแนวทางวัฒนธรรมที่เกื้อกูลเศรษฐกิจฐานราก และ (3) การเล่าเรื่อง “พระขี่ม้า” ในฐานะสัญลักษณ์การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลของศาสนา ซึ่งมีนัยต่อการออกแบบบริการสาธารณะในปัจจุบันอย่างน่าคิด ปมหัวข้อสำคัญที่บทความนี้จะพาไปคลี่คลาย คือ เหตุผลที่ประเพณีนี้ยังทรงพลังในยุคดิจิทัล, ผลลัพธ์เชิงสังคม–การศึกษา–เศรษฐกิจที่เกิดกับชุมชน, และ เงื่อนไขความยั่งยืน ของการสืบสานให้สอดรับมาตรฐานความปลอดภัยและสวัสดิภาพสัตว์ ตลอดจนบทบาทของหน่วยงานรัฐ–ศาสนา–สังคมในฐานะหุ้นส่วนทางวัฒนธรรม

เช้าตรู่วันธรรมสวนะ กลิ่นอายล้านนากลับมาเคลื่อนไหว

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 – ดอยเขียวชอุ่มของแม่จัน เสียงสาธุการแผ่วเบาไหลรวมกับจังหวะก้าวเท้าม้าบนลานวัดถ้ำป่าอาชาทอง ผู้คนหลากวัยยืนเรียงรายอย่างสงบ มือประคองปิ่นโต ข้าวปลาอาหาร และผลไม้ตามฤดูกาล ขณะพระครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าอาวาส ขี่ม้านำหน้าพระภิกษุออกบิณฑบาต ภาพที่เคยพบเห็นในหน้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกลับปรากฏอีกครั้ง—ไม่ใช่เพื่อ “ย้อนอดีต” แบบพิธีกรรมตัวอย่าง หากแต่เพื่อย้ำว่า “ความหมาย” ของศาสนาและชุมชน ยังเดินทางมาถึงผู้คนได้เสมอ เมื่อมีช่องทางและภาษาที่เหมาะสม

กิจกรรมครั้งนี้คือครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 จัดโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ วัดถ้ำป่าอาชาทอง ภายใต้กรอบ โครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน จุดมุ่งหมายคือให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญ ฟังธรรม เจริญจิตภาวนา และมองเห็น “ดีเอ็นเอวัฒนธรรม” ของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอดีพองาม

ความหมายร่วมสมัยของ “พระขี่ม้า” สัญลักษณ์การเข้าถึงผู้คนในพื้นที่ยากลำบาก

อดีตล้านนาคือภูมิประเทศของดอยสูง ป่าลึก ลำห้วยซับซ้อน จึงไม่แปลกที่ ม้า จะเป็นพาหนะคู่ชีวิตของทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ การบิณฑบาตด้วยม้าจึงเกิดจาก “ความจำเป็น” มากกว่าความแปลกประหลาด และยังทำให้ศาสนา “ไปถึง” บ้านเรือนที่อยู่ห่างไกล—นี่คือเหตุผลที่ประเพณีนี้ฝังรากในจิตใจผู้คน และยังทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง” ระหว่างพระกับโยมอย่างทรงพลัง

ในปัจจุบัน ความจำเป็นด้านภูมิประเทศอาจลดลง แต่ สัญลักษณ์ ของการเข้าถึงยังคงทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่ชุมชนกระจัดกระจายและคนรุ่นใหม่เติบโตกับหน้าจอ การเห็นพระออกบิณฑบาตบนหลังม้าไม่เพียงสร้างความประทับใจ หากยัง ตั้งคำถามชวนคิด ว่า “เราจะทำอย่างไรให้ศาสนาเข้าถึงหัวใจผู้คนได้รวดเร็วและตรงบริบท เหมือนที่ม้าเคยทำหน้าที่นั้นในอดีต” นี่คือบทสนทนาที่ประเพณีเก่าแก่กำลังก่อรูปให้เกิดขึ้นใหม่

วันธรรมสวนะ เข็มทิศเวลาเชิงวัฒนธรรมของชุมชน

วันธรรมสวนะ คือวันฟังธรรม–รักษาศีล–เจริญภาวนาในแต่ละเดือนจันทรคติ (โดยมากตรงกับขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ) ถือเป็น “จังหวะเวลา” ที่ทำให้ผู้คนมีช่วงหยุดเพื่อชำระใจและทบทวนการดำเนินชีวิต การผูกกิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” เข้ากับวันธรรมสวนะ จึงเป็นการ “ตั้งวงจร” ที่หล่อเลี้ยงทั้งศรัทธาและชุมชน—เมื่อมีรอบเวลา ชุมชนก็มีจุดนัดพบ เมื่อมีจุดนัดพบ การมีส่วนร่วมก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นวัฒนธรรมร่วม

ในเช้าวันนี้ ภายหลังพิธีตักบาตร มีการฟังธรรมเทศนาและเจริญจิตภาวนาตามลำดับ ผู้มาร่วมงานตั้งใจเงียบสงบ หลายคนปิดโทรศัพท์ วางงานด่วนไว้ข้างกาย เพื่อ “อยู่กับลมหายใจ” และ “ฟังเสียงของตัวเอง” อีกครั้ง—ความเรียบง่ายเช่นนี้คือความซับซ้อนในยุคดิจิทัล ซึ่งมักหาได้ยากในวันธรรมดา

ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” วัด–โรงเรียน–เครือข่ายวัฒนธรรม ร้อยมือเป็นหนึ่ง

ความโดดเด่นของงานครั้งนี้ คือการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐ ศาสนา การศึกษา และภาคประชาสังคม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็นแกนกลางด้านนโยบายและงบประมาณ วัดถ้ำป่าอาชาทอง เป็นเจ้าภาพเชิงพื้นที่ โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง นำโดยนางสาวสุภาภรณ์ ธรรมสอน พร้อมทั้งคณะครูและนักเรียน ร่วมเรียนรู้เชิงปฏิบัติการด้านศิลปวัฒนธรรม ขณะที่ เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ในพื้นที่ระดมพลังจิตอาสาและทุนทางสังคม ทั้งหมดนี้สะท้อน “โมเดลสามเหลี่ยม” ที่ให้วัด–ชุมชน–โรงเรียนหนุนเสริมกัน

สโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ไม่ได้ตั้งเพื่อความไพเราะ หากแต่ตอกย้ำ วงจรเศรษฐกิจวัฒนธรรม ระดับฐานราก—ผู้คนมาทำบุญ ฟังธรรม และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนสินค้าและบริการจากชาวบ้านในละแวกวัด เกิดการหมุนเวียนรายได้เล็กๆ ที่สัมผัสได้จริง ไม่ฟุ้งฝันเกินไป และเดินไปพร้อมกับศรัทธา

สถิติที่ชี้ทิศ จาก “ครั้งที่ 1–4” ไปสู่ “ปฏิทินวัฒนธรรมประจำปี”

ปีงบประมาณ 2568 กิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” จัดแล้ว 4 ครั้ง ภายใต้กรอบโครงการเดียวกัน การทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอสร้าง “ความคุ้นชิน” และเปิดโอกาสให้ทีมปฏิบัติงานปรับระบบหลังบ้านให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น แผนจราจร, จุดนัดหมาย, พื้นที่พักม้า, แนวทางสื่อสารกับสาธารณะ, หรือ ขั้นตอนสั้นๆ สำหรับผู้ร่วมงานครั้งแรก เมื่อครบรอบปี ข้อมูลจาก 4 ครั้งนี้จะกลายเป็น ฐานวิชาการ สำหรับออกแบบ “ปฏิทินวัฒนธรรม” ที่เท่าทันความเสี่ยงและความต้องการของคนในพื้นที่จริง

ตัวเลขชวนคิด
• วันธรรมสวนะในหนึ่งเดือนโดยทั่วไปมี 4 ครั้ง (ขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ)
• การจัดกิจกรรมปีละหลายรอบ ทำให้เกิด “กราฟการเรียนรู้” (learning curve) ของทั้งทีมงานและชุมชน
• เมื่องานวัฒนธรรมผูกกับปฏิทินที่ชัดเจน การมีส่วนร่วม–การสื่อสาร–งบประมาณ จะบริหารง่ายและคุ้มค่าขึ้น

เมื่อ “ประเพณี” เป็น “ห้องเรียน” เด็กและเยาวชนเรียนรู้จากพื้นที่จริง

การมีส่วนร่วมของโรงเรียนและเครือข่ายเยาวชนคือภาพน่าชื่นใจ นักเรียนบางส่วนมีหน้าที่ช่วยประสานจุดบริการน้ำดื่ม แนะนำเส้นทางให้ผู้สูงอายุ หรือร่วมทำความสะอาดพื้นที่ภายหลังพิธี—งานเล็กๆ ที่แปลงเป็นบทเรียนเรื่อง ความรับผิดชอบ, วินัย, และ มารยาทสาธารณะ แบบไม่ต้องขึ้นกระดานดำ เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ภูมิความหมายของการสงบ รู้จักคำว่า “สมถะ” ผ่านการเจริญภาวนา และที่สำคัญ คือเข้าใจว่า วัดมิใช่ที่ไกลตัว แต่เป็น “ศูนย์กลางชุมชน” ที่มีชีวิตอยู่จริง

ความปลอดภัย–สวัสดิภาพสัตว์ เงื่อนไขที่ทำให้การสืบสานน่าเชื่อถือ

ประเพณีที่มี “ม้า” เป็นตัวแสดงสำคัญ ต้องให้ความสำคัญกับ สวัสดิภาพสัตว์ อย่างรอบคอบ ตั้งแต่การคัดเลือกม้า การตรวจสุขภาพโดยสัตวแพทย์ การควบคุมน้ำหนักบรรทุก การกำหนดเส้นทางและระยะเวลาเหมาะสม ไปจนถึงการจัดพื้นที่พักและน้ำสะอาด งานครั้งนี้ยืนยันว่าฝ่ายจัดงานและวัดให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว เพื่อให้ศรัทธาเดินคู่กับ ความรับผิดชอบต่อชีวิตอื่น อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เศรษฐกิจวัฒนธรรม ทำบุญแล้วชุมชนต้องอยู่ได้

แม้กิจกรรมศาสนาจะไม่ควรถูกตัดทอนเป็น “มูลค่าเงิน” อย่างเดียว แต่มิติทางเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อ ความยั่งยืน การวางสโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ทำให้ผู้มาร่วมงานตระหนักรู้ว่า การจับจ่ายเล็กๆ กับร้านชุมชน—ข้าวเหนียว, ของพื้นบ้าน, งานหัตถกรรม—คือการต่อชีวิตเศรษฐกิจครัวเรือน การจัดระบบให้ผู้ค้าในชุมชนมี “มาตรฐานสุขอนามัย” และ “ราคายุติธรรม” จะช่วยให้วงจรบุญ–คุณค่าทางเศรษฐกิจไหลเวียนได้จริง โดยไม่เกิดผลข้างเคียงเชิงพาณิชย์ที่เกินควร

 “การสื่อสาร” จากภาพสวยสู่ความเข้าใจที่ลึก

ภาพ “พระขี่ม้า” งดงามและดึงดูดสายตา แต่หากมีเพียงภาพ อาจทำให้ประเพณีถูกเข้าใจแบบผิวเผิน ฝ่ายจัดงานจึงสื่อสาร “ความหมาย” คู่ไปกับ “ความงาม” ตั้งแต่ที่มา–เหตุผลเชิงพื้นที่ในอดีต–ความเชื่อมโยงกับวันธรรมสวนะ–ความหมายของทานและศีล–ไปจนถึงข้อควรระวังและมารยาทในการร่วมพิธี การทำให้คน “เข้าใจ” มากกว่า “เห็น” คือหัวใจที่ทำให้กิจกรรมไม่กลายเป็นเพียงคอนเทนต์ชั่ววูบในโลกออนไลน์

รัฐ–ศาสนา–สังคม คือหุ้นส่วน ไม่ใช่ผู้สั่ง–ผู้ตาม

โมเดลที่เกิดขึ้นในแม่จันสะท้อนบทเรียนสำคัญ 3 ประการ

  1. วัฒนธรรมจังหวัด เป็น “ผู้จัดกระบวนการ” (process owner) ที่เชื่อมงบประมาณ นโยบาย และมาตรฐานการทำงานให้เข้ากับพื้นที่จริง
  2. วัด เป็น “เจ้าภาพพื้นที่” ที่รู้จังหวะชุมชน เข้าใจภูมิประเทศและศรัทธา จึงบริหารความละเอียดอ่อนของพิธีกรรมได้
  3. ชุมชน–โรงเรียน–เครือข่ายประชาสังคม เป็น “แรงขับเคลื่อน” ที่ทำให้กิจกรรมมีชีวิต มีผู้คนหลากวัย และกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริง

หากปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกขั้น การทำ ฐานข้อมูลกิจกรรมต่อรอบ, เช็กลิสต์ความปลอดภัย, และ แนวปฏิบัติเรื่องสิ่งแวดล้อม (ลดพลาสติก ใช้ภาชนะย่อยสลายได้ คัดแยกขยะหลังพิธี) จะทำให้แม้กิจกรรมจะเติบโต ก็ยังรักษา “ความพอดี” และลดภาระสิ่งแวดล้อมได้

การมีส่วนร่วมคือเครื่องยืนยัน

แม้บทความชิ้นนี้จะไม่หยิบคำพูดตรงๆ มาอ้างอิง แต่การมีส่วนร่วมของ ครู–นักเรียน–ผู้สูงอายุ–เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ที่มา “ลงมือ” กันจริง คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากิจกรรมเชื่อมคนต่างวัยเข้าด้วยกันได้ การเห็นเด็กมัธยมยื่นขันน้ำให้คุณตาคุณยาย หรือจัดแถวให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่นเข้าใจพิธีการ คือภาพเล็กๆ ที่บอกว่า “วัฒนธรรมไม่ใช่ของวางโชว์ หากเป็นเรื่องที่ทำร่วมกันทุกคน”

 “งดงาม” สู่ “ยั่งยืน”

เพื่อให้ “ตักบาตรพระขี่ม้า” เป็นทั้ง มรดกที่มีชีวิต และ นวัตกรรมทางวัฒนธรรม ในระยะยาว ข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่ภาคส่วนต่างๆ อาจพิจารณา ได้แก่

  • คู่มือกิจกรรมมาตรฐานจังหวัด: ครอบคลุมความปลอดภัย สวัสดิภาพม้า การสื่อสาร การจัดการขยะ และมาตรการรองรับผู้สูงอายุ/ผู้พิการ
  • คลังความรู้ดิจิทัล: รวบรวมภาพถ่าย เรื่องเล่า บันทึกพิธี ตลอดจนบทเรียนจากแต่ละรอบ เพื่อใช้สร้างหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียน
  • ปฏิทินวัฒนธรรมเชื่อมท่องเที่ยวคุณภาพ: ยึดหลัก “เล็ก–ลึก–พอดี” ไม่ไล่ตัวเลขนักท่องเที่ยว แต่เน้นประสบการณ์เรียนรู้ที่เคารพพื้นที่
  • ตัวชี้วัดร่วม: เช่น สัดส่วนครัวเรือนชุมชนที่ได้ประโยชน์ การลดขยะต่อรอบ การมีส่วนร่วมของเยาวชน และความพึงพอใจผู้สูงอายุ

เมื่อเสียงม้าคลอเสียงสวด ศรัทธาก็เดินต่อ

เมื่อพิธีจบ ผู้คนทยอยเก็บข้าวของ ลมเช้าพัดผ่านใบไม้ เสียงระฆังเบาๆ ดังก้อง พระภิกษุและม้าคู่ใจกลับสู่ศาลาวัด เด็กๆ โค้งคำนับครู ก่อนช่วยกันคัดแยกขยะ เหมือนภาพเรียบง่าย แต่หากมองให้ลึก นี่คือ ภาพสังคมที่กำลังซักซ้อมการอยู่ร่วมกัน ด้วยความเคารพ–แบ่งปัน–และรับผิดชอบต่อกัน “ตักบาตรพระขี่ม้า” จึงไม่ใช่เพียงพิธี หากคือเวทีที่ทำให้คนละบทบาทจากหลายรุ่นมา “เรียนรู้ความเป็นชุมชน” และยืนยันว่า วัฒนธรรมไม่เคยหายไปไหน—มันรอให้เราใส่ใจและทำร่วมกัน เท่านั้นเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • วัดถ้ำป่าอาชาทอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • เครือข่ายสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่จัน
  • โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตักบาตรพระขี่ม้า อ.แม่จัน หิ้วตะกร้าศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม 2567 ณ วัดถ้ำป่าอาชาทอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีเปิดและดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ภายใต้แนวคิด “ครอบครัวหิ้วตะกร้า ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีพระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานในพิธีฝ่ายสงฆ์ และนายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา เป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส

โครงการนี้จัดขึ้นโดยกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับวัดป่ายาง วัดถ้ำป่าอาชาทอง และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายผลต่อยอดโครงการในส่วนภูมิภาค และเป็นต้นแบบในการจัดกิจกรรมฯ โดยมีเป้าหมายในการสร้างกระแสการพาครอบครัวหิ้วตะกร้าเข้าวัดทำบุญ ตักบาตร และอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเป็นการส่งเสริม Soft Power ทางวัฒนธรรม และเสริมสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ

ในพิธีเปิดกิจกรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา ได้เป็นประธานในการตักบาตรพระขี่ม้า นำโดยพระครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าอาวาสวัดถ้ำป่าอาชาทอง ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญของงาน หลังจากนั้น ได้มีพิธีถวายเครื่องสักการะแด่พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยการถวายเครื่องไทยธรรมและภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่เข้าร่วมงาน

กิจกรรมจิตอาสาถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของงาน โดยนายชัยพล สุขเอี่ยม ได้เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมจิตอาสา ซึ่งเป็นการถวายความเคารพและถวายดอกไม้ธูปเทียนแพ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2567

นอกจากพิธีทางศาสนาแล้ว กิจกรรมในงานยังประกอบด้วยการปลูกต้นไม้มงคลเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ บริเวณวัดถ้ำป่าอาชาทอง และการจัดตลาดวัฒนธรรมซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรม การสาธิตแม่ไม้มวยไทย และการสาธิตการตีดาบกลองสะบัดชัย ซึ่งสร้างความสนใจและความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก

ในโอกาสนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมงานและร่วมดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่คณะสงฆ์ ผู้บริหารกรมการศาสนา และผู้บริหารจังหวัดเชียงราย ที่ได้มาร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ วัด และชุมชน ในการส่งเสริมและสืบสานวัฒนธรรมไทย การจัดกิจกรรมเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคล แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และเป็นต้นแบบในการพัฒนากิจกรรมทางวัฒนธรรมในภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทยต่อไปในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปลุกพลังเยาวชน “แม่จัน“ สร้างเครือข่ายเยาวชนอาสาพัฒนาเชียงราย

 
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พบปะเยาวชนแม่จันในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย กิจกรรมที่ 3 อบรมเครือข่ายเยาวชนอาสาพัฒนาเชียงราย ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลแม่จัน โดยมีนายฐิติวัชร ไลศิริพันธ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม นายเสกสรรค์ จันทร์ถิระติกุล นายก ทต.แม่จัน นางสาวทิตยา ไชยรินทร์ เลขานุการนายก ทต.แม่จัน นางสุวิมล หินใหญ่ ผู้อำนวยการกองคลัง ทต.แม่จัน นางสาวธัญชนก เรืองจิตต์ ผู้อำนวยการ กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ทต.แม่จัน ร่วมให้การต้อนรับในครั้งนี้ด้วย
 
 
การอบรมเครือข่ายเยาวชนอาสาพัฒนาเชียงราย ในครั้งนี้ อบจ.เชียงราย ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งให้เป็นไปตามนโยบายที่ 5 สภาเยาวชนร่วมกำหนดอนาคตเชียงราย รวมถึงการพัฒนาคุณภาพความเป็นอยู่ของประชากรทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของประเทศในอนาคตจำเป็นจะต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เยาวชนได้มีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นแสดงออกอย่างถูกต้องเป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งเยาวชนคนรุ่นใหม่ และเครือข่ายคนรุ่นใหม่เหล่านี้ จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนทิศทางการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ให้เกิดความยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น จึงได้เกิดกิจกรรมการ อบรมเพื่อคัดเลือกคณะกรรมการระดับอำเภอเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นของตนเองขึ้น และจะดำเนินการให้ครบถ้วน ทั้ง 18 อำเภอ ของจังหวัดเชียงราย ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชมรมสตรี 3.8 ชาวไทยภาคเหนือ จัดงาน “วันสตรียูนหนาน ครั้งที่ 6 ”

 

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2567 เวลา 11.30 น.ที่บริเวณสนามด้านหน้า องค์การบริหารส่วนตำบลป่าตึง ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  นายเฉิน ไห่ผิง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ เป็นประธานเปิด  “งานชมรมสตรี 3.8 ชาวไทยภาคเหนือ ครั้งที่ 6” หรือชาวบ้านจะเรียกว่า “งานวันสตรียูน้าหนาน” ที่จัดโดยกลุ่มชาวไทย เชื่อสายจีนยูนหนานนำโดย ชมรมสตรี 3.8 ชาวไทยภาคเหนือ ที่มีสมาชิกในชมรม จำนวน 3 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และ แม่ฮ่องสอน กว่า 60 หมู่บ้าน โดยมีชาวไทยเชื้อสายจีนยูนหนาน ทั้งที่ นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม มาร่วมงานจากหลายจังหวัดทั่วประเทศ กว่า 2,500 คน

 

          ในงานมีการจัดกิจกรรม โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูสืบสานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ชนเผ่า และรักสุขภาพประจำปี พ.ศ.2567 อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญากลุ่มชาติพันธุ์ เช่น การแต่งกาย ภาษาพูด ภาษาเขียน อาหาร วิถีชีวิตขนเผ่า ซึ่งภายในงานมี กิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่า มีการแสดงจากกลุ่มต่างๆ  มีการจำหน่ายสินค้า OTOP มีการตั้งขบวนของกลุ่มชาติพันธ์แต่ละหมู่บ้าน เพื่อต้อนรับประธานในพิธีในงาน ได้แก่ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  นายเฉิน ไห่ผิง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ พร้อมด้วย นางอทิตาธรวันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ร่วมให้การต้อนรับ 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

มฟล.ร่วมท้องถิ่นประกาศอนุรักษ์ เวียงหนองหล่ม จุดท่องเที่ยว “สายมู”

 

เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2567 มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ร่วมกับ เทศบาล ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย จัดให้มีพิธี “ฟื้นใจเวียงหนองด้วยศรัทธา สืบชะตาป่าต้นอั้น” ณ ปางควาย หมู่บ้านป่าสักหลวง ต.จันจว้า ภายในพื้นที่ “เวียงหนองหล่ม” ซึ่งมีการอนุรักษ์พืชเรียกว่า “ต้นอั้น” ซึ่งเป็นไม้ท้องถิ่นที่เชื่อกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการทำของชลังด้วย ทั้งนี้มีมีลักษณะคล้ายป่าโกงกางแต่อยู่ในน้ำจืด และเคยมีอยู่อย่าหนาแน่นในเวียงหนองหล่ม โดยในพิธีมีการทำบุญพระสงฆ์และมีการสืบชะตาป่าต้นอั้น ขบวนสักการะบูรพกษัตริย์อาณาจักรโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติซึ่งเคยตั้งอยู่ที่เวียงหนองหล่มดังกล่าวและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมีการกล่าวโองการฟื้นใจเวียงหนอง เปิดป้ายโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ พื้นที่อนุรักษ์ป่าต้นอั้น ดังกล่าวด้วย

 
 
จากนั้นนายทนงศักดิ์ ทองแสน นายกเทศมนตรี ต.จันจว้า ในฐานะประธานในพิธี และ รศ.ดร.พลวัฒ ประพัฒน์ทอง หัวหน้าโคงการวิจัยภูมิทัศน์ของตำนานพื้นที่แอ่งเชียงแสน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และคณะได้ร่วมกันประกาศให้เวียงหนองหล่มเป็น “สถานะบุคคลทางวัฒนธรรมเวียงหนองหล่ม” โดยมีสัญลักษณ์เป็นการการผูกผ้าบนเสาใจเมืองเวียงหนองที่ตั้งอยู่ตรงพื้นที่อนุรักษ์ป่าต้นอั้นดังกล่าวพร้อมมีการโปรยข้าวตอกดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ว่าพื้นที่แหง่นี้จะได้รับการอนุรักษ์ต่อไป
 
 
นายทนงศักดิ์ กล่าวว่า เวียงหนองหล่มมีตำนานและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน รวมทั้งมีธรรมชาติโดยเฉพาะแหล่งน้ำและต้นไม้คือะต้นอั้นที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีการบุกรุกจนกลายเป็นปัญหาที่หมักหมมม ดังนั้นทางท้องถิ่นจึงยินดีอย่างมากที่ทาง มฟล.ได้เข้าไปร่วมในการอนุรักษ์เพราะพื้นที่แห่งนี้รายล้อมด้วยประชากรที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมากถึง 90% เดิมมีมีพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ แต่เพราะแนวเขตไม่ชัดเจนทำให้ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียงแค่ประมาณ 15,000 ไร่ รวมทั้งยังมีคดีฟ้องร้องกันระหว่างเทศบาลและเอกชนที่พยายามจะเข้าไปครอบครองอีกกว่า 3-4 ราย
 
 
รศ.ดร.พลวัฒ กล่าวว่า การประกาศครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นร่วมกันฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม และหลังจากนี้ก็จะร่วมกับชาวบ้านในการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพราะเวียงหนองหล่มถือเป็นสถานที่ที่มีตำนานและประวัติศาสตร์ ชาวบ้านก็มีวัฒนธรรมประเพณีที่มีเอกลักษณ์ การส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยเฉพาะ “สายมู” จะสามารถควบคู่ไปกับการฟื้นฟูและอนุรักษ์เวียงหนองหล่มในอนาคตได้เป็นอย่างดี
 
 
รายงานข่าวแจ้งว่า “เวียงหนองหล่ม” มีตำนานว่าเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัติและในวันเสาร์ เดือน 7 แรม 7 ค่ำ พ.ศ.1003 หรือมากกว่า 1,500 ปีมาแล้ว ชาวบ้านได้จับปลาไหลเผือกแล้วนำมาแบ่งกันกินยกเว้นแม่หม้ายคนหนึ่ง ต่อมาเมืองได้สล่มสลายลงกลายเป็นหนองน้ำ มีเพียงแม่หม้ายคนดังกล่าวที่รอดตายป้จจุบันยังมีเกาะอยู่กลางน้ำเรียกว่าเกาะแม่หม้าย
 
 
อย่างไรก็ตาม คาดการกันว่าน่าจะเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวในอดีต ขณะที่ในยุคปัจจุบันมีชาวบ้านเข้าไปใช้ประโยขน์เลี้ยงกระบือหรือควาย ทำประมง ฯลฯ แต่ก็มีผู้เอกชนซึ่งบางรายเป็นรายใหญ่และมีนามสกุลชื่อดังเข้าไปถือครองโดยรอบเวียงหนองหล่ม หลังเกิดการฟ้องร้องบางรายยอมคืนที่ดินให้กับเทศบาลแต่บางรายยังสู่คดีกันอยู่
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ตำรวจแม่จัน ตามจับเก๋งพุ่งชนแล้วหนี เจ้าตัวสารภาพใส่เกียร์ผิด

 
จากกรณีที่ รถเก๋งแจส สีบรอนซ์ จอดอยู่หน้าร้านประมาณ 3 นาที แล้วพุ่งชนประตูหน้าร้านบีเอส สินค้าราคาถูก ตรงกันข้าม เทศบาลตำบลแม่จันได้รับความเสียหาย กล้องวงจรปิดหน้าร้านบันทึกไว้แต่เห็นป้ายทะเบียนรถไม่ค่อยชัด
ทางเจ้าของร้านได้แจ้งความ พร้อมนำภาพจากกล้องวงจรปิด ขอให้ชุดสืบสวน สภ.แม่จัน ติดตามตัวจากกล้องที่บันทึกไว้
 
 
ร้านดังกล่าว ตั้งอยู่ถนนพหลโยธิน ก่อนถึงโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน ตำบลแม่จัน อำเภอแม่จันจังหวัดเชียงราย
ต่อมา พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ จิตประสาร ผกก.สภ แม่จัน สั่งการชุดสืบแม่จัน ติดตามตัวผู้ก่อเหตุ
จนกระทั่งวันที่ 26 ก.พ.67 เวลาประมาณ 01.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้รับแจ้งจาก พงส.เวร ว่ามีเหตุรถยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า แจ๊ส สีเทา ไม่ทราขทะเบียนพุ่งชนประตูหน้าร้านบีเอส สินค้าราคาถูก เมื่อวันที่ 25 ก.พ.67 เวลาประมาณ 23.30 น. นั้น
 
 
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ารถยนต์คันดังกล่าว คือ รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน กทม. และพบว่ามีนายเอก เป็นผู้ขับขี่ จึงได้สอบถามนายเอก เบื้องต้นรับว่าตนเป็นบุคคลที่ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าว และได้ขับขี่พุ่งชนประตู จริง เนื่องด้วยตนง่วงนอนจึงได้จอดรถเพื่อนอน จากนั้นเมื่อตื่นขึ้นมาตนจะกลับบ้านแต่ใส่เกียร์ผิด จึงทำให้รถชนประตูดังกล่าว จึงได้เชิญตัวไปพบ พงส.เจ้าของคดี ตรวจยึดรถคันเกิดเหตุ อยู่ระหว่างการดำเนินการของพนักงานสอบสวน ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ถนนคนข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปศุสัตว์เชียงราย เร่งแก้ปัญหา กระบือขาดแหล่งอาหาร “เวียงหนองหล่ม”

 

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพืชผล น้อยนาฝาย ปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย สำนักงานปศุสัต์อำเภอแม่จัน ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์เชียงราย เทศบาลตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย สำนักงานชลประทานเชียงราย และฝ่ายปกครองอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นำหญ้าอัดก้อน จำนวน 8,000 กิโลกรัม ส่งมอบให้กับ กลุ่มปางควายผู้เลี้ยงกระบือในพื้นที่เวียงหนองหล่ม ณ ปางควายบ้านต้นบาง หมู่ที่ 7 ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มปางควายฯ

 

เนื่องจากในพื้นที่ประสบปัญหาจากภัยแล้งอย่างรุนแรง และ ในพื้นที่เวียงหนองหล่ม มีการก่อสร้างแหล่งเก็บกักน้ำ ของกรมชลประทาน จึงทำให้แหล่งอาหาร หรือหญ้าสำหรับเลี้ยงกระบือไม่เพียงพอต่อจำนวนกระบือที่มากถึง 1,700 ตัว
 
 
ทั้งนี้ทางทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีทำการขนลำเลียงหญ้าอัดก้อน จาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์เชียงราย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ยังพื้นที่ประสบปัญหา หลังจากที่ได้รับการร้องขอจาก กลุ่มปางควายผู้เลี้ยงกระบือในพื้นที่เวียงหนองหล่ม
 
 
นายพืชผล น้อยยาฝาย ปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าว เป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน หลังจากที่ทางส่วนงานที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการประชุมวางแผน เพื่อช่วยเหลือกระบือทันที และอนาคตเตรียมดำเนินการแก้ไขปัญหาระยะยาวในการที่จะสร้างแหล่งอาหารใหม่ ให้กับกระบือ ด้วยการทำแปลงสาธิตการปลูกหญ้ารูซี่ จากนั้นจะกระจายไปในพื้นที่ เพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนประชากรของกระบือ ซึ่งการแก้ไขปัญหาระยะยาวก็จะติดปัญหาเรื่องกระบือขาดแคลนอาหารลงได้
 
 
อย่างไรก็ตามทุกหน่วยงานในพื้นที่ มุ่งที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ที่กระบือขาดแหล่งอาหาร ซึ่งจะได้มีการประสานงานกับทาง กลุ่มปางควายผู้เลี้ยงกระบือในพื้นที่เวียงหนองหล่ม เพื่อเข้าถึงปัญหาโดยเร็ว.
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News