Categories
FEATURED NEWS

ปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ตพุ่ง 3 เท่า แฟนเพลงเจ็บหนัก-เศรษฐกิจเสียหาย

วงการ K-Pop สะเทือน! “เว็บ Bot” ปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ต BLACKPINK พุ่ง 3 เท่า แฟนเพลงเจ็บหนัก-เศรษฐกิจเสียหาย

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2567 – วงการ K-Pop ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ จากปัญหาการปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ตโดยใช้ เว็บ Bot” เพื่อกว้านซื้อบัตรจำนวนมากและนำไปขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งแฟนเพลงและเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะการประกาศเวิลด์ทัวร์ของวง BLACKPINK WORLD TOUR < DEADLINE > IN BANGKOK ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2568 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการบัตรที่สูงลิ่ว แต่ก็มาพร้อมกับความกังวลว่าปัญหา “บัตรผี” จะกลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง

ข่าวล่าสุดจาก YG Entertainment ค่ายต้นสังกัดของ BLACKPINK ที่ประกาศความสำเร็จของเพลง “PINK VENOM” ซึ่งทำยอดชมทะลุ 1 พันล้านวิวบน YouTube ตอกย้ำถึงความนิยมที่แข็งแกร่งของวงและอุตสาหกรรม K-Pop ที่ยั่งยืนมาอย่างยาวนาน แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับกลายเป็นดาบสองคมที่เปิดช่องให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

บัตรผี” ราคาพุ่ง 3 เท่ากรณีศึกษา GOT7

แม้จะมีการประกาศเวิลด์ทัวร์ของ BLACKPINK ที่น่าตื่นเต้น แต่ก็มีความกังวลถึงปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตอื่นๆ เช่น “2025 GOT7 CONCERT in BANGKOK” ซึ่งจัดแสดง 2 รอบที่สนามราชมังคลากีฬาสถานและบัตรเข้าชมได้ถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลพบว่า ราคาบัตรคอนเสิร์ตของ GOT7 ที่มีราคาหน้าบัตรสูงสุด 9,900 บาท ถูกนำไปขายต่อในเว็บไซต์ของจีนในราคาสูงถึง 40,000 – 50,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาหน้าบัตรถึง 3 เท่าตัว!

เงินจำนวนมหาศาลจากการขายบัตรผีเหล่านี้ไหลออกนอกประเทศอย่างไร้หลักฐานการรับรองกำไรที่ชัดเจน และยังส่งผลให้เกิดการโกงบัตรเพิ่มมากขึ้น โดยผู้เสียหายหลายรายถูกหลอกให้ซื้อบัตรราคาแพงโดยอ้างว่าสามารถเลือกที่นั่งได้ก่อนใคร แต่ไม่กล้าออกมาแจ้งความเพราะกลัวความผิดในฐานะผู้ซื้อบัตรผี

โดยเฉลี่ยแล้ว ความเสียหายจากกรณีการโกงบัตรคอนเสิร์ตอยู่ที่หลักหมื่นต่อคน หากมีคอนเสิร์ตใหญ่ 20 งานต่อปี และแต่ละงานมีผู้เสียหายหลักสิบราย มูลค่าความเสียหายรวมอาจสูงถึง 20 ล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว แต่ทั้งภาครัฐและเอกชนกลับยังคงนิ่งเฉยกับปัญหานี้ และไม่มีระบบหรือกฎหมายที่เอาจริงเอาจังในการจัดการกับการโกงที่เกิดขึ้น

กลไกการทำงานของ “เว็บ Bot” เหนือมนุษย์และหลบเลี่ยงกฎ

เว็บ Bot” คือซอฟต์แวร์อัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อซื้อบัตรจำนวนจำกัดด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์อย่างมาก โดยบอทเหล่านี้จะเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์แต่ทำงานได้เร็วกว่าและในปริมาณที่มากกว่า ทำให้สามารถกว้านซื้อบัตรได้หลายร้อยใบในทันทีที่การขายเริ่มต้นขึ้น

นอกจากนี้ บอทยังถูกใช้เพื่อ “Denial of Inventory” โดยการจองบัตรเข้าตะกร้าสินค้าไว้ ทำให้บัตรเหล่านั้นไม่สามารถซื้อได้สำหรับแฟนเพลงตัวจริง ผู้ดำเนินการบอททราบดีว่าความต้องการที่สูงจะทำให้แฟนเพลงยอมจ่ายในราคาที่สูงเกินจริงเพื่อหาบัตรมาครอบครอง

ผลกระทบที่รุนแรง จากความฝันสู่การฉ้อโกง

การแพร่หลายของบอทส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง:

  • การปั่นราคาที่สูงเกินจริง: ความต้องการที่สูงและอุปทานที่ถูกจำกัดโดยบอท ทำให้ราคาบัตรในตลาดรองพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล เปลี่ยนงานอีเวนต์ทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร
  • การหลอกลวงที่แพร่หลาย: การกว้านซื้อบัตรโดยบอทนำไปสู่การหลอกลวงที่เพิ่มขึ้น ทั้งการขายบัตรปลอมคุณภาพสูง และการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ซื้อก่อนจะหายตัวไปในที่สุด
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ: เงินจากการขายบัตรราคาแพงจำนวนมหาศาลไหลออกจากประเทศไปสู่กลุ่มสเกลเปอร์ ซึ่งมักเป็นกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ทำให้เม็ดเงินเหล่านี้ไม่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของไทย
  • ทำลายความเชื่อมั่น: แฟนเพลงรู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังที่ความรักต่อศิลปินถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม

กฎหมายไทยยังเป็นช่องโหว่ ขาดมาตรการเอาผิดการปั่นราคา

ในขณะที่หลายประเทศ เช่น จีนและญี่ปุ่น ได้ออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อต่อต้านการปั่นราคาบัตรและกำหนดให้มีการจำหน่ายบัตรระบุชื่อจริง ประเทศไทยยังคงไม่มีกฎหมายเฉพาะที่มุ่งเป้าไปที่การปั่นราคาบัตรโดยตรง ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดรอง

แม้ว่าแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรอย่าง Thaiticketmajor จะมีแนวปฏิบัติที่เข้มงวด เช่น การใช้บัตรแข็งที่พิมพ์ชื่อผู้ซื้อและห้ามการโอน แต่มาตรการเหล่านี้ก็อาจผลักดันให้แฟนเพลงตัวจริงต้องหันไปพึ่งพาช่องทางที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น

ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์แก้ปัญหาวิกฤตอย่างยั่งยืน

เพื่อแก้ไขปัญหาการปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ต K-Pop ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และปกป้องแฟนเพลงจากความเสียหายที่รุนแรง ควรมีการดำเนินกลยุทธ์แบบหลายชั้นดังนี้:

  1. เร่งออกกฎหมายต่อต้านการปั่นราคา: ภาครัฐควรพิจารณาออกกฎหมายที่ชัดเจนและมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับผู้ที่ใช้บอทในการกว้านซื้อบัตรและขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง
  2. พัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านบอท: ผู้จัดงานและแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรควรลงทุนในระบบต่อต้านบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเทคโนโลยีการวิเคราะห์พฤติกรรมขั้นสูง เพื่อตรวจจับและบล็อกกิจกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. บังคับใช้ระบบบัตรระบุชื่อจริง: พิจารณาการใช้ระบบบัตรระบุชื่อจริงอย่างเข้มงวด พร้อมกับพัฒนากลไกการโอนบัตรที่ปลอดภัยและเป็นทางการในราคาหน้าบัตร เพื่อให้แฟนเพลงตัวจริงยังคงได้รับความยืดหยุ่นในการเดินทาง
  4. เพิ่มความโปร่งใส: ผู้จัดงานควรมีการกำกับดูแลการจัดสรรบัตรอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการสมรู้ร่วมคิดกับสเกลเปอร์ และควรมีช่องทางการสื่อสารที่ชัดเจนกับแฟนเพลง
  5. ให้ความรู้และช่องทางร้องเรียน: แฟนเพลงควรได้รับการให้ความรู้เกี่ยวกับสัญญาณเตือนภัยของการหลอกลวงบัตร และควรมีช่องทางการร้องเรียนที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนเอง หากมีปัญหาเกิดขึ้น

ในสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมบันเทิงกำลังเติบโตและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปัญหาการปั่นราคาบัตรไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป หากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของแฟนเพลงจะยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้
Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th

และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการซื้อบัตรคอนเสิร์ต สามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี 
#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานจาก YG Entertainment, BLACKPINKOFFICIAL

  • รายงาน GOT7 Concert in Bangkok 2025

  • Thaiticketmajor

  • บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี Ticketing Systems

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC Thailand): โทร. 1502 / Line: @tccthailand / Facebook และ Tiktok: tccthailand

  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

  • รายงานตลาด Ticket Resale จาก Deloitte Asia 2023

  • รายงานโดยกันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อต้ั้งสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อต้ั้งสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มิจฉาชีพอ้างตำรวจเชียงราย หลอกขอข้อมูลเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ซ้ำ

เชียงรายเตือนภัย! แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นตำรวจ หลอกผู้เสียหายซ้ำ ตำรวจเร่งประชาสัมพันธ์ป้องกันตกเป็นเหยื่อ

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 –สถานีตำรวจภูธรเชียงของ จังหวัดเชียงราย ออกประกาศเตือนภัยเร่งด่วนแก่ประชาชน หลังได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้แผนใหม่แอบอ้างชื่อตำรวจในพื้นที่ติดต่อไปยังผู้เสียหายจากกรณีถูกหลอกโอนเงิน ก่อนหน้า เพื่อหวังตบตาให้เหยื่อหลงเชื่อและส่งข้อมูลส่วนตัว หรือเรียกร้องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ด้านตำรวจยืนยัน “ไม่ติดต่อขอข้อมูลส่วนตัว-เงินผ่านโทรศัพท์” แนะประชาชนอย่าหลงเชื่อ หรือโอนเงินเด็ดขาด

เปิดกลยุทธ์ใหม่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างชื่อเจ้าหน้าที่-ใช้รูปโปรไฟล์ปลอม

จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเพจเฟซบุ๊กของ สภ.เชียงของ ได้เผยแพร่ประกาศเตือนภัย หลังได้รับแจ้งจากประชาชนหลายรายในพื้นที่ต่างจังหวัดว่ามีผู้โทรศัพท์ติดต่อโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียงราย โดยเฉพาะ “ว่าที่ พ.ต.ต.บัญชา ศรีกันชัย สว.กก.สส.ภ.จว.เชียงราย” อ้างว่ากำลังดูแลคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เสียหาย อาศัยข้อมูลจริงบางส่วน เช่น ชื่อตำรวจ รูปโปรไฟล์ และภาพสถานีตำรวจ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

ว่าที่ พ.ต.ต.บัญชา ศรีกันชัย เปิดเผยว่า เพิ่งทราบว่ามีผู้อ้างชื่อและตำแหน่งของตน ติดต่อไปยังผู้เสียหายในหลายจังหวัด เช่น ลำพูน สุรินทร์ และชลบุรี โดยระบุว่าตนเป็นพนักงานสอบสวน สภ.เชียงของ อ้างว่าสามารถช่วยติดตามเงินหรือประสานงานจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายและรายละเอียดคดี แต่ยังไม่ได้ขอให้โอนเงินในทันที อย่างไรก็ดี ผู้เสียหายบางรายเกิดความสงสัย จึงติดต่อสอบถามกลับไปที่ สภ.เชียงของ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเรื่องและรีบประกาศเตือนผ่านทุกช่องทาง

ตำรวจขอความร่วมมือประชาชน “อย่าหลงเชื่อ–อย่าโอนเงิน–แจ้งสถานีใกล้บ้าน”

ด้าน พ.ต.อ.เกรียงศักดิ์ ตงศิริ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเชียงของ สั่งการให้ทุกฝ่ายเร่งประชาสัมพันธ์ข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์และช่องทางต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อเพิ่มเติม พร้อมระบุว่า ตำรวจจะไม่มีการโทรศัพท์ไปขอข้อมูลส่วนตัว เอกสาร หรือเงินจากประชาชนในลักษณะนี้โดยเด็ดขาด หากได้รับการติดต่อควรแจ้งหรือสอบถามกับสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดทันที

ว่าที่ พ.ต.ต.บัญชา ศรีกันชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีข้อมูลว่าคนร้ายได้โทรศัพท์ไปหาผู้เสียหายอย่างน้อย 5-6 รายทั่วประเทศ โดยใช้รูปโปรไฟล์และข้อมูลตำแหน่งที่อาจค้นหาจากสื่อหรืออินเทอร์เน็ตมาแอบอ้าง หากประชาชนได้รับการติดต่อให้สงสัยไว้ก่อนเสมอ และอย่ารีบให้ข้อมูลหรือโอนเงินไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น

มิจฉาชีพดัดแปลงข้อมูล–ล่อลวงซ้ำซ้อน หวั่นขยายขบวนการ

ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการพัฒนาแผนการล่อลวงตลอดเวลา จากเดิมที่หลอกโอนเงินตรง ๆ ปัจจุบันกลับมุ่งเน้นใช้ข้อมูลของเหยื่อที่เคยแจ้งความมาแล้วมาเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะการอ้างว่าช่วยเหลือหรือดำเนินการกับคดีเก่าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น แอบอ้างว่าได้จับกุมคนร้ายได้แล้ว ต้องการสอบถามข้อมูลหรือเรียกเก็บค่าดำเนินการเพิ่มเติม ทั้งยังใช้รูปโปรไฟล์เจ้าหน้าที่ตำรวจและสถานที่ราชการเพื่อหลอกลวง

ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตือนประชาชนที่เปิดบัญชีรับโอนเงิน (บัญชีม้า) ให้กับขบวนการเหล่านี้ว่า ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย มีโทษรุนแรงและจะถูกดำเนินคดีเป็นกลุ่มแรก ก่อนขยายผลไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรายอื่น ๆ ต่อไป

ผลกระทบ–ข้อเสนอแนะและแนวทางป้องกัน

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารมาแสวงหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชน ทางตำรวจแนะนำให้ผู้เสียหายหรือประชาชนทั่วไปที่ได้รับการติดต่อแปลก ๆ ในลักษณะนี้ ควรตรวจสอบกับสถานีตำรวจในพื้นที่ หรือสายด่วน 191 และหลีกเลี่ยงการตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวในทันที

ภาครัฐควรเร่งรัดพัฒนากลไกการสื่อสาร แจ้งเตือนภัยอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงรณรงค์ผ่านทุกช่องทางให้ประชาชนตระหนักถึงรูปแบบใหม่ ๆ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อซ้ำซ้อน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

จับ 9 จีน สแกมเมอร์ ใช้ AI หลอกลงทุน คริปโทฯ สหรัฐฯ

เชียงรายจับ 9 ชาวจีน ตั้งฐานสแกมเมอร์ ใช้ AI หลอกเหยื่อสหรัฐลงทุนคริปโทฯ

ตำรวจภาค 5 บุกทลายขบวนการ Hybrid Scam

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.5 ร่วมกับ ตม.5 นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักแห่งหนึ่งในหมู่ 15 ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ก่อนทำการจับกุม เครือข่ายสแกมเมอร์ชาวจีนจำนวน 9 คน ที่ใช้เทคโนโลยี AI และ ChatGPT ในการหลอกลวงนักลงทุนต่างชาติให้ร่วมลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี่

แผนการหลอกลวง: ใช้ AI สร้างโปรไฟล์ปลอม

ขบวนการนี้ใช้วิธี สร้างแอคเคาต์สื่อสังคมออนไลน์ปลอม โดยใช้โปรไฟล์ที่ดูดี สร้างความน่าเชื่อถือ แล้วเลือกเหยื่อจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ก่อนจะตีสนิทผ่านแชต AI และหลอกให้โอนเงินเพื่อร่วมลงทุนในคริปโทฯ ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลในต่างประเทศ

รายชื่อผู้ต้องหาชาวจีนที่ถูกจับกุม

  1. Mr.Cao TaiQing อายุ 32 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  2. Mr.Tu Xing อายุ 29 ปี ไม่มีหนังสือเดินทาง และไม่มีหลักฐานตัวตน
  3. Mr.Yi Xiu อายุ 30 ปี ไม่มีหนังสือเดินทาง และไม่มีหลักฐานตัวตน
  4. Mr.Duan Guang Shun อายุ 21 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  5. Mr.Li Jiawei อายุ 22 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  6. Mr.Yang Lianwei อายุ 24 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  7. Mr.Cheng Yue อายุ 20 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  8. Mr.Jrang Kai Hang อายุ 32 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  9. Mr.Huang RangXin อายุ 26 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ

นอกจากนี้ยังสามารถจับกุม ผู้ร่วมขบวนการชาวไทย 1 คน ได้แก่ น.ส.อรทัย (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของ Mr.Cao TaiQing

ตรวจยึดของกลางมูลค่าสูง

เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึด คอมพิวเตอร์จำนวน 14 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 81 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลายรายการ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเหยื่อ

ข้อหาทางกฎหมายและการดำเนินคดี

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาในความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สถิติและผลกระทบของอาชญากรรมทางไซเบอร์

จากข้อมูลของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าในปี 2567 คดีสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 200% โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับ การใช้ AI ในการหลอกลวง ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วโลกเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการสืบสวนภูธรภาค 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตำรวจภูธรภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

นายกฯ ลุยสระแก้ว! ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบไม่เลิก”

นายกฯ ย้ำเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบ ไม่เลิก” ลงพื้นที่ชายแดนสระแก้ว

ตรวจด่านคลองลึก อรัญประเทศ ติดตามมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่ ด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตรงข้ามกับบ้านปอยเปต ประเทศกัมพูชา ในวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อตรวจสอบมาตรการปราบปราม แก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นปัญหาให้หมดไปจากสังคมไทย

ผู้นำรัฐบาลพร้อมคณะลงพื้นที่ หารือมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามแดน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางพร้อมคณะรัฐมนตรีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาทิ:

  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

โดยนายกรัฐมนตรีจะประชุมหารือที่ กองทัพบก ร.12 พัน.3 รอ. ใน อ.อรัญประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินมาตรการและเยี่ยมชมศูนย์คัดแยกเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์

เดินหน้าปิดช่องทางอาชญากรรม ดำเนินมาตรการเข้มงวด

ภายหลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไป ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ตรวจสอบมาตรการที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ งดส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและตัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ชายแดน ทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของประเทศ เพื่อลดการสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมายของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ ตลาดเบญจวรรณ อ.อรัญประเทศ เพื่อตรวจสอบการลดกำลังส่งสัญญาณการสื่อสาร และมาตรการ ตัดสายสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ในบริเวณสถานีรถไฟคลองลึก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ

ไม่จบ ไม่เลิก” นายกฯ ยืนยันมาตรการต้องเข้มข้นจนกว่าปัญหาจะหมดไป

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า มาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น จนกว่าปัญหาจะหมดสิ้นไปจากสังคมไทย “รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้ขบวนการคอลเซ็นเตอร์หรือรูปแบบการหลอกลวงใด ๆ กลับมาแผ่ขยายในประเทศอีก” นายจิรายุ กล่าว

สถิติและข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์

  • ปี 2567 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า 300,000 รายการ
  • ความเสียหายจากการฉ้อโกงทางโทรศัพท์และออนไลน์สูงถึง 12,000 ล้านบาท
  • รัฐบาลสั่งตัดไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่เป้าหมายกว่า 50 จุดทั่วประเทศ
  • มีการจับกุมผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 2,500 รายในปีที่ผ่านมา

นายกรัฐมนตรีและทีมงานคาดหวังว่าการดำเนินมาตรการในครั้งนี้จะสามารถลดจำนวนอาชญากรรมข้ามชาติ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในสังคมไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

เตือนภัย มือถือติดแอปเงินกู้เถื่อน ‘จิราพร’ สั่งเร่งแก้ไข

รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ถกด่วน! แนวทางป้องกันแอปเงินกู้เถื่อน ย้ำหน่วยงานต้องช่วยเหลือผู้บริโภคเต็มที่

กรุงเทพฯ, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามแนวทางการกำกับดูแลกรณี โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

หน่วยงานภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาหลังพบผู้บริโภคได้รับผลกระทบ

การประชุมจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่

  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
  • สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
  • กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.)

แอปพลิเคชันเงินกู้ผิดกฎหมายกระทบผู้บริโภคหลายราย

นางสาวจิราพร สินธุไพร เปิดเผยหลังการประชุมว่า มีประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน เช่น สินเชื่อความสุข” และ “Fineasy” ซึ่งมีการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังพบว่ามีการ ติดตั้งแอปพลิเคชันเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาตบนโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการ

การประชุมวันนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก โดย สคบ. ได้รับมอบหมายให้เร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และธนาคารแห่งประเทศไทยจะรับผิดชอบดูแลด้านการปล่อยสินเชื่อผิดกฎหมาย” รัฐมนตรีกล่าว

มาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคและแนวทางป้องกันในอนาคต

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กำลังดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่ที่ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดกำกับดูแลโดยตรง พร้อมกำหนดมาตรการเพิ่มเติมดังนี้

  1. การตรวจสอบและบล็อกแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน – กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมือกับ กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเพื่อตรวจสอบและลบแอปพลิเคชันที่ผิดกฎหมาย
  2. การดำเนินคดีต่อผู้ประกอบการที่ละเมิดกฎหมาย – ปคบ. และ สคบ. จะดำเนินคดีต่อผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนและผู้เกี่ยวข้อง
  3. การให้ความรู้แก่ประชาชน – หน่วยงานภาครัฐจะเพิ่มมาตรการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน

ช่องทางร้องเรียนสำหรับผู้ที่ได้รับความเสียหาย

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนสามารถร้องเรียนผ่านช่องทางต่อไปนี้:

  1. ระบบออนไลน์
    • เว็บไซต์ https://complaint.ocpb.go.th
    • แอปพลิเคชัน OCPB Connect
    • Chat Bot พี่ปกป้อง”
  2. สายด่วน สคบ. โทร 1166
  3. เดินทางไปแจ้งเรื่องร้องเรียนด้วยตนเองที่
    • ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ผู้บริโภค (ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารบี ชั้น 1 กรุงเทพฯ)
    • ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดทุกจังหวัด
    • เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนผู้ร้องเรียนกรณีแอปเงินกู้เถื่อนในปี 2567: 7,846 ราย (ที่มา: สคบ.)
  • แอปเงินกู้เถื่อนที่ถูกตรวจสอบและปิดไปในปี 2567: 58 แอปพลิเคชัน (ที่มา: กสทช.)
  • อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของแอปเงินกู้เถื่อนที่พบ: 120 – 300% ต่อปี (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)
  • ยอดความเสียหายจากแอปเงินกู้เถื่อนในปี 2567: ประมาณ 650 ล้านบาท (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง)
  • จำนวนผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบทางข้อมูลส่วนบุคคลจากแอปเงินกู้เถื่อน: มากกว่า 20,000 ราย (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)

หน่วยงานเร่งดำเนินการปกป้องผู้บริโภค

การประชุมครั้งนี้เป็น อีกก้าวสำคัญในการเร่งหามาตรการป้องกันและช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากแอปเงินกู้เถื่อน โดยรัฐบาลเน้นย้ำว่า จะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน และลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงทางการเงินในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

กระทรวงดีอีเผยภัยออนไลน์ สร้างความเสียหาย 1.9 หมื่นล้านบาท

กระทรวงดีอีเผย มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ พุ่งสูงถึง 1.9 หมื่นล้านบาทใน 1 ปี

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจ เกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีฯ เป็นประธานในการแถลงข่าว ณ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) โดยเปิดเผยว่า มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงทางออนไลน์สูงถึง 19,000 ล้านบาท ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเดือนตุลาคม 2567

ยอดการแจ้งเหตุพุ่งสูง การหลอกลวงออนไลน์หลากหลายรูปแบบ

จากสถิติของศูนย์ AOC ในระยะเวลา 1 ปี มีผู้โทรเข้าสายด่วน 1441 จำนวน 1,176,512 สาย และมีการระงับบัญชีที่ต้องสงสัยรวม 348,006 เคส โดยกลุ่มอายุที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มวัยทำงานอายุ 20-49 ปี มีจำนวนสูงถึง 145,302 เคส คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 8,223 ล้านบาท โดยผู้หญิงตกเป็นเหยื่อมากที่สุดถึง 64.05% โดยส่วนใหญ่ถูกหลอกในรูปแบบการโอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษและการลงทุนออนไลน์

ช่องทางยอดนิยมที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงประชาชน

  • Facebook พบเคสการหลอกลวงถึง 26,804 เคส คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 718 ล้านบาท
  • Call Center มีจำนวน 22,299 เคส มูลค่าความเสียหาย 945 ล้านบาท
  • เว็บไซต์ต่างๆ ถูกใช้เป็นช่องทางหลอกลวงถึง 16,510 เคส คิดเป็นมูลค่า 1,148 ล้านบาท
  • TikTok มีการหลอกลวง 994 เคส มูลค่า 65 ล้านบาท
  • ช่องทางอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 20,518 เคส มูลค่าความเสียหาย 1,262 ล้านบาท

กลุ่มจังหวัดที่มีการแจ้งเหตุสูงสุด

  1. กรุงเทพมหานคร มีการแจ้งเหตุ 84,241 ครั้ง และระงับบัญชีได้ 48,558 บัญชี
  2. สมุทรปราการ มีการแจ้งเหตุ 17,853 ครั้ง และระงับบัญชีได้ 10,968 บัญชี
  3. นนทบุรี, ชลบุรี และปทุมธานี ตามลำดับ

กระทรวงดีอี เร่งดำเนินมาตรการป้องกันอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ย้ำว่า กระทรวงดีอีมุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในสังคม พร้อมเร่งรัดมาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อยับยั้งแก๊งมิจฉาชีพและลดผลกระทบที่เกิดขึ้น

ข้อแนะนำเพื่อป้องกันภัยออนไลน์

กระทรวงดีอีแนะนำประชาชนให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวแก่บุคคลที่ไม่รู้จัก หลีกเลี่ยงการโอนเงินให้กับแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งนี้ หากพบว่ามีการหลอกลวงหรือการกระทำที่น่าสงสัย สามารถแจ้งเหตุได้ที่สายด่วน 1441 หรือผ่านช่องทางออนไลน์ของศูนย์ AOC

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE