Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

จับ 9 จีน สแกมเมอร์ ใช้ AI หลอกลงทุน คริปโทฯ สหรัฐฯ

เชียงรายจับ 9 ชาวจีน ตั้งฐานสแกมเมอร์ ใช้ AI หลอกเหยื่อสหรัฐลงทุนคริปโทฯ

ตำรวจภาค 5 บุกทลายขบวนการ Hybrid Scam

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภ.5 ร่วมกับ ตม.5 นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักแห่งหนึ่งในหมู่ 15 ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ก่อนทำการจับกุม เครือข่ายสแกมเมอร์ชาวจีนจำนวน 9 คน ที่ใช้เทคโนโลยี AI และ ChatGPT ในการหลอกลวงนักลงทุนต่างชาติให้ร่วมลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี่

แผนการหลอกลวง: ใช้ AI สร้างโปรไฟล์ปลอม

ขบวนการนี้ใช้วิธี สร้างแอคเคาต์สื่อสังคมออนไลน์ปลอม โดยใช้โปรไฟล์ที่ดูดี สร้างความน่าเชื่อถือ แล้วเลือกเหยื่อจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ก่อนจะตีสนิทผ่านแชต AI และหลอกให้โอนเงินเพื่อร่วมลงทุนในคริปโทฯ ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลในต่างประเทศ

รายชื่อผู้ต้องหาชาวจีนที่ถูกจับกุม

  1. Mr.Cao TaiQing อายุ 32 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  2. Mr.Tu Xing อายุ 29 ปี ไม่มีหนังสือเดินทาง และไม่มีหลักฐานตัวตน
  3. Mr.Yi Xiu อายุ 30 ปี ไม่มีหนังสือเดินทาง และไม่มีหลักฐานตัวตน
  4. Mr.Duan Guang Shun อายุ 21 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  5. Mr.Li Jiawei อายุ 22 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  6. Mr.Yang Lianwei อายุ 24 ปี มีหนังสือเดินทางตัวจริง วีซ่านักศึกษาหมดอายุ 20 ส.ค. 2568
  7. Mr.Cheng Yue อายุ 20 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  8. Mr.Jrang Kai Hang อายุ 32 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ
  9. Mr.Huang RangXin อายุ 26 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางตัวจริง พบภาพหนังสือเดินทางในมือถือ

นอกจากนี้ยังสามารถจับกุม ผู้ร่วมขบวนการชาวไทย 1 คน ได้แก่ น.ส.อรทัย (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของ Mr.Cao TaiQing

ตรวจยึดของกลางมูลค่าสูง

เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึด คอมพิวเตอร์จำนวน 14 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 81 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหลายรายการ ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเหยื่อ

ข้อหาทางกฎหมายและการดำเนินคดี

เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาในความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พร้อมนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สถิติและผลกระทบของอาชญากรรมทางไซเบอร์

จากข้อมูลของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าในปี 2567 คดีสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นกว่า 200% โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับ การใช้ AI ในการหลอกลวง ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วโลกเสียหายเป็นจำนวนมหาศาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการสืบสวนภูธรภาค 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตำรวจภูธรภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

นายกฯ ลุยสระแก้ว! ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบไม่เลิก”

นายกฯ ย้ำเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ไม่จบ ไม่เลิก” ลงพื้นที่ชายแดนสระแก้ว

ตรวจด่านคลองลึก อรัญประเทศ ติดตามมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่ ด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตรงข้ามกับบ้านปอยเปต ประเทศกัมพูชา ในวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อตรวจสอบมาตรการปราบปราม แก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นปัญหาให้หมดไปจากสังคมไทย

ผู้นำรัฐบาลพร้อมคณะลงพื้นที่ หารือมาตรการสกัดอาชญากรรมข้ามแดน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางพร้อมคณะรัฐมนตรีและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาทิ:

  • นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

โดยนายกรัฐมนตรีจะประชุมหารือที่ กองทัพบก ร.12 พัน.3 รอ. ใน อ.อรัญประเทศ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินมาตรการและเยี่ยมชมศูนย์คัดแยกเหยื่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์

เดินหน้าปิดช่องทางอาชญากรรม ดำเนินมาตรการเข้มงวด

ภายหลังจากการประชุม นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไป ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ตรวจสอบมาตรการที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ งดส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและตัดกระแสไฟฟ้าในพื้นที่ชายแดน ทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของประเทศ เพื่อลดการสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมายของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ ตลาดเบญจวรรณ อ.อรัญประเทศ เพื่อตรวจสอบการลดกำลังส่งสัญญาณการสื่อสาร และมาตรการ ตัดสายสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต ในบริเวณสถานีรถไฟคลองลึก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ

ไม่จบ ไม่เลิก” นายกฯ ยืนยันมาตรการต้องเข้มข้นจนกว่าปัญหาจะหมดไป

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า มาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น จนกว่าปัญหาจะหมดสิ้นไปจากสังคมไทย “รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้ขบวนการคอลเซ็นเตอร์หรือรูปแบบการหลอกลวงใด ๆ กลับมาแผ่ขยายในประเทศอีก” นายจิรายุ กล่าว

สถิติและข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์

  • ปี 2567 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า 300,000 รายการ
  • ความเสียหายจากการฉ้อโกงทางโทรศัพท์และออนไลน์สูงถึง 12,000 ล้านบาท
  • รัฐบาลสั่งตัดไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่เป้าหมายกว่า 50 จุดทั่วประเทศ
  • มีการจับกุมผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 2,500 รายในปีที่ผ่านมา

นายกรัฐมนตรีและทีมงานคาดหวังว่าการดำเนินมาตรการในครั้งนี้จะสามารถลดจำนวนอาชญากรรมข้ามชาติ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในสังคมไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เตือนภัย มือถือติดแอปเงินกู้เถื่อน ‘จิราพร’ สั่งเร่งแก้ไข

รัฐมนตรีสำนักนายกฯ ถกด่วน! แนวทางป้องกันแอปเงินกู้เถื่อน ย้ำหน่วยงานต้องช่วยเหลือผู้บริโภคเต็มที่

กรุงเทพฯ, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามแนวทางการกำกับดูแลกรณี โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

หน่วยงานภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาหลังพบผู้บริโภคได้รับผลกระทบ

การประชุมจัดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่

  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
  • สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
  • กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.)

แอปพลิเคชันเงินกู้ผิดกฎหมายกระทบผู้บริโภคหลายราย

นางสาวจิราพร สินธุไพร เปิดเผยหลังการประชุมว่า มีประชาชนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน เช่น สินเชื่อความสุข” และ “Fineasy” ซึ่งมีการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังพบว่ามีการ ติดตั้งแอปพลิเคชันเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาตบนโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการ

การประชุมวันนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีก โดย สคบ. ได้รับมอบหมายให้เร่งดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และธนาคารแห่งประเทศไทยจะรับผิดชอบดูแลด้านการปล่อยสินเชื่อผิดกฎหมาย” รัฐมนตรีกล่าว

มาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคและแนวทางป้องกันในอนาคต

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุว่า สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กำลังดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่ที่ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดกำกับดูแลโดยตรง พร้อมกำหนดมาตรการเพิ่มเติมดังนี้

  1. การตรวจสอบและบล็อกแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน – กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมือกับ กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเพื่อตรวจสอบและลบแอปพลิเคชันที่ผิดกฎหมาย
  2. การดำเนินคดีต่อผู้ประกอบการที่ละเมิดกฎหมาย – ปคบ. และ สคบ. จะดำเนินคดีต่อผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนและผู้เกี่ยวข้อง
  3. การให้ความรู้แก่ประชาชน – หน่วยงานภาครัฐจะเพิ่มมาตรการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อน

ช่องทางร้องเรียนสำหรับผู้ที่ได้รับความเสียหาย

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแอปพลิเคชันเงินกู้เถื่อนสามารถร้องเรียนผ่านช่องทางต่อไปนี้:

  1. ระบบออนไลน์
    • เว็บไซต์ https://complaint.ocpb.go.th
    • แอปพลิเคชัน OCPB Connect
    • Chat Bot พี่ปกป้อง”
  2. สายด่วน สคบ. โทร 1166
  3. เดินทางไปแจ้งเรื่องร้องเรียนด้วยตนเองที่
    • ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ผู้บริโภค (ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารบี ชั้น 1 กรุงเทพฯ)
    • ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดทุกจังหวัด
    • เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนผู้ร้องเรียนกรณีแอปเงินกู้เถื่อนในปี 2567: 7,846 ราย (ที่มา: สคบ.)
  • แอปเงินกู้เถื่อนที่ถูกตรวจสอบและปิดไปในปี 2567: 58 แอปพลิเคชัน (ที่มา: กสทช.)
  • อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของแอปเงินกู้เถื่อนที่พบ: 120 – 300% ต่อปี (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)
  • ยอดความเสียหายจากแอปเงินกู้เถื่อนในปี 2567: ประมาณ 650 ล้านบาท (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง)
  • จำนวนผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบทางข้อมูลส่วนบุคคลจากแอปเงินกู้เถื่อน: มากกว่า 20,000 ราย (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)

หน่วยงานเร่งดำเนินการปกป้องผู้บริโภค

การประชุมครั้งนี้เป็น อีกก้าวสำคัญในการเร่งหามาตรการป้องกันและช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากแอปเงินกู้เถื่อน โดยรัฐบาลเน้นย้ำว่า จะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน และลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงทางการเงินในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กระทรวงดีอีเผยภัยออนไลน์ สร้างความเสียหาย 1.9 หมื่นล้านบาท

กระทรวงดีอีเผย มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ พุ่งสูงถึง 1.9 หมื่นล้านบาทใน 1 ปี

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจ เกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีฯ เป็นประธานในการแถลงข่าว ณ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) โดยเปิดเผยว่า มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงทางออนไลน์สูงถึง 19,000 ล้านบาท ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเดือนตุลาคม 2567

ยอดการแจ้งเหตุพุ่งสูง การหลอกลวงออนไลน์หลากหลายรูปแบบ

จากสถิติของศูนย์ AOC ในระยะเวลา 1 ปี มีผู้โทรเข้าสายด่วน 1441 จำนวน 1,176,512 สาย และมีการระงับบัญชีที่ต้องสงสัยรวม 348,006 เคส โดยกลุ่มอายุที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มวัยทำงานอายุ 20-49 ปี มีจำนวนสูงถึง 145,302 เคส คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 8,223 ล้านบาท โดยผู้หญิงตกเป็นเหยื่อมากที่สุดถึง 64.05% โดยส่วนใหญ่ถูกหลอกในรูปแบบการโอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษและการลงทุนออนไลน์

ช่องทางยอดนิยมที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงประชาชน

  • Facebook พบเคสการหลอกลวงถึง 26,804 เคส คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 718 ล้านบาท
  • Call Center มีจำนวน 22,299 เคส มูลค่าความเสียหาย 945 ล้านบาท
  • เว็บไซต์ต่างๆ ถูกใช้เป็นช่องทางหลอกลวงถึง 16,510 เคส คิดเป็นมูลค่า 1,148 ล้านบาท
  • TikTok มีการหลอกลวง 994 เคส มูลค่า 65 ล้านบาท
  • ช่องทางอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 20,518 เคส มูลค่าความเสียหาย 1,262 ล้านบาท

กลุ่มจังหวัดที่มีการแจ้งเหตุสูงสุด

  1. กรุงเทพมหานคร มีการแจ้งเหตุ 84,241 ครั้ง และระงับบัญชีได้ 48,558 บัญชี
  2. สมุทรปราการ มีการแจ้งเหตุ 17,853 ครั้ง และระงับบัญชีได้ 10,968 บัญชี
  3. นนทบุรี, ชลบุรี และปทุมธานี ตามลำดับ

กระทรวงดีอี เร่งดำเนินมาตรการป้องกันอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ย้ำว่า กระทรวงดีอีมุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในสังคม พร้อมเร่งรัดมาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อยับยั้งแก๊งมิจฉาชีพและลดผลกระทบที่เกิดขึ้น

ข้อแนะนำเพื่อป้องกันภัยออนไลน์

กระทรวงดีอีแนะนำประชาชนให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวแก่บุคคลที่ไม่รู้จัก หลีกเลี่ยงการโอนเงินให้กับแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งนี้ หากพบว่ามีการหลอกลวงหรือการกระทำที่น่าสงสัย สามารถแจ้งเหตุได้ที่สายด่วน 1441 หรือผ่านช่องทางออนไลน์ของศูนย์ AOC

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News