Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“อบจ.เชียงราย” เปิดเวที “Design Best Practice” ดันเยาวชนสู่พลังขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์

 “อบจ.เชียงราย” เปิดเวที Chiangrai Design Best Practice จุดไฟ “คนรุ่นใหม่” สู่พลังขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์โลก

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568  — ในห้องประชุมสว่างไสวของโรงแรมแสนโฮเทล เช้าวันสิ้นเดือนสิงหาคม ผู้คนต่างวัย—นักเรียน มหาวิทยาลัย ครู อาจารย์ นักออกแบบ ช่างฝีมือท้องถิ่น ไปจนถึงผู้บริหารท้องถิ่น—ทยอยนั่งประจำโต๊ะกลุ่มย่อยต่อหน้าแผ่นงานและตัวอย่างวัสดุที่จัดวางเรียงราย เสียงสนทนาคละเคล้าระหว่าง “ภูมิปัญญาเดิม” กับ “สภาวะใหม่” ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จุดร่วมเดียวกันคือคำถามง่ายๆ ที่ท้าทายทุกคนว่า เราจะออกแบบอนาคตเชียงรายให้ยั่งยืนด้วยรากวัฒนธรรมได้อย่างไร” นี่คือภาพเปิดของเวที “Chiangrai Design Best Practice : Knowledge Transfer from Culture to Youth” ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ตั้งใจ “ยกห้องเรียนทั้งเมือง” เพื่อส่งต่อองค์ความรู้การออกแบบจากวัฒนธรรมสู่เยาวชน และวางรากฐานจังหวัดสู่การเป็นสมาชิก เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ด้านการออกแบบในก้าวต่อไป

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนและงบประมาณ อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ประธาน พร้อมเครือข่ายภาคีจากหลากหลายสาขา ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากเมืองเครือข่ายสร้างสรรค์ในประเทศ อาทิ เพชรบุรี (ถ่ายทอดประสบการณ์ด้านอาหารและหัตถกรรมเชิงวัฒนธรรม) และ สุพรรณบุรี (แนวทางการใช้ดนตรี–ศิลปะร่วมสมัยต่อยอดเมือง) ตลอดจนผู้แทนจาก นครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการออกแบบเชิงเมือง

คนรุ่นใหม่” คือหัวใจของเมืองออกแบบ

ภายหลังพิธีเปิด นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เดินทางมาพบปะผู้เข้าร่วมและย้ำ “แกนกลาง” ของเวทีครั้งนี้อย่างชัดเจนว่า การพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงสร้างแลนด์มาร์ก แต่ต้องสร้าง “คน” และ “โอกาส” ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ ลงมือทำ และนำภูมิปัญญาท้องถิ่นไปต่อยอดบนมาตรฐานสากล

“เชียงรายจะก้าวสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์โลกได้อย่างยั่งยืน ก็ต่อเมื่อคนรุ่นใหม่มีบทบาทและเป็นพลังขับเคลื่อน เราจึงต้องลงทุนกับการเรียนรู้และการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเป็นนักออกแบบแห่งอนาคต” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

คำกล่าวดังกล่าววาง “ธง” ให้กิจกรรมทั้งวันเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน: ถอดบทเรียนจากวัฒนธรรม แปลงเป็นโจทย์ออกแบบ ต่อยอดเป็นต้นแบบ (prototype) ที่ใช้ได้จริง พร้อมเครื่องมือให้เยาวชนกลับไปขยายผลในโรงเรียน ชุมชน และสตาร์ทอัพ/เอสเอ็มอีที่กำลังก่อตัว

ห้องทดลอง “Best Practice” จากภูมิปัญญา สู่ผลิตภัณฑ์–พื้นที่–ประสบการณ์

โครงสร้างการประชุมเชิงปฏิบัติการแบ่งเป็น 3 แทร็กหลัก เชื่อมโยงตั้งแต่ “ของที่ทำ” ไปถึง “เมืองที่อยู่” และ “ประสบการณ์ที่ขาย” ดังนี้

  1. Design × Craft & Heritage — สำรวจทุนวัฒนธรรมเชียงราย เช่น สิ่งทอ ลายชนเผ่า งานไม้ งานดิน และงานโลหะพื้นถิ่น จากนั้นพัฒนาเป็น “ชุดเครื่องมือออกแบบ” (design toolkit) สำหรับนักเรียน–นักออกแบบรุ่นใหม่ ตั้งแต่วิธีเก็บข้อมูลลวดลาย ถ่ายทอดเรื่องเล่าของชุมชน ไปจนถึงการตั้งมาตรฐานคุณภาพสินค้าให้พร้อมส่งออก
  2. Product & Circular Design — ตั้งโจทย์ลดขยะและเพิ่มมูลค่า เช่น นำเศษวัสดุการเกษตร/เศษไม้จากงานช่าง กลับมาออกแบบเป็นของใช้ร่วมสมัย เน้นการคำนวณอายุการใช้งาน (life cycle) ต้นทุน–ราคาที่เหมาะสม และการผลิตแบบจิ๋วแต่แจ๋วที่ช่างท้องถิ่นทำได้
  3. Place–Making & Creative Tourism — แปลงทุนวัฒนธรรมให้เป็น “ประสบการณ์ในพื้นที่” ตั้งแต่การออกแบบป้ายทางเท้า–เส้นทางจักรยานเชื่อมชุมชนช่าง, ตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือน ไปจนถึงเทศกาลขนาดเล็กที่โรงเรียนเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้ทักษะจัดการอีเวนต์และการสื่อสารสาธารณะ

แกนร่วมของทั้งสามแทร็กคือ ความเป็นเจ้าของ (ownership) ของชุมชนและเยาวชนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยหลักการ “เรียน–ลอง–ใช้” ในพื้นที่ แทนการนำแนวคิดสำเร็จรูปจากที่อื่นมาใส่

ทำไม “ยูเนสโก เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” ถึงสำคัญ

เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network – UCCN) เป็นกรอบความร่วมมือระดับโลกที่ส่งเสริมให้เมืองใช้ “วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์” เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เมืองสมาชิกแบ่งตามสาขา เช่น Design, Crafts & Folk Art, Gastronomy, Music, Film, Literature, Media Arts เป็นต้น

ประเทศไทยมีเมืองสมาชิก UCCN หลายแห่งที่สร้างชื่อบนเวทีโลก อาทิ กรุงเทพฯ (Design), เชียงใหม่ (Crafts & Folk Art), ภูเก็ต (Gastronomy), สุโขทัย (Crafts & Folk Art) และ เพชรบุรี (Gastronomy) เมืองเหล่านี้ต่างพิสูจน์ว่า เมื่อ “ทุนวัฒนธรรม” พบ “ระบบสนับสนุนที่เหมาะสม” ก็สามารถเปลี่ยนเป็น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่ทำให้คนอยู่ได้ เมืองอยู่รอด และเอกลักษณ์ท้องถิ่นยังสดอยู่เสมอ

สำหรับเชียงราย การมุ่งไปสู่ UCCN สาขาการออกแบบ (Design) มีเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน

  • เชียงรายมี รากหัตถกรรมเข้มแข็ง และ artisan ท้องถิ่นหลากหลายชาติพันธุ์ ซึ่งพร้อมถูกยกระดับด้วยเครื่องมือการออกแบบสมัยใหม่
  • เมืองมี เครือข่ายศิลปิน–นักออกแบบร่วมสมัย จากสถาบันการศึกษาและเอกชนที่พร้อมเป็น “พี่เลี้ยง” ให้เยาวชน
  • เชียงรายเชื่อมโยง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ ซึ่งการออกแบบสามารถเพิ่มคุณค่าในห่วงโซ่ประสบการณ์ได้ตั้งแต่ป้าย–ทาง–ตลาด–เทศกาล

กล่าวโดยสรุป การเลือก “Design” ไม่ได้หมายถึงเน้น “รูปลักษณ์สวย” หากคือการนำ “วิธีคิดแบบนักออกแบบ” ไปแก้ปัญหาเมืองและสร้างมูลค่าใหม่ทั้งระบบ

แผนเดินเกม 12 เดือน จากเวทีวันนี้ สู่คำขอเป็นสมาชิกพรุ่งนี้

อบจ.เชียงรายได้วางกรอบความคืบหน้าหลังเวทีอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้ “พลังงานของห้องประชุม” กลายเป็น “โครงการที่เดินได้จริง” รวมถึงรองรับเกณฑ์สำคัญของ UCCN ที่เน้น ความต่อเนื่อง–ผลลัพธ์–ความร่วมมือ ได้แก่

  1. ฐานข้อมูลทุนสร้างสรรค์ (Creative Assets Mapping) — รวบรวมช่างฝีมือ ลาย–แบบ–วัสดุ เครื่องมือ แหล่งเรียนรู้ และผู้ประกอบการที่พร้อมเชื่อมกับเยาวชนและหลักสูตรในพื้นที่
  2. หลักสูตรสั้น/สตูดิโอเยาวชน — เปิดสตูดิโอในโรงเรียน/ชุมชน ให้เยาวชนได้ฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบจริง และพัฒนาต้นแบบอย่างน้อย 1 ชิ้นงาน/ทีม เพื่อจัดแสดงใน “เทศกาลออกแบบเชียงราย”
  3. เครือข่ายเมือง–มหาวิทยาลัย–เอกชน — จับคู่ที่ปรึกษา (mentor matching) ระหว่างนักออกแบบอาชีพ/สตูดิโอ กับทีมเยาวชน/ผู้ประกอบการรุ่นใหม่
  4. เทศกาล/ตลาดต้นแบบ (Pilot Events) — จัดกิจกรรมขนาดกะทัดรัดเน้นคุณภาพ เช่น งานคราฟต์รายเดือน เส้นทางชมชุมชนช่าง 1 วัน เทศกาลทดลองในย่านนำร่อง เพื่อทดสอบมาตรการจราจร สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบสื่อสาร
  5. ติดตามผลลัพธ์และสื่อสารสาธารณะ — วัดผลเป็นรูปธรรม เช่น จำนวนชิ้นงานต้นแบบที่เข้าสู่เชิงพาณิชย์ จำนวนผู้ร่วมกิจกรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน ชื่อเสียงเชิงสื่อ และการมีส่วนร่วมของเยาวชน

แผนนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การเตรียมความพร้อมต่อการสมัคร UCCN หากยังทำหน้าที่ ยกระดับคน–งาน–เมือง” ระหว่างทางอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากเมืองเพื่อนทำอย่างไรให้ “การออกแบบ” ไม่หยุดที่คำว่า “สวย”

ผู้เชี่ยวชาญจากเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์—ทั้งในและต่างประเทศ—เสนอ 3 หลักคิดที่ทำให้การออกแบบ “อยู่รอด” ในโลกจริง

  • การออกแบบต้องแก้ปัญหา: เริ่มจากปัญหาจริง เช่น พื้นที่สาธารณะที่คนเลี่ยงใช้ ทางเท้าไม่ปลอดภัย ตลาดที่เงียบลง เครื่องมือคือ human-centered design—ฟัง ถาม ทดลอง แล้วปรับ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular): เมืองสามารถเป็น “โรงงานรีไซเคิลเชิงสร้างสรรค์” ได้ นำเศษวัสดุจากป่า–ไร่–โรงงานขนาดเล็ก มาออกแบบให้มีคุณค่าใหม่
  • ทำเล็ก–แต่ชัด: ไม่ไล่โครงการใหญ่เกินแรง เลือก “จุดริเริ่ม (pilot)” ที่ทำแล้วเห็นผล สื่อสารได้ และคูณต่อได้ เช่น ย่านเดียว ซอยเดียว โรงเรียนเดียว แล้วค่อยขยาย

ทั้งสามหลักการสอดคล้องกับโครงสร้างเวทีในวันนี้ และปรับใช้กับบริบทเชียงรายได้โดยไม่ต้องยืมแบบใครมา

เยาวชนคือผู้เล่นหลัก จาก “ผู้ชม” สู่ “ผู้จัด”

เวที Chiangrai Design Best Practice ไม่ได้เชิญเยาวชนมา “นั่งฟัง” แต่ให้ลงมือคิด–ทำ–นำเสนอ ตั้งแต่การตีความลวดลายชาติพันธุ์ไปสู่สินค้าพกพาร่วมสมัย การออกแบบเครื่องหมาย–สัญลักษณ์สำหรับงานวิ่งชุมชน ไปจนถึงแผนตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือนของโรงเรียน จุดเด่นคือการสอน ทักษะนุ่ม (soft skills) ที่โรงเรียนมักไม่ค่อยเน้น ได้แก่

  • การเล่าเรื่อง (storytelling) และการสื่อสารข้ามรุ่น
  • การทำงานทีมสหสาขา (designer–artisan–business)
  • การประเมินต้นทุน–ตั้งราคา–คำนึงเรื่องสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม

ผลที่อยากเห็นจึงไม่ได้วัดจาก “ถ้วยรางวัล” แต่คือ จำนวนผู้เล่นหน้าใหม่ ที่พร้อมลุกขึ้น “จัดการ” โปรเจกต์เล็กๆ ในย่านและโรงเรียนของตน

เมือง–ชุมชน–เอกชน ใครทำอะไร เพื่อให้ต่อเนื่อง

เพื่อให้การเดินหน้ามีความต่อเนื่อง อบจ.เชียงรายวาง “บทบาทร่วม” ไว้เป็นภาพเดียว

  • อบจ./เทศบาล — ดูแลโครงสร้างรองรับ (พื้นที่สาธารณะขนาดเล็ก งบสนับสนุนกิจกรรมย่าน ช่องทางประชาสัมพันธ์) และทำหน้าที่ “ตัวเชื่อม” หน่วยงานกับโรงเรียน/ชุมชน
  • โรงเรียน/มหาวิทยาลัย — เปิดสตูดิโอฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบ จัดทำคลินิกออกแบบรายเดือน และบูรณาการหน่วยกิตบริการชุมชน
  • ช่างฝีมือ/ผู้ประกอบการ — เป็น “พี่เลี้ยง” ตัวจริงด้านทักษะ–คุณภาพ สร้างต้นแบบที่ผลิตได้จริง และเปิดบ้าน–เวิร์กช็อปให้เรียนรู้
  • เอกชน/ผู้สนับสนุน — สนับสนุนทุนต้นแบบ ค่าการสื่อสาร และช่วยเปิดตลาด/ช่องทางจำหน่าย

เมื่อทุกคนมี “บท–เวลา–เป้าหมาย” ร่วมกัน เมืองก็จะมี ระบบนิเวศออกแบบ” ที่ยืนได้ด้วยตนเอง ไม่ขึ้นกับโครงการระยะสั้น

ตัวชี้วัดที่จับต้องได้น้อยแต่คม

เพื่อให้การสื่อสารสาธารณะชัดเจน อบจ.เชียงรายเน้นตัวชี้วัดที่ประชาชน “เห็น–สัมผัส–ใช้” ได้จริง เช่น

  • จำนวนต้นแบบผลิตภัณฑ์ ที่เกิดจากทีมเยาวชนและเข้าสู่การผลิตจริง
  • จำนวนพื้นที่สาธารณะ/กิจกรรมย่าน ที่ได้รับการออกแบบใหม่พร้อมใช้งาน (ป้าย–ทางเท้า–ตลาดนัดคราฟต์)
  • โอกาสทางอาชีพ ของเยาวชน (ฝึกงาน–จ้างงาน–ตั้งต้นธุรกิจ)
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน วัดจากผู้ร่วมกิจกรรมและความถี่การใช้งานพื้นที่หลังออกแบบ

ตัวชี้วัดเหล่านี้จะถูกนำไปประกอบ แผนขอเป็นสมาชิก UCCN ซึ่งให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์ที่เกิดบนพื้น” ไม่ใช่เอกสารอย่างเดียว

มองไกลกว่าวันนี้เชียงรายบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์โลก

หากเดินตามแผน 12 เดือนอย่างมีวินัย เชียงรายจะมี “คลังผลงาน” และ “หลักฐานการทำงานร่วม” ที่พร้อมสำหรับการสมัครเข้าร่วมเครือข่าย UCCN ในวาระถัดไป ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมืองจะได้ คนรุ่นใหม่ที่มีทักษะออกแบบ เป็นทุนมนุษย์ชุดใหม่ของจังหวัด และได้ โมเดลย่านทดลอง ที่ขยายผลต่อยอดได้ทั่วเมือง—จากย่านศิลปหัตถกรรม ไปสู่ย่านอาหารพื้นถิ่น และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายอาจไม่ได้เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงประชากร แต่เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศิลปกรรม การเอา “การออกแบบ” เป็นตัวเชื่อมรากวัฒนธรรมกับตลาดสมัยใหม่ จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสม ทั้งเพื่อ สร้างรายได้ให้ชุมชน และ รักษาอัตลักษณ์ ให้คงอยู่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นต่อๆ ไป

ท้ายที่สุด เวที Chiangrai Design Best Practice วันนี้ไม่ได้ปิดท้ายด้วยคำว่าจบ แต่ปิดด้วยคำว่า เริ่ม” — เริ่มโครงการเล็กๆ ในโรงเรียน เริ่มยกของจริงกับช่าง เริ่มเปิดพื้นที่สาธารณะให้เป็นห้องเรียนของเมือง และเริ่มวางหมุดหมายว่า “เชียงราย” จะยืนอยู่ตรงไหนบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์ของโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • UNESCO Creative Cities Network (UCCN)
  • Creative Economy Agency (CEA) ประเทศไทย
  • Bangkok City of Design / Chiang Mai City of Crafts & Folk Art / Phuket City of Gastronomy / Sukhothai City of Crafts & Folk Art / Phetchaburi City of Gastronomy
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงรายเปิดศึกฟุตบอล สร้างทีมเวิร์ก-สุขภาพที่ดีให้บุคลากร

เชียงรายเดินหน้าสู่ “เมืองกีฬา” ด้วยพลังบวกจากทุกวัย นายก อบจ. ร่วมหนุนฟุตบอลอาวุโสสู่เวทีประเทศ เปิดลีกภายในสร้างสุขภาวะคนทำงาน—จากสนาม X-Arena สู่ภาพใหญ่ของนโยบายกีฬาเพื่อมวลชน

เชียงราย, 30 สิงหาคม 2568—สายลมปลายฤดูฝนพัดผ่านสนาม X-Arena เชียงราย ท่ามกลางเสียงเชียร์เป็นจังหวะและรองเท้าสตั๊ดที่นับก้าวบนหญ้าอย่างมั่นคง นักฟุตบอลรุ่นใหญ่วัย 50+, 55+ และ 60+ หลายสิบชีวิตกำลังก้าวเข้าสู่รอบคัดตัวแทนจังหวัด เพื่อชิงสิทธิ์ “ฟุตบอลอาวุโส อบจ. คัพ ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1” บรรยากาศเข้มข้นแต่เป็นมิตร—ภาพที่สะท้อนว่ากีฬาไม่ใช่แค่เรื่องชัยชนะ หากคือทุนสุขภาพ ทุนสังคม และทุนความหวังของชุมชน

ในวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินเข้าสนามพร้อมคำกล่าวให้กำลังใจสั้น ๆ แต่ชัดเจนถึงความตั้งใจของจังหวัดในการ “ทำให้สนามกีฬาอยู่ใกล้ประชาชนมากที่สุด” ก่อนเป็นประธานเปิดการแข่งขันฟุตบอล 7 คน “CR-PAO League CUP 2025” รายการภายในองค์กรที่รวบรวมผู้บริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการ และพนักงาน อบจ.เชียงราย รวม 7 ทีม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน อาทิ SCG และ Dolphin Toilet Partition เพื่อใช้กีฬาเป็นสื่อกลางสร้างสุขภาพ ความสามัคคี และทีมเวิร์กในที่ทำงาน

ภาพเล่าเรื่องจากสนามวันนั้นจึงไม่ใช่ “ข่าวกิจกรรม” ธรรมดา แต่เป็น “จุดเริ่มของทิศทาง”—ทิศทางที่พัฒนาเมืองด้วยกีฬาในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีผู้สูงวัยและคนทำงานเป็นพระเอกเคียงข้างกัน

จากสนามท้องถิ่นสู่โจทย์ใหญ่ของจังหวัด—ทำไม “กีฬา” ถึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช่ตอนนี้

เชียงรายกำลังยกระดับความเป็น “เมืองที่น่าอยู่” ไปอีกขั้นผ่านนโยบายด้านกีฬาและกิจกรรมทางกายที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย เหตุผลสำคัญมีอย่างน้อยสามประการ

  1. โครงสร้างประชากรเปลี่ยนเร็ว—ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนระบบบริการและสวัสดิการต้อง “ปรับฐานคิด” จากการรักษาเมื่อป่วย ไปสู่การลงทุนกับการป้องกันโดยใช้กีฬาและกิจกรรมทางกายเป็นเครื่องมือหลัก แนวโน้มจากหน่วยงานด้านสถิติและแผนพัฒนาประเทศชี้สัญญาณเดียวกัน: สูงวัยมากขึ้นและยาวนานขึ้น จึงต้องออกแบบนโยบายที่ทำให้ผู้สูงวัย “แข็งแรงและมีส่วนร่วม” ไม่ใช่เพียง “อยู่รอด” เท่านั้น (อ้างอิงข้อมูลชุดสถานการณ์ผู้สูงอายุและแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13)
  2. หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์หนุนชัด—องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่รวมถึงผู้สูงอายุทำกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง 150–300 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคู่การฝึกเสริมกำลังและทรงตัวเพื่อลดความเสี่ยงล้มและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) แนวทางเดียวกันนี้ถูกนำไปปรับใช้ในไทยโดยหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น กรมอนามัย ซึ่งสื่อสารข้อแนะนำ 150 นาที/สัปดาห์อย่างต่อเนื่องกับประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่นที่ทำงานภาคสนาม
  3. นโยบายกีฬามวลชนของไทยเดินหน้า—การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) วางหลักการชัดเจนว่ากีฬามวลชนและกิจกรรมทางกายคือกลไกเพิ่มคุณภาพชีวิตและทุนมนุษย์ พร้อมผลักดันเครื่องมือ งบประมาณ และเครือข่ายระดับจังหวัด—องค์ประกอบที่เอื้อให้ อบจ. เข้ามาเป็น “แม่งาน” ด้านกีฬาเชิงระบบ ร้อยเรียงสนาม คน และปฏิทินกิจกรรมเข้าด้วยกัน

ภายใต้ภาพใหญ่ดังกล่าว เชียงรายจึงเลือก “ขยับ” ด้วยแผนที่จับต้องได้—ตั้งแต่สร้างเวทีให้ผู้สูงวัยแสดงศักยภาพ ไปจนสร้างพื้นที่ (ลีกภายใน) ให้คนทำงานขยับกายเป็นกิจวัตร เพื่อลดค่าป่วย ลดความเครียด และต่อยอดเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ฉากจาก X-Arena ฟุตบอลอาวุโส—ทักษะ ประสบการณ์ และน้ำใจ

ช่วงบ่ายที่เมฆเริ่มโปรย นักเตะรุ่น 50+, 55+ และ 60+ ทยอยลงอบอุ่นร่างกาย—ท่าทางระมัดระวังแต่คล่องแคล่ว ผู้เล่นบางคนรัดสน็อปเข่า บางคนพกยาดม แต่ทุกคนมีอย่างเดียวกันคือแววตาที่มุ่งมั่น “ยังอยากลงแข่งให้ลูกหลานได้เห็น” หนึ่งในโค้ชทีมกล่าวระหว่างพักน้ำ

รูปแบบการคัดเลือกเน้น ทักษะพื้นฐาน-ความฟิต-การเล่นเป็นทีม เพื่อเตรียมตัวสู่การแข่งขันระดับประเทศในรายการ “อบจ. คัพ” รุ่นอาวุโส ที่มุ่งหมายให้เวทีกีฬาเปิดกว้างสำหรับวัยที่สังคมมักคิดว่า “ถึงเวลาเบรก” ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ การออกกำลังกายที่พอเหมาะช่วยเพิ่มสมรรถภาพหัวใจและปอด ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งช่วยเรื่องความจำและอารมณ์—ประโยชน์ที่สอดคล้องกับแนวทางของ WHO และหน่วยงานสุขภาพไทยซึ่งแนะนำการออกแรงแบบแอโรบิกผสมฝึกกล้ามเนื้อและการทรงตัวสำหรับวัยสูงอายุ  

การสร้างเวทีให้ “รุ่นใหญ่” กลับมาครื้นเครงในสนาม จึงเป็นมากกว่าเรื่องกีฬา หากคือ นโยบายสุขภาพเชิงรุก ที่อาศัย “ความสนุกและความภูมิใจ” เป็นแรงขับ—ต้นทุนทางสังคมที่เงินซื้อไม่ได้

CR-PAO League CUP ฟุตบอล 7 คนที่มากกว่าเกม—แพลตฟอร์มสร้างสุขภาพและทีมเวิร์ก

ครั้นถึงพิธีเปิด “CR-PAO League CUP 2025” นายก อบจ.เชียงราย ประกาศความพร้อมของ 7 ทีมจากบุคลากรในองค์กร โดยตั้งเป้าหมายสองข้อชัดเจน: (1) สร้างสุขภาพกาย-ใจให้คนทำงาน และ (2) สร้างทีมเวิร์กเพื่อกลับไปยกระดับประสิทธิภาพงานบริการประชาชน

การแข่งขันรูปแบบ 7 คนบริหารจัดการง่าย ใช้เวลาสั้น กระตุ้นให้เกิด “กิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ” แทรกในชีวิตประจำวันของข้าราชการและพนักงาน—ปัจจัยที่สอดรับแนวทางองค์การอนามัยโลกเรื่องการเพิ่ม “Active Minutes” รายสัปดาห์ ตลอดจนข้อแนะนำของกรมอนามัยไทยที่สื่อสารอย่างกว้างขวางในช่วงหลัง เพราะการสะสมเวลาออกกำลังกายเป็นชั่วโมงต่อสัปดาห์—even แบบสั้น ๆ หลายครั้ง—ช่วยลดความเสี่ยงเจ็บป่วยระยะยาวได้จริง

ความร่วมมือจาก SCG และ Dolphin Toilet Partition ในฐานะภาคเอกชนท้องถิ่น ชี้ให้เห็นการระดมพลังหลายภาคส่วน (multi-stakeholder) ที่เมืองสมัยใหม่ใช้ขับเคลื่อน—อบจ. สร้างเวทีและมาตรฐานความปลอดภัย เอกชนช่วยอุปกรณ์และโลจิสติกส์ สโมสร/สนามเอกชนอย่าง X-Arena เชียงราย ทำหน้าที่เป็น “ฮับกีฬา” ที่เข้าถึงง่าย สนับสนุนกิจกรรมได้ต่อเนื่องตลอดปี

ตัวเลขที่ชวนคิด—ทำไมกีฬา (จริง ๆ) ช่วยเมืองและช่วยรัฐ

  • สังคมสูงวัย = ต้องลงทุนกับ “สุขภาพป้องกัน”
    รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยอธิบายทิศทางการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อระบบสุขภาพและงบประมาณรัฐ หากไม่เร่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการขยับกายของประชาชน โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่ประชาชนเข้าถึงบริการมากที่สุด 
  • เกณฑ์กิจกรรมทางกายสากลชัดเจน
    WHO กำหนดกรอบ 150–300 นาที/สัปดาห์สำหรับผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ พร้อมแนะนำการเสริมกำลังกล้ามเนื้อและการฝึกทรงตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดเป็นสื่อสารสาธารณะของกรมอนามัยไทยต่อเนื่อง—เป็น “ค่ามาตรฐาน” ที่ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่นนำไปออกแบบโปรแกรมได้ทันที เช่น ฟุตบอล 7 คนสัปดาห์ละ 2–3 ครั้งรวมให้ได้ 150 นาที เป็นต้น
  • กีฬามวลชนคือวาระแห่งชาติด้านคุณภาพชีวิต
    เอกสารแนวทาง/งบประมาณของการกีฬาแห่งประเทศไทยย้ำบทบาท “กีฬามวลชน” ในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและศักยภาพมนุษย์—สอดรับกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ของสภาพัฒน์ที่ผลักดันสุขภาวะและทุนมนุษย์เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์แกนหลักของประเทศ

ตัวเลขและกรอบมาตรฐานเหล่านี้ ทำให้การตัดสินใจของ อบจ.เชียงรายในวันนี้ “มีหลักฐานรองรับ” มากกว่าความเชื่อ—และพร้อมถอดบทเรียนไปยังพื้นที่อื่น

นายกฯ นก อทิตาธร เปิดการแข่งขันฟุตบอล "CR-PAO League CUP 2025" ฟาดแข้งกระชับมิตร เสริมความสามัคคีบุคลากร อบจ.เชียงราย

บริหารความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ ความปลอดภัยของนักเตะอาวุโสต้องมาเป็นที่หนึ่ง

เมื่อผลักดันกีฬาในกลุ่มผู้สูงอายุ สิ่งที่ต้องมาคู่กันคือ มาตรการความปลอดภัย ตั้งแต่คัดกรองสุขภาพเบื้องต้น (เช่น แบบประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ/ความดัน) ออกแบบภาระงานตามวัย (intensity/interval) ไปจนถึงการเตรียมทีมแพทย์/กู้ชีพ ณ จุดแข่ง การยืดเหยียดก่อน-หลัง การอบอุ่นและคูลดาวน์อย่างเพียงพอ ตลอดจนการจัดตารางแข่งที่ลดความร้อนและความล้าเกินจำเป็น—แนวทางที่สอดคล้องกับข้อเสนอของ WHO และคู่มือสุขภาพระดับประเทศที่เน้น “ปลอดภัย-สนุก-ต่อเนื่อง” เป็นเงื่อนไขให้เกิดพฤติกรรมซ้ำ

จากเกมลูกหนังสู่ “ทุนสังคม” และ “ทุนเศรษฐกิจท้องถิ่น”

  1. สุขภาพประชาชนดีขึ้น = ภาระโรคลดลง
    คนทำงานในองค์กรที่มีกิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ มีแนวโน้มลาป่วยลดลง ประสิทธิภาพงานดีขึ้น ความสัมพันธ์ในทีมดีขึ้น—ผลลัพธ์นุ่ม ๆ ที่สะสมกลายเป็นความก้าวหน้าขององค์กรภาครัฐซึ่งให้บริการประชาชนโดยตรง
  2. สนาม/ลีก = ปฏิทินเศรษฐกิจชุมชน
    ทุกครั้งที่มีนัดแข่ง คือตลาดนัดขนาดย่อมของผู้ค้าอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์กีฬา ผู้ให้บริการขนส่งในชุมชน—เม็ดเงินหมุนเวียนเล็ก ๆ แต่ถี่และจริง ซึ่งหากวางปฏิทินกิจกรรมทั้งปี จะเกิด ฤดูกีฬาท้องถิ่น” ที่ช่วยเสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานรากโดยไม่ต้องพึ่งฤดูกาลท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว
  3. สร้างต้นแบบ “เมืองกีฬา” เชื่อมโรงเรียน-ชุมชน-ท้องถิ่น
    เมื่อ อบจ. ทำสำเร็จในองค์กร ย่อมต่อยอดไปสู่เครือข่ายโรงเรียน ชุมชน และ อปท. เพื่อนบ้าน เกิดทัวร์นาเมนต์ย่อยตามช่วงวัย ทั้งเยาวชน วัยทำงาน และอาวุโส—โครงข่ายที่พาเชียงรายไปสู่ภาพของ “เมืองกีฬา” อย่างยั่งยืน โดยมีกลไก กกท. และแผนพัฒนาฯ ระดับชาติเป็นพี่เลี้ยงด้านกรอบนโยบายและงบประมาณ

เสียงจากสนามความภาคภูมิใจที่แบ่งปันได้

ระหว่างพักครึ่งทีมอาวุโสรุ่น 60+ นักเตะคนหนึ่งบอกว่า “ผมดีใจที่ยังได้ลงสนาม เพราะฟุตบอลมันทำให้รู้สึกว่าเรายังมีบทบาท” เสียงสั้น ๆ แต่ตรงใจผู้ชมข้างสนามที่เป็นลูกหลาน—นี่คือ คุณค่าทางสังคม ของกีฬา ที่ทำให้คนต่างวัย “เจอกันตรงกลาง” อย่างงดงาม

ฝ่ายจัดการแข่งขันย้ำว่า รายการ “อบจ. คัพ” รุ่นอาวุโส จะให้ความสำคัญกับ มาตรฐานสนาม อุปกรณ์ และทีมเวชกีฬา เพื่อความปลอดภัย พร้อมจัดการความร้อน ความชื้น และเวลาพักตามวัย—เกณฑ์ที่ขยับได้ตามข้อมูลสุขภาพของนักกีฬาแต่ละรุ่น

เชื่อมโยงนโยบาย บทบาท อบจ. กับการทำงานเชิงข้อมูล

ความก้าวหน้าด้านกีฬาในวันนี้ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย อบจ.เชียงรายสื่อสารบทบาทด้านการสนับสนุนกีฬาและกิจกรรมสาธารณะผ่านช่องทางทางการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเว็บไซต์และเพจทางการ เพื่อเชื่อม “ข่าวกิจกรรม” เข้ากับ “การรับรู้ของสาธารณะ” ว่ากีฬาคือวาระเมือง มิใช่เพียงความสนุกเฉพาะกลุ่ม—แนวทางสื่อสารสาธารณะที่สำคัญต่อการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน

สิ่งที่เชียงรายทำวันนี้ “ถูกโจทย์” และ “ทันเวลา”

  1. ถูกโจทย์—เพราะตอบต่อสังคมสูงวัยด้วยเครื่องมือที่มีหลักฐานรองรับ (กีฬา/กิจกรรมทางกาย) และยึดเกณฑ์สากล-เกณฑ์ไทย (150 นาที/สัปดาห์ + เสริมกำลัง + ทรงตัว) เป็นแกนกลางของการออกแบบโปรแกรม
  2. ทันเวลา—เพราะวางระบบตั้งแต่คนทำงานในองค์กร (ลีก 7 คน) จนถึงผู้สูงวัย (อบจ. คัพ) เพื่อสร้างพฤติกรรมซ้ำต่อเนื่อง พร้อมต่อยอดเป็นปฏิทินกิจกรรมทั้งปี และขยายความร่วมมือกับเอกชน-สนามกีฬา-ชุมชนให้เป็น “โครงข่ายเมืองกีฬา”
  3. ต่อเติมได้—ด้วยการเชื่อมกรอบนโยบายของ กกท. และแผนพัฒนาฯ เข้ากับข้อมูลสุขภาพในพื้นที่ เพื่อวัดผลเป็นรูปธรรม: อัตราการมีกิจกรรมทางกายของประชาชน, วันลาป่วยของบุคลากร, และการมีส่วนร่วมของชุมชน—ตัวชี้วัดที่ทำให้ “กีฬามวลชน” กลายเป็น นโยบายสาธารณะที่วัดผลได้

ในท้ายที่สุด ลูกฟุตบอลลูกหนึ่งที่กลิ้งอยู่กลางสนาม X-Arena จึงมิใช่สัญลักษณ์ของการแข่งขันอย่างเดียว แต่คือ สัญลักษณ์ของการลงทุนในคน—การลงทุนที่เริ่มต้นจากเสียงนกหวีด พาไปไกลถึงคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจฐานราก และความภูมิใจร่วมของชุมชนเชียงราย

  • รายการคัดตัวแทนฟุตบอลอาวุโส อบจ. คัพ: จัดคัดตัวรุ่น 50+, 55+, 60+ ณ สนาม X-Arena เชียงราย เป้าหมายส่งทีมตัวแทนจังหวัดสู่ “ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1”
  • การแข่งขันภายใน “CR-PAO League CUP 2025”: ฟุตบอล 7 คน 7 ทีม จากผู้บริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการ และพนักงาน อบจ.เชียงราย โดยมีภาคเอกชนในพื้นที่ร่วมสนับสนุน
  • เป้าหมายยุทธศาสตร์ ยกระดับสุขภาพคนทำงาน-ผู้สูงวัย, สร้างทีมเวิร์กองค์กร, และต่อยอดสู่ “เมืองกีฬา” โดยอาศัยกรอบกีฬามวลชนของ กกท. และเกณฑ์กิจกรรมทางกายของ WHO/กรมอนามัย
นายก อบจ.เชียงราย ให้กำลังใจทัพนักเตะอาวุโส ลุยศึก "อบจ. คัพ" ครั้งที่ 1

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – ช่องทางข้อมูลกิจกรรม/นโยบายด้านกีฬาและชุมชน (เว็บไซต์และเพจทางการ).
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) – แนวทางกิจกรรมทางกายสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 150–300 นาที/สัปดาห์ และคำแนะนำด้านความปลอดภัย/การเสริมกำลังและการทรงตัว.
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข – ข้อแนะนำกิจกรรมทางกายสำหรับประชาชนไทย สื่อสารเป้าหมาย 150 นาที/สัปดาห์ และสาระเกี่ยวกับ Active Lifestyle.
  • การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) – เอกสารนโยบาย/งบประมาณด้านการส่งเสริมกีฬาเพื่อมวลชนและการยกระดับศักยภาพกีฬาในระดับจังหวัด/พื้นที่.
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) – รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย (แนวโน้มสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง).
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC) – เอกสารขยายความแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570): มิติสุขภาวะ-ทุนมนุษย์และเมืองน่าอยู่.
  • X-Arena เชียงราย – สนามกีฬาเอกชนในพื้นที่ที่ทำหน้าที่เป็นฮับกิจกรรมชุมชน.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ศรัทธาเชียงราย! สรงน้ำพระธาตุดอนชัย เสริมสิริมงคลชุมชน

พิธีสรงน้ำพระธาตุดอนชัยไตรรัตนาธิษฐาน เชียงรายสืบสานศรัทธา สะท้อนรากวัฒนธรรมล้านนา

ศรัทธาที่หยั่งรากลึกสืบสานประเพณีแห่งล้านนา

เชียงราย, 9 พฤษภาคม 2568 – ณ วัดป่าอ้อดอนชัย ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีสำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ “พิธีสมโภชสรงน้ำพระธาตุดอนชัยไตรรัตนาธิษฐาน” ขึ้นในค่ำวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 เวลา 18.30 น. โดยมี นายอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ในพิธี

พิธีนี้นับเป็นอีกหนึ่งการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมล้านนาที่ชาวเชียงรายร่วมกันรักษาและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านความศรัทธาและความร่วมมือของชุมชนในท้องถิ่น

 

บทบาทของชุมชนในงานบุญท้องถิ่น

พิธีครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือของ คณะสงฆ์วัดป่าอ้อดอนชัย, คณะกรรมการวัด, และ คณะศรัทธาจาก 4 หมู่บ้าน ได้แก่

  • หมู่ 10 บ้านป่าตึง
  • หมู่ 1 บ้านป่าอ้อ
  • หมู่ 12 บ้านสันทรายยาว
  • หมู่ 21 บ้านประตูล้อ

โดยมี นายสุฐาน อ้ายขอดแก้ว กำนันตำบลป่าอ้อดอนชัย พร้อมด้วยฝ่ายปกครองในพื้นที่ เข้าร่วมพิธี เพื่อแสดงความเคารพและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม

ความพร้อมเพรียงของทั้งภาคประชาชน ผู้นำชุมชน และหน่วยงานท้องถิ่น สะท้อนถึงพลังแห่งการอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมที่มีชีวิตอย่างแท้จริง

 

ความหมายแห่งพิธีสรงน้ำพระธาตุ

พิธีสรงน้ำพระธาตุดอนชัยไตรรัตนาธิษฐาน มิใช่เพียงพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่เป็นการแสดงออกถึงความเคารพในพระพุทธศาสนา และความศรัทธาต่อพระธาตุที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงทางจิตใจของชาวล้านนา

การสรงน้ำพระธาตุในแต่ละปีจึงถือเป็นกิจกรรมมงคลของตำบลป่าอ้อดอนชัย ที่ทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจกันจัดขึ้น โดยมีพระสงฆ์ผู้ทรงศีล และพระเถรานุเถระจำนวน 10 รูปมาประกอบพิธีกรรม ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ และสะท้อนถึงวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่นอันทรงคุณค่า

วัดป่าอ้อดอนชัย ศูนย์กลางจิตวิญญาณของชุมชน

วัดป่าอ้อดอนชัย เป็นวัดสำคัญในเขตอำเภอเมืองเชียงราย มีบทบาทไม่เพียงแต่เป็นศาสนสถาน แต่ยังเป็นศูนย์รวมกิจกรรมของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมทางศาสนา การศึกษาอบรมธรรมะ การอบรมเยาวชน และการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาจิตใจ

พระธาตุดอนชัยไตรรัตนาธิษฐาน ภายในวัด เป็นองค์พระธาตุที่ชาวบ้านให้ความเคารพสูงสุด โดยมีความเชื่อว่า ผู้ที่ได้สรงน้ำบูชาจะได้รับอานิสงส์แห่งความเป็นสิริมงคล และขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดีจากชีวิต

ในปีนี้ มีผู้เข้าร่วมพิธีมากกว่า 500 คน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านในพื้นที่และเยาวชนรุ่นใหม่ที่มาร่วมสืบสานประเพณี พร้อมทั้งนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ทราบข่าวจากช่องทางออนไลน์

 

บทบาทของวัฒนธรรมกับการพัฒนาสังคมเชียงราย

เชียงรายในฐานะเมืองแห่งศิลปะ วัฒนธรรม และศรัทธา กำลังใช้มิติทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชน

พิธีสรงน้ำพระธาตุ เช่นเดียวกับเทศกาลประจำปีต่าง ๆ อาทิ ปอยหลวง สรงน้ำพระ รำลึกวีรชน และงานผูกเสี่ยว ฯลฯ ล้วนเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้แสดงพลังแห่งความร่วมมือและการส่งต่อมรดกทางจิตวิญญาณ

ในทางเศรษฐกิจ งานบุญงานประเพณียังส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนทางการเงินในระดับฐานราก ทั้งในรูปแบบของการบริจาค การจำหน่ายสินค้าในงาน และการท่องเที่ยวในชุมชน

นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีที่หลอมรวมเยาวชนกับผู้สูงอายุ ให้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมอย่างมีความหมาย สร้างการเรียนรู้แบบพหุวัฒนธรรม ที่ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ

 

สถิติที่เกี่ยวข้อง ณ พฤษภาคม 2568

  • จำนวนวัดในจังหวัดเชียงราย: 1,398 แห่ง (ที่มา: สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย)
  • วัดที่จัดพิธีสรงน้ำพระธาตุประจำปี: 273 แห่ง (สำรวจโดยฝ่ายวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย)
  • ผู้เข้าร่วมงานบุญในเชียงรายต่อปี: ประมาณ 85,000 คน (สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด)
  • มูลค่าการหมุนเวียนเศรษฐกิจจากงานบุญท้องถิ่นในแต่ละปีในเชียงราย: ประมาณ 128 ล้านบาท (ข้อมูลจากกลุ่มวิจัยเศรษฐกิจฐานราก ม.ราชภัฏเชียงราย)
  • สัดส่วนเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาในตำบลป่าอ้อดอนชัย: 62% ของประชากรวัยเรียน (ที่มา: ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • วัดป่าอ้อดอนชัย ต.ป่าอ้อดอนชัย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจฐานราก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ธรรมนัส“ ร่วม “อบจ.เชียงราย” พัฒนาหนองหลวง ปล่อยปลาหมื่นตัว

นายก อบจ.เชียงรายบูรณาการภาครัฐเดินหน้าพัฒนาหนองหลวง พร้อมผลักดันเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 9 พฤษภาคม 2568 – ความหวังใหม่กำลังจะเกิดขึ้นสำหรับประชาชนในพื้นที่รอบหนองหลวง อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย เมื่อนายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) พร้อมด้วยร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการน้ำ สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชน พร้อมนำเสนอแนวทางการพัฒนาพื้นที่หนองหลวงอย่างเป็นรูปธรรม

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของชาวบ้านที่มีต่อการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่แห่งนี้ หลังจากต้องเผชิญกับปัญหาการตื้นเขิน วัชพืชน้ำที่แพร่กระจาย และศักยภาพในการกักเก็บน้ำที่ลดลงมาโดยตลอด

การลงพื้นที่ครั้งสำคัญของผู้บริหารระดับสูง

เมื่อเวลา 13.30 น. ของวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เดินทางมายังบริเวณหนองน้ำสาธารณะหนองหลวง อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย พร้อมกับร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการน้ำ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่โดยตรง

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ มีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นผู้กล่าวต้อนรับคณะผู้บริหารและแขกผู้มีเกียรติ พร้อมด้วย ดร.ฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนที่มาร่วมต้อนรับกว่า 800 คน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่หนองหลวงที่มีต่อชุมชนโดยรอบ

หนองหลวง แหล่งน้ำธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงราย

หนองหลวงถือเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบล 2 อำเภอ ประกอบด้วย ตำบลเวียงชัย ตำบลดอนศิลา อำเภอเวียงชัย และตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย มีพื้นที่ประมาณ 9,816 ไร่ ด้วยปริมาณความจุประมาณ 19 ล้านลูกบาศก์เมตร

แหล่งน้ำแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่มาอย่างยาวนาน เป็นทั้งแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร แหล่งอาหารของชุมชน และมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนองหลวงประสบปัญหาหลายประการ ทั้งการตื้นเขิน การแพร่ระบาดของผักตบชวาและวัชพืชน้ำ รวมถึงปัญหาด้านการบริหารจัดการน้ำที่ขาดประสิทธิภาพ

แผนพัฒนาหนองหลวงอย่างเป็นรูปธรรม

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้นำเสนอแนวทางพัฒนาพื้นที่หนองหลวงอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมหลายมิติ ดังนี้

  1. การขุดลอกและปรับปรุงระบบระบายน้ำ: เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่โดยรอบ
  2. การกำจัดผักตบชวาและวัชพืชน้ำ: เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ
  3. การส่งเสริมให้หนองหลวงเป็นพื้นที่อนุรักษ์ควบคู่กับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ: เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

แผนการพัฒนาดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายสำคัญของ อบจ.เชียงราย ได้แก่ นโยบายกระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน นโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) และนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอ” ตามข้อมูลจากสำนักช่าง อบจ.เชียงราย

การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

นายก อบจ.เชียงราย ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยจะมีการประสานงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน กรมประมง และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลและจัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาหนองหลวงอย่างเป็นระบบ

“การพัฒนาหนองหลวงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ แต่ต้องบูรณาการความร่วมมือทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้การพัฒนาเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนและเป็นไปอย่างยั่งยืน” นายก อทิตาธร กล่าว

ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการน้ำ สภาผู้แทนราษฎร ยังได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้โครงการพัฒนาหนองหลวงได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในระยะต่อไป โดยเน้นย้ำว่าการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ความคาดหวังของประชาชนในพื้นที่

นายสมชาย ใจดี ผู้ใหญ่บ้านตำบลเวียงชัย หนึ่งในผู้เข้าร่วมรับฟังการนำเสนอแผนพัฒนาหนองหลวง กล่าวว่า “ชาวบ้านในพื้นที่มีความหวังอย่างมากกับโครงการพัฒนาหนองหลวงในครั้งนี้ เพราะเราประสบปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งมานาน การพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำของหนองหลวงจะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืน”

นางสาวประภา วงศ์สมบูรณ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวตำบลดอนศิลา เสริมว่า “หากหนองหลวงได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จะช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างมาก เรามีทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ OTOP และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ รอเพียงโอกาสในการนำเสนอสิ่งเหล่านี้แก่นักท่องเที่ยวเท่านั้น”

การปล่อยพันธุ์ปลาเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ

ในโอกาสเดียวกันนี้ คณะผู้บริหารและประชาชนที่มาร่วมงานได้ร่วมกันปล่อยพันธุ์ปลานิลและพันธุ์ปลาตะเพียน รวมจำนวน 20,000 ตัว ลงสู่หนองหลวง เป็นการเริ่มต้นฟื้นฟูระบบนิเวศในแหล่งน้ำและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ

ดร.ฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า “การปล่อยพันธุ์ปลาลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติเป็นหนึ่งในแนวทางการฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำที่ได้ผลดี โดยเฉพาะปลานิลและปลาตะเพียนซึ่งเป็นปลากินพืชจะช่วยควบคุมปริมาณสาหร่ายและพืชน้ำไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดมากเกินไป อีกทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญของประชาชนในพื้นที่”

ความท้าทายและอนาคตของหนองหลวง

แม้การพัฒนาหนองหลวงจะมีแนวโน้มที่ดี แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งปัญหาการบุกรุกพื้นที่ การปล่อยน้ำเสียจากชุมชนและภาคเกษตรกรรม รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

นายก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้ย้ำว่า “การพัฒนาหนองหลวงไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับอนาคตของลูกหลานเชียงราย เราต้องการให้หนองหลวงเป็นทั้งแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านระบบนิเวศ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่”

การลงพื้นที่หนองหลวงในครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ของจังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดเชียงรายและนโยบายของรัฐบาลในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแหล่งน้ำในประเทศไทย

ตามข้อมูลจากกรมทรัพยากรน้ำและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พบว่าประเทศไทยมีแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่กว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ แต่มีเพียงร้อยละ 43 เท่านั้นที่ได้รับการพัฒนาและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า มีประชาชนกว่า 25 ล้านคนที่ยังประสบปัญหาการเข้าถึงน้ำเพื่อการเกษตรอย่างเพียงพอ และมีถึง 5.7 ล้านครัวเรือนที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง

สำหรับด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จากรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวชุมชนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนท้องถิ่นกว่า 12,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ การศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำในภาคเหนือของประเทศไทย พบว่า การพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติควบคู่กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนได้เฉลี่ยร้อยละ 35 ต่อปี และยังช่วยลดอัตราการย้ายถิ่นฐานของประชากรในท้องถิ่นได้ถึงร้อยละ 22

สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างหนองหลวงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมทรัพยากรน้ำ, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำประจำปี 2567.
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.). (2567). แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (2560-2580) ฉบับปรับปรุง.
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2567). ผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ปี 2567.
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2567). รายงานสถิติการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวชุมชน.
  • คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2567). รายงานการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการพัฒนาแหล่งน้ำในภาคเหนือของประเทศไทย.
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นายก อบจ. ยกฉัตรเจดีย์ วัดห้วยก้าง เสริมสิริมงคล

เชียงรายจัดยิ่งใหญ่ พิธียกฉัตรเจดีย์วัดห้วยก้าง ประชาชนแห่ร่วมขอพรเพื่อความสิริมงคล

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – ณ วัดห้วยก้าง ตำบลไม้ยา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธียกฉัตรเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ โดยมีนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ให้เกียรติเป็นประธานฝ่ายฆราวาส และพระครูโกศลกิจจานุกิจ (บุญมา) เจ้าคณะอำเภอพญาเม็งราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ท่ามกลางความร่วมมือจากหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ พุทธศาสนิกชน และประชาชนจำนวนมากที่เดินทางมาร่วมพิธีเพื่อขอพร เสริมสร้างความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

พิธียกฉัตรเจดีย์ในครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป โดยบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยศรัทธาและความเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนที่เดินทางมาจากทั่วทั้งจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างคับคั่ง

จุดเริ่มต้นและความสำคัญของพิธียกฉัตรเจดีย์

ฉัตร ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรแห่งพระรัตนตรัย อันหมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ การยกฉัตรขึ้นประดิษฐานบนยอดเจดีย์จึงถือเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีความหมายถึงการสักการะบูชาพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังแสดงถึงการรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงามที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

วัดห้วยก้างเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอพญาเม็งรายและใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือมาอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดพิธียกฉัตรครั้งนี้จึงได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ต่างพร้อมใจกันจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล และสร้างขวัญกำลังใจให้กับชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง

บรรยากาศในพิธีและกิจกรรมภายในงาน

ภายในพิธีเริ่มต้นด้วยพิธีสงฆ์ พระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล ก่อนเข้าสู่พิธียกฉัตรเจดีย์ซึ่งเป็นไฮไลต์สำคัญของงาน โดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้ทำพิธีถวายเครื่องสักการะบูชา และร่วมประกอบพิธีทางศาสนากับพระครูโกศลกิจจานุกิจ (บุญมา) เจ้าคณะอำเภอพญาเม็งราย

พิธียกฉัตรเจดีย์ดำเนินไปด้วยความสง่างาม มีการเชิญฉัตรที่ประดับตกแต่งด้วยวัสดุอันประณีตงดงาม ขึ้นประดิษฐานไว้บนยอดเจดีย์ ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์ และเสียงอธิษฐานขอพรจากประชาชนที่มาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก หลังจากพิธีกรรมสำเร็จลุล่วง ประชาชนที่มาร่วมงานต่างพร้อมใจกันกราบไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด เพื่อความสงบสุขและเป็นมงคลในชีวิต

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น การแสดงดนตรีพื้นบ้าน การจัดเลี้ยงอาหารแบบท้องถิ่น เพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองระหว่างคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนพูดคุย และกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวบ้านในพื้นที่อีกด้วย

การอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่น

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวภายในงานว่า การจัดพิธียกฉัตรเจดีย์ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ดีงามแล้ว ยังเป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน และส่งเสริมให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์นี้อีกด้วย

พระครูโกศลกิจจานุกิจ (บุญมา) เจ้าคณะอำเภอพญาเม็งราย ได้กล่าวเสริมว่า การที่ชาวบ้านและหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันจัดพิธีกรรมทางศาสนาเช่นนี้ ถือเป็นการบ่มเพาะจิตสำนึกให้ประชาชนมีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียว และช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนทางด้านจิตใจอีกด้วย

วิเคราะห์ผลดีของการจัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมในชุมชน

การจัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมเช่นพิธียกฉัตรเจดีย์นี้ มีส่วนสำคัญในการสร้างความสงบสุขและความมั่นคงทางจิตใจของประชาชน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างเผชิญกับความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และปัญหาอื่นๆ กิจกรรมเช่นนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยบรรเทาความเครียด และสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้เข้าร่วมพิธี

อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังและส่งเสริมค่านิยมทางสังคมที่ดีงาม เช่น การมีน้ำใจ การแบ่งปัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาชุมชนให้มีความยั่งยืนในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาในจังหวัดเชียงราย

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2567) พบว่า ในแต่ละปี จังหวัดเชียงรายมีการจัดพิธีกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมกว่า 500 ครั้งต่อปี โดยมีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 200,000 คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมของท้องถิ่นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

บทสรุปและแนวทางในอนาคต

พิธียกฉัตรเจดีย์วัดห้วยก้างครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการอนุรักษ์และสืบทอดวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย โดยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และคณะสงฆ์ ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การจัดกิจกรรมเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง และขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วจังหวัดเชียงรายในอนาคต เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและความยั่งยืนของวัฒนธรรมประเพณีไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2567), รายงานประจำปี 2567
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (2567), รายงานกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมประจำปี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ล่องแพแม่น้ำคำ เชียงราย พัฒนาท่องเที่ยว สร้างรายได้ชุมชน

อบจ.เชียงราย ร่วมขับเคลื่อนการท่องเที่ยว “ล่องแพลำน้ำคำ” ตำบลแม่ฟ้าหลวง ยกระดับแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่น สร้างรายได้ชุมชน

ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เปิดเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติ พายเรือเก็บขยะ ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยการนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.เชียงราย เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวตำบลแม่ฟ้าหลวง ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ณ ลำน้ำคำ บ้านสามัคคีใหม่ หมู่ที่ 13 ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเชียงราย (อพท.เชียงราย) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ “ล่องแพลำน้ำคำ” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนให้เป็นที่รู้จัก กระตุ้นการท่องเที่ยวในเขตภาคเหนือ และยกระดับรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

เปิดเส้นทาง “ลำน้ำคำ” เส้นเลือดธรรมชาติ เชื่อมชุมชนสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ

กิจกรรมหลักภายในงาน ได้แก่ การล่องแพสำรวจเส้นทางธรรมชาติของลำน้ำคำ ซึ่งถือเป็นแหล่งน้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านชุมชนบ้านสามัคคีใหม่ บรรยากาศโดยรอบยังคงอุดมด้วยธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ ภูเขา และวิถีชีวิตพื้นบ้านที่เรียบง่ายและมีเสน่ห์ นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมพายเรือคายัคเก็บขยะในลำน้ำ เพื่อรณรงค์ให้เกิดความตระหนักในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและแหล่งน้ำในพื้นที่

หนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและประชาชนที่มาร่วมงาน คือการ “สร้างฝ่ายเบี่ยงทางน้ำ” เพื่อควบคุมระดับน้ำให้เหมาะสมต่อการล่องแพในช่วงฤดูแล้ง อีกทั้งยังเป็นการป้องกันตลิ่งพังและช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศของลำน้ำในระยะยาว

ย้ำการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ต้องควบคู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.เชียงราย เปิดเผยว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยไม่ละเลยประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยโครงการในลักษณะนี้จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชนในพื้นที่

“เราต้องการให้ชุมชนสามารถใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นสร้างรายได้ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพราะความงดงามของธรรมชาติ คือหัวใจของการท่องเที่ยวเชียงราย” นายรามิลกล่าว

ด้านผู้แทนจากสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ระบุว่า เส้นทาง “ล่องแพลำน้ำคำ” เป็นหนึ่งในแผนพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบ “Eco Tourism” หรือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชน และการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้คงอยู่ในระยะยาว

เสียงจากคนในพื้นที่ – การท่องเที่ยวช่วยฟื้นเศรษฐกิจชุมชน

นางสาคร สมบุญ อายุ 54 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 13 ตำบลแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า หลังจากที่มีโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ รายได้ของครอบครัวเพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าแปรรูป เช่น กล้วยตาก ผ้าทอพื้นเมือง และอาหารท้องถิ่น ซึ่งนักท่องเที่ยวให้ความสนใจอย่างมาก

“เมื่อก่อนลำน้ำคำแทบไม่มีใครรู้จัก แต่ตอนนี้คนเริ่มมาเที่ยวมากขึ้น ชาวบ้านก็ได้มีโอกาสขายของ บางคนก็เอาเรือมาพายให้บริการล่องแพ เป็นรายได้เสริมที่สำคัญมากในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้” นางสาครกล่าว

ในขณะเดียวกัน นายสุริยา แก้วคำ ผู้ใหญ่บ้านบ้านสามัคคีใหม่ กล่าวว่า การที่หน่วยงานภาครัฐเข้ามาสนับสนุนทำให้ชาวบ้านมีความเชื่อมั่นและพร้อมจะร่วมมือในการพัฒนาชุมชนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวอยากกลับมาอีกครั้ง

มุมมองจากนักอนุรักษ์ – ควรติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่นักสิ่งแวดล้อมบางรายให้ความเห็นว่า จำเป็นต้องมีการติดตามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องความสมดุลของระบบนิเวศในลำน้ำคำ การสร้างฝ่ายเบี่ยงน้ำและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแหล่งน้ำ ควรมีการศึกษาและวางแผนร่วมกับนักวิชาการด้านทรัพยากรธรรมชาติเพื่อป้องกันผลกระทบในระยะยาว

ทัศนคติอย่างเป็นกลาง – ข้อดีควบคู่กับความระมัดระวัง

ในภาพรวม โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวลำน้ำคำของตำบลแม่ฟ้าหลวงนับเป็นตัวอย่างของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่สามารถสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ห่างไกล แต่ในขณะเดียวกันต้องมีการวางระบบการจัดการแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน ควบคู่กับมาตรการอนุรักษ์และการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและขยายรูปแบบการท่องเที่ยวลักษณะเดียวกันไปยังพื้นที่อื่นของจังหวัด เพื่อให้ประชาชนในแต่ละชุมชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าเยี่ยมชมพื้นที่แม่ฟ้าหลวง ปี 2567: ประมาณ 85,000 คน (สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย)
  • รายได้เฉลี่ยจากการขายสินค้าชุมชนต่อครัวเรือน/เดือน ในพื้นที่ตำบลแม่ฟ้าหลวง: 4,500 บาท (จากการสำรวจโดย อพท.เชียงราย)
  • จำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมกิจกรรมล่องแพและพายเรือเก็บขยะ: 37 ครัวเรือน
  • พื้นที่ลำน้ำคำที่ใช้ในการจัดกิจกรรม: ประมาณ 3.5 กิโลเมตร
  • งบประมาณที่ใช้ในกิจกรรม “ล่องแพลำน้ำคำ” ครั้งนี้: 350,000 บาท (จาก อบจ.เชียงราย และการสนับสนุนร่วมจากภาคีเครือข่าย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.เชียงราย)
  • ข้อมูลภาคประชาชนจากบ้านสามัคคีใหม่ ตำบลแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานผลกิจกรรม “ล่องแพลำน้ำคำ” ประจำปีงบประมาณ 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘อบจ.เชียงราย’ มอบบ้าน ยกระดับ คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ-พิการ

อบจ.เชียงราย เร่งยกระดับที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุและคนพิการ สร้างสังคมเข้มแข็งและปลอดภัย

ลงพื้นที่อำเภอป่าแดด ติดตามผลโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ปีงบประมาณ 2567

เชียงราย, 23 มีนาคม 2568 – นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยทีมเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่อำเภอป่าแดด เพื่อติดตามผลการดำเนินงานโครงการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ ตามแผนงานประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีการมอบบ้านที่ได้รับการปรับปรุงเรียบร้อยแล้วให้แก่ผู้รับการสนับสนุนทั้ง 4 รายในพื้นที่

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีผู้บริหารท้องถิ่นเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายมงคล เชื้อไทย นายกเทศมนตรีตำบลป่าแงะ ผู้นำชุมชน ตัวแทนหน่วยงานสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่จากกองสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ซึ่งร่วมกันสำรวจ ตรวจสอบ และมอบสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบันของผู้พักอาศัย

กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย สนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต

โครงการดังกล่าวเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยบริการสาธารณสุข และกลุ่มเป้าหมายในระดับชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย ซึ่งเปิดให้หน่วยงานในท้องถิ่นเสนอแผนงานที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของแต่ละพื้นที่

ในพื้นที่ตำบลป่าแงะ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายและเทศบาลตำบลป่าแงะได้รับคำร้องจากประชาชนจำนวน 4 ราย ซึ่งล้วนเป็นผู้สูงอายุและคนพิการที่ประสบปัญหาสภาพที่อยู่อาศัยชำรุดทรุดโทรม และส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งในแง่ของความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้ชีวิต

หลังจากรับเรื่อง เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกับผู้นำชุมชนลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน จึงดำเนินการขอรับงบประมาณสนับสนุนเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของแต่ละราย

เน้น “อยู่ดี มีสุข” ด้วยการปรับปรุงบ้านให้เหมาะกับผู้ใช้ชีวิตอย่างจำกัด

การปรับปรุงที่อยู่อาศัยครั้งนี้เน้นการเพิ่มความสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้สูงอายุและคนพิการ เช่น การทำทางลาดสำหรับรถเข็น การติดตั้งราวจับในห้องน้ำ การปรับพื้นบ้านให้เรียบเสมอเพื่อลดความเสี่ยงการหกล้ม รวมถึงการปรับเปลี่ยนตำแหน่งอุปกรณ์ภายในบ้านให้เหมาะกับการใช้งานของผู้มีข้อจำกัดทางร่างกาย

โดยการดำเนินโครงการไม่เพียงมุ่งหวังให้ผู้รับการสนับสนุนสามารถอยู่อาศัยได้อย่างสะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นให้สมาชิกในครอบครัวและผู้ดูแลสามารถดูแลผู้สูงอายุและคนพิการได้ง่ายขึ้น ลดภาระการดูแลในระยะยาว และส่งเสริมสุขภาวะจิตที่ดีให้กับทั้งผู้พักอาศัยและสมาชิกในบ้าน

ผู้นำชุมชน – หน่วยงานท้องถิ่นร่วมแรงร่วมใจ ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

นายมงคล เชื้อไทย นายกเทศมนตรีตำบลป่าแงะ กล่าวว่า การดำเนินงานครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระดับท้องถิ่น ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม และเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน

“เราไม่ได้มองว่าเป็นแค่การสร้างหรือซ่อมบ้าน แต่เรากำลังคืนศักดิ์ศรีการใช้ชีวิตให้กับคนในชุมชน และช่วยให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างมั่นคงและปลอดภัยในบ้านของตนเอง” นายมงคล กล่าว

ด้านนายอำนาจ อินทร์ทอง ผู้แทนจากกองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย กล่าวว่า กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงรายมีแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายด้านการดูแลประชากรกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนพิการ ซึ่งในอนาคตจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสังคมไทย

เสียงสะท้อนจากประชาชน – ความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้

นางคำปัน อินทชัย อายุ 72 ปี หนึ่งในผู้ที่ได้รับการปรับปรุงบ้าน กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันว่า “แต่ก่อนเดินลำบากมาก ห้องน้ำก็ไม่มีราวจับ พอมีบ้านใหม่แบบนี้ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นเยอะ ไม่ต้องกลัวล้ม แล้วก็อุ่นใจที่มีคนมาช่วยดูแล”

ลูกหลานของนางคำปันยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ก่อนหน้านี้เวลาจะอาบน้ำหรือพาแม่ไปไหน ต้องช่วยกันหลายคน แต่ตอนนี้แม่สามารถทำอะไรได้เองหลายอย่าง ก็สบายใจขึ้นทั้งบ้าน”

ทัศนคติอย่างเป็นกลาง – สะท้อนทั้งโอกาสและข้อจำกัด

แม้โครงการดังกล่าวจะได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนและผู้นำชุมชนว่าเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่ยังมีเสียงสะท้อนจากบางภาคส่วนว่า งบประมาณสนับสนุนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในภาพรวม และการคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิ์ยังมีข้อจำกัดจากระเบียบราชการที่เข้มงวด

ผู้แทนจากเครือข่ายผู้พิการในจังหวัดเชียงราย ให้ความเห็นว่า “โครงการดี แต่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือก็ยังมีอีกมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือในครัวเรือนที่ไม่มีคนกลางช่วยประสานกับหน่วยงานท้องถิ่น”

ในด้านของหน่วยงานราชการ ยืนยันว่า กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงรายพร้อมเปิดรับข้อเสนอใหม่จากทุกพื้นที่ หากหน่วยงานท้องถิ่นสามารถจัดทำแผนที่ชัดเจน และมีข้อมูลสนับสนุนอย่างครบถ้วน โดยกระบวนการตรวจสอบและพิจารณาจะยึดตามหลักเกณฑ์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนผู้รับการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในตำบลป่าแงะ: 4 ราย (ปีงบประมาณ 2567)
  • งบประมาณเฉลี่ยต่อหลัง: ประมาณ 50,000 – 80,000 บาท/หลัง (ขึ้นอยู่กับสภาพบ้าน)
  • ผู้สูงอายุในจังหวัดเชียงราย (ปี 2567): ประมาณ 195,000 คน (คิดเป็นร้อยละ 21 ของประชากรทั้งหมด)
  • คนพิการที่ขึ้นทะเบียนในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 49,000 คน (ข้อมูลจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ)
  • หน่วยงานที่รับผิดชอบหลัก: กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, เทศบาลตำบลป่าแงะ, กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ข้อมูลประชากร)
  • กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
  • เทศบาลตำบลป่าแงะ
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายยกระดับ รพ.สต. มีทันตกรรม-ช่วยผู้พิการ

อบจ.เชียงราย เดินหน้ายกระดับ รพ.สต.บุญเรือง มอบยูนิตทันตกรรม พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและผู้พิการในพื้นที่

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้านำนโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus)” ลงสู่การปฏิบัติจริง ด้วยการส่งมอบยูนิตบริการทันตกรรมให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บุญเรือง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พร้อมลงพื้นที่ให้กำลังใจผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะกึ่งเฉียบพลัน ภายใต้โครงการปรับสภาพบ้านเพื่อผู้มีภาวะพึ่งพิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

พิธีส่งมอบจัดขึ้นเมื่อเวลา 16.00 น. โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย ร่วมกันแสดงความยินดีและมอบกำลังใจแก่ผู้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว

ยูนิตทำฟัน “ใกล้บ้าน” เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ คือการส่งมอบยูนิตทันตกรรมให้แก่ รพ.สต.บุญเรือง ซึ่งถือเป็นหน่วยบริการแห่งแรกของจังหวัดเชียงรายที่มีทันตแพทย์จากโรงพยาบาลประจำอำเภอหมุนเวียนให้บริการทันตกรรมแบบครบวงจร ได้แก่ การตรวจฟัน อุด ขูดหินปูน ถอนฟัน ไปจนถึงการใส่ฟันปลอม

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ เปิดเผยว่า “เรามุ่งหวังให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมได้ใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไกล ลดภาระค่าใช้จ่าย และยังช่วยส่งเสริมสุขภาพช่องปากซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว”

โครงการปรับสภาพบ้าน สร้างความเท่าเทียมในการดำรงชีวิต

นอกเหนือจากบริการด้านทันตกรรมแล้ว อบจ.เชียงราย ยังร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ตำบลบุญเรือง อาทิ เทศบาลตำบลบุญเรือง กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการ รพ.สต. และเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพฯ ลงพื้นที่มอบบ้านที่ปรับสภาพแล้วให้แก่ผู้มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งรวมถึงผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะกึ่งเฉียบพลัน

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้บุคคลเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น ผ่านการจัดสภาพแวดล้อมในที่อยู่อาศัย เช่น การติดตั้งราวจับ ทางลาด ห้องน้ำปลอดภัย รวมถึงการมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ เช่น เตียงนอนที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน คือหัวใจของความสำเร็จ

นางวาสนา ลำเปิงมี สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 2 อำเภอเชียงของ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความสำเร็จของโครงการในวันนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และชุมชนที่ร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง”

โครงการนี้ไม่เพียงมุ่งหวังให้เกิดการปรับปรุงเชิงกายภาพเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนในการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงอย่างยั่งยืน

สะท้อนนโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” ในทางปฏิบัติ

นโยบาย “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับ รพ.สต. ให้กลายเป็นศูนย์สุขภาพชุมชนที่มีความพร้อมในการให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง และครอบคลุมทั้งมิติทางการแพทย์ พยาบาล ทันตกรรม และการฟื้นฟูสมรรถภาพ

ในอนาคต อบจ.เชียงรายมีแผนขยายบริการรูปแบบเดียวกันนี้ไปยัง รพ.สต. แห่งอื่นทั่วจังหวัด โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่กับการฝึกอบรมบุคลากรให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนในแต่ละพื้นที่

ทัศนะจากทั้งสองฝ่าย: มิติที่แตกต่างแต่ร่วมสร้างสรรค์

ฝ่ายสนับสนุนโครงการ เห็นว่าแนวทางของ อบจ.เชียงราย เป็นแบบอย่างที่ดีของการกระจายบริการสาธารณสุขอย่างเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพ และสร้างมาตรฐานชีวิตที่ดีให้แก่ผู้เปราะบางในสังคม

อีกมุมหนึ่งของการวิพากษ์ มีข้อเสนอว่าการดำเนินโครงการลักษณะนี้ควรมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพยากรที่ลงไปในพื้นที่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บางความเห็นยังตั้งข้อสังเกตว่าควรมีการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ และรายงานความคืบหน้าสู่สาธารณะเพื่อสร้างความโปร่งใส

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนประชากรในพื้นที่ตำบลบุญเรือง อำเภอเชียงของ ปี 2567 มีประมาณ 8,540 คน โดยมีผู้สูงอายุร้อยละ 20.3% และผู้พิการที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐมากกว่า 215 คน
    (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเชียงของ, 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีจำนวน รพ.สต. ทั้งหมด 192 แห่ง โดยมีเพียง 8 แห่ง ที่มีทันตแพทย์ประจำแบบหมุนเวียน
    (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • ในปีงบประมาณ 2566 กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย สนับสนุนการปรับปรุงบ้านสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงไปแล้ว 78 ครัวเรือน และคาดว่าในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 120 ครัวเรือน
    (ที่มา: กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • จากผลสำรวจปี 2566 พบว่า ผู้สูงอายุในพื้นที่เชียงรายที่มีปัญหาด้านการเข้าถึงบริการทันตกรรม ร้อยละ 64.7%
    (ที่มา: ศูนย์วิจัยสุขภาพชุมชนภาคเหนือ, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเชียงของ
  • ศูนย์วิจัยสุขภาพชุมชนภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกนกมอบทุน เรียนได้ทุกที่ เลี้ยงชีพได้ที่เชียงราย

อบจ.เชียงราย เดินหน้านโยบาย “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” มอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือนักเรียนยากจนและด้อยโอกาส

เชียงราย, 20 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินหน้าสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนในพื้นที่ ผ่านโครงการ “ส่งน้องเรียน” ตามนโยบาย “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” โดยมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือให้แก่นักเรียนและนักศึกษาที่มีฐานะยากจนหรือด้อยโอกาส เพื่อสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาสู่ความสำเร็จในอนาคต

อบจ.เชียงราย มอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือแก่นักเรียนในพื้นที่

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น.โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือให้กับนักเรียนและนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือสำหรับนักศึกษาและนักเรียนที่ยากจนหรือด้อยโอกาส ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีนางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ.เชียงราย นายอับดุลกอเด็ร โกบยาหยัง ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม อบจ.เชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ และนางน้ำผึ้ง สาธรรม รองผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมเป็นผู้แทนในการมอบทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือดังกล่าว

โครงการนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย ภายใต้การดำเนินงานของ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ตามแนวทางที่กำหนดใน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และเป็นไปตาม ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยรายจ่ายเกี่ยวกับทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาและการให้ความช่วยเหลือนักเรียนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2561 เพื่อสนับสนุนให้นักเรียนและนักศึกษาได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม

ช่วยลดภาระผู้ปกครอง เพิ่มโอกาสทางการศึกษา

การมอบทุนการศึกษาในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยเหลือนักเรียนและนักศึกษาที่มีฐานะยากจนหรือด้อยโอกาสในจังหวัดเชียงราย ให้ได้รับการศึกษาโดยไม่มีอุปสรรคทางด้านค่าใช้จ่าย โดยทุนการศึกษาที่มอบให้ในปีนี้มีทั้งหมด 250 ทุน แบ่งออกเป็นทุนละ 10,000 – 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษาและความจำเป็นของแต่ละบุคคล รวมถึงการให้เงินช่วยเหลือพิเศษสำหรับครอบครัวที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ โครงการยังมุ่งเน้นการสนับสนุนด้าน ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับทุนสามารถศึกษาต่อจนจบหลักสูตรที่กำหนด และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการประกอบอาชีพและเลี้ยงชีพตนเองในอนาคตได้

ส่งน้องเรียน” โครงการที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา

อบจ.เชียงรายเล็งเห็นว่า การสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โครงการ “ส่งน้องเรียน” จึงถูกจัดขึ้นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับนักเรียนและนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยมุ่งเน้นให้พวกเขาสามารถเรียนจบและเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีคุณภาพ

จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ปี 2566) พบว่า จังหวัดเชียงรายมีอัตราการออกจากระบบการศึกษาก่อนวัยอันควรสูงถึง 8.5% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในภาคเหนือ ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าวคือ ปัญหาความยากจนของครอบครัว และการขาดทุนทรัพย์ในการศึกษา ดังนั้นการสนับสนุนทุนการศึกษาของ อบจ.เชียงราย จึงเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาและเพิ่มโอกาสให้เยาวชนสามารถศึกษาต่อได้จนจบการศึกษา

สถิติและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสทางการศึกษาในไทย

จากข้อมูลของ ธนาคารโลก (World Bank, 2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราการเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาเพียง 49% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ที่ 55% โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตราการเข้าเรียนที่ต่ำคือ ปัญหาค่าใช้จ่ายทางการศึกษา และ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2566) เปิดเผยว่า เด็กไทยที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาเพียง 22% เมื่อเทียบกับเด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะดีซึ่งมีโอกาสศึกษาต่อสูงถึง 78%

บทสรุปและแนวทางในอนาคต

การสนับสนุนทุนการศึกษาและเงินช่วยเหลือสำหรับนักเรียนและนักศึกษาที่ยากจนของ อบจ.เชียงราย เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาและเพิ่มโอกาสให้เยาวชนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับ แนวทางการจัดสรรงบประมาณภาครัฐ ว่าควรเพิ่มการสนับสนุนทุนการศึกษาหรือพัฒนาสถาบันการศึกษาให้สามารถรองรับนักเรียนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ อบจ.เชียงรายยืนยันว่า จะดำเนินโครงการลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง และพัฒนารูปแบบการช่วยเหลือเพื่อให้ครอบคลุมเยาวชนในพื้นที่มากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้โครงการนี้เป็นต้นแบบสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย / สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566) / ธนาคารโลก (World Bank, 2566) / สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2566) / องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (2567)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายลุย พัฒนาบุคลากร เครื่องจักรกล

อบจ.เชียงรายจัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เสริมทักษะสู่การทำงานอย่างมืออาชีพ

เชียงราย, 17 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อการทำงานอย่างมืออาชีพ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568ศูนย์เครื่องจักรกลดอยเขาควาย โดยมี นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการ แทน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งมอบหมายให้ดำเนินการ

หลักสูตรและเป้าหมายของโครงการ

โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อ เพิ่มทักษะและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร อบจ.เชียงราย ให้สามารถ ใช้และบำรุงรักษาเครื่องจักรกลหนักอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเครื่องจักรที่ใช้ในภารกิจสำคัญขององค์กร โดยในปีนี้มุ่งเน้นที่หลักสูตร การใช้งานและการบำรุงรักษาเครื่องจักรกลและยานพาหนะเบื้องต้น รถขุดสะเทินน้ำสะเทินบก และรถเครน”

เป้าหมายของการอบรม

  • พัฒนาทักษะของบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมืออาชีพ
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้และบำรุงรักษาเครื่องจักรกลหนักของ อบจ.เชียงราย
  • รองรับภารกิจเร่งด่วน เช่น การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, การพัฒนาแหล่งน้ำ, และการก่อสร้างเส้นทางคมนาคม
  • กระจายบุคลากรและเครื่องจักรไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดอย่างทั่วถึง

ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมอบรม จำนวน 47 คน ซึ่งประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเครื่องจักรกลหนัก และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายซ่อมบำรุง

โยบาย 7 เรือธงของ อบจ.เชียงราย

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ นโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.เชียงราย ซึ่งให้ความสำคัญกับ การกระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน เพื่อให้สามารถ รองรับภารกิจและแก้ไขปัญหาฉุกเฉินของจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ:

  1. การขุดเจาะน้ำบาดาล – เพื่อเพิ่มแหล่งน้ำสะอาดให้ประชาชน
  2. การสร้างธนาคารน้ำใต้ดิน – เพื่อจัดการน้ำในพื้นที่แล้งซ้ำซาก
  3. การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร – สนับสนุนภาคเกษตรกรรม
  4. เครื่องจักรกลสำหรับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย – เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ
  5. พัฒนาเส้นทางเข้าสู่พื้นที่การเกษตรและแหล่งท่องเที่ยว – ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

เสียงสะท้อนจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายที่สนับสนุนโครงการ

  • เจ้าหน้าที่ภาคสนามมองว่า การอบรมช่วยให้สามารถบำรุงรักษาเครื่องจักรกลได้ดีขึ้น ลดการสึกหรอของอุปกรณ์ และช่วยให้เครื่องจักรมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
  • ผู้นำท้องถิ่นชื่นชมโครงการว่าเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะการซ่อมบำรุงถนน และการสร้างแหล่งน้ำ

ฝ่ายที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับโครงการ

  • บางกลุ่มมองว่าจำนวนเครื่องจักรกลของ อบจ.เชียงราย อาจยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของทุกพื้นที่ ควรมีแผนการจัดสรรที่เป็นระบบมากขึ้น
  • เจ้าหน้าที่บางรายระบุว่าควรเพิ่มหลักสูตรการซ่อมบำรุงเชิงลึก เพื่อให้สามารถซ่อมเครื่องจักรได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการซ่อมจากศูนย์กลาง

สรุป

โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของ อบจ.เชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้น การพัฒนาทักษะบุคลากรให้สามารถใช้งานและบำรุงรักษาเครื่องจักรกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ชนบท และการรับมือกับภารกิจฉุกเฉิน

แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจังหวัด แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ความเพียงพอของเครื่องจักรและการเพิ่มหลักสูตรอบรมที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงแผนการจัดสรรงบประมาณและการขยายโครงการในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย  / ศูนย์เครื่องจักรกลดอยเขาควาย  / สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE