Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงราย ค้าชายแดนพุ่ง แต่ลมต้านยังแรง

ส่องทิศทางการค้าชายแดนเชียงรายปี 2568 ศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งอาเซียนที่ยังต้องฝ่าลมต้าน

เชียงราย, 6 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางคลื่นเศรษฐกิจโลกและความเปลี่ยนแปลงของภูมิภาค จังหวัดเชียงรายยังคงยืนหยัดเป็น “ประตูการค้า” ของภาคเหนือสู่ตลาดอาเซียนและจีนอย่างแข็งแกร่ง รายงานดัชนีความเชื่อมั่นการค้าชายแดนปี 2568 ชี้การเติบโตสูงถึง ร้อยละ 7.6 สูงกว่าคาดการณ์เดิมอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนบทบาทของเชียงรายในฐานะศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ใหม่ในระดับภูมิภาค ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ประตูสู่มังกรผลไม้ไทยคือแรงขับเคลื่อนสำคัญ

หนึ่งในแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้การค้าชายแดนเชียงรายทะยานไม่หยุดในปี 2568 คือ อุปสงค์ผลไม้ไทยจากตลาดจีนตอนใต้ โดยเฉพาะผลไม้สดอย่าง “ทุเรียน มังคุด ลำไย” ที่กำลังเป็นดาวรุ่งในตลาดนำเข้า สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายรายงานว่า ในเดือนพฤษภาคม 2568 การค้ากับจีนตอนใต้พุ่งสูงกว่า 13,200 ล้านบาท คิดเป็นกว่า 83% ของการค้ารวมทั้งจังหวัด และเฉพาะการส่งออกผลไม้สดเพียงอย่างเดียว เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 100% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

จุดแข็งของเชียงรายไม่ใช่แค่คุณภาพผลไม้ แต่คือการเชื่อมต่อระบบโลจิสติกส์สู่จีนทั้งทางถนน R3A และโครงการรถไฟจีน-ลาว ทำให้เราขนส่งผลไม้สดถึงตลาดจีนได้เร็วกว่าเดิม ต้นทุนลดลง กำไรก็เพิ่มขึ้น”

แต่ความรุ่งเรืองนี้ ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม หากเศรษฐกิจจีนผันผวน หรือมาตรการนำเข้าผลไม้มีการปรับเปลี่ยน การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป อาจสร้างความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมแผนสำรองไว้เสมอ

เมียนมา-ลาวโอกาสและอุปสรรคของชายแดนตะวันตกและตะวันออก

แม้จีนจะเป็นเป้าหมายหลัก แต่การค้าชายแดนของเชียงรายยังผูกโยงกับ “เมียนมา” และ “สปป.ลาว” อย่างเหนียวแน่น โดยมูลค่าการค้ากับเมียนมาในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่กว่า 10% ของภาพรวมจังหวัด แม้จะเผชิญปัญหาความไม่สงบและการปิดด่านบางส่วน สินค้าไทยที่ยังเป็นที่ต้องการ คือ เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องจักร และการลงทุนของทุนจีนในฝั่งเมียนมาที่ท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษสำคัญ

สำหรับ “สปป.ลาว” ซึ่งมีเส้นทางรถไฟจีน-ลาว เป็นเส้นเลือดใหม่ของภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นการค้าอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ด้วยบทบาทของ “สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4” (เชียงของ-ห้วยทราย) ทำให้การขนส่งและผ่านแดนไปจีนมีความคล่องตัว มูลค่าการค้าเติบโตมั่นคง โดยเฉพาะการส่งออกน้ำมันและสินค้าพื้นฐานจากไทย

แต่ปัญหาหลักของเชียงรายยังคงเป็น การสร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่ สินค้าส่งออกหลักยังคงมาจากภาคกลาง ไม่ใช่ผลผลิตหรืออุตสาหกรรมในจังหวัด ส่งผลให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ “รั่วไหล” ไปยังส่วนกลาง และเกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นไม่มากนัก

นักเศรษฐศาสตร์ชายแดน วิเคราะห์ว่า “ศักยภาพของเชียงรายคือการเป็นศูนย์กลางค้าขาย แต่หากขาดการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปในท้องถิ่น ก็จะเป็นเพียงเส้นทางผ่าน ไม่เกิดการสร้างงานหรือยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน”

โครงสร้างพื้นฐานและนโยบายรัฐกุญแจสำคัญการเปลี่ยนผ่าน

ภาครัฐจึงเร่งผลักดัน “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZs)” ครอบคลุมอำเภอแม่สาย เชียงแสน และเชียงของ ควบคู่กับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น “รถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ” ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ ในปี พ.ศ. 2571 (ค.ศ. 2028) โครงการนี้จะลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มโอกาสค้าขายและสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปในพื้นที่ได้มากขึ้น

บริษัทโลจิสติกส์เชียงของ มองว่า “การมีรถไฟทางคู่จะเป็น Game Changer เปลี่ยนรูปแบบขนส่งให้สะดวกและประหยัดกว่าเดิม เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการไทยในการแข่งกับทุนจีน ทุนเวียดนามที่กำลังขยายอิทธิพลในภูมิภาค”

ศึกสินค้าเกษตรไทย-ทุนจีน โจทย์ใหม่ของท้องถิ่น

หนึ่งในความท้าทายที่เชียงรายต้องเผชิญในปี 2568 คือการแข่งขันกับ “ทุนจีน” ทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตร ทุนจีนเริ่มเข้ามาลงทุนในศูนย์รวบรวมผลไม้ เปิดร้านค้าปลีกและแปรรูปสินค้าเกษตรในเขตชายแดน ส่งผลให้เกษตรกรไทยต้องยกระดับมาตรฐานสินค้า ปรับตัวสู่ระบบ GAP และเพิ่มศักยภาพต่อรองด้านราคา

ในขณะที่มาตรการกีดกันทางการค้าและนโยบายนำเข้าสินค้าของจีนที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ก็เป็นความเสี่ยงที่ภาครัฐและผู้ประกอบการต้องติดตามใกล้ชิด เพื่อลดผลกระทบจากการผันผวนของตลาดนำเข้าและต้นทุนการผลิต

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

  1. เสริมสร้างมูลค่าเพิ่มในท้องถิ่น – รัฐบาลควรส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมแปรรูป สร้างคลัสเตอร์สินค้าเกษตร พัฒนาเกษตรกรและ SME ให้มีมาตรฐานสากลและเข้าถึงตลาดโลกได้
  2. ยกระดับโลจิสติกส์และระบบศุลกากร – เร่งพัฒนา Single Window, ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ และศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะริมชายแดน เพื่อรองรับปริมาณการค้าที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง
  3. กระจายความเสี่ยง ขยายตลาดใหม่ – สนับสนุนสินค้าและบริการที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาผลไม้สดเป็นหลัก ค้นหาตลาดใหม่ ๆ ทั้งอาเซียน ตะวันออกกลาง และยุโรป พร้อมใช้ประโยชน์จาก FTA ที่ไทยมีอยู่
  4. พัฒนาบุคลากรและเครือข่ายธุรกิจ – ลงทุนในการอบรมทักษะโลจิสติกส์ ภาษา และเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมทั้งจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) อย่างต่อเนื่อง เช่น งาน “Northern Border Trade Festival” ที่เชียงรายจัดต่อเนื่องทุกปี
  5. บูรณาการข้อมูลและยุทธศาสตร์ภูมิภาค – สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับจังหวัดเพื่อนบ้าน ผลักดันนโยบาย NEC (Northern Economic Corridor) ให้เกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางในอนาคต

ภาพรวมของการค้าชายแดนเชียงรายปี 2568 สะท้อนทั้งโอกาสและความท้าทาย การเป็นศูนย์กลางการค้าระดับภูมิภาคไม่ใช่เป้าหมายที่ได้มาโดยง่าย หากขาดการเสริมสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น การเติบโตที่เห็นในตัวเลขอาจไม่ได้แปลเปลี่ยนเป็นคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของคนเชียงรายได้อย่างยั่งยืน

ทิศทางในระยะต่อไป จึงต้องอาศัยการบูรณาการทุกมิติ ทั้งนโยบายรัฐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเกษตรกร ผู้ประกอบการ SME และการเชื่อมโยงข้อมูลภูมิภาคเพื่อสร้างอำนาจต่อรองใหม่ให้เชียงราย พร้อมเดินหน้าเป็น “ศูนย์กลางการค้าชายแดน” ที่ประโยชน์ตกถึงคนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้งนครเชียงรายนิวส์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สำนักงานภาคเหนือ)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

อนุทินมอบสำเภาทอง ผลักเศรษฐกิจไทยโต 3% ยั่งยืน

อนุทินมอบรางวัลสำเภาทอง ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ย้ำความสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลสำเภาทองและรางวัลผู้ว่าราชการจังหวัดสำเภาทอง ประจำปี 2567 ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ซึ่งจัดโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยในโอกาสนี้ นายอนุทินยังได้รับมอบสมุดปกขาวหอการค้าไทย ซึ่งรวบรวมข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะเร่งด่วน

เน้นย้ำบทบาทของกระทรวงมหาดไทยในการสนับสนุนเศรษฐกิจ 

นายอนุทินกล่าวว่า แม้กระทรวงมหาดไทยจะไม่ได้ดูแลตัวเลขเศรษฐกิจโดยตรง แต่มีบทบาทสำคัญในฐานะ “เกตเวย์” หรือประตูสำคัญที่เชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับจังหวัด โดยเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเอกชน ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ และอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจสามารถประกอบกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“แต่ละจังหวัดมีคลัสเตอร์เศรษฐกิจที่ต้องผลักดัน ขณะเดียวกันเราต้องการรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีบทบาทด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะ เพื่อดูแลและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” นายอนุทินกล่าว

เป้าหมายการเติบโตเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ในปี 2568 หอการค้าไทยตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโตไม่ต่ำกว่า 3% โดยสมุดปกขาวหอการค้าไทยได้เสนอแนวทางเร่งด่วน 3 ด้าน ได้แก่

  1. การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ
  2. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs
  3. การวางยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายอนุทินกล่าวเสริมว่า ข้อเสนอในสมุดปกขาวเหล่านี้จะถูกนำมาบูรณาการร่วมกับแผนปฏิบัติงานของกระทรวงมหาดไทย เพื่อผลักดันให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รางวัลสำเภาทอง สะท้อนการพัฒนาจังหวัด

ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับรางวัลสำเภาทองในครั้งนี้ ได้รับการยอมรับในด้านการบริหารจัดการและพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างโดดเด่น โดยรางวัลดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องหมายของความสำเร็จในเชิงนโยบาย แต่ยังแสดงถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับจังหวัดและระดับประเทศ

สมุดปกขาว: พิมพ์เขียวสู่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

สมุดปกขาวหอการค้าไทยฉบับปี 2567 ยังระบุถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ การสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หอการค้าไทยยืนยันว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วนคือหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว

การสนับสนุนจากภาครัฐ: จุดเปลี่ยนสำคัญ

นายอนุทินย้ำว่าการสนับสนุนจากภาครัฐไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยกระทรวงมหาดไทยพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกด้าน

งานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นเวทีสำหรับการรับฟังข้อเสนอแนะและแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว ยังสะท้อนถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

หอการค้าฯ ชี้น้ำท่วม เสียหายกว่า 3 หมื่นล้านบาท “เชียงราย” หนักสุด

 

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขยายวงกว้างไปยัง 33 จังหวัดทั้งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ว่าจะเป็น เชียงราย พะเยา สุโขทัย หนองคาย นครพนม พิจิตร สกลนคร พิษณุโลก และอุดรธานี เป็นต้น จากมวลน้ำที่ไหลผ่านเข้าสู่ภาคกลางประกอบกับแนวโน้มที่ฝนจะตกเพิ่มต่อเนื่องอีกระลอก ทำให้หลายจังหวัดยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วม

โดยเฉพาะปริมาณฝนที่คาดว่าจะมีการตกหลังเขื่อนในช่วงเดือนต.ค.ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมเพิ่มเติมได้ ดังนั้น ทุกภาคส่วนยังจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์น้ำต่อไปอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรเร่งจัดทำแผนเชิงป้องกันไว้ล่วงหน้าที่ชัดเจนก็จะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและเศรษฐกิจได้มาก

โดยหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินมูลค่าความเสียหายแล้ว ประมาณ 29,845 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 0.17% ของ GDP (ข้อมูล ณ 28 ก.ย. 67) ซึ่งภาพรวมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรวมทั้งสิ้นประมาณ 3 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่การเกษตร 1,166,992 ไร่ และพื้นที่อื่นๆ 1,826,812 ไร่

ทั้งนี้ จากการประเมิน พบว่า ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีมูลค่าความเสียหายรวมถึง 24,553 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 82.3% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาเป็นภาคบริการ เสียหาย 5,121 ล้านบาท

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเสียหายราว 171 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายในภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เนื่องจากมีการเตรียมการรับมือกับสถานการณ์น้ำได้ดี สำหรับจังหวัดที่ได้รับผลกระทบและมูลค่าความเสียหายมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ เชียงราย มีมูลค่าความเสียหายรวม 6,412 ล้านบาท รองลงมาคือ พะเยา 3,292 ล้านบาท สุโขทัย 3,042 ล้านบาท

นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งที่เกิดขึ้นถี่และขยายวงกว้างมากขึ้น อีกทั้งยังสร้างผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตของภาคการเกษตรที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ขณะที่รัฐบาลต้องใช้งบประมาณในการบรรเทาความเสียหายและเยียวยาประชาชนในส่วนนี้กว่าปีละแสนล้านบาท

ดังนั้น หอการค้าฯ จึงเห็นว่าประเทศไทยควรมีการทบทวนและวางแผนการบริหารจัดการน้ำเป็นระบบ โดยได้จัดทำข้อเสนอทั้งเชิงนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางการบริหารจัดการน้ำ (Infrastructure and Water Management) รวมถึงข้อเสนอเชิงสนับสนุน เช่น ศึกษา ปัญหาอุปสรรคด้านการบริหารจัดการน้ำในส่วนภูมิภาค เพื่อสะท้อนแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่อย่างครอบคลุม

การจัดตั้ง War Room ของรัฐบาลเพื่อสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงการเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ แนวทางการเติมน้ำใต้ดิน เพื่อเป็นการบริหารจัดการน้ำในช่วงขาดแคลน รวมทั้งแนวทางอนุรักษ์น้ำรองรับการอุปโภค บริโภค และการใช้เชิงพาณิชย์ อย่างยั่งยืน

นายอธิป พีชานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาเครือข่ายสมาคมการค้า กล่าวว่า  ได้ระดมความช่วยเหลือ ทั้งเงินสนับสนุน สิ่งของอุปโภค-บริโภค ยา-เวชภัณฑ์ อาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงอุปกรณ์ในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย มูลค่ารวมกว่า 5.7 ล้านบาท เพื่อนำความช่วยเหลือไปยังจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นการเร่งด่วน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News