Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ทางออกวิกฤตความเชื่อมั่นที่ทำได้! ย้ายแหล่งน้ำดิบ หนี แม่น้ำกกปนเปื้อน ปกป้อง 1.2 แสนชีวิต

วิกฤตน้ำกกสู่แม่น้ำลาว กปภ.เชียงรายเร่งย้ายแหล่งน้ำดิบ หนีสารหนู–โลหะหนัก ปกป้องสิทธิในน้ำสะอาดของคนกว่า 1.2 แสนชีวิต

เชียงราย, 26 พฤศจิกายน 2568 – สำหรับคนเชียงรายจำนวนมาก “น้ำประปา” เคยเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องน้ำสะอาดจากลุ่มน้ำกก แต่ในวันนี้ ภาพจำดังกล่าวกำลังถูกแทนที่ด้วยความกังวลและความไม่เชื่อมั่น เมื่อข้อมูลการปนเปื้อน “สารหนูและโลหะหนัก” ในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา ถูกยืนยันผ่านทั้งผลตรวจจากหน่วยงานรัฐ ห้องแล็บอิสระ และเสียงสะท้อนจากชุมชนที่เริ่ม “เลิกดื่ม เลิกใช้น้ำประปา” ทีละหลังคาเรือน

แม้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย จะยืนยันว่าคุณภาพน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานกรมอนามัย (สารหนูต่ำกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร จากเกณฑ์ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) แต่สำหรับประชาชนจำนวนไม่น้อย ตัวเลขดังกล่าวกลับไม่เพียงพอที่จะสร้างความมั่นใจ วิกฤตครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ “วิกฤตมลพิษ” หากแต่เป็น “วิกฤตความเชื่อมั่น” ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงน้ำสะอาดของประชาชนกว่า 120,000 คนในเขตเทศบาลนครเชียงรายและพื้นที่ปลายน้ำ

ในบริบทเช่นนี้ แผนของ กปภ.เชียงราย ที่จะ ย้ายแหล่งน้ำดิบผลิตประปาจากแม่น้ำกกไปยังแม่น้ำลาว ด้วยงบประมาณรวม 2,176 ล้านบาท จึงถูกจับตามองในฐานะ “ทางออกเดียวที่ทำได้ทันที” ท่ามกลางปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ที่ซับซ้อนเกินกว่าท้องถิ่นจะรับมือได้เพียงลำพัง

แม่น้ำกกปนเปื้อน–ชุมชนริมเขื่อนเชียงรายลุกขึ้นถาม “น้ำที่ใช้ยังปลอดภัยหรือไม่”

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่ฉางข้าวบ้านท่าบนได หมู่ที่ 1 อำเภอเวียงชัย จ.เชียงราย กลุ่มผู้ใช้น้ำเขื่อนเชียงรายฝั่งขวาที่ 1 จัดประชุมสามัญประจำปี 2568/2569 เพื่อหยิบยก “ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนัก” ขึ้นสู่เวทีอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการเข้าร่วมของ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) นำโดย นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ปัญหาหลักที่กลุ่มผู้ใช้น้ำฯ นำโดยนายประถมพงษ์ ฤทธิแผง ประธานกลุ่มฯ รายงานต่อที่ประชุม คือ การตรวจพบการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขาหลายจุด มีค่าเกินมาตรฐานในบางพื้นที่ และมีข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญว่า ต้นตอของมลพิษมาจาก “เหมืองแร่ทองคำและเหมืองแร่หายาก” บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

สำหรับเกษตรกรผู้ใช้น้ำกว่า 750 ครัวเรือน ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่กระทบโดยตรงต่อความมั่นคงด้านอาหารและรายได้ เมื่อมีความกังวลว่า สารพิษอาจตกค้างในผลผลิตทางการเกษตร ขณะเดียวกันราคาข้าวที่ตกต่ำก็ทำให้ภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นจากทั้งมลพิษและภาวะเศรษฐกิจ

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย ยืนยันในที่ประชุมว่า อบจ.เชียงราย “ไม่นิ่งนอนใจ” และจะเข้าไปเป็นแกนนำประสานข้อมูลทุกหน่วยงาน ทั้งด้านคุณภาพน้ำ สิ่งมีชีวิตในแม่น้ำ และผลกระทบต่อชุมชน เพื่อผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกกอย่างเป็นระบบ โดยย้ำว่า นี่ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่คือปัญหา “สิทธิด้านสุขภาพและสิทธิชุมชน” ของคนเชียงรายทั้งลุ่มน้ำ

เหมืองต้นน้ำเมียนมา–ทุนข้ามชาติ และสัญญาณเตือนจากข้อมูลดาวเทียม

วิกฤตแม่น้ำกกไม่ได้เกิดขึ้นโดดเดี่ยว รายงานของ Stimson Center ซึ่งเป็นคลังสมองด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ เปิดเผยในเดือนพฤศจิกายน 2568 ว่า ทั่วภูมิภาคแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเหมืองที่อาจปล่อยสารพิษลงสู่ลุ่มน้ำสายหลักมากกว่า 2,400 แห่ง โดยอาศัยภาพถ่ายดาวเทียมระบุพื้นที่เหมืองแบบ alluvial, เหมืองแบบ heap leach และเหมืองแร่หายากแบบ in-situ leaching (ISL) รวมอย่างน้อย 366 แห่ง, 359 แห่ง และ 77 แห่ง ตามลำดับ

รายงานดังกล่าวเตือนว่า กิจกรรมเหมืองเหล่านี้ใช้สารเคมีอันตราย เช่น ไซยาไนด์ ปรอท แอมโมเนียมซัลเฟต และสารอีกหลากหลายชนิด ซึ่งเมื่อไหลลงสู่แม่น้ำ จะสะสมในตะกอนและห่วงโซ่อาหาร สร้างความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อสุขภาพของประชาชนในลุ่มน้ำโขง–สาละวิน–กก–สาขาต่าง ๆ ในระยะยาว

องค์กรสิทธิมนุษยชนในรัฐฉาน เช่น Shan Human Rights Foundation รวมทั้งเอกสารวิจัยของมหาวิทยาลัยต่างประเทศและศูนย์วิจัยคะฉิ่น ยังระบุว่า เหมืองแร่หายากและทองคำหลายแห่งบริเวณต้นน้ำแม่น้ำกกเป็นของบริษัทและนักลงทุนสัญชาติจีน โดยคนจีนทำหน้าที่บริหารและควบคุมเทคนิค ขณะที่แรงงานในพื้นที่เป็นผู้ปฏิบัติงานและสัมผัสสารพิษโดยตรง

บริบทดังกล่าวสอดคล้องกับข้อสังเกตของ รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายติดตามสถานการณ์ลุ่มน้ำกก ที่ชี้ว่า การทำเหมืองแร่หายากและทองคำในรัฐฉานใช้เทคโนโลยีการทำเหมืองแบบสกปรกที่ “จีนเลิกใช้ในประเทศแล้ว” แต่กลับถูกส่งออกมาตั้งในประเทศเพื่อนบ้านที่มีมาตรการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมอ่อนแอกว่า

เมื่อผนวกกับแนวโน้มจาก บันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านแร่สำคัญระหว่างไทย–สหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายเพิ่มปริมาณแร่หายากในห่วงโซ่อุปทานโลก นักวิชาการจำนวนหนึ่งจึงเตือนว่า ปัจจัยด้านความมั่นคงทางพลังงานและอุตสาหกรรมสีเขียว อาจกลายเป็นแรงผลักให้การสำรวจและทำเหมืองในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น และยิ่งซ้ำเติมความเสี่ยงต่อสิทธิชุมชนปลายน้ำ หากไม่มีมาตรการกำกับที่เข้มแข็งควบคู่กัน

กปภ.เชียงราย “ระบบยังเอาอยู่ แต่ต้องย้ายแหล่งน้ำ เพราะประชาชนไม่ยอมรับ”

ในฝั่งของผู้ให้บริการน้ำประปา นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย เปิดเผยว่า แผนการย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปยังแม่น้ำลาว เริ่มต้นจากการตรวจพบ “สารหนู” ในแม่น้ำกกเมื่อปีก่อน แม้ค่าที่ตรวจวัดได้จะต่ำกว่ามาตรฐานกรมอนามัย แต่ก็สร้างความไม่สบายใจให้ประชาชนอย่างกว้างขวาง

เดิม กปภ.เชียงรายใช้กระบวนการผลิตน้ำประปามาตรฐานทั่วไป ใช้สารส้มและปูนขาวเป็นหลัก แต่หลังพบโลหะหนัก จึง เพิ่มขั้นตอน “พรีคลอรีน (Pre-chlorination)” เติมคลอรีนก่อนการตกตะกอนเพื่อช่วยแยกโลหะหนัก พร้อมเสริมสารเคมี โพลีอะลูมิเนียมคลอไรด์ (PACl) และ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เพื่อเร่งให้ตะกอนที่เกาะสารหนูตกลงสู่ก้นถัง ก่อนจะผ่านขั้นตอน “อินเตอร์คลอรีน” และระบบกรองอีกชั้นหนึ่ง

จากคุณภาพน้ำดิบในแม่น้ำกกที่เคยมีค่าความขุ่นสูงถึง 10,000 NTU ในช่วงน้ำท่วม และเฉลี่ยราว 180 NTU ในสถานการณ์ปกติ กปภ.เชียงรายควบคุมให้ ค่าความขุ่นก่อนกรองไม่เกิน 4 NTU และหลังกรองน้ำต้องมีค่าความขุ่นไม่เกิน 1 NTU ตามเกณฑ์ที่เข้มกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ

นายอภิศักดิ์ย้ำว่า สารเคมีที่ใช้ “เป็นสารปรับปรุงคุณภาพน้ำที่ปลอดภัยตามมาตรฐานผลิตน้ำประปา” อยู่ภายใต้การควบคุมของห้องแล็บ และส่งผลตรวจให้กรมอนามัยตรวจสอบเป็นระยะ

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า

“เหตุผลสำคัญคือประชาชนไม่ยอมรับแหล่งน้ำจากแม่น้ำกก แม้กระบวนการผลิตของเราจะควบคุมคุณภาพได้ แต่เมื่อคนในพื้นที่รู้สึกไม่มั่นใจ กปภ.ก็ต้องปรับตัวตามข้อเรียกร้องนั้น เราไม่ได้ย้ายเพราะผลิตไม่ได้ แต่เพราะอยากให้ประชาชนมั่นใจที่สุด”

ในมุมของคนทำงานด้านระบบประปา เขายังคงเชื่อว่ากระบวนการผลิตสามารถรับมือกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกได้ แต่ก็ยอมรับว่า การฟื้นฟูแม่น้ำให้กลับมาสะอาดในเชิงโครงสร้าง ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งกินเวลายาวนานเกินกว่าจะปล่อยให้ประชาชนเสี่ยงรอ

ย้ายสู่ “แม่น้ำลาว” งบ 2,176 ล้านบาท การลงทุน 100 ปีเพื่อสิทธิในน้ำสะอาด

แผนย้ายแหล่งน้ำดิบของ กปภ.เชียงราย กำหนดให้ตั้งจุดสูบน้ำและผลิตน้ำประปาใหม่บริเวณฝายแม่ลาว แล้วส่งน้ำผ่านท่อแรงดันเข้าสู่เขตเมืองเชียงราย ระยะทางราว 34 กิโลเมตร โครงการนี้ใช้งบประมาณรวม 2,176 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเสนอของบประมาณในปีงบประมาณ 2571 หากผ่านความเห็นชอบ จะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปี 2571–2572

นอกจากจะเป็นการ “หนีน้ำกกปนเปื้อน” แผนดังกล่าวยังถูกออกแบบให้ ขยายพื้นที่ให้บริการน้ำประปา ตามเส้นทางท่อจากฝายแม่ลาวเข้าสู่ตัวเมือง ทำให้ชุมชนที่อยู่นอกเขตบริการเดิมสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้มากขึ้น โดยคาดว่าจำนวนผู้ใช้น้ำจะเพิ่มจาก 41,539 ครัวเรือนในปี 2568 เป็น 66,639 ครัวเรือนในปี 2589

ในระยะสั้น กปภ.เชียงรายได้ของบประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและติดตั้งระบบจ่ายสารเคมีที่สถานีผลิตน้ำวังคํา ให้ควบคุมปริมาณสารได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อเสริมความมั่นใจระหว่างรอแผนระยะยาว

รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร มองว่า การใช้งบประมาณระดับพันล้านบาทเพื่อย้ายแหล่งน้ำดิบครั้งนี้ แม้ดูสูง แต่เมื่อเทียบกับการป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพในระยะยาวของประชาชนทั้งจังหวัด ถือเป็น “การลงทุนเพื่ออนาคต 100 ปี” ที่คุ้มค่า

“งบฯ พันล้านซื้อความปลอดภัยให้คนทั้งจังหวัดได้ 100 ปี มันคุ้มค่ามากกว่าการรอให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา”

เมื่อคนเชียงราย “เลิกดื่ม–เลิกใช้น้ำประปา” วิกฤตความเชื่อมั่นที่ตัวเลขมาตรฐานอธิบายไม่พอ

วิกฤตครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์ หากไม่ฟังเสียงของผู้ใช้น้ำตัวจริง

มธุรส เปล่งใส ชาวบ้านในเขตอำเภอเมืองเชียงราย เล่าว่า หลังเกิดข่าวการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก ครอบครัวของเธอ “หยุดใช้น้ำประปาดื่มมาหลายเดือน”

“น้ำประปาเราใช้ในชีวิตประจำวันทุกอย่างเลย ทั้งล้างหน้า แปรงฟัน รดน้ำต้นไม้ ให้น้ำสัตว์เลี้ยง ยกเว้นแค่น้ำดื่มเท่านั้นที่เราไม่กล้าใช้… เรารู้ว่าเขาพยายามชี้แจง มีคนออกมาชิมน้ำ โชว์ล้างหน้า แต่ไม่มีผลวิจัยยืนยันเลยว่า ถ้าเราดื่มน้ำแบบนี้ไป 10 ปี 20 ปี จะไม่เป็นมะเร็ง”

ทางเลือกของครอบครัวจึงเหลือเพียง “ต้องซื้อน้ำดื่มทั้งหมด” ทั้งดื่มและทำอาหาร เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ครัวเรือนในช่วงเศรษฐกิจตึงตัว

ด้าน รัตติกร แสงสุวรรณ เจ้าของร้านอาหารในเขตเทศบาลนครเชียงราย สะท้อนปัญหาคล้ายกัน เธอระบุว่า จากเดิมที่ใช้ “น้ำประปากรอง” เพื่อประกอบอาหารและบริการลูกค้า ปัจจุบันต้องหันไปใช้น้ำโรงงานทั้งหมด เพราะไม่มั่นใจในคุณภาพน้ำ แม้จะผ่านการกรองแล้วก็ตาม

“ตอนนี้ต้องซื้อน้ำทั้งหมด ทั้งน้ำดื่มสำหรับลูกค้า และน้ำที่ใช้ประกอบอาหาร… แม้จะกรองน้ำประปาแล้ว กลิ่นคลอรีนก็ยังแรง บางครั้งแม้ต้มน้ำ กลิ่นก็ยังไม่หาย”

รัตติกรยังพบปัญหาผิวหนังหลังอาบน้ำประปา จนแพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงใช้น้ำดังกล่าวโดยตรง เธอจึงต้องหาวิธีเก็บน้ำให้ตกตะกอนก่อนใช้ หรือหันไปใช้น้ำจากแหล่งอื่นเท่าที่หาได้

ในระดับชุมชน ปรัตถกร การเร็ว กำนันตำบลแม่ยาว เล่าว่า หมู่บ้านริมกกซึ่งเคยใช้น้ำประปาหมู่บ้านจากแม่น้ำกก ต้องหยุดใช้น้ำมานานกว่าหนึ่งปี ทั้งจากความเสียหายของระบบประปาหมู่บ้านในเหตุภัยพิบัติปี 2567 และจากความกังวลเรื่องสารหนูปนเปื้อน

ชาวบ้านกว่า 400 ครัวเรือนในพื้นที่ ต้องหันมาซื้อน้ำดื่มใช้เอง จากที่เคยใช้น้ำแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย กลายเป็นต้องจ่ายเดือนละ 500–1,000 บาท ซึ่งเป็นภาระหนักต่อครัวเรือนรายได้น้อย

“ชาวบ้านไม่รู้ว่าน้ำที่เทศบาลนำมาเติมเป็นน้ำจากไหน แต่ก็จำเป็นต้องใช้ เพราะคนเราขาดน้ำไม่ได้ มันเป็นภาวะจำยอมจริง ๆ”

เสียงสะท้อนเหล่านี้ยืนยันว่า แม้ตัวเลขค่ามาตรฐานน้ำจะ “อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย” แต่เมื่อความเชื่อมั่นถูกสั่นคลอน ประชาชนจำนวนมากจำเป็นต้องหา “ระบบความปลอดภัยของตัวเอง” ผ่านการซื้อน้ำ โรงงาน กักเก็บน้ำ หรือเปลี่ยนรูปแบบการใช้น้ำประปา ซึ่งแปลตรง ๆ เป็น “ต้นทุนแฝง” ทางเศรษฐกิจและสุขภาพ ที่ไม่ปรากฏในบิลค่าน้ำ

น้ำไม่ใช่แค่ทรัพยากร แต่คือ “สิทธิขั้นพื้นฐาน” และโจทย์การทูตข้ามพรมแดน

รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร ย้ำหลายครั้งว่า ปัญหาน้ำกกไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิคของระบบกรองน้ำ หากแต่เป็น สิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงน้ำสะอาด และ “สิทธิชุมชน” ในการกำหนดอนาคตของทรัพยากรธรรมชาติที่เลี้ยงดูตนเอง

เขาชี้ว่า จากข้อมูลการตรวจวัดต่อเนื่อง 8 เดือนที่ผ่านมา เห็นชัดว่า สารโลหะหนักแม้จะต่ำกว่าค่ามาตรฐาน แต่เมื่อบริโภคทุกวัน ย่อมมีโอกาสสะสมในร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง หรือโรคระบบประสาท

ขณะเดียวกัน เขาเชื่อมโยงกรณีแม่น้ำกกกับลุ่มน้ำอื่น ๆ ทั้งสาละวิน กระบุรี และโขง ซึ่งต่างเริ่มตรวจพบปัญหาปนเปื้อนโลหะหนักจากกิจกรรมเหมืองในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เตือนถึงการเพิ่มขึ้นของโลหะหนักในบางช่วงของแม่น้ำโขงในแขวงเกาะแก้ว สปป.ลาว

สำหรับเขาและเครือข่าย ภาพรวมทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญวิกฤต “ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม” ที่จำเป็นต้องแก้ไขด้วยความร่วมมือข้ามพรมแดน ไม่ว่าจะเป็นการกดดันทุนข้ามชาติ ระบบตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของแร่หายากในตลาดโลก หรือการใช้เวทีภูมิภาค เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เป็นพื้นที่เจรจากับประเทศต้นน้ำและจีน

แต่ในขณะที่กระบวนการทางการทูตและกลไกระหว่างประเทศยังต้องใช้เวลา ประชาชนปลายน้ำ “ไม่อาจรอได้” ทางออกที่ทำได้ทันที จึงกลับมาที่โจทย์เดิม – ย้ายแหล่งน้ำดิบเพื่อหยุดความเสี่ยงโดยตรงต่อชีวิตผู้คนก่อน

ย้ายแหล่งน้ำ ทางหนีไฟที่จำเป็น แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

สำหรับจังหวัดเชียงรายซึ่งกำลังถูกผลักดันให้เป็น “เมืองเศรษฐกิจและศูนย์กลางชายแดน” การมีระบบน้ำประปาที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และรองรับการเติบโตของครัวเรือนจากราวสี่หมื่นกว่าครัวเรือนสู่หกหมื่นกว่าครัวเรือนในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ไม่ใช่เพียงประเด็นเทคนิคด้านสาธารณูปโภค แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานของความเชื่อมั่น” ต่อเมืองทั้งระบบ

แผนย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปแม่น้ำลาวจึงเปรียบเสมือน “ทางหนีไฟ” ของเมืองเชียงรายในภาวะวิกฤต เป็นมาตรการที่ต้องทำ และต้องทำให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อปกป้องสิทธิในการมีชีวิตและน้ำสะอาดของประชาชน

อย่างไรก็ดี นักวิชาการ ภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่นล้วนเห็นพ้องว่า การย้ายแหล่งน้ำไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หากปราศจากการจัดการต้นตอปัญหาในรัฐฉานและลุ่มน้ำเพื่อนบ้าน ผ่านการเจรจาระดับรัฐต่อรัฐ การกดดันทุนข้ามชาติ และการสร้างกลไกตรวจสอบแหล่งแร่ในห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างจริงจัง

สุดท้าย ความสำเร็จของมาตรการครั้งนี้จะไม่ได้วัดเพียงจากตัวเลขงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ หรือจำนวนครัวเรือนที่เชื่อมต่อระบบประปาเพิ่มขึ้น หากแต่วัดจาก “จำนวนคนเชียงรายที่กลับมากล้าเปิดก๊อกดื่มน้ำในบ้านตัวเอง” และจากวันที่แม่น้ำกกจะไม่ถูกกล่าวถึงในฐานะ “แม่น้ำที่ต้องหนี” หากแต่กลับมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตคนเชียงรายอีกครั้ง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สถาบัน Stimson Center
  • The Active – บทสัมภาษณ์ รศ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร, นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์, มธุรส เปล่งใส, รัตติกร แสงสุวรรณ, ปรัตถกร การเร็ว และชาวบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำกก
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ยกระดับบริการพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น

อบจ.เชียงราย จัดอบรมพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นยุคใหม่ ยกระดับการบริหารงานตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

เชียงราย,27 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้จัดโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นยุคใหม่ เพื่อยกระดับการปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้บริหาร สมาชิกสภา และข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้สอดคล้องกับ หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมี นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด

ในโอกาสนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ พร้อมด้วย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงาน และได้รับเกียรติจาก นายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และข้าราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการอบรม

เป้าหมายของโครงการ

การจัดอบรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ให้แก่บุคลากรในระดับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยเน้นย้ำให้การทำงานมีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง

เนื้อหาการอบรมและวิทยากร

ในระหว่างการอบรม ผู้เข้าร่วมได้รับฟังบรรยายพิเศษจาก นายฐิติกร สุขเสาร์ หัวหน้ากลุ่มตรวจสอบทรัพย์สิน จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การป้องกันการทุจริตในองค์กร และการบริหารงานที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

นายฐิติกร ได้เน้นย้ำถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความซื่อสัตย์สุจริต และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พร้อมให้ข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานสากล เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

บทบาทของ อบจ.เชียงราย ในการบริหารงานตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายมีหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะและส่งเสริมการพัฒนาท้องถิ่น โดยการปฏิบัติงานขององค์กรยึดหลัก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 รวมถึง พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ซึ่งกำหนดแนวทางในการบริหารราชการให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างแท้จริง

หลักการสำคัญในการบริหารงาน ได้แก่:

  1. ความโปร่งใส และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
  2. การมีส่วนร่วมของประชาชน ในการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนา
  3. การตรวจสอบและประเมินผล อย่างต่อเนื่อง
  4. การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า

ความเห็นจากผู้เข้าร่วมอบรม

ฝ่ายสนับสนุน: ผู้เข้าร่วมอบรมส่วนใหญ่แสดงความเห็นว่าการอบรมครั้งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารงานที่โปร่งใสและเป็นธรรม อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางส่วนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการนำหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีไปใช้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารงบประมาณที่ต้องมีความรัดกุมและโปร่งใสอย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยการติดตามและตรวจสอบอย่างเข้มงวด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการครั้งนี้: กว่า 150 คน (ที่มา: อบจ.เชียงราย)
  • สถิติการจัดอบรมด้านการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีในปี 2567: จัดอบรม 10 ครั้ง ครอบคลุมกว่า 1,000 คน (ที่มา: สำนักบริหารงานบุคคล อบจ.เชียงราย)
  • ระดับความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการอบรมในปีที่ผ่านมา: 90% (ที่มา: ศูนย์ประเมินผลการอบรม อบจ.เชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ได้แล้วผู้ชนะการแข่งบาส 3×3 และการแข่งกีฬาเชียร์จังหวัดเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2567 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ร่วมรับชมการแข่งขันและมอบรางวัลการแข่งขันกีฬาเชียร์จังหวัดเชียงราย ในโครงการมหกรรมกีฬาและนันทนาการเยาวชน อบจ.เชียงราย ปี 2567 CR-PAO Youth & Recreation Festival 2024 พร้อมนี้ นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ ประธานสภา อบจ.เชียงราย นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย และคุณสุพัทรา สุริโยทัย หัวหน้าแผนกการตลาด ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าเชียงราย ได้ร่วมมอบรางวัลการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล 3×3 ระดับโซนและระดับจังหวัดเชียงราย ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย โดยมีผลรางวัลการแข่งขันประเภทต่างๆ ดังนี้

 

ผลรางวัลการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล 3x3 รุ่น 12 ปี ผสม

  1. รางวัลชนะเลิศ : ทีม TYC
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : ทีม หัวเกรียนทั้งหลาย
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : HRK C

 

ผลรางวัลการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล 3x3 รุ่น 14 ปี หญิง

  1. รางวัลชนะเลิศ : ทีม JBC-Z
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : ทีมสามัคคีวิทยาคม
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : ทีมคนรักษ์ดอยแม่สลอง

 

ผลรางวัลการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล 3x3 รุ่น 14 ปี ชาย

  1. รางวัลชนะเลิศ : ทีม JBC-A
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : ทีมบ้านถ้ำ
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : ทีมสามัคคีวิทยาคม

 

ผลรางวัลการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล 3x3 รุ่น 16 ปี หญิง

  1. รางวัลชนะเลิศ : ทีม PPNF
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : ทีมคนรักษ์ดอยแม่สลอง
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : ทีม JBC-X

 

ผลรางวัลการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล 3x3 รุ่น 16 ปี ชาย

  1. รางวัลชนะเลิศ : ชมรมบาสเก็ตบอลเชียงราย
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : ทีมสามัคคีวิทยาคม A
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : ทีมห้วยซ้อ

 

ผลรางวัลการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล 3x3 รุ่น 18 ปี หญิง

  1. รางวัลชนะเลิศ : ทีม ห้วยไร่ Basketball clubs
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : ทีมเด็กดีพิทยาคม
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : ทีม HSW

 

ผลรางวัลการแข่งขันกีฬาบาสเกตบอล 3x3 รุ่น 18 ปี ชาย

  1. รางวัลชนะเลิศ : ทีม บ้านถ้ำ MPS
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : ทีม Rissing star
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : ทีม ห้วยซ้อ

 

ผลการแข่งขันกีฬาเชียร์จังหวัดเชียงราย ประเภท Hip HOP Taem 15-18 ปี

  1. รางวัลชนะเลิศ : MYDA Crew

 

ผลการแข่งขันกีฬาเชียร์จังหวัดเชียงราย ประเภท Hip HOP Doubles 15-18 ปี

  1. รางวัลชนะเลิศ : Step It up
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : TDC A
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : TDC B

 

ผลการแข่งขันกีฬาเชียร์จังหวัดเชียงราย ประเภท Hip HOP Doubles 12-14 ปี

  1. รางวัลชนะเลิศ : TWO STEP
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : TDC
  3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : The kid

 

ผลการแข่งขันกีฬาเชียร์จังหวัดเชียงราย ประเภท Pom Doubles 15- 18 ปี

  1. รางวัลชนะเลิศ : The kid
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : TDC

 

ผลการแข่งขันกีฬาเชียร์จังหวัดเชียงราย ประเภท Pom Doubles 12-14 ปี

  1. รางวัลชนะเลิศ : The kid
  2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : Oh my gosh

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

‘อทิตาธร’ ร่วมยินดีกับนักกีฬา บาสเกตบอล TOA 3×3

 

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เวลา 17.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ ประธานสภา อบจ.เชียงราย แสดงความยินดีกับนักกีฬาที่ได้รับรางวัล ในรายการแข่งขันบาสเกตบอล “TOA 3X3 BASKETBALL ALL THAILAND 2024“ ณ ประตูท่าแพ จ. เชียงใหม่ ในวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยได้รับรวม 3 รางวัล ได้แก่ 

ชนะเลิศ รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปีหญิง ได้แก่ 

  1. เด็กหญิงเพลงพิณ ไตรแสง 
  2. เด็กหญิงมะลิ อินทยศ 
  3. เด็กหญิงพาขวัญ สงวนศรี 
  4. เด็กหญิงกรภัค ดีน้อย 

รองชนะเลิศอันดับ 1 รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปีชายได้แก่ 

  1. นายเบนจามิน ซันนี่ สลาวจ์เตอร์ 
  2. นายกุนที ครุฑไทย 
  3. นายตะวันฉาย มาบุตร 
  4. นายไชยพงศ์ ภาสน์ประวิตร 

 

รองชนะเลิศอันดับ 2 รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปีชาย ได้แก่ 

  1. เด็กชายกัญจน์ ดอนเมือง 
  2. เด็กชายกันตณพิชญ์ ศิระกมลโรจน์ 
  3. เด็กชายชินกฤต ธรานิศร 
  4. ด็กชายกวีวัฒณ์ ถูกจิตต์เสฎฐี 

 

และสำหรับทีมที่ชนะเลิศจะได้ไปแข่งขันต่อในรอบประเทศ Grand Final เพื่อชิงตั๋วไปดูการแข่งขัน บาสเกตบอล 3×3 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 27-29 ก.ค. 2567 ในลำดับต่อไป ทั้งนี้ นายก นก ได้กล่าวแสดงความยินดี พร้อมส่งเสริมและผลักดันการแข่งขันกีฬาของเยาวชน ซึ่งถืออีกหนึ่งนโยบายในการพัฒนาของ อบจ.เชียงราย ที่จะสร้างโอกาสและสนับสนุนส่งเสริมให้เยาวชนมีพื้นที่สร้างสรรค์โดยใช้กีฬานานาชนิด ในการค้นหาสร้างเยาวชนช้างเผือกด้านกีฬาสู่สากลกีฬาประจำท้องถิ่น กีฬาคนพิการ รวมไปถึงส่งเสริมให้เยาวชนทั่วไปทำกิจกรรมเล่นกีฬาประเภทอื่น ๆ วางรากฐานเรื่องกีฬามาตั้งแต่ท้องถิ่น ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ มุ่งสู่การเป็นนักกีฬาระดับจังหวัด ระดับภาค ระดับประเทศ ระดับสากล และนักกีฬาอาชีพต่อไป

 

บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หรือ TOA ร่วมกับ สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย เปิดศึกการแข่งขันดวลบาสฯ 3 คน ยอดฮิต TOA 3×3 Basketball All Thailand 2024 ปลุกกระแสบาส 3×3 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 พร้อมลุยจัด 10 สนามทั่วไทยตามมาตรฐานสากล เน้นเอนเตอร์เทนเมนต์ให้มีสีสันมากยิ่งขึ้น ประเดิมสนามแรก 26 – 27 เมษายน 2567 นี้ที่ จ.ชลบุรี ทีมผู้ชนะรุ่น 12-14 ปี ชิงตั๋วรางวัลพิเศษ บินลัดฟ้าไปชมการแข่งขันบาสเกตบอลแมตช์ระดับโลกที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรม CSR ทาสี ตีเส้น มอบสนามบาสให้ชุมชนทั้ง 10 จังหวัด พร้อมเปิดโอกาสให้เยาวชนรุ่นใหม่ ส่งไอเดียทาสีสนาม ชิงเงินทุนการศึกษารวมกว่า 150,000 บาท สานต่อนโยบายภาครัฐในการลงนาม MOU สนับสนุนสมาคมกีฬาบาสฯ เพื่อร่วมส่งเสริม พัฒนา และขับเคลื่อนวงการกีฬาให้เป็น Soft Power ที่สำคัญของประเทศ โดยมี นายสุรศักดิ์ เกิดจันทึก รองผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TOA นายนิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร นายกสมาคมกีฬาบาสเกตบอล แห่งประเทศไทย และนายปิยพงศ์ พิรุณ เลขาธิการสมาคมกีฬาบาสฯ ร่วมแถลงข่าวเปิดศึกการแข่งขันบาสเกตบอล TOA 3×3 Basketball All Thailand 2024 ณ การกีฬาแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567

 

นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TOA เปิดเผยว่า ตามที่ TOA ได้ร่วมกับ สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย เป็นเวลา 12 ปี ด้วยมุ่งหวังส่งเสริมให้เยาวชนไทย หันมาออกกำลังกาย เล่นกีฬา ทำให้ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใส ห่างไกลยาเสพติด และพัฒนาวงการกีฬาบาสไทยให้มีชื่อเสียงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกีฬาบาสฯ 3×3 ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในเยาวชน จนทำให้รายการแข่งบาส TOA 3×3 ออล ไทยแลนด์ ในปีที่ผ่านมาได้รับกระแสการตอบรับอย่างท่วมท้น ในปีนี้จึงได้ยกระดับการจัดการแข่งขันบาสเกตบอล 3 คน ที่บวกเอนเตอร์เทนเมนต์ให้มีสีสันมากขึ้น เพื่อให้เยาวชนในต่างจังหวัด ได้มีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันในมาตรฐานระดับสากล พร้อมสานต่อกิจกรรม CSR “ทาสี ตีเส้น” ส่งมอบสนามบาสให้ชุมชน10 แห่งทั่วประเทศ พร้อมเปิดโอกาสให้ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดออกแบบสนามบาสเกตบอลตามจังหวัดที่เราไปจัดการแข่งขัน ชิงเงินทุนการศึกษารวมกว่า 150,000 บาท 

“ซึ่งในวาระที่ ทีโอเอ ครบรอบ 60 ปี เราจึงมอบรางวัลพิเศษ พาเยาวชนทีมที่ชนะเลิศ รุ่น U12 และ U14 รวม 3 ทีม 12 คน บินลัดฟ้าไปชมการแข่งขันบาสเกตบอลแมตช์ระดับโลก นัดชิงชนะเลิศรายการ 3×3.EXE PREMIER 2024 PLAYOFFS ปลายเดือนกันยายนนี้ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อมอบประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยได้สานฝันสู่การเป็นนักกีฬาระดับอาชีพ และพัฒนาวงการกีฬาไทยไปสู่ระดับสากลอีกด้วย”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดโครงการสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเชื่อม ต.เมืองชุม – ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย

 

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 11.00 น. นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ ประธานสภา อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดสะพาน อบจ.เชียงราย โครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก เชื่อมระหว่าง ม.9 ต.เมืองชุม – ม.2 ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย พร้อมด้วย นายอนันต์ นัยติ๊บ ผอ.ส่วนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำนักช่าง อบจ.เชียงราย นาย มงคล ศรีธิ หน. ฝ่ายสำรวจ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย นางสาวธนัชญา ใจแปง หน.ฝ่ายบริหารงานทั่วไป สำนักช่าง อบจ.เชียงราย และบุคลากรสำนักช่าง อบจ.เชียงราย 

 

โดยมี ว่าที่ ร.ต.ชัยยา พลอยแหวน นายกเทศมนตรี ต.เมืองชุม กล่าวรายงาน และมีนางลัดดาวัลย์ เลิกนุช ปลัด ทต.เมืองชุม นายสุทัศน์ ใจศรี รองนายกเทศมนตรี ต.เวียงเหนือ นายปฐมพงษ์ ฤทธิแผลง ประธานสภา ทต.เวียงเหนือ นายดวงจันทร์ จันคำ กำนัน ต.เมืองชุม นางอำพร จันทร์คำ ประธานกลุ่มพัฒนาสตรี อ.เวียงชัย ผู้นำท้องถิ่นท้องที่ และประชาชนในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

 

โครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กแห่งนี้ เป็นโครงการหนึ่งที่มีความสำคัญด้านการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง จากการเล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว อบจ.เชียงราย จึงได้ผลักดันให้เกิดโครงการนี้ เพื่อพัฒนา จ.เชียงรายให้ดียิ่งขึ้น สะพานนี้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อ 2 ตำบล ได้แก่ ต.เมืองชุม และ ต.เวียงเหนือ เพื่อทำให้การเดินทางสัญจรไปมาของประชาชนเกิดความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งยังเป็นการส่งเสริมทั้งภาคการเกษตร การค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวให้สะดวกยิ่งขึ้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News