Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สาธารณสุขเชียงรายลุย เร่งตรวจคัดกรองสารหนู แม่น้ำกก-แม่น้ำสาย หลังพบปนเปื้อน

เชียงรายเดินหน้าเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยงสารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย วางระบบเชิงรุก–บูรณาการเครือข่าย เตรียมตรวจคัดกรองกว่า 1,600 ราย ย้ำมาตรฐานปลอดภัยต่อชีวิต

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์ปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงราย สร้างความห่วงกังวลต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ผนึกกำลังกับภาคีเครือข่ายทั้งในระดับท้องถิ่นและส่วนกลาง จัดระบบเฝ้าระวังเชิงรุก ตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ตั้งเป้าครอบคลุม 1,600 รายใน 7 อำเภอสำคัญ

จุดเริ่มต้นของมาตรการเชิงรุก

ความตื่นตัวของหน่วยงานภาครัฐต่อภัยสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานการตรวจพบสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ ส่งผลให้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กรมควบคุมโรค และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้ระดมกำลังประชุมหารือวางแผนร่วมกัน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 โดยนายณรงค์ ลือชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมคณะทำงานจากกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ และสาธารณสุขอำเภอทั่วพื้นที่

การตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยง

การดำเนินการระยะแรก ลงพื้นที่บ้านรวมมิตร ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ตรวจคัดกรองประชาชนกลุ่มแรก 30 ราย ที่อาศัยในรัศมี 1 กิโลเมตรจากแม่น้ำ พบว่า มีความเสี่ยงสัมผัสสารหนูสูง 2 ราย (6.67%) เสี่ยงปานกลาง 10 ราย (33.33%) และเสี่ยงต่ำ 18 ราย (60%) โดยการตรวจเน้นที่การสัมภัสและอุปนิสัยการใช้น้ำในครัวเรือน

สำหรับแผนงานต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 1 – 10 กรกฎาคม 2568 จะขยายการคัดกรองไปยัง 7 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองเชียงราย, เวียงชัย, เวียงเชียงรุ้ง, แม่สาย, แม่จัน, เชียงแสน และดอยหลวง ครอบคลุม 40 หมู่บ้าน ๆ ละ 40 ราย รวมทั้งสิ้น 1,600 ราย พร้อมเก็บข้อมูลแบบสอบถามประเมินความเสี่ยง หลังจากนั้น วันที่ 22 – 24 กรกฎาคม 2568 จะมีการตรวจปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยงสูงและปานกลางจำนวน 400 ราย เพื่อวิเคราะห์ค่าความเข้มข้นของสารหนูและใช้ประเมินแนวโน้มสุขภาพในระยะยาว

ผลตรวจเชิงวิชาการและมาตรฐานความปลอดภัย

ข้อมูลผลตรวจปัสสาวะกลุ่มเสี่ยง ในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย เมื่อวันที่ 5 – 6 มิถุนายน 2568 ระบุว่า

  • กลุ่มประชาชนที่อยู่ใกล้แม่น้ำกก จำนวน 5 ราย พบค่าความเข้มข้นของสารหนูระหว่าง 45.7 – 93.2 มิลลิกรัม/ลิตร อยู่ในระดับไม่เกินมาตรฐาน (ค่ามาตรฐาน 100 มิลลิกรัม/ลิตร)
  • กลุ่มประชาชนที่อยู่ใกล้แม่น้ำสาย 5 ราย พบค่าความเข้มข้นของสารหนูระหว่าง 27.1 – 43.6 มิลลิกรัม/ลิตร อยู่ในระดับปลอดภัย
    ทั้งนี้ ผลดังกล่าวช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเบื้องต้นต่อประชาชนในพื้นที่ว่าระบบเฝ้าระวังสามารถตรวจจับความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางต่อไป

การบูรณาการหน่วยงานระดับพื้นที่และส่วนกลางร่วมกันขับเคลื่อนการเฝ้าระวังเชิงรุก นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ยั่งยืน ข้อมูลการตรวจวิเคราะห์จะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและปรับปรุงแผนป้องกันในระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมในชุมชนลุ่มน้ำที่มีความเสี่ยงสูงสุดของจังหวัดเชียงราย

นอกจากมาตรการคัดกรองและวินิจฉัยโรคในประชาชนกลุ่มเสี่ยงแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเดินหน้าทำงานเชิงรุกด้านการสื่อสาร ให้ความรู้ สร้างความตระหนักรู้ในประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงการประเมินข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

สรุป

วิกฤตการณ์สารหนูในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย เป็นบททดสอบสำคัญของระบบสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายในการสร้างมาตรการป้องกันเชิงรุกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ การบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ประชาชาติธุรกิจ: รายงานสถานการณ์สุขภาพจากสารหนูปนเปื้อน
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปากแบง HPP ชี้แจง โครงการลาวเดินหน้า ชี้ผลกระทบข้ามพรมแดน

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง เดินหน้าสื่อสาร-รับฟังชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมโขง เชียงราย แจงผลศึกษา TbEIA–CIA ย้ำมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก สปป.ลาว จัดประชุมชี้แจงความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Beng HPP) กับชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง กลุ่มรักษ์เชียงของ กลุ่มนักวิชาการอิสระในพื้นที่ ตัวแทนโรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น และสื่อมวลชนกว่า 500 คน จากอำเภอเวียงแก่นและเชียงของ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 18-21 มิถุนายน 2568 เพื่ออัปเดตสถานะการก่อสร้าง กำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน พร้อมสร้างความเข้าใจ กระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่

สาระสำคัญของโครงการ

ดร.วรวิทย์ ผดุงบวรศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงเป็นเขื่อนแบบทดน้ำ (run off river) มีจุดเด่นที่ควบคุมปริมาณน้ำท้ายน้ำอย่างสมดุล (Inflow = Outflow) เพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนในลุ่มน้ำโขงตอนล่างทั้งลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม โดยเน้นย้ำถึงการดำเนินงานตามมาตรการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (TbEIA) และผลกระทบสะสม (CIA) อย่างรอบคอบ รวมถึงมีแผนช่องทางเดินเรือ ทางผ่านปลา ระบบระบายตะกอน และกำหนดแผนก่อสร้างในหน้าแล้ง ตุลาคม 2568

การศึกษา TbEIA–CIA และข้อกังวลชุมชน

คุณเยาวภา ชูวงศ์ จากบริษัทที่ปรึกษา ระบุว่า การศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนเน้นความโปร่งใสตามแนวทาง MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) มีการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ครอบคลุมระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และชุมชน ก่อนกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ยังมีการดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการ PNPCA อย่างครบถ้วน โดยผลการจำลองคณิตศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ระดับน้ำจะเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ผาไดถึงบ้านดอนมหาวัน 10 กม.) จากนั้นระดับน้ำจะคงที่

รับฟังเสียงชุมชน–เยียวยาอย่างต่อเนื่อง

ในเวทีรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้านแสดงความกังวลเรื่องระดับน้ำโขงที่อาจส่งผลต่อพื้นที่ทำกิน น้ำเท้อเข้าลำน้ำสาขา เกษตรกรสวนส้มโอ และประมง พร้อมสอบถามมาตรการเยียวยา การฟื้นฟูอาชีพ และกลไกพิจารณาการชดเชย ด้านผู้พัฒนาโครงการยืนยันจะเร่งสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจ-สังคม เจรจาแนวทางเยียวยา พร้อมเปิดเวทีชี้แจงปีละ 2 ครั้ง ตลอด 29 ปีของโครงการ โดยลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลร่วมกับเกษตรกรในลำน้ำงาวหลังประชุม เพื่อคลายความกังวลของชุมชน

โอกาส–ความท้าทาย

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงสะท้อนการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนและความรับผิดชอบข้ามพรมแดน ทั้งในมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และความโปร่งใส แม้โครงการจะวางแผนบรรเทาผลกระทบและเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม แต่การรับฟังและแก้ไขข้อห่วงใยของชุมชนยังต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมจริงของชาวบ้านจะเป็นตัวชี้ขาดความสำเร็จของโครงการนี้

สรุปและทิศทางต่อไป

ผู้พัฒนาโครงการยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการรับฟังความเห็นและเดินหน้าโครงการด้วยความรับผิดชอบ เปิดกว้างต่อข้อเสนอแนะ พร้อมสัญญาจะรายงานความคืบหน้าและมาตรการเพิ่มเติมแก่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด
  • ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่งแอนด์แมนเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน)
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
  • ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“สารพิษแม่น้ำกก ไทย-เมียนมาผนึกกำลัง รัฐบาลย้ำความปลอดภัยประชาชน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันนายกรัฐมนตรีสั่งเร่งแก้ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารพิษ เตรียมส่งทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมถกเมียนมา-จีนและหน่วยงานระหว่างประเทศ ดันแนวทางจัดการต้นเหตุเหมืองทองฝั่งเมียนมา ยกระดับความร่วมมือข้ามพรมแดนสู่ความยั่งยืน

การขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนจากรัฐบาลกลาง


เชียงราย, 29 มิถุนายน 2568 – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า พล.อ.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายด้วยตนเองและติดตามปัญหาคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกอย่างใกล้ชิด หลังมีรายงานการปนเปื้อนสารพิษจากกิจกรรมเหมืองในประเทศเมียนมา โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

“นายกรัฐมนตรีได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง รวมถึงประสานขอความร่วมมือจากจีนและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำอย่างเร่งด่วนและยั่งยืน” นายมาริษกล่าว

เร่งเดินหน้าเจรจาเชิงเทคนิคกับเมียนมา-จีน

ในสัปดาห์หน้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะนำคณะผู้เชี่ยวชาญไทยเข้าหารือกับผู้เชี่ยวชาญเมียนมาที่กรุงเนปิดอว์ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและออกแบบแนวทางแก้ไขเชิงระบบ ตั้งแต่การป้องกันต้นทาง การพัฒนาเครื่องมือเฝ้าระวัง การควบคุมไม่ให้สารพิษไหลลงสู่แม่น้ำกก โดยมีเป้าหมายในการยุติผลกระทบระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดทางขอรับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNEP, UNDP และ GEF

ศูนย์อำนวยการคุณภาพน้ำส่วนหน้า สื่อสารใกล้ชิดประชาชน

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เปิดเผยถึงการเร่งขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่จริง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณภาพน้ำทุกมิติทั้งประปา สัตว์น้ำ พืชผล เกษตรกรรม ตลอดจนสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ พร้อมจัดเวทีสาธารณะรับฟังข้อเสนอแนะ เปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำหนดแนวทางแก้ไข และสื่อสารความคืบหน้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เพจ “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย (AIM)”, วิทยุชุมชน, เสียงตามสาย และหอกระจายข่าว

ความร่วมมือข้ามพรมแดน สู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ เนื่องจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นทรัพยากรร่วมระหว่างไทย-เมียนมา การแก้ไขจึงต้องเน้นความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด ล่าสุดกรมกิจการชายแดนทหารได้หารือกับกองทัพเมียนมาเกี่ยวกับปัญหาสารหนู โดยเมียนมามอบหมายให้กรมทรัพยากรสิ่งแวดล้อมส่งทีมลงพื้นที่สำรวจเพื่อเตรียมพร้อมร่วมประชุม Regional Border Committee (RBC) 2–3 กรกฎาคมนี้ ซึ่งฝ่ายไทยจะเสนอแนวทางความร่วมมืออย่างยั่งยืน และเตรียมการเจรจาระดับรัฐบาลในอนาคต

วิเคราะห์และแนวโน้มผลลัพธ์

การเดินหน้าเชิงรุกของรัฐบาล ทั้งในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การมีส่วนร่วมของประชาชน การตรวจสอบคุณภาพน้ำ และการขอความร่วมมือจากนานาชาติ สะท้อนความตั้งใจที่จะปกป้องสุขภาพประชาชนและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำกกอย่างยั่งยืน หากสามารถบรรลุข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมจากทุกฝ่าย จะช่วยสร้างความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาและสร้างแบบอย่างความร่วมมือชายแดนเพื่อปกป้องทรัพยากรน้ำของภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศ
  • กระทรวงมหาดไทย
  • ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย (AIM)
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สารหนูแม่น้ำกกยังสูง เชียงรายเร่งตรวจน้ำ-ปลา ประชาชนวอนขอผลชัดเจน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำและพร้อมรับมืออุทกภัย บูรณาการหน่วยงานรัฐ-ชุมชนสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งด้านคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญและความเสี่ยงต่ออุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน

ประชุมเร่งด่วนบูรณาการทุกภาคส่วน


วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่าน VDO Conference กับจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน เพื่อรายงานและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ และการป้องกันอุทกภัย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในช่วงหลังฝายเชียงรายที่ค่าความเข้มข้นของสารหนูเกินมาตรฐานในระยะนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดประตูน้ำช่วงน้ำหลากและการขุดลอกลำน้ำที่ทำให้ตะกอนสารหนูลอยขึ้นปะปนในน้ำ อย่างไรก็ตาม ระดับสารหนูหลังฝายยังต่ำกว่าช่วงต้นน้ำกก

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง-ลงพื้นที่ตรวจเข้ม


จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3 จุดหลัก คือ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และสามเหลี่ยมทองคำ พร้อมเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทีมตรวจสอบเคลื่อนที่เข้าสู่หมู่บ้าน/ชุมชน และเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปา โดยผลตรวจล่าสุดพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ขณะเดียวกัน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย เพื่อตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในตัวปลาอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่างพืชผักที่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย ซึ่งยังไม่พบว่ามีค่าปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

ด้านสุขภาพประชาชน สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเร่งดำเนินการเชิงรุก ทั้งตรวจร่างกาย เฝ้าระวังอาการผิดปกติ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิด รพ.สต. ให้เป็นจุดเฝ้าระวังและรับแจ้งอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการบริโภคน้ำหรือสัตว์น้ำปนเปื้อน

แผนรับมืออุทกภัย เครื่องมือ-เครื่องจักรพร้อมรับสถานการณ์


ในด้านการรับมืออุทกภัย จังหวัดได้ทบทวนแผนและพื้นที่เสี่ยงทั่วลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง และแม่น้ำรวก โดยติดตั้งโทรมาตร (อุปกรณ์วัดระดับน้ำ) กว่า 21 จุดตลอดแม่น้ำกก และพร้อมจัดซ้อมแผนรับมือภัยในเดือนมิถุนายน 2568 มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เสี่ยง เช่น แม่สาย เทิง แม่จัน พร้อมทั้งบริหารจัดการข้อมูล 24 ชั่วโมงผ่านศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด

หน่วยงานกรมการทหารช่างได้สร้างแนวป้องกันน้ำในแม่สายและขุดลอกแม่น้ำรวก รวมถึงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการขุดลอกแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำท่วมข้ามพรมแดน นอกจากนี้ ยังวางแผนสำรองเผชิญเหตุในระดับหมู่บ้านเพื่อดูแลพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สนามบิน และสถานีผลิตน้ำประปา

ภาคประชาชน-ชุมชนร่วมมือ สร้างความมั่นใจในแหล่งอาหาร


เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมหาวัน ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน สะท้อนถึงความห่วงใยของชาวบ้านต่อแหล่งอาหารหลัก ซึ่งมีรายได้เสริมจากการจับปลาขาย แต่ต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่งจากกระแสข่าวสารปนเปื้อนในน้ำ โดยชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานเร่งประกาศผลตรวจอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของชุมชน

วิเคราะห์แนวโน้ม-สร้างเสถียรภาพระยะยาว


การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในจังหวัดเชียงรายในขณะนี้ สะท้อนถึงความพยายามของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน ในการสร้างระบบเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง คือการสื่อสารสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับประชาชนให้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ อาศัยกลไกวิทยาศาสตร์การแพทย์และการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนและความมั่นคงด้านอาหารในจังหวัด

สรุป


แม้สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำกกจะยังคงน่าห่วง แต่จากการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และการสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า จ.เชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเฝ้าระวังเข้ม ประมง-PCD ลุยตรวจสารหนูในแม่น้ำ ชี้อันตรายต่อสุขภาพ

ประมงเชียงรายจับปลาตรวจโลหะหนักในแม่น้ำกก-สาย ชลประทานสนับสนุนปรับระดับน้ำ – กรมควบคุมมลพิษเผยพบสารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง แนะประชาชนเลี่ยงใช้น้ำโดยตรงในพื้นที่เสี่ยง

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ยังคงได้รับการจับตามองอย่างเข้มข้น หลังพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายหลักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่

จับปลาตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในแม่น้ำสายหลัก

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักวิจัยจากกรมประมง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย ได้ลงพื้นที่จับปลาจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บตัวอย่างปลานำไปตรวจสอบทั้งด้านโรคและสารโลหะหนัก โดยดำเนินการคัดแยก ชั่ง-วัด และจำแนกชนิดปลาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะส่งมอบตัวอย่างให้กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ และกองตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำ ดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป

ภารกิจสำคัญนี้มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์คุณภาพสัตว์น้ำในระบบนิเวศลุ่มน้ำกก-สาย ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนเกินเกณฑ์อันตรายหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้บริโภค และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

ชลประทานเชียงรายหนุนภารกิจด้วยการปรับระดับน้ำชั่วคราว

ขณะที่โครงการชลประทานเชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยการปรับลดระดับเก็บกักน้ำหน้าเขื่อนเชียงรายลงราว 50 เซนติเมตร ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยแก่ทีมปฏิบัติงานที่ต้องจับปลาบริเวณท้ายเขื่อน หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บตัวอย่างปลาตามแผนแล้ว ทางชลประทานจะปรับระดับน้ำกลับสู่สภาวะปกติทันที โดยยืนยันว่า การปรับระดับน้ำครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งน้ำเพื่อการเกษตรหรือกระบวนการผลิตน้ำประปาในพื้นที่แต่อย่างใด

ผลตรวจสารโลหะหนักในน้ำยังเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

ด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 โดยเน้นแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ตลอดจนแม่น้ำสาขาต่าง ๆ โดยผลตรวจพบว่า

  • แม่น้ำกก ตรวจวัด 15 จุด พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 15 จุด ค่าสูงสุด 0.023 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.)
  • แม่น้ำสาย ตรวจวัด 3 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทุกจุด ค่าสูงสุด 0.038 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำโขง ตรวจวัด 2 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทั้ง 2 จุด ค่าสูงสุด 0.018 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำสาขา (ฝาง, กรณ์, ลาว, สรวย) คุณภาพน้ำยังเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ แผนติดตามคุณภาพน้ำปี 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง (มีนาคม-กันยายน 2568) และเก็บตัวอย่างตะกอนเดือนละ 1 ครั้ง (พฤษภาคม-กันยายน 2568) การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 5 ดำเนินการระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ

สถานการณ์ล่าสุดยังพบว่าค่าความขุ่นและสารหนูในแม่น้ำหลายพื้นที่สูงกว่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเวศ และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากประชาชนใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง

ข้อแนะนำประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง กรมควบคุมมลพิษแนะนำให้

  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ทั้งการอุปโภคและบริโภค
  • หากจำเป็นต้องใช้น้ำ ควรผ่านกระบวนการบำบัดและตรวจสอบคุณภาพก่อนทุกครั้ง
  • งดเว้นกิจกรรมทางน้ำ เช่น การลงเล่นน้ำ หรือจับสัตว์น้ำโดยตรงในจุดที่เสี่ยงสูง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลตรวจของปลาต่อเนื่อง พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าและแจ้งเตือนประชาชนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเต็มที่

บทวิเคราะห์และแนวโน้มสถานการณ์

การตรวจสอบและติดตามคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกก-สายอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานระดับจังหวัดและส่วนกลาง ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ประมงและงานวิจัยสิ่งแวดล้อม เพื่อคลี่คลายปมปัญหาด้านสุขภาพ สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ แม้จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังคงต้องการการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและระบบแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพในชุมชนริมน้ำ

สถานการณ์นี้จึงเป็นจุดทดสอบการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะ การเสริมสร้างความมั่นใจต่อมาตรฐานความปลอดภัยของแหล่งอาหารและน้ำ รวมถึงการเร่งรัดผลักดันนโยบายป้องกันมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • รายงานคุณภาพน้ำประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐบาลคุมเข้ม! ตั้งคณะทำงานพิเศษจัดการสารพิษแม่น้ำกก ขจัดความกังวล

นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างใกล้ชิด สั่งหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนเร่งดูแลความปลอดภัยประชาชน-ตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจ

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกซึ่งเป็นสายธารหลักเชื่อมต่อระหว่างเมียนมากับภาคเหนือของไทยเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ สถานการณ์นี้นำมาซึ่งความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารบางชนิดที่อาจมากับกระแสน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำของแม่น้ำสายสำคัญดังกล่าว

ล่าสุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ส่วนตัว ยืนยันว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนทุกเรื่อง
“ดิฉันขอยืนยันว่ารัฐบาลติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เรารวบรวมข้อมูลจากรายงานของทุกภาคส่วนทั้งในไทยและเมียนมา รวมถึงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA และการลงพื้นที่จริงของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับกองทัพ เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” นายกรัฐมนตรีระบุ

ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ-เดินหน้าเจรจาระดับทวิภาคีและพหุภาคี

ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาความมั่นคงแห่งชาติ และเหล่าทัพ เพื่อวางแผนรับมือในทุกมิติ พร้อมแต่งตั้ง “คณะทำงานด้านเทคนิค” นำโดยรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง โดยมี GISTDA กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรฯ และกองทัพ ร่วมเป็นคณะกรรมการหลัก

หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการเร่งประเมินสถานการณ์สารปนเปื้อน และเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงด้านน้ำสะอาดของประชาชน และการขับเคลื่อนการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เพื่อสร้างมาตรการรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีระบุว่า “กระบวนการเจรจาอาจใช้เวลา แต่เราต้องรีบแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนในระยะสั้นควบคู่กันไป”

ลงพื้นที่ตรวจสอบ-ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานเฉพาะกิจ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และรับมือสถานการณ์อย่างรัดกุม เบื้องต้นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มงวด ทั้งการสุ่มตรวจสารปนเปื้อน ตลอดจนการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนรองรับสถานการณ์หากมวลน้ำจากฝนตกหนักในเมียนมาไหลเข้ามาเพิ่มเติม โดยพิจารณาการสร้างฝายหรือเขื่อนดักตะกอนในระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการลดการแพร่กระจายของสารปนเปื้อนและควบคุมคุณภาพน้ำในอนาคต

ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยน้ำประปา-แจกเครื่องกรองน้ำครัวเรือน

แม้จะมีความเสี่ยงจากน้ำดิบในลำน้ำกก แต่รัฐบาลยืนยันว่ามาตรการด้านสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนจะต้องเข้มงวดสูงสุด น้ำประปาทั้งจากการประปาภูมิภาคและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
รวมถึงการกระจายเครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) ระดับครัวเรือนไปยังพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง ขณะที่ในพื้นที่ห่างไกล การประปาได้เตรียมจุดจ่ายน้ำประปาเคลื่อนที่และติดตั้งแทงค์สำรองน้ำ เพื่อรับประกันว่าประชาชนจะไม่ขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า “ประชาชนจะต้องได้รับความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยในสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกคน”

การบริหารจัดการวิกฤตการณ์และแนวโน้มข้ามพรมแดน

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงที่มีความเชื่อมโยงทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การรับมือในระยะสั้นผ่านศูนย์เฝ้าระวัง และการจัดการน้ำสะอาดนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน ขณะเดียวกัน การดำเนินงานในระยะยาว เช่น การเจรจาระหว่างประเทศและการพัฒนามาตรการโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

กรณีแม่น้ำกกนี้จึงนับเป็นบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและรักษาความมั่นคงของสิ่งแวดล้อมไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐานทส. ชี้แม่น้ำกก-สายยังน่าห่วง

รมว.ทส. สั่งเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง จ.เชียงราย เดินหน้าประชุมมาตรการเข้มข้นเพื่อคืนคุณภาพชีวิตประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์วิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน หลังการตรวจพบค่าปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายเกินกว่าค่ามาตรฐานซ้ำซ้อนหลายจุด สร้างความวิตกกังวลต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยืนยันเดินหน้าแก้ไขปัญหาทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อเร่งคืนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตสารหนูข้ามพรมแดนในพื้นที่ลุ่มน้ำเชียงราย

ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือโดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ถูกจับตามองจากประชาชน สื่อมวลชน และนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรน้ำพบค่าการปนเปื้อนสารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตรายสูงต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์น้ำ เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกและประเทศไทยกำหนดไว้ สร้างความวิตกกังวลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งต้องใช้น้ำในชีวิตประจำวัน

สถานการณ์ดังกล่าวซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าแหล่งกำเนิดมลพิษส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากนอกประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำในเขตชายแดนเมียนมาและพื้นที่ชายแดนจีน ซึ่งควบคุมและตรวจสอบต้นเหตุโดยตรงได้ยาก รัฐบาลไทยจึงต้องดำเนินงานเชิงรุก ทั้งมาตรการเฉพาะหน้าและแผนความร่วมมือระหว่างประเทศ

รมว.ทส. สั่งประชุมเร่งรัดมาตรการ รับมือผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์หลังร่วมลงนามถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระบรมมหาราชวัง ว่าได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ตามกรอบที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานและคลายข้อห่วงใยจากประชาชนในพื้นที่

รัฐมนตรีฯ ย้ำว่า แม้มาตรการที่ทำได้ในทันทีอาจเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ เช่น การออกแบบระบบดักตะกอนเพื่อชะลอการกระจายของสารปนเปื้อนและเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ แต่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จะต้องเพิ่มจำนวนและความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำ ครอบคลุมตลอดลำน้ำและสาขา ทั้งน้ำผิวดิน ตะกอนดิน สัตว์หน้าดิน ไปจนถึงตรวจระดับสารพิษในร่างกายของประชาชนกลุ่มเสี่ยง

แม่น้ำกก-สาย ยังเกินมาตรฐานในบางจุด

รายงานจากกรมควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบค่าการปนเปื้อนของสารหนูเกินกว่าค่ามาตรฐานในการตรวจวัดทั้งน้ำผิวดินและตะกอนดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อนถึงจุดที่น้ำไหลผ่านฝายเชียงรายไปยังแม่น้ำโขง พบว่าหลังผ่านฝายดังกล่าว ค่าสารปนเปื้อนมีแนวโน้มลดลง สาเหตุจากกระแสน้ำถูกลดความเร็ว ส่งผลให้มีการตกตะกอนเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว และแม่น้ำสรวย คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะพบสารหนูในตะกอนเกินค่ามาตรฐานสำหรับการปกป้องสัตว์หน้าดิน แต่ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ในขณะนี้

ความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายที่ต้องใช้เวลา

ดร.เฉลิมชัย เน้นว่า การแก้ไขปัญหาสารหนูที่ต้นเหตุต้องอาศัยกระบวนการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งกับเมียนมาและจีนซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นประสานความร่วมมือผ่านเวทีทวิภาคีและภูมิภาค พร้อมทั้งผลักดันข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ขณะเดียวกัน มาตรการในประเทศต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนประชาชนให้งดกิจกรรมทางน้ำในพื้นที่เสี่ยง ให้ใช้น้ำเฉพาะแหล่งที่ผ่านการรับรองคุณภาพ และจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์

การสื่อสารและแจ้งเตือนประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

รมว.ทส. ฝากถึงประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงราย และใกล้เคียง ให้ติดตามข่าวสารและประกาศแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป เนื่องจากทุกหน่วยงานกำลังร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อเฝ้าระวังและเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด

วิเคราะห์และแนวโน้มผลกระทบ

กรณีปนเปื้อนสารหนูในลุ่มน้ำเชียงรายถือเป็นแบบอย่างสำคัญของวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ที่ต้องอาศัยทั้งมาตรการภายในประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ภาคประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน พร้อมแนวทางปฏิบัติอย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง หากสถานการณ์คลี่คลายได้ จะเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคสำหรับอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำกก-สาย-โขง (กรมควบคุมมลพิษ, 1 มิ.ย. 2568)
  • ค่าสารหนูเกินมาตรฐานในน้ำผิวดินและตะกอนในหลายจุด (กรมควบคุมมลพิษ)
  • การเพิ่มจุดและความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอน (กรมทรัพยากรน้ำ)
  • แนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
  • แนวทางแจ้งเตือนและเฝ้าระวังประชาชน (กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กรมประมงเฝ้าระวังน้ำกก-สาย สรุปขอเลี่ยงหรือกินปลาได้

กรมประมงเข้มตั้งทีมเฉพาะกิจเฝ้าระวังสัตว์น้ำแม่น้ำกก-สาย ชี้ผลตรวจยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ขอประชาชนเลี่ยงบริโภคชั่วคราว

เชียงราย, 2 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ต่อสถานการณ์สารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมประมงเดินหน้ายกระดับมาตรการเฝ้าระวัง ตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ” ตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำข้ามพรมแดนอย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะประชาชนเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำสองสายนี้ชั่วคราว แม้ผลตรวจเบื้องต้นยังไม่เกินค่ามาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน

จุดเริ่มต้นของปัญหาและมาตรการรับมือ

สถานการณ์การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกเริ่มกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ หลังมีรายงานปลาบางชนิดมีตุ่มแดงผิดปกติ รวมถึงมีประชาชนในเขตอำเภอแม่สายเกิดอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน สร้างความวิตกกังวลในวงกว้าง ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงและชาวบ้านที่อาศัยแหล่งน้ำเป็นหลัก

กรมประมงโดยนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดี ได้เปิดเผยถึง “แผนเฉพาะกิจตรวจติดตามและเฝ้าระวังสารปนเปื้อนสัตว์น้ำ” ในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง 4 จุดหลักทั้งในเชียงรายและเชียงใหม่ ได้แก่ บ้านโป่งนาคำ, สะพานแม่ฟ้าหลวง, หลังวัดสันธาตุถึงสบกก (เชียงราย) และชายแดนไทย-เมียนมา หมู่บ้านแก่งตุ๋ม อำเภอแม่อาย (เชียงใหม่) โดยเน้นการเก็บตัวอย่างปลาสำคัญ เช่น ปลาสร้อย ปลาซ่า ปลาค้าว และปลากด ทุก 2 สัปดาห์ ตั้งแต่พฤษภาคมถึงกันยายน 2568

ข้อมูลผลการตรวจสอบล่าสุด

จากการเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่า สารพิษสำคัญ ได้แก่ สารหนู (As), ปรอท (Hg), ตะกั่ว (Pb) และแคดเมียม (Cd) รวมถึงการตรวจเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และพยาธิวิทยาในปลายังคงอยู่ในระดับที่ “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” ตามเกณฑ์สากล โดยเฉพาะในปลากินพืชมีการตกค้างของโลหะหนักในระดับต่ำ ส่วนปลากินเนื้อ พบค่าสารปรอทสูงกว่าปลากินพืชแต่ยังไม่เกินมาตรฐาน

กรณีปลามีตุ่มแดง จากการวินิจฉัยพบว่าเกิดจากปรสิตและเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ไม่พบในอวัยวะภายใน และยังไม่พบการติดเชื้อไวรัส ขณะที่ผลตรวจสารปนเปื้อนในปลาทั้ง 3 รอบที่เก็บมา ยังคงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน อันเป็นข้อมูลสำคัญยืนยันว่าสถานการณ์ยังไม่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในวงกว้าง

คำแนะนำและการสื่อสารกับสาธารณชน

ถึงแม้ผลการตรวจสอบจะยังไม่พบอันตราย กรมประมงได้แนะนำประชาชน “หลีกเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำที่จับได้จากแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในระยะนี้” เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูปลามีไข่ที่ควรให้ธรรมชาติฟื้นฟู และป้องกันการสะสมของโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

พร้อมกันนี้กรมประมงยังย้ำว่าสัตว์น้ำที่จำหน่ายตามท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยงในระบบปิด ไม่ใช้น้ำจากแม่น้ำทั้งสองสาย ดังนั้นประชาชนยังสามารถมั่นใจในความปลอดภัยของอาหารทะเลและสัตว์น้ำที่ซื้อบริโภคได้ตามปกติ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและเสียงสะท้อนของชุมชน

ประมงอำเภอเชียงแสนร่วมเวทีเสวนา “ทวงคืนสายน้ำกกขอคนปลายน้ำ” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจัดโดยเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย และศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการพูดคุยถึงมาตรการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำ พืช ดิน และสัตว์ เป็นระยะ รวมถึงแผนรับมือภัยพิบัติและการร่วมมือของรัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่

เสียงสะท้อนจากคนในชุมชนระบุว่า ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อรายได้และจิตใจของผู้ประกอบอาชีพประมง ราคาปลาตกต่ำและขายยากเนื่องจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น แม้หน่วยงานรัฐจะเร่งชี้แจงข้อมูลและลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเป็นระยะ แต่ความวิตกกังวลยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการสะสมของสารพิษในปลากินเนื้อและความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร

มาตรการเพิ่มเติมด้านสาธารณสุขและการติดตามผู้ได้รับผลกระทบ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันตรวจสอบกรณีประชาชนในบ้านแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ ที่มีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อ โดยทีมแพทย์เฉพาะทางลงพื้นที่ตรวจร่างกาย เบื้องต้นพบว่าเป็นผื่นแพ้เหงื่อและยังไม่พบความผิดปกติรุนแรง พร้อมกับเก็บตัวอย่างน้ำในบ่อ 6 จุดเพื่อนำส่งตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดเพิ่มเติม

เจ้าหน้าที่ได้เน้นย้ำประชาชนในพื้นที่เสี่ยงหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ หากพบอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน แสบผิวหนัง หรืออ่อนเพลีย ให้รีบพบแพทย์ทันที

แนวทางแก้ไขและผลกระทบในระยะยาว

แม้ข้อมูลทางวิชาการในขณะนี้จะระบุว่าสารปนเปื้อนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ควรดำเนินการเฝ้าระวังระยะยาว พร้อมเสริมความเข้มแข็งในการฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ พัฒนาแผนรับมือร่วมกับภาคประชาชน และสนับสนุนงานวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบสะสมของสารโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งด้านความรู้ การสื่อสารความเสี่ยง และสร้างทางเลือกในอาชีพให้แก่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบ

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • กรมประมงเก็บตัวอย่างปลาทุก 2 สัปดาห์ใน 4 จุดเสี่ยงหลักตั้งแต่ พ.ค.–ก.ย. 2568
  • ผลตรวจปลากินพืช-กินเนื้อ 3 รอบ ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน (กรมประมง)
  • กลุ่มชาวบ้านผู้ประกอบอาชีพประมงในลุ่มน้ำกก-สายได้รับผลกระทบรายได้ตกต่ำ (ข้อมูลจากเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย)
  • ประชาชนบ้านแม่สาย 1 หมู่ 1 พบอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำบ่อในครัวเรือน ตรวจสอบโดย สสจ.เชียงราย รพ.แม่สาย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมประมง
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลแม่สาย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • เครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันเอง น้ำ-ผัก-ปลา ปลอดสารหนู

เชียงรายยืนยัน “น้ำประปา-ผัก-ปลา” ปลอดภัย ไร้สารหนูปนเปื้อน ตรวจสอบมาตรฐานสากล พร้อมทหารเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงยืนยันคุณภาพน้ำประปา ผัก และปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก “ปลอดภัย” หลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือมาตรฐานสากล โดยไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐาน ทั้งยังมีมาตรการเฝ้าระวังและการจัดการปัญหาน้ำท่วมต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน

การแถลงข่าวความปลอดภัยด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เฝ้าระวัง

วันนี้ (31 พฤษภาคม 2568) ณ ห้องประชุมศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ร่วมแถลงข่าวถึงสถานการณ์คุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน อาหารจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และการตรวจสอบความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่

นายชรินทร์ ทองสุข ระบุว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อหลักและสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการปนเปื้อนของสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติหลายจุด แต่ผลการทดสอบโดยเครื่องมือเบื้องต้น (Test Kit) ไม่สามารถนำมาอ้างอิงอย่างเป็นทางการได้ จำเป็นต้องอาศัยผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025:2017 สามารถตรวจวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้

ข้อมูลการตรวจสอบและผลการทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า หลังมีข่าวการปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานกำหนด กรมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกและแหล่งน้ำใกล้เคียงใน 6 อำเภอ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่าไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน โดยพบปริมาณน้อยกว่า 0.001 – 0.009 มิลลิกรัมต่อลิตร

ต่อมา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ได้ลงพื้นที่อีกครั้งเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านบริเวณใกล้แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกในอำเภอแม่สายและเชียงแสน รวม 6 ตัวอย่าง ผลการตรวจพบปริมาณสารหนูน้อยกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด

ในเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 2568 ได้วางแผนเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก และปลา รวมชนิดละไม่น้อยกว่า 19 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์โดยวิธีมาตรฐานสากล (Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023. part 3030, 3110 : p 3-10) ด้วยเทคนิค AAS และ AOAC 2015.01 เทคนิค ICP-MS ในระบบคุณภาพ ISO/IEC 17025:2017

ผลการตรวจสอบครั้งแรกจำนวน 80 ตัวอย่าง แบ่งเป็นน้ำประปาหมู่บ้าน 36 ตัวอย่าง พืชผัก 21 ตัวอย่าง และปลาแม่น้ำ 23 ตัวอย่าง ไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน นอกจากนี้ ผลการตรวจโลหะหนักชนิดอื่น ได้แก่ แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท และแมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐานเช่นกัน

การเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยงและการดูแลประชาชน

จากกรณีประชาชนในอำเภอแม่สายบางรายมีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างน้ำตรวจสารหนูเบื้องต้นด้วย Test Kit จำนวน 3 จุด ไม่พบการปนเปื้อนแต่อย่างใด และเก็บตัวอย่างบ่อน้ำบาดาล 6 จุด ตรวจหาสารปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจยืนยันว่าไม่พบเกินค่ามาตรฐานทั้งน้ำประปา พืชผัก และปลา

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนใช้เฉพาะน้ำที่ผ่านการกรองหรือปรับปรุงคุณภาพตามมาตรฐาน พร้อมแนะนำกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

การบริหารจัดการสถานการณ์และการสื่อสารสาธารณะ

นายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ยืนยันถึงการเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการด้านสุขภาพอย่างเข้มข้น โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใสให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งมีการเก็บตัวอย่างตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และรายงานผลการดำเนินการอย่างโปร่งใสแก่ประชาชนทุกระยะ

มาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายฝากถึงประชาชนในพื้นที่ ให้มั่นใจในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานราชการที่มีความเชี่ยวชาญ โดยจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการป้องกันเฝ้าระวังและสร้างความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในทุกด้าน

ทหารบกเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมพื้นที่แม่สาย

ในวันเดียวกัน พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมการก่อสร้างพนังคอนกรีตและคันดินริมแม่น้ำสาย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำรอยจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีข้าราชการทหารและฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้การต้อนรับ

การดำเนินงานของทหารช่างในพื้นที่แม่สาย มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาวเพื่อป้องกันน้ำท่วมทะลักเข้าชุมชน ในพื้นที่ที่มีอาคารติดแม่น้ำสาย ได้มีการเชื่อมเหล็กปิดช่องประตูหน้าต่างอย่างเข้มงวด ขณะที่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมปีที่ผ่านมา ได้มอบดอกไม้และป้ายขอบคุณแก่เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาช่วยเหลือในทุกมิติ

สถานการณ์ปัจจุบันและข้อเสนอแนะต่อสาธารณชน

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า สถานการณ์สารหนูปนเปื้อนในแหล่งน้ำจังหวัดเชียงรายขณะนี้ ยังไม่พบข้อมูลที่บ่งชี้ความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าเฝ้าระวังต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพและใช้เฉพาะน้ำประปาที่ผ่านการรับรอง พร้อมติดตามข่าวสารจากราชการอย่างใกล้ชิด

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

  • ผลตรวจน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก ปลา จำนวนรวม 80 ตัวอย่าง ไม่พบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน
  • ปริมาณสารหนูในน้ำประปาเฉลี่ยน้อยกว่า 0.001–0.009 มก./ลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด (อ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์)
  • ผลตรวจโลหะหนักอื่นๆ เช่น แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท แมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (อ้างอิง: ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย)
  • ข้อมูลอ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร, Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023, ISO/IEC 17025:2017

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL TOP STORIES

เทคโนโลยีสีเขียวรอยแผลทำเหมือง พิษสิ่งแวดล้อมถึง ‘เชียงราย’

แร่หายากจากรัฐฉานถึงเชียงราย เมื่อเทคโนโลยีสีเขียวทิ้งรอยแผลไว้บนภูเขา และเราควรทำอะไรต่อไป

ความหวังสีเขียวที่มาพร้อมรอยแผล

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568ในยุคที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด เทคโนโลยีสีเขียว เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ กลับมีเรื่องราวที่ถูกละเลย—การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งกำลังทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ไว้บนภูเขา แม่น้ำ และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

เชียงราย จังหวัดทางตอนเหนือของประเทศไทยมีพรมแดนติดกับรัฐฉานครับ รัฐคะฉิ่นจะอยู่เหนือรัฐฉานขึ้นไปติดชายแดนจีน ไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์จากระยะไกล ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจทำให้ผลกระทบจากการทำเหมืองในรัฐฉานสามารถข้ามพรมแดนมาถึงชุมชนในเชียงรายได้ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษในแหล่งน้ำ การเคลื่อนย้ายของแรงงาน หรือผลกระทบต่อการค้าชายแดน บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่เรื่องราวของแร่หายาก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นในรัฐกะฉิ่น และความท้าทายที่เชียงรายต้องเผชิญ พร้อมทั้งค้นหาคำตอบว่าเราจะสามารถเดินหน้าสู่ความยั่งยืนได้อย่างไรโดยไม่ทิ้งรอยแผลไว้ข้างหลัง

แร่หายากหัวใจของเทคโนโลยีสีเขียว

แร่หายาก (Rare Earth Elements – REEs) คือกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิด เช่น แลนทานัม (Lanthanum), ซีเรียม (Cerium), และนีโอดิเมียม (Neodymium) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงกังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์ แม้ว่าชื่อจะบ่งบอกว่า “หายาก” แต่ในความเป็นจริง แร่เหล่านี้พบได้ทั่วไปในเปลือกโลก สิ่งที่ทำให้การสกัดแร่หายากมีความท้าทายคือกระบวนการที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ซึ่งมักต้องใช้สารเคมีและน้ำในปริมาณมาก

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความต้องการแร่หายากเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตามรายงานของ International Energy Agency (IEA) ปี 2567 ความต้องการแร่หายากทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2563 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน ประเทศจีน ซึ่งครองส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากถึง 60% ของโลก ได้ขยายการลงทุนในแหล่งแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในเมียนมา รัฐฉาน ซึ่งมีแหล่งแร่หายากที่อุดมสมบูรณ์ กลายเป็นจุดหมายหลักของการทำเหมือง ด้วยปริมาณสำรองแร่ที่คาดการณ์ว่ามีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

การทำเหมืองในรัฐกะฉิ่นกระบวนการที่ทิ้งรอยแผล

ในรัฐกะฉิ่น การสกัดแร่หายากส่วนใหญ่ใช้วิธีการที่เรียกว่า In-situ leaching ซึ่งเป็นเทคนิคที่ฉีดสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต หรือกรดซัลฟิวริก ลงไปในชั้นดินเพื่อละลายแร่หายากออกจากหิน กระบวนการนี้ต้องใช้น้ำและสารเคมีในปริมาณมาก และมักก่อให้เกิดน้ำเสียที่มีสารพิษสูง เช่น โลหะหนักและสารกัมมันตรังสีอย่างยูเรเนียมและทอเรียม

จากการศึกษาของ University of Warwick และ Kachinland Research Centre ในปี 2567 พบว่า การทำเหมืองแร่หายากในเมืองปางวาและเมืองบาโมของรัฐกะฉิ่น ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ดังนี้:

  • การปนเปื้อนของแหล่งน้ำ: น้ำเสียจากการทำเหมืองไหลลงสู่แม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำมาลีข่าและแม่น้ำนัมยิน ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบนิเวศลุ่มน้ำโขง สารพิษเหล่านี้ไม่เพียงทำลายแหล่งน้ำดื่มของชุมชนท้องถิ่น แต่ยังส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น ปลาและสัตว์น้ำที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญ
  • การสูญเสียป่าไม้: พื้นที่ป่ากว่า 10,000 เฮกตาร์ในรัฐกะฉิ่นถูกทำลายเพื่อรองรับการขุดเจาะและโครงสร้างพื้นฐานของเหมือง ส่งผลให้ระบบนิเวศป่าดิบชื้นที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น เสือโคร่งและนกเงือก เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
  • มลพิษทางอากาศและดิน: ฝุ่นละอองจากเหมืองและสารเคมีที่ตกค้างในดินทำให้พื้นที่เกษตรกรรมในรัศมี 10-20 กิโลเมตรจากเหมืองไม่สามารถเพาะปลูกได้อีกต่อไป

ผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นเสียงที่ถูกละเลย

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐกะฉิ่นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ชาวกะฉิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและพึ่งพาการทำไร่ข้าวและปลูกพืชหมุนเวียน ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  • การสูญเสียที่ดินทำกิน รายงานจาก Global Witness ปี 2566 ระบุว่า ชาวบ้านในเมืองปางวาและเมืองชิปเว (Chipwe) ถูกบังคับให้ขายที่ดินให้กับบริษัทเหมืองแร่ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มติดอาวุธ หรือต้องย้ายออกจากพื้นที่เนื่องจากมลพิษทำให้ที่ดินไม่สามารถเพาะปลูกได้
  • ปัญหาสุขภาพ การสัมผัสกับสารเคมี เช่น แอมโมเนียมและโลหะหนัก นำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคผิวหนัง โรคระบบทางเดินหายใจ และในบางกรณี พบอัตราการเกิดมะเร็งที่สูงขึ้นในชุมชนใกล้เหมือง
  • การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต จากเกษตรกร ชาวบ้านจำนวนมากต้องหันไปทำงานในเหมือง ซึ่งมีสภาพการทำงานที่เสี่ยงอันตรายและไม่มีสวัสดิการที่เพียงพอ ค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานเหมืองอยู่ที่ประมาณ 5-7 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าค่าครองชีพในพื้นที่
  • ปัญหาสังคม การเข้ามาของแรงงานจากภายนอก รวมถึงการขาดการควบคุมจากภาครัฐ นำไปสู่ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด การค้าประเวณี และความรุนแรงในชุมชน

จากการสัมภาษณ์ของ Kachinland Research Centre ชาวบ้านในเมืองหมากยาจาง (Mai Ja Yang) รายหนึ่งกล่าวว่า “ที่ดินที่เคยเป็นของครอบครัวเราหายไป น้ำที่เคยดื่มได้ก็กลายเป็นพิษ เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำงานในเหมืองที่ทำลายชีวิตของเราเอง”

ความเชื่อมโยงกับเชียงรายผลกระทบข้ามพรมแดน

เชียงราย ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัฐฉาน และรัฐคะฉิ่นจะอยู่เหนือรัฐฉานขึ้นไปติดชายแดนจีน มีความเชื่อมโยงทั้งทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมกับพื้นที่ดังกล่าว ผลกระทบจากการทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับชาวเชียงราย 

  • มลพิษข้ามพรมแดน แม่น้ำสายและน้ำรวก ซึ่งไหลจากรัฐฉานเข้าสู่ประเทศไทยผ่านอำเภอแม่สายและแม่จัน มีความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนด้วยสารเคมีจากเหมืองแร่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นของ กรมทรัพยากรน้ำ ในปี 2567 พบว่าน้ำในลุ่มน้ำสายมีระดับโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและแคดเมียม สูงกว่ามาตรฐานในบางช่วง
  • การเคลื่อนย้ายของแรงงาน ความยากจนและการสูญเสียที่ดินในรัฐฉานทำให้ชาวบ้านบางส่วนอพยพข้ามพรมแดนมาทำงานในเชียงราย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและก่อสร้าง การเคลื่อนย้ายนี้อาจนำไปสู่ความท้าทายด้านการจัดการแรงงานข้ามชาติและโครงสร้างสังคมในพื้นที่
  • ผลกระทบต่อการค้าชายแดน การค้าชายแดนระหว่างไทยและเมียนมา โดยเฉพาะผ่านด่านแม่สาย มีมูลค่าการค้ากว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลจาก กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567) การหยุดชะงักของการค้า เนื่องจากความขัดแย้งในรัฐฉานหรือผลกระทบจากมลพิษ อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในเชียงราย

การเมืองชายแดนกลุ่มอำนาจและการควบคุมเหมือง

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานไม่ได้ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเมียนมาโดยตรง แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์:

  • NDA-K (New Democratic Army – Kachin): กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพเมียนมา และควบคุมพื้นที่เหมืองในเมืองปางวาและชิปเว ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกแร่หายากไปยังจีนผ่านด่านชายแดนปางวาและกันไผ่ตี้
  • KIA/KIO (Kachin Independence Army/Organization): กลุ่มชาติพันธุ์กะฉิ่นที่ต่อสู้เพื่อเอกราช ควบคุมพื้นที่เหมืองในเมืองบาโมและหมากยาจาง รายได้จากเหมืองถูกใช้เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับกองทัพเมียนมา
  • UWSA (United Wa State Army-UWSA) : หรือ ยูดับบลิวเอสเอ ในรัฐฉาน เมียนมา เป็นกองกำลังของกลุ่มชนชาติพันธุ์ว้าในเมียนมาหรือที่คนไทยรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “ว้าแดง” และถือว่าเป็นกองกำลังที่ทรงอิทธิพลอย่างมากจากความมั่งคั่งที่ได้มาจากอาณาจักรธุรกิจค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงค้าอาวุธให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมา

ตามรายงานของ Chatham House (2566) รายได้จากแร่หายากในรัฐกะฉิ่นถูกใช้เพื่อซื้ออาวุธและรักษาอำนาจของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งทำให้การควบคุมและตรวจสอบการทำเหมืองเป็นไปได้ยาก ความขัดแย้งนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงให้กับพื้นที่ชายแดนไทย โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย

ความเสี่ยงด้านความมั่นคงผลกระทบต่อประเทศไทย

ความขัดแย้งในรัฐฉานไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชุมชนท้องถิ่นในเมียนมา แต่ยังสร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงให้กับประเทศไทย ตามข้อมูลจาก Center for Strategic and International Studies (CSIS) ปี 2567 การค้าทรัพยากรแร่หายากมีส่วนสนับสนุนงบประมาณของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งอาจนำไปสู่การสู้รบที่รุนแรงขึ้นใกล้ชายแดนไทย

นอกจากนี้ การอพยพของประชากรจากพื้นที่ขัดแย้งในรัฐฉานอาจเพิ่มแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานในเชียงราย โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการจัดการแรงงานข้ามชาติอยู่แล้ว

เสียงจากชุมชนเชียงรายการลุกขึ้นสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย ขัวศิลปะ ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อหารือถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อลุ่มน้ำสายและน้ำรวก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนในพื้นที่ การประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากหลากหลายองค์กร เช่น มูลนิธิชุมชนและเขตภูเขา นำโดยนางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” อดีตสมาชิกวุฒิสภาและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม, ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มูลนิธิกระจกเงา, สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, กลุ่มรักษ์เชียงของ รวมถึงนักธุรกิจและผู้นำชุมชนในพื้นที่

การเคลื่อนไหวของชุมชนเหล่านี้สะท้อนถึงพลังของประชาชนในการรับมือกับปัญหาที่อาจดูเหมือนไกลตัว แต่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน

เสียงแห่งการเปลี่ยนแปลงในวันสิ่งแวดล้อมโลก

ที่ประชุมมีมติให้จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการปกป้องลุ่มน้ำจากมลพิษข้ามพรมแดน ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นที่ลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ติดกับแม่น้ำกก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัด กิจกรรมนี้จะรวมถึงการจัดนิทรรศการข้อมูล การแสดงศิลปะสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อม และการยื่นข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้มีการตรวจสอบและจัดการมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ กลุ่มเครือข่ายยังมีแผนจัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลและสื่อลุ่มน้ำสาย-น้ำรวก” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองแร่หายาก รวมถึงให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการป้องกันตนเองจากสารพิษ ศูนย์นี้จะตั้งอยู่ที่อำเภอแม่สาย และจะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย องค์กรพัฒนาเอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักรู้และผลักดันนโยบายปกป้องสิ่งแวดล้อม

ทางออกเราควรทำอะไรต่อไป

เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานและปกป้องชุมชนในเชียงราย แนวทางต่อไปนี้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน:

  • การเฝ้าระวังและตรวจสอบ: หน่วยงาน เช่น กรมทรัพยากรน้ำ และ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 ควรเพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำและดินในพื้นที่ชายแดนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจจับมลพิษที่อาจมาจากการทำเหมืองในเมียนมา
  • การให้ความรู้แก่ชุมชน: ควรมีการจัดอบรมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองแร่หายาก รวมถึงวิธีป้องกันการสัมผัสสารเคมีอันตราย โดยสามารถร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น มูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมชายแดน
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน: รัฐบาลไทยควรผลักดันความร่วมมือกับเมียนมาในระดับทวิภาคี หรือผ่านกรอบอาเซียน เพื่อกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษและปกป้องสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขง
  • การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: ควรมีการลงทุนในโครงการฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบ และพัฒนาอาชีพทางเลือก เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศหรือเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดการพึ่งพาการทำงานในเหมือง
  • พลังของผู้บริโภค: ผู้บริโภคในไทยสามารถกดดันบริษัทเทคโนโลยีให้เปิดเผยแหล่งที่มาของแร่หายากที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนการใช้แร่จากแหล่งที่ยั่งยืน

เทคโนโลยีสีเขียวที่ต้องไม่ทิ้งรอยแผล

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน แต่กลับสร้างรอยแผลให้กับสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น เชียงราย ในฐานะพื้นที่ชายแดนที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐฉาน มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับผลกระทบข้ามพรมแดน ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องแหล่งน้ำ การจัดการแรงงานข้ามชาติ หรือการผลักดันความร่วมมือในระดับภูมิภาค

การเดินหน้าสู่เทคโนโลยีสีเขียวที่แท้จริงต้องไม่ทิ้งรอยเท้าสีดำไว้ข้างหลัง การรวมพลังของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการปกป้องสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ภูเขาและแม่น้ำในรัฐฉานและเชียงรายยังคงเป็นแหล่งชีวิตของคนรุ่นต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ปริมาณการผลิตแร่หายาก: ตามข้อมูลจาก U.S. Geological Survey (USGS) ปี 2567 เมียนมาเป็นผู้ผลิตแร่หายากอันดับที่ 3 ของโลก รองจากจีนและออสเตรเลีย โดยผลิตได้ประมาณ 38,000 ตันต่อปี ซึ่ง 80% มาจากรัฐกะฉิ่น (แหล่งอ้างอิง: https://www.usgs.gov/centers/national-minerals-information-center/rare-earths-statistics-and-information)
  2. ผลกระทบต่อพื้นที่ป่า: การทำเหมืองแร่หายากในรัฐกะฉิ่นทำลายพื้นที่ป่ากว่า 10,000 เฮกตาร์ในช่วงปี 2560–2567 (แหล่งอ้างอิง: University of Warwick & Kachinland Research Centre, 2567, https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_5_-_addressing_environmental_impacts.pdf)
  3. มลพิษในแหล่งน้ำ: การตรวจสอบคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำสายและน้ำรวกในปี 2567 โดย กรมทรัพยากรน้ำ พบว่า ระดับโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและแคดเมียม สูงกว่ามาตรฐานในบางพื้นที่ถึง 3 เท่า (แหล่งอ้างอิง: รายงานภายในกรมทรัพยากรน้ำ, 2567)
  4. การค้าชายแดน: มูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมาผ่านด่านแม่สายในปี 2567 อยู่ที่ 50,000 ล้านบาท (แหล่งอ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์, https://www.moc.go.th)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
  • พิสันต์ จันทร์ศิลป์ 
  • University of Warwick & Kachinland Research Centre. (2567). Addressing the Environmental Impacts of Rare Earth Mining in Kachin State, Myanmar. https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_5_-_addressing_environmental_impacts.pdf
  • University of Warwick & Kachinland Research Centre. (2566). Rare Earth Mining in Myanmar: A Primer. https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_1_rare_earth_mining_in_myanmar_a_primer.pdf
  • Global Witness. (2566). Environmental and Social Impacts of Rare Earth Mining in Myanmar. https://www.globalwitness.org/en/campaigns/environmental-activists/rare-earth-mining-myanmar/
  • Chatham House. (2566). Rare Earth Trade Flows and Myanmar’s Role. https://www.chathamhouse.org/2022/12/rare-earth-trade-flows-and-myanmars-role
  • Center for Strategic and International Studies (CSIS). (2567). Myanmar’s Rare Earth Mining and China’s Green Ambitions. https://www.csis.org/analysis/myanmars-rare-earth-mining-and-chinas-green-ambitions
  • กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำลุ่มน้ำสายและน้ำรวก
  • กระทรวงพาณิชย์. (2567). สถิติการค้าชายแดนไทย-เมียนมา. https://www.moc.go.th
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE