Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเฝ้าระวังเข้ม ประมง-PCD ลุยตรวจสารหนูในแม่น้ำ ชี้อันตรายต่อสุขภาพ

ประมงเชียงรายจับปลาตรวจโลหะหนักในแม่น้ำกก-สาย ชลประทานสนับสนุนปรับระดับน้ำ – กรมควบคุมมลพิษเผยพบสารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง แนะประชาชนเลี่ยงใช้น้ำโดยตรงในพื้นที่เสี่ยง

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ยังคงได้รับการจับตามองอย่างเข้มข้น หลังพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายหลักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่

จับปลาตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในแม่น้ำสายหลัก

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักวิจัยจากกรมประมง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย ได้ลงพื้นที่จับปลาจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บตัวอย่างปลานำไปตรวจสอบทั้งด้านโรคและสารโลหะหนัก โดยดำเนินการคัดแยก ชั่ง-วัด และจำแนกชนิดปลาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะส่งมอบตัวอย่างให้กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ และกองตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำ ดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป

ภารกิจสำคัญนี้มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์คุณภาพสัตว์น้ำในระบบนิเวศลุ่มน้ำกก-สาย ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนเกินเกณฑ์อันตรายหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้บริโภค และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

ชลประทานเชียงรายหนุนภารกิจด้วยการปรับระดับน้ำชั่วคราว

ขณะที่โครงการชลประทานเชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยการปรับลดระดับเก็บกักน้ำหน้าเขื่อนเชียงรายลงราว 50 เซนติเมตร ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยแก่ทีมปฏิบัติงานที่ต้องจับปลาบริเวณท้ายเขื่อน หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บตัวอย่างปลาตามแผนแล้ว ทางชลประทานจะปรับระดับน้ำกลับสู่สภาวะปกติทันที โดยยืนยันว่า การปรับระดับน้ำครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งน้ำเพื่อการเกษตรหรือกระบวนการผลิตน้ำประปาในพื้นที่แต่อย่างใด

ผลตรวจสารโลหะหนักในน้ำยังเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

ด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 โดยเน้นแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ตลอดจนแม่น้ำสาขาต่าง ๆ โดยผลตรวจพบว่า

  • แม่น้ำกก ตรวจวัด 15 จุด พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 15 จุด ค่าสูงสุด 0.023 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.)
  • แม่น้ำสาย ตรวจวัด 3 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทุกจุด ค่าสูงสุด 0.038 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำโขง ตรวจวัด 2 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทั้ง 2 จุด ค่าสูงสุด 0.018 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำสาขา (ฝาง, กรณ์, ลาว, สรวย) คุณภาพน้ำยังเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ แผนติดตามคุณภาพน้ำปี 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง (มีนาคม-กันยายน 2568) และเก็บตัวอย่างตะกอนเดือนละ 1 ครั้ง (พฤษภาคม-กันยายน 2568) การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 5 ดำเนินการระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ

สถานการณ์ล่าสุดยังพบว่าค่าความขุ่นและสารหนูในแม่น้ำหลายพื้นที่สูงกว่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเวศ และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากประชาชนใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง

ข้อแนะนำประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง กรมควบคุมมลพิษแนะนำให้

  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ทั้งการอุปโภคและบริโภค
  • หากจำเป็นต้องใช้น้ำ ควรผ่านกระบวนการบำบัดและตรวจสอบคุณภาพก่อนทุกครั้ง
  • งดเว้นกิจกรรมทางน้ำ เช่น การลงเล่นน้ำ หรือจับสัตว์น้ำโดยตรงในจุดที่เสี่ยงสูง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลตรวจของปลาต่อเนื่อง พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าและแจ้งเตือนประชาชนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเต็มที่

บทวิเคราะห์และแนวโน้มสถานการณ์

การตรวจสอบและติดตามคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกก-สายอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานระดับจังหวัดและส่วนกลาง ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ประมงและงานวิจัยสิ่งแวดล้อม เพื่อคลี่คลายปมปัญหาด้านสุขภาพ สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ แม้จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังคงต้องการการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและระบบแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพในชุมชนริมน้ำ

สถานการณ์นี้จึงเป็นจุดทดสอบการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะ การเสริมสร้างความมั่นใจต่อมาตรฐานความปลอดภัยของแหล่งอาหารและน้ำ รวมถึงการเร่งรัดผลักดันนโยบายป้องกันมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • รายงานคุณภาพน้ำประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐบาลคุมเข้ม! ตั้งคณะทำงานพิเศษจัดการสารพิษแม่น้ำกก ขจัดความกังวล

นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างใกล้ชิด สั่งหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนเร่งดูแลความปลอดภัยประชาชน-ตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจ

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกซึ่งเป็นสายธารหลักเชื่อมต่อระหว่างเมียนมากับภาคเหนือของไทยเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ สถานการณ์นี้นำมาซึ่งความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารบางชนิดที่อาจมากับกระแสน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำของแม่น้ำสายสำคัญดังกล่าว

ล่าสุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ส่วนตัว ยืนยันว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนทุกเรื่อง
“ดิฉันขอยืนยันว่ารัฐบาลติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เรารวบรวมข้อมูลจากรายงานของทุกภาคส่วนทั้งในไทยและเมียนมา รวมถึงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA และการลงพื้นที่จริงของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับกองทัพ เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” นายกรัฐมนตรีระบุ

ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ-เดินหน้าเจรจาระดับทวิภาคีและพหุภาคี

ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาความมั่นคงแห่งชาติ และเหล่าทัพ เพื่อวางแผนรับมือในทุกมิติ พร้อมแต่งตั้ง “คณะทำงานด้านเทคนิค” นำโดยรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง โดยมี GISTDA กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรฯ และกองทัพ ร่วมเป็นคณะกรรมการหลัก

หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการเร่งประเมินสถานการณ์สารปนเปื้อน และเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงด้านน้ำสะอาดของประชาชน และการขับเคลื่อนการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เพื่อสร้างมาตรการรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีระบุว่า “กระบวนการเจรจาอาจใช้เวลา แต่เราต้องรีบแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนในระยะสั้นควบคู่กันไป”

ลงพื้นที่ตรวจสอบ-ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานเฉพาะกิจ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และรับมือสถานการณ์อย่างรัดกุม เบื้องต้นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มงวด ทั้งการสุ่มตรวจสารปนเปื้อน ตลอดจนการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนรองรับสถานการณ์หากมวลน้ำจากฝนตกหนักในเมียนมาไหลเข้ามาเพิ่มเติม โดยพิจารณาการสร้างฝายหรือเขื่อนดักตะกอนในระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการลดการแพร่กระจายของสารปนเปื้อนและควบคุมคุณภาพน้ำในอนาคต

ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยน้ำประปา-แจกเครื่องกรองน้ำครัวเรือน

แม้จะมีความเสี่ยงจากน้ำดิบในลำน้ำกก แต่รัฐบาลยืนยันว่ามาตรการด้านสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนจะต้องเข้มงวดสูงสุด น้ำประปาทั้งจากการประปาภูมิภาคและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
รวมถึงการกระจายเครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) ระดับครัวเรือนไปยังพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง ขณะที่ในพื้นที่ห่างไกล การประปาได้เตรียมจุดจ่ายน้ำประปาเคลื่อนที่และติดตั้งแทงค์สำรองน้ำ เพื่อรับประกันว่าประชาชนจะไม่ขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า “ประชาชนจะต้องได้รับความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยในสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกคน”

การบริหารจัดการวิกฤตการณ์และแนวโน้มข้ามพรมแดน

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงที่มีความเชื่อมโยงทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การรับมือในระยะสั้นผ่านศูนย์เฝ้าระวัง และการจัดการน้ำสะอาดนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน ขณะเดียวกัน การดำเนินงานในระยะยาว เช่น การเจรจาระหว่างประเทศและการพัฒนามาตรการโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

กรณีแม่น้ำกกนี้จึงนับเป็นบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและรักษาความมั่นคงของสิ่งแวดล้อมไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐานทส. ชี้แม่น้ำกก-สายยังน่าห่วง

รมว.ทส. สั่งเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง จ.เชียงราย เดินหน้าประชุมมาตรการเข้มข้นเพื่อคืนคุณภาพชีวิตประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์วิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน หลังการตรวจพบค่าปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายเกินกว่าค่ามาตรฐานซ้ำซ้อนหลายจุด สร้างความวิตกกังวลต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยืนยันเดินหน้าแก้ไขปัญหาทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อเร่งคืนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตสารหนูข้ามพรมแดนในพื้นที่ลุ่มน้ำเชียงราย

ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือโดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ถูกจับตามองจากประชาชน สื่อมวลชน และนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรน้ำพบค่าการปนเปื้อนสารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตรายสูงต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์น้ำ เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกและประเทศไทยกำหนดไว้ สร้างความวิตกกังวลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งต้องใช้น้ำในชีวิตประจำวัน

สถานการณ์ดังกล่าวซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าแหล่งกำเนิดมลพิษส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากนอกประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำในเขตชายแดนเมียนมาและพื้นที่ชายแดนจีน ซึ่งควบคุมและตรวจสอบต้นเหตุโดยตรงได้ยาก รัฐบาลไทยจึงต้องดำเนินงานเชิงรุก ทั้งมาตรการเฉพาะหน้าและแผนความร่วมมือระหว่างประเทศ

รมว.ทส. สั่งประชุมเร่งรัดมาตรการ รับมือผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์หลังร่วมลงนามถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระบรมมหาราชวัง ว่าได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ตามกรอบที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานและคลายข้อห่วงใยจากประชาชนในพื้นที่

รัฐมนตรีฯ ย้ำว่า แม้มาตรการที่ทำได้ในทันทีอาจเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ เช่น การออกแบบระบบดักตะกอนเพื่อชะลอการกระจายของสารปนเปื้อนและเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ แต่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จะต้องเพิ่มจำนวนและความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำ ครอบคลุมตลอดลำน้ำและสาขา ทั้งน้ำผิวดิน ตะกอนดิน สัตว์หน้าดิน ไปจนถึงตรวจระดับสารพิษในร่างกายของประชาชนกลุ่มเสี่ยง

แม่น้ำกก-สาย ยังเกินมาตรฐานในบางจุด

รายงานจากกรมควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบค่าการปนเปื้อนของสารหนูเกินกว่าค่ามาตรฐานในการตรวจวัดทั้งน้ำผิวดินและตะกอนดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อนถึงจุดที่น้ำไหลผ่านฝายเชียงรายไปยังแม่น้ำโขง พบว่าหลังผ่านฝายดังกล่าว ค่าสารปนเปื้อนมีแนวโน้มลดลง สาเหตุจากกระแสน้ำถูกลดความเร็ว ส่งผลให้มีการตกตะกอนเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว และแม่น้ำสรวย คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะพบสารหนูในตะกอนเกินค่ามาตรฐานสำหรับการปกป้องสัตว์หน้าดิน แต่ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ในขณะนี้

ความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายที่ต้องใช้เวลา

ดร.เฉลิมชัย เน้นว่า การแก้ไขปัญหาสารหนูที่ต้นเหตุต้องอาศัยกระบวนการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งกับเมียนมาและจีนซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นประสานความร่วมมือผ่านเวทีทวิภาคีและภูมิภาค พร้อมทั้งผลักดันข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ขณะเดียวกัน มาตรการในประเทศต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนประชาชนให้งดกิจกรรมทางน้ำในพื้นที่เสี่ยง ให้ใช้น้ำเฉพาะแหล่งที่ผ่านการรับรองคุณภาพ และจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์

การสื่อสารและแจ้งเตือนประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

รมว.ทส. ฝากถึงประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงราย และใกล้เคียง ให้ติดตามข่าวสารและประกาศแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป เนื่องจากทุกหน่วยงานกำลังร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อเฝ้าระวังและเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด

วิเคราะห์และแนวโน้มผลกระทบ

กรณีปนเปื้อนสารหนูในลุ่มน้ำเชียงรายถือเป็นแบบอย่างสำคัญของวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ที่ต้องอาศัยทั้งมาตรการภายในประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ภาคประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน พร้อมแนวทางปฏิบัติอย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง หากสถานการณ์คลี่คลายได้ จะเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคสำหรับอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำกก-สาย-โขง (กรมควบคุมมลพิษ, 1 มิ.ย. 2568)
  • ค่าสารหนูเกินมาตรฐานในน้ำผิวดินและตะกอนในหลายจุด (กรมควบคุมมลพิษ)
  • การเพิ่มจุดและความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอน (กรมทรัพยากรน้ำ)
  • แนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
  • แนวทางแจ้งเตือนและเฝ้าระวังประชาชน (กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กรมประมงเฝ้าระวังน้ำกก-สาย สรุปขอเลี่ยงหรือกินปลาได้

กรมประมงเข้มตั้งทีมเฉพาะกิจเฝ้าระวังสัตว์น้ำแม่น้ำกก-สาย ชี้ผลตรวจยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ขอประชาชนเลี่ยงบริโภคชั่วคราว

เชียงราย, 2 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ต่อสถานการณ์สารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมประมงเดินหน้ายกระดับมาตรการเฝ้าระวัง ตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ” ตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำข้ามพรมแดนอย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะประชาชนเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำสองสายนี้ชั่วคราว แม้ผลตรวจเบื้องต้นยังไม่เกินค่ามาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน

จุดเริ่มต้นของปัญหาและมาตรการรับมือ

สถานการณ์การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกเริ่มกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ หลังมีรายงานปลาบางชนิดมีตุ่มแดงผิดปกติ รวมถึงมีประชาชนในเขตอำเภอแม่สายเกิดอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน สร้างความวิตกกังวลในวงกว้าง ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงและชาวบ้านที่อาศัยแหล่งน้ำเป็นหลัก

กรมประมงโดยนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดี ได้เปิดเผยถึง “แผนเฉพาะกิจตรวจติดตามและเฝ้าระวังสารปนเปื้อนสัตว์น้ำ” ในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง 4 จุดหลักทั้งในเชียงรายและเชียงใหม่ ได้แก่ บ้านโป่งนาคำ, สะพานแม่ฟ้าหลวง, หลังวัดสันธาตุถึงสบกก (เชียงราย) และชายแดนไทย-เมียนมา หมู่บ้านแก่งตุ๋ม อำเภอแม่อาย (เชียงใหม่) โดยเน้นการเก็บตัวอย่างปลาสำคัญ เช่น ปลาสร้อย ปลาซ่า ปลาค้าว และปลากด ทุก 2 สัปดาห์ ตั้งแต่พฤษภาคมถึงกันยายน 2568

ข้อมูลผลการตรวจสอบล่าสุด

จากการเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่า สารพิษสำคัญ ได้แก่ สารหนู (As), ปรอท (Hg), ตะกั่ว (Pb) และแคดเมียม (Cd) รวมถึงการตรวจเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และพยาธิวิทยาในปลายังคงอยู่ในระดับที่ “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” ตามเกณฑ์สากล โดยเฉพาะในปลากินพืชมีการตกค้างของโลหะหนักในระดับต่ำ ส่วนปลากินเนื้อ พบค่าสารปรอทสูงกว่าปลากินพืชแต่ยังไม่เกินมาตรฐาน

กรณีปลามีตุ่มแดง จากการวินิจฉัยพบว่าเกิดจากปรสิตและเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ไม่พบในอวัยวะภายใน และยังไม่พบการติดเชื้อไวรัส ขณะที่ผลตรวจสารปนเปื้อนในปลาทั้ง 3 รอบที่เก็บมา ยังคงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน อันเป็นข้อมูลสำคัญยืนยันว่าสถานการณ์ยังไม่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในวงกว้าง

คำแนะนำและการสื่อสารกับสาธารณชน

ถึงแม้ผลการตรวจสอบจะยังไม่พบอันตราย กรมประมงได้แนะนำประชาชน “หลีกเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำที่จับได้จากแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในระยะนี้” เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูปลามีไข่ที่ควรให้ธรรมชาติฟื้นฟู และป้องกันการสะสมของโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

พร้อมกันนี้กรมประมงยังย้ำว่าสัตว์น้ำที่จำหน่ายตามท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยงในระบบปิด ไม่ใช้น้ำจากแม่น้ำทั้งสองสาย ดังนั้นประชาชนยังสามารถมั่นใจในความปลอดภัยของอาหารทะเลและสัตว์น้ำที่ซื้อบริโภคได้ตามปกติ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและเสียงสะท้อนของชุมชน

ประมงอำเภอเชียงแสนร่วมเวทีเสวนา “ทวงคืนสายน้ำกกขอคนปลายน้ำ” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจัดโดยเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย และศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการพูดคุยถึงมาตรการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำ พืช ดิน และสัตว์ เป็นระยะ รวมถึงแผนรับมือภัยพิบัติและการร่วมมือของรัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่

เสียงสะท้อนจากคนในชุมชนระบุว่า ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อรายได้และจิตใจของผู้ประกอบอาชีพประมง ราคาปลาตกต่ำและขายยากเนื่องจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น แม้หน่วยงานรัฐจะเร่งชี้แจงข้อมูลและลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเป็นระยะ แต่ความวิตกกังวลยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการสะสมของสารพิษในปลากินเนื้อและความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร

มาตรการเพิ่มเติมด้านสาธารณสุขและการติดตามผู้ได้รับผลกระทบ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันตรวจสอบกรณีประชาชนในบ้านแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ ที่มีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อ โดยทีมแพทย์เฉพาะทางลงพื้นที่ตรวจร่างกาย เบื้องต้นพบว่าเป็นผื่นแพ้เหงื่อและยังไม่พบความผิดปกติรุนแรง พร้อมกับเก็บตัวอย่างน้ำในบ่อ 6 จุดเพื่อนำส่งตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดเพิ่มเติม

เจ้าหน้าที่ได้เน้นย้ำประชาชนในพื้นที่เสี่ยงหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ หากพบอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน แสบผิวหนัง หรืออ่อนเพลีย ให้รีบพบแพทย์ทันที

แนวทางแก้ไขและผลกระทบในระยะยาว

แม้ข้อมูลทางวิชาการในขณะนี้จะระบุว่าสารปนเปื้อนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ควรดำเนินการเฝ้าระวังระยะยาว พร้อมเสริมความเข้มแข็งในการฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ พัฒนาแผนรับมือร่วมกับภาคประชาชน และสนับสนุนงานวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบสะสมของสารโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งด้านความรู้ การสื่อสารความเสี่ยง และสร้างทางเลือกในอาชีพให้แก่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบ

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • กรมประมงเก็บตัวอย่างปลาทุก 2 สัปดาห์ใน 4 จุดเสี่ยงหลักตั้งแต่ พ.ค.–ก.ย. 2568
  • ผลตรวจปลากินพืช-กินเนื้อ 3 รอบ ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน (กรมประมง)
  • กลุ่มชาวบ้านผู้ประกอบอาชีพประมงในลุ่มน้ำกก-สายได้รับผลกระทบรายได้ตกต่ำ (ข้อมูลจากเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย)
  • ประชาชนบ้านแม่สาย 1 หมู่ 1 พบอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำบ่อในครัวเรือน ตรวจสอบโดย สสจ.เชียงราย รพ.แม่สาย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมประมง
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลแม่สาย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • เครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันเอง น้ำ-ผัก-ปลา ปลอดสารหนู

เชียงรายยืนยัน “น้ำประปา-ผัก-ปลา” ปลอดภัย ไร้สารหนูปนเปื้อน ตรวจสอบมาตรฐานสากล พร้อมทหารเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงยืนยันคุณภาพน้ำประปา ผัก และปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก “ปลอดภัย” หลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือมาตรฐานสากล โดยไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐาน ทั้งยังมีมาตรการเฝ้าระวังและการจัดการปัญหาน้ำท่วมต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน

การแถลงข่าวความปลอดภัยด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เฝ้าระวัง

วันนี้ (31 พฤษภาคม 2568) ณ ห้องประชุมศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ร่วมแถลงข่าวถึงสถานการณ์คุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน อาหารจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และการตรวจสอบความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่

นายชรินทร์ ทองสุข ระบุว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อหลักและสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการปนเปื้อนของสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติหลายจุด แต่ผลการทดสอบโดยเครื่องมือเบื้องต้น (Test Kit) ไม่สามารถนำมาอ้างอิงอย่างเป็นทางการได้ จำเป็นต้องอาศัยผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025:2017 สามารถตรวจวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้

ข้อมูลการตรวจสอบและผลการทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า หลังมีข่าวการปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานกำหนด กรมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกและแหล่งน้ำใกล้เคียงใน 6 อำเภอ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่าไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน โดยพบปริมาณน้อยกว่า 0.001 – 0.009 มิลลิกรัมต่อลิตร

ต่อมา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ได้ลงพื้นที่อีกครั้งเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านบริเวณใกล้แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกในอำเภอแม่สายและเชียงแสน รวม 6 ตัวอย่าง ผลการตรวจพบปริมาณสารหนูน้อยกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด

ในเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 2568 ได้วางแผนเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก และปลา รวมชนิดละไม่น้อยกว่า 19 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์โดยวิธีมาตรฐานสากล (Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023. part 3030, 3110 : p 3-10) ด้วยเทคนิค AAS และ AOAC 2015.01 เทคนิค ICP-MS ในระบบคุณภาพ ISO/IEC 17025:2017

ผลการตรวจสอบครั้งแรกจำนวน 80 ตัวอย่าง แบ่งเป็นน้ำประปาหมู่บ้าน 36 ตัวอย่าง พืชผัก 21 ตัวอย่าง และปลาแม่น้ำ 23 ตัวอย่าง ไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน นอกจากนี้ ผลการตรวจโลหะหนักชนิดอื่น ได้แก่ แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท และแมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐานเช่นกัน

การเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยงและการดูแลประชาชน

จากกรณีประชาชนในอำเภอแม่สายบางรายมีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างน้ำตรวจสารหนูเบื้องต้นด้วย Test Kit จำนวน 3 จุด ไม่พบการปนเปื้อนแต่อย่างใด และเก็บตัวอย่างบ่อน้ำบาดาล 6 จุด ตรวจหาสารปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจยืนยันว่าไม่พบเกินค่ามาตรฐานทั้งน้ำประปา พืชผัก และปลา

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนใช้เฉพาะน้ำที่ผ่านการกรองหรือปรับปรุงคุณภาพตามมาตรฐาน พร้อมแนะนำกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

การบริหารจัดการสถานการณ์และการสื่อสารสาธารณะ

นายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ยืนยันถึงการเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการด้านสุขภาพอย่างเข้มข้น โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใสให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งมีการเก็บตัวอย่างตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และรายงานผลการดำเนินการอย่างโปร่งใสแก่ประชาชนทุกระยะ

มาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายฝากถึงประชาชนในพื้นที่ ให้มั่นใจในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานราชการที่มีความเชี่ยวชาญ โดยจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการป้องกันเฝ้าระวังและสร้างความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในทุกด้าน

ทหารบกเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมพื้นที่แม่สาย

ในวันเดียวกัน พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมการก่อสร้างพนังคอนกรีตและคันดินริมแม่น้ำสาย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำรอยจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีข้าราชการทหารและฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้การต้อนรับ

การดำเนินงานของทหารช่างในพื้นที่แม่สาย มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาวเพื่อป้องกันน้ำท่วมทะลักเข้าชุมชน ในพื้นที่ที่มีอาคารติดแม่น้ำสาย ได้มีการเชื่อมเหล็กปิดช่องประตูหน้าต่างอย่างเข้มงวด ขณะที่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมปีที่ผ่านมา ได้มอบดอกไม้และป้ายขอบคุณแก่เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาช่วยเหลือในทุกมิติ

สถานการณ์ปัจจุบันและข้อเสนอแนะต่อสาธารณชน

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า สถานการณ์สารหนูปนเปื้อนในแหล่งน้ำจังหวัดเชียงรายขณะนี้ ยังไม่พบข้อมูลที่บ่งชี้ความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าเฝ้าระวังต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพและใช้เฉพาะน้ำประปาที่ผ่านการรับรอง พร้อมติดตามข่าวสารจากราชการอย่างใกล้ชิด

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

  • ผลตรวจน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก ปลา จำนวนรวม 80 ตัวอย่าง ไม่พบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน
  • ปริมาณสารหนูในน้ำประปาเฉลี่ยน้อยกว่า 0.001–0.009 มก./ลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด (อ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์)
  • ผลตรวจโลหะหนักอื่นๆ เช่น แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท แมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (อ้างอิง: ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย)
  • ข้อมูลอ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร, Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023, ISO/IEC 17025:2017

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL TOP STORIES

เทคโนโลยีสีเขียวรอยแผลทำเหมือง พิษสิ่งแวดล้อมถึง ‘เชียงราย’

แร่หายากจากรัฐฉานถึงเชียงราย เมื่อเทคโนโลยีสีเขียวทิ้งรอยแผลไว้บนภูเขา และเราควรทำอะไรต่อไป

ความหวังสีเขียวที่มาพร้อมรอยแผล

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568ในยุคที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด เทคโนโลยีสีเขียว เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้ กลับมีเรื่องราวที่ถูกละเลย—การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งกำลังทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ไว้บนภูเขา แม่น้ำ และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

เชียงราย จังหวัดทางตอนเหนือของประเทศไทยมีพรมแดนติดกับรัฐฉานครับ รัฐคะฉิ่นจะอยู่เหนือรัฐฉานขึ้นไปติดชายแดนจีน ไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์จากระยะไกล ความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจทำให้ผลกระทบจากการทำเหมืองในรัฐฉานสามารถข้ามพรมแดนมาถึงชุมชนในเชียงรายได้ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษในแหล่งน้ำ การเคลื่อนย้ายของแรงงาน หรือผลกระทบต่อการค้าชายแดน บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่เรื่องราวของแร่หายาก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นในรัฐกะฉิ่น และความท้าทายที่เชียงรายต้องเผชิญ พร้อมทั้งค้นหาคำตอบว่าเราจะสามารถเดินหน้าสู่ความยั่งยืนได้อย่างไรโดยไม่ทิ้งรอยแผลไว้ข้างหลัง

แร่หายากหัวใจของเทคโนโลยีสีเขียว

แร่หายาก (Rare Earth Elements – REEs) คือกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิด เช่น แลนทานัม (Lanthanum), ซีเรียม (Cerium), และนีโอดิเมียม (Neodymium) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงกังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์ แม้ว่าชื่อจะบ่งบอกว่า “หายาก” แต่ในความเป็นจริง แร่เหล่านี้พบได้ทั่วไปในเปลือกโลก สิ่งที่ทำให้การสกัดแร่หายากมีความท้าทายคือกระบวนการที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง ซึ่งมักต้องใช้สารเคมีและน้ำในปริมาณมาก

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความต้องการแร่หายากเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตามรายงานของ International Energy Agency (IEA) ปี 2567 ความต้องการแร่หายากทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2563 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน ประเทศจีน ซึ่งครองส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากถึง 60% ของโลก ได้ขยายการลงทุนในแหล่งแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในเมียนมา รัฐฉาน ซึ่งมีแหล่งแร่หายากที่อุดมสมบูรณ์ กลายเป็นจุดหมายหลักของการทำเหมือง ด้วยปริมาณสำรองแร่ที่คาดการณ์ว่ามีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

การทำเหมืองในรัฐกะฉิ่นกระบวนการที่ทิ้งรอยแผล

ในรัฐกะฉิ่น การสกัดแร่หายากส่วนใหญ่ใช้วิธีการที่เรียกว่า In-situ leaching ซึ่งเป็นเทคนิคที่ฉีดสารเคมี เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต หรือกรดซัลฟิวริก ลงไปในชั้นดินเพื่อละลายแร่หายากออกจากหิน กระบวนการนี้ต้องใช้น้ำและสารเคมีในปริมาณมาก และมักก่อให้เกิดน้ำเสียที่มีสารพิษสูง เช่น โลหะหนักและสารกัมมันตรังสีอย่างยูเรเนียมและทอเรียม

จากการศึกษาของ University of Warwick และ Kachinland Research Centre ในปี 2567 พบว่า การทำเหมืองแร่หายากในเมืองปางวาและเมืองบาโมของรัฐกะฉิ่น ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ดังนี้:

  • การปนเปื้อนของแหล่งน้ำ: น้ำเสียจากการทำเหมืองไหลลงสู่แม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำมาลีข่าและแม่น้ำนัมยิน ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบนิเวศลุ่มน้ำโขง สารพิษเหล่านี้ไม่เพียงทำลายแหล่งน้ำดื่มของชุมชนท้องถิ่น แต่ยังส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น ปลาและสัตว์น้ำที่เป็นแหล่งอาหารสำคัญ
  • การสูญเสียป่าไม้: พื้นที่ป่ากว่า 10,000 เฮกตาร์ในรัฐกะฉิ่นถูกทำลายเพื่อรองรับการขุดเจาะและโครงสร้างพื้นฐานของเหมือง ส่งผลให้ระบบนิเวศป่าดิบชื้นที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น เสือโคร่งและนกเงือก เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
  • มลพิษทางอากาศและดิน: ฝุ่นละอองจากเหมืองและสารเคมีที่ตกค้างในดินทำให้พื้นที่เกษตรกรรมในรัศมี 10-20 กิโลเมตรจากเหมืองไม่สามารถเพาะปลูกได้อีกต่อไป

ผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นเสียงที่ถูกละเลย

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐกะฉิ่นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ชาวกะฉิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและพึ่งพาการทำไร่ข้าวและปลูกพืชหมุนเวียน ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  • การสูญเสียที่ดินทำกิน รายงานจาก Global Witness ปี 2566 ระบุว่า ชาวบ้านในเมืองปางวาและเมืองชิปเว (Chipwe) ถูกบังคับให้ขายที่ดินให้กับบริษัทเหมืองแร่ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มติดอาวุธ หรือต้องย้ายออกจากพื้นที่เนื่องจากมลพิษทำให้ที่ดินไม่สามารถเพาะปลูกได้
  • ปัญหาสุขภาพ การสัมผัสกับสารเคมี เช่น แอมโมเนียมและโลหะหนัก นำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคผิวหนัง โรคระบบทางเดินหายใจ และในบางกรณี พบอัตราการเกิดมะเร็งที่สูงขึ้นในชุมชนใกล้เหมือง
  • การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต จากเกษตรกร ชาวบ้านจำนวนมากต้องหันไปทำงานในเหมือง ซึ่งมีสภาพการทำงานที่เสี่ยงอันตรายและไม่มีสวัสดิการที่เพียงพอ ค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานเหมืองอยู่ที่ประมาณ 5-7 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าค่าครองชีพในพื้นที่
  • ปัญหาสังคม การเข้ามาของแรงงานจากภายนอก รวมถึงการขาดการควบคุมจากภาครัฐ นำไปสู่ปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด การค้าประเวณี และความรุนแรงในชุมชน

จากการสัมภาษณ์ของ Kachinland Research Centre ชาวบ้านในเมืองหมากยาจาง (Mai Ja Yang) รายหนึ่งกล่าวว่า “ที่ดินที่เคยเป็นของครอบครัวเราหายไป น้ำที่เคยดื่มได้ก็กลายเป็นพิษ เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำงานในเหมืองที่ทำลายชีวิตของเราเอง”

ความเชื่อมโยงกับเชียงรายผลกระทบข้ามพรมแดน

เชียงราย ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัฐฉาน และรัฐคะฉิ่นจะอยู่เหนือรัฐฉานขึ้นไปติดชายแดนจีน มีความเชื่อมโยงทั้งทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมกับพื้นที่ดังกล่าว ผลกระทบจากการทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับชาวเชียงราย 

  • มลพิษข้ามพรมแดน แม่น้ำสายและน้ำรวก ซึ่งไหลจากรัฐฉานเข้าสู่ประเทศไทยผ่านอำเภอแม่สายและแม่จัน มีความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนด้วยสารเคมีจากเหมืองแร่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นของ กรมทรัพยากรน้ำ ในปี 2567 พบว่าน้ำในลุ่มน้ำสายมีระดับโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและแคดเมียม สูงกว่ามาตรฐานในบางช่วง
  • การเคลื่อนย้ายของแรงงาน ความยากจนและการสูญเสียที่ดินในรัฐฉานทำให้ชาวบ้านบางส่วนอพยพข้ามพรมแดนมาทำงานในเชียงราย โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและก่อสร้าง การเคลื่อนย้ายนี้อาจนำไปสู่ความท้าทายด้านการจัดการแรงงานข้ามชาติและโครงสร้างสังคมในพื้นที่
  • ผลกระทบต่อการค้าชายแดน การค้าชายแดนระหว่างไทยและเมียนมา โดยเฉพาะผ่านด่านแม่สาย มีมูลค่าการค้ากว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลจาก กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567) การหยุดชะงักของการค้า เนื่องจากความขัดแย้งในรัฐฉานหรือผลกระทบจากมลพิษ อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในเชียงราย

การเมืองชายแดนกลุ่มอำนาจและการควบคุมเหมือง

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานไม่ได้ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐเมียนมาโดยตรง แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธที่มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับสถานการณ์:

  • NDA-K (New Democratic Army – Kachin): กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพเมียนมา และควบคุมพื้นที่เหมืองในเมืองปางวาและชิปเว ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกแร่หายากไปยังจีนผ่านด่านชายแดนปางวาและกันไผ่ตี้
  • KIA/KIO (Kachin Independence Army/Organization): กลุ่มชาติพันธุ์กะฉิ่นที่ต่อสู้เพื่อเอกราช ควบคุมพื้นที่เหมืองในเมืองบาโมและหมากยาจาง รายได้จากเหมืองถูกใช้เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับกองทัพเมียนมา
  • UWSA (United Wa State Army-UWSA) : หรือ ยูดับบลิวเอสเอ ในรัฐฉาน เมียนมา เป็นกองกำลังของกลุ่มชนชาติพันธุ์ว้าในเมียนมาหรือที่คนไทยรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “ว้าแดง” และถือว่าเป็นกองกำลังที่ทรงอิทธิพลอย่างมากจากความมั่งคั่งที่ได้มาจากอาณาจักรธุรกิจค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงค้าอาวุธให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมา

ตามรายงานของ Chatham House (2566) รายได้จากแร่หายากในรัฐกะฉิ่นถูกใช้เพื่อซื้ออาวุธและรักษาอำนาจของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งทำให้การควบคุมและตรวจสอบการทำเหมืองเป็นไปได้ยาก ความขัดแย้งนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงให้กับพื้นที่ชายแดนไทย โดยเฉพาะในอำเภอแม่สาย

ความเสี่ยงด้านความมั่นคงผลกระทบต่อประเทศไทย

ความขัดแย้งในรัฐฉานไม่เพียงแต่ส่งผลต่อชุมชนท้องถิ่นในเมียนมา แต่ยังสร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงให้กับประเทศไทย ตามข้อมูลจาก Center for Strategic and International Studies (CSIS) ปี 2567 การค้าทรัพยากรแร่หายากมีส่วนสนับสนุนงบประมาณของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งอาจนำไปสู่การสู้รบที่รุนแรงขึ้นใกล้ชายแดนไทย

นอกจากนี้ การอพยพของประชากรจากพื้นที่ขัดแย้งในรัฐฉานอาจเพิ่มแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานในเชียงราย โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการจัดการแรงงานข้ามชาติอยู่แล้ว

เสียงจากชุมชนเชียงรายการลุกขึ้นสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย ขัวศิลปะ ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ รวมตัวกันเพื่อหารือถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อลุ่มน้ำสายและน้ำรวก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชุมชนในพื้นที่ การประชุมครั้งนี้มีตัวแทนจากหลากหลายองค์กร เช่น มูลนิธิชุมชนและเขตภูเขา นำโดยนางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” อดีตสมาชิกวุฒิสภาและนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม, ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มูลนิธิกระจกเงา, สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, กลุ่มรักษ์เชียงของ รวมถึงนักธุรกิจและผู้นำชุมชนในพื้นที่

การเคลื่อนไหวของชุมชนเหล่านี้สะท้อนถึงพลังของประชาชนในการรับมือกับปัญหาที่อาจดูเหมือนไกลตัว แต่มีผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน

เสียงแห่งการเปลี่ยนแปลงในวันสิ่งแวดล้อมโลก

ที่ประชุมมีมติให้จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการปกป้องลุ่มน้ำจากมลพิษข้ามพรมแดน ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นที่ลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ติดกับแม่น้ำกก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัด กิจกรรมนี้จะรวมถึงการจัดนิทรรศการข้อมูล การแสดงศิลปะสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อม และการยื่นข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้มีการตรวจสอบและจัดการมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ กลุ่มเครือข่ายยังมีแผนจัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลและสื่อลุ่มน้ำสาย-น้ำรวก” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองแร่หายาก รวมถึงให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการป้องกันตนเองจากสารพิษ ศูนย์นี้จะตั้งอยู่ที่อำเภอแม่สาย และจะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย องค์กรพัฒนาเอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักรู้และผลักดันนโยบายปกป้องสิ่งแวดล้อม

ทางออกเราควรทำอะไรต่อไป

เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานและปกป้องชุมชนในเชียงราย แนวทางต่อไปนี้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน:

  • การเฝ้าระวังและตรวจสอบ: หน่วยงาน เช่น กรมทรัพยากรน้ำ และ สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 ควรเพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำและดินในพื้นที่ชายแดนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจจับมลพิษที่อาจมาจากการทำเหมืองในเมียนมา
  • การให้ความรู้แก่ชุมชน: ควรมีการจัดอบรมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองแร่หายาก รวมถึงวิธีป้องกันการสัมผัสสารเคมีอันตราย โดยสามารถร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น มูลนิธิเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมชายแดน
  • ความร่วมมือข้ามพรมแดน: รัฐบาลไทยควรผลักดันความร่วมมือกับเมียนมาในระดับทวิภาคี หรือผ่านกรอบอาเซียน เพื่อกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษและปกป้องสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขง
  • การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: ควรมีการลงทุนในโครงการฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบ และพัฒนาอาชีพทางเลือก เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศหรือเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดการพึ่งพาการทำงานในเหมือง
  • พลังของผู้บริโภค: ผู้บริโภคในไทยสามารถกดดันบริษัทเทคโนโลยีให้เปิดเผยแหล่งที่มาของแร่หายากที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ และสนับสนุนการใช้แร่จากแหล่งที่ยั่งยืน

เทคโนโลยีสีเขียวที่ต้องไม่ทิ้งรอยแผล

การทำเหมืองแร่หายากในรัฐฉานเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีสีเขียว แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน แต่กลับสร้างรอยแผลให้กับสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น เชียงราย ในฐานะพื้นที่ชายแดนที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐฉาน มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับผลกระทบข้ามพรมแดน ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องแหล่งน้ำ การจัดการแรงงานข้ามชาติ หรือการผลักดันความร่วมมือในระดับภูมิภาค

การเดินหน้าสู่เทคโนโลยีสีเขียวที่แท้จริงต้องไม่ทิ้งรอยเท้าสีดำไว้ข้างหลัง การรวมพลังของภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการปกป้องสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ภูเขาและแม่น้ำในรัฐฉานและเชียงรายยังคงเป็นแหล่งชีวิตของคนรุ่นต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ปริมาณการผลิตแร่หายาก: ตามข้อมูลจาก U.S. Geological Survey (USGS) ปี 2567 เมียนมาเป็นผู้ผลิตแร่หายากอันดับที่ 3 ของโลก รองจากจีนและออสเตรเลีย โดยผลิตได้ประมาณ 38,000 ตันต่อปี ซึ่ง 80% มาจากรัฐกะฉิ่น (แหล่งอ้างอิง: https://www.usgs.gov/centers/national-minerals-information-center/rare-earths-statistics-and-information)
  2. ผลกระทบต่อพื้นที่ป่า: การทำเหมืองแร่หายากในรัฐกะฉิ่นทำลายพื้นที่ป่ากว่า 10,000 เฮกตาร์ในช่วงปี 2560–2567 (แหล่งอ้างอิง: University of Warwick & Kachinland Research Centre, 2567, https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_5_-_addressing_environmental_impacts.pdf)
  3. มลพิษในแหล่งน้ำ: การตรวจสอบคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำสายและน้ำรวกในปี 2567 โดย กรมทรัพยากรน้ำ พบว่า ระดับโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและแคดเมียม สูงกว่ามาตรฐานในบางพื้นที่ถึง 3 เท่า (แหล่งอ้างอิง: รายงานภายในกรมทรัพยากรน้ำ, 2567)
  4. การค้าชายแดน: มูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมาผ่านด่านแม่สายในปี 2567 อยู่ที่ 50,000 ล้านบาท (แหล่งอ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์, https://www.moc.go.th)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
  • พิสันต์ จันทร์ศิลป์ 
  • University of Warwick & Kachinland Research Centre. (2567). Addressing the Environmental Impacts of Rare Earth Mining in Kachin State, Myanmar. https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_5_-_addressing_environmental_impacts.pdf
  • University of Warwick & Kachinland Research Centre. (2566). Rare Earth Mining in Myanmar: A Primer. https://warwick.ac.uk/fac/arts/schoolforcross-facultystudies/research/projects/rare_earth_mining_myanmar/briefing_paper_1_rare_earth_mining_in_myanmar_a_primer.pdf
  • Global Witness. (2566). Environmental and Social Impacts of Rare Earth Mining in Myanmar. https://www.globalwitness.org/en/campaigns/environmental-activists/rare-earth-mining-myanmar/
  • Chatham House. (2566). Rare Earth Trade Flows and Myanmar’s Role. https://www.chathamhouse.org/2022/12/rare-earth-trade-flows-and-myanmars-role
  • Center for Strategic and International Studies (CSIS). (2567). Myanmar’s Rare Earth Mining and China’s Green Ambitions. https://www.csis.org/analysis/myanmars-rare-earth-mining-and-chinas-green-ambitions
  • กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำลุ่มน้ำสายและน้ำรวก
  • กระทรวงพาณิชย์. (2567). สถิติการค้าชายแดนไทย-เมียนมา. https://www.moc.go.th
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

K Cement สัญลักษณ์ความร่วมมือ ไทย-กัมพูชา สู่ Net Zero

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา K Cement สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

กัมพูชา, 25 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาได้กลายเป็นตัวอย่างของความร่วมมือที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ภายใต้แบรนด์ “K Cement” ซึ่ง ตัว K ในภาษาอังกฤษย่อมาจากคำว่า “Khmer”  กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความสัมพันธ์นี้ ด้วยการลงทุนที่ยาวนานกว่า 33 ปีในกัมพูชา ซึ่งไม่เพียงสร้างงานและรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น แต่ยังนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

รากฐานแห่งความสัมพันธ์

ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 หลังจากที่กัมพูชาเริ่มฟื้นตัวจากยุคเขมรแดงและเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ SCG ได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในบริษัทไทยรายแรกที่มองเห็นศักยภาพของประเทศนี้ ในปี 1992 SCG ได้เริ่มต้นด้วยการจัดตั้ง SCG Trading เพื่อนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยและสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายในกัมพูชา การเคลื่อนไหวในครั้งนั้นไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจ แต่ยังเป็นการวางรากฐานความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันซับซ้อน

การลงทุนของ SCG ในกัมพูชาเริ่มต้นจากความท้าทาย พื้นที่ที่เคยเป็นสมรภูมิในยุคเขมรแดงเต็มไปด้วยทุ่นระเบิดและความเสียหายจากสงคราม การพัฒนาพื้นที่เพื่อตั้งโรงงานจึงต้องเผชิญกับความยากลำบาก ตั้งแต่การเคลียร์พื้นที่จากระเบิดไปจนถึงการจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำ อย่างไรก็ตาม SCG ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนระยะยาว โดยมองเห็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและชุมชนท้องถิ่นควบคู่ไปกับการรักษาสภาพแวดล้อม

การลงทุนของ SCG และบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม

ในปี 2004-2005 คณะกรรมการของ SCG ได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์แห่งแรกในกัมพูชา ภายใต้แบรนด์ “K Cement” ซึ่งย่อมาจากคำว่า “Khmer” ที่แสดงถึงความเป็นท้องถิ่นและการยอมรับจากชุมชนกัมพูชา โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดกำปอด และเริ่มผลิตปูนซิเมนต์ในปี 2007 ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบัน SCG มีการลงทุนในกัมพูชาคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในต่างประเทศของ SCG ที่มีมูลค่ารวม 390,000 ล้านบาท โดยกัมพูชาครองอันดับสาม รองจากเวียดนามและอินโดนีเซีย

วัฒนชัย คล้ายจินดา ผู้บริหารฝ่ายการบัญชีการเงิน และการลงทุน เอสซีจี กัมพูชา เปิดเผยว่า การลงทุนของ SCG ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงผลกำไร แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและการผลิตปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำ SCG ได้นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Operation Eco-Efficiency) ผ่านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การฟื้นฟูทรัพยากรน้ำ และการฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศ

“ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของเรา” นายวัฒนชัยกล่าวในระหว่างการนำเสนอที่ห้องประชุม Central Control Room (CCR) ของโรงงาน “เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำ และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และ Nature Positive โดยมีการลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ”

SCG ยังได้พัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับชุมชน เช่น การปลูกป่าชดเชย การจัดการขยะ และการมอบทุนการศึกษาให้กับเยาวชนในกัมพูชา เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรบุคคล การดำเนินงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนท้องถิ่น

ความท้าทายและโอกาส

การลงทุนของ SCG ในกัมพูชาไม่ได้ปราศจากความท้าทาย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกัมพูชาเผชิญกับความผันผวนจากผลกระทบของโควิด-19 และการลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งเป็นแหล่งลงทุนหลักของกัมพูชา ในปี 2019 อุตสาหกรรมการพนันออนไลน์ที่เคยเฟื่องฟูในเมืองสีหนุวิลล์ถูกสั่งห้ามโดยรัฐบาลกัมพูชา ส่งผลให้ชาวจีนจำนวนมากที่เข้ามาลงทุนในภาคนี้ถอนตัวออกไป ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็น 12% ของ GDP ในปี 2019 ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม SCG ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับวิกฤต โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ เช่น การทำงานจากทุกที่ (Work From Anywhere) และการใช้แนวปฏิบัติ Bubble & Seal เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ K Cement ยังสนับสนุนคู่ค้าและชุมชนด้วยการจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ รวมถึงช่วยเหลือคู่ค้าที่ประสบปัญหาการเงินเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ในด้านสิ่งแวดล้อม K Cement ได้ริเริ่มโครงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในกัมพูชาเพื่อทำการสำรวจและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่รอบโรงงาน เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานจะไม่ทำลายระบบนิเวศ

สะพานสู่ความยั่งยืน

การลงทุนของ SCG ในกัมพูชาไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจ แต่ยังเป็นการสร้างสะพานเชื่อมความเข้าใจระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน การที่ SCG เลือกใช้แบรนด์ K Cement แทนการใช้ชื่อแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง แสดงถึงความเคารพต่อวัฒนธรรมและความรู้สึกของชาวกัมพูชา ในด้านเศรษฐกิจ SCG ได้สร้างงานให้กับชาวกัมพูชากว่า 700 ตำแหน่ง โดยมีพนักงานชาวไทยเพียง 20-25 คน ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในท้องถิ่น การลงทุนของ SCG ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดกำปอต เปลี่ยนจากพื้นที่นาข้าวรกร้างกลายเป็นชุมชนที่มีร้านค้าและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นหลังจากการตั้งโรงงาน

ด้านสิ่งแวดล้อม การที่ SCG เป็นผู้นำในการผลิตปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำในกัมพูชาได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม แม้ว่าความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมในกัมพูชาจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ SCG ได้แสดงบทบาทผู้นำด้วยการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ และส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งอาจเป็นแรงบันดาลใจให้บริษัทอื่น ๆ ในกัมพูชาและภูมิภาคอาเซียนปฏิบัติตาม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในอนาคตยังคงอยู่ โดยเฉพาะการแข่งขันจากโรงงานปูนซิเมนต์ของจีน แผ่นดินใหญ่ที่เน้นกลยุทธ์ด้านราคา ประกอบกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในกัมพูชา SCG จึงต้องรักษาจุดแข็งในด้านคุณภาพและความยั่งยืน เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% และขยายโอกาสในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบินใหม่ในพนมเปญและเสียมเรียบ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของ SCG และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกัมพูชา

  • มูลค่าการลงทุนของ SCG ในกัมพูชา 15,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด 390,000 ล้านบาท
  • จำนวนพนักงานในกัมพูชา 700 คน (90% เป็นชาวกัมพูชา) และพนักงานชาวไทย 20-25 คน
  • การลดการปล่อยคาร์บอน ปูนซิเมนต์คาร์บอนต่ำของ SCG ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับปูนซิเมนต์ทั่วไป
  • การฟื้นฟูพื้นที่ป่า SCG ได้ปลูกต้นไม้ชดเชยในกัมพูชากว่า 10,000 ต้นตั้งแต่ปี 2015 และมีแผนปลูกเพิ่มในปี 2025 ร่วมกับสถานทูตไทย
  • การจัดการขยะ โรงงานของ SCG ในกัมพูชาสามารถนำขยะมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนได้ถึง 15% ของพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิต
  • GDP ของกัมพูชา คาดการณ์เติบโต 4.8% ในปี 2023 ตามข้อมูลของรัฐบาลกัมพูชา และ 5.3% ตาม SCB EIC และ 5% ตาม Asian Development Ban

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG)
  • SCG Cambodia
  • กระทรวงเศรษฐกิจและการเงินกัมพูชา
  • SCB Economic Intelligence Center (SCB EIC)
  • Asian Development Bank
  • สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“พิสันต์” วัฒนธรรมเชียงราย ชวนหิ้วปิ่นโต กินข้าวรักษ์โลก

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” รณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติก หันมาใช้ภาชนะย่อยสลายได้ ตามแนวนโยบายสิ่งแวดล้อมของจังหวัด

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมเชียงรายรวมพลัง “หิ้วปิ่นโต–ลดพลาสติก” สู่การเปลี่ยนพฤติกรรมยั่งยืน

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” ณ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำกล่าวเปิดกิจกรรม พร้อมเชิญชวนบุคลากรในสำนักงานร่วมกัน “ไม่ใช้ถุงพลาสติก” และ “หิ้วปิ่นโต” หรือภาชนะที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ที่มุ่งสู่ “เชียงรายสีเขียว” ด้วยแนวทางลดขยะต้นทางผ่านการเปลี่ยนพฤติกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในทุกระดับ

จุดเริ่มต้นของแนวคิด “ข้าวห่อรักษ์โลก”

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” ในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การเชิญชวนให้บุคลากรเลิกใช้ถุงพลาสติก แต่เป็นการส่งเสริม “วัฒนธรรมการกินอย่างยั่งยืน” โดยผนวกแนวคิดด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ผ่านการรับประทานอาหารกลางวันในรูปแบบที่ลดการสร้างขยะ พร้อมทั้งเป็นต้นแบบให้หน่วยงานราชการอื่นๆ นำไปปรับใช้

เขาระบุว่า “ข้าวห่อรักษ์โลก คือกิจกรรมเล็กๆ ที่สร้างพลังเปลี่ยนแปลงได้อย่างยิ่งใหญ่ เราต้องเริ่มจากตัวเองก่อนที่จะขยายไปสู่สังคมโดยรวม”

ภาชนะย่อยสลายได้–ปิ่นโต–ใบตอง แทนถุงพลาสติก

ในกิจกรรมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่แต่ละคนได้นำอาหารที่เตรียมมาเอง บรรจุในภาชนะที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เช่น ปิ่นโต กล่องอาหารแบบปลอดสาร ภาชนะไม้ไผ่ และแม้กระทั่งใบตอง ซึ่งเป็นวัสดุพื้นถิ่นของล้านนา โดยเน้นแนวทาง “Zero Waste Lunch” หรืออาหารกลางวันที่ไม่ก่อให้เกิดขยะพลาสติกและโฟมแม้แต่ชิ้นเดียว

การลดการใช้ถุงพลาสติกไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องจัดการเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตและทำลายถุงพลาสติก รวมถึงลดการสะสมของขยะในแหล่งธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ป่าไม้ และพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของจังหวัดเชียงราย

ผลกระทบของพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ควรมองข้าม

จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีการใช้ถุงพลาสติกมากกว่า 45,000 ล้านใบ โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจร้านสะดวกซื้อและแผงอาหารริมทาง ขณะที่อัตราการย่อยสลายของพลาสติกใช้เวลา 400-1,000 ปี ทำให้พลาสติกจำนวนมากกลายเป็น “ขยะตกค้าง” ในสิ่งแวดล้อม และส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทั้งบกและทะเล

โดยจังหวัดเชียงรายมีปริมาณขยะมูลฝอยเฉลี่ยประมาณ 0.96 กิโลกรัม/คน/วัน ซึ่งหากจำแนกประเภทขยะพบว่ามี “ขยะพลาสติก” อยู่ในสัดส่วนกว่า 17.3% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากบรรจุภัณฑ์อาหารและถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียว【ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 เชียงใหม่】

ขยายผลสู่แผนรณรงค์ระยะยาว

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เตรียมขยายกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” ไปยังเครือข่ายวัฒนธรรมตำบล หน่วยงานวัฒนธรรมอำเภอ และสถานศึกษาในพื้นที่ พร้อมส่งเสริมกิจกรรม “อิ่มพอดี–ลดขยะ–คืนชีวิตให้โลก” โดยมีเป้าหมายลดปริมาณขยะจากพลาสติกลงอย่างน้อย 20% ภายในปี 2570

นอกจากนี้ ยังวางแผนพัฒนาคู่มือกิจกรรมรักษ์โลกในบริบทวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่สู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนต่างๆ โดยตั้งเป้าให้ทุกหน่วยงานสามารถนำไปจัดกิจกรรมได้ด้วยตนเอง

ชการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต้องเริ่มที่ “แบบอย่าง”

กิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้คนในเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการใหญ่ แต่สามารถเริ่มจากกิจกรรมในระดับหน่วยงาน ที่สะท้อนเจตนารมณ์และแบบอย่างที่ดี

ในทางจิตวิทยาสังคม การเห็นผู้อื่นทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” ซ้ำๆ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในทางบวก ยิ่งผู้ปฏิบัติคือบุคลากรภาครัฐที่มีบทบาทในชุมชน ก็ยิ่งส่งผลให้ประชาชนเกิดแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน

สถิติและข้อมูลประกอบ

ประเภทข้อมูล

ตัวเลข/รายละเอียด

จำนวนถุงพลาสติกที่ใช้ในไทย

> 45,000 ล้านใบ/ปี

อัตราการย่อยสลายของพลาสติก

400–1,000 ปี

ปริมาณขยะมูลฝอยเฉลี่ย จ.เชียงราย

0.96 กก./คน/วัน

สัดส่วนขยะพลาสติก

17.3%

เป้าหมายลดขยะพลาสติก จ.เชียงราย

-20% ภายในปี 2570

จำนวนเจ้าหน้าที่ร่วมกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก”

30 คน (เบื้องต้น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (13 พฤษภาคม 2568)
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 เชียงใหม่
  • ข้อมูลสนับสนุนจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2566)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลดจุดความร้อน คุมไฟป่า PM2.5 ลดฮวบ 84%

จังหวัดเชียงรายสรุปผลสำเร็จ “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568 จุดความร้อนลด 84% คุณภาพอากาศดีขึ้นด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือ

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในปี 2568 โดยสามารถลดจุดความร้อนได้ถึง 84.3% พื้นที่เผาไหม้ลดลงกว่า 10,000 ไร่ และคุณภาพอากาศดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงาน ณ ห้องธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สะท้อนถึงประสิทธิภาพของยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ทำให้จังหวัดก้าวสู่เป้าหมายการเป็นเมืองสะอาดและยั่งยืน

ความท้าทายจากไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือ

จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 อย่างรุนแรงในช่วงฤดูแล้งของทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน สาเหตุหลักมาจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การจัดการเชื้อเพลิงในป่า และหมอกควันข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น ซึ่งเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับวิกฤตหมอกควันที่มีจุดความร้อนสูงถึง 3,885 จุด และค่า PM2.5 เฉลี่ยเกินมาตรฐานถึง 64 วัน สร้างความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ จังหวัดเชียงรายได้กำหนดยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งมุ่งเน้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างเป็นระบบ โดยผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ชุมชน และนานาชาติ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

ผลสำเร็จของการดำเนินงาน “เชียงรายฟ้าใส” ปี 2568

การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นำโดยนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาคี และสื่อมวลชน ได้นำเสนอผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM2.5 ในช่วงฤดูไฟป่า (1 กุมภาพันธ์ – 10 พฤษภาคม 2568) ซึ่งแสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในหลายมิติ

การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้

จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.ชร.) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับข้อมูลจากระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS พบว่า จุดความร้อน (Hotspot) ในปี 2568 ลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือเพียง 611 จุด คิดเป็นการลดลง 84.3% อำเภอที่มีจุดความร้อนสูงสุด ได้แก่ เวียงแก่น (114 จุด) เวียงป่าเป้า (95 จุด) และพาน (77 จุด) โดยตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น มีจุดความร้อนสูงสุดที่ 72 จุด

ด้านพื้นที่เผาไหม้ พบว่าพื้นที่เผาไหม้สะสมในปี 2568 อยู่ที่ 52,312 ไร่ ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 หรือลดลง 10,208 ไร่ (16.3%) ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 139,290 ไร่ ถึง 62% โดยพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์เป็นพื้นที่หลักที่เกิดการเผาไหม้ คิดเป็น 93.8% ของพื้นที่ทั้งหมด

การควบคุมคุณภาพอากาศ

คุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงรายดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยค่าเฉลี่ย PM2.5 รายวันในปี 2568 อยู่ที่ 39.18 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 หรือลดลง 25.5% และจำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 หรือลดลง 34.4% สถานีตรวจวัดหลักในอำเภอเมืองเชียงราย แม่สาย และเชียงของ ต่างยืนยันถึงแนวโน้มการลดลงของฝุ่นละออง

มาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม

จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการที่ครอบคลุม 3 ระดับ ดังนี้:

  1. การจัดการไฟในพื้นที่ป่า:
    • ปิดป่าหวงห้าม 26 แห่ง
    • จัดทำแนวกันไฟ 827.5 กิโลเมตร
    • ลาดตระเวน 1,297 ครั้ง และควบคุมไฟป่า 248 ครั้ง
    • สร้างฝายชะลอน้ำ 33 จุด เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในป่า
  2. การจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เกษตร:
    • ลงนาม MOU ควบคุมการเผาในภาคเกษตร 8 ครั้ง
    • อัดฟางด้วยเครื่องอัดฟาง 183,000 ตัน
    • ส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นชีวมวล ปุ๋ย อาหารสัตว์ และเพาะเห็ด รวม 552,940 ตัน (ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน)
    • ดำเนินโครงการ “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” ซึ่งห้ามเกษตรกรที่มีประวัติการเผาเข้าร่วมโครงการสนับสนุนของรัฐ
  3. การดูแลสุขภาพและลดผลกระทบ:
    • แจกหน้ากากอนามัยและ N95 จำนวน 1,121,965 ชิ้น
    • เปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และคัดกรองกลุ่มเสี่ยง 5,694 ราย
    • เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มโรคเรื้อรัง 11,261 ราย

การส่งเสริมเกษตรแบบไม่เผา

สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายได้ผลักดันโครงการ “เกษตรไม่เผา” โดยลดจุดความร้อนในพื้นที่เกษตรจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 หรือลดลง 69.77% โดยเฉพาะการเผานาข้าว (61.8%) และข้าวโพด (17.6%) ผ่านการส่งเสริมการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ เช่น ไถกลบ ทำปุ๋ยหมัก และผลิตชีวมวล รวมถึงการอบรมเกษตรกร 78,399 ราย และโครงการนำร่อง “PM2.5 Free Plus” ในอำเภอดอยหลวง ครอบคลุม 1,338 ไร่ เพื่อส่งเสริมการผลิตข้าวโพดแบบไม่เผา

ความยั่งยืนและการขยายผล

ผลสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เป็นผลจากการบูรณาการความร่วมมือในหลายระดับ รวมถึง:

  • ระดับชุมชน: การสร้างหมู่บ้านปลอดการเผา 438 หมู่บ้าน และพัฒนาศักยภาพอาสาดับไฟป่า “อส.สู้ไฟ” 372 นาย
  • ระดับจังหวัด: การใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแอปพลิเคชัน GISTDA รวมถึงโดรนตรวจการณ์ เพื่อแจ้งเตือนและควบคุมไฟป่าแบบเรียลไทม์
  • ระดับนานาชาติ: การประชุมความร่วมมือข้ามพรมแดนไทย–ลาว–เมียนมา 2 ครั้ง เพื่อจัดการหมอกควันข้ามแดน
  • นวัตกรรม: การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตใน 111 หมู่บ้าน และส่งเสริมพืชทางเลือก เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย และอะโวคาโด เพื่อลดการเผาในภาคเกษตร

การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน เช่น การแปรรูปวัสดุเหลือใช้เป็นปุ๋ยและชีวมวล ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร โครงการ “เชียงรายฟ้าใส” ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือ และเป็นแนวทางสำหรับการจัดการปัญหาหมอกควันในระดับภูมิภาค

ปัจจัยความสำเร็จและความท้าทายในอนาคต

ความสำเร็จของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 เกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการ:

  1. ความร่วมมือระดับชุมชน: การมีส่วนร่วมของหมู่บ้าน ผู้นำท้องถิ่น และเกษตรกร ในการปฏิบัติตามนโยบาย “ไม่เผา ไม่เสียสิทธิ์” และการพัฒนาหมู่บ้านปลอดการเผา
  2. เทคโนโลยีและข้อมูล: การใช้ระบบดาวเทียม Suomi NPP และ VIIRS รวมถึงแอปพลิเคชันแจ้งเตือน ทำให้สามารถควบคุมไฟป่าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  3. นโยบายที่ชัดเจน: การกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น การลดจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้ รวมถึงการใช้มาตรการจูงใจ เช่น คาร์บอนเครดิต และมาตรการลงโทษ เช่น การตัดสิทธิ์เกษตรกรที่เผา

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในระยะยาวยังคงมีอยู่ ได้แก่:

  • การพึ่งพาการเผาในภาคเกษตร: เกษตรกรบางกลุ่มยังคงใช้การเผาเป็นวิธีเตรียมพื้นที่เพาะปลูก เนื่องจากต้นทุนต่ำและสะดวก การเปลี่ยนพฤติกรรมจึงต้องอาศัยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
  • หมอกควันข้ามพรมแดน: ปัญหาหมอกควันจากประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก ต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติที่เข้มข้นมากขึ้น
  • การขยายพื้นที่เกษตร: ความต้องการพื้นที่เพาะปลูกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด อาจนำไปสู่การบุกรุกป่าและเพิ่มความเสี่ยงต่อไฟป่า

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ จังหวัดเชียงรายควรวางแผนระยะยาวที่เน้นการส่งเสริมเกษตรยั่งยืน การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต และการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว เช่น การใช้โดรนและระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดฝุ่นละอองในระดับตำบล

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำเร็จและบริบทของการจัดการไฟป่าและหมอกควันในจังหวัดเชียงราย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้:
    • จุดความร้อนลดลงจาก 3,885 จุดในปี 2567 เหลือ 611 จุดในปี 2568 (-84.3%)
    • พื้นที่เผาไหม้ลดลงจาก 62,520 ไร่ในปี 2567 เหลือ 52,312 ไร่ในปี 2568 (-16.3%)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)
  2. คุณภาพอากาศ:
    • ค่าเฉลี่ย PM2.5 ลดลงจาก 52.63 มคก./ลบ.ม. ในปี 2567 เหลือ 39.18 มคก./ลบ.ม. ในปี 2568 (-25.5%)
    • จำนวนวันที่ PM2.5 เกินมาตรฐานลดลงจาก 64 วันในปี 2567 เหลือ 42 วันในปี 2568 (-34.4%)
    • แหล่งอ้างอิง: ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาไฟป่า PM2.5 จังหวัดเชียงราย (2568)
  3. การจัดการในภาคเกษตร:
    • จุดความร้อนในพื้นที่เกษตรลดลงจาก 225 จุดในปี 2567 เหลือ 68 จุดในปี 2568 (-69.77%)
    • ปริมาณวัสดุเหลือใช้ที่แปรรูป: ข้าว 449,790 ตัน และข้าวโพด 103,150 ตัน
    • เกษตรกรที่เข้าร่วมอบรม 78,399 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (2568)
  4. การดูแลสุขภาพ:
    • แจกหน้ากากอนามัย 1,121,965 ชิ้น และเปิดห้องปลอดฝุ่น 903 แห่ง
    • ตรวจสุขภาพอาสาดับไฟป่า 3,686 ราย และเยี่ยมผู้ป่วย 11,261 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

จังหวัดเชียงรายประสบความสำเร็จในการจัดการไฟป่าและหมอกควันในปี 2568 ผ่านยุทธศาสตร์ “เชียงรายฟ ฟ้าใส” ซึ่งแสดงถึงพลังของความร่วมมือและนวัตกรรม การลดจุดความร้อน พื้นที่เผาไหม้ และฝุ่น PM2.5 เป็นผลจากนโยบายที่ชัดเจน เทคโนโลยีทันสมัย และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อรักษาความยั่งยืน ควรส่งเสริมเกษตรยั่งยืน พัฒนาคาร์บอนเครดิต และเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน

สำหรับชุมชนและ อปท. แนะนำให้เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านปลอดการเผาและอบรม “อส.สู้ไฟ” ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและขยายผลโครงการ “เกษตรไม่เผา” เพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สหรัฐฯ สร้างฟาร์มยั่งยืน เลี้ยงแกะใต้โซลาร์เซลล์

การผสานพลังงานแสงอาทิตย์และการเลี้ยงแกะ นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา, 12 พฤษภาคม 2568 – ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน สหรัฐอเมริกากำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยแนวคิดที่แปลกใหม่และน่าทึ่ง: การผสมผสานระหว่างการเลี้ยงแกะและฟาร์มโซลาร์เซลล์ หรือที่เรียกว่า Agrivoltaics สองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีวันมาบรรจบกันได้ กลับกลายเป็นพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบ ช่วยแก้ไขปัญหาการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม พร้อมทั้งส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาดและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในเวลาเดียวกัน

ความท้าทายของการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาเผชิญกับการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานของ American Farmland Trust ระหว่างปี 2001 ถึง 2016 สหรัฐสูญเสียพื้นที่เกษตรและทุ่งเลี้ยงสัตว์ไปเฉลี่ยวันละ 2,000 เอเคอร์ หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป คาดว่าภายในปี 2040 สหรัฐจะสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมที่มีขนาดเทียบเท่ารัฐเซาท์แคโรไลนา การสูญเสียที่ดินเกษตรที่มีคุณภาพสูงนี้ไม่เพียงแต่คุกคามความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นและความยั่งยืนของระบบนิเวศ

หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการสูญเสียที่ดินเกษตรคือการขยายตัวของฟาร์มโซลาร์เซลล์ ซึ่งกลายเป็นทางเลือกหลักในการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์มักใช้พื้นที่เกษตรกรรมที่มีศักยภาพสูง สร้างความขัดแย้งระหว่างการผลิตพลังงานและการรักษาความมั่นคงทางอาหาร คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น: เราจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างอาหารและพลังงานสะอาดหรือไม่?

คำตอบคือไม่จำเป็น ด้วยแนวคิด Agrivoltaics ซึ่งเป็นการใช้ที่ดินแบบผสมผสานเพื่อการเกษตรและการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในเวลาเดียวกัน แนวคิดนี้กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการที่ดินในสหรัฐอเมริกา และ แกะ ได้กลายเป็นตัวเอกที่ไม่คาดคิดในเรื่องราวนี้

Agrivoltaics และบทบาทของแกะในฟาร์มโซลาร์

Agrivoltaics คือการรวมกันของคำว่า agriculture (เกษตรกรรม) และ photovoltaics (พลังงานแสงอาทิตย์) ซึ่งหมายถึงการใช้ที่ดินเดียวกันเพื่อผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่ไปกับกิจกรรมทางการเกษตร เช่น การปลูกพืช การเลี้ยงปศุสัตว์ หรือการเลี้ยงผึ้ง แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างการใช้ที่ดิน แต่ยังสร้างประโยชน์ร่วมกันให้กับทั้งเกษตรกรและผู้ผลิตพลังงาน

หนึ่งในรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Agrivoltaics คือการเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์เซลล์ หรือที่เรียกว่า solar grazing การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำเป็นต้องมีการควบคุมพืชพรรณรอบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าสูงเกินไปจนบดบังแผง ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า การตัดหญ้าแบบดั้งเดิมต้องใช้เชื้อเพลิง แรงงาน และอุปกรณ์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งยังก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

การนำแกะเข้ามาเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์เซลล์จึงเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและประหยัดต้นทุน แกะสามารถกินหญ้าและวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้เครื่องจักรหรือสารเคมีกำจัดวัชพืช งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Applied Animal Behaviour Science ปี 2022 ระบุว่า แกะที่เลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ใช้เวลากินหญ้ามากกว่าแกะที่เลี้ยงในพื้นที่โล่ง เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์ให้ร่มเงา ช่วยลดความเครียดจากความร้อนและส่งเสริมสุขภาพของแกะให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน การเคลื่อนที่ของแกะช่วยเหยียบย่ำวัสดุพืชเก่าๆ ลงสู่พื้นดิน ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนสารอาหารและเพิ่มปริมาณคาร์บอนในดิน SolarPower Europe รายงานว่า ดินที่เลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับดินทั่วไป และมีความชื้นในดินสูงขึ้น 20-30% ซึ่งช่วยลดการพังทลายของดินและส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของที่ดิน

ตัวอย่างความสำเร็จจากเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการ

เจอาร์ โฮเวิร์ด เกษตรกรผู้เลี้ยงแกะในรัฐเท็กซัส เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จจาก solar grazing ในปี 2021 เขาเริ่มต้นด้วยการนำแกะของเขาไปเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ขนาดเล็กเพื่อควบคุมวัชพืช จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย ปัจจุบัน โฮเวิร์ดได้ก่อตั้งบริษัท Texas Solar Sheep ซึ่งมีฝูงแกะกว่า 8,000 ตัว และพนักงาน 24 คน ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีลูกค้ามากเกินกว่าที่จะรับไหว และเขาคาดว่าจะเพิ่มพนักงานอีก 20 คนภายในสิ้นปีนี้

โฮเวิร์ดให้สัมภาษณ์กับ The Independent ว่า “การเติบโตของธุรกิจนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก มันเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับฉันและครอบครัว” ความสำเร็จของเขาไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษาให้กับฟาร์มโซลาร์ แต่ยังเพิ่มรายได้จากการขายเนื้อและขนแกะ ซึ่งเป็นผลจากการที่แกะมีสุขภาพดีขึ้นจากการเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

การขยายตัวของ Agrivoltaics ในสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคมิดเวสต์และตะวันออก ตามข้อมูลจาก American Solar Grazing Association มีแกะประมาณ 80,000 ตัวเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์กว่า 500 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 40,000 เฮกตาร์ใน 27 รัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา

นอกจากการเลี้ยงแกะแล้ว Agrivoltaics ยังครอบคลุมถึงการปลูกพืชและการเลี้ยงผึ้งในฟาร์มโซลาร์ ตัวอย่างโครงการที่โดดเด่น ได้แก่:

  • Elizabethtown College, เพนซิลเวเนีย: ฟาร์มโซลาร์ของวิทยาลัยผลิตไฟฟ้าได้ 20% ของความต้องการทั้งหมด โดยใช้พื้นดินที่มีพืชคลุมดินที่เป็นมิตรต่อผึ้งและนก รวมถึงมีรังผึ้งเพื่อการศึกษาและวิจัย
  • Grafton Solar, แมสซาชูเซตส์: ฟาร์มโซลาร์ชุมชนแห่งนี้ปลูกผักกาดหอมและสควอชระหว่างแถวของแผงโซลาร์ และมีวัวเลี้ยงในบางส่วนของพื้นที่ นักวิจัยจาก UMass Amherst กำลังศึกษาผลกระทบของแผงโซลาร์ต่อผลผลิตทางการเกษตร
  • Jack’s Solar Garden, โคโลราโด: โครงการนี้ติดตั้งแผงโซลาร์สูง 2 เมตรเพื่อให้สามารถปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้าน Agrivoltaics สำหรับชุมชน
  • Oregon Agrivoltaic Research Facility, โอเรกอน: ตั้งอยู่ที่ Oregon State University โครงการนี้มุ่งเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น ลาเวนเดอร์และสมุนไพรพิเศษ ใต้แผงโซลาร์ เพื่อศึกษาผลกระทบของร่มเงาต่อผลผลิตและสุขภาพดิน

การแก้ไขปัญหาด้วยความยั่งยืน

การพัฒนา Agrivoltaics ในสหรัฐอเมริกาไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนในมิติต่างๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและสารเคมีในการบำรุงรักษา ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในขณะเดียวกัน เกษตรกรได้รับรายได้เพิ่มเติมจากการให้บริการ solar grazing และการขายผลิตภัณฑ์จากแกะ

สำหรับชุมชนท้องถิ่น Agrivoltaics ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียที่ดินเกษตร โดยแสดงให้เห็นว่าพลังงานสะอาดและการเกษตรสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน โครงการเหล่านี้ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกร ผู้เลี้ยงผึ้ง และชุมชนในท้องถิ่น ผ่านการจ้างงานและการพัฒนาทักษะใหม่ๆ

โอกาสและความท้าทาย

Agrivoltaics มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการที่ดินในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในบริบทที่ความต้องการพลังงานสะอาดและอาหารเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การขยายแนวคิดนี้ให้ครอบคลุมในวงกว้างยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  1. ต้นทุนการก่อสร้าง: การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของฟาร์มโซลาร์ เช่น การยกแผงให้สูงขึ้นหรือเพิ่มระยะห่างระหว่างแถวเพื่อให้เหมาะสมกับการเกษตร อาจเพิ่มต้นทุนการก่อสร้างถึง 10% ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีและการออกแบบที่ประหยัดต้นทุนจะเป็นกุญแจสำคัญ
  2. การเข้าถึงน้ำ: ในพื้นที่ที่มีสภาพแห้งแล้ง เช่น ภาคตะวันตกของสหรัฐ การจัดหาน้ำสำหรับปศุสัตว์และการชลประทานอาจเป็นอุปสรรค การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  3. การเลือกพืชที่เหมาะสม: ร่มเงาจากแผงโซลาร์อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิด การเลือกพืชที่ทนต่อร่มเงา เช่น ผักใบเขียวหรือสมุนไพร จะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
  4. ความเสียหายต่ออุปกรณ์: การอนุญาตให้เกษตรกรใช้เครื่องจักรในฟาร์มโซลาร์อาจเสี่ยงต่อความเสียหายของแผงโซลาร์หรือโครงสร้าง การวางแผนและการจัดการที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงนี้
  5. สุขภาพดิน: การก่อสร้างฟาร์มโซลาร์อาจทำให้ดินอัดแน่นหรือสูญเสียหน้าดิน การใช้เทคนิคการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกพืชคลุมดิน จะช่วยรักษาคุณภาพดิน

ถึงกระนั้น โอกาสที่ Agrivoltaics นำมานั้นมีมากกว่าความท้าทาย การวิจัยจาก National Renewable Energy Laboratory (NREL) และโครงการ InSPIRE แสดงให้เห็นว่า Agrivoltaics สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในบางกรณี เช่น การปลูกพืชที่ได้รับประโยชน์จากร่มเงา หรือการเลี้ยงแกะที่มีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้ การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผึ้งและแมลงผสมเกสรในฟาร์มโซลาร์ยังช่วยเพิ่มผลผลิตของพืชในพื้นที่ใกล้เคียง

ตัวอย่างจากต่างประเทศและอนาคตของ Agrivoltaics

ในขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังพัฒนา Agrivoltaics อย่างรวดเร็ว ประเทศในยุโรป เช่น สเปน อิตาลี และฝรั่งเศส ได้นำแนวคิดนี้ไปใช้มานานหลายปี ตัวอย่างเช่น บริษัท Iberdrola ในโปรตุเกสใช้แกะ 300 ตัวในการบำรุงรักษาพื้นที่ฟาร์มโซลาร์ เพื่อลดความเสี่ยงจากไฟป่าและส่งเสริมความยั่งยืน ในสหราชอาณาจักร โครงการฟาร์มโซลาร์ขนาด 1 กิกะวัตต์ในนอตติงแฮมเชอร์คาดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการตัดหญ้าได้ถึง 5 ล้านปอนด์ตลอดอายุ 40 ปี ด้วยการใช้แกะ 9,000 ตัว

ในอนาคต Agrivoltaics มีศักยภาพในการขยายไปสู่การเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น กระต่ายหรือหมู รวมถึงการปลูกพืชที่หลากหลายมากขึ้น การทดลองในปัจจุบัน เช่น การปลูกข้าวโพด มันฝรั่ง หรือมะเขือเทศ ใต้แผงโซลาร์ กำลังแสดงผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ การสนับสนุนจากรัฐบาลในรูปแบบเงินอุดหนุนหรือนโยบายส่งเสริมจะช่วยเร่งการนำ Agrivoltaics ไปใช้ในวงกว้าง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม:
    • สหรัฐสูญเสียพื้นที่เกษตรและทุ่งเลี้ยงสัตว์ 2,000 เอเคอร์ต่อวัน ระหว่างปี 2001-2016
    • คาดการณ์สูญเสียพื้นที่เทียบเท่ารัฐเซาท์แคโรไลนาภายในปี 2040
    • ที่มา: American Farmland Trust
  2. การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์:
    • แกะ 80,000 ตัวเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ 500 แห่ง ครอบคลุม 40,000 เฮกตาร์ใน 27 รัฐ
    • เพิ่มขึ้น 10 เท่าใน 2 ปี
    • ที่มา: American Solar Grazing Association
  3. ผลกระทบต่อดิน:
    • ดินในฟาร์มโซลาร์ที่เลี้ยงแกะกักเก็บคาร์บอนได้มากขึ้น 80%
    • ความชื้นในดินเพิ่มขึ้น 20-30%
    • ที่มา: SolarPower Europe
  4. ผลตอบแทนทางการเงิน:
    • เกษตรกรสามารถสร้างรายได้ 300-500 ดอลลาร์ต่อเอเคอร์ต่อปีจากการให้บริการ solar grazing
    • ที่มา: Cornell University
  5. ประชากรแกะในสหรัฐ:
    • ปัจจุบันมีแกะประมาณ 5 ล้านตัว ลดลงจาก 50 ล้านตัวในปี 1947
    • ที่มา: The Independent

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • American Farmland Trust: รายงานการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม, 2001-2016
  • American Solar Grazing Association: ข้อมูลการเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์, 2025
  • SolarPower Europe: รายงานผลกระทบของ solar grazing ต่อดินและระบบนิเวศ
  • Cornell University: การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินจาก solar grazing
  • Applied Animal Behaviour Science: การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินหญ้าของแกะในฟาร์มโซลาร์, 2022
  • The Independent: บทสัมภาษณ์เจอาร์ โฮเวิร์ด, 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News