Categories
SOCIETY & POLITICS

PM2.5 วาระแห่งชาติ นายกฯ เร่งทุกฝ่ายแก้ปัญหา

นายกรัฐมนตรีติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ย้ำบูรณาการทุกหน่วยงาน คุมเข้มการเผา พร้อมสั่งเตรียมแผนงานรองรับปีหน้า

กรุงเทพฯ, 19 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนปลัดกระทรวง อธิบดีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุม

นายกฯ สั่งเข้มมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ทุกระดับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้รับฟังรายงานจากนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ โดยระบุว่า รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ผ่านมาตรการบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้สถานการณ์ฝุ่นละอองในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังการลักลอบเผาป่า ซึ่งอาจทำให้ปัญหากลับมารุนแรงขึ้น โดยต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานภาครัฐและระดับพื้นที่

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมแผนงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นละอองในปีหน้า รวมถึงต้องขับเคลื่อนการบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญ

สั่งคุมเข้มการเผาในพื้นที่เกษตร – ดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนอย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศให้เร่งควบคุมการลักลอบเผาในพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบจุดความร้อน (Hotspot) มากที่สุด พร้อมสั่งให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้กระทำผิด

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ติดตามสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ พร้อมให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งประสานงานกับกองทัพบกและกองทัพอากาศ เพื่อสนับสนุนเครื่องมืออากาศยานในการดับไฟป่าและเฝ้าระวังการลักลอบเผา

ในส่วนของการป้องกันปัญหาฝุ่นจากภาคอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ กระทรวงอุตสาหกรรม ควบคุมมลพิษจากโรงงาน พร้อมกำชับให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ลดการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้วิธีการไถกลบแทน

รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเครื่องมือและมาตรการเพิ่มเติมในปีหน้า

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในปีหน้า โดยขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลและเสนอแผนงานที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปีนี้เราอาจมีข้อจำกัดหลายด้าน แต่ปีหน้าเราจะต้องทำให้ดีขึ้น เพื่อให้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ลดความรุนแรงลง และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า รัฐบาลมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศหารือเพื่อนบ้าน ร่วมแก้ปัญหาฝุ่นข้ามแดน

เนื่องจากปัญหาฝุ่น PM2.5 มีสาเหตุจากไฟป่าและการเผาในประเทศเพื่อนบ้านด้วย นายกรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้ กระทรวงการต่างประเทศ ประสานงานกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา เพื่อหารือแนวทางป้องกันการเผาข้ามแดน รวมถึงจัดทำข้อตกลงร่วมกันในการลดปัญหาฝุ่นละอองในระดับภูมิภาค

นายกฯ รับข้อเสนอ กทม. เสริมมาตรการลดฝุ่นในเมือง

สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของปัญหาฝุ่นละอองจากภาคขนส่งและอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอจาก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งรวมถึงการเพิ่มจุดตรวจวัดค่าฝุ่น การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และการเข้มงวดการตรวจสอบรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐาน โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและหารือเพิ่มเติมในการประชุมครั้งต่อไป

สรุปแนวทางปฏิบัติและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

  1. ควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างจริงจัง บังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน
  2. ประสานความร่วมมือกับกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมไฟป่า
  3. ควบคุมการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมและขนส่ง
  4. สนับสนุนเครื่องมือและงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาในปีหน้า
  5. ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นข้ามแดน
  6. รับข้อเสนอจากกรุงเทพมหานครเพื่อเสริมมาตรการลดฝุ่นในเขตเมือง

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการระยะยาวที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ประชาชนได้รับอากาศที่สะอาดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทุกหน่วยงานต้องทำงานเชิงรุก อย่ารอให้ปัญหารุนแรงแล้วค่อยแก้ไข เราต้องเตรียมการล่วงหน้า และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ” นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้าย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไถกลบแทนเผา เชียงรายรณรงค์ลดฝุ่น PM2.5 เกษตรกรร่วมใจ

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ ไถกลบ ลดเผา สกัดฝุ่น PM2.5

เชียงราย, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น มุ่งแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในกิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ที่จัดขึ้นในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น, นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย, นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม

มุ่งลดการเผาในที่โล่ง เสริมสร้างความรู้ให้เกษตรกร

กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรหยุดการเผาในพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่มีการเผาซากพืชจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า การเผาในที่โล่งไม่เพียงแต่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพอากาศและการท่องเที่ยวของจังหวัด

“เชียงรายให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 มาโดยตลอด เราไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เพียงลำพัง แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การชิงไถและไถกลบแทนการเผา” นายประเสริฐกล่าว

กิจกรรมชิงไถและไถกลบเศษพืช ลดการเผาอย่างเป็นรูปธรรม

ในกิจกรรมครั้งนี้ มีการนำเครื่องจักรกลการเกษตรมาใช้ไถกลบตอซังและเศษพืชเหลือใช้ เพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงที่อาจถูกเผาทำลาย รวมถึงการหว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทืองเพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสด เนื่องจากปอเทืองเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีไนโตรเจนสูง ช่วยบำรุงดินและสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ เช่น การเลี้ยงโค กระบือ และหมู อีกทั้งยังช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน และรักษาความชื้นในดินได้เป็นอย่างดี

“การไถกลบแทนการเผาไม่เพียงช่วยลดมลพิษในอากาศ แต่ยังช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้น ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว” นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย กล่าว

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส” คุมเข้มการเผาในพื้นที่

จังหวัดเชียงรายได้ออกมาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ช่วงห้ามเผาในที่โล่ง ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการบริหารจัดการเชื้อเพลิงจะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น

ช่วงเข้มงวดการห้ามเผาอย่างเด็ดขาด ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งหากพบว่ามีการฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด

การบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผาจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีบทลงโทษที่เข้มงวด รวมถึงอาจถูกตัดสิทธิ์การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมมือในการลดการเผา

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นกุญแจสำคัญ

การดำเนินงานภายใต้โครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการเผา และใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

กิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งจะช่วยลดมลพิษทางอากาศและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงรายจะดำเนินมาตรการควบคุมการเผาอย่างเข้มข้นในช่วงฤดูแล้ง โดยมีเป้าหมายลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) และปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ให้น้อยที่สุด พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของการเผา และร่วมมือกันในการป้องกันปัญหาหมอกควันอย่างจริงจัง

สำหรับประชาชนที่พบเห็นการเผาในที่โล่ง สามารถแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 053-602547 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและดำเนินมาตรการควบคุมทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ผู้ว่าฯ เชียงรายจับมือลาว สู้ศึกหมอกควันข้ามแดน

เชียงรายผนึกกำลังเพื่อนบ้าน! ดับไฟป่า ลดหมอกควันข้ามพรมแดน

เชียงราย, 18 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงราย-บ่อแก้ว-ไซยะบูลี ผนึกกำลังเดินหน้าลดการเผา ป้องกันหมอกควันข้ามแดน

เปิดกิจกรรม Kick Off ความร่วมมือไทย-ลาว แนวกันไฟชายแดน

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม Kick Off การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระหว่าง จังหวัดเชียงราย แขวงบ่อแก้ว และแขวงไชยะบูลีแก่งผาได หมู่ 4 บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

ในพิธีเปิดมี นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และประชาชนจากทั้ง สปป.ลาว และจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งนอกจากการจัดทำแนวกันไฟบริเวณแนวชายแดนไทย-ลาวแล้ว ยังมีการรณรงค์ ลดการเผาในแปลงเกษตรและพื้นที่ป่า ในหมู่บ้านแนวเขตชายแดนของอำเภอเวียงแก่น

เวทีหารือไทย-ลาว-เมียนมา เดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดน

ภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม Kick Off คณะผู้บริหารจากไทยและลาวได้เข้าร่วมการประชุมหารือเรื่อง การขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดทำแนวกันไฟ ลดการเผา เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าและ PM2.5โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่จากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วม

เชียงราย-บ่อแก้ว จับมือป้องกันไฟป่าลุกลามข้ามพรมแดน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็น หนึ่งในพื้นที่วิกฤติหมอกควันและไฟป่าของภาคเหนือ เนื่องจากมีการเผาป่าและการเตรียมพื้นที่การเกษตรในช่วงหน้าแล้ง ประกอบกับ พรมแดนติดกับ สปป.ลาว และเมียนมา ทำให้มลพิษจากหมอกควันข้ามแดนรุนแรงขึ้นและควบคุมได้ยาก

ที่ผ่านมาจังหวัดเชียงรายและแขวงบ่อแก้วมีความร่วมมือที่ดีในการรับมือกับไฟป่าและหมอกควัน และกิจกรรม Kick Off ครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ ยกระดับความร่วมมืออย่างจริงจัง ระหว่างสองฝ่ายในฐานะเมืองคู่ขนาน โดยเน้นการ ปฏิบัติจริงในพื้นที่ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาหมอกควันข้ามแดนในระยะยาว

แขวงไซยะบูลีร่วมผลักดันแนวทางป้องกันมลพิษอากาศ

นายคำผะหยา พมปันยา รองเจ้าแขวงบ่อแก้ว กล่าวว่า แขวงบ่อแก้วและจังหวัดเชียงราย มีความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องในการรับมือกับ ไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยการทำงานร่วมกันในลักษณะ พหุภาคีไทย-ลาว-เมียนมา จะช่วยให้สามารถ ลดการเผา และควบคุมไฟป่าข้ามแดน ได้ดียิ่งขึ้น

ด้าน นายสมจิด จันทะวง รองเจ้าแขวงไซยะบูลี กล่าวถึง ความสำคัญของการสร้างความตระหนักแก่ประชาชน ให้ร่วมมือกันลดการเผาเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น พร้อมย้ำว่า แขวงไซยะบูลีซึ่งมีชายแดนติดกับไทยหลายจังหวัด ต้องการความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับฝ่ายไทยในการรณรงค์ลดมลพิษหมอกควัน

เวียงแก่นต้นแบบความร่วมมือชายแดน ลดการเผาเพื่อสิ่งแวดล้อม

นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น กล่าวว่า อำเภอเวียงแก่นในฐานะเมืองคู่ขนานของไทยและลาว ได้ดำเนินการตามนโยบายของ คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-ลาว มาโดยตลอด

กิจกรรมสำคัญที่ผ่านมา ได้แก่:

  • การปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างแนวกำแพงป้องกันหมอกควัน
  • การสร้างแนวกันไฟตามแนวเขตชายแดน ลดการลุกลามของไฟป่า
  • การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระหว่างไทยและลาว

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยชี้ไทย-ลาวเดินหน้าลดหมอกควันข้ามแดนเป็นรูปธรรม

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า สถาบันฯ ได้เข้ามามีบทบาทในการสนับสนุน การลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนร่วมกับจังหวัดเชียงราย และประเทศเพื่อนบ้าน โดยการขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือทั้งในระดับ นโยบายและระดับพื้นที่

โมเดลแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็น ต้นแบบของแนวทางการลดเผาในภาคเกษตร ซึ่ง สปป.ลาว ได้นำไปปรับใช้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว การดำเนินงานนี้จะช่วยสร้างแนวปฏิบัติที่ดีและช่วยให้การลดมลพิษทางอากาศเกิดผลเป็นรูปธรรม

สรุป

การประชุมและกิจกรรม Kick Off ระหว่าง ไทย-ลาว-เมียนมา ครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการ ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน เพื่อ ป้องกันและลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน โดยเฉพาะการ ลดการเผาในภาคเกษตรและป่าไม้

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและผู้นำจากแขวงบ่อแก้ว และไซยะบูลี ต่างให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าความร่วมมือต่อไป เพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์และสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนสำหรับประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเปิดศูนย์บัญชาการ สู้ศึกหมอกควัน PM2.5

เชียงรายลั่น! เอาผิดคนเผาป่า เข้มมาตรการ PM2.5

เชียงราย, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เดินหน้าคุมเข้มมาตรการลดปัญหามลพิษ

ผู้ว่าฯ เชียงรายเปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5

วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2568) นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงรายอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กองทัพ และภาคประชาสังคมเข้าร่วม

ศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างเป็นระบบ โดยมีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และภาคประชาชน เน้น การบัญชาการ วางแผน และติดตามมาตรการควบคุมหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่ โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ มณฑลทหารบกที่ 37, กอ.รมน. จังหวัดเชียงราย, สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานอื่น ๆ ประจำการตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

แนวทางแก้ปัญหา PM2.5 และการบังคับใช้กฎหมาย

นายชรินทร์ ทองสุข เน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมแหล่งกำเนิดหมอกควันไฟป่า โดยชี้ว่าปัญหา PM2.5 ไม่ได้เกิดจากจุดความร้อนของไฟป่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงปัจจัยอื่น เช่น ควันดำจากยานพาหนะ และฝุ่นละอองจากพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายจะใช้มาตรการเข้มข้นในการควบคุมการเผาอย่างเคร่งครัด โดยมี แนวทางป้องกันที่ชัดเจน ดังนี้:

  • เพิ่มมาตรการตรวจจับการเผาในที่โล่ง โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมและโดรนตรวจการณ์
  • ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของ PM2.5 ผ่านช่องทางต่าง ๆ
  • บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สำหรับผู้ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผา

คนเผาต้องได้รับผลจากการกระทำ เช่น การดำเนินคดีทางกฎหมาย หรือการตัดสิทธิ์จากการรับบริการภาครัฐ” นายชรินทร์กล่าว พร้อมย้ำว่าทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา”

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศ มาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ 3 ระดับ ได้แก่ พื้นที่ป่า พื้นที่การเกษตร และพื้นที่เมือง โดยใช้ 3 ช่วงเวลาหลัก เพื่อควบคุมสถานการณ์หมอกควัน:

  1. ช่วงที่ 1: ห้ามเผาในที่โล่งตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมจะได้รับอนุญาต เฉพาะการบริหารจัดการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น
  2. ช่วงที่ 2: ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เป็นช่วงบังคับใช้มาตรการ ห้ามเผาอย่างเด็ดขาด โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด
  3. ช่วงที่ 3: หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีการติดตามและประเมินผลมาตรการ รวมถึงกำหนดแนวทางระยะยาวในการป้องกันปัญหาหมอกควัน

ประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน

เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควัน ศูนย์ปฏิบัติการฯ ได้เปิด สายด่วนรับแจ้งเหตุเผาในพื้นที่ หมายเลข 053-602547 โดยมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ปัญหาฝุ่นควัน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชน เราต้องทำให้ประชาชนตระหนักว่า หมอกควันและฝุ่น PM2.5 เป็นภัยที่กระทบต่อสุขภาพของทุกคน”

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายยังได้บูรณาการทำงานร่วมกับ กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้ความรู้เรื่องการจัดการเชื้อเพลิงอย่างปลอดภัย และสนับสนุนการนำเศษพืชมาใช้เป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวมวล ลดการเผาทำลาย ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษในระยะยาว

สรุป

จังหวัดเชียงรายเปิด ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากไฟป่าและหมอกควันอย่างจริงจัง โดยใช้ มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” ควบคุมการเผา พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุเผาผ่านสายด่วน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายมั่นใจว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จังหวัดเชียงรายจะสามารถลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ให้กับประชาชนได้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

พะเยาคุมไฟป่าสำเร็จ เร่งหาสาเหตุ มทบ.34 แจงยิงปืนไม่เกี่ยว

พะเยาดับไฟป่าบ่อสิบสองแล้ว ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจ

พะเยา, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้ว่าฯ พะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้บ่อสิบสอง ยืนยันสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ด้าน มทบ.34 ปฏิเสธข้อกล่าวหา ซ้อมยิงปืนใหญ่ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

ผู้ว่าฯ พะเยาตรวจสอบไฟป่า บ่อสิบสอง

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย นายนิกร ยะกะจาย นายอำเภอเมืองพะเยา, นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เพื่อตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่เข้าควบคุมสถานการณ์

นายถวิล จันธิยศ ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้พะเยา กรมป่าไม้ รายงานว่า ไฟป่าดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเปลวเพลิงได้ลุกไหม้เข้าพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง เจ้าหน้าที่จึงเร่งเข้าไปดับไฟและทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลาม โดยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เบื้องต้นพบว่า พื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองได้รับความเสียหายประมาณ 5 ไร่

ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง และป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้ผู้นำท้องที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ เพื่อลดความขัดแย้งและป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

มณฑลทหารบกที่ 34 ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

มณฑลทหารบกที่ 34 (มทบ.34) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ไฟป่าบ่อสิบสองเกิดจากการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ของทหาร ซึ่งทำให้เกิดไฟไหม้ลุกลามเป็นวงกว้างเสียหายกว่า 500 ไร่ โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

แถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 หน่วย ป.4 พัน.17 ได้ดำเนินการฝึกยิงปืนใหญ่ที่ บ้านเกษตรพัฒนา โดยใช้พื้นที่เป้าหมายที่ เขาบ้านร่องปอ ก่อนการฝึก หน่วยงานทหารได้เข้าพบชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 7 และ 14 ตำบลดงเจน พร้อมร่วมประชุมและรณรงค์ป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

ต่อมาในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดไฟป่าลุกลามบริเวณใกล้เคียงกับจุดฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ อย่างไรก็ตาม มทบ.34 ยืนยันว่า กระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ในการฝึกซ้อมไม่มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดไฟป่า อีกทั้งหลังเกิดเหตุ ทางมณฑลทหารบกที่ 34 ได้จัดกำลังพลเข้าร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการควบคุมเพลิงทันที

ทหารและเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่าง ๆ สนธิกำลังดับไฟป่า

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 17 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ได้จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทานและชุดควบคุมไฟป่า เข้าสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมเพลิง โดยได้มีการเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลามเพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.30 น. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังกันเข้าไปดับไฟป่าในพื้นที่ ป่าหินบ่อสิบสอง ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา โดยทำการ สร้างแนวกันไฟ และปฏิบัติการควบคุมเพลิงจนสามารถดับไฟได้ทั้งหมด

เพจอย่างเป็นทางการของ มณฑลทหารบกที่ 34 ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ไฟป่าที่ลุกลามเกิดขึ้นในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองจริง แต่พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมีเพียง 5 ไร่ ไม่ใช่ 500 ไร่ตามที่เป็นข่าว ขณะที่พื้นที่ที่เหลือซึ่งได้รับผลกระทบเป็น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยบงและป่าห้วยเคียน โดยทางทหารได้เข้าร่วมสนับสนุนกำลังพลเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์

ผู้ว่าฯ พะเยาลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ ยืนยันไฟป่าดับสนิทแล้ว

ล่าสุด นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้นำคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุไฟป่า พร้อมรายงานว่าสถานการณ์ กลับสู่ภาวะปกติ และเจ้าหน้าที่สามารถ ดับไฟป่าได้ทั้งหมดแล้ว

ผู้ว่าฯ พะเยา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินมาตรการเฝ้าระวังไฟป่าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมเตรียมมาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน

สรุป

เหตุไฟป่าในพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง จังหวัดพะเยา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมเรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่เสียหาย 5 ไร่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 34 ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่เป็นสาเหตุของไฟป่า พร้อมส่งกำลังพลเข้าช่วยดับเพลิงจนสถานการณ์คลี่คลาย

ขณะนี้จังหวัดพะเยาอยู่ระหว่างการ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังไฟป่า และขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คุมไฟป่าห้วยบงใต้ นายอำเภอพานลงพื้นที่ สั่งเฝ้าระวังเข้ม

ดับไฟป่าห้วยบงใต้! เชียงรายเร่งป้องกันไฟป่าต่อเนื่อง

เชียงราย, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พบจุดความร้อนบริเวณบ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ขณะที่นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และสั่งการให้ผู้นำชุมชนประชาสัมพันธ์และตรวจตราอย่างเข้มงวด ห้ามประชาชนเข้าไปในเขตอุทยานเพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าซ้ำ

พบจุดความร้อนจากดาวเทียมและมาตรการเข้าควบคุมไฟป่า

ศูนย์เฝ้าระวังไฟป่ารายงานว่า จุดความร้อน (Hotspot) ถูกตรวจพบผ่านดาวเทียม Suomi NPP (ระบบ VIIRS) เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 02.26 น. โดยพบ 2 จุดในพื้นที่บ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเจ้าหน้าที่จาก สถานีควบคุมไฟป่าแม่ปืม นำโดยนายสรายุทธ แก้วเสน หัวหน้าสถานี ได้ระดมกำลังพลจำนวน 8 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก จุดเฝ้าระวัง มป.11ก จำนวน 3 นาย ลงพื้นที่เพื่อดำเนินการควบคุมเพลิง และสามารถดับไฟได้สำเร็จภายในเวลา 11.30 น.

ความเสียหายและผลกระทบ

จากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า มีความเสียหายโดยประมาณ 70 ไร่ โดยสาเหตุของไฟป่ายังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เบื้องต้นคาดว่าอาจเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือสภาพอากาศแห้งแล้งที่ทำให้เชื้อไฟสะสมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุที่แน่ชัด

นายอำเภอพานลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และกำชับมาตรการป้องกัน

เวลา 12.00 น. นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้เดินทางไปยังจุดเฝ้าระวังบ้านห้วยบงใต้เพื่อติดตามสถานการณ์ และสั่งการให้ผู้นำชุมชน ทั้ง ผู้ใหญ่บ้าน 2 หมู่บ้าน ในพื้นที่ทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงอันตรายของไฟป่า รวมถึงกำชับไม่ให้มีการเผาป่า หรือบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์

นายสุรเชษฐ์ยังเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายปกครองท้องที่ อบต.ทานตะวัน และ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในแนวทางการป้องกันไฟป่า พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

มาตรการระยะยาวป้องกันไฟป่า

นายอำเภอพานกล่าวว่า ไฟป่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากในช่วงฤดูแล้ง และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน รัฐบาลจึงมีมาตรการป้องกันและรับมือกับไฟป่าอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการดำเนินงานใน 3 แนวทางหลัก ได้แก่

  1. มาตรการเฝ้าระวังและแจ้งเตือน – ใช้ระบบดาวเทียมติดตามจุดความร้อนแบบเรียลไทม์ และเพิ่มจุดตรวจตราภาคพื้นดิน
  2. มาตรการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของชุมชน – ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของไฟป่า และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการป้องกัน
  3. มาตรการบังคับใช้กฎหมาย – ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดที่เป็นต้นเหตุของไฟป่า

ผลกระทบและการตอบสนองของชุมชน

ไฟป่าที่เกิดขึ้นครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคุณภาพอากาศและระบบนิเวศของป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม อย่างไรก็ตาม การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันเวลา ขณะเดียวกัน ชาวบ้านในพื้นที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยสอดส่องดูแล และแจ้งเบาะแสหากพบเหตุผิดปกติ

สรุป

ไฟป่าบริเวณบ้านห้วยบงใต้ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งถูกตรวจพบเมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง ความเสียหายโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 70 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนสาเหตุ นายอำเภอพานลงพื้นที่กำชับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาไฟป่า รวมถึงบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานป้องกันไฟป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดเผา ลดฝุ่น PM2.5 ยั่งยืน

ผู้ว่าฯ เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” เพื่อรณรงค์ส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการเผา โดยจัดขึ้น ณ ศูนย์ข้าวชุมชนนาแปลงใหญ่ข้าวปลอดสารพิษ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน, เกษตรจังหวัดเชียงราย, เกษตรอำเภอพาน, นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน และเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมงานจำนวนมาก

แนวทางแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า ปัญหาการเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าและพื้นที่การเกษตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงรายจึงให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

การจัดกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อ สร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่เกษตรกร เกี่ยวกับผลกระทบของการเผา พร้อมนำเสนอทางเลือกทางการเกษตรที่สามารถลดการเผา เช่น การใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่ยั่งยืน และการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น

ข้อมูลพื้นที่เป้าหมายในการรณรงค์

ตำบลแม่อ้อมีพื้นที่ทั้งหมด 130 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 8,813 คน โดยมีพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญ ได้แก่:

  • พื้นที่นาข้าว 16,000 ไร่
  • พื้นที่เกษตรอื่นๆ 5,000 ไร่

ประชาชนในตำบลแม่อ้อส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา ซึ่งเนื่องจากพื้นที่อยู่นอกเขตชลประทาน ทำให้สามารถปลูกข้าวได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ขณะที่ในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว เกษตรกรในพื้นที่ยังมี อาชีพเสริม ได้แก่ การทำเห็ดฟางยกก้อนสูง ซึ่งใช้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร แทนการเผาฟางและตอซังข้าว นับเป็นแนวทางที่ช่วยลดการเผาในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมส่งเสริมการลดเผาและแนวทางการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

ในการจัดกิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา มีการนำเสนอแนวทางจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรโดยไม่ใช้การเผา ได้แก่:

  1. การไถกลบตอซังข้าว เพื่อช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และช่วยรักษาความชื้นในดิน
  2. การใช้เศษฟางและตอซังข้าวทำปุ๋ยหมัก เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยลดปริมาณขยะชีวภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  3. การนำเศษวัสดุเหลือใช้ไปเพาะเห็ดฟาง ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกร

ผลกระทบของการเผาต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

การเผาตอซังข้าวและเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด มลพิษทางอากาศและฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง นอกจากนี้ยังทำให้ดินเสื่อมโทรม สูญเสียสารอาหารที่จำเป็น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

ในการแก้ไขปัญหาการเผา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินโครงการนี้เพื่อลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด พร้อมรณรงค์ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแนวทางการทำเกษตรไปสู่แนวทางที่ยั่งยืน

บทสรุป

กิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการ แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์แทนการเผา ซึ่งไม่เพียงช่วยลดมลพิษ แต่ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และส่งเสริมการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ฤดูร้อนไทยเริ่มช้ากว่า 2 สัปดาห์ เตรียมรับมือความร้อน

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ฤดูร้อนปีนี้เริ่มช้า ย้ำให้ประชาชนเตรียมรับมือ

ประเทศไทย, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยได้ประกาศคาดการณ์ฤดูร้อนปีนี้ว่า จะเริ่มต้นช้ากว่าปกติประมาณ 2 สัปดาห์ โดยคาดว่าจะมาถึงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์และจะสิ้นสุดในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ภาพรวมของฤดูร้อนปีนี้จะมีลักษณะอากาศร้อนอบอ้าวเป็นระยะ สลับกับมีฝนฟ้าคะนองที่จะช่วยคลายความร้อนลงได้ในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางวันที่อากาศจะร้อนจัด โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายน

อุณหภูมิและปริมาณฝน

ในช่วงฤดูร้อนนี้ อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบนจะอยู่ที่ประมาณ 35-36 องศาเซลเซียส ซึ่งใกล้เคียงกับค่าปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเมื่อฤดูร้อนปี 2567 ซึ่งมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยที่ 37.5 องศาเซลเซียส สำหรับปริมาณฝนรวมเฉลี่ยคาดว่าจะมากกว่าค่าปกติ 10-20% ซึ่งจะช่วยบรรเทาความร้อนได้บ้าง

พายุฤดูร้อนและการเตรียมพร้อม

ทุกปีในช่วงฤดูร้อนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ มาพร้อมกับฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และบางครั้งมีลูกเห็บตก ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนที่ตกไม่เพียงพอกับความต้องการในหลายพื้นที่ ทั้งด้านอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดภัยแล้งซ้ำซากนอกเขตชลประทาน จึงขอแนะนำให้ประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัดและเตรียมการป้องกันสภาวะดังกล่าว

การคาดการณ์สภาพอากาศตามภูมิภาค

ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: คาดการณ์ว่าจะมีอากาศร้อนอบอ้าวเกือบทั่วไป และมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ สลับกับมีฝนฟ้าคะนองและอาจมีลมกระโชกแรง รวมถึงลูกเห็บตกบางแห่ง อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 41-43 องศาเซลเซียส

ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งชายฝั่ง: อากาศร้อนอบอ้าวจะครอบคลุมเกือบทั่วไป แต่จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ โดยอาจมีลมกระโชกแรงและลูกเห็บในบางพื้นที่ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 40-42 องศาเซลเซียส

ภาคใต้: ช่วงเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายนจะมีอากาศร้อนในหลายพื้นที่ กับมีฝนตกประมาณ 20-30% ของพื้นที่ คลื่นลมในทะเลจะมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร จากนั้นจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 37-39 องศาเซลเซียส

กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล: จะมีอากาศร้อนเกือบทั่วไป แต่จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 38-39 องศาเซลเซียส

กรมอุตุนิยมวิทยาแนะนำให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งการใช้น้ำอย่างประหยัดเพื่อรับมือกับฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายคุมเข้ม ไฟป่า-หมอกควัน ปิดอุทยานถ้ำหลวง เว้นโซนนันทนาการ

เชียงรายประกาศปิดพื้นที่อุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน คุมเข้มหมอกควันไฟป่า

เชียงราย, วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568  – อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ออกประกาศห้ามเข้าไปในพื้นที่ ยกเว้นโซนนันทนาการ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2568 ครอบคลุม ตำบลโป่งผา, ตำบลโป่งงาม, ตำบลเวียงพางคำ และตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกันผลกระทบจาก ไฟป่า หมอกควัน PM2.5 และการลักลอบเผาป่า ตามนโยบาย 92 วัน ปลอดการเผาในพื้นที่เชียงราย

มาตรการคุมเข้มพื้นที่อุทยาน ป้องกันไฟป่า

อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ดำเนินมาตรการเข้มงวดเพื่อ ป้องกันการบุกรุกและเผาทำลายป่า โดยมีข้อกำหนดสำคัญ ดังนี้:

  1. ห้ามเข้าพื้นที่อุทยาน ยกเว้นโซนนันทนาการ (แหล่งท่องเที่ยวถ้ำหลวงและขุนน้ำนางนอน)
  2. กรณีจำเป็นต้องเข้าพื้นที่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่อุทยาน
  3. ห้ามเผาในเขตอุทยานโดยเด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 4-20 ปี ปรับ 400,000 – 2,000,000 บาท ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562
  4. ห้ามเผาในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 2-15 ปี ปรับ 20,000 – 150,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
  5. ห้ามเผาขยะและกิ่งไม้ใบไม้ในพื้นที่ชุมชนและเกษตรกรรม ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาท ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535

เชียงรายเดินหน้ามาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา” คุมเข้มไฟป่า

การประกาศปิดพื้นที่เป็นไปตาม นโยบายควบคุมการเผาในที่โล่งทุกชนิด ของจังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกัน หมอกควันและฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีจาก การเผาป่าเพื่อบุกรุกพื้นที่, การล่าสัตว์ และการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตร รวมถึง ควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน

เจ้าหน้าที่และเครือข่ายอาสาสมัครดับไฟป่า ได้รับอนุญาตให้ เข้าปฏิบัติการควบคุมไฟป่าในพื้นที่อุทยานได้โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า แต่ต้องประสานงานกับเจ้าหน้าที่อุทยานโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2568

ประชาชนที่พบเห็น การลักลอบเผาป่า สามารถแจ้งสายด่วน 1362 กรมอุทยานแห่งชาติ หรือ 191 ตำรวจท้องที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการโดยทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เตรียมการ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ปภ.ช. เอาจริง! ขึ้นบัญชีดำเกษตรกรเผา แก้ฝุ่นควันพิษ

ปภ.ช. สั่งเอาจริง! ขึ้นบัญชีดำเกษตรกรดื้อเผา แก้ปัญหาฝุ่นควัน

กุมภาพันธ์ 2568 – กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) ยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน สั่งเอาจริงกับเกษตรกรที่ยังดื้อดึงเผาพืชผลทางการเกษตร พร้อมขึ้นบัญชีดำผู้กระทำผิด

ปภ.ช. เร่งแก้ปัญหาฝุ่นควัน สั่งคุมเข้มห้ามเผา

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปภ.ช. ติดตามสถานการณ์ฝุ่นควันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการคุมเข้มสั่งห้ามเผา และการตรวจจับดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขึ้นบัญชีดำเกษตรกรดื้อเผา

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานแนวทางและขั้นตอนการแจ้งเตือนและป้องปรามเกษตรกรไม่ให้เผา พร้อมส่งเสริมวิธีกำจัดเศษวัสดุทางการเกษตรแบบใหม่ เช่น การไถกลบตอซัง การใช้จุลินทรีย์และอินทรียวัตถุ

แม้จะได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรส่วนใหญ่ แต่ยังมีบางส่วนที่ไม่ปฏิบัติตาม จึงเตรียมขึ้นบัญชีดำเกษตรกรที่ถูกตัดสิทธิ์และไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งจะประกาศในเร็วๆ นี้

กรมป่าไม้เผยข้อมูลไฟป่าและจุดความร้อน

กรมป่าไม้ รายงานการจัดการไฟในพื้นที่ป่า พบว่า จังหวัดกำแพงเพชรเกิดไฟป่ามากที่สุด และพบจุดความร้อน (hotspots) สะสมในภาคเหนือมากที่สุด

กรมโรงงานฯ เผยข้อมูลโรงงานรับอ้อยเผา

กรมโรงงานอุตสาหกรรม รายงานจำนวนโรงงานรับอ้อยเผาเข้าหีบแต่ละภาคยังมีมาก แม้ภาพรวมปีนี้จะลดลงจากปีก่อน แต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมของทุกปี เป็นช่วงที่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจะเร่งเก็บผลผลิต ทำให้ยังคงมีการเผาอ้อยในหลายพื้นที่

ปภ.ช. สั่งทุกจังหวัดทำงานเชิงรุกแก้ปัญหาจุดความร้อน

ปภ.ช. มอบหมายทุกจังหวัด นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ประสานงานกับกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ทำงานเชิงรุก ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาจุดความร้อนสูง โดยเฉพาะในจังหวัดเพชรบูรณ์และชัยภูมิ

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มกลับมาสูงอีกครั้ง

กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ว่า สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 จะบรรเทาลงเล็กน้อยในช่วงวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ 2568 แต่หลังจากนั้น ค่าฝุ่นจะมีแนวโน้มกลับมาสูงอีกครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคเหนือตอนล่าง

ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวควรเฝ้าระวังสถานการณ์จนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและจมตัว ทำให้การระบายอากาศต่ำ ประกอบกับลมที่แปรปรวนและข้อมูลจุดความร้อนที่ยังพบการเผาในหลายพื้นที่

มาตรการระยะยาว

นอกจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดแล้ว ปภ.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังพิจารณามาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันอย่างยั่งยืน เช่น การส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงระบบการจัดการพื้นที่เกษตร และการสร้างความตระหนักให้ประชาชนเห็นถึงผลกระทบของการเผาต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

สรุป

ปภ.ช. สั่งเอาจริงกับเกษตรกรที่ยังดื้อดึงเผาพืชผลทางการเกษตร พร้อมขึ้นบัญชีดำผู้กระทำผิด เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ว่าสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จะกลับมาสูงอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News