Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

สิงห์ เชียงรายฯ โวย! เลื่อนแข่งกลางสายฝนเสียหาย 4 แสน ใครรับผิดชอบ? จี้ไทยลีกทบทวนมาตรฐาน

ฝนกระหน่ำทำพิษ! ไทยลีก “ราชบุรี–เชียงราย” เลื่อนการแข่งขันกลางสายฝน “บิ๊กฮั่น” ไลฟ์เดือด จี้ทบทวนมาตรฐานตัดสิน—โค้ชทีมชาติชวดเช็กฟอร์มแข้ง

ราชบุรี, 1 พฤศจิกายน 2568 — ฟุตบอลไทยลีก ฤดูกาล 2025/26 นัดที่ 10 ระหว่าง ราชบุรี เอฟซี เปิดรัง ราชบุรี สเตเดียม ต้อนรับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ต้องยุติกลางสายฝนและประกาศ “เลื่อนการแข่งขัน” อย่างเป็นทางการ หลังผู้ควบคุมการแข่งขันประเมินว่าสนาม “ยังไม่อยู่ในสภาพปลอดภัย” แม้จะเลื่อนเวลาคิกออฟจาก 18.00 น. ออกไปครั้งละ 30 นาทีรวม 3 ครั้ง จนถึง 19.30 น. ก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวลุกลามเป็นประเด็นถกเถียงในโลกกีฬา เมื่อ บิ๊กฮั่น” มิตติ ติยะไพรัช ประธานสโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ออกมาไลฟ์สดเดินสำรวจสภาพสนาม พร้อมตั้งคำถามถึง “มาตรฐานการตัดสิน” และผลกระทบด้านต้นทุนของสโมสรทีมเยือนที่ต้องเดินทางไกล “เสียหาย 3–4 แสนบาท ใครรับผิดชอบ?”

ลำดับเหตุการณ์ 90 นาทีแห่งการรอคอยที่จบลงด้วยประกาศเลื่อน

ก่อนเกมจะเริ่ม ฟ้าฝนเทลงมาอย่างหนักต่อเนื่องเหนือเมืองโอ่ง ส่งผลให้พื้นสนามหลายจุดชุ่มน้ำและเส้นสนามเลือน ผู้ควบคุมการแข่งขันจึงประกาศ เลื่อนคิกออฟ 30 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่สนามเร่งระบายน้ำ–ตีเส้นใหม่ ทว่าฝนยังตกเป็นระยะ จึงเกิดการเลื่อนครั้งที่ 2 และ 3 ขยับจาก 18.00 น. ไป 18.30 น., 19.00 น. และสุดท้าย 19.30 น. ก่อนมีมติ “เลื่อนการแข่งขันออกไป” เพื่อความปลอดภัยของนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ชม

ฝ่ายจัดการแข่งขันแจ้งว่า โปรแกรมใหม่ของเกมนี้จะถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมการวินัยและมารยาท สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพื่อกำหนดวัน–เวลาแข่งขันใหม่ตามระเบียบต่อไป ขณะที่แฟนบอลทั้งสองทีมซึ่งรอคอยในสนามและหน้าจอโทรทัศน์ต้องผิดหวังถ้วนหน้า

มุมมองเชียงราย “ทีมเยือน” เสียหายและตั้งคำถามต่อมาตรฐาน

เหตุการณ์ที่ราชบุรีซึ่งจัดการแข่งขันรายการ BYD SEALION 6 ลีก 1 จุดชนวนความไม่พอใจฝั่งเชียงรายอย่างชัดเจน หลังประกาศเลื่อนเพียงไม่นาน มิตติ ติยะไพรัช หรือ “บิ๊กฮั่น” เปิดไลฟ์สดจากบริเวณข้างสนาม เดินย่ำน้ำให้เห็นสภาพจริง พร้อมเตะลูกบอลให้กล้องเห็นการ “กลิ้ง–ลื่นไหล” ของลูกฟุตบอลในหลายจุด เพื่อยืนยันว่าทีมของตน “พร้อมลงแข่ง” โดยมีสาระสำคัญ 3 ประเด็นใหญ่ที่ถูกตั้งคำถามดังนี้

  1. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ — มิตติระบุว่า เชียงรายต้องยกพลลงใต้ล่วงหน้าอย่างน้อยสองวัน ทำให้มีค่าใช้จ่ายด้านเดินทาง–ที่พัก–โภชนาการ–อุปกรณ์–สตาฟฟ์ เป็นเงิน กว่า 300,000–400,000 บาท ซึ่งในกรณีเลื่อนการแข่งขัน สโมสรไม่มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหาย ทั้งที่ “ไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอเลื่อน” และ “ยืนยันพร้อมแข่ง”
  2. มาตรฐานการตัดสิน — มิตติกล่าวหาว่าเหตุผลที่อ้างว่า “ไม่สามารถพาสซิ่งบอลบริเวณหน้าประตูได้อย่างปลอดภัย” นั้น “เถียงกันได้” เพราะจากการทดสอบในสนาม “ลูกบอลวิ่งมากกว่า 80% ของพื้นที่” อีกทั้งในอดีต “สนามที่แย่กว่านี้ยังแข่งได้” พร้อมตั้งคำถามว่าเกณฑ์ “สนามน้ำขัง–พาสซิ่งบอลไม่ได้” ถูกใช้สม่ำเสมอแค่ไหนในทุกแมตช์
  3. รูปแบบตัดสินใจ — ประธานเชียงรายตั้งข้อสังเกตถึงการ “โทรรายงาน–ขอความเห็น” จากบุคคลที่สมาคมฯ ทั้งที่ “คนหน้างาน” คือแมตช์คอมฯ และผู้ตัดสินเห็นสภาพจริงหน้างานอยู่แล้ว ทำให้เกิดภาพ “เร่งตัดจบ” โดยไม่เปิดโอกาสให้ประเมินสภาพสนามอีกครั้ง หากปล่อยเวลาให้ระบายน้ำต่อเนื่อง

สาระในไลฟ์ยังสะท้อนความผิดหวังในเชิงอารมณ์ต่อ “แฟนบอลที่เดินทางไกล–นักเตะที่ซ้อมมา–ต้นทุนทีมเยือน” พร้อมทิ้งท้ายว่าหากมาตรฐานยังเป็นเช่นนี้ “ต่อจากนี้ทุกทีมจงปกป้องสิทธิ์ตัวเอง” เพราะ “เราอยู่ในประเทศที่ฝนตกหนักเป็นเรื่องปกติ”

มุมราชบุรีและฝ่ายจัด “ความปลอดภัยมาก่อน”

แม้ราชบุรี เอฟซีและผู้ควบคุมการแข่งขันไม่ได้ออกแถลงการณ์แบบยืดยาวในค่ำคืนเดียวกัน แต่ข้อเท็จจริงที่สะท้อนผ่านการปฏิบัติชัดเจนคือ ความปลอดภัย เป็นเหตุผลหลักของการตัดสินใจ ทั้งจากความเสี่ยงเรื่องการลื่น–การเบรก–การปะทะในพื้นเปียกแฉะ โดยเฉพาะบริเวณ “กรอบเขตโทษ–หน้าประตู” ที่เป็นจุดอันตรายสูง อีกทั้งเส้นสนามที่เลือนย่อมกระทบต่อการตัดสินจังหวะสำคัญ เช่น ล้ำหน้า–จุดโทษ–บอลออกเส้น

ในระเบียบสากล ฟีฟ่ากำหนดให้ ผู้ตัดสิน/ผู้ควบคุมการแข่งขัน มีอำนาจสูงสุดในการพิจารณา “เริ่ม–หยุด–ยุติ–เลื่อน” แมตช์ หากประเมินแล้ว “สภาพสนามหรือสภาพอากาศไม่ปลอดภัย” ต่อผู้เล่นและผู้เกี่ยวข้อง การพิจารณามักคำนึงถึงคุณภาพผิวสนาม การระบายน้ำ ทัศนวิสัย และความพร้อมของอุปกรณ์–บุคลากรสนาม โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่ฝนกระหน่ำแบบรวดเร็ว การ “รอดูสถานการณ์” ครั้งละ 30 นาทีจึงนิยมใช้เป็นแนวปฏิบัติ ซึ่งครั้งนี้ก็ดำเนินไปครบ 3 รอบก่อนสรุปเลื่อน

ผลสะเทือนเชิงระบบ จากเชียงราย…สู่ภาคเหนือ…และทั้งไทยลีก

  • มุม เชียงราย — ทีมเยือน–เมืองเหนือแบกรับต้นทุน–โอกาสที่หายไป

การเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตรส่งผลคูณกับค่าใช้จ่ายทุกประเภท แฟนบอลกว่างโซ้งที่ซื้อตั๋ว–เดินทาง–จองที่พักล่วงหน้า “เสียโอกาส” ทั้งเวลาและเงิน ขณะที่ความพร้อมของทีมในสัปดาห์ถัดไปถูกรบกวนด้วยโปรแกรมที่อาจถูก “แทรกวันที่ใหม่” ซึ่งยังไม่แน่นอน นอกจากนี้ เชียงรายยังตั้งใจใช้เกมนี้เป็น “บททดสอบ” ในช่วงสำคัญของฤดูกาล หากต้องเลื่อน ย่อมส่งผลต่อจังหวะฟอร์มรวมถึงการบริหารสภาพร่างกายนักเตะ

ในเชิงภาพลักษณ์ต่อจังหวัดเชียงราย เหตุการณ์นี้สะท้อนเสียงเรียกร้องจากภาคเหนือไปยังฟุตบอลไทยโดยรวมว่า มาตรฐานต้องชัด–ใช้ได้เท่ากันทุกสนาม ทุกทีม” ไม่เช่นนั้นทีมจากนอกศูนย์กลางจะรู้สึก “เป็นฝ่ายเสียเปรียบ” ทั้งที่ลงทุนลงแรงเท่ากัน

  • 2 มุม ภาคเหนือ — ผลต่อระบบพัฒนาและแรงจูงใจของผู้เล่น

เกมใหญ่ๆ ระหว่างทีมแถวบนอย่างเชียงรายที่ถูกเลื่อน ทำให้ “สเกาต์–ทีมงานทีมชาติ–สื่อ” พลาดโอกาสประเมินผู้เล่นจากเหนือจริงในสถานการณ์กดดัน โดยเฉพาะเมื่อ แอนโธนี ฮัดสัน เฮดโค้ชทีมชาติไทยคนใหม่ ตั้งใจมาดูฟอร์มแข้งที่อยู่ในลิสต์ ก่อนต้อง “เบนเป้า” ไปชมเกมที่ทรู บีจี สเตเดียมในวันถัดไป การเลื่อนครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องคะแนน แต่คือ “โอกาสในทีมชาติ” ของนักเตะฝั่งเหนือที่หดหายไปด้วย

  • มุม ไทยลีกทั้งระบบ — ตารางแข่ง–ถ่ายทอดสด–ผู้ชมต่างจังหวัด

การเลื่อนในนาทีท้ายส่งผลต่อ “ผังถ่ายทอดสด” “สปอนเซอร์ไทม์” และความเชื่อมั่นของผู้ชมต่างจังหวัดที่วางแผนตามคิกออฟเป๊ะๆ ยิ่งในยุคที่ไทยลีกเดินหน้า commercialize สูงขึ้น การยืนยันมาตรฐานสนามในสภาวะฝน—ตั้งแต่ระบบระบายน้ำ แผนสำรองตีเส้น เรื่อยถึงเครื่องมือปั๊มน้ำ—จึงเป็น “การลงทุนคุ้มค่า” เพื่อปิดความเสี่ยงเชิงธุรกิจ

โค้ชทีมชาติชวดเช็กฟอร์ม “ข้อมูล” คือทรัพยากรที่หายไป

ในมุมของ แอนโธนี ฮัดสัน เหตุเลื่อนทำให้ “แผนงานสอดส่องฟอร์ม” ต้องสลับสนามกะทันหัน โค้ชใหม่ที่กำลังเร่งเก็บข้อมูลผู้เล่นท้องถิ่นเพื่อสร้างโครงกระดูกทีมชาติ—โดยเฉพาะตำแหน่งที่ต้องการประเมินภายใต้แรงกดดันจริง—ย่อมเสีย “หน่วยข้อมูล” ไปหนึ่งแมตช์เต็มๆ แม้จะชดเชยด้วยการไปชมเกมอื่นในวันรุ่งขึ้น แต่ “บริบทคู่แข่ง–แทคติกเฉพาะ” ที่วางไว้เพื่อดูเชิงผู้เล่นเชียงราย–ราชบุรี ย่อมไม่เหมือนเดิม และผลักภาระการตัดสินใจไปอยู่บน “เทปย้อนหลัง–ข้อมูลสถิติ” มากกว่าการเห็นของจริง

กรอบกติกา “30+30” กับอำนาจตัดสินของคนหน้างาน

จากคำอธิบายในไลฟ์ของมิตติ มีการอ้างถึงแนวปฏิบัติ “30+30” และเสริมว่าบางครั้งการรอ “2 ชั่วโมง” ก็พบเห็นในเกมระดับทวีป ประเด็นนี้สะท้อนโจทย์ใหญ่ของสมาคมฯ และผู้จัดลีกว่า จะวาง “มาตรฐานสนามฝน” อย่างไรให้ทั้งชัด–ยืดหยุ่น–ยุติธรรม เพราะสภาพภูมิอากาศไทยมีโอกาสเกิดฝนไล่ระดับ–ฝนสลับหยุด–น้ำระบายทันทีหลังหยุดตก ซึ่งในเชิงการจัดการอาจต้องกำหนด “เช็กลิสต์” ที่จับต้องได้ เช่น

  • เกณฑ์การประเมิน “พาสซิ่งบอล” ในโซนอันตราย (หน้าประตู/กรอบโทษ)
  • เวลารอสูงสุดต่อรอบ และจำนวนรอบสูงสุดที่ยอมรับได้
  • อุปกรณ์–บุคลากรสนามที่ “ต้องมี” และ “ต้องพร้อม” สำหรับฝนหนัก โดยเฉพาะการตีเส้นใหม่ การดูด–ปั๊มน้ำ
  • กระบวนการสื่อสารกับสโมสร–ผู้ชมในสนาม และผู้ถ่ายทอดสด ให้เข้าใจสถานการณ์ตรงกัน

การมีเกณฑ์ชัดช่วยลด “ความรู้สึกสองมาตรฐาน” และปัดข้อครหาว่า “การโทรจากส่วนกลาง” มีอิทธิพลเหนือ “การประเมินของคนหน้างาน”

เสียงจากแฟนบอล ความคาดหวังเรื่องความต่อเนื่องและความยุติธรรม

แฟนบอลราชบุรีจำนวนไม่น้อยยอมรับการเลื่อนด้วยเหตุผลความปลอดภัย แต่ก็อยากเห็น “การตัดสินใจที่รวดเร็วกว่านี้” เพื่อให้ผู้ชมทั้งใน–นอกสนามวางแผนการเดินทาง–การใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ขณะที่แฟนเชียงรายซึ่งเดินทางไกลสะท้อนความเจ็บปวดเรื่อง ค่าใช้จ่ายและเวลา หากเกิดเหตุซ้ำบ่อยครั้ง ความศรัทธาต่อระบบจัดการแข่งขันอาจถูกสั่นคลอน การสื่อสารที่โปร่งใสและมาตรฐานเดียวกันทั้งลีกจึงเป็น “จุดยืน” ที่แฟนบอลเรียกร้องร่วมกัน

ทำอย่างไรให้ “เราฝนตกได้…แต่ยังแข่งได้อย่างมีมาตรฐาน”

  1. มาตรฐานสนามฝน (Rain Protocol) ฉบับไทยลีก — จัดทำเอกสารสาธารณะ ระบุขั้นตอน–เกณฑ์–บทบาทของทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้จัดการสนาม–ผู้ควบคุมการแข่งขัน–ผู้ตัดสิน–สโมสรเจ้าบ้าน–ทีมเยือน และการสื่อสารกับผู้ชม โดยยึดกรอบสากลของฟีฟ่า/เอเอฟซี ปรับให้เหมาะสมกับสภาพอากาศไทย
  2. อัปเกรดอุปกรณ์สนาม — สนับสนุนงบ/กองทุนร่วมไทยลีก–สโมสร เพื่อจัดหาเครื่องดูดน้ำ–พัดลมสนาม–สารปรับสภาพผิวหญ้า–ชอล์กตีเส้นกันน้ำ พร้อมอบรมทีมงานภาคสนามให้ปฏิบัติการรวดเร็ว
  3. กำหนด “หน้าต่างเลื่อน” และ “วันสำรอง” ในผังก่อนฤดูกาล — ลดความเสียหายเชิงผังถ่ายทอดสด–ตั๋ว–สปอนเซอร์ และทำให้ทั้งลีกบริหารความเสี่ยงร่วมกัน
  4. ระบบชดเชยบางส่วน สำหรับสโมสรทีมเยือนกรณีเลื่อนจากเหตุสุดวิสัย โดยมีเงื่อนไขตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความรู้สึก “ร่วมรับผิดชอบ” ในระบบ
  5. พัฒนาแดชบอร์ดสภาพอากาศ–สนาม ที่ทีมงานลีก–สโมสร–ผู้ชม เข้าถึงแบบเรียลไทม์ เพื่อคาดการณ์–แจ้งเตือนล่วงหน้า

ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่การชี้นิ้วไปที่สนามใดสนามหนึ่ง แต่เพื่อยกระดับทั้งระบบให้ “พร้อมอยู่กับฝน” ซึ่งเป็นความจริงตามภูมิอากาศไทย

บทเรียนจากคืนฝนราชบุรี—ความปลอดภัย, มาตรฐาน, และความรู้สึกเป็นธรรม

คืนที่ราชบุรีคือ “บททดสอบ” สำคัญของไทยลีกใน 3 แกนหลัก

1.ความปลอดภัย  การยุติการแข่งขันอาจไม่ถูกใจทุกฝ่าย แต่ “ชีวิต–สุขภาพนักกีฬา” มาก่อนเสมอ นี่คือหลักสากลที่ทุกลีกยึดถือ 2.มาตรฐาน เมื่อสภาพฝนคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ความชัดเจนของเกณฑ์–ขั้นตอน–อำนาจตัดสิน จึงเป็นคำตอบเดียวที่จะลดข้อถกเถียง และสร้างความรู้สึกว่า “ทุกทีมถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียม” 3.ความรู้สึกเป็นธรรมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย — แฟนบอล, สโมสรทีมเยือน, ผู้ถ่ายทอดสด ล้วนมีต้นทุนที่ต้องรับ หากระบบสื่อสาร–การชดเชย–การกำหนดวันสำรองทำได้ดี ความเชื่อมั่นต่อฟุตบอลไทยจะยิ่งแข็งแรง

จากมุมเชียงราย เหตุการณ์นี้ส่งเสียงดังชัดว่า ภาคเหนือขอความชัดเจน” เพื่อให้การลงทุน–แรงเชียร์–เส้นทางทีมชาติของผู้เล่น ไม่เสียเปรียบเพียงเพราะฝน” ขณะที่จากมุมราชบุรีและผู้จัดเกม ประเด็นนี้ย้ำเตือนว่าทุกสนามต้องเตรียม “แผนฝน” อย่างมืออาชีพ เพราะฤดูกาลยาวไกล และ “อีกหลายค่ำคืนฝนอาจกำลังรออยู่”

บรรทัดสุดท้าย แมตช์นี้ไม่ได้จบด้วยสกอร์ แต่จบด้วย คำถาม ที่ทั้งลีกต้องร่วมกันตอบ ก่อนที่เกมจะเตะกันใหม่ในวันที่กำหนดอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ไทยลีก (BYD SEALION 6 ลีก 1)
  • สโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
  • มิตติ ติยะไพรัช
  • แมตช์เดย์ ราชบุรี เอฟซี vs สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

“ละอ่อนแม่สาย” คว้าใจคนไทย 9 นาทีสะกดทั้งสนาม บทเรียนนอกสกอร์บอร์ดไทยลีก

ถึงผลการแข่งขันจะไม่ดั่งใจภายใน 90 นาที แต่ไม่ถึง 9 นาทีที่สะกดทั้งสนาม ‘ละอ่อนแม่สาย’ คว้าใจคนไทย — เชียร์ลีดเดอร์ 100 ชีวิตจากชายแดน เปิดสนามไทยลีกที่เชียงราย

เชียงราย, 6 ตุลาคม 2568 — ค่ำคืนไทยลีก 1 ที่สิงห์ สเตเดียม ปกติแล้ว มักถูกตัดสินด้วยลูกยิง ลีลาฟุตบอล และเสียงเฮจากอัฒจันทร์ ทว่าในนัดที่สโมสร สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เปิดบ้านพบ ระยอง เอฟซี (แข่งเมื่อ 4 ต.ค. 2568) ภาพจำที่ยังค้างอยู่ในสายตาผู้คนจำนวนไม่น้อย ไม่ได้มีแค่ประตูชัยของ เรียวมะ อิโตะ หากยังมี “การแสดงเปิดสนาม” อันพร้อมเพรียงของเยาวชนชายแดนจาก โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ ที่เดินทางมาร่วมสร้างสีสันและพลังบวกให้กับจังหวัดและกับฟุตบอลไทยอย่างน่าจดจำ

แม้ผลการแข่งขันจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเจ้าถิ่น 0–1 และทำให้ “กว่างโซ้งมหาภัย”หยุดอยู่ที่ 9 คะแนน รั้งอันดับ 7 ขณะที่ทีมเยือน “ม้านิลมังกร” เก็บชัยสองนัดติดขึ้นไปรวม 11 คะแนน ยึดอันดับ 4 บนตาราง BYD SEALION 6 ลีกหนึ่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง เกมนัดนี้ได้ “ผู้ชนะใจคนดู” ที่ไม่ได้ลงเตะ นั่นคือ เยาวชนกว่า 100 ชีวิต ซึ่งระเบิดพลังการแสดงเชียร์ลีดเดอร์และกิจกรรมของชมรม To Be Number One บนพรมหญ้าสีเขียวให้ผู้ชมในสนาม 9,166 คน และแฟนบอลทั่วประเทศที่ติดตามผ่านการถ่ายทอดสดจำนวนไม่น้อยกว่าหลักล้าน ได้เห็น “พลังการรวมใจ” ในแบบที่ฟุตบอลเท่านั้นจะเปิดพื้นที่ให้เกิดขึ้นได้

5–9 นาทีที่คุ้มค่ากว่า 90 นาที เวลาเล็ก ๆ บนเวทีใหญ่ ที่เปลี่ยนชีวิตเด็ก ๆ ได้จริง

บนกระดาษแผนงาน ความยาวการแสดงก่อนเกมฟุตบอลมักถูกกำกับให้กระชับ 5 ถึงไม่ถึง 9 นาที เพื่อให้พิธีการทั้งหมดคล่องตัว ก่อนเข้าสู่จังหวะการแข่งขันจริง แต่สำหรับเด็ก ๆ จากชายแดนไกลอย่างแม่สาย เวลานี้คือ “สังเวียนครั้งหนึ่งในชีวิต” ที่ต้องแลกมาด้วยการซ้อมต่อเนื่องและการเดินทางไกล เกือบ 100 กิโลเมตรไป–กลับ เพื่อให้ทีมออกสเต็ปได้พร้อมเพรียงที่สุดในเสี้ยวเวลาที่มีจำกัด

นายเสกสรร ทุนอินทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ พร้อมคณะผู้บริหาร คณะครู และบุคลากร ได้นำนักเรียนทีมเชียร์ลีดเดอร์และสมาชิกชมรม To Be Number One ร่วมกิจกรรมเปิดสนามครั้งนี้ จุดหมายปลายทางไม่ใช่เพียง “ความสวยงามบนคลิปวิดีโอ” แต่คือการมอบเวทีจริงให้เยาวชนได้ (1) แสดงศักยภาพการแสดง ที่ฝึกฝนหนักมาอย่างต่อเนื่อง (2) เรียนรู้การทำงานเป็นทีมในสถานการณ์จริง ท่ามกลางแรงกดดันของเวลาและสายตาคนดูจำนวนมาก และ (3) ส่งต่อภาพจำเชิงบวกของโรงเรียน–ชุมชน–จังหวัด ให้ผู้ชมทั้งในและนอกสนาม

เวลาสั้น ๆ กลับหนุนให้ทุกวินาทีมี “วินัยและความหมาย” สูงขึ้น ใครที่เคยยืนอยู่หน้าผู้ชมหลายพันคนจะรู้ว่าการก้าวแรกบนสนามสำคัญแค่ไหนเพราะจากนาทีนั้น เด็ก ๆ ต้องเป็นทั้งนักแสดง นักสื่อสาร และทูตเยาวชนของบ้านเกิดในคราวเดียวกัน

จากอัฒจันทร์สู่ชุมชน ฟุตบอลเป็นมากกว่ากีฬา

สิ่งที่เกิดขึ้นในสิงห์ สเตเดียม คืนวันนั้นสะท้อนภาพใหญ่ของฟุตบอลไทยในฐานะ “เวทีสาธารณะ” ที่เชื่อมคนหลากวัย หลากพื้นที่ ไว้ด้วยกันในสนามมี 22 คนไล่ล่าลูกบอลเพื่อชัยชนะ แต่รอบสนามมีผู้คนนับพันที่อยากเห็นชุมชนของตนเป็นที่รู้จักในทางบวก การเปิดพื้นที่ให้เยาวชนชายแดนอย่างแม่สายมาร่วมสร้างสีสันจึงไม่ใช่เพียงพิธีการ แต่มันคือ บทเรียนพลเมือง (Civic Lesson) ภาคสนามที่จับต้องได้

  • สำหรับ เด็ก ๆ ได้รับประสบการณ์ครั้งใหญ่ในบรรยากาศระดับลีกอาชีพ รู้จักวินัยต่อเวลา ความรับผิดชอบต่อทีม และความภาคภูมิใจของการเป็นตัวแทนโรงเรียน
  • สำหรับ คุณครูและผู้ปกครอง เห็นผลของการฝึกซ้อมยาวนานแปรเป็นรอยยิ้ม ความเชื่อมั่น และแรงบันดาลใจชุดใหม่ให้กับลูกศิษย์–ลูกหลาน
  • สำหรับ สโมสรและลีก สะท้อนบทบาทสังคมของกีฬาอาชีพ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ผลการแข่งขัน แต่ยังรวมถึงการเป็น “สะพาน” ระหว่างคนดูกับเยาวชนในชุมชนอย่างแท้จริง

เสียงจากสนาม การขอบคุณที่ก้องไกลกว่าเสียงนกหวีด

หลังเกม สโมสรเจ้าบ้านได้สื่อสารขอบคุณ “9,166 เสียงเชียร์” ที่ยังคงแน่นสนาม พร้อมย้ำว่าพลังของทุกคนคือแรงขับเคลื่อนให้ทีมก้าวต่อ แม้ค่ำคืนนี้คะแนนจะไม่เพิ่มเติมบนตารางก็ตาม ข้อความเรียบง่ายนั้นเมื่อถูกส่งต่อบนสื่อสังคมกลายเป็นการ ยอมรับร่วมกัน ระหว่างทีมกับเมือง ว่า “เรา” ยังเดินไปด้วยกัน และหนึ่งในแรงใจสำคัญที่ถูกพูดถึงคือ การแสดงของน้อง ๆ จากแม่สาย ที่สะกดทั้งสนามก่อนเกม

‘To Be Number One’  คลับเยาวชนที่ชวนเด็กขึ้นเวทีจริง

ชมรม To Be Number One ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนของการแสดงครั้งนี้ ทำงานกับเยาวชนไทยมายาวนานในบทบาทเครือข่ายป้องกันภัยยาเสพติดเชิงบวก โดยใช้กิจกรรมสร้างสรรค์ดนตรี การเต้น การเชียร์เป็นเครื่องมือ “ดึงพลังที่ใช่” ออกจากเด็กแต่ละคน จุดเด่นคือ “ให้โอกาสขึ้นเวทีจริง” อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตรงกับแก่นของการแสดงเปิดสนามนัดนี้แบบพอดิบพอดี

เมื่อเด็ก ๆ ได้ยืนในพื้นที่ที่ผู้ชม “ฟังจริง ดูจริง เชียร์จริง” ทักษะที่ฝึกในห้องซ้อมจะแปรเป็นความมั่นใจและความสามารถในการสื่อสารสาธารณะ ซึ่งจะติดตัวเขากลับไปสู่โรงเรียน ครอบครัว และชุมชน

ระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร…แลกกับบทเรียนที่ไม่มีในตำรา

แม่สาย—เชียงราย—สิงห์ สเตเดียม เส้นทางไป–กลับเกือบ 100 กิโลเมตร ไม่ใช่การเดินทางใกล้ ๆ สำหรับคณะนักเรียน–ครู–ผู้ดูแลกว่าร้อยชีวิต แต่ประสบการณ์หนนี้ทำให้ “ระยะทาง” กลายเป็น “มูลค่า” เด็ก ๆ ได้เห็นการทำงานของทีมอาชีพเบื้องหลังเกม ทั้งเรื่องเวลา ความปลอดภัย ลำดับพิธีการ การกำกับเสียง–แสง–จังหวะ ทุกอย่างคือ จริง และต้อง แม่น เมื่อก้าวลงสู่สนาม

สำหรับครูและผู้บริหารโรงเรียน การพาเด็กมาร่วมเวทีระดับประเทศคือ “การลงทุนทางโอกาส” ที่คุ้มค่ายิ่งเมื่อเห็นผลลัพธ์เป็นแววตาและความมั่นใจของผู้เรียนที่ชัดขึ้นกว่าตอนซ้อมอยู่ในโรงยิมที่บ้าน

แมตช์รีแคป ฟุตบอลตัดสินกันด้วยหนึ่งประตู แต่เรื่องเล่าตัดสินในหัวใจ

ด้านเกมการแข่งขัน ระยอง เอฟซี คว้าชัยด้วยประตูของ เรียวมะ อิโตะ ช่วยให้ทีมเยือนเก็บสามคะแนนสำคัญ และทำสถิติชนะสองนัดติด ขยับมี 11 แต้ม ขึ้นไปยึดอันดับ 4 ของตาราง ขณะที่เจ้าถิ่น สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เก็บไว้ที่ 9 แต้ม รั้งอันดับ 7 แม้ในมุมกีฬา นี่คือผลที่แฟน “กว่างโซ้ง” อยากลืม แต่ในมุมของเมือง นี่คือเกมที่ตอกย้ำว่าชัยชนะไม่จำเป็นต้องอยู่แค่บนสกอร์บอร์ดการได้เห็นเด็ก ๆ จากชายแดนของเราโชว์ความสามารถต่อหน้าคนทั้งประเทศ ก็เพียงพอให้ค่ำคืนนี้มีความหมาย

จากสนามสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อกีฬา–การแสดง–การท่องเที่ยวต่อกันติด

เหตุการณ์แบบนี้สะท้อน เศรษฐกิจร่วมเวที” ของเชียงราย กีฬาอาชีพดึงดูดผู้ชมเข้าพื้นที่ การแสดงสร้างสีสันและเนื้อหาให้สื่อ สุดท้ายผู้คนใช้เวลาในเมืองยาวขึ้น กิน–เที่ยว–พัก และกลับไปเล่าให้เพื่อนฟัง การเปิดพื้นที่ให้เยาวชนชายแดนจึงไม่ใช่เรื่อง “ใจดี” เท่านั้น แต่ยังเป็น นโยบายวัฒนธรรมเชิงเศรษฐกิจ ระดับจังหวัดทุกครั้งที่เด็ก ๆ ขึ้นเวทีใหญ่ เมืองได้ “แบรนด์” เพิ่ม และผู้ชมได้ “เรื่องเล่า” กลับบ้าน

คำกล่าว–ข้อเท็จจริงที่ยึดโยง

  • การเข้าร่วมของคณะนักเรียน–ครูจากโรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ นำโดย นายเสกสรร ทุนอินทร์ เป็นการร่วมแสดงเปิดสนามตามกำหนดการนัดเหย้าของสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด วันที่ 4 ตุลาคม 2568
  • กิจกรรมหลักมาจาก ทีมเชียร์ลีดเดอร์ และ ชมรม To Be Number One ของโรงเรียน โดยมีการเตรียมการ–ซ้อม และประสานงานร่วมกับทางสโมสรและผู้จัดการแข่งขัน
  • ผู้ชมในสนามที่ประกาศขอบคุณหลังเกมคือ 9,166 คน ขณะที่ยอดการรับชมถ่ายทอดสดรวมถึงคลิปไฮไลต์ที่กระจายบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีจำนวนรวมระดับ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านครั้ง ตามการสื่อสารภาคสนามและบนสื่อสังคมของผู้เกี่ยวข้อง
  • ผลการแข่งขัน ระยอง เอฟซี 1–0 สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ผู้ทำประตู เรียวมะ อิโตะ; อันดับคะแนนหลังจบเกม (ที่สื่อสารในวันแข่งขัน) ระยอง 11 คะแนน (อันดับ 4), สิงห์ เชียงราย 9 คะแนน (อันดับ 7) บนตาราง BYD SEALION 6 ลีกหนึ่ง

วิธีทำให้ “นาทีเปิดสนาม” เกิดผลระยะยาว

  1. ยกระดับเป็นโปรแกรมรายฤดูกาล – ถ้าทุกเกมเหย้าหรือทุกเดือนมี “โรงเรียน–เยาวชน–ชุมชน” มาผัดเปลี่ยนขึ้นเวที การพัฒนาเยาวชนเชิงวัฒนธรรมจะต่อเนื่อง มีแรงจูงใจ และสร้างฐานผู้ชมรุ่นใหม่ให้ลีก
  2. หนุนความร่วมมือระหว่างโรงเรียน–สโมสร – ตั้ง “โควตาเยาวชนชายแดน/ชนเผ่า” เพื่อให้หลากหลายวัฒนธรรมในเชียงรายมีโอกาสเล่าเรื่องของตนเอง
  3. ต่อยอดสื่อการเรียนรู้ – ถอดคลิปเบื้องหลังการเตรียมงานเป็น “ชุดบทเรียนทักษะชีวิต” ให้โรงเรียนอื่น ๆ ดูเป็นต้นแบบตั้งแต่การวางแผนเวลา ทีมเวิร์ก ไปจนถึงมารยาทเวที
  4. เชื่อมสู่การท่องเที่ยวชุมชน – เมื่อมีทีมเยาวชนจากอำเภอต่าง ๆ มาขึ้นเวที ให้ข้อมูล “เส้นทางท่องเที่ยวชุมชน” ของพื้นที่นั้นบนสื่อของสโมสร เพื่อกระจายคน–รายได้ออกจากตัวเมือง

เราจะชนะอย่างไรในวันที่สกอร์ไม่เข้าข้าง

ในคืนที่สกอร์ไม่เป็นใจ เมืองยังคง “ชนะใจ” คนดูด้วยเรื่องเล่าของเยาวชน นี่คือบทเรียนสำหรับหลายจังหวัดเมื่อกีฬาเปิดเวทีให้วัฒนธรรมท้องถิ่นและเยาวชนได้เปล่งเสียง เมืองทั้งเมืองจะกลายเป็นผู้เล่นคนที่ 12 ที่ทรงพลัง และไม่ว่าเกมจะจบแค่ไหน เมืองจะยังเติบโตด้วยความร่วมมือและความหวังของคนรุ่นใหม่

เยาวชนแม่สายแสดงให้เห็นว่าเวลาไม่ถึง 9 นาที หากวางแผน ซ้อมจริง และได้เวทีก็พอจะสะกดสนามทั้งสนามได้ และในหลายความหมาย นั่นอาจ “คุ้มค่า” กว่า 90 นาทีสำหรับอนาคตของจังหวัดและประเทศ

สรุปไฮไลต์ข่าว (Key Points)

  • ไทยลีก 1 คู่ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด พบ ระยอง เอฟซี ที่สิงห์ สเตเดียม (4 ต.ค. 2568) ทีมเยือนชนะ 1–0 ผู้ทำประตู เรียวมะ อิโตะ
  • หลังเกม ระยอง 11 คะแนน (อันดับ 4), เชียงราย 9 คะแนน (อันดับ 7) ในศึก BYD SEALION 6 ลีกหนึ่ง
  • ไฮไลต์นอกสนาม เยาวชนกว่า 100 คน จาก โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (ทีมเชียร์ลีดเดอร์ + ชมรม To Be Number One) เปิดสนามต่อหน้าผู้ชม 9,166 คน และผู้ชมออนไลน์รวมระดับ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านครั้ง
  • ความหมายเชิงสังคม กีฬาอาชีพเป็นเวทีให้เยาวชนชายแดนได้ประสบการณ์จริง เสริมทักษะชีวิต ทีมเวิร์ก และเป็นการสื่อสารภาพลักษณ์จังหวัดในมิติสร้างสรรค์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด (Singha Chiangrai United)
  • โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ (อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

“เจเจ” ภพธรรม พรคต เด็ก ม.4 สร้างประวัติศาสตร์ไทยลีกอายุน้อยสุดอันดับ 3

เจเจ–ภพธรรม พรคต ก้าวแรกบนเส้นทางใหญ่ของ “เด็ก ม.4” ที่เขียนชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ไทยลีก และบทเรียนการปั้นเยาวชนฉบับเชียงราย

เชียงราย, 24 กันยายน 2568 — นาทีที่ 88 บนสกอร์บอร์ด “สิงห์ เชียงราย สเตเดียม” ตัวเลขยังชี้ว่าเจ้าถิ่นนำ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 1–0 เสียงเชียร์ดังสลับกับเสียงนกหวีดชี้นำเกม เมื่อชื่อ “ภพธรรม พรคต” ปรากฏบนป้ายเปลี่ยนตัว เด็กหนุ่มหมายเลข 37 ผู้ยังไม่ครบ 16 ปีเต็ม ก้าวข้ามเส้นขาวที่ตัดขอบสนาม เหยียบพื้นหญ้าไทยลีกครั้งแรกช่วงเวลาสั้นๆ แต่หนักแน่นพอจะบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์

ค่ำคืนวันที่ 21 กันยายน 2568 ไม่ได้เป็นเพียงชัยชนะนัดที่ 5 ของไทยลีก 1 ฤดูกาล 2025/26 หากยังเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าชิ้นใหม่ในวัฒนธรรมการสร้างดาวรุ่งของฟุตบอลไทย โดย เจเจ” ภพธรรม พรคต กลายเป็นนักเตะ อายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ที่ได้ลงเล่นลีกสูงสุดของประเทศ ด้วยวัย 15 ปี 11 เดือน 16 วัน เป็นรองเพียง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา (15 ปี 8 เดือน 22–23 วัน) และ เอกนิษฐ์ ปัญญา (15 ปี 11 เดือน 5 วัน) รุ่นพี่เลือดกว่างโซ้งผู้เคยแจ้งเกิดจากสโมสรเดียวกัน

และใช่หมายเลข 37 บนหลังเสื้อของเขา คือหมายเลขเดียวกับที่เอกนิษฐ์เคยสวมเมื่อตอนเริ่มต้น สัญลักษณ์เล็กๆ ที่ต่อสายใยจากอดีตสู่ปัจจุบัน ชวนให้ตั้งคำถามว่า “เบอร์นี้” จะยิ่งใหญ่เพราะใครสวม หรือ “คนสวม” จะทำให้หมายเลขนี้มีน้ำหนักกว่าเดิม

ก้าวเล็กๆ ที่มีความหมายยิ่งใหญ่นาทีที่ 88 สู่ทำเนียบประวัติศาสตร์

จังหวะเปลี่ยนตัวของ โค้ชวอ” วรวุฒิ วังสวัสดิ์ ไม่ใช่เพียงการถอด–ใส่เพื่อถนอมแรงกำลังหลัก แต่คือการ “ส่งสัญญาณ” ถึงปรัชญาของสโมสรที่ยืนยันมาตลอดว่า โอกาสของเยาวชน ต้องเกิดขึ้นบนสนามจริง ไม่ใช่เพียงในแผ่นพับโรดแมปการพัฒนา

แม้เวลาบนพรมหญ้าจะมีเพียงไม่กี่นาที แต่มันมากพอสำหรับการจารชื่อ ภพธรรม พรคต เข้าสู่ทำเนียบ “แข้งอายุน้อยสุดที่ลงเล่นไทยลีก” ต่อท้ายสองชื่อใหญ่ของฟุตบอลไทยยุคใหม่ ศุภณัฏฐ์ และ เอกนิษฐ์ ความหมายของสถิติจึงไปไกลกว่าตัวเลข มันคือ “ไฟเขียว” ให้เด็กอีกมากมายเชื่อว่าประตูสู่ลีกสูงสุดไม่ได้ถูกล็อกด้วยอายุ หากแต่ด้วย มาตรฐานฝีเท้า–วินัย–ความพร้อมทางใจ

เส้นทางไม่ธรรมดาจากอะคาเดมี–โรงเรียนเครือข่าย สู่ทีมชาติชุดเล็ก

เบื้องหลัง “ก้าวแรก” บนไทยลีกของเจเจ มีเส้นทางเตรียมการที่ต่อเนื่อง หลายปี ผ่านระบบพัฒนาแบบ “สามประสาน” ระหว่าง อะคาเดมีสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด, สโมสรเชียงราย ซิตี้ & StarPower Academy และ โรงเรียนทวีเอสซี วิทยา สถาบันการศึกษาที่ทำงานเคียงข้างสโมสรในบทบาท “โรงเรียน–ทีม” เพื่อยกระดับทั้งทักษะในสนามและวินัยนอกสนาม

  • ผลงาน–เวทีเยาวชน เจเจเคยคว้ารางวัล MVP (Man of the Match) ในการแข่งขันฟุตบอล 11 คน รายการ “รวมโชค Youth Fighter #U16” สะท้อนให้เห็นถึง “อิมแพ็กต์” ในระดับรุ่นอายุที่สม่ำเสมอ
  • การเปิดโลก–คัดตัวต่างประเทศ เขามีชื่อเข้าร่วมคัดเลือกในกิจกรรม “PPTV ร่วมกับ BDMS Presents Bundesliga Dream เตะ ล่า ฝัน” เพื่อเฟ้นหาทีมตัวแทนเยาวชนไปสัมผัสประสบการณ์ฟุตบอลเยอรมนี (คัดเลือกที่ศูนย์พัฒนาศักยภาพกีฬาฟุตบอล ม.กรุงเทพธนบุรี เมื่อ 28 กรกฎาคม 2567)
  • เส้นทางทีมชาติ–ค้นหาช้างเผือก รายชื่อ 44 คนสุดท้าย ภายใต้โครงการ FIFA TDS Talent ID 2025 “ค้นป่าหาช้างเผือก” และการเข้าเก็บตัวกับ ทีมชาติไทย U17 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเตรียมสู่ศึก AFC U-17 Asian Cup 2026 Qualifiers คืออีกสองหมุดหมายที่ยืนยันว่าเขาอยู่ในเรดาร์การพัฒนาเยาวชนของประเทศ

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วย “โชค” หากเกิดจาก การฝึกซ้อมเข้ม–วิถีชีวิตมืออาชีพตั้งแต่วัยมัธยม และ “ระบบสนับสนุน” ที่ชัด—ทั้งสโมสรและโรงเรียน โดย คุณสุธาสินี เหล่ารุ่งโรจน์ ผู้บริหารโรงเรียนทวีเอสซี วิทยา ถึงกับโพสต์แสดงความภูมิใจว่า

“ขึ้นยานแม่ไปอีก 1 คน~ Wonderkid U16 เจเจ 16ปี รุ่น52 อยู่กินนอนด้วยกันมา 3-4 ปี ภูมิใจมากค่ะ ขอบคุณประธานฮั่น ที่ให้โอกาสน้องได้ลงนัดแรกค่ะ”

ข้อความสั้นๆ แต่สะท้อน 3 แกนคิดชัดเจน เวลา (3–4 ปีของการบ่มเพาะ), วัฒนธรรมร่วม (อยู่–กิน–ซ้อมเป็นทีม), และ โอกาส (หน้าที่ของสโมสรคือเปิดประตูสู่ทีมชุดใหญ่)

เชียงราย–เมืองแห่งการปั้น เมื่อหมายเลข 37 มี “ความทรงจำ” เป็นแรงผลัก

สถิติของเจเจหนีไม่พ้นการถูกเทียบกับ เอกนิษฐ์ ปัญญา—ดาวเตะที่เติบโตจากระบบเดียวกัน จนไปไกลถึงทีมชาติชุดใหญ่และเจลีก ความคล้ายคลึงจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็น “ผลลัพธ์เชิงระบบ” ของสโมสรที่ กล้าคืนพื้นที่เกมจริงให้เยาวชน ภายใต้กรอบวินัยและมาตรฐานที่คุมเข้ม

  • บทบาทในสนาม: เจเจเป็นกองกลางสไตล์ “เชื่อมเกม” ที่ดูนิ่งเกินวัย จุดเด่นคือการจ่ายบอลสั้น–กลางสะอาด การเลือกตำแหน่งรับ–ส่งเพื่อเปิดมุมเล่น และการไม่ตื่นกับสปีดเกมที่สูงขึ้น
  • บทบาทนอกสนาม: นักเรียน ม.4 ที่ต้องจัดสมดุลการเรียน–ซ้อม–แข่งขัน—นี่คือความท้าทายสำคัญของเยาวชนอาชีพ และคือเหตุผลที่ระบบ “โรงเรียน–อะคาเดมี” ของเชียงรายถูกยกเป็นต้นแบบในแง่การ ดูแลทั้งคนและนักกีฬา

นัยสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ “จะเป็นเอกนิษฐ์คนต่อไปหรือไม่” แต่อยู่ที่ เจเจจะเป็น “ภพธรรม พรคต” ในเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเองได้อย่างไร—เส้นทางที่ต้องเดินด้วยวินัย–ตัวเลขการซ้อม–และความมุ่งมั่นมากกว่าภาพจำ

นาทีที่ 88 "ประธานฮั่น" มิตติ ติยะไพรัช เปลี่ยนตัว เจเจ เข้าสนาม ในวัย 15 ปี 11 เดือน 16 วัน

ทำเนียบแข้งอายุน้อยสุดในไทยลีกตัวเลขที่เล่า “ปรัชญา” ของทั้งลีก

การที่ไทยลีกบันทึกชื่อของเจเจในฐานะนักเตะอายุน้อยสุดอันดับ 3 ต่อจาก ศุภณัฏฐ์ และ เอกนิษฐ์ แปลความเป็นสองชั้น

  1. เชิงสโมสร: สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด รักษาเส้นทางพัฒนาเยาวชนให้เชื่อมกับทีมชุดใหญ่จริง ไม่ใช่เพียงรูปธรรมบนเอกสาร
  2. เชิงลีก: ไทยลีกพร้อมเปิดโอกาสให้เยาวชนลงเล่น หากผ่านมาตรฐานและสมควรได้เวลา

นี่คือสิ่งที่ สโมสร–ลีก–แฟนบอล ต้องร่วมกันประคับประคอง เพราะสถิติเหล่านี้จะมีค่า ก็ต่อเมื่อ เวลาในสนาม ค่อยๆ งอกเงยเป็น คุณภาพการเล่น ไม่ใช่ “เช็คอินสถิติ” แล้วหายไป

เกมที่มากกว่าชัยชนะ 1–0 บทเรียนการใช้งานเยาวชนในนาทีสำคัญ

การส่งเจเจลงในช่วงนำแบบ “เฉือน” สะท้อนความเชื่อใจของสตาฟฟ์โค้ชต่อความคุมเกมของเด็ก มันคือบททดสอบความนิ่ง—บีจี ปทุมฯ เป็นทีมที่มีแรงปะทะสูงและสปีดยามไล่ตีเสมอ หากเยาวชน “ตกใจจังหวะ” ก็เสี่ยงโดนเพรสแล้วเสียบอลในพื้นที่อันตราย

การผ่านนาทีท้ายๆ แบบไม่เสียรูปทรง จึงเป็น “เคสสตัดดี้” สำหรับการใช้งานเยาวชน ให้เวลาในเงื่อนไขกดดันที่คุมความเสี่ยงได้, ประเมินผลจาก “คุณภาพการตัดสินใจ” มากกว่า “ไฮไลต์จังหวะเดียว” และค่อยๆ ขยายเวลาเมื่อเห็นความพร้อมต่อเนื่อง

ผลสะเทือนเชิงระบบ แรงบันดาลใจ–ความคาดหวัง–มาตรฐานใหม่ของอะคาเดมี

ทุกครั้งที่มี “เด็ก ม.ปลาย” ข้ามขึ้นไทยลีก วงแหวนคลื่นจะวิ่งไปไกลกว่าสโมสร

  • ต่อเยาวชนในระบบ: เห็น “ทางขึ้น” ชัดเจน—ซ้อมหนัก = มีโอกาสจริง
  • ต่อผู้ปกครอง–โรงเรียน: มั่นใจว่าการเลือกเส้นทางกีฬาไม่ใช่การทิ้งการศึกษา หากไปคู่กันได้
  • ต่อตลาดนักเตะ: สโมสรที่ปั้นเก่ง จะมี “ทุนมนุษย์” เป็นสินทรัพย์ สำคัญทั้งในเชิงกีฬาและเศรษฐกิจ (รักษาไว้ใช้เอง หรือกลายเป็นดีลในอนาคต)
  • ต่อไทยลีก–ทีมชาติ: ยกระดับฐานกว้างของผู้เล่นอายุ 15–19 ปี ที่มี “เวลาแข่งขันจริง” เร็วขึ้น

ทั้งหมดนี้ต้องพ่วงด้วย มาตรฐานคุ้มครองนักกีฬาเยาวชน—การจัดการภาระซ้อม–เรียน–พักผ่อน, การโภชนาการ, การฟื้นฟูร่างกาย, และ “การสื่อสาร” ที่ไม่กดเด็กด้วยความคาดหวังเกินวัย

ตัวเลขชวนคิด เวลา–คุณภาพ–รอยต่อสู่ฤดูกาลแรกเต็มใบ

แม้การเดบิวต์ของเจเจจะมีเวลาเล่นไม่มาก แต่ในเชิงพัฒนา นาทีคุณภาพ” (Quality Minutes) สำคัญกว่าจำนวนรวม—นาทีที่ใช้ในเกมจริงกับคู่แข่งแกร่ง มีค่าทางการเรียนรู้มากกว่านาทีจำนวนมากในเกมต่ำแรงกดดัน

สิ่งที่ควรจับตาต่อจากนี้คือ

  • จำนวนเกม–นาทีสะสม: สโมสรจะค่อยๆ เปิดพื้นที่แค่ไหน—ถ้วยลีก, ลีกคัพ, เอฟเอคัพ
  • บทบาทเชิงแท็กติก: เริ่มจาก “เชื่อมเกมปลอดภัย” ไปสู่ “จ่ายคิลเลอร์–วิ่งสอด–เพรสซิ่ง” ตามพัฒนาการ
  • การดูแลภาระเรียน: โรงเรียน–สโมสรจะวางตารางอย่างไรให้ ผลการเรียนไม่สะดุด และ ร่างกายไม่โอเวอร์โหลด

หากองค์ประกอบเหล่านี้ลงล็อก ฤดูกาลหน้าอาจเป็น “ฤดูกาลแรกเต็มใบ” ที่เจเจไต่ระดับไปสู่บทบาทหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ

เสียงสะท้อนจากระบบ “โอกาส” ที่ต้องมาพร้อม “แนวทาง”

ในมุมโครงสร้างฟุตบอลไทย “โอกาส” ให้เยาวชนลงเล่นคือจุดเริ่มต้น แต่ต้องตามด้วย “แนวทางพัฒนา” ที่ยึดมั่น ไม่เช่นนั้นเด็กจะติดกับ กับดักสถิติ มากกว่า การเติบโตแท้จริง

  1. การโค้ชรายบุคคล (Individual Development Plan) — แผนพัฒนารายเดือน–รายไตรมาสที่ชัดเจน
  2. สภาพแวดล้อมการซ้อมคุณภาพสูง — ซ้อมกับทีมชุดใหญ่, สแคริมเมจสปีดจริง, โค้ชเทคนิคเฉพาะตำแหน่ง
  3. การส่งเสริมด้านจิตวิทยาการกีฬา — รับมือความคาดหวัง สื่อสารกับสังคม–สื่อ–แฟนคลับอย่างเป็นมืออาชีพ
  4. พี่เลี้ยงในทีม — รุ่นพี่สายเดียวกันคอยแนะนำ ทั้งในและนอกสนาม

ระบบแบบนี้คือความต่างระหว่าง “ดาวรุ่งวูบวาบ” กับ “ตัวหลักระยะยาว”

เชียงราย–แบบเรียนของการเชื่อม “โรงเรียน–อะคาเดมี–สโมสร”

หากถอดบทเรียนจากเคสเจเจ สิ่งที่เห็นเด่นชัดคือ โมเดลความร่วมมือ โรงเรียนที่เข้าใจภารกิจพัฒนา คน+นักกีฬา”, อะคาเดมีที่จัดหลักสูตรฝึกซ้อมสอดคล้องกับคาแรกเตอร์สโมสร, และทีมชุดใหญ่ที่เปิดทางให้เด็กได้สัมผัสเกมจริงอย่างมีกรอบ

นี่คือ “สามเหลี่ยม” ที่หลายสโมสรอยากทำ แต่ไม่ง่าย—ต้องมี ความต่อเนื่อง, ความไว้วางใจ, และเป้าหมายร่วม ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเชียงรายพิสูจน์มาแล้วกับ เอกนิษฐ์ และกำลังเริ่มบทใหม่กับ ภพธรรม

จากนาทีที่ 88 สู่เส้นทาง 10 ปีข้างหน้า—ใครๆ ก็พูดถึง “พรสวรรค์” แต่สิ่งชี้ชะตาคือ “พรแสวงที่ทำทุกวัน”

เมื่อเสียงนกหวีดจบเกมดังขึ้น สถิติถูกบันทึกเรียบร้อย—สิงห์ เชียงรายฯ 1–0 บีจี ปทุมฯ และชื่อ ภพธรรม พรคต ถูกเติมลงในทำเนียบฟุตบอลไทยอย่างภาคภูมิ แต่หลังจากนี้คือ “ชีวิตจริง” ของดาวรุ่งวัย 15 ปี 11 เดือน 16 วัน ที่ต้องเผชิญการซ้อมหนักกว่าวันก่อน, ต้องรักษาความนิ่งท่ามกลางแววตาคาดหวัง, และต้องเติบโตทั้งในฐานะนักเตะ–นักเรียน–ลูกหลานของชุมชนฟุตบอลเชียงราย

สำหรับสโมสร–โรงเรียน–และลีก ค่ำคืนนี้ย้ำชัดว่า ระบบที่ดี สร้าง “โอกาส” ให้เกิดขึ้นได้จริง ส่วน “ปลายทาง” จะไปไกลแค่ไหน ขึ้นอยู่กับ วินัยและรายละเอียดเล็กๆ ที่เก็บทุกวัน

สำหรับแฟนบอล—เก็บชื่อ เจเจ” ภพธรรม พรคต ไว้ในสมุดเช็คชื่อดาวรุ่งของคุณ เขาอาจไม่การันตีว่าเป็น “เอกนิษฐ์ 2” แต่ถ้าเดินต่อบนเส้นทางที่ใช่ เราอาจได้เห็น “ภพธรรม” ในเวอร์ชันที่ทำให้หมายเลข 37 หนักแน่นขึ้นอีกชั้น—ด้วยผลงานของเขาเอง

ไทม์ไลน์–ข้อมูลสำคัญ (สรุป)

  • ชื่อ–อายุ: ภพธรรม พรคต (“เจเจ”) — 15 ปี 11 เดือน 16 วัน ตอนเดบิวต์ไทยลีก
  • สโมสร: สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด (หมายเลข 37)
  • เกมเดบิวต์: ไทยลีก 1 ฤดูกาล 2025/26 นัดที่ 5 — 21 ก.ย. 2568
  • ผลการแข่งขัน: สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ชนะ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 1–0
  • ทำเนียบอายุน้อยสุดไทยลีก (Top 3):
    1. ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา — 15 ปี 8 เดือน 22–23 วัน
    2. เอกนิษฐ์ ปัญญา — 15 ปี 11 เดือน 5 วัน
    3. ภพธรรม พรคต — 15 ปี 11 เดือน 16 วัน
  • เส้นทางเยาวชน: StarPower Academy / อะคาเดมีสิงห์เชียงรายฯ / สโมสรเชียงราย ซิตี้ / โรงเรียนทวีเอสซี วิทยา
  • เวทีคัดตัว–ทีมชาติ: FIFA TDS Talent ID 2025 (44 คนสุดท้าย), เก็บตัวทีมชาติไทย U17 (มิถุนายน 2568)
  • รางวัลสำคัญ: MVP รายการ “รวมโชค Youth Fighter #U16”
เจเจ “ภพธรรม พรคต” กับ คุณสุธาสินี เหล่ารุ่งโรจน์ ผู้บริหารโรงเรียนทวีเอสซี วิทยา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด (Singha Chiangrai United)
  • ไทยลีก (Thai League Co., Ltd.)
  • สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ (FA Thailand)
  • FIFA – Talent Development Scheme (TDS)
  • โรงเรียนทวีเอสซี วิทยา
  • StarPower Academy / สโมสรเชียงราย ซิตี้
  • PPTV x BDMS Presents Bundesliga Dream
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News