Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ ชูชีพ-นายก นก นำทัพ! เชียงรายระดมพลัง “ฮัก หาดใหญ่” 4 ตัน ถึงมือควนลัง ผ่านโลจิสติกส์ไม่เพิ่มภาระ

เชียงรายระดมพลัง “ฮัก หาดใหญ่” ส่งกองหนุน 4 ตันช่วยอุทกภัยสงขลา เดินเกม “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” ผ่านโลจิสติกส์–เชื่อต่อท้องถิ่นผู้ประสบภัย

เชียงราย, 2 ธันวาคม 2568 – บรรยากาศโถงชั้นหนึ่ง อบจ.เชียงราย จุดเริ่มต้นของธารน้ำใจจากเหนือสุดแดนสยาม  สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แน่นขนัดไปด้วยผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในภารกิจสำคัญ “เหนือช่วยใต้” ภายใต้ชื่อโครงการ ฮัก หาดใหญ่” ควบคู่กับความร่วมมือ ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”

ข้างหน้าคือเวทีเรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมาย ด้านหลังคือกองสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะถูกขนขึ้นรถบรรทุกหกล้อของไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย น้ำหนักรวมกว่า 4 ตัน เพื่อเดินทางไกลจากดินแดนเหนือสุดของประเทศลงสู่ เทศบาลเมืองควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568

นี่ไม่ใช่เพียงภาพของ “การบริจาค” แต่คือภาพของ การออกแบบความช่วยเหลือ ที่คิดครบทั้ง “ต้นทาง–ปลายทาง” อย่างรอบด้าน

คำกล่าว “นายก นก” เปิดภารกิจเหนือช่วยใต้ 293 ชีวิตในศูนย์ฯ – 50,000 คนในเมืองขยายที่ต้องไม่ถูกลืม

นายก นก – อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดการส่งมอบสิ่งของว่า ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นมา อบจ.เชียงรายได้เปิดจุดรับบริจาค ณ โถงชั้นหนึ่งของสำนักงานฯ เพื่อระดมสิ่งของจากประชาชนและภาคีเครือข่ายในจังหวัด

“จากวันที่ 24 พฤศจิกายนเป็นต้นมา จังหวัดเชียงรายและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้จับมือไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย และภาคีเครือข่ายในจังหวัด เดินหน้าภารกิจเหนือช่วยใต้ วันนี้เราพร้อมจัดส่ง ‘ธารน้ำใจล็อตแรก’ น้ำหนักรวม 4 ตัน ด้วยรถบรรทุกหกล้อของไปรษณีย์ไทย จากข้อมูลสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้ประสานงานกับสำนักข่าวสงขลาโฟกัส เครื่อข่ายท้องถิ่น จะนำไปยังเทศบาลเมืองควนลัง ซึ่งเป็นศูนย์อพยพให้ที่พักพิงแก่ผู้ประสบภัยจำนวน 293 คน และเป็นจุดช่วยเหลือประชาชนเกือบ 50,000 คนในพื้นที่เมืองขยายที่ต้องรับมือกับภัยพิบัติในทุกมิติ”

นายก อบจ.เชียงราย ยังอธิบายโครงสร้างและความท้าทายในพื้นที่ปลายทางอย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็น 3 มิติสำคัญที่กลายเป็น “เหตุผลหลัก” ว่าทำไมต้องให้ความสำคัญกับเทศบาลเมืองควนลังเป็นพิเศษ

มิติที่ 1 การดูแลผู้อพยพในศูนย์ฯ

ศูนย์อพยพ ณ อาคารเทศบาลเมืองควนลัง ชั้น 5 มีผู้อพยพรวม 293 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับการดูแลภายใต้มาตรฐานด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางจำนวน 25 คน ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

นายก อบจ.เชียงรายกล่าวว่า

“ในศูนย์อพยพ กลุ่มเสี่ยงพิเศษ 25 คน ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็ก หรือผู้ป่วย ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่เราต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ประสบภัยทุกคน ศูนย์มีโรงครัวที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการอาหารร้อนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ให้อิ่ม แต่ให้เขารู้สึกว่ามีคนดูแลอยู่ใกล้ ๆ”

มิติที่ 2 ความท้าทายเชิงพื้นที่ของ ‘เมืองขยาย’

แม้ตัวเลข 293 คนในศูนย์ฯ จะเป็นภาพที่จับต้องได้ แต่เมื่อมองทั้งพื้นที่ จะพบว่าประชากรในเขตเทศบาลเมืองควนลังมีเกือบ 50,000 คน และนี่คือ “ความจริงอีกด้าน” ที่ทำให้ภารกิจการจัดการภัยพิบัติใหญ่กว่าที่เห็น

“ตัวเลข 293 คนในศูนย์ฯ เป็นเพียงส่วนน้อยของผู้เดือดร้อนจริง เมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดเกือบ 50,000 คนในเทศบาลเมืองควนลัง ซึ่งเป็นเขตเมืองขยาย มีอัตราการเติบโตของประชากรสูงกว่า 20% ใน 10 ปี ความเสี่ยงและความเสียหายจากน้ำท่วมจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ภารกิจของเราจึงไม่ใช่แค่ดูแลคนในศูนย์ฯ แต่ต้องคิดถึงการเยียวยาและฟื้นฟูทั้งเมือง”

มิติที่ 3 การจัดการและการสื่อสารในฐานะศูนย์บัญชาการ

อาคารเทศบาลเมืองควนลังไม่ได้เป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราว แต่ทำหน้าที่เป็น ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ที่ประเมินความเสียหาย วางแผนเยียวยา และจัดการการสื่อสารกับประชาชน

“ศูนย์กลางที่เทศบาลไม่ใช่แค่สถานที่รองรับผู้อพยพ แต่เป็นจุดศูนย์กลางในการประเมินความเสียหายและเตรียมแผนการเยียวยาและฟื้นฟูสำหรับประชากรเกือบ 50,000 คน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่อพยพมาอยู่ในศูนย์ฯ เท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราต้องโฟกัสไปที่ควนลังอย่างจริงจัง”

ในช่วงท้ายของคำกล่าว นายก อบจ.เชียงรายได้เชิญชวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายขึ้นรับมอบสิ่งของบริจาคและกล่าวขอบคุณภาคีเครือข่าย ถือเป็นการเชื่อมต่อ “ระดับนโยบายจังหวัด” เข้ากับ “การปฏิบัติการจริง” ในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ผู้ว่าฯ ชูชีพ จากบทเรียนเชียงรายสู่การยืนเคียงข้างภาคใต้

เมื่อถึงเวลาอันสมควร พิธีกรได้เรียนเชิญ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ขึ้นกล่าวในนามตัวแทนชาวเชียงราย เพื่อมอบกำลังใจไปยังผู้ประสบภัยในภาคใต้

แม้จะเริ่มต้นด้วยการขอให้ผู้ร่วมงานขยับเข้าร่มเพื่อลดความร้อนจากแดดกลางลาน แต่บรรยากาศไม่เป็นทางการเล็กน้อยนี้กลับทำให้เห็น “ความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ” ที่สะท้อนบุคลิกของผู้ว่าฯ ซึ่งต้องการให้ทุกคนที่มาร่วมงานรู้สึกสบายพอจะยืนร่วมกันจนจบพิธี

จากนั้น ผู้ว่าฯ ชูชีพได้กล่าวชื่นชมบทบาทของ อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ “ฮัก หาดใหญ่” และ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” โดยเน้นย้ำว่า การโฟกัสไปยังเทศบาลเมืองควนลัง คือการทำงานแบบ “เจาะจุด” ที่สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่

เขายังอ้างอิงข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ว่า ในรอบวิกฤตครั้งนี้ มีประชาชนใน 9 จังหวัดภาคใต้ ได้รับผลกระทบรวมกันเกือบ 3 ล้านคน หลายแสนครัวเรือนต้องเผชิญกับน้ำท่วมและการฟื้นตัวที่ต้องใช้เวลา อีกทั้งจุดสำคัญอย่างเทศบาลนครหาดใหญ่ก็ต้องรับมือกับปริมาณน้ำฝนมากกว่า 600 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่า “หนักที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี”

“เมื่อเช้า ผมได้ฟังสรุปจาก ปภ. เราเห็นชัดว่ามี 9 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ หลายแสนครัวเรือน เกือบ 3 ล้านคนที่ต้องเผชิญกับผลจากอุทกภัย โดยเฉพาะเทศบาลนครหาดใหญ่ที่เผชิญปริมาณน้ำฝนระดับที่เรียกได้ว่าหนักที่สุดในรอบหลายปี การที่เชียงรายเลือกโฟกัสไปยังควนลัง ซึ่งเป็นพื้นที่เมืองขยายที่ต้องดูแลทั้ง 293 คนในศูนย์ฯ และเกือบ 50,000 คนทั้งเมือง จึงถือเป็นการทำงานที่เข้าตรงเป้าหมาย”

ผู้ว่าฯ ยังเชื่อมโยงไปถึงประสบการณ์ของเชียงรายในฐานะจังหวัดที่เคยประสบภัยพิบัติมาแล้วหลายครั้ง ทั้งเหตุแผ่นดินไหวและน้ำท่วม พร้อมย้ำว่า เมื่อครั้งเชียงรายลำบาก ก็มีคนไทยจากทั่วประเทศส่งแรงใจและสิ่งของมาช่วยเหลือ วันนี้จึงเป็น “เวลาของเชียงราย” ที่จะตอบแทนสังคม

“เราเคยได้รับน้ำใจจากคนทั้งประเทศ ตอนเชียงรายประสบภัย วันนี้เรากำลังคืนกลับไปในฐานะพี่น้องชาติเดียวกัน สิ่งที่ อบจ.เชียงราย ไปรษณีย์ไทย ภาคเอกชน สื่อมวลชน และสถาบันการศึกษาทำร่วมกัน ไม่ใช่แค่การส่งของ แต่เป็นการส่งต่อความผูกพัน ความเป็นมิตรภาพระหว่างเหนือสุดแดนสยามและปลายด้ามขวาน”

เขายังกล่าวถึงการระดมสรรพกำลังอื่น ๆ ของจังหวัด ทั้งกำลังคนจากอาสาสมัคร เครื่องจักรกลหนัก และการสนับสนุนผ่านช่องทางของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย เพื่อช่วยเสริมภารกิจในพื้นที่ภาคใต้ควบคู่กันไป

ท้ายที่สุด ผู้ว่าฯ ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ซีพี ออลล์ เซ็นทรัลเชียงราย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ไปรษณีย์ไทย และสื่อมวลชน ที่ร่วมกันทำให้ “น้ำใจจากเชียงราย” เดินทางออกจากโถงชั้นหนึ่งของ อบจ. ไปสู่มือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ในภาคใต้

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัด

ฮัก หาดใหญ่–ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” พันธมิตร 6 หน่วย + 1 มหาวิทยาลัย ขับเคลื่อนภารกิจ

ภายใต้ภารกิจครั้งนี้ มีอย่างน้อย 6 หน่วยงานหลักในจังหวัดเชียงราย และ 1 สถาบันการศึกษา ทำหน้าที่เป็นแกนกลางความร่วมมือ ได้แก่

  1. จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
    • แกนกลางด้านนโยบาย การประสานงาน และการรวบรวมสิ่งของบริจาค
    • นำโดย นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายก นก – อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร อบจ.
  2. ไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย
    • ทำหน้าที่เป็น “ขนส่งธารน้ำใจ” ด้วยระบบโลจิสติกส์ทางบก
    • มี นายวุฒิพงษ์ เดชมนต์ ไปรษณีย์จังหวัดเชียงราย เป็นแกนนำด้านการขนส่ง
  3. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยพิสันต์ จันทร์ศิลป์
    • สนับสนุนการสื่อสารและเชื่อมโยงกับชุมชน วัด กลุ่มวัฒนธรรม และเครือข่ายภาคประชาชน
    • มีบุคลากรด้านวัฒนธรรมและชุมชนเป็นผู้ประสานงานหลัก
  4. สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และสำนักข่าวสงขลาโฟกัส
    • ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมข้อมูลระหว่าง “ผู้ให้” ในเชียงราย และ “ผู้รับ” ในสงขลา
    • สงขลาโฟกัสทำหน้าที่รับมอบและกระจายความช่วยเหลือร่วมกับเทศบาลเมืองควนลัง
  5. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
    • สนับสนุนพื้นที่และทรัพยากรในเครือข่ายธุรกิจค้าปลีก 7-Eleven ในการเป็นจุดประชาสัมพันธ์และส่งต่อข้อมูล
    • นำโดยทีมผู้บริหารในพื้นที่ เช่น คุณสงกรานต์ จำปาคำ และคณะ
  6. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
    • ภายใต้การบริหารของ คุณสายัณห์ นักบุญ General Manager ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
    • ทำหน้าที่เป็นจุดรับบริจาคสำคัญในเขตเมือง ภายใต้โครงการ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”
  7. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย (มทร.ล้านนาเชียงราย)
    • ทำหน้าที่เป็นจุดรับบริจาคหลักในเครือข่ายสถาบันการศึกษา
    • เปิดโอกาสให้เยาวชน นักศึกษา และบุคลากร ได้เข้ามามีส่วนร่วมในภารกิจบรรเทาทุกข์ระดับชาติ

เมื่อพิจารณาภาพรวม ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียง “งานของรัฐ” แต่เป็น การบูรณาการภาครัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา–สื่อ–ประชาชน ที่รวมกันเป็นพลังเดียวกันเพื่อช่วยเหลือภาคใต้

ฮัก” ที่มากกว่าความรัก อ้อมกอดจากภาคเหนือในวันที่ภาคใต้ลำบาก

ชื่อโครงการ ฮัก หาดใหญ่” ได้รับการออกแบบอย่างมีความหมาย คำว่า “ฮัก” ในภาษาเหนือหมายถึง “รัก” แต่ในเชิงสัญลักษณ์ยังเชื่อมโยงกับคำว่า “Hug” ในภาษาอังกฤษที่หมายถึง “การกอด”

ความช่วยเหลือที่ถูกส่งลงไปภาคใต้จึงไม่ใช่เพียง “สิ่งของ” แต่ถูกออกแบบให้เป็น “อ้อมกอดทางใจ” จากชาวเชียงรายที่ต้องการบอกพี่น้องหาดใหญ่และสงขลาว่า “คุณไม่ได้อยู่ลำพัง”

การใช้ภาษาถิ่นผสมกับความหมายสากลในชื่อโครงการ ช่วยสร้างมิติทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้รับรู้สึกว่า สิ่งของแต่ละชิ้นบรรจุด้วยความห่วงใย ไม่ใช่เพียงการทำตามหน้าที่เชิงพิธีการของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

ยุทธศาสตร์ “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” โลจิสติกส์มนุษยธรรมที่คิดจากปลายทาง

สิ่งที่ทำให้โครงการนี้โดดเด่น คือแนวคิดด้านการจัดการโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้น “คุณภาพของกระบวนการ” ไม่ใช่แค่ “ปริมาณของสิ่งของ”

ในภาวะวิกฤต หน่วยงานราชการในพื้นที่ประสบภัยต้องทำงานหนักในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมแซมถนน ระบบสาธารณูปโภค และดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง หากยังต้องแบกรับภาระงานด้านการรับมอบ คัดแยก และจัดกระจายสิ่งของจากพื้นที่อื่นอีก ก็ยิ่งเพิ่ม “ต้นทุนทางธุรการ” จนอาจกระทบต่อภารกิจหลัก

โครงการ “ฮัก หาดใหญ่” จึงเลือกใช้ยุทธศาสตร์ ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” คือ

  • ใช้ไปรษณีย์ไทยเป็นกลไกหลักด้านขนส่ง ด้วยระบบที่ติดตามได้
  • ประสานงานให้สิ่งของไปถึง “มือของสื่อท้องถิ่นและเทศบาลในพื้นที่” อย่างสงขลาโฟกัสและเทศบาลเมืองควนลัง ที่มีเครือข่ายในชุมชน และสามารถประเมินได้ว่าพื้นที่ใดต้องการอะไร

แนวทางนี้ช่วยให้ความช่วยเหลือถูกนำไปใช้ได้เร็ว ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน ลดการคัดแยกซ้ำ และลดภาระงานเอกสารของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่กำลังทำงานแข่งกับเวลา

ในเชิงนโยบาย นี่คือรูปธรรมของ การลดภาระทางธุรการ (Administrative Burden Reduction)” ในบริบทของการจัดการภัยพิบัติสมัยใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและผลกระทบจริงต่อผู้รับ มากกว่าการเน้นพิธีการและภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียว

กองหนุน” ที่ส่งในเวลาที่ใช่ เมื่อการช่วยเหลือไม่จบแค่ตอนน้ำท่วมสูงสุด

จุดยืนสำคัญของโครงการนี้ คือการนิยามความช่วยเหลือจากเชียงรายว่าเป็น กองหนุน” ไม่ใช่ “กองหลัก”

ความหมายของคำว่า “กองหนุน” ในที่นี้ คือการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งของที่ส่งไปอาจไม่มากพอจะทำให้ผู้ประสบภัย “ตั้งตัวได้ทันที” แต่มีความสำคัญในฐานะ “แรงเสริม” ที่ถูกส่งไปใน ช่วงเวลาที่เหมาะสม

ในขณะที่ช่วงแรกของภัยพิบัติมักมีความช่วยเหลือหลั่งไหลเข้าไปจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจจากสาธารณะเริ่มลดลง ขณะที่ผู้ประสบภัยยังคงต้องฟื้นฟูชีวิตและสภาพแวดล้อมต่อไปอีกยาวนาน การส่ง “กองหนุน” ในช่วงหลังจึงเป็นสัญญาณว่า “เรายังไม่ลืม”

คำพูดอย่างเรียบง่ายว่า เราเข้าใจความยากลำบาก เราเจอมาก่อน” จากตัวแทนผู้ประสานงานโครงการ และจากสื่อท้องถิ่นในสงขลา จึงไม่ได้เป็นแค่ถ้อยคำปลอบใจ แต่เป็นการยืนยันว่า ความช่วยเหลือนี้ตั้งอยู่บนฐานของ “ประสบการณ์จริง” ที่เชียงรายเคยเผชิญมาแล้ว

บทเรียนและข้อคิด จาก “ฮัก หาดใหญ่” สู่การออกแบบการช่วยเหลือในอนาคต

จากกรณีศึกษาของโครงการ “ฮัก หาดใหญ่” สามารถสรุปบทเรียนสำคัญที่มีคุณค่าต่อการออกแบบระบบช่วยเหลือในภัยพิบัติได้หลายข้อ อาทิ

  1. คิดถึงต้นทุนทางธุรการของพื้นที่ปลายทาง
    • ความช่วยเหลือที่ดีต้องไม่ทำให้พื้นที่ที่กำลังลำบากต้องรับภาระเพิ่มขึ้นจากงานเอกสารหรือการจัดการสิ่งของที่ซับซ้อนเกินไป
  2. เลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการส่งกองหนุน
    • ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องรีบส่งทันทีในวันแรกของภัยพิบัติ บางครั้งการส่งในช่วง “ฟื้นฟู” อาจตอบโจทย์ความต้องการมากกว่า
  3. ใช้เครือข่ายท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์
    • สื่อท้องถิ่น เทศบาล องค์กรชุมชน และเครือข่ายภาคประชาชน มักรู้ดีที่สุดว่าชุมชนต้องการอะไร และควรส่งไปที่ไหนก่อน
  4. สร้างพันธมิตรข้ามภาคส่วนอย่างจริงจัง
    • การบูรณาการภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และสื่อ ทำให้ระบบช่วยเหลือมีประสิทธิภาพ ทนทาน และต่อเนื่องกว่าการทำงานแบบโดดเดี่ยว
  5. ให้ความสำคัญกับภาษาความรู้สึก ไม่ใช่แค่ภาษาทางการ
    • ชื่อโครงการ การสื่อสาร และถ้อยคำที่ใช้ ล้วนมีผลต่อการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้และผู้รับ

ในยุคที่ภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนมีแนวโน้มเกิดถี่และรุนแรงขึ้น การเรียนรู้จากกรณีความร่วมมือระหว่างเชียงรายและสงขลาในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ข่าวหนึ่งวัน” หากแต่เป็นกรอบคิดที่สามารถนำไปต่อยอดสู่การจัดการภัยพิบัติในระดับพื้นที่และระดับประเทศได้ในอนาคต

โครงการ “ฮัก หาดใหญ่” เป็นตัวอย่างของการช่วยเหลือในภัยพิบัติที่ออกแบบมาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงทั้งความต้องการของผู้รับและข้อจำกัดของผู้ให้ การใช้แนวทาง “กองหนุน” ที่ส่งไปในเวลาที่เหมาะสม การเลือกช่องทางการส่งมอบที่ “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรข้ามภาคส่วน ล้วนสะท้อนถึงความเข้าใจในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่ลึกซึ้ง

การที่จังหวัดเชียงรายซึ่งเคยประสบภัยพิบัติมาแล้วหลายครั้ง เลือกที่จะส่งต่อทั้งความช่วยเหลือและบทเรียนไปยังพี่น้องภาคใต้ที่กำลังเผชิญวิกฤต นั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็น “พี่น้อง” ที่แท้จริง ที่ไม่เพียงแต่ส่งของ แต่ส่ง “ใจ” และ “ความเข้าใจ” ไปด้วย

โครงการนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการช่วยเหลือในภัยพิบัติ แต่เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง มีความเอื้ออาทร และพร้อมยืนเคียงข้างกันในยามที่ใครสักคนต้องเผชิญความลำบาก

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพโดย : กีรติ ชุติชัย
  • จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด – ไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และสำนักข่าวสงขลาโฟกัส
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายร้าน 7-Eleven ในจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ภายใต้โครงการ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย (มทร.ล้านนาเชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนา สู่นวัตกรรมวัฒนธรรม

ตักบาตรพระขี่ม้า แม่จันปลุกพลังศรัทธา ฟื้นวิถีล้านนาโบราณ สู่นวัตกรรมวัฒนธรรมที่ชุมชนร่วมสร้าง

เชียงราย, 18 สิงหาคม 2568 – ประเพณี “ตักบาตรพระขี่ม้า” ที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย กลับมาเป็นข่าวเด่นอีกครั้ง เพราะไม่ใช่เพียงภาพงามตาของพระสงฆ์บนหลังม้า หากแต่เป็น “แบบฝึกหัดร่วมสมัย” ของสังคมท้องถิ่นในการชุบชีวิตภูมิปัญญาล้านนา สร้างพื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น และต่อยอดเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอเพียง กิจกรรมครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 อยู่ภายใต้โครงการ “เข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายร่วมกับวัดถ้ำป่าอาชาทอง จุดสังเกตที่ควรจับตา ได้แก่ (1) การใช้ “วันธรรมสวนะ” เป็นจุดศูนย์ถ่วงให้ชุมชนกลับมาพบกันในวัด (2) การแปะป้าย “อุดหนุนชุมชน” ควบคู่การทำบุญ สื่อถึงแนวทางวัฒนธรรมที่เกื้อกูลเศรษฐกิจฐานราก และ (3) การเล่าเรื่อง “พระขี่ม้า” ในฐานะสัญลักษณ์การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลของศาสนา ซึ่งมีนัยต่อการออกแบบบริการสาธารณะในปัจจุบันอย่างน่าคิด ปมหัวข้อสำคัญที่บทความนี้จะพาไปคลี่คลาย คือ เหตุผลที่ประเพณีนี้ยังทรงพลังในยุคดิจิทัล, ผลลัพธ์เชิงสังคม–การศึกษา–เศรษฐกิจที่เกิดกับชุมชน, และ เงื่อนไขความยั่งยืน ของการสืบสานให้สอดรับมาตรฐานความปลอดภัยและสวัสดิภาพสัตว์ ตลอดจนบทบาทของหน่วยงานรัฐ–ศาสนา–สังคมในฐานะหุ้นส่วนทางวัฒนธรรม

เช้าตรู่วันธรรมสวนะ กลิ่นอายล้านนากลับมาเคลื่อนไหว

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 – ดอยเขียวชอุ่มของแม่จัน เสียงสาธุการแผ่วเบาไหลรวมกับจังหวะก้าวเท้าม้าบนลานวัดถ้ำป่าอาชาทอง ผู้คนหลากวัยยืนเรียงรายอย่างสงบ มือประคองปิ่นโต ข้าวปลาอาหาร และผลไม้ตามฤดูกาล ขณะพระครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าอาวาส ขี่ม้านำหน้าพระภิกษุออกบิณฑบาต ภาพที่เคยพบเห็นในหน้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกลับปรากฏอีกครั้ง—ไม่ใช่เพื่อ “ย้อนอดีต” แบบพิธีกรรมตัวอย่าง หากแต่เพื่อย้ำว่า “ความหมาย” ของศาสนาและชุมชน ยังเดินทางมาถึงผู้คนได้เสมอ เมื่อมีช่องทางและภาษาที่เหมาะสม

กิจกรรมครั้งนี้คือครั้งที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 จัดโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ วัดถ้ำป่าอาชาทอง ภายใต้กรอบ โครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน จุดมุ่งหมายคือให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญ ฟังธรรม เจริญจิตภาวนา และมองเห็น “ดีเอ็นเอวัฒนธรรม” ของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างพอดีพองาม

ความหมายร่วมสมัยของ “พระขี่ม้า” สัญลักษณ์การเข้าถึงผู้คนในพื้นที่ยากลำบาก

อดีตล้านนาคือภูมิประเทศของดอยสูง ป่าลึก ลำห้วยซับซ้อน จึงไม่แปลกที่ ม้า จะเป็นพาหนะคู่ชีวิตของทั้งชาวบ้านและพระสงฆ์ การบิณฑบาตด้วยม้าจึงเกิดจาก “ความจำเป็น” มากกว่าความแปลกประหลาด และยังทำให้ศาสนา “ไปถึง” บ้านเรือนที่อยู่ห่างไกล—นี่คือเหตุผลที่ประเพณีนี้ฝังรากในจิตใจผู้คน และยังทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง” ระหว่างพระกับโยมอย่างทรงพลัง

ในปัจจุบัน ความจำเป็นด้านภูมิประเทศอาจลดลง แต่ สัญลักษณ์ ของการเข้าถึงยังคงทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่ชุมชนกระจัดกระจายและคนรุ่นใหม่เติบโตกับหน้าจอ การเห็นพระออกบิณฑบาตบนหลังม้าไม่เพียงสร้างความประทับใจ หากยัง ตั้งคำถามชวนคิด ว่า “เราจะทำอย่างไรให้ศาสนาเข้าถึงหัวใจผู้คนได้รวดเร็วและตรงบริบท เหมือนที่ม้าเคยทำหน้าที่นั้นในอดีต” นี่คือบทสนทนาที่ประเพณีเก่าแก่กำลังก่อรูปให้เกิดขึ้นใหม่

วันธรรมสวนะ เข็มทิศเวลาเชิงวัฒนธรรมของชุมชน

วันธรรมสวนะ คือวันฟังธรรม–รักษาศีล–เจริญภาวนาในแต่ละเดือนจันทรคติ (โดยมากตรงกับขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ) ถือเป็น “จังหวะเวลา” ที่ทำให้ผู้คนมีช่วงหยุดเพื่อชำระใจและทบทวนการดำเนินชีวิต การผูกกิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” เข้ากับวันธรรมสวนะ จึงเป็นการ “ตั้งวงจร” ที่หล่อเลี้ยงทั้งศรัทธาและชุมชน—เมื่อมีรอบเวลา ชุมชนก็มีจุดนัดพบ เมื่อมีจุดนัดพบ การมีส่วนร่วมก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นวัฒนธรรมร่วม

ในเช้าวันนี้ ภายหลังพิธีตักบาตร มีการฟังธรรมเทศนาและเจริญจิตภาวนาตามลำดับ ผู้มาร่วมงานตั้งใจเงียบสงบ หลายคนปิดโทรศัพท์ วางงานด่วนไว้ข้างกาย เพื่อ “อยู่กับลมหายใจ” และ “ฟังเสียงของตัวเอง” อีกครั้ง—ความเรียบง่ายเช่นนี้คือความซับซ้อนในยุคดิจิทัล ซึ่งมักหาได้ยากในวันธรรมดา

ศรัทธาอิ่มบุญ อุดหนุนชุมชน” วัด–โรงเรียน–เครือข่ายวัฒนธรรม ร้อยมือเป็นหนึ่ง

ความโดดเด่นของงานครั้งนี้ คือการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐ ศาสนา การศึกษา และภาคประชาสังคม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็นแกนกลางด้านนโยบายและงบประมาณ วัดถ้ำป่าอาชาทอง เป็นเจ้าภาพเชิงพื้นที่ โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง นำโดยนางสาวสุภาภรณ์ ธรรมสอน พร้อมทั้งคณะครูและนักเรียน ร่วมเรียนรู้เชิงปฏิบัติการด้านศิลปวัฒนธรรม ขณะที่ เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ในพื้นที่ระดมพลังจิตอาสาและทุนทางสังคม ทั้งหมดนี้สะท้อน “โมเดลสามเหลี่ยม” ที่ให้วัด–ชุมชน–โรงเรียนหนุนเสริมกัน

สโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ไม่ได้ตั้งเพื่อความไพเราะ หากแต่ตอกย้ำ วงจรเศรษฐกิจวัฒนธรรม ระดับฐานราก—ผู้คนมาทำบุญ ฟังธรรม และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนสินค้าและบริการจากชาวบ้านในละแวกวัด เกิดการหมุนเวียนรายได้เล็กๆ ที่สัมผัสได้จริง ไม่ฟุ้งฝันเกินไป และเดินไปพร้อมกับศรัทธา

สถิติที่ชี้ทิศ จาก “ครั้งที่ 1–4” ไปสู่ “ปฏิทินวัฒนธรรมประจำปี”

ปีงบประมาณ 2568 กิจกรรม “ตักบาตรพระขี่ม้า” จัดแล้ว 4 ครั้ง ภายใต้กรอบโครงการเดียวกัน การทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอสร้าง “ความคุ้นชิน” และเปิดโอกาสให้ทีมปฏิบัติงานปรับระบบหลังบ้านให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น แผนจราจร, จุดนัดหมาย, พื้นที่พักม้า, แนวทางสื่อสารกับสาธารณะ, หรือ ขั้นตอนสั้นๆ สำหรับผู้ร่วมงานครั้งแรก เมื่อครบรอบปี ข้อมูลจาก 4 ครั้งนี้จะกลายเป็น ฐานวิชาการ สำหรับออกแบบ “ปฏิทินวัฒนธรรม” ที่เท่าทันความเสี่ยงและความต้องการของคนในพื้นที่จริง

ตัวเลขชวนคิด
• วันธรรมสวนะในหนึ่งเดือนโดยทั่วไปมี 4 ครั้ง (ขึ้น/แรม 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ)
• การจัดกิจกรรมปีละหลายรอบ ทำให้เกิด “กราฟการเรียนรู้” (learning curve) ของทั้งทีมงานและชุมชน
• เมื่องานวัฒนธรรมผูกกับปฏิทินที่ชัดเจน การมีส่วนร่วม–การสื่อสาร–งบประมาณ จะบริหารง่ายและคุ้มค่าขึ้น

เมื่อ “ประเพณี” เป็น “ห้องเรียน” เด็กและเยาวชนเรียนรู้จากพื้นที่จริง

การมีส่วนร่วมของโรงเรียนและเครือข่ายเยาวชนคือภาพน่าชื่นใจ นักเรียนบางส่วนมีหน้าที่ช่วยประสานจุดบริการน้ำดื่ม แนะนำเส้นทางให้ผู้สูงอายุ หรือร่วมทำความสะอาดพื้นที่ภายหลังพิธี—งานเล็กๆ ที่แปลงเป็นบทเรียนเรื่อง ความรับผิดชอบ, วินัย, และ มารยาทสาธารณะ แบบไม่ต้องขึ้นกระดานดำ เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ภูมิความหมายของการสงบ รู้จักคำว่า “สมถะ” ผ่านการเจริญภาวนา และที่สำคัญ คือเข้าใจว่า วัดมิใช่ที่ไกลตัว แต่เป็น “ศูนย์กลางชุมชน” ที่มีชีวิตอยู่จริง

ความปลอดภัย–สวัสดิภาพสัตว์ เงื่อนไขที่ทำให้การสืบสานน่าเชื่อถือ

ประเพณีที่มี “ม้า” เป็นตัวแสดงสำคัญ ต้องให้ความสำคัญกับ สวัสดิภาพสัตว์ อย่างรอบคอบ ตั้งแต่การคัดเลือกม้า การตรวจสุขภาพโดยสัตวแพทย์ การควบคุมน้ำหนักบรรทุก การกำหนดเส้นทางและระยะเวลาเหมาะสม ไปจนถึงการจัดพื้นที่พักและน้ำสะอาด งานครั้งนี้ยืนยันว่าฝ่ายจัดงานและวัดให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว เพื่อให้ศรัทธาเดินคู่กับ ความรับผิดชอบต่อชีวิตอื่น อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เศรษฐกิจวัฒนธรรม ทำบุญแล้วชุมชนต้องอยู่ได้

แม้กิจกรรมศาสนาจะไม่ควรถูกตัดทอนเป็น “มูลค่าเงิน” อย่างเดียว แต่มิติทางเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อ ความยั่งยืน การวางสโลแกน “อุดหนุนชุมชน” ทำให้ผู้มาร่วมงานตระหนักรู้ว่า การจับจ่ายเล็กๆ กับร้านชุมชน—ข้าวเหนียว, ของพื้นบ้าน, งานหัตถกรรม—คือการต่อชีวิตเศรษฐกิจครัวเรือน การจัดระบบให้ผู้ค้าในชุมชนมี “มาตรฐานสุขอนามัย” และ “ราคายุติธรรม” จะช่วยให้วงจรบุญ–คุณค่าทางเศรษฐกิจไหลเวียนได้จริง โดยไม่เกิดผลข้างเคียงเชิงพาณิชย์ที่เกินควร

 “การสื่อสาร” จากภาพสวยสู่ความเข้าใจที่ลึก

ภาพ “พระขี่ม้า” งดงามและดึงดูดสายตา แต่หากมีเพียงภาพ อาจทำให้ประเพณีถูกเข้าใจแบบผิวเผิน ฝ่ายจัดงานจึงสื่อสาร “ความหมาย” คู่ไปกับ “ความงาม” ตั้งแต่ที่มา–เหตุผลเชิงพื้นที่ในอดีต–ความเชื่อมโยงกับวันธรรมสวนะ–ความหมายของทานและศีล–ไปจนถึงข้อควรระวังและมารยาทในการร่วมพิธี การทำให้คน “เข้าใจ” มากกว่า “เห็น” คือหัวใจที่ทำให้กิจกรรมไม่กลายเป็นเพียงคอนเทนต์ชั่ววูบในโลกออนไลน์

รัฐ–ศาสนา–สังคม คือหุ้นส่วน ไม่ใช่ผู้สั่ง–ผู้ตาม

โมเดลที่เกิดขึ้นในแม่จันสะท้อนบทเรียนสำคัญ 3 ประการ

  1. วัฒนธรรมจังหวัด เป็น “ผู้จัดกระบวนการ” (process owner) ที่เชื่อมงบประมาณ นโยบาย และมาตรฐานการทำงานให้เข้ากับพื้นที่จริง
  2. วัด เป็น “เจ้าภาพพื้นที่” ที่รู้จังหวะชุมชน เข้าใจภูมิประเทศและศรัทธา จึงบริหารความละเอียดอ่อนของพิธีกรรมได้
  3. ชุมชน–โรงเรียน–เครือข่ายประชาสังคม เป็น “แรงขับเคลื่อน” ที่ทำให้กิจกรรมมีชีวิต มีผู้คนหลากวัย และกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริง

หากปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกขั้น การทำ ฐานข้อมูลกิจกรรมต่อรอบ, เช็กลิสต์ความปลอดภัย, และ แนวปฏิบัติเรื่องสิ่งแวดล้อม (ลดพลาสติก ใช้ภาชนะย่อยสลายได้ คัดแยกขยะหลังพิธี) จะทำให้แม้กิจกรรมจะเติบโต ก็ยังรักษา “ความพอดี” และลดภาระสิ่งแวดล้อมได้

การมีส่วนร่วมคือเครื่องยืนยัน

แม้บทความชิ้นนี้จะไม่หยิบคำพูดตรงๆ มาอ้างอิง แต่การมีส่วนร่วมของ ครู–นักเรียน–ผู้สูงอายุ–เครือข่ายสภาวัฒนธรรม ที่มา “ลงมือ” กันจริง คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากิจกรรมเชื่อมคนต่างวัยเข้าด้วยกันได้ การเห็นเด็กมัธยมยื่นขันน้ำให้คุณตาคุณยาย หรือจัดแถวให้นักท่องเที่ยวต่างถิ่นเข้าใจพิธีการ คือภาพเล็กๆ ที่บอกว่า “วัฒนธรรมไม่ใช่ของวางโชว์ หากเป็นเรื่องที่ทำร่วมกันทุกคน”

 “งดงาม” สู่ “ยั่งยืน”

เพื่อให้ “ตักบาตรพระขี่ม้า” เป็นทั้ง มรดกที่มีชีวิต และ นวัตกรรมทางวัฒนธรรม ในระยะยาว ข้อเสนอเชิงปฏิบัติที่ภาคส่วนต่างๆ อาจพิจารณา ได้แก่

  • คู่มือกิจกรรมมาตรฐานจังหวัด: ครอบคลุมความปลอดภัย สวัสดิภาพม้า การสื่อสาร การจัดการขยะ และมาตรการรองรับผู้สูงอายุ/ผู้พิการ
  • คลังความรู้ดิจิทัล: รวบรวมภาพถ่าย เรื่องเล่า บันทึกพิธี ตลอดจนบทเรียนจากแต่ละรอบ เพื่อใช้สร้างหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียน
  • ปฏิทินวัฒนธรรมเชื่อมท่องเที่ยวคุณภาพ: ยึดหลัก “เล็ก–ลึก–พอดี” ไม่ไล่ตัวเลขนักท่องเที่ยว แต่เน้นประสบการณ์เรียนรู้ที่เคารพพื้นที่
  • ตัวชี้วัดร่วม: เช่น สัดส่วนครัวเรือนชุมชนที่ได้ประโยชน์ การลดขยะต่อรอบ การมีส่วนร่วมของเยาวชน และความพึงพอใจผู้สูงอายุ

เมื่อเสียงม้าคลอเสียงสวด ศรัทธาก็เดินต่อ

เมื่อพิธีจบ ผู้คนทยอยเก็บข้าวของ ลมเช้าพัดผ่านใบไม้ เสียงระฆังเบาๆ ดังก้อง พระภิกษุและม้าคู่ใจกลับสู่ศาลาวัด เด็กๆ โค้งคำนับครู ก่อนช่วยกันคัดแยกขยะ เหมือนภาพเรียบง่าย แต่หากมองให้ลึก นี่คือ ภาพสังคมที่กำลังซักซ้อมการอยู่ร่วมกัน ด้วยความเคารพ–แบ่งปัน–และรับผิดชอบต่อกัน “ตักบาตรพระขี่ม้า” จึงไม่ใช่เพียงพิธี หากคือเวทีที่ทำให้คนละบทบาทจากหลายรุ่นมา “เรียนรู้ความเป็นชุมชน” และยืนยันว่า วัฒนธรรมไม่เคยหายไปไหน—มันรอให้เราใส่ใจและทำร่วมกัน เท่านั้นเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • วัดถ้ำป่าอาชาทอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • เครือข่ายสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่จัน
  • โรงเรียนบ้านหนองแหย่ง
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วธ. เชียงราย จัดงานสรงน้ำพระ สืบสานภูมิปัญญา

เชียงรายสืบสานมรดกวัฒนธรรมผ่านประเพณีสรงน้ำพระโบราณสถานถ้ำพระ รำลึก 120 ปี รัชกาลที่ 6 และ 100 ปี รัชกาลที่ 7

เชียงราย, 19 พฤษภาคม 2568 – ณ โบราณสถานถ้ำพระ ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้จัดงาน “โครงการส่งเสริมสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นและมรดกภูมิปัญญา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568” ภายใต้กิจกรรมส่งเสริมและสืบสานภูมิปัญญาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ในงานประเพณีสรงน้ำพระโบราณสถานถ้ำพระ โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี งานนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมอบน้ำดื่มและขนม และบริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM) ที่มอบอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทาน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร ประชาชน เด็ก และเยาวชนกว่า 200 คน ร่วมกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์และสืบสานมรดกวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของจังหวัดเชียงราย

ถ้ำพระ สัญลักษณ์แห่งศรัทธาและประวัติศาสตร์

ในหุบเขาที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบริมแม่น้ำกก ห่างจากตัวเมืองเชียงรายเพียง 6 กิโลเมตร โบราณสถานถ้ำพระตั้งตระหง่านเป็นดั่งมรดกแห่งศรัทธาและประวัติศาสตร์ของชุมชนตำบลแม่ยาว ภูเขาหินสูงราว 800 เมตรแห่งนี้ซ่อนความงดงามของถ้ำที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หินงอกหินย้อยที่เกิดจากธรรมชาติ และฝูงค้างคาวที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ถ้ำพระไม่เพียงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพุทธศาสนิกชน แต่ยังเป็นโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยกรมศิลปากร และมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติ ด้วยการเคยต้อนรับการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ในปี พ.ศ. 2448 และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2469

ทุกเดือนพฤษภาคม ชุมชนตำบลแม่ยาวและพุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศจะมารวมตัวกันในงานประเพณีสรงน้ำพระ เพื่อแสดงความเคารพต่อพระพุทธรูปและรำลึกถึงความสำคัญของถ้ำพระ ทว่าในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป การถ่ายทอดมรดกวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นใหม่กลายเป็นความท้าทาย เด็กและเยาวชนจำนวนมากเริ่มหันเหความสนใจไปสู่โลกดิจิทัลและวิถีชีวิตสมัยใหม่ ทำให้ความรู้เกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่นและภูมิปัญญา เช่น การทำกรวยดอกไม้ (สรวยดอก) หรือการตัดตุงล้านนา (ตุงไส้หมู) ค่อยๆ เลือนหายจากชุมชน

เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายนี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมและสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเลือกถ้ำพระเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงชุมชนกับมรดกวัฒนธรรม และรำลึกถึงวาระครบรอบ 120 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 6 และ 100 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 7 ผ่านงานประเพณีสรงน้ำพระในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568

การสืบสานวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ในงานประเพณีสรงน้ำพระ

เมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2568 ณ โบราณสถานถ้ำพระ ตั้งแต่เวลา 08.30 ถึง 15.30 น. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้จัดงานที่เปี่ยมด้วยความหมาย โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด กิจกรรมนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่:

กิจกรรมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น

กิจกรรมนี้มุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านวัฒนธรรมล้านนา โดยจัดตั้งฐานเรียนรู้สองฐาน ดังนี้:

  • ฐานเรียนรู้ที่ 1: เครื่องสักการะล้านนา (การทำกรวยดอกไม้)
    นำโดยนายยรัชสิทธิ์ แสงทอง และนายโภคิน วงค์แก้ว นักศึกษาแขนงการจัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผู้เข้าร่วมกว่า 50 คน ซึ่งรวมถึงเด็กและเยาวชนจากโรงเรียนแม่ยาววิทยา ได้เรียนรู้การประดิษฐ์กรวยดอกไม้ หรือ “สรวยดอก” ซึ่งเป็นเครื่องสักการะที่ใช้ในพิธีกรรมทางพุทธศาสนาและประเพณีล้านนา
  • ฐานเรียนรู้ที่ 2: การตัดตุงล้านนา
    นำโดยนายวุฒิพงศ์ วรรณคำ และนายณัฐนนท์ ขัติกันทา นักศึกษาแขนงเดียวกัน ภายใต้การควบคุมของผู้ช่วยศาสตราจารย์นครินทร์ น้ำใจดี ประธานแขนงวิชาการจัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรม ผู้เข้าร่วมได้ฝึกการตัด “ตุงไส้หมู” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองและความเชื่อในวัฒนธรรมล้านนา

กิจกรรมทั้งสองฐานนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจถึงความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของชุมชน โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง

กิจกรรมเสวนา “ลิลิตพายัพรำลึก”

ในช่วงบ่ายเวลา 13.00 น. ได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “ลิลิตพายัพรำลึกครบรอบ 120 ปี รัชกาลที่ 6 และ 100 ปี รัชกาลที่ 7 เสด็จประพาสโบราณสถานถ้ำพระ” เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์และเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดงานเฉลิมฉลองในช่วงเดือนธันวาคม 2568 ถึงมกราคม 2569 การเสวนานี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน ได้แก่:

  • พระศิริชัย สิริชโย ประธานสำนักสงฆ์โบราณสถานถ้ำพระ
  • คุณอภิชิต ศิริชัย นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
  • นางสาวนงไฉน ทะรักษา นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่
  • นายปรัตถกร การเร็ว กำนันตำบลแม่ยาว
  • นายเดช จิ่งมาดา สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • นางสาวธณิกานต์ วรธรรมานนท์ หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน

การเสวนานี้เริ่มต้นด้วยการกล่าวเปิดโดยอาจารย์นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง และดำเนินรายการโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุภาพร เตวิยะ ผู้อำนวยการสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผู้ร่วมเสวนาได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความสำคัญของถ้ำพระในมิติประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม รวมถึงแนวทางการอนุรักษ์เพื่อส่งต่อมรดกนี้สู่คนรุ่นหลัง

งานนี้ได้รับการสนับสนุนด้านอาหารและเครื่องดื่มจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM) ซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นของภาคเอกชนในการส่งเสริมความยั่งยืนทางวัฒนธรรม โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้นกว่า 200 คน รวมถึงพระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และนางธนัญญา เชิดโฉม รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย

การเชื่อมโยงชุมชนสู่ความยั่งยืนทางวัฒนธรรม

กิจกรรมในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ประสบความสำเร็จอย่างมากในการบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยสามารถจุดประกายความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชน เด็ก และเยาวชนเกี่ยวกับความสำคัญของมรดกวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การลงมือปฏิบัติในฐานเรียนรู้ เช่น การทำกรวยดอกไม้และตัดตุงล้านนา ช่วยให้เยาวชนจากโรงเรียนแม่ยาววิทยาได้สัมผัสถึงคุณค่าของภูมิปัญญาดั้งเดิม ขณะที่การเสวนา “ลิลิตพายัพรำลึก” ได้สร้างความเข้าใจในมิติประวัติศาสตร์ของถ้ำพระ และวางรากฐานสำหรับการจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ในอนาคต

การมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเฉพาะผู้นำท้องถิ่นอย่างกำนันและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แสดงถึงความเข้มแข็งของเครือข่ายชุมชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม การสนับสนุนจากภาคเอกชนอย่างซีพี ออลล์ และซีพีแรม ยังเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดงานและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน

นอกจากนี้ การจัดงานในครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมสำหรับการเฉลิมฉลองวาระสำคัญในอนาคต โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้วางแผนจัดงานรำลึกครบรอบ 120 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 6 ในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 และครบรอบ 100 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 7 ในวันที่ 18 มกราคม 2569 ซึ่งจะเป็นโอกาสในการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและส่งเสริมถ้ำพระให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น

ผลลัพธ์และความท้าทายของการอนุรักษ์วัฒนธรรม

ผลลัพธ์ของงานประเพณีสรงน้ำพระโบราณสถานถ้ำพระและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 สามารถวิเคราะห์ได้ในหลายมิติ:

การถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น

การจัดฐานเรียนรู้การทำกรวยดอกไม้และตัดตุงล้านนาเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดเยาวชนให้มีส่วนร่วม การลงมือปฏิบัติช่วยให้ผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความผูกพันกับวัฒนธรรมท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เข้าร่วมในฐานเรียนรู้ (มากกว่า 50 คน) ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในพื้นที่ แสดงถึงความจำเป็นในการขยายการประชาสัมพันธ์และเพิ่มโอกาสให้เยาวชนจากโรงเรียนอื่นๆ เข้าร่วมในอนาคต

การรำลึกประวัติศาสตร์

การเสวนา “ลิลิตพายัพรำลึก” เป็นเวทีที่ทรงพลังในการเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน การนำวิทยากรจากหลากหลายสาขา เช่น นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี และผู้นำชุมชน ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมองที่หลากหลายและครอบคลุม ผลจากการเสวนานี้ไม่เพียงสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของถ้ำพระในฐานะโบราณสถาน แต่ยังวางรากฐานสำหรับการจัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงข้อมูลประวัติศาสตร์ของถ้ำพระในวงกว้างยังคงจำกัด เนื่องจากเอกสารอย่าง “ลิลิตพายัพ” อาจไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนทั่วไป

ความร่วมมือระหว่างภาคส่วน

ความสำเร็จของงานนี้เกิดจากการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สำนักสงฆ์โบราณสถานถ้ำพระ และภาคเอกชนอย่างซีพี ออลล์ และซีพีแรม การสนับสนุนด้านอาหารและเครื่องดื่มจากภาคเอกชนช่วยลดภาระด้านงบประมาณและเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้เข้าร่วม อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอกอาจเป็นความท้าทายในระยะยาว หากไม่มีการวางแผนด้านงบประมาณที่ยั่งยืน

ความท้าทายในการอนุรักษ์

แม้ว่ากิจกรรมจะประสบความสำเร็จในการสร้างความตระหนักรู้ แต่การอนุรักษ์วัฒนธรรมในระยะยาวยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่:

  • การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต: เยาวชนในยุคดิจิทัลอาจไม่เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่นหากไม่มีการเชื่อมโยงกับบริบทสมัยใหม่ เช่น การใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อประชาสัมพันธ์
  • ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การจัดงานขนาดใหญ่ เช่น การเฉลิมฉลองในปี 2568-2569 อาจต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งด้านงบประมาณและบุคลากร
  • การเข้าถึงชุมชนที่กว้างขึ้น: การมีส่วนร่วมของชุมชนในตำบลอื่นๆ หรือจังหวัดใกล้เคียงยังคงจำกัด ซึ่งอาจลดผลกระทบของโครงการในระดับภูมิภาค

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายควรพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้:

  • การใช้เทคโนโลยี: สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น วิดีโอสอนการทำกรวยดอกไม้ หรือแอปพลิเคชันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ถ้ำพระ เพื่อดึงดูดเยาวชน
  • การขยายเครือข่าย: เชิญชวนโรงเรียนและชุมชนจากพื้นที่อื่นๆ เข้าร่วม เพื่อเพิ่มการรับรู้ในวงกว้าง
  • การสร้างแรงจูงใจ: จัดตั้งรางวัลหรือโครงการแข่งขันด้านวัฒนธรรมสำหรับเยาวชน เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำเร็จและบริบทของการอนุรักษ์วัฒนธรรมในงานประเพณีสรงน้ำพระโบราณสถานถ้ำพระ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนผู้เข้าร่วม:
    • ผู้เข้าร่วมทั้งหมด: มากกว่า 200 คน
    • ผู้เข้าร่วมฐานเรียนรู้การทำกรวยดอกไม้และตัดตุงล้านนา: มากกว่า 50 คน (ส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนจากโรงเรียนแม่ยาววิทยา)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2568). รายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นและมรดกภูมิปัญญา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
  2. การสนับสนุนจากภาคเอกชน:
    • น้ำดื่มและขนมจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
    • อาหารปรุงสุกพร้อมรับประทานจากบริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM)
    • แหล่งอ้างอิง: รายงานการประชาสัมพันธ์กิจกรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (2568)
  3. ความสำคัญของถ้ำพระ:
    • ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524
    • เป็นสถานที่เสด็จประพาสของรัชกาลที่ 6 (พ.ศ. 2448) และรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2469)
    • แหล่งอ้างอิง: กรมศิลปากร (2568). รายงานโบราณสถานจังหวัดเชียงราย
  4. การมีส่วนร่วมของเยาวชนในกิจกรรมวัฒนธรรม:
    • จำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย ปี 2567: ประมาณ 1,500 คน
    • จำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมในปี 2568 (คาดการณ์): เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนหน้า
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (2568). สถิติการมีส่วนร่วมของเยาวชนในกิจกรรมวัฒนธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักสงฆ์โบราณสถานถ้ำพระ
  • สำนักศิลปะและวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • กรมศิลปากร
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“พิสันต์” วัฒนธรรมเชียงราย ชวนหิ้วปิ่นโต กินข้าวรักษ์โลก

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” รณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติก หันมาใช้ภาชนะย่อยสลายได้ ตามแนวนโยบายสิ่งแวดล้อมของจังหวัด

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมเชียงรายรวมพลัง “หิ้วปิ่นโต–ลดพลาสติก” สู่การเปลี่ยนพฤติกรรมยั่งยืน

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” ณ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำกล่าวเปิดกิจกรรม พร้อมเชิญชวนบุคลากรในสำนักงานร่วมกัน “ไม่ใช้ถุงพลาสติก” และ “หิ้วปิ่นโต” หรือภาชนะที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ที่มุ่งสู่ “เชียงรายสีเขียว” ด้วยแนวทางลดขยะต้นทางผ่านการเปลี่ยนพฤติกรรมของหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในทุกระดับ

จุดเริ่มต้นของแนวคิด “ข้าวห่อรักษ์โลก”

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” ในครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การเชิญชวนให้บุคลากรเลิกใช้ถุงพลาสติก แต่เป็นการส่งเสริม “วัฒนธรรมการกินอย่างยั่งยืน” โดยผนวกแนวคิดด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ผ่านการรับประทานอาหารกลางวันในรูปแบบที่ลดการสร้างขยะ พร้อมทั้งเป็นต้นแบบให้หน่วยงานราชการอื่นๆ นำไปปรับใช้

เขาระบุว่า “ข้าวห่อรักษ์โลก คือกิจกรรมเล็กๆ ที่สร้างพลังเปลี่ยนแปลงได้อย่างยิ่งใหญ่ เราต้องเริ่มจากตัวเองก่อนที่จะขยายไปสู่สังคมโดยรวม”

ภาชนะย่อยสลายได้–ปิ่นโต–ใบตอง แทนถุงพลาสติก

ในกิจกรรมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่แต่ละคนได้นำอาหารที่เตรียมมาเอง บรรจุในภาชนะที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เช่น ปิ่นโต กล่องอาหารแบบปลอดสาร ภาชนะไม้ไผ่ และแม้กระทั่งใบตอง ซึ่งเป็นวัสดุพื้นถิ่นของล้านนา โดยเน้นแนวทาง “Zero Waste Lunch” หรืออาหารกลางวันที่ไม่ก่อให้เกิดขยะพลาสติกและโฟมแม้แต่ชิ้นเดียว

การลดการใช้ถุงพลาสติกไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องจัดการเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตและทำลายถุงพลาสติก รวมถึงลดการสะสมของขยะในแหล่งธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ป่าไม้ และพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของจังหวัดเชียงราย

ผลกระทบของพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ควรมองข้าม

จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีการใช้ถุงพลาสติกมากกว่า 45,000 ล้านใบ โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจร้านสะดวกซื้อและแผงอาหารริมทาง ขณะที่อัตราการย่อยสลายของพลาสติกใช้เวลา 400-1,000 ปี ทำให้พลาสติกจำนวนมากกลายเป็น “ขยะตกค้าง” ในสิ่งแวดล้อม และส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทั้งบกและทะเล

โดยจังหวัดเชียงรายมีปริมาณขยะมูลฝอยเฉลี่ยประมาณ 0.96 กิโลกรัม/คน/วัน ซึ่งหากจำแนกประเภทขยะพบว่ามี “ขยะพลาสติก” อยู่ในสัดส่วนกว่า 17.3% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากบรรจุภัณฑ์อาหารและถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียว【ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 เชียงใหม่】

ขยายผลสู่แผนรณรงค์ระยะยาว

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เตรียมขยายกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” ไปยังเครือข่ายวัฒนธรรมตำบล หน่วยงานวัฒนธรรมอำเภอ และสถานศึกษาในพื้นที่ พร้อมส่งเสริมกิจกรรม “อิ่มพอดี–ลดขยะ–คืนชีวิตให้โลก” โดยมีเป้าหมายลดปริมาณขยะจากพลาสติกลงอย่างน้อย 20% ภายในปี 2570

นอกจากนี้ ยังวางแผนพัฒนาคู่มือกิจกรรมรักษ์โลกในบริบทวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่สู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนต่างๆ โดยตั้งเป้าให้ทุกหน่วยงานสามารถนำไปจัดกิจกรรมได้ด้วยตนเอง

ชการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต้องเริ่มที่ “แบบอย่าง”

กิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก” แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้คนในเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการใหญ่ แต่สามารถเริ่มจากกิจกรรมในระดับหน่วยงาน ที่สะท้อนเจตนารมณ์และแบบอย่างที่ดี

ในทางจิตวิทยาสังคม การเห็นผู้อื่นทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” ซ้ำๆ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในทางบวก ยิ่งผู้ปฏิบัติคือบุคลากรภาครัฐที่มีบทบาทในชุมชน ก็ยิ่งส่งผลให้ประชาชนเกิดแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน

สถิติและข้อมูลประกอบ

ประเภทข้อมูล

ตัวเลข/รายละเอียด

จำนวนถุงพลาสติกที่ใช้ในไทย

> 45,000 ล้านใบ/ปี

อัตราการย่อยสลายของพลาสติก

400–1,000 ปี

ปริมาณขยะมูลฝอยเฉลี่ย จ.เชียงราย

0.96 กก./คน/วัน

สัดส่วนขยะพลาสติก

17.3%

เป้าหมายลดขยะพลาสติก จ.เชียงราย

-20% ภายในปี 2570

จำนวนเจ้าหน้าที่ร่วมกิจกรรม “ข้าวห่อรักษ์โลก”

30 คน (เบื้องต้น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (13 พฤษภาคม 2568)
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 เชียงใหม่
  • ข้อมูลสนับสนุนจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2566)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วัดขัวแคร่จัดตักบาตรใหญ่ เนื่องในวันวิสาขบูชา 2568

วัดขัวแคร่ จ.เชียงราย จัดพิธีทำบุญตักบาตรวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนร่วมแน่นวัด

จัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ พุทธศาสนิกชนเชียงรายร่วมใจตักบาตรวันวิสาขบูชา

เชียงราย,11 พฤษภาคม 2568 – เวลา 06.30 น. ณ วัดขัวแคร่ ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย วัดขัวแคร่ได้ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และคณะศรัทธาประชาชน จัดกิจกรรมสำคัญเนื่องในวันวิสาขบูชา ประจำปีพุทธศักราช 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนชาวเชียงราย ได้มีส่วนร่วมในการทำบุญตักบาตร น้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย อันประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

กิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นอย่างสมเกียรติ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ และประชาชนชาวเชียงรายที่มีจิตศรัทธาเข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบ เรียบง่าย และเป็นระเบียบเรียบร้อยตามแบบแผนประเพณีทางพุทธศาสนา

พิธีเปิดกิจกรรมอย่างเป็นทางการโดยพระอธิการเสกสรร สุทธสนโธ

ภายในงานมี พระอธิการเสกสรร สุทธสนโธ เจ้าอาวาสวัดขัวแคร่ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรจากวัดต่างๆ ในเขตอำเภอเมืองเชียงราย รวมจำนวนกว่า 50 รูป ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง และฟังธรรมเทศนา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา ตามหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน

สำนักงานวัฒนธรรมเชียงรายร่วมกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม

สำหรับในส่วนของหน่วยงานราชการที่เข้าร่วมพิธี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย นางพรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงบุคลากรของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายอีกหลายท่าน เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง โดยเน้นย้ำว่ากิจกรรมครั้งนี้เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของสำนักงานวัฒนธรรม ที่ต้องการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีทางพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่ชาวเชียงรายสืบไป

ประชาชนร่วมพิธีด้วยจิตศรัทธาแน่นวัด

ในการจัดกิจกรรมวันวิสาขบูชาในปีนี้ พบว่าประชาชนได้เดินทางมาร่วมพิธีอย่างคับคั่งตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งผู้สูงอายุ วัยรุ่น และเด็กนักเรียน ต่างมาร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม และร่วมกิจกรรมเวียนเทียน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพุทธศาสนาในพื้นที่เชียงราย ที่สามารถเชื่อมโยงทุกเพศทุกวัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างเหนียวแน่น

ทั้งนี้ พระอธิการเสกสรร สุทธสนโธ เจ้าอาวาสวัดขัวแคร่ ยังได้ให้โอวาทแก่พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงาน โดยเน้นย้ำให้ทุกคนนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการรักษาศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการดำรงชีวิตให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขและสงบสุข

กิจกรรมสำคัญทางพระพุทธศาสนา และบทบาทของสังคมเชียงราย

วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยมีความสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันเดียวกัน พุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและหลักธรรมคำสอนของพระองค์ ซึ่งในจังหวัดเชียงราย ได้จัดกิจกรรมขึ้นทุกปี และพบว่าประชาชนมีแนวโน้มเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาเพิ่มขึ้นทุกปี สะท้อนถึงความสำเร็จในการส่งเสริมและอนุรักษ์ศาสนาและวัฒนธรรมในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

บทวิเคราะห์และจุดที่น่าสังเกต

จากกิจกรรมครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของวัดและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ในการสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมในระดับบุคคลแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีและความเข้มแข็งในชุมชนท้องถิ่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบทบาทของเยาวชนรุ่นใหม่ที่เข้ามามีส่วนร่วมในพิธีอย่างกระตือรือร้น เป็นสัญญาณที่ดีในการส่งต่อประเพณีและคุณค่าทางวัฒนธรรมแก่คนรุ่นต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้องในการเข้าร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนา

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า ประชาชนชาวไทยเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-10% โดยเฉพาะกิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา มีผู้เข้าร่วมทั่วประเทศกว่า 12 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงานสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567

  • อัมพิกา จิณะเสน

  • นายอภิชาต กันธิยะเขียว

  • นางวนิดาพร ธิวงศ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘พิสันต์’ ดันภาพปิดทอง สินค้าศาสนาระดับจังหวัดเชียงราย

เชียงรายเดินหน้ายกระดับผลิตภัณฑ์ศาสนา “ภาพเทคนิคการปิดทอง” หวังปั้นสินค้าระดับจังหวัด สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 24 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทางการยกระดับและพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ในมิติศาสนาให้เป็นสินค้าระดับจังหวัด ภายใต้โครงการพลังบวรในมิติศาสนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” ของชุมชนคุณธรรมพลังบวรวัดดงชัย ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่

เวทีประชุมบูรณาการรัฐ–ศาสนา–ชุมชน

การประชุมจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมวัดดงชัย โดยได้รับความเมตตาจากพระครูวิสิฐวรนารถ เจ้าคณะอำเภอเวียงเชียงรุ้ง และเจ้าอาวาสวัดดงชัย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา และผู้นำชุมชน เข้าร่วมประชุมเพื่อร่วมกันวางแนวทางและกำหนดบทบาทของแต่ละหน่วยงานในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์เชิงศาสนาให้เกิดความยั่งยืน

ภาพเทคนิคการปิดทอง – อัตลักษณ์ทางศิลป์ควบศรัทธา

ผลิตภัณฑ์ภาพเทคนิคการปิดทอง ถือเป็นศิลปกรรมพื้นถิ่นที่ผสมผสานศรัทธาในพระพุทธศาสนาเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งชุมชนวัดดงชัยมีการสืบทอดมาช้านาน โดยเฉพาะในรูปแบบของการวาดภาพพระพุทธเจ้า เทวดา และสัญลักษณ์มงคลต่าง ๆ ประดับตกแต่งวัด รวมถึงการจัดทำเป็นของที่ระลึกและงานประณีตศิลป์เพื่อใช้ในงานบุญ งานประเพณี และงานพิธีกรรมทางศาสนา

ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายจึงได้เสนอแนวทางผลักดันให้ผลิตภัณฑ์นี้ก้าวสู่การเป็น “สินค้าระดับจังหวัด” ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม และสามารถต่อยอดเชิงเศรษฐกิจให้กับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

หน่วยงานภาครัฐหนุนหลัง สนับสนุนงบ–องค์ความรู้

กรมการศาสนาได้จัดสรรงบประมาณภายใต้โครงการพลังบวรในมิติศาสนา เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัย และสามารถเข้าถึงตลาดระดับจังหวัดหรือระดับประเทศได้ โดยมีแผนการอบรมเชิงปฏิบัติการแก่กลุ่มช่างในพื้นที่ พร้อมกับส่งเสริมการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ และเชื่อมโยงกับช่องทางการตลาดออนไลน์และออฟไลน์ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมสนับสนุน อาทิ

  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ดำเนินการเชื่อมโยงกลุ่มผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบ OTOP
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย สนับสนุนการวิเคราะห์ตลาดและแผนกลยุทธ์การขาย
  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ส่งเสริมการบูรณาการผลิตภัณฑ์เข้ากับเส้นทางท่องเที่ยววัฒนธรรม
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดและองค์การบริหารส่วนตำบล เตรียมจัดสรรงบประมาณสนับสนุนงานฝึกอบรมและการพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิต

โรงเรียนในพื้นที่ร่วมขับเคลื่อนการเรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจสู่เยาวชน

ในการประชุมครั้งนี้ ยังมีการนำเสนอแผนความร่วมมือกับโรงเรียนบ้านทุ่งก่อ (ใจประชานุเคราะห์) และโรงเรียนวัดดงชัยพิทยา เพื่อบูรณาการองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมเข้ากับหลักสูตรท้องถิ่น โดยจัดกิจกรรมฝึกอบรมศิลปะการปิดทองให้แก่เยาวชน เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และอาจต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคต

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุน
มองว่าโครงการนี้เป็นต้นแบบของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากโดยใช้วัฒนธรรมเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่เพียงแต่ช่วยอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ยังสามารถสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมบทบาทของวัดในฐานะศูนย์กลางการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทาง “บวร” คือ บ้าน–วัด–โรงเรียน

ฝ่ายตั้งข้อสังเกต
มีความเห็นว่าแม้แนวคิดการต่อยอดศิลปวัฒนธรรมสู่สินค้าเชิงพาณิชย์จะน่าสนใจ แต่ยังต้องคำนึงถึงการรักษาความศักดิ์สิทธิ์และคุณค่าทางจิตใจของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการจำหน่ายสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ ควรมีมาตรฐานกำกับดูแลไม่ให้ผลิตภัณฑ์เชิงศาสนาถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม หรือขาดความเคารพต่อความเชื่อของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต ณ วันที่ 24 มีนาคม 2568)

  • จำนวนผลิตภัณฑ์ “ภาพเทคนิคการปิดทอง” ที่มีอยู่ในชุมชน: 57 ชิ้น (สำรวจโดยสำนักงานวัฒนธรรมฯ)
  • กลุ่มช่างศิลป์ในชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ: 12 คน
  • จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมฝึกอบรมเบื้องต้น: 38 คน จาก 2 โรงเรียน
  • งบประมาณสนับสนุนจากกรมการศาสนา: 240,000 บาท
  • เป้าหมายยอดผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจำหน่ายในปี 2568: 150 ชิ้น
  • เป้าหมายการยกระดับสู่ OTOP ระดับจังหวัด: ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • รายงานการประชุมวันที่ 24 มีนาคม 2568 ณ วัดดงชัย
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ชมผ้าไทยล้านนา ‘อัตลักษณ์อาภรณ์ฯ’ โชว์ Soft Power เชียงราย

ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย

วันที่ 19 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดงาน อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย 2568” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนากิจกรรมและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และกิจกรรมหลักด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ประกอบการภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

มรดกผ้าทอเชียงราย: จากภูมิปัญญาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 มีนาคม 2568 โดยมีเป้าหมายหลักในการ อนุรักษ์และส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย ต่อยอดสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น สอดคล้องกับนโยบายผลักดัน Soft Power ไทยสู่ระดับโลก โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ ที่ยูเนสโกยกย่องให้เชียงรายเป็น เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” (City of Design)

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า งานนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมทุนทางวัฒนธรรม และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์อย่างครบวงจร กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย:

  • การแสดงแบบแฟชั่นโชว์ นำเสนอชุดจากผ้าไทย ผ้าถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ และผ้าอัตลักษณ์
  • นิทรรศการและสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านการทอผ้าและการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
  • บูธแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ อาทิ ผ้าทอ เครื่องประดับ ของฝาก และของที่ระลึก
  • การประกวดออกแบบแฟชั่น ซึ่งได้รับผลงานเข้าร่วมจากนักออกแบบรุ่นใหม่ 15 ผลงาน

อบจ.เชียงรายร่วมส่งเสริม Soft Power ผ่านวัฒนธรรมผ้าไทย

เวลา 18.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมงาน โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน และ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานการจัดงาน ณ ลานจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย

การจัดงานครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ สืบสานและส่งต่อมรดกทางภูมิปัญญาการทอผ้าเชียงรายให้คงอยู่ และเผยแพร่อัตลักษณ์การสร้างสรรค์เสื้อผ้าอาภรณ์ของเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยเน้นการนำผ้าไทยมาพัฒนาให้สอดคล้องกับแฟชั่นสมัยใหม่ ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ความสำคัญของอุตสาหกรรมผ้าไทยต่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

อุตสาหกรรมผ้าไทยถือเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่มีศักยภาพของประเทศไทย โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า:

  • ตลาดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยสร้างมูลค่า กว่า 280,000 ล้านบาทต่อปี
  • ร้อยละ 60 ของผู้ผลิตผ้าไทยเป็นผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น
  • ผ้าไทยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดส่งออก ได้แก่ ผ้าไหม ผ้าฝ้ายทอมือ และผ้าชาติพันธุ์
  • อุตสาหกรรมผ้าไทยจ้างงานมากกว่า 500,000 คนทั่วประเทศ

สรุป

การจัดงาน อัตลักษณ์อาภรณ์นครเชียงราย 2568” ไม่เพียงแต่เป็นเวทีสำคัญในการอนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าพื้นเมือง แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และส่งเสริม Soft Power ของประเทศไทยผ่านการออกแบบและสิ่งทอ งานนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับชุมชนท้องถิ่นและนักออกแบบรุ่นใหม่ในการนำเสนอผลงานสู่ตลาดที่กว้างขึ้น พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมแฟชั่นไทยมีความเข้มแข็ง และสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้

ผ้าไทยคือมรดกทางวัฒนธรรม สืบสาน ต่อยอด สู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ระดับโลก”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย /สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 /สำนักงานวัฒนธรรมเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘พิสันต์’ รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชนยลวิถี” 4 ปีติดต่อกัน

 

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 เวลา 09.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานมอบนโยบายการขับเคลื่อน “เศรษฐกิจวัฒนธรรม เพื่อการพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน” ภายใต้โครงการ “22 ปี กระทรวงวัฒนธรรม นำคุณค่า พัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมให้กับบุคลากรในหน่วยงานด้านวัฒนธรรมทั่วประเทศ พร้อมยกระดับการขับเคลื่อนวัฒนธรรมไปสู่การพัฒนาชุมชนและประเทศชาติอย่างยั่งยืน โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงวัฒนธรรมจังหวัด 76 จังหวัด และสภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมรับฟังอย่างพร้อมเพรียง

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวในพิธีเปิดว่า การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจวัฒนธรรมเป็นก้าวสำคัญที่จะนำคุณค่าของศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคเอกชน รวมถึงการสานต่อโครงการต่าง ๆ ที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

ในงานดังกล่าว นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้บรรยายในหัวข้อ “การขับเคลื่อนวัฒนธรรมสู่พลังแห่งอนาคต” ซึ่งเน้นย้ำถึงบทบาทของวัฒนธรรมในฐานะเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของวัฒนธรรมในชุมชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้แก่ กรมการศาสนา กรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้ร่วมบรรยาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

เปิดงาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” สร้างสรรค์มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

 

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 มีการเปิดงาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” (Thai Taste Thai Fest 2024) โดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และนายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม งานนี้จัดขึ้นที่ Royal Park Plaza ชั้น 1 ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค กรุงเทพฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและยกระดับอาหารไทยท้องถิ่นและมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าของประเทศ

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ได้มอบเกียรติบัตรให้แก่จังหวัดที่ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจำนวน 18 รายการจาก 15 จังหวัด นอกจากนี้ยังมีการมอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ในการรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจำนวน 23 ราย และมอบเกียรติบัตรให้กับผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ประจำปี 2567 จำนวน 76 จังหวัดรวมถึงกรุงเทพมหานคร

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมว่าเป็นอัตลักษณ์ที่สะท้อนตัวตนของชาติ โดยมีมิติที่ครอบคลุมทั้งด้านวรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา ศิลปะการแสดง พิธีกรรม ประเพณี ทักษะงานช่างฝีมือดั้งเดิม และอื่นๆ ที่ถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่สำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ

งานนี้ยังมีการนำเสนอเมนูอาหารท้องถิ่นที่หายากจากแต่ละจังหวัด และการสาธิตทางวัฒนธรรม เช่น การปักชุดไทย การแกะสลัก การทอผ้า และการเขียนเทียนบนผ้าม้ง นอกจากนี้ยังมีการแสดงพื้นบ้านจาก 4 ภูมิภาค ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20-22 กันยายน 2567 เพื่อสร้างบรรยากาศและความบันเทิงให้กับผู้เข้าร่วมงาน

ภายในงานยังมีการสาธิตคอสเพลย์เยอร์ภายใต้ธีม “4 COS คอสเพลย์ 4 ภาค ไทยแลนด์” ที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งเสวนาเกี่ยวกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยการนำเสนอแนวคิด Soft Power ที่ใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการนำเสนอเมนูอาหารท้องถิ่นจาก 77 จังหวัด เช่น แกงส้มใบสันดานจากจันทบุรี แกงอีเหี่ยวจากเพชรบูรณ์ ยำไก่ผีปู่ย่าจากสุโขทัย และเมนูแกงแคกุ้ง ถือเป็นเมนูที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของชาวภาคเหนือ โดย พิสันต์ จันทรศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ให้ข้อมูลว่า แกงแคเป็นอาหารที่ประกอบไปด้วยผักหลากหลายชนิด ผสมกับเนื้อสัตว์ตามที่หาได้ เช่น กุ้งฝอย ไก่ กบ หรือปลาแห้ง ผักที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นผักพื้นบ้าน เช่น ผักตำลึง ชะอม ใบชะพลู ผักชีฝรั่ง และเห็ดลม การทำแกงแคกุ้งในอดีตนั้นเกิดจากการเก็บกุ้ง ปลาเล็ก และผักพื้นบ้านตามท้องไร่ท้องนา เพื่อปรับสมดุลของร่างกายและตอบสนองตามฤดูกาล

งาน “ไทยฟุ้ง ปรุงไทย” ครั้งนี้ถือเป็นงานที่มีความสำคัญในการส่งเสริมมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ และยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

วธ. รวมใจ 5 ศาสนา ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ จ.เชียงราย

 

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2566 เวลา 08.00 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานพิธีมอบเครื่องสมณบริขาร เครื่องอุปโภคบริโภค และของใช้ที่จําเป็น ช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย โดยนําเครื่องสมณบริขาร เครื่องอุปโภค-บริโภค มอบให้แก่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจังหวัด เชียงราย จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ วัดพรหมวิหาร อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดย พระครูวิสุทธิธรรมภาณี เจ้าคณะอําเภอแม่สาย เจ้าอาวาสวัดวิเชตร์มณี เพื่อนําไปถวายให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณรท่ีได้รับความเดือดร้อน และสํานักงาน วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย อําเภอเมือง มอบให้ศาสนิกชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมในพ้ืนที่ ณ จังหวัดเชียงราย โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอ่ียม อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวง วัฒนธรรม พร้อมด้วย ผู้แทนองค์การทางศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาซิกข์ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม

 

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากที่ อ.แม่สาย และอีกหลายอำเภอ ในพื้นที่ จ.เชียงราย ทําให้บ้านเรือนพี่น้องประชาชน สถานที่ราชการ หน่วยงานต่าง ๆ สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และศาสนสถานหลายแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ร่วมกับ ดร. สมศักดิ์ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล วัดและองค์กรเครือข่ายทางศาสนา 5 ศาสนา ประกอบด้วย องค์การทางศาสนา ทั้ง 15 องค์การ ได้แก่ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) พุทธสมาคมแห่ง ประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ฯ สำนักจุฬาราชมนตรี สภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย สภาคริสตจักรในประเทศไทย สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์ มูลนิธิคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสแห่งประเทศไทย สำนักพราหมณ์พระราชครู ในสำนักพระราชวัง สมาคมฮินดูสมาช สมาคมฮินดูธรรมสภา สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา สมาคมนามธารีสังคัตแห่งประเทศไทย วัดชินวราราม วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก วัดวชิรธรรมสาธิต วัดหัวลำโพง วัดบำเพ็ญเหนือ วัดลาดปลาเค้า วัดคลองเตยนอก วัดเวฬุวนาราม วัดบรมสถล วัดโพธิ์ลอย วัดเทพสรธรรมาราม วัดสะพาน มูลนิธิวัดพระศรีมหาอุมาเทวี วิทยาลัยเทคโนโลยีตั้งตรงจิตรพณิชยการ บริษัท มาดามฟิน จำกัด และมูลพิธิพุทธไธสวรรย์ อยุธยา จัดพิธีมอบสมณบริขาร เครื่องอุปโภคบริโภค และของใช้ที่จำเป็น เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนแก่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ผู้นำ ศาสนา และศาสนิกชนผู้ประสบภัย เป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยและเอื้ออาทรต่อกัน ถึงแม้อยู่ต่างพื้นที่ ต่างศาสนา หรือ ต่างความเชื่อในฐานะพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกัน

ทั้งนี้ จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า ศาสนสถานในพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้รับ ผลกระทบอย่างหนัก กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ได้นำเครื่องสมณบริขาร จำนวน 200 ชุด ประกอบด้วย ผ้าไตร จีวร ผ้าห่ม ผ้าขนหนู อังสะไหมพรม ถุงเท้า ย่าม และสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น ประกอบด้วย ข้าวสาร จำนวน 3,000 ถุง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จำนวน 500 ลัง อาหารกระป๋อง จำนวน 6,000 กระป๋อง น้ำดื่ม ไฟฉาย ยาสามัญประจำบ้าน เครื่องอุปโภคบริโภค และเสื้อผ้า ไปช่วยเหลือในครั้งนี้ เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติในเบื้องต้นอีกด้วย

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า การจัดพิธีมอบเครื่องสมณบริขาร เครื่องอุปโภคบริโภค และ ของใช้ที่จำเป็น ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงรายครั้งนี้แสดงถึงความห่วงใยของภาครัฐ องค์การทางศาสนา ทุกศาสนา และองค์กรเครือข่ายภาคเอกชนที่มีต่อประชาชนชาวไทย ซึ่งที่ผ่านมา องค์การทางศาสนาต่าง ๆ ในสังคม พหุวัฒนธรรม ได้ร่วมกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งหวังที่จะบรรเทาความเดือดร้อนให้กับ ศาสนิกชน เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างหน่วยงานของรัฐและ ศาสนิกชนทุกศาสนา ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมแก่ประชาชน บนพื้นฐาน

 

หลักธรรมทางศาสนา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นการสร้างความรัก ความสามัคคีในสังคมไทย โดยทุกองค์การ ศาสนาในประเทศไทยต้องร่วมกันสร้างสังคม แห่งความเอื้ออาทร มีน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่งเสริมให้ศาสนิกชนนำ หลักธรรมทางศาสนาไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ศาสนิกชนเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ร่วมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนต่าง ศาสนา ทำให้ประเทศมีความสงบร่มเย็นในมิติศาสนาอย่างยั่งยืนสืบไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News