Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เชียงรายปั้น “แพลตฟอร์มกลาง” แก้วิกฤตภัยพิบัติ เชื่อมข้อมูล-อาสาฯ ไม่ซ้ำซ้อน

เชียงรายยกระดับ “ระบบกู้ภัยอัจฉริยะ” ใช้แผนที่–ข้อมูล–อาสาสมัคร เชื่อมรัฐกับประชาชน หลังบทเรียนอุทกภัย 2567 เดินหน้าปั้น “แพลตฟอร์มกลางจังหวัด” รับมือภัยพิบัติครบวงจร

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 — 2–3 ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติในภาคเหนือมีทั้งความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ “น้ำหลากปนโคลน” ที่เกิดจากปัจจัยร่วมของฝนตกหนัก น้ำท่า และน้ำหนุน ทำให้รูปแบบความเสียหายต่างจากน้ำท่วมเมืองแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญ บทเรียนใหญ่ของเชียงรายในเดือนกันยายน 2567 จึงไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องมือกู้ภัยหรืองบเยียวยา แต่คือ “ข้อมูลที่เชื่อมถึงกัน” เพื่อให้คน–หน่วยงาน–ทรัพยากร พบกันได้รวดเร็ว ถูกจุด และไม่ซ้ำซ้อน ข่าวนี้ชี้ให้เห็น 3 ประเด็นหลักที่น่าจับตา: (1) ปัญหาเรื้อรังด้านข้อมูลภาคสนามเมื่อเกิดเหตุ (2) การลุกขึ้นมาสร้างระบบร่วมระหว่างภาครัฐ–มูลนิธิ–แพลตฟอร์มภาคประชาชน และ (3) วิสัยทัศน์ “แพลตฟอร์มกลางของจังหวัด” ที่ตั้งเป้าให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งก่อน–ระหว่าง–หลังภัยพิบัติ หากเชียงรายทำสำเร็จ โมเดลนี้จะต่อยอดสู่จังหวัดอื่นได้ไม่ยาก

เสียงสนทนาแน่นขนัดใน “ห้องประชุมสักทอง” โรงแรม Teak Garden Spa Resort เมืองเชียงราย บ่ายวานนี้สะท้อนความจริงว่า การรับมือภัยพิบัติยุคใหม่ต้องพึ่ง “ข้อมูลที่ดี + เทคโนโลยีที่ใช่ + อาสาสมัครที่พร้อม” ไปพร้อมกัน การอบรมเชิงปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการกู้ภัยด้วยเทคโนโลยีด้านแผนที่และการบริหารจัดการข้อมูลในสถานการณ์ภัยพิบัติ” จัดโดย มูลนิธิกระจกเงา สำนักงานจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ จิตอาสาแคร์ (Jitasa.care) และสมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์ มีผู้ปฏิบัติงานจริงจากหลายหน่วยงานเข้าร่วม เพื่อทดลอง “ต่อท่อข้อมูล” ให้ไหลลื่นตั้งแต่ปลายน้ำ (ประชาชนผู้ขอความช่วยเหลือ) ย้อนสู่ต้นน้ำ (ศูนย์บัญชาการ) แบบไร้รอยต่อ

นางสาวประไพ เกศล ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา สำนักงานเชียงราย กล่าวต้อนรับ ก่อนที่ นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จะประกาศเปิดเวที พร้อมส่งสัญญาณความมุ่งมั่นของจังหวัดในการสร้างระบบที่ “ช่วยได้จริง” ไม่ใช่แค่ “แจ้งเตือน” แล้วหายไป

บทเรียนอุทกภัย 2567 เมื่อ “น้ำสามชนิด” มาเจอกัน และงบเยียวยามหาศาลก็ยังไม่พอ

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ย้อนภาพมหาอุทกภัยเดือนกันยายน 2567 ว่า “ครั้งนั้นไม่ใช่แค่น้ำ แต่เป็นน้ำปนโคลน—ครั้งแรกของพื้นที่” จุดเกิดเหตุไม่ได้มีแค่น้ำฝนในพื้นที่ แต่เกิดจาก สามแรงปะทะ คือ น้ำท่าในพื้นที่ + ฝนตกหนัก + น้ำหนุนจากแม่น้ำโขง พอทั้งสามซ้อนกัน “ท่วม 100% และท่วมนาน” ส่งผลให้รูปแบบความเสียหายขยับจากทรัพย์สินสู่ “สภาพแวดล้อมอยู่อาศัย” ชนิดที่บ้านหลายหลังต้องระดมคน–เครื่องมือ–เวลา เพียงเพื่อ “ตักโคลนออก” ก่อนจะซ่อมแซมอย่างอื่นได้

ภาครัฐเร่งเยียวยาอย่างกว้างขวาง—เงินโอนเยียวยาเข้าบัญชีประชาชนรวม 1,074 ล้านบาท (ไม่รวมงบซ่อมสาธารณูปโภคที่กระทรวงคมนาคมอัดเข้าไป ราว 400–500 ล้านบาท เพื่อฟื้นถนนที่เสียหาย) นอกจากนี้ยังมี “แพ็กเกจ” เฉพาะกิจหลายรายการ อาทิ

  • แพ็กเกจ 1: เงินช่วยเหลือ 9,000 บาท/ครัวเรือน สำหรับบ้านที่น้ำท่วมและเสียหาย ครอบคลุม กว่า 35,000 ครัวเรือน รวมใช้งบ กว่า 350 ล้านบาท
  • แพ็กเกจ 2: เงินช่วย 10,000 บาท/ครัวเรือน สำหรับครัวเรือนที่ต้องขนโคลนออกจากบ้าน ครอบคลุม กว่า 18,000 ครัวเรือน รวม กว่า 180 ล้านบาท
  • แพ็กเกจ 3: ช่วยซ่อมบ้าน–อุปกรณ์ทำกิน สูงสุดไม่เกิน 49,500 บาท
  • แพ็กเกจ 4: เติมเต็มส่วนที่เกินระเบียบราชการโดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) อีก 34 ล้านบาท ครอบคลุม 1,200 หลังคาเรือน
  • แพ็กเกจ 5: ภาคเกษตร–ปศุสัตว์–ประมง รวม 268 ล้านบาท
  • แพ็กเกจ 6 และ 8: เงินช่วยจากกองทุนจังหวัดสำหรับบ้านเสียหายทั้งหลัง (174 ครัวเรือน) และช่วยกลุ่มเปราะบาง

ตัวเลขมหาศาลเหล่านี้ช่วยพยุงชีวิตผู้คนให้ลุกเดินต่อ แต่ “เงินอย่างเดียว” ไม่อาจทัดทาน “เวลาช่วยเหลือที่ช้า–ข้อมูลผิดจุด–งานซ้ำซ้อน” ซึ่งคือหัวใจของความสูญเสีย “ที่ป้องกันได้” หากระบบข้อมูลดีตั้งแต่ต้น

จุดเจ็บของภารกิจข้อมูลสะเปะสะปะ พิกัดผิดซ้ำซ้อน “ทำให้คนช่วยไปไม่ถึง”

นายโจ้ จากมูลนิธิกระจกเงา เล่าตรงไปตรงมา—ทุกวิกฤตมี “ช่องว่างข้อมูล” ซ่อนอยู่เสมอ แม้ภาคสนามมีคนและอุปกรณ์พร้อม แต่หาก พิกัดบ้านไม่ชัด” ก็ยากที่ทีมกู้ภัยจะฝ่าเสี่ยงเข้าไปถึงได้ “ตอนแม่สายปีที่แล้ว ญาติ–ชาวบ้านต้องเขียนข้อมูลใส่กระดาษยื่นให้เทศบาล” ก่อนที่ทีมมูลนิธิฯ ต้องมานั่ง คีย์ชื่อกว่า 900 ราย ลง Excel แล้วโทรไล่หาพิกัดจากญาติ ใช้ Google Street View ช่วยเดา บ้านที่ ‘คุ้น’ เมื่อแห้ง แต่ ‘หลง’ เมื่อท่วม และสิ่งที่ทีมได้ยินจากหน่วยซีลที่ถูกเรียกมาช่วยคือ ถ้าข้อมูลไม่ชัด เขาจะไม่ไป”—ไม่ใช่ไม่อยากไป แต่เพราะ การเสี่ยงชีวิตต้องมี “ความชัดเจน” ค้ำประกัน

นายชูเกียรติ จันทบูรณ์ เลขานุการและหัวหน้าชุดปฏิบัติการ สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย เสริมบทเรียนจากภารกิจที่น่าน ว่าการ “ไม่มีที่รวมศูนย์รายงานตัว” ทำให้เกิด งานทับซ้อน อย่างกรณีผู้ป่วยฟอกไต—ทีมหนึ่งฝ่าเสี่ยงเอาเรือเข้าไปรับ แต่ไปถึงจุดหมายกลับพบว่า มีทีมอื่นรับตัวออกไปแล้ว เสียทั้งเวลา–น้ำมัน–ความเสี่ยง โดยไม่จำเป็น “ถ้าทุกทีม ทุกเคส รายงานเข้า ‘ที่เดียวกัน’ ใช้เลขเคสเดียวกัน เราจะไม่เสียเวลา”

คำตอบเชิงระบบ “จิตอาสาแคร์” แพลตฟอร์มที่จับคู่งาน–ความช่วยเหลือด้วยแผนที่

คุณวสันชัย วงศ์สันติวนิช หัวหน้าทีม Jitasa.care เล่าจุดเริ่มแพลตฟอร์มที่เกิดจากโศกนาฏกรรมโควิด-19 เมื่อทีมงานคนหนึ่งสูญเสียญาติและ “หาที่เผาศพไม่ได้” ทีมโปรแกรมเมอร์–วิศวกร–นักวิจัยจึงรวมตัวพัฒนาระบบภายใน สองสัปดาห์ เพื่อให้ ความช่วยเหลือหาเจอกัน” ได้จริง จิตอาสาแคร์เคยรองรับผู้ใช้งาน กว่า 2 ล้านคนในกรุงเทพฯ ช่วงวิกฤต และถูกนำมา “รีดีไซน์” เพื่อภารกิจภัยพิบัติ

หน้าจอของจิตอาสาแคร์เข้าใจง่าย—หมุดสีแดง คือคำขอความช่วยเหลือ, หมุดสีเขียว คือมีคน “รับเคสแล้ว”, หมุดสีเทา คือ “ภารกิจสำเร็จ” ระบบมี เลขเคสเฉพาะ (case ID) และ QR/ลิงก์ ให้ส่งหากัน—ทีมไหนเปิดดู ก็เห็นข้อมูลชุดเดียวกัน ลดโอกาสซ้ำซ้อน มูลนิธิกระจกเงาช่วย คัดกรอง–ลบหมุดซ้ำ–ยืนยันข้อมูล ให้ “ข้อมูลชัดก่อนลงเรือ” พร้อมกันนี้ยังออกแบบ บทบาทอาสา 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. อาสาประสาน (Operator): รับ–กระจายเคส เชื่อมทุกหน่วย
  2. อาสากู้ภัย (Rescuers): ลงพื้นที่หน้างาน
  3. อาสาข้อมูล (Data Volunteers): เก็บ–รวบรวม–ปรับคุณภาพข้อมูล (ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย/มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ))

ในบางพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ ทีมจึงสาธิตการใช้ Gaia GPS—แอปแผนที่ออฟไลน์ที่ดาวน์โหลดแผนที่ไว้ล่วงหน้า บันทึก เส้นทาง–ระยะ–ความสูง–ความชัน ได้ และ นำเข้า/ส่งออกไฟล์ GPX/KML เพื่อแชร์เส้นทางเดียวกันระหว่างทีม สอดคล้องกับความจริงภาคสนามที่ Google Maps อาจไม่ตอบโจทย์เมื่อ “สัญญาณล่ม”

กลางคืน–น้ำเชี่ยว–ไฟดับ และพฤติกรรม “ไม่อพยพ” ในระยะเตือน

นายชูเกียรติเล่าตรงไปตรงมา งานกู้ภัย “กลางคืน–ไม่มีไฟ–น้ำแรง” คือเสี่ยงที่สุด อีกทั้ง ชาวบ้านจำนวนมากไม่ยอมอพยพตั้งแต่แรก ยอมออกก็ต่อเมื่อ “น้ำถึงอก” ทำให้ทีมต้อง “วนซ้ำ” จุดเดิมหลายรอบ ความปลอดภัยของทั้งผู้ช่วยและผู้รอก็ลดลงพร้อมกัน

มิติโดรนจึงถูกหยิบมาหารือ จะบินอย่างไรให้ ‘ข้อมูล’ กลับมาที่ศูนย์กลาง ไม่ใช่แค่ ‘ภาพ’ อยู่ในมือถือคนบิน” หากทุกเที่ยวบินถูกเก็บเป็น เลเยอร์แผนที่เดียวกัน ทีมบัญชาการจะเห็นภาพรวม แบบเรียลไทม์ จัดคิว–จัดเส้นทาง–จัดอุปกรณ์ให้ “ตรงจุด–ทันเวลา” มากกว่า และอนาคตทีมเทคนิคกำลังพิจารณา อุปกรณ์ส่งพิกัดผ่านคลื่นวิทยุสื่อสาร เพื่อแก้ปัญหา “ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์” ในบางจุด

 “แพลตฟอร์มเดียว–ข้อมูลเดียว” ของทั้งจังหวัด

หัวใจที่รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำคือ แพลตฟอร์มกลางของจังหวัดเพียงหนึ่งเดียว” เพื่อรวม ข้อมูลเตือนภัย + คำขอช่วยเหลือ + แผนที่ภารกิจ + สถานะเยียวยา ไว้ที่เดียว และต้อง อ่านเข้าใจง่าย สำหรับประชาชนใน 1,774 หมู่บ้าน 124 ตำบล 144 อปท. โดยตั้งใจให้ มูลนิธิกระจกเงาและเครือข่าย ทำหน้าที่ “มือกลาง” บริหารระบบ ด้วยเหตุผลด้านความยืดหยุ่น ว่องไว และเชื่อมภาคสนามได้จริง

“ข้อมูลใดก็ตามต้อง ‘ไหล’ เข้ามาที่แพลตฟอร์มกลาง และผ่านการกลั่นกรองในนามจังหวัด เปรียบเหมือน ตรารับรองมาตรฐาน เพื่อให้ประชาชน เชื่อถือ” แนวคิดนี้ไม่ได้หยุดแค่ ก่อนเกิดภัย (เตือน–เตรียม) แต่จะครอบคลุม ระหว่างภัย (ขอ–จัดคิว–กู้ภัย) และ หลังภัย (สำรวจ–เยียวยา–ฟื้นฟู) ให้ครบวงจร ซึ่งในปี 2568 ที่เชียงรายเริ่มทดลองใช้จริง “ระบบไหลลื่นกว่าปีก่อนมาก” ตามคำบอกเล่าของทีมจิตอาสาแคร์ ขณะที่รองผู้ว่าฯ ทิ้งท้ายบนเวทีว่า “สิ่งที่เราทำวันนี้ จะเป็น ต้นแบบ ให้จังหวัดอื่นนำไปปรับใช้—เพื่อประโยชน์ของพี่น้องชาวเชียงราย กว่า 1,290,000 คน และประชาชนทั่วประเทศ”

ตัวเลขที่ชวนคิด ทำไม “ข้อมูลดี” ถึงสำคัญกว่างบอีกหลายร้อยล้าน

  • 1,074 ล้านบาท เยียวยาเข้าบัญชีประชาชน + 400–500 ล้านบาท ซ่อมถนน คือค่าใช้จ่าย “ปลายน้ำ” ที่จำเป็น แต่หาก ข้อมูล/การสื่อสารต้นน้ำดี (พิกัดแม่น, ไม่ซ้ำเคส, จัดคิวถูก) ความสูญเสียและงบซ่อมซ้ำจะลดลงอย่างเป็นรูปธรรม
  • 35,000 + 18,000 ครัวเรือน ในสองแพ็กเกจหลัก สะท้อนสเกล “งานข้อมูล” ที่ต้องรองรับ—โมเดล “คีย์กระดาษ–โทรถามพิกัด–เดา Street View” ไม่อาจทันภัยพิบัติรุ่นใหม่อีกต่อไป
  • 1,774 หมู่บ้าน คือสาเหตุว่าทำไม “แพลตฟอร์มเดียว” สำคัญ—ต่างหน่วยต่างทำ ย่อมได้ “ความดีคนละชิ้น” แต่ “ระบบที่เชื่อมกัน” จะได้ “ความสำเร็จชิ้นเดียว” ที่ใหญ่กว่า

ข้อตกลงความร่วมมือและการเปิดข้อมูลแบบรับผิดชอบ

เวทีประกาศความตั้งใจจะลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง มูลนิธิกระจกเงา – จิตอาสาแคร์ – สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์ เพื่อกำหนด มาตรฐานข้อมูล–ขั้นตอนปฏิบัติ–การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ “บทบาท–หน้าที่” ของอาสาแต่ละกลุ่มให้ชัด ทำให้ทุกภาคส่วน เห็นภาพเดียวกัน ตั้งแต่ระดับตำบลถึงศูนย์บัญชาการ

แก่นของบทเรียนเชียงราย จึงไม่ใช่การมีเครื่องมือมากชิ้น หากแต่คือ การเอาเครื่องมือที่มีอยู่มา “เชื่อมเข้าหากัน” บนแผนที่เดียวและภาษาข้อมูลเดียว เพื่อให้ “คนที่เดือดร้อน” ได้เจอ “คนที่พร้อมช่วย” โดยมีรัฐทำหน้าที่รับรองมาตรฐานและอำนวยทรัพยากรสนับสนุน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย / รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย — ข้อมูลภาพรวมสถานการณ์อุทกภัย 2567 ในพื้นที่, แนวคิด “แพลตฟอร์มกลางจังหวัด”, ตัวเลขเยียวยาและแพ็กเกจช่วยเหลือสำคัญที่ประกาศใช้ในพื้นที่
  • มูลนิธิกระจกเงา (สำนักงานเชียงราย) — รายละเอียดการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ, บทบาทคัดกรอง/ยืนยันข้อมูลภาคสนาม, ประสบการณ์ภารกิจแม่สาย (การคีย์ข้อมูล 900 รายชื่อ, การยืนยันพิกัด)
  • แพลตฟอร์มจิตอาสาแคร์ (Jitasa.care) — หลักการทำงานของระบบจับคู่ความช่วยเหลือ (หมุดสีแดง/เขียว/เทา, case ID, QR/ลิงก์), ที่มาแพลตฟอร์มยุคโควิดและการใช้งานใน กทม. ช่วงวิกฤต
  • สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย — ประเด็นปัญหางานซ้ำซ้อน, ข้อเสนอเรื่อง “รายงานตัวที่เดียว”, ข้อจำกัดปฏิบัติการกลางคืน–น้ำแรง–อพยพล่าช้า
  • เครือข่ายอาสา–ภาควิชาการ (เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ)) — บทบาทสนับสนุนข้อมูลฝน–น้ำและงานอาสาข้อมูล (Data Volunteers) ในระบบ
  • ข้อมูลเทคนิคแผนที่ออฟไลน์ (เครื่องมือประเภท Gaia GPS) — คุณสมบัติการดาวน์โหลดแผนที่ล่วงหน้า, บันทึกเส้นทาง–ความสูง–ความชัน, นำเข้า/ส่งออก GPX/KML สำหรับใช้ในพื้นที่อับสัญญาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ปีทองชา-กาแฟเชียงราย ‘ม.แม่ฟ้าหลวง’ เจ้าภาพ Global Forum ดันสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมโลก

เชียงรายเปิดเวทีโลก! จัดงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางชา-กาแฟนานาชาติ

เชียงราย,14 กรกฎาคม 2568 – แม้โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม จังหวัดเชียงรายพร้อมเขียนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องด้วยการเตรียมจัดงาน “Global Coffee and Tea Association Forum 2025: Shaping the Future Together” โดยได้รับการสนับสนุนการจัดงานจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ระหว่างวันที่ 17-20 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท และอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง

งานครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการรวมพลังผู้เล่นระดับโลกในอุตสาหกรรมชาและกาแฟ แต่ยังเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทั้งในฐานะจังหวัดที่ผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูงระดับโลก และเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน พร้อมกับการเฉลิมฉลอง 1 ทศวรรษแห่งความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กับ Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences

จากหมู่บ้านเล็กสู่เมืองหลวงแห่งชาและกาแฟ

เรื่องราวของเชียงรายกับอุตสาหกรรมชาและกาแฟเริ่มต้นจากศักยภาพทางธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้ ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสูง ภูมิอากาศเย็นสบาย และความอุดมสมบูรณ์ของดินที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชเมืองหนาว ทำให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งผลิตชาและกาแฟที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ตัวเลขจากสำนักงานจังหวัดเชียงรายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เผยให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของเชียงรายในอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน

  • ชา จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกชากว้างใหญ่ถึง 91,541 ไร่ คิดเป็น 68.94% ของพื้นที่ปลูกชาทั่วประเทศ และให้ผลผลิตรวม 76,893 ตัน หรือคิดเป็น 72.31% ของผลผลิตชาทั้งประเทศ
  • กาแฟ มีพื้นที่ปลูก 54,892 ไร่ คิดเป็น 25.36% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั่วประเทศ และให้ผลผลิตรวม 4,736 ตัน คิดเป็น 28.49% ของผลผลิตกาแฟทั้งประเทศ

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิต แต่คือศูนย์กลางและหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมชาและกาแฟของไทย ที่พร้อมจะเติบโตและสร้างมูลค่าเพิ่มสู่ตลาดโลก

ก้าวสำคัญจากประสบการณ์ที่สั่งสม

การเดินทางสู่การเป็นเจ้าภาพงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการสั่งสมประสบการณ์และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในการจัดงานระดับนานาชาติ 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2009 และการจัดงานก็ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) หรือ สสปน. อย่างต่อเนื่อง

ย้อนกลับไปในปี 2567 งาน Tea and Coffee International Symposium 2024 (TCIS2024) และ The 3rd International Congress on Cocoa Coffee and Tea Asia ที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ได้สร้างความประทับใจและผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมาย การจัดงานในรูปแบบ Hybrid ร่วมกับ The State Key Laboratory of Tea Plant Biology and Utilization Anhui Agricultural University สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม โดยมีผู้เข้าร่วมถึง 437 คน จาก สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน อินเดีย เวียดนาม ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮังการี สหราชอาณาจักร แคนาดา รวม 11 ประเทศ

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้น มีการออกบูธแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศมากกว่า  40 บูธ  เช่นจากประเทศจีนและญี่ปุ่น ซึ่งนำไปสู่การเจรจาจับคู่ธุรกิจมากถึง 7 ธุรกิจ และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจในพื้นที่ประมาณ 8.47 ล้านบาท ตามข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

ความสำเร็จนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 งาน Chiangrai Brewtopia 2025 ที่จัดร่วมกับสิงห์ปาร์ค เชียงราย ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการกาแฟอีกครั้ง ภายในงานมีการสัมมนาหัวข้อ “Sustainability in Specialty Coffee: Challenges and Opportunities” กับบูธแสดงสินค้า 44 ร้าน ผลลัพธ์ที่ได้คือการเชื่อมโยงเครือข่ายกาแฟระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น การกระตุ้นยอดขาย และการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

วิสัยทัศน์แห่งอนาคตการสร้างสังคมที่ยั่งยืน

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ใช่เพียงแค่การประชุมทางวิชาการหรือเวทีทางการค้า แต่เป็นการรวมพลังเพื่อเตรียมรับความท้าทายที่อุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นความยั่งยืนที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21

จากข้อมูลสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เผยถึงความสำคัญของงานนี้ถึงการเชื่อมั่นว่า “งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยให้ผู้เล่นในอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลกได้มาทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และหาแนวทางรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะประเด็นความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว”

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนวัตถุดิบ และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นสามประเด็นหลักที่งานนี้จะมุ่งเน้นหาแนวทางแก้ไขผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างประเทศ

หลากหลายมิติกิจกรรมจากห้องประชุมสู่ไร่นา

การจัดงานในระยะเวลา 4 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 17-20 กรกฎาคม 2568 โดยวันที่ 17 กรกฎาคม จะเป็นวันเปิดงานประชุม Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมมากถึง 250 คน จากประเทศไทย 210 คน และต่างประเทศมากถึง 40 คน หลายทวีป รวมถึงเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

ส่วนไฮไลต์ของงานที่บรรดาประชาชนจะมาร่วมในวันที่ 18 กรกฎาคม จะเป็นวันสำคัญสำหรับการสร้างเครือข่ายระดับสูง ด้วยการจัด Round table: Shaping future together สำหรับผู้แทนสมาคมชาและกาแฟ หน่วยงานภาครัฐ และมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเป็นวันเปิดงานแสดงสินค้า Chiang Rai Brewtopia (Green Season) ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง ซึ่งจะเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟคุณภาพสูงจากผู้ผลิตท้องถิ่นและนานาชาติ

วันที่ 19 กรกฎาคม ผู้แทนสมาคมทั้งในและต่างประเทศ ที่จะได้เข้าร่วมกิจกรรม Farm visit: A Cup to Village ซึ่งเป็นการเยี่ยมชมแปลงปลูกและกระบวนการผลิตชาและกาแฟในพื้นที่จริง การเดินทางนี้จะพาผู้เข้าร่วมไปสู่ World Award-Winning Tea Route เส้นทางดอยแม่สลองและเส้นทาง Coffee: A cup to village ที่จะให้ประสบการณ์ตรงจากต้นทางสู่ปลายทางของอุตสาหกรรมชาและกาแฟ

สำหรับวันที่ 19-20 กรกฎาคม งานแสดงสินค้า Chiang Rai Brewtopia (Green Season) จะเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงานตลอด 3 วัน ไม่น้อยกว่า 2,500 คน พร้อมมีร้านค้าจากในประเทศและต่างประเทศ  40 ร้านค้า และกิจกรรม Workshop ที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้สนใจทั่วไป

เฉลิมฉลองมิตรภาพรากฐานความสัมพันธ์ไทย-จีน

อีกหนึ่งความพิเศษของงานในปีนี้คือการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความแข็งแกร่งของมิตรภาพระหว่างสองประเทศที่ได้พัฒนาและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ทศวรรษแห่งความร่วมมือระหว่างสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กับ Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558

ความร่วมมือที่ยาวนานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟของทั้งสองประเทศ ผลจากความร่วมมือนี้ทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ การจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการชาไทย และการสร้างเครือข่ายการค้าที่เชื่อมโยงตลาดในภูมิภาคเอเชียอย่างแข็งแกร่ง

การเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคเส้นทางแห่งความสำเร็จกับประสบการณ์จากงานระดับนานาชาติ

การจัดงาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การสร้างเครือข่ายหรือการแลกเปลี่ยนความรู้ แต่ยังมุ่งหวังที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยาวนานและครอบคลุมหลายมิติ

ในมิติทางสังคม (Social Impact) งานนี้คาดว่าจะช่วยพัฒนาและยกระดับทักษะของเกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่ ผ่านการเข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ตลาดโลก และการส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืนที่จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน

ในมิติทางเศรษฐกิจ (Economic Impact) ผลลัพธ์ที่คาดหวังคือการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทยในตลาดโลก ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกและการสร้างรายได้ให้กับประเทศ นอกจากนี้ยังจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายผ่านการจัดงานและการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ การเพิ่มยอดขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ในงานแสดงสินค้า และการสร้างโอกาสในการลงทุนและพัฒนาโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ

เส้นทางสู่ “Chiang Rai Tea and Coffee Destination”

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 เป็นก้าวสำคัญในเส้นทางที่จะขับเคลื่อนจังหวัดเชียงรายให้กลายเป็น “Chiang Rai Tea and Coffee Destination” ที่แท้จริง ไม่เพียงแค่ในฐานะแหล่งผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูง แต่ยังเป็นศูนย์กลางการค้า การวิจัยและพัฒนา และการจัดงานเทศกาลระดับนานาชาติในอุตสาหกรรมนี้

ความสำเร็จของงานนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพร้อมของเชียงรายในการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมชาและกาแฟในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับจังหวัดอื่นๆ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปสู่ระดับสากล

การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย เกษตรกร และผู้ประกอบการจากทั่วโลกในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างพลังขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมชาและกาแฟไทยให้มีความยั่งยืน สร้างสรรค์ และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อนาคตที่เต็มไปด้วยความหวัง

งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 ไม่ใช่เพียงแค่งานประชุมหรือเทศกาลสินค้า แต่เป็นการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลก ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการหาแนวทางแก้ไขความท้าทายร่วมกัน

สำหรับจังหวัดเชียงราย งานนี้จะเป็นการยืนยันสถานะในฐานะ “เมืองหลวงแห่งชาและกาแฟของไทย” และเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชาและกาแฟของภูมิภาค การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและชุมชน และการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ไทยในตลาดโลก

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ อย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง การรวมตัวของผู้เล่นในอุตสาหกรรมเพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง งาน Global Coffee and Tea Association Forum 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเต็มไปด้วยความหวังสำหรับอุตสาหกรรมชาและกาแฟทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลสถิติการเกษตร ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
  • สถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานผลการจัดงาน TCIS2024
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB), รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจ 2567
  • Tea Research Institute, Chinese Academy of Agricultural Sciences, รายงานความร่วมมือด้านการวิจัยชา 2558-2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เมืองรองสู่เวทีโลก เชียงรายพร้อมแจ้งเกิด! เรียนรู้จากเชียงใหม่เมืองที่ดีที่สุดอันดับ 2

เชียงรายก้าวสู่เมืองท่องเที่ยวระดับโลกถอดบทเรียนจากเชียงใหม่ อันดับ 2 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก ปี 2025” สู่ความเป็นเลิศสากล

เชียงรายกับโอกาสบนเวทีโลกเมื่อเมืองรองขยับสู่เส้นทางความสำเร็จ

ประเทศไทย, 13 กรกฎาคม 2568 –  เมืองเหนือที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ กำลังถูกจับตามองในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีโอกาสแจ้งเกิดบนเวทีโลก หลังจากที่เชียงใหม่คว้าอันดับ 2 “เมืองที่ดีที่สุดในโลก ปี 2025” จากการจัดอันดับของ Travel + Leisure สื่อท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่ระดับโลก หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความพร้อมของเชียงรายว่า จะสามารถเดินรอยตามเมืองพี่อย่างเชียงใหม่ สู่การเป็นจุดหมายในฝันของนักเดินทางนานาชาติได้หรือไม่

ไขรหัส “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” จากมุมมอง Travel + Leisure

การจัดอันดับ “World’s Best Awards” ของ Travel + Leisure ไม่ได้วัดกันแค่ความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวหรือรสชาติอาหารเท่านั้น แต่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่ง ความสะดวกในการเดินทาง พื้นที่สีเขียว ความเป็นมิตรของผู้คน ไปจนถึงบรรยากาศเมืองโดยรวม เมืองที่คว้าอันดับ 1 อย่างซานมิเกลเดอาเยนเดในเม็กซิโก โดดเด่นด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการเป็นศูนย์กลางสำหรับนักสำรวจไวน์ ขณะที่เชียงใหม่และกรุงเทพฯ ของไทยเองก็ครองใจนักเดินทางจากทั่วโลกด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว

จุดแข็งของเชียงรายต่อยอดสู่ความยั่งยืน

แม้เชียงรายจะยังไม่ติดโผ 10 อันดับแรกของการจัดอันดับนี้ แต่ด้วยจุดแข็งหลายด้าน เมืองเหนือแห่งนี้ก็พร้อมจะพัฒนาและต่อยอดสู่มาตรฐานสากล

  • มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ
    เชียงรายมีทั้งศิลปะ ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่งดงาม เช่น วัดร่องขุ่น ดอยตุง ดอยแม่สลอง หรือสามเหลี่ยมทองคำ สถานที่เหล่านี้กลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
  • เมืองแห่งชาและกาแฟ
    การประกาศวิสัยทัศน์ให้เชียงรายเป็น “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ควบคู่กับการพัฒนาแบรนด์กาแฟ GI อย่างกาแฟดอยตุงและกาแฟดอยช้าง รวมถึงการจัดงานเทศกาลระดับชาติ สร้างภาพจำใหม่ให้เชียงรายเป็นจุดหมายของคอกาแฟและนักท่องเที่ยวสายประสบการณ์
  • นวัตกรรมและการวิจัย
    เชียงรายลงทุนในงานวิจัยและนวัตกรรมต่อเนื่อง เช่น “เชียงราย 1” “เชียงราย 2” หรือ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่ใช้วิเคราะห์รสชาติกาแฟ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์คาเฟอีนต่ำ เพิ่มมูลค่าและชื่อเสียงผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
  • โครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพชายแดน
    เมืองเชียงรายได้รับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นถนน สนามบิน หรือด่านการค้าชายแดน จุดแข็งด้านที่ตั้งเป็น “ประตูสู่อาเซียน” เอื้อประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจท่องเที่ยวและการค้าชายแดน
  • เมืองปลอดภัยและเป็นมิตร
    เชียงรายได้รับการจัดอันดับเป็น “เมืองปลอดภัยที่สุดในโลกอันดับ 2 สำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล” สะท้อนถึงความปลอดภัยและบรรยากาศเป็นมิตรที่รองรับนักเดินทางจากทั่วโลก

ก้าวต่อไปของเชียงรายสู่เมืองในฝันของโลก

เชียงรายยังคงมีพื้นที่ให้พัฒนาและยกระดับไปอีกหลายด้านเพื่อสู่เป้าหมาย “เมืองที่ดีที่สุดในโลก” ดังนี้

  • ยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยว
    เมืองต้องไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ต้องสร้างประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง เช่น การท่องเที่ยวเชิงกาแฟ เรียนรู้วัฒนธรรมชนเผ่า หรือเข้าร่วมเทศกาลท้องถิ่น
  • พัฒนาโครงข่ายคมนาคมและสาธารณูปโภค
    การเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ควรเข้าถึงง่ายและปลอดภัย รวมถึงการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานให้พร้อมรับนักท่องเที่ยว
  • รักษาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
    การบริหารจัดการหมอกควัน มลพิษ และเพิ่มสวนสาธารณะ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่จะส่งผลต่อภาพลักษณ์และคุณภาพชีวิตของนักเดินทาง
  • เสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเป็นมิตร
    เมืองควรสร้างบรรยากาศเปิดกว้างสำหรับผู้คนหลากหลาย สร้างความประทับใจด้วยรอยยิ้มและการต้อนรับแบบไทย
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน
    การให้คนท้องถิ่นมีบทบาทในการพัฒนาและรักษาอัตลักษณ์ รวมถึงการกระจายรายได้สู่ชุมชน จะสร้างความยั่งยืนให้กับเมือง
  • ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงรุก
    การสื่อสารจุดแข็งของเชียงรายออกสู่เวทีโลกผ่านช่องทางดิจิทัลและสื่อระหว่างประเทศ จะยิ่งผลักดันให้เชียงรายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เชียงรายพร้อมก้าวสู่เวทีสากล

เชียงรายคือเมืองที่รวมความโดดเด่นทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม นวัตกรรม และความเป็นมิตรในบรรยากาศเดียวกัน หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันขับเคลื่อนและเสริมจุดแข็ง พัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เมืองแห่งนี้มีศักยภาพมากพอจะกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของนักเดินทางระดับโลก

การถอดบทเรียนจากเชียงใหม่และเมืองชั้นนำอื่นๆ ของโลก ไม่ใช่เพียงการลอกเลียนแบบ แต่คือการปรับใช้และสร้างจุดขายเฉพาะตัวที่เชียงรายมีอย่างแท้จริง เมื่อถึงวันนั้น เชียงรายจะเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของไทยที่ยืนหยัดบนเวทีโลกอย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News