- สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
- Nakorn Chiang Rai News
เชียงรายจับมือ สกสว.เดินหน้าโมเดล “เมืองปรับตัวรับภัยพิบัติ” บูรณาการวิจัย-นโยบาย-ท้องถิ่น รับมือน้ำท่วม-แผ่นดินไหว-สารพิษ
หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 รุนแรงสุดในรอบ 30 ปี เชียงรายเปิดเวทีบูรณาการหน่วยงานวิจัย-ภาครัฐ-ท้องถิ่น พัฒนา 3 แพลตฟอร์มรับมือภัยพิบัติ ครอบคลุมน้ำท่วม-แผ่นดินไหว-ความปลอดภัยอาหารน้ำ มุ่งสู่ “Disaster Resilient City” ด้วยฐานข้อมูลดิจิทัล-แผนที่เสี่ยงภัย-ระบบเตือนภัยทันสมัย
เชียงราย, 9 พฤศจิกายน 2568 – เชียงรายประกาศ “โมเดลเมืองปรับตัวรับภัยพิบัติ” จับมือ สกสว.–นักวิจัย–ท้องถิ่น เร่งทำฐานข้อมูล–ยกระดับโครงสร้างอาคาร–พัฒนาแพลตฟอร์มเตือนภัย ครอบคลุมน้ำท่วม–แผ่นดินไหว–ความปลอดภัยอาหารน้ำ บนเวทีการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ณ จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความตั้งใจจริงของทุกภาคส่วน เมื่อผู้บริหารระดับสูง นักวิจัย วิศวกร และผู้แทนหน่วยงานท้องถิ่นกว่า 50 คน มาร่วมกันถอดบทเรียนและวางแผนรับมือภัยพิบัติที่เกิดซ้ำซากในพื้นที่ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปี 2567 ที่สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี
“วันนี้เราไม่ใช่เริ่มจากศูนย์ แต่เป็นจังหวะ ‘กระชับ’ งานให้ลงสู่หน้างานจริง ตั้งแต่น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไปจนถึงปัญหาสารพิษในแม่น้ำ” ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวเปิดเวทีด้วยน้ำเสียงมั่นใจ สะท้อนโจทย์ใหญ่ที่เชียงรายกำลังเผชิญ และชี้ชัดว่าคำตอบคือการ “เชื่อมองค์ความรู้กับการปฏิบัติ” ให้เป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ของประชาชน
เมื่อภัยพิบัติกลายเป็น “ปกติใหม่” ของเชียงราย
ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ประชาชนชาวเชียงรายต้องเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในรอบสามทศวรรษ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย อธิบายว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาที่ทำให้ฝนตกหนักต่อเนื่อง สร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และโครงสร้างอาคารบ้านเรือนอย่างมหาศาล
แต่น้ำท่วมไม่ใช่ภัยเพียงอย่างเดียวที่เชียงรายต้องเผชิญ จังหวัดแห่งนี้ยังเป็น “พื้นที่เสี่ยง” ต่อแผ่นดินไหวตามแนวรอยเลื่อนภาคเหนือ โดยเฉพาะความทรงจำอันเจ็บปวดจากแผ่นดินไหวแม่ลาวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ที่มีขนาดความรุนแรงราว Mw 6.1-6.3 ซึ่งเป็นแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษของไทย
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสารพิษในแหล่งน้ำ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำอิง ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหารจากน้ำและสุขภาพของประชาชน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เชียงรายต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ซับซ้อนและซ้ำซ้อน จนกลายเป็น “ปกติใหม่” ที่ต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างจริงจัง
“ปรากฏการณ์ลานีญาที่หวนกลับตั้งแต่ปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ทำให้ฝนแปรปรวนและตกหนักในบางช่วงเกินฐานเฉลี่ย เพิ่มความเสี่ยงต่ออุทกภัยเฉียบพลัน ตามการประเมินแนวโน้มขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก” นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเสริม เน้นย้ำว่าการเตรียมพร้อมไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน
3 แพลตฟอร์ม – หนึ่งเป้าหมาย ทำให้วิจัยใช้ได้จริง
เวทีวันนี้เกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน นำโดยจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) สกสว. สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และเครือข่ายวิศวกรในพื้นที่ ร่วมกันวางรากฐานสำคัญเพื่อยกระดับเชียงรายสู่ “Disaster Resilient City” หรือเมืองที่ปรับตัวได้ต่อภัยพิบัติ
ศ.ดร.สมปอง อธิบายกรอบการทำงานอย่างชัดเจนว่า ความร่วมมือนี้เดินบน 3 แพลตฟอร์มพร้อมกัน ได้แก่
แพลตฟอร์มที่ 1 แก้ปัญหาและป้องกันน้ำท่วม – ตั้งแต่การสำรวจฐานข้อมูลความเสียหายเชิงโครงสร้างระดับอาคาร การทำแผนที่ความเสี่ยงและแผนที่ความเสียหาย ไปจนถึงออกแบบมาตรการซ่อม เสริม และกันน้ำแบบยึดโยงแผนที่จริง
แพลตฟอร์มที่ 2 ยกระดับองค์ความรู้และความพร้อมด้านแผ่นดินไหว – นำบทเรียนจากแผ่นดินไหวแม่ลาว 2557 มาปรับมาตรฐานความปลอดภัยอาคารสาธารณะ โรงเรียน โรงพยาบาล ตลอดจนพัฒนาเครือข่ายวิศวกรท้องถิ่นและระบบตรวจวัด-แจ้งเตือน
แพลตฟอร์มที่ 3 นิเวศข้อมูลความปลอดภัยด้านสารพิษในแหล่งน้ำ – โดยเฉพาะแม่น้ำโขง กก อิง และแหล่งน้ำสาขา สกสว.ผลักดันต้นแบบแพลตฟอร์มข้อมูลปลาและความปลอดภัยจากการบริโภค ที่ผนวกข้อมูลจากกรมประมง หน่วยทดสอบสารพิษ และห่วงโซ่ซื้อขาย เพื่อให้ผู้บริโภค ผู้ค้า และท้องถิ่นใช้ได้จริง
“บทบาทของ สกสว. คือ ‘โซ่ข้อกลาง’ ระหว่างนโยบายระดับประเทศ หน่วยจัดสรรทุน นักวิจัย และหน้างานของจังหวัด เป้าหมายคือส่งองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปอยู่ในมือคนทำงานท้องถิ่นให้เร็วที่สุด” ศ.ดร.สมปอง กล่าวย้ำ โดยเน้นว่างานวิจัยต้อง “ใช้งานได้จริง” ตั้งแต่ต้นทาง (ข้อมูล) กลางทาง (แบบและมาตรการ) จนปลายทาง (งบประมาณ-สื่อสารสาธารณะ-การมีส่วนร่วม)
นักวิศวกรอาสานับร้อย ลงพื้นที่สร้างฐานข้อมูลดิจิทัล
หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการสร้างฐานข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุม ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าว่าโครงการนี้ได้ระดมนักวิศวกรอาสามืออาชีพนับร้อยชีวิตลงพื้นที่สำรวจความเสียหายอย่างเป็นระบบ
“เราเอาเทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่มาช่วย เก็บฐานข้อมูลให้ครบและแม่นยำ เพื่อรองรับการฟื้นฟู ออกแบบการป้องกันในอนาคต และจัดลำดับพื้นที่ที่ต้องซ่อม เสริม และกันน้ำแบบเร่งด่วน” ศ.ดร.อมร อธิบาย
ผลที่ได้ไม่ใช่เพียงรายการ “ซ่อมอะไร ที่ไหน” แต่คือแผนที่ดิจิทัล 2 ชั้น ได้แก่ แผนที่ความเสียหาย (Damage Map) ที่ลงลึกถึงระดับอาคารสาธารณะและชุมชนวิกฤต และ แผนที่เสี่ยงภัย (Risk Map) ที่ประเมินความน่าจะเป็นและความรุนแรงของเหตุการณ์ในอนาคต
เมื่อนำแผนที่ทั้งสองมาซ้อนเข้ากับข้อมูลน้ำฝน การระบายน้ำ การใช้ที่ดิน ร่องน้ำธรรมชาติ และโครงสร้างชลศาสตร์ที่มีอยู่ จะสามารถ “วางคิวงาน” ที่ตอบโจทย์ทั้งผลกระทบและความคุ้มค่า เช่น จุดไหนต้องเสริมกันน้ำ จุดไหนต้องเพิ่มช่องทางระบายน้ำ หรือจุดไหนคุ้มที่จะย้ายวิถี ย้ายของ หรือย้ายจุดสาธารณะมากกว่าทุ่มงบโครงสร้างหนัก
“เชียงรายคือพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาต้นแบบงานวิจัยลักษณะนี้ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติหลายรูปแบบ ข้อมูลที่เราได้จากการลงพื้นที่ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ แต่ยังต่อยอดไปสู่งานวิจัยด้านระบบแจ้งเตือนภัย ฐานข้อมูลความเสียหายที่ลงลึกในแต่ละอาคาร ไปจนถึงแนวทางประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายงบประมาณซ่อมแซม และแผนงานฟื้นฟูระยะยาว” ศ.ดร.อมร กล่าวเสริม
ท้องถิ่นพร้อม ศูนย์บริหารจัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ
อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เผยว่าการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่มีความพร้อมสูง ภายใต้นโยบาย “7 เรือธง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนจังหวัดเชียงราย” โดยเฉพาะนโยบายที่ 4 คือ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS)
ศูนย์นี้ออกแบบให้สามารถสังเกตการณ์ ประสาน สั่งการ ซ่อมแซม และสื่อสารได้ในที่เดียว โดยยึดหลัก “ข้อมูลจริง หน้างานจริง ตัดสินใจเร็ว” เพื่อปิดรอยรั่วระหว่างหน่วยงานและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
“เครื่องยนต์ของท้องถิ่นคือศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ ที่ช่วยให้เราดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และตรงจุด” นายกอทิตาธร กล่าว
แพลตฟอร์มข้อมูลปลาปลอดภัย นวัตกรรมปกป้องสุขภาพประชาชน
แพลตฟอร์มที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือระบบข้อมูลความปลอดภัยด้านสารพิษในห่วงโซ่อาหารจากปลา โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง กก และอิง ซึ่งจะผนวกข้อมูลหลายกระทรวง ได้แก่ กรมประมง หน่วยทดสอบสารพิษ และข้อมูลการซื้อขาย เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในระดับชนิด แหล่ง และช่วงเวลา พร้อมคำแนะนำที่เข้าใจง่าย
“ถ้าเป็นสารปนเปื้อนบางชนิดพฤติกรรมแตกต่างกัน อยู่ในน้ำอาจยังไม่เป็นพิษ แต่สะสมในเนื้อปลาแล้วเป็นอันตราย เราต้องแปลงองค์ความรู้แบบนี้ให้เป็นคำเตือนและคำแนะนำที่ใช้ได้จริงในมือถือประชาชน” ศ.ดร.สมปอง อธิบายถึงความสำคัญของระบบนี้
ตัวอย่างเช่น สารตะกั่ว (Lead) เมื่ออยู่ในปลาสามารถกรองออกได้ แต่ปรอท (Mercury) กลับอยู่ในน้ำไม่เป็นพิษ แต่พอสะสมในตัวปลากลับอันตรายมาก ความรู้เช่นนี้จะถูกนำเสนอผ่านแอปพลิเคชันที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย
ต้นแบบแพลตฟอร์มดังกล่าวตั้งเป้าเปิดใช้สาธารณะภายใต้หลักข้อมูลถูกต้อง ความเป็นส่วนตัว และความมั่นคงไซเบอร์ โดยจะเชื่อมต่อกับช่องทางสื่อสารของจังหวัด อบจ. และสาธารณสุข เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเปราะบางและผู้ค้าได้จริง
เงิน เวลา ความเชื่อใจ สามเสาหลักของความสำเร็จ
การขับเคลื่อนโครงการขนาดนี้ต้องการสามเสาหลักที่เดินคู่กัน
เสาที่ 1 เงิน – งบฉุกเฉินเพื่อบรรเทาทันที เช่น กรอบช่วยเหลือดำรงชีพ 9,000 บาทต่อครัวเรือน โอนผ่านพร้อมเพย์ธนาคารออมสิน ตามแนวทางของคณะรัฐมนตรีและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อให้เงินถึงมือได้รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ และงบลงทุนสำหรับซ่อม เสริม กันน้ำ และเสริมกำลังอาคารที่มีหลักฐานข้อมูลรองรับ
เสาที่ 2 เวลา – กำหนดไทม์ไลน์ชัดเจนตั้งแต่สำรวจ ออกแบบ จัดซื้อ ก่อสร้าง ทดสอบ จนส่งมอบ พร้อมตัวชี้วัด เช่น จำนวนอาคารที่ผ่านการเสริมกำลัง ความสามารถระบายน้ำที่เพิ่มขึ้น และเวลาตอบสนองเหตุ
เสาที่ 3 ความเชื่อใจ – โปร่งใส ตรวจสอบได้ เปิดเผยแผนที่ รายการงาน งบประมาณ และสถานะคืบหน้าแบบที่ประชาชนติดตามได้ตลอดเวลา
จากการสำรวจในพื้นที่ พบว่ามีโครงการแก้ไขปัญหาที่รอการดำเนินการประมาณ 67 โครงการ ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยจะมีการจัดลำดับความสำคัญตามความเร่งด่วนและผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
เชื่อมแผนท้องถิ่นกับแผนน้ำประเทศ
ทุกมาตรการในพื้นที่ต้องเชื่อมโยงเข้ากับแผนภาพใหญ่ของประเทศ ภายใต้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ผู้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี และบทบาทศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติในภาวะวิกฤต ภายใต้กรอบ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ที่เชื่อมแผนงาน 20 กระทรวงและหลายพันโครงการเข้าด้วยกัน
การที่เชียงรายสร้างแผนที่เสี่ยง แผนที่ความเสียหาย และรายการโครงการฟื้นฟูตามลำดับเร่งด่วน คือ “ภาษากลาง” ที่ทำให้งานวิจัย ข้อเสนอเชิงวิศวกรรม และข้อเท็จจริงงบประมาณคุยกับ สทนช. และหน่วยส่วนกลางได้อย่างมีเอกสารและตัวชี้วัดรองรับ
จากบทเรียนแม่ลาวสู่มาตรฐานความปลอดภัยรุ่นใหม่
แผ่นดินไหวแม่ลาวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ที่มีขนาดความรุนแรงราว Mw 6.1-6.3 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเสียหายกว้างขวาง เป็นแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษของไทย และกลายเป็นฐานข้อมูลสำคัญต่อการออกแบบมาตรการเสริมความมั่นคงอาคารในภูมิภาคเหนือจนถึงปัจจุบัน
บทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การพัฒนากฎ แบบ และวิธีการที่รัดกุมขึ้น ทั้งด้านการออกแบบโครงสร้าง การตรวจสอบอาคาร และการเตรียมพร้อมชุมชน ซึ่งเอกสารวิชาการหลากชิ้นได้สรุปผลการสั่นไหว ความเสียหาย และข้อเสนอเพื่อยกระดับมาตรฐานสำหรับอาคารไทยในพื้นที่เสี่ยง
ในเชียงรายวันนี้ งานของ TSEA และเครือข่ายวิศวกรจังหวัดกำลังรวบรวม สำรวจ และประเมินโครงสร้างสำคัญ เพื่อจัดลำดับการเสริมกำลัง (retrofitting) ตั้งแต่โรงเรียน โรงพยาบาล อาคารราชการ สะพานชุมชน ไปจนถึงโครงสร้างสื่อสารและสาธารณูปโภค โดยมุ่งเก็บฐานข้อมูลเชิงลึกระดับอาคาร เพื่อใช้ในการขอ จัดสรร และติดตามงบประมาณอย่างมีเป้าหมาย
วิธีทำงาน ซ่อมด่วน-เสริมระบบ-ยกระดับมาตรฐาน
จากรายการโครงการที่ทีมวิศวกร หน่วยงานจังหวัด และ อบจ. ร่วมกันสำรวจและคัดกรอง สามารถสรุปกรอบปฏิบัติการเป็น 3 ระดับ คือ
ระดับที่ 1 ซ่อมด่วน (Immediate Fix) – จุดตัดน้ำ จุดท่วมซ้ำ จุดเสี่ยงพังทลายที่ต้องซ่อม กัน และเสริมทันที เพื่อให้โรงเรียน สถานพยาบาล และเส้นทางอพยพใช้งานได้ปลอดภัยในฤดูเสี่ยง
ระดับที่ 2 เสริมระบบ (System Upgrade) – เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ (คลอง ท่อ บ่อบำบัด) ทำโครงสร้างหน่วงน้ำ ปรับโซนนิ่งการใช้งานพื้นที่ ช่วยลดความเสี่ยงซ้ำซ้อน
ระดับที่ 3 ยกระดับมาตรฐาน (Code & Capacity) – ปรับมาตรฐานการออกแบบ ตรวจสอบ และซ่อมบำรุงอาคารในเขตเสี่ยงแผ่นดินไหว และสร้างเครือข่ายวิศวกร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน บริหารจัดการแผนที่ อุปกรณ์ และการซ้อมแผนได้เองระยะยาว
“เป้าหมายสุดท้ายของเราคือให้ความสูญเสียจากน้ำ แผ่นดินไหว และสารพิษลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และให้ชาวเชียงราย ‘มั่นใจ’ ว่าเมืองของเขามีระบบพร้อมรับมือ” ศ.ดร.สมปอง กล่าวสรุปวิสัยทัศน์ของโครงการ
ตัวเลขที่ชวนคิด
การดำเนินงานครั้งนี้มีตัวเลขสำคัญที่สะท้อนความจริงจังและขนาดของปัญหา
- 9,000 บาทต่อครัวเรือน – กรอบช่วยเหลือดำรงชีพกรณีภัยพิบัติ โอนผ่านธนาคารออมสินและพร้อมเพย์ ตามแนวทางของรัฐบาลและ ปภ. เพื่อเพิ่มความเร็ว ความโปร่งใส และความตรวจสอบได้
- Mw 6.1-6.3 – ขนาดแผ่นดินไหวแม่ลาวปี 2557 เหตุการณ์ตัวแบบที่ทำให้ไทยเร่งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอาคารในภาคเหนือ
- 67 โครงการ – จำนวนโครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่รวบรวมได้จากการสำรวจ ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท
- 30 ปี – ช่วงเวลาที่น้ำท่วมปี 2567 เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในเชียงราย สะท้อนความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ปรากฏการณ์ลานีญา – ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เพิ่มโอกาสฝนมากกว่าปกติในบางภาค ชี้ความจำเป็นของระบบหน่วง ระบาย และสื่อสารเตือนภัยที่ทำงานทันการณ์
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง จากงานวิจัยต้นแบบสู่เมืองที่เรียนรู้ได้
งานในครั้งนี้ไม่ได้จบที่เอกสารรายงาน แต่มุ่งให้เชียงรายกลายเป็นต้นแบบที่สามารถยกขึ้นขยายผลได้ ทั้งโมเดลการสำรวจความเสียหายเชิงโครงสร้าง แพลตฟอร์มข้อมูลความปลอดภัยอาหารจากน้ำ เครื่องมือสื่อสารสาธารณะ และคู่มือ “จากงานวิจัยสู่การใช้งบจริง”
ผลลัพธ์สำคัญที่ผู้จัดคาดหวัง ได้แก่
- ความตระหนักรู้และการเตรียมพร้อม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน และชุมชน โดยเฉพาะการเสริมกำลังโครงสร้างอาคารให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน
- ความร่วมมือระหว่างวิชาการและนโยบาย ที่เดินทางได้ทั้งสองทาง คือปัญหาจริงสู่โจทย์วิจัย และงานวิจัยสู่คำสั่งและงบประมาณจริง
- กรอบแผนงานวิจัยและงบประมาณ ระยะ 1-3 ปี สำหรับรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหวและน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงรายในอนาคต ที่เชื่อมต่อยุทธศาสตร์ระดับชาติ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง”
ภาพอนาคต เมืองที่ปลอดภัยเริ่มจาก “แผนที่เดียวกัน”
เชียงรายกำลังวางรากฐาน “ความยืดหยุ่น” ด้วยแผนที่เดียวกัน (ข้อมูลเดียวกัน) และภาษางบประมาณเดียวกัน (ตัวชี้วัด รายการงาน ไทม์ไลน์ และงบที่สื่อสารกันได้ระหว่างท้องถิ่น ส่วนกลาง นักวิจัย และประชาชน)
จุดเด่นของโมเดลนี้คือความเร็วในการเชื่อมหน่วยงานและความคมของการตัดสินใจ เพราะทุกฝ่าย “เห็นภาพเดียวกัน” และ “รู้ว่าอะไรคุ้มค่าที่สุดต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจท้องถิ่น”
“วันนี้เราเอาองค์ความรู้จากงานวิจัย เทคโนโลยี และข้อมูลที่เชื่อถือได้มาสร้างเป็นระบบที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่เอกสารบนโต๊ะ แต่เป็นเครื่องมือในมือคนทำงานหน้าดิน เป็นข้อมูลที่ประชาชนเข้าถึงได้ และเป็นหลักฐานที่ใช้ขอและติดตามงบประมาณได้” รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวย้ำ
นางอทิตาธร นายก อบจ.เชียงราย เสริมว่า “เราพร้อมรับเอาองค์ความรู้และเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ พร้อมเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึง แต่ขอให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง มีมาตรฐาน และปลอดภัยจากการถูกแฮ็ก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน”
การทำงานในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การรับมือภัยพิบัติ” ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่นักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานท้องถิ่น วิศวกร ไปจนถึงประชาชนทุกคน
งบประมาณและการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อถามถึงงบประมาณและความยั่งยืนของโครงการ ศ.ดร.สมปอง อธิบายว่า สกสว. ในฐานะกองทุนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณให้ตรงจุด ตรงปัญหา และส่งประโยชน์ถึงประชาชน
“เรากำลังทำแพ็กเกจในมุมของการทำงานเชิงบูรณาการ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายแบบเต็มประสิทธิภาพ การจัดสรรงบประมาณจะทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าเราจัดสรรได้ตรงจุด ตรงปัญหา และส่งประโยชน์ไปจนถึงประชาชน” ศ.ดร.สมปอง กล่าว
สำหรับงบประมาณรายปีที่ใช้ในการดำเนินงานด้านภัยพิบัติทั้งหมดของประเทศ ครอบคลุมทั้งเรื่องน้ำ ฝุ่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม และสารพิษ อยู่ที่ไม่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านบาทต่อปี โดยมีการปรับเปลี่ยนตามกระบวนการและความจำเป็นเร่งด่วน
“ประเด็นสำคัญคือการขับเคลื่อนนโยบายต้องตอบโจทย์ในมุมของความรวดเร็ว เพราะเรื่องของภัยพิบัติ เราไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ถ้าเกิดแล้วเราต้องเยียวยา ต้องแก้ปัญหาหน้างานทันที การกำหนดเวลาและการมีแผนที่ชัดเจนจึงสำคัญมาก” ศ.ดร.สมปอง กล่าวเน้นย้ำ
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นและบ่อยขึ้น จากข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ชี้ว่าปรากฏการณ์ลานีญามีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยขึ้นและส่งผลให้ฝนมากกว่าปกติในหลายภูมิภาค รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหมายความว่าระดับน้ำที่เคยคิดว่าสูงที่สุดที่ 5 เมตรอาจกลายเป็น 10 เมตรในอนาคต
“เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถใช้มาตรฐานเดิมได้อีกต่อไป” นายประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวสะท้อนความท้าทายที่อยู่เบื้องหน้า
เชียงรายกำลังก้าวสู่การเป็น “Disaster Resilient City” อย่างแท้จริง ด้วยการบูรณาการระหว่างงานวิจัย นโยบาย และการปฏิบัติในพื้นที่ โดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเป็นฐาน การทำงานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานระบบที่ยั่งยืน สามารถปรับตัวและเรียนรู้ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การที่ทุกภาคส่วน “เห็นภาพเดียวกัน” “ใช้ข้อมูลเดียวกัน” และ “พูดภาษางบประมาณเดียวกัน” คือกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จ และสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่เผชิญปัญหาคล้ายกันทั่วประเทศ
สำหรับชาวเชียงราย โครงการนี้หมายถึงความหวังว่าในอนาคต เมื่อเกิดภัยพิบัติ ชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาจะได้รับการปกป้องดีขึ้น ระบบเตือนภัยจะทำงานได้ทันท่วงที และการฟื้นฟูจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นั่นคือความหมายที่แท้จริงของ “เมืองที่ปรับตัวได้ต่อภัยพิบัติ”
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
- เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
- ภาพ : กีรติ ชุติชัย
- ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) – กรอบ 3 แพลตฟอร์ม บทบาท “โซ่ข้อกลาง” แพ็กเกจนโยบายและแพลตฟอร์มข้อมูลสาธารณะ
- ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ – การระดมวิศวกรอาสา ฐานข้อมูลความเสียหายเชิงโครงสร้าง แผนที่เสี่ยงภัย
- นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย – ภาพรวมสถานการณ์น้ำท่วม การฟื้นตัว การเชื่อมกลไกจังหวัด
- นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – นโยบาย “7 เรือธง” โดยเฉพาะ PDOSS ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ
- องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
- สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
- สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA)
- ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ (EARTH)
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
- การบริหารจัดการงานวิจัย, นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์, นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ, ภัยพิบัติ (Disaster Resilient City), ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง, ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.), องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.), อุทกภัย, แผ่นดินไหว







