Categories
TOP STORIES

ไทย-เมียนมา จับมือแก้ปัญหา สารพิษที่เกิดใน “แม่น้ำกก”

ไทย-เมียนมาร่วมมือแก้ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารเคมี การประปาฯ ยืนยันคุณภาพน้ำยังปลอดภัย

เชียงใหม่, 9 เมษายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนต่อสถานการณ์การปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำกก อันเป็นผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ประเทศเมียนมาใกล้พรมแดนไทย การประปาส่วนภูมิภาคเขต 9 ออกมายืนยันความมั่นใจในคุณภาพน้ำประปาว่ายังคงปลอดภัยต่อการบริโภค พร้อมทั้งเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศอย่างเข้มข้น

ต้นเหตุของความกังวล เหมืองแร่ทองคำในเมียนมา

แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไหลผ่านหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ โดยมีจุดต้นกำเนิดจากเขตภูเขาทางตะวันออกของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ก่อนจะไหลเข้าสู่ประเทศไทยและกลายเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำดิบสำคัญของการประปาส่วนภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารเคมีประเภทโลหะหนัก เช่น สารไซยาไนด์ ซึ่งใช้ในกระบวนการแยกแร่ทองคำ จากเหมืองแร่ในฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของน้ำในแม่น้ำกก และเป็นที่มาของความวิตกกังวลในหมู่ประชาชน

ผู้อำนวยการ กปภ.เขต 9 ยืนยันคุณภาพน้ำยังปลอดภัย

นายพงษ์ศักดิ์ เดี่ยววิไล ผู้อำนวยการการประปาส่วนภูมิภาค เขต 9 กล่าวในการแถลงข่าว ณ จังหวัดเชียงใหม่ว่า ทางการประปาได้เฝ้าระวังและตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบอย่างต่อเนื่อง พร้อมมีมาตรการปรับกระบวนการผลิตน้ำเพื่อรองรับกับคุณภาพน้ำที่เปลี่ยนแปลง จึงมั่นใจว่าน้ำประปาที่ยังคงผลิตอยู่ในขณะนี้ มีความสะอาดและปลอดภัย สามารถบริโภคได้ตามปกติ

“เราตรวจสอบคุณภาพน้ำในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง พร้อมทั้งปรับปรุงเทคโนโลยีในการผลิตและบำบัดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองความมั่นใจของประชาชน” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

รัฐบาลไทยเร่งสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

ภายหลังจากที่ได้รับรายงานผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลการประปาส่วนภูมิภาค ได้สั่งการให้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานของเมียนมาโดยเร่งด่วน

โดยมีการประสานกับ นายมีง จอ ลีน กงสุลใหญ่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจำจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแจ้งข้อห่วงกังวลของไทย และเสนอแนวทางการดำเนินการร่วมกันในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารเคมีในแม่น้ำกก

ทางกงสุลใหญ่เมียนมาได้แสดงท่าทีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พร้อมทั้งจะส่งเรื่องไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ว่าการเมืองสาด เมืองยอน และส่วนราชการระดับกลางของประเทศเมียนมา เพื่อดำเนินการตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขในพื้นที่ต้นน้ำอย่างเร่งด่วน

วิเคราะห์ความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

แม้ว่าการประปาจะยืนยันความปลอดภัยของน้ำประปาในปัจจุบัน แต่การปนเปื้อนในแหล่งน้ำต้นทาง เช่น แม่น้ำกก ยังคงถือเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว โดยเฉพาะสารไซยาไนด์หรือโลหะหนักอื่น ๆ หากหลุดรอดเข้าสู่แหล่งน้ำดิบและไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม อาจสะสมในสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดโรคในระบบประสาท ไต หรือก่อมะเร็งได้

ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่มีอำนาจโดยตรงในการเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ต้นน้ำในประเทศเมียนมา จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ และกลไกทางการทูตในการบริหารจัดการปัญหานี้ร่วมกัน

บทบาทของประชาชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่

นอกจากหน่วยงานภาครัฐแล้ว ภาคประชาสังคมและองค์กรสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก และกลุ่มชุมชนริมแม่น้ำในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ก็ได้ร่วมติดตามสถานการณ์และรวบรวมข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำในพื้นที่

มีการรายงานว่าในช่วงต้นปี 2568 มีการพบปลาจำนวนหนึ่งตายในลำน้ำ และมีสีของน้ำเปลี่ยนแปลงในบางช่วงเวลา แม้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงกับการทำเหมือง แต่ก็สะท้อนถึงความจำเป็นในการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

เพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของสารเคมีในแม่น้ำกกอย่างเป็นระบบ ควรมีการดำเนินงานในหลายมิติ ได้แก่

  1. การตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา เพื่อร่วมตรวจสอบคุณภาพน้ำต้นน้ำ และติดตามผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่โดยตรง
  2. การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีระบบเตือนภัยล่วงหน้า ในการตรวจวัดสารเคมีปนเปื้อนในแหล่งน้ำ
  3. การสร้างระบบสื่อสารสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านคุณภาพน้ำอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง
  4. การขยายขอบเขตการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน โดยร่วมมือกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • การประปาส่วนภูมิภาค รายงานว่า แหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาในพื้นที่ภาคเหนือกว่า 35% มาจากแม่น้ำกก และมีประชาชนที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกประมาณ 1.2 ล้านคน
  • กรมควบคุมมลพิษ (ปี 2566) ระบุว่า พื้นที่ชายแดนภาคเหนือมีจุดเสี่ยงจากเหมืองแร่ฝั่งเมียนมา 14 จุด โดย 5 จุด อยู่ใกล้แม่น้ำที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย
  • รายงานจาก เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก ระบุว่า ในช่วงปี 2565-2567 มีการแจ้งเหตุปลาตายหรือคุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลงในลำน้ำกกกว่า 23 ครั้ง
  • รายงานของ World Health Organization (WHO) ระบุว่า การได้รับสารไซยาไนด์ในปริมาณ 0.05 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว สามารถก่อผลกระทบทางสุขภาพได้ในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาค เขต 9
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำกก
  • รายงานสุขภาพสิ่งแวดล้อม WHO ปี 2023
  • กระทรวงมหาดไทย แถลงข่าว 9 เมษายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกวิกฤต สทนช. เร่งประสานเมียนมา แก้ปัญหาสารพิษ

สทนช. ประสานนานาชาติรับมือวิกฤตคุณภาพน้ำแม่น้ำกก หลังพบสารพิษปนเปื้อน

เชียงราย, 6 เมษายน 2568 – ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ได้เร่งดำเนินการประสานความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เพื่อรับมือสถานการณ์คุณภาพน้ำแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารพิษปนเปื้อนในน้ำ บริเวณอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำ สืบเนื่องจากกิจกรรมเหมืองทองคำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ที่ปล่อยสารเคมีลงสู่แหล่งน้ำต้นทาง

การดำเนินการของ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ดร.สุรสีห์ ระบุว่า สทนช. ได้ประสานงานกับหน่วยงานภายในประเทศ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำและกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบต่อประชาชน พร้อมกันนี้ ได้ประสานกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ผ่านกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation: LMC) และสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) เพื่อขอข้อมูลและความร่วมมือในการตรวจสอบสาเหตุ รวมถึงหาแนวทางลดผลกระทบข้ามพรมแดน

“สทนช. มุ่งมั่นคุ้มครองสุขภาพประชาชนและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำแม่น้ำกกให้ยั่งยืน โดยเราจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม” ดร.สุรสีห์กล่าว

การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) พบว่า แม่น้ำกกมีปริมาณสารหนู (Arsenic) และตะกั่ว (Lead) เกินมาตรฐานน้ำผิวดิน โดยผลวิเคราะห์เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ระบุว่า สารหนูมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 0.013-0.015 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ซึ่งเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 0.01 mg/L และตะกั่วมีค่าสูงถึง 0.06 mg/L เกินมาตรฐานที่ 0.05 mg/L สารพิษเหล่านี้หากสัมผัสหรือบริโภคโดยตรงอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ผื่นคัน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย และในระยะยาวอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหรือความเสียหายต่อระบบประสาท

ต้นตอปัญหาและผลกระทบ

แม่น้ำกกมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาดอยผาหม่นในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลผ่านตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เข้าสู่จังหวัดเชียงราย และไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางประมาณ 285 กิโลเมตร เป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับการเกษตร การประมง และการผลิตน้ำประปาในพื้นที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมืองเชียงราย

รายงานระบุว่า สาเหตุหลักของการปนเปื้อนเกิดจากกิจกรรมเหมืองทองคำในเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉานใต้ ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา การขุดเหมืองทองคำได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีการใช้เครื่องจักรกลหนักขุดดินและสกัดแร่ตลอด 24 ชั่วโมง ริมฝั่งแม่น้ำกก กระบวนการสกัดทองคำใช้สารเคมี เช่น สารหนูและไซยาไนด์ ซึ่งเมื่อไม่มีการบำบัดน้ำเสียอย่างเหมาะสม สารพิษเหล่านี้ถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำโดยตรง

การทำลายป่าและการปรับสภาพภูมิประเทศเพื่อสร้างหนองน้ำสำหรับสกัดแร่ ยังส่งผลให้ไม่มีพืชพรรณคอยซับน้ำ ส่งผลให้น้ำเสียไหลลงสู่แม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เมื่อเหมืองทองคำขยายขอบเขตการดำเนินงานจากเมืองสาดลงสู่เมืองยอน และเริ่มเข้าใกล้ชายแดนไทยมากขึ้น

การตอบสนองของหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงสถานการณ์ว่า “ขณะนี้เรายังรอผลการตรวจคุณภาพน้ำอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานจริง ทางจังหวัดจะแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ทันที และดำเนินการตามขั้นตอน โดยหากสาเหตุมาจากต่างประเทศ จะต้องรายงานไปยังกระทรวงการต่างประเทศผ่านกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพื่อประสานความร่วมมือต่อไป”

นายประเสริฐ ยังระบุว่า โดยปกติจังหวัดเชียงรายมีการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจคุณภาพทุก 3 เดือน ใน 3 สถานีที่อำเภอเมือง และ 1 สถานีที่อำเภอเชียงแสน แต่จากสถานการณ์นี้ อาจต้องเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและทันท่วงที

ด้านนายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวการปนเปื้อนจากเหมืองทองคำต้นน้ำ ทาง กปภ. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และปรับเปลี่ยนการตรวจคุณภาพน้ำจากเดิมปีละ 2 ครั้ง เป็นทุกเดือน โดยเฉพาะการตรวจโลหะหนัก “น้ำประปาที่เราผลิตจากแม่น้ำกกในเขตอำเภอเมืองและเวียงชัย มีกระบวนการกรองและกำจัดสารปนเปื้อน รวมถึงสารหนูและตะกั่ว ซึ่งประชาชนสามารถมั่นใจในความปลอดภัยได้ ส่วนอำเภอเชียงแสนใช้น้ำจากแม่น้ำโขงเป็นหลัก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกก” นายทวีศักดิ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ชุมชนท้องถิ่นที่อยู่นอกเขตบริการของ กปภ. และไม่มีระบบกรองน้ำที่สามารถกำจัดโลหะหนักได้ อาจยังเสี่ยงต่อการใช้น้ำที่มีสารปนเปื้อน ทาง กปภ. จึงได้เข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับการกรองน้ำเบื้องต้นแก่ชุมชนเหล่านี้

ความเคลื่อนไหวของภาคประชาชน

นางสาวจุฑามาศ ราชประสิทธิ เจ้าหน้าที่อาวุโสมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ภาคประชาชนไม่รอให้รัฐดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว โดย 4 องค์กรภาคประชาสังคม ได้แก่ พชภ., มูลนิธิศึกษาพัฒนาประชาชนบนที่สูง, กลุ่มฅนเพื่อการเปลี่ยนแปลง และมูลนิธิร่มโพธิ์ ได้ร่วมกันจัดตั้ง “เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก” ตั้งแต่ปลายปี 2567 หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในอำเภอเมืองเชียงรายเมื่อเดือนกันยายน 2567 ซึ่งเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของระบบเตือนภัยน้ำท่วมของภาครัฐ

“เราได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำตามชุมชนริมแม่น้ำกกใน 7 พื้นที่ เช่น บ้านโป่งนาคำ ตำบลดอยฮาง, บ้านแก่งทรายมูล และบ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถอ่านค่าระดับน้ำและแจ้งเตือนกันเองผ่านภาพถ่ายและคลิปวิดีโอในเครือข่ายชุมชน ปัจจุบันดำเนินการแล้ว 6 ชุมชน และกำลังจะจัดอบรมอาสาสมัครเพิ่มเติมในฤดูฝนนี้” นางสาวจุฑามาศกล่าว

เธอระบุว่า การดำเนินการนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วม แต่ยังเป็นเครื่องมือให้ชุมชนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตสารพิษปนเปื้อนเช่นนี้

ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ

  • ปี 2550: แม่น้ำกกเริ่มเปลี่ยนสีจากใสเป็นแดงขุ่น ชาวบ้านเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ
  • ปี 2566: เหมืองทองคำในรัฐฉานขยายตัวอย่างรวดเร็ว เริ่มมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำกก
  • 14 มีนาคม 2568: ชาวบ้านลุ่มน้ำกกเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐออกมาตรการปกป้องแม่น้ำ
  • 19 มีนาคม 2568: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เก็บตัวอย่างน้ำเพื่อวิเคราะห์
  • 4 เมษายน 2568: ประกาศผลตรวจ พบสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำกกได้สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ โดยเกิดมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายที่มองว่าเป็นวิกฤตเร่งด่วน และฝ่ายที่มองว่าไม่รุนแรงนัก

ฝ่ายที่ 1: วิกฤตที่ต้องแก้ไขทันที
ภาคประชาชนและบางหน่วยงาน เช่น มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา เห็นว่าการปนเปื้อนของสารหนูและตะกั่วเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพและวิถีชีวิต โดยเฉพาะชุมชนที่พึ่งพาน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง การที่สารพิษเกินมาตรฐานถึงสองเท่าในบางจุด และมีรายงานการขยายเหมืองทองคำในเมียนมาโดยไม่มีการควบคุม บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเร่งด่วนทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ

ฝ่ายที่ 2: ปัญหายังไม่รุนแรงมาก
ในทางกลับกัน หน่วยงานบางส่วน เช่น การประปาส่วนภูมิภาค และสำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ มองว่าสถานการณ์ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะเมื่อน้ำประปายังปลอดภัยจากการบำบัด และปริมาณสารพิษที่เกินมาตรฐานอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก การเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบและการให้ความรู้แก่ประชาชนถือว่าเพียงพอในระยะสั้น โดยไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกเกินเหตุ

ทัศนคติเป็นกลาง

ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลที่สมควรพิจารณา การที่สารพิษเกินมาตรฐานเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และสมควรได้รับการแก้ไขเพื่อปกป้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีทางเลือกในการใช้น้ำประปา อย่างไรก็ตาม การที่หน่วยงานสามารถควบคุมคุณภาพน้ำประปาได้ และผลกระทบต่อสุขภาพยังไม่ปรากฏชัดเจนในวงกว้าง บ่งบอกว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤตฉุกเฉิน การดำเนินการควรเน้นที่การตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การประสานงานระหว่างประเทศ และการสร้างความตระหนักรู้ โดยไม่ปล่อยให้เกิดความตื่นตระหนกหรือละเลยปัญหา

แนวทางแก้ไขและความท้าทาย

การแก้ไขปัญหานี้มีความท้าทายหลักคือต้นตออยู่ในต่างประเทศ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของหน่วยงานไทย การเจรจาผ่านกรอบ LMC และ MRCS จึงเป็นแนวทางระยะยาวที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากเมียนมา ขณะที่ในระยะสั้น การแจ้งเตือนประชาชน การเพิ่มระบบกรองน้ำในชุมชนท้องถิ่น และการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ทันที

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. คุณภาพน้ำในแม่น้ำกก: กรมควบคุมมลพิษระบุว่า ในปี 2567 แม่น้ำกกมีค่า BOD เฉลี่ย 3-5 mg/L เกินมาตรฐานน้ำผิวดินที่ 2 mg/L (ที่มา: รายงานสถานการณ์มลพิษน้ำ, 2567)
  2. การปนเปื้อนสารหนู: องค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่า ทั่วโลกมีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำปนเปื้อนสารหนูเกิน 0.01 mg/L มากกว่า 140 ล้านคน (ที่มา: WHO Arsenic Fact Sheet, 2023)
  3. เหมืองทองคำในเมียนมา: รายงานจาก Global Witness ปี 2023 พบว่า รัฐฉานมีเหมืองทองคำผิดกฎหมายกว่า 100 แห่ง ส่วนใหญ่ปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำโดยไม่บำบัด (ที่มา: Global Witness, 2023)
  4. น้ำท่วมในเชียงราย: สทนช. รายงานว่า ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำกก 3 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อ 15,000 ครัวเรือน (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ, สทนช., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สทนช.
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • WHO
  • Global Witness
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News