Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เลขาฯ ป.ป.ส. ชี้ หัวใจสำเร็จคือข่าวกรองข้ามแดน สกัดวงจรนักค้ายาที่ใช้เมียนมาเป็น “ที่หลบภัย”

เชียงรายรับตัวผู้ต้องหายาเสพติดจากเมียนมา 2 รายกลางสะพานมิตรภาพแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก สะท้อน “วาระแห่งชาติ” ปราบปรามยาเสพติดผ่านความร่วมมือข้ามแดน

เชียงราย, 11 ธันวาคม 2568 – บริเวณด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 2 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในช่วงบ่ายของวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เป็นฉากสำคัญของปฏิบัติการด้านความมั่นคงครั้งล่าสุด เมื่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) รับมอบตัวผู้ต้องหาสัญชาติไทยที่หลบหนีหมายจับจากคดียาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติรวม 4 ราย จากทางการเมียนมา โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 ราย ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “ฟันเฟืองสำคัญ” ในเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามแดนที่เชื่อมโยงตั้งแต่ฝั่งผู้ผลิตในประเทศเพื่อนบ้านมาจนถึงตลาดผู้เสพในหลายจังหวัดของไทย

ภายใต้นโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ “การปราบปรามยาเสพติด” เป็นวาระแห่งชาติ การส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดนครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปิดคดีเฉพาะราย แต่สะท้อนการขยายผลของยุทธศาสตร์ด้านข่าวกรอง ยึดทรัพย์ และทำลายเครือข่าย ที่ต้องพึ่งพาความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด และใช้จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายเป็นแนวหน้าของการรับมือปัญหายาเสพติดเชิงโครงสร้างในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและสามเหลี่ยมทองคำ

จากวาระแห่งชาติ สู่แนวหน้าแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก

การเคลื่อนไหวที่ชายแดนแม่สายในครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้นโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งประกาศให้การปราบปรามยาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม นำโดย พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนให้เกิดผลรูปธรรม ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหายาเสพติดในทุกมิติ ทั้งด้านความปลอดภัย สุขภาพ และเศรษฐกิจครัวเรือน

ประเทศไทยยังคงเผชิญภาระจากคดียาเสพติดในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากรายงานด้านเรือนจำและระบบยุติธรรมชี้ว่า ผู้ต้องขังในเรือนจำไทยกว่าครึ่ง – และในบางช่วงปีมากกว่าสองในสาม – เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด สะท้อนให้เห็นว่า “ยาเสพติด” ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาอาชญากรรมทั่วไป แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ซ้อนทับอยู่กับปัญหาความยากจน หนี้สิน และโอกาสทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมของประชาชนจำนวนมาก

ในระดับภูมิภาค พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและแนวชายแดนไทย–เมียนมา–สปป.ลาว ยังคงถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตและเส้นทางลำเลียงเมทแอมเฟตามีนและสารเสพติดสังเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้จังหวัดชายแดนภาคเหนือของไทย รวมทั้งเชียงราย ต้องรับภาระการสกัดกั้นยาเสพติดที่ทะลักเข้าสู่ประเทศอย่างต่อเนื่อง การสกัดเส้นทางขนส่งและการตามล่า “ผู้สั่งการ” ที่ซ่อนตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านจึงเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงในภูมิภาคนี้

เบื้องหลังปฏิบัติการ เมื่อข่าวกรองข้ามแดนทำงาน

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2568 พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล เลขาธิการ ป.ป.ส. เดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหารด้านความมั่นคงและฝ่ายปกครอง ทั้งจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อาทิ ปลัดจังหวัดเชียงราย นายอำเภอแม่สาย ผู้บริหารสำนักปราบปรามยาเสพติด ผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารชายแดน กองกำลังผาเมือง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตัวแทนสำนักงานประสานงานชายแดนไทย–เมียนมา (TBC) เพื่อร่วมรับมอบตัวผู้ต้องหา ณ สะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 2 (แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก)

การส่งตัวผู้ต้องหาในครั้งนี้เกิดจากการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานไทย กับสำนักงานคณะกรรมการเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control: CCDAC) และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดท่าขี้เหล็กของเมียนมา รวมถึงการบูรณาการข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยเฉพาะกิจสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดชายแดนภาคเหนือ (นบ.ยส.35.) กองกำลังผาเมือง กรมศุลกากร และฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย

เลขาธิการ ป.ป.ส. ระบุถึง “หัวใจของความสำเร็จ” ไว้อย่างชัดเจนว่า เกิดจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากแหล่งข่าวที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ และจากการสืบสวนติดตามความเคลื่อนไหวของเครือข่ายในฝั่งเมียนมา ซึ่งแม้ผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับไปอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ยังมีการติดต่อประสานงานกับเครือข่ายในฝั่งไทยอยู่ตลอดเวลา

สาระสำคัญของคำชี้แจง คือ การย้ำว่า “ผลสัมฤทธิ์ของปฏิบัติการครั้งนี้ อยู่ที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศ และความสัมพันธ์เชิงปฏิบัติการที่ดีระหว่างไทย–เมียนมา” ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่เป็นการต่อยอดจากกรอบความร่วมมือทวิภาคีที่ไทยและเมียนมาร่วมกันผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง โดยมี CCDAC เป็นแกนกลางฝ่ายเมียนมา และ ป.ป.ส. ควบคู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นแกนกลางฝ่ายไทย

ผู้ต้องหายาเสพติด 2 ราย ฟันเฟืองสำคัญในเครือข่ายข้ามแดน

ผู้ต้องหาสัญชาติไทยที่ถูกส่งมอบในครั้งนี้มีทั้งหมด 4 คน โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดียาเสพติด 2 ราย และผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง 1 ราย รวมทั้งผู้หลบหนีเข้าเมืองอีก 1 ราย

ผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายแรก คือ นายพลชนะ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ ในข้อหา “จำหน่ายและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคอลไรด์) โดยไม่ได้รับอนุญาต” ข้อมูลจาก ป.ป.ส. ระบุว่า นายพลชนะมีบทบาทเป็นบุคคลสำคัญในเครือข่ายของนายภัทรพงษ์ (สงวนนามสกุล) นักค้ายาเสพติดรายสำคัญที่มีศักยภาพในการจัดหายาบ้าปริมาณระดับ 500,000 – 1,200,000 เม็ด เพื่อจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์และพิษณุโลก

ผู้ต้องหายาเสพติดอีกราย คือ นายวิรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ชาวจังหวัดเชียงใหม่ ถูกออกหมายจับในข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยมีไว้เพื่อจำหน่าย อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต” ลักษณะความผิดที่ถูกกล่าวหาสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทในระดับการค้าสend มากกว่าผู้เสพหรือผู้ค้ารายย่อยทั่วไป

แม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของเครือข่ายทั้งหมด แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งสองรายต้องหลบหนีออกนอกประเทศไปพำนักในฝั่งเมียนมานั้น บ่งชี้ถึงระดับความเสี่ยงและบทบาทในเครือข่ายที่อยู่เหนือชั้นผู้ลำเลียงระดับพื้นที่ และแสดงให้เห็นถึงความพยายามของเจ้าหน้าที่ในการ “ไล่ตามคนสั่งการ” แทนที่จะหยุดเพียงการจับกุมผู้ลำเลียงและผู้ค้ารายย่อยเหมือนในอดีต

เลขาธิการ ป.ป.ส. ชี้ให้เห็นอีกมิติหนึ่งว่า ผู้ต้องหากลุ่มที่หลบหนีไปอยู่ฝั่งเมียนมามักมีความใกล้ชิดกับเจ้าของหรือผู้ผลิตยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ มีบทบาทในการสร้างเครดิตความน่าเชื่อถือและเชื่อมโยงคำสั่งซื้อระหว่างเครือข่ายในฝั่งไทยกับกลุ่มผู้ผลิต เมื่อบุคคลกลุ่มนี้ยังคงมีเสรีภาพในการเคลื่อนไหว ย่อมทำให้การส่งคำสั่งซื้อ การนัดหมายเส้นทางส่งมอบ และการขยายเครือข่ายใหม่ในฝั่งไทยเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง การนำตัวกลับมาดำเนินคดีจึงไม่ใช่เพียงการจัดการกับ “ผู้หลบหนีหมายจับ” แต่เป็นการตัดวงจรสำคัญของห่วงโซ่อุปทานในตลาดมืดด้วย

ชายแดนเชียงราย แนวหน้าในสมรภูมิยาเสพติดภูมิภาค

อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในด่านหน้าสำคัญของไทยทั้งในมิติการค้า การท่องเที่ยว และความมั่นคง ด่านสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา ทั้งแห่งที่ 1 และแห่งที่ 2 ถูกใช้เป็นช่องทางการขนส่งสินค้าถูกกฎหมายจำนวนมาก แต่ก็เป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ต้องคอยเฝ้าระวังเส้นทางลำเลียงยาเสพติดอย่างใกล้ชิดเช่นกัน หลายปีที่ผ่านมา มีรายงานการยึดเมทแอมเฟตามีน ไอซ์ และเฮโรอีนจำนวนมากในพื้นที่ชายแดนแม่สาย และบางครั้งถึงขั้นเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับขบวนการลำเลียงยาเสพติดในแนวชายแดน

ภายใต้บริบทดังกล่าว จังหวัดเชียงรายจึงกลายเป็นทั้ง “ประตูเศรษฐกิจ” และ “สมรภูมิด้านความมั่นคง” ไปพร้อมกัน การที่ ป.ป.ส. เลือกใช้แม่สายเป็นจุดรับมอบตัวผู้ต้องหาข้ามแดนในครั้งนี้ จึงมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ว่า ชายแดนไม่ได้เป็นเพียงแนวรับ แต่เป็นเวทีของความร่วมมือระหว่างประเทศในการตัดวงจรอาชญากรรมข้ามชาติ

ต่างชาติ–ต่างหน่วยงาน แต่เป้าหมายเดียวกัน ความปลอดภัยของสังคมไทย

ปฏิบัติการรับมอบตัวผู้ต้องหาที่แม่สายครั้งนี้ เป็นผลลัพธ์ของการบูรณาการทั้ง “แนวนอน” และ “แนวตั้ง”

ในระดับนโยบาย รัฐบาลไทยกำหนดยุทธศาสตร์จัดการยาเสพติดในกรอบแผนปฏิบัติการป้องกันและควบคุมโรคและภัยสุขภาพจากยาเสพติด ปี 2566–2570 และแผนแม่บทด้านยาเสพติดที่มุ่งเน้นการลดอุปทาน ควบคู่กับการลดอุปสงค์และผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน

ในระดับปฏิบัติการ ป.ป.ส. ทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองกำลังทหารชายแดน ศุลกากร และฝ่ายปกครอง เมื่อเครือข่ายยาเสพติดขยายตัวออกไปนอกพรมแดน การดำเนินการจึงต้องพึ่งพาความร่วมมือกับหน่วยงานคู่ขนานในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น CCDAC ของเมียนมา ผ่านกรอบความตกลงทวิภาคีที่มีการประชุมร่วมและส่งตัวผู้ต้องหามาแล้วหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา

เลขาธิการ ป.ป.ส. ย้ำว่า การร่วมมือกับทางการเมียนมาและ สปป.ลาว มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่ขบวนการค้ายาเสพติดใช้ประโยชน์จากพรมแดนที่ยากต่อการควบคุมและการใช้เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ในการสั่งการข้ามประเทศ การมีช่องทางแลกเปลี่ยนข่าวกรอง การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเจ้าหน้าที่ และกระบวนการส่งตัวผู้ต้องหาตามหมายจับกลับมาดำเนินคดีในไทย เป็นตัวอย่างของ “ความร่วมมือที่จับต้องได้” มากกว่าการลงนามในเอกสารหรือแถลงการณ์เชิงสัญลักษณ์

จากการจับกุมสู่การตัดวงจร บทเรียนเชิงนโยบาย

แม้การนำตัวผู้ต้องหายาเสพติด 2 รายกลับมาดำเนินคดีในไทย จะไม่สามารถหยุดยั้งการผลิตและลำเลียงยาเสพติดทั้งหมดได้ในทันที แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ การปิดช่องว่างไม่ให้ผู้ต้องหาสำคัญใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็น “ที่หลบภัย” ถือเป็นการส่งสัญญาณสำคัญไปยังเครือข่ายค้ายาเสพติดว่า “ไม่มีพื้นที่ปลอดภัย” สำหรับผู้ที่หลบหนีหมายจับ

อีกด้านหนึ่ง ปฏิบัติการนี้ยังชี้ให้เห็นความจำเป็นของการดำเนินการเชิงระบบควบคู่กันไป ได้แก่

  1. การสืบสวนขยายผลทางการเงินและการยึดทรัพย์สิน
    การตัดวงจรยาเสพติดอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องยึดทรัพย์สินและตัดเส้นทางการเงินของเครือข่าย ไม่ให้สามารถนำผลกำไรจากธุรกิจผิดกฎหมายกลับมาฟอกเงินหรือสร้างอิทธิพลในชุมชนได้
  2. การดูแลผู้ใช้และผู้เสพในฐานะ “ผู้ป่วย” มากกว่า “อาชญากร”
    สัดส่วนผู้ต้องขังในเรือนจำที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดจำนวนมากสะท้อนให้เห็นว่าหากไม่มีการจัดการด้านบำบัดรักษา ฟื้นฟู และลดอันตราย (harm reduction) อย่างเป็นระบบ ก็อาจเกิดภาวะ “จับเท่าไรก็ไม่หมด” และสร้างภาระให้กับระบบยุติธรรมอย่างไม่สิ้นสุด
  3. การสร้างภูมิคุ้มกันในชุมชนชายแดน
    ชุมชนในจังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายไม่เพียงเป็นเส้นทางผ่านของยาเสพติด แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เยาวชนและแรงงานอาจถูกดึงเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การค้ายาเสพติดได้ง่าย หากขาดโอกาสทางเศรษฐกิจและการศึกษา การสร้างทางเลือกทางเศรษฐกิจ การเสริมบทบาทภาคประชาสังคม และการสื่อสารความเสี่ยงในชุมชนจึงมีความสำคัญไม่แพ้การสกัดกั้นที่ด่านพรมแดน

เสียงสะท้อนจากแม่สาย ความคาดหวังต่ออนาคต

สำหรับประชาชนในพื้นที่ชายแดน การเห็นเจ้าหน้าที่ไทยรับมอบตัวผู้ต้องหายาเสพติดกลับมาดำเนินคดีในประเทศ อาจไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันทันที แต่เป็น “สัญญาณเชิงสัญลักษณ์” ว่าปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญมานาน – ตั้งแต่ภัยยาเสพติดในชุมชน ไปจนถึงความรุนแรงและการปะทะในแนวชายแดน – กำลังถูกจัดการในระดับที่สูงกว่าการจับผู้กระทำผิดรายเล็กๆ

ปฏิบัติการครั้งนี้จึงอาจถูกมองได้ว่าเป็น “จิ๊กซอว์หนึ่งชิ้น” ในภาพใหญ่ของการปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องประกอบเข้ากับจิ๊กซอว์อื่นๆ อีกมาก ตั้งแต่การพัฒนาระบบข่าวกรอง การยึดทรัพย์เครือข่าย การบำบัดฟื้นฟูผู้เสพ การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในชุมชนชายแดน ไปจนถึงการสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

ท้ายที่สุด สิ่งที่ประชาชนคาดหวังจาก “วาระแห่งชาติด้านยาเสพติด” อาจไม่ได้มีเพียงตัวเลขการจับกุมหรือสถิติการยึดยาเสพติด แต่คือการเห็นชุมชนของตนปลอดภัยขึ้น เยาวชนมีทางเลือกในชีวิตมากกว่าการเข้าไปเป็น “แรงงาน” ในขบวนการผิดกฎหมาย และครอบครัวสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องหวาดระแวงว่าพรมแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงเส้นแบ่งแผนที่ จะกลายเป็นช่องทางของภัยคุกคามที่มองไม่เห็น

ปฏิบัติการรับมอบตัวผู้ต้องหาจากทางการเมียนมา ณ ชายแดนแม่สายในครั้งนี้แม้จะเป็นเพียงหนึ่งเหตุการณ์ในกระแสข่าวอาชญากรรม แต่เมื่อมองผ่าน “เลนส์ของนโยบาย” และ “บริบทของภูมิภาค” ก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดในศตวรรษที่ 21 ไม่อาจทำได้โดยลำพังภายในพรมแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือ ความไว้วางใจ และการดำเนินการเชิงระบบระหว่างรัฐ เพื่อนำไปสู่สังคมที่ปลอดภัยขึ้นสำหรับประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำสายเดียวกัน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)
  • สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC)
  • ส่วนข่าวกรองยาเสพติด สำนักปราบปรามยาเสพติด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย–ลาวเปิดฉาก “ลาดตระเวนร่วม” สกัดภัยข้ามแดนจากสามเหลี่ยมทองคำ

สมรภูมิแม่น้ำโขง ไทย–ลาว “ลาดตระเวนร่วม” เชียงของ สกัดภัยข้ามแดน—เปิดฉากความร่วมมือสู้ปัญหาซับซ้อนจากสามเหลี่ยมทองคำ

เชียงราย, 8 กันยายน 2568 — เสียงเครื่องยนต์เรือตรวจการณ์แล่นฉีกผิวน้ำโขงยามเช้า หน้า สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ–บ่อแก้ว) ขณะที่กำลังพลจากทั้งสองฝั่งแม่น้ำยืนประจำจุด ดูแลอุปกรณ์สื่อสารและแผนที่เดินเรือ ปฏิบัติการ ลาดตระเวนร่วมทางน้ำ” เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมี พ.อ.มีชัย นิลศาสตร์ รองผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง (กกล.ผาเมือง) และ พ.อ.แสงเพ็ด แสงมะนี หัวหน้าการทหาร บก.ทหาร แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ทำหน้าที่ประธานร่วม ณ จุดยุทธศาสตร์ริมโขงในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อสกัดกั้น ยาเสพติด การหลบหนีเข้าเมือง และการลำเลียงสินค้าผิดกฎหมายที่คุกคามความมั่นคงสองประเทศอย่างต่อเนื่อง

การลาดตระเวนครั้งนี้ไม่ใช่กิจกรรมเฉพาะกิจ หากเป็น “ภาพสะท้อน” ของกรอบความร่วมมือความมั่นคงไทย–ลาวที่ยกระดับตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ระดับผู้นำรัฐบาลลงมาถึงหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ ตามเป้าหมายเดียวกันคือ ลดความรุนแรงของอาชญากรรมข้ามชาติในลุ่มน้ำโขง และ ทำให้พรมแดนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนและเศรษฐกิจชายแดน

โจทย์ใหญ่หน้าด่าน ยาเสพติดทะลัก–ภัยมั่วรูปแบบในลุ่มน้ำโขง

ตลอด 4–5 ปีที่ผ่านมา ลุ่มน้ำโขงเผชิญ “พายุสังเคราะห์” จากยาเสพติดชนิดเมทแอมเฟตามีนที่ ทำสถิติยึดจับสูงเป็นประวัติการณ์ ต่อเนื่อง องค์การสหประชาชาติ (UNODC) ระบุว่า ปี 2567 (ค.ศ. 2024) เมทแอมเฟตามีนที่ถูกยึดในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูงถึง 236 ตัน เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน และยังพบการปรับตัวของเครือข่ายผลิต–ลำเลียงด้วยเส้นทางใหม่และเทคนิคพรางตัวซับซ้อนมากขึ้น นั่นทำให้ “แนวหน้า” อย่างเชียงรายและบ่อแก้วต้องรับภาระกดดันหนักหน่วงกว่าที่เคย

สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเชื่อมพรมแดนไทย–ลาว–เมียนมา ยังคงเป็น “ครัวโลก” ผลิตเมทแอมเฟตามีนและยาเสพติดสังเคราะห์รูปแบบต่างๆ หลายเครือข่ายมี ศักยภาพกึ่งกองกำลัง และถักทอสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์กับธุรกิจในพื้นที่ชายแดน ทำให้การบังคับใช้กฎหมายต้องพึ่งทั้ง ข่าวกรอง การสกัดกั้นเชิงลึก และความร่วมมือทวิภาคีที่ต่อเนื่อง มากกว่าการตั้งด่านหรือออกเรือตรวจแบบเดี่ยว ๆ

ไทย–ลาว” ขยับพร้อมกัน จากโต๊ะผู้นำสู่เรือตรวจการณ์หน้าน้ำ

เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ผู้นำรัฐบาลไทยและลาวหารือที่ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ เห็นพ้องยกระดับความร่วมมือ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์–ยาเสพติด ควบคู่การจัดการ หมอกควันข้ามแดน และการเพิ่มมูลค่าการค้าทวิภาคี นับเป็นสัญญาณชัดเจนว่าความมั่นคงชายแดนถูกผูกเข้ากับวาระเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในแพ็กเกจความร่วมมือเดียวกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นองค์รวม

ระดับพื้นที่ก็ขยับจริงจังตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งการลงนาม MOU ด้านปราบปรามยาเสพติด ระหว่างหน่วยทหารชายแดนสองประเทศในแนวโขง และการปฏิบัติการ “No Drugs No Dealers” ที่ฝ่ายไทย–ลาวเปิดแถลงข่าวขับเคลื่อนร่วมกัน เน้นการเชื่อมโยงข้อมูล–ขยายผลถึงเครือข่ายการเงิน ของผู้ค้ายาเสพติด ไม่ใช่จับเฉพาะหน้าด่านแล้วจบ

กกล.ผาเมือง ในฐานะกำลังหลักแนวเหนือ มีภารกิจเฝ้าระวัง–ป้องกันชายแดนครอบคลุมหลายจังหวัด ตั้งแต่เชียงราย–เชียงใหม่–พะเยา–น่าน–อุตรดิตถ์–พิษณุโลก ทำงานทั้งมิติทหาร ความมั่นคงภายใน และกิจการพลเรือน เพื่อให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของการดูแลความปลอดภัยตลอดแนวป่าเขาและลำน้ำ

ภูมิทัศน์ภัยคุกคาม จาก “กองกำลังนอกภาครัฐ” ถึง “เศรษฐกิจเงา” ในเขตพัฒนา

รายงานของฝ่ายความมั่นคงนานาชาติหลายฉบับชี้ว่า เครือข่ายอาชญากรรมในสามเหลี่ยมทองคำมีความเชื่อมโยงกับ กองกำลังติดอาวุธนอกภาครัฐในเมียนมา ขณะที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุ กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) เป็นหนึ่งในองค์กรค้ายาเสพติดที่มีขีดความสามารถสูง มีโครงสร้างกึ่งรัฐและกำลังพลพร้อมอาวุธครบมือ ทำให้แรงกดดันแนวชายแดนไทย–ลาว–เมียนมาไม่ใช่โจทย์ “ตำรวจ–ทหาร” แบบเดิมอีกต่อไป

ในอีกมิติหนึ่ง หน่วยงานกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (OFAC) เคยประกาศ คว่ำบาตรเครือข่าย “จ้าว เหว่ย” (Zhao Wei Network) ผู้บริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ (GTSEZ) ฐานเกี่ยวข้อง ฟอกเงิน–ค้ายา–ค้ามนุษย์ และใช้นิติบุคคลบังหน้าเพื่อแทรกซึมระบบเศรษฐกิจชายแดนในลาว—ประเด็นนี้สะท้อนภาพ “เศรษฐกิจเงา” ที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานถูกกฎหมายเป็นช่องทางเคลื่อนย้ายทุนมืดและคนผิดกฎหมาย

แรงสั่นสะเทือนถึงฝั่งไทย กระสุน–แรงระเบิดลามข้ามพรมแดน

ความรุนแรงจากฝั่งบ่อแก้ว สปป.ลาว ลามผลกระทบถึงบ้านเรือนฝั่งเชียงราย หลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา สื่อท้องถิ่นภาษาอังกฤษรายงานกรณีกระสุนจากเหตุปะทะตกใส่หลังคาบ้านในไทย และยังมีข่าวเหตุระเบิดในบ่อแก้วที่สร้างแรงสั่นสะเทือนใกล้จุดผ่านแดน—ทั้งหมดนี้ยืนยันว่า ความไม่สงบชายแดนไม่ได้หยุดอยู่กลางน้ำ แต่ กระทบความปลอดภัยประชาชนไทยโดยตรง และบีบให้ต้องยกระดับกลไกเตือนภัย–สื่อสารสาธารณะในพื้นที่

สกัด–ขยายผล–ทำลายทุน” ยุทธศาสตร์กกล.ผาเมืองบนสมรภูมิแม่น้ำ

โครงงานลาดตระเวนร่วม 8 กันยายนนี้ จึงถูกวางบทบาทเป็น ฟันเฟืองเชื่อมยุทธศาสตร์ 3 ชั้น

  1. สกัดกั้นปลายน้ำ บนลำน้ำโขงด้วยเรือตรวจการณ์ผสมไทย–ลาว ควบคุมช่องทางเสี่ยง การขึ้น–ลงสินค้าเถื่อน และเส้นทางคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมมาตรการคัดกรอง–สืบสวนภาคสนามร่วมกัน
  2. ขยายผลกลางน้ำ ด้วยการแลกเปลี่ยนข่าวกรองอย่างเป็นระบบกับหน่วยงานคู่ขนาน เช่น ป.ป.ส. ฝ่ายปกครอง ตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยต่อต้านการฟอกเงิน เพื่อเชื่อมโยง “ของ–คน–ทุน” เข้าด้วยกัน ไม่ให้คดีหยุดที่ของกลาง
  3. ทำลายทุนต้นน้ำ ผ่านความร่วมมือระหว่างรัฐบาล—อาศัยแรงส่งทางการทูต เศรษฐกิจ และกฎหมายระหว่างประเทศ บีบช่องทางระดมทุน–เคลื่อนย้ายเงินของเครือข่ายอาชญากรรมในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจชายแดน

หลักฐานเชิงประจักษ์ คดีสกัดจับ “หลายล้านเม็ด” ที่ทำให้ภาพชัด

เพียงดูสถิติการยึดยาเสพติดใน แนวเหนือ–ลุ่มน้ำโขง จะเห็นความเข้มข้นของปัญหา—ข่าวการจับยึดยาบ้าระดับ หลักล้านเม็ด เกิดขึ้นถี่ในเชียงราย–เชียงใหม่ตลอดปี อาทิ

  • คดี 2.8 ล้านเม็ด ที่อำเภอแม่สาย—ตอกย้ำว่าแนวชายแดนบนสุดยังเป็น เป้าหมายหลัก ของขบวนการ
  • คดี 4.2 ล้านเม็ด เขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และ 600,000 เม็ด แถวเชียงดาว—สะท้อนเส้นทางเชื่อมต่อจากด่านหน้าสู่ “พื้นที่ชั้นใน”
  • อีกด้านหนึ่ง ในฝั่งลาวยังเร่ง กวาดล้างล็อตใหญ่ หลายคดีในแขวงภาคเหนือ สะท้อนแรงกดดันต่อเครือข่ายจากทั้งสองฝั่ง

ภาพรวมเหล่านี้สอดรับกับข้อมูล UNODC ที่ระบุแนวโน้ม การผลิต–ลักลอบเพิ่มขึ้น และ เส้นทางขนส่งปรับตัว อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ข้ามแม่น้ำ–ถนนเลียบโขง–วงแหวนรอบนอกเมืองชายแดน ก่อนเข้าสู่โครงข่ายขนส่งตอนใน

 “พรมแดนปลอดภัยคือเศรษฐกิจที่เดินหน้าได้”

ฝ่ายความมั่นคงย้ำมาตลอดว่า พรมแดนปลอดภัย = ชายแดนคึกคัก” ทั้งการท่องเที่ยว การค้า ตลาดริมโขง และโลจิสติกส์ข้ามแดน สะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 ซึ่งเป็นเสาหลักการค้าระหว่างเชียงของกับบ่อแก้ว—จะทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อความเสี่ยงอาชญากรรมลดลง การลาดตระเวนร่วมจึง ไม่ได้มีค่าเฉพาะด้านความมั่นคง แต่ยังเป็น การคุ้มครองปากท้อง ของคนชายแดน ทั้งพ่อค้า–แม่ค้า ผู้ขับเรือ นักท่องเที่ยว และแรงงาน

ทำไม “ลาดตระเวนร่วม” จึงจำเป็น แต่ยังไม่พอ

ปัญหายาเสพติด–อาชญากรรมข้ามชาติ “โตเร็วกว่าเครื่องมือรัฐ” เครือข่ายใช้เทคโนโลยีสื่อสารเข้ารหัส เส้นทางย่อยหลบเลี่ยงด่าน และ ทุนการเงินข้ามแดน ที่โยงกับธุรกิจพรางตัว การลาดตระเวนร่วมช่วย ลดแรงกดดันปลายน้ำ ได้จริง แต่จะยั่งยืนก็ต่อเมื่อ ข้อมูลข่าวกรอง–การสืบสวนทางการเงิน ทำงานคู่ขนานจนปิดวงจรทุนผิดกฎหมาย ซึ่งความไม่สงบในแขวงบ่อแก้ว และเหตุปะทะตามแนวชายแดน แสดงให้เห็นว่าโจทย์นี้ ทับซ้อนความมั่นคง–การเมือง–เศรษฐกิจ การเตรียมแผนอพยพ–แจ้งเตือนประชาชน–ซ้อมรับเหตุฉุกเฉิน ต้องเป็น มาตรฐานประจำ ของจังหวัดแนวโขง ไม่ใช่เฉพาะช่วงข่าวดัง โดยความร่วมมือระดับผู้นำไทย–ลาวที่ประกาศต่อสาธารณะ สร้าง “แรงหนุนเชิงนโยบาย” ดีแล้ว ขั้นต่อไปคือ คณะทำงานร่วมถาวร ที่จัดลำดับความสำคัญร่วมกัน ชุดปฏิบัติการผสมที่ ใช้ฐานข้อมูลเดียวกันแบบเรียลไทม์ และกลไกหมุนเวียนกำลัง–งบประมาณที่คงเส้นคงวา เพื่อไม่ให้ความร่วมมือสะดุดตามวาระ

ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ

  1. ยกระดับ “ข่าวกรองร่วม” ระหว่างหน่วยไทย–ลาว โดยตั้งศูนย์ข้อมูลผสมริมโขง เชื่อมระบบสืบสวนทางการเงิน ป.ป.ส.–AMLO เข้ากับข้อมูลพรมแดนลาว เพื่อ ปิดวงจรทุนและคน พร้อมกัน
  2. คุมความเสี่ยงเขตเศรษฐกิจ–โลจิสติกส์ โดยคัดกรองผู้ประกอบการ–การเงินในพื้นที่พัฒนา ร่วมกับสถาบันการเงิน และใช้อำนาจทางการทูต–คว่ำบาตรพุ่งเป้าเครือข่ายที่ถูกระบุจากต่างประเทศ
  3. ลงทุน “ความปลอดภัยของชุมชน” เพิ่มเครือข่ายข่าวสารหมู่บ้าน–ท่าเรือท้องถิ่น สนับสนุนค่าตอบแทนแหล่งข่าวและเทคโนโลยีแจ้งเหตุเร็ว เพื่อให้ประชาชนเป็น ตา–หู ที่ไว้ใจได้ของรัฐ
  4. ซ้อมแผนฉุกเฉินแนวโขง ครอบคลุมหัวข้อ “กระสุน–ระเบิดข้ามแดน” และการสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุก บนหลักฐานจากเหตุการณ์จริงในรอบปี

ปฏิบัติการลาดตระเวนร่วมทางน้ำ เชียงของ–บ่อแก้ว 8 กันยายน 2568 คือสัญญาณสำคัญว่าไทย–ลาว ยืนแถวเดียวกัน ต่อหน้าปัญหาข้ามพรมแดนที่ซับซ้อนและยืดเยื้อ ความสำเร็จจะไม่วัดเพียงจำนวนเรือหรือเที่ยวลาดตระเวน แต่ต้องวัดที่ การลดความเสี่ยงจริง ต่อประชาชนชายแดน การทำลายวงจรทุนผิดกฎหมาย และความเชื่อมั่นของผู้ค้า–นักท่องเที่ยวที่กลับคืนมา แม่น้ำโขงคือเส้นเลือดใหญ่ของภูมิภาค ปลอดภัยเมื่อใด เศรษฐกิจก็สูบฉีดเมื่อนั้น—และความร่วมมือวันนี้คือก้าวที่จำเป็นเพื่อไปให้ถึงวันนั้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองกำลังผาเมือง
  • หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย
  • กองบัญชาการทหาร แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว
  • ข้อมูลจากรายงานเชิงวิเคราะห์การลาดตระเวนร่วมตามลำแม่น้ำโขงและพลวัตความมั่นคงชายแดนไทย-ลาว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ป.ป.ส. ยกระดับเชียงรายเป็น “สมรภูมิยาเสพติดข้ามชาติ” บินรับตัว “บิ๊กบอส” ค่าหัว 2.5 ล้าน

ป.ป.ส. ยกระดับเชียงรายเป็น “สมรภูมิยาเสพติดข้ามชาติ” บินรับตัว “บิ๊กบอส” ค่าหัว 2.5 ล้านบาท แฉเครือข่ายโยง 100 ล้านบาท!

เชียงราย, 16 กรกฎาคม 2568 – ในปฏิบัติการครั้งสำคัญที่สะท้อนถึงการยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศไทยและเมียนมา พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยคณะทำงานระดับสูง ได้นำกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษอินทรีย์ 19 เดินทางไปยังสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 (แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก) เพื่อรับมอบตัว นายเตชินท์  และ นายฉมัง  สองนักค้ายาเสพติดข้ามชาติระดับผู้สั่งการ ที่มีหมายจับและเป็นเป้าหมายสำคัญของสำนักงาน ป.ป.ส. พร้อมเงินรางวัลนำจับรวม 2.5 ล้านบาท หลังหลบหนีไปกบดานในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา

การส่งมอบตัวผู้ต้องหาในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จอันเป็นรูปธรรมของความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำนักงานคณะกรรมการเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control: CCDAC) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นำโดย Police Brigadier General Thant Lwin Maung, Joint Secretary of CCDAC และ Commander of Drug Enforcement Division ที่ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการสืบสวนพิสูจน์ทราบที่พักอาศัยของผู้ต้องหาจนนำไปสู่การจับกุมตัว

เจาะลึกเครือข่าย “เตชินท์-ฉมัง” บงการข้ามชาติ ยึดทรัพย์ 100 ล้าน

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยว่า นายเตชินท์ และ นายฉมัง เป็นนักค้ายาเสพติดข้ามชาติรายสำคัญที่มีพฤติการณ์อยู่ในระดับผู้สั่งการและจัดหายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้เครือข่ายผู้ลำเลียงชาวไทยลักลอบนำยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ

จากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่พบว่าเครือข่ายของนายเตชินท์ฯ มีความเชื่อมโยงกับคดีสำคัญหลายคดี:

  • 22 ตุลาคม 2567: จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางเฮโรอีน 54 กิโลกรัม ซุกซ่อนใต้เบาะรถตู้ ขยายผลพบว่า นายเตชินท์ฯ เป็นผู้สั่งการ และมีนายฉมังฯ กับ นายพรรคภูมิฯ ร่วมขบวนการ
  • 15 กุมภาพันธ์ 2568: ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางไอซ์ 50 กิโลกรัม และมีการออกหมายจับ 5 คน ซึ่งรวมถึงนายเตชินท์ฯ
  • 5 มีนาคม 2568: ภายใต้ ปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นลม ครั้งที่ 3″ ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี ปิดล้อมตรวจค้น 10 จุด ใน 6 จังหวัด (เชียงราย, เชียงใหม่, สุพรรณบุรี, อ่างทอง, สุโขทัย, พระนครศรีอยุธยา) เพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 คน (นายเตชินท์ฯ, นายฉมังฯ, นายพรรคภูมิฯ) ผลปฏิบัติการสามารถจับกุมนายพรรคภูมิฯ และยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 80 ล้านบาท อาทิ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, รถยนต์, ทองรูปพรรณ, เงินในบัญชีธนาคาร ฯลฯ

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568 มีการจับกุมยาเสพติดเครือข่ายนายเตชินท์ฯ รวม 4 คดี ของกลางรวมยาไอซ์ 609 กิโลกรัม, เฮโรอีน 154 กิโลกรัม, ยาบ้า 1.3 ล้านเม็ด และมีการขยายผลออกหมายจับผู้ต้องหา 8 คน (จับกุมแล้ว 3 คน) เตรียมออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 3 คน ยึดทรัพย์สินเครือข่ายรวมมูลค่าสูงถึง 100 ล้านบาท

แม้จะถูกออกหมายจับ นายเตชินท์ฯ และนายฉมังฯ ยังคงมีพฤติการณ์สั่งการและจัดหายาเสพติดให้บุคคลในเครือข่ายลักลอบลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในอย่างต่อเนื่อง ทำให้สำนักงาน ป.ป.ส. กำหนดให้บุคคลทั้งสองเป็นเป้าหมายในโครงการประกาศสืบจับผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีเงินรางวัลนำจับรวม 2.5 ล้านบาท

การจับกุมตัวทั้งสองในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากข้อมูลเบาะแสที่สำนักปราบปรามยาเสพติด ป.ป.ส. ได้รับเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และประสานข้อมูลผ่านอัครราชทูตที่ปรึกษาสำนักงาน ป.ป.ส. ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ไปยัง CCDAC เพื่อช่วยสืบสวนพิสูจน์ทราบที่พักอาศัย จนนำไปสู่การเข้าตรวจค้นและจับกุมตัวได้ในที่สุด

ภายหลังจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. จะร่วมกับหน่วยงานภาคี ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินการต่อทรัพย์สินของบุคคลในเครือข่ายเพิ่มเติมต่อไป

สถานการณ์ยาเสพติดข้ามแดนที่ด่านศุลกากรแม่สาย (ปี 2567-2568)

ด่านศุลกากรแม่สาย จังหวัดเชียงราย ยังคงเป็นจุดผ่านแดนทางบกที่สำคัญยิ่งในการค้ายาเสพติดข้ามชาติในภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำ แม้จะมีการยกระดับความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมาอย่างต่อเนื่อง

  1. บริบทชายแดนไทย-เมียนมา และสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอแม่สายเป็นประตูสู่การค้าที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย รวมถึงการค้ายาเสพติด รายงานล่าสุดจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ชี้ว่าการผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ โดยเฉพาะยาบ้า เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในรัฐฉานของเมียนมาตั้งแต่ปี 2564 ปริมาณยาเสพติดที่เพิ่มขึ้นนี้มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์ความไม่มั่นคงและสงครามกลางเมืองภายในเมียนมา ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันการค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย
  2. การส่งผู้ต้องหายาเสพติดรายสำคัญที่แม่สาย (ปี 2567-2568) ด่านศุลกากรแม่สายเป็นจุดสำคัญของการส่งมอบผู้ต้องหา ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของความร่วมมือ:
  • 6 พฤษภาคม 2568: มีการส่งมอบผู้ต้องหายาเสพติด 4 ราย รวมถึงนายสมยศ และนางสาวพัชราพร ซึ่งถูกต้องการตัวในข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดประเภท 1 การส่งมอบนี้เกิดขึ้นที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 อ.แม่สาย
  • 16 กรกฎาคม 2568: ปฏิบัติการสำคัญในการรับมอบตัวนายเตชินท์ และ นายฉมัง ผู้บงการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการมุ่งเป้าทำลายโครงสร้างเครือข่ายสำคัญของทางการไทย
  • 29 มีนาคม 2567: ทางการเมียนมารายงานการส่งตัวผู้ต้องหา 2 รายข้ามด่านแม่สาย ซึ่งบริบทโดยรวมบ่งชี้ว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมยาเสพติด
  • ประวัติการส่งมอบก่อนปี 2567: ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 9 มีนาคม 2566 ป.ป.ส. เคยรับมอบตัวนายเจษฎา ยาเปี่ยง ผู้ต้องหาคดียาเสพติด “Most Wanted” (ค่าหัว 1 ล้านบาท) ที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 อ.แม่สาย ซึ่งแสดงถึงความร่วมมือที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
  1. กลไกความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคี ความสำเร็จเหล่านี้เป็นผลจากกลไกความร่วมมือที่แข็งแกร่ง:
  • บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไทย-เมียนมา (กรกฎาคม 2567): เป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ความร่วมมือเป็นทางการมากขึ้น ครอบคลุมอาชญากรรมข้ามชาติร้ายแรง รวมถึงการค้ายาเสพติด แม้จะมีข้อยกเว้นบางประการ เช่น กรณีผู้หลบหนีเกณฑ์ทหาร การดำเนินงานอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 ของไทย
  • การประชุมทวิภาคีโดยตรง: การประชุมระหว่างหน่วยงานควบคุมยาเสพติดของทั้งสองประเทศเป็นประจำ เป็นช่องทางสำคัญในการประสานงานและแลกเปลี่ยนข่าวกรอง
  • โครงการริเริ่มของอาเซียน: ไทยมีส่วนร่วมในกรอบความร่วมมือทางกฎหมายของอาเซียน เช่น อนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ และสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา (MLA) ที่ครอบคลุมการแลกเปลี่ยนหลักฐานและการยึดทรัพย์สิน
  • องค์กรระหว่างประเทศ: ไทยและเมียนมาประสานงานกับ UNODC และ INCB เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวกรองและประสานนโยบายระดับโลก
  • การสนับสนุนของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้าน: ป.ป.ส. ให้การสนับสนุนทางการเงินและเทคนิคแก่หน่วยงานควบคุมยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อความร่วมมืออย่างยั่งยืน
  1. บริบทที่กว้างขึ้น: การผลิตและยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติด
  • การแพร่กระจายของยาบ้า: การผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ โดยเฉพาะยาบ้า เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในรัฐฉาน เมียนมา โดยในปี 2567 มีการยึดเมทแอมเฟตามีนเป็นประวัติการณ์ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวม 236 ตัน อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่ยึดได้เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
  • สารตั้งต้น: จีนยังคงเป็นประเทศต้นทางหลักของสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเมทแอมเฟตามีนในเมียนมา โดยไทยได้สกัดกั้นสารเคมีจำนวนมากที่ปลายทางในเมียนมา
  • เส้นทางการค้ายาเสพติด: ไทยยังคงเป็นจุดผ่านแดนและปลายทางหลักสำหรับเมทแอมเฟตามีน แต่ก็มีการขยายเส้นทางใหม่ไปยังกัมพูชา และเส้นทางทะเลไปยังมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
  • เครือข่ายอาชญากรรมและการทุจริต: เครือข่ายอาชญากรรมขนาดใหญ่ยังคงดำรงอยู่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา โดยมีศูนย์กลางในพื้นที่อย่าง KK Park และชเวโก๊กโก่ ซึ่งเป็นแหล่งรวมการทุจริต การคงอยู่ของ “Dark Zomia” หรือเขตชายแดนที่ไร้กฎหมายยังคงเป็นความท้าทาย
  • ยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติดของไทย: รัฐบาลไทยและ ป.ป.ส. มีนโยบายที่ครอบคลุม อาทิ โครงการ “Seal Stop Safe” และ “หมู่บ้านปลอดยาเสพติด” ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาในระดับรากหญ้า มีการเพิ่มทรัพยากร มุ่งเน้นการยึดทรัพย์สิน และการสร้างความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับยาเสพติด

สงครามยาเสพติดที่ยังไม่สิ้นสุด

การส่งมอบตัวผู้ต้องหายาเสพติดข้ามแดนที่ด่านศุลกากรแม่สายในช่วงปี 2567-2568 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งของประเทศไทยในการต่อสู้กับอาชญากรรมยาเสพติดข้ามชาติ การมุ่งเน้นไปที่การจับกุมผู้บงการและการยึดทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากการจับกุมผู้ขนส่งรายย่อยไปสู่การบ่อนทำลายโครงสร้างองค์กรทางการเงินและเครือข่ายการสั่งการ ซึ่งเป็นแนวทางที่มุ่งสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนต่อการค้ายาเสพติดผิดกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์ของปัญหายาเสพติดยังคงซับซ้อนอย่างยิ่ง การผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเมียนมา ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความไม่มั่นคงภายในประเทศ ยังคงเป็นแหล่งที่มาหลักของยาเสพติดที่ไหลเข้าสู่ภูมิภาค การคงอยู่ของเครือข่ายอาชญากรรมที่หยั่งรากลึกและการทุจริตตามแนวชายแดน ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ

ในอนาคต การแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลายและต่อเนื่อง ได้แก่: การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งการแบ่งปันข่าวกรองและประสานงานปฏิบัติการ, การมุ่งเน้นการบ่อนทำลายโครงสร้างเครือข่ายยาเสพติด, การจัดการกับปัจจัยพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับความไม่มั่นคงทางการเมืองในเมียนมา, และการดำเนินโครงการป้องกันและสร้างความตระหนักรู้ในระดับชุมชน เพื่อลดอุปสงค์และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคม

 

ในสถานการณ์ที่ยาเสพติดยังคงเป็นภัยคุกคามข้ามพรมแดนเช่นนี้ คุณคิดว่าบทบาทของ “ประชาชนในพื้นที่ชายแดน” จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการปราบปรามและป้องกันยาเสพติดได้อย่างไรบ้าง?

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงาน ป.ป.ส.
  • สำนักงานคณะกรรมการเพื่อการควบคุมยาเสพติด (CCDAC) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
  • กรมศุลกากร
  • กองกำลังผาเมือง
  • หน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด ภาคเหนือ 35 (นบ.ยส.35)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)
  • คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB)
  • GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ)
  • รายงานสถานการณ์ยาเสพติดต่างๆ ที่กล่าวถึงในเนื้อหา
  • การให้สัมภาษณ์และข้อมูลจาก พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ หรูหรากลางขุนเขา

ลักชัวรีกลางขุนเขา” ที่คุณเอื้อมถึงได้ — เปิดประสบการณ์พักผ่อนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ณ อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย ลดสูงสุด 35% กับข้อเสนอ ‘Exclusive Resident Offer’ วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2568 เท่านั้น

ณ ชายแดนแห่งธรรมชาติอันเงียบสงบของประเทศไทย บริเวณ “สามเหลี่ยมทองคำ” ที่แม่น้ำโขงหลอมรวมวัฒนธรรมสามชาติ อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่แห่งการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์สุดหรู ที่พร้อมให้คนไทยและผู้พำนักในประเทศไทย ได้พักผ่อนท่ามกลางป่าเขาอย่างมีสไตล์ ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมกิจกรรมระดับเวิลด์คลาสที่รวมอยู่ในแพคเกจ

จากรีสอร์ทบนยอดเขาที่เงียบสงบท่ามกลางป่าฝนอันอุดมสมบูรณ์ สู่อาณาจักรที่พักสุดเอ็กซ์คลูซีฟ — ข้อเสนอสุดพิเศษนี้ไม่ได้เพียงมอบความหรูหรา แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจในการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมผ่านประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

 

ประสบการณ์ “เหนือระดับ” ที่ยากจะลืมเลือน

ในยุคที่การท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่คือการสร้างประสบการณ์ชีวิตที่มีความหมาย อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย จึงได้เปิดตัวแพคเกจ “Exclusive Resident Offer” สำหรับผู้พำนักในประเทศไทยโดยเฉพาะ ให้คุณสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกได้ในราคาสุดคุ้ม พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 35% สำหรับห้องพักทุกประเภท

แพคเกจนี้ประกอบด้วย:

  • แพคเกจ 3 วัน 2 คืน เริ่มต้นที่ 60,000++ บาท พร้อมรับสิทธิ์เลือก 1 กิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟฟรี
    • Canopy Dining — รับประทานอาหารเหนือทิวเขา บนกระเช้าลอยฟ้า พร้อมวิวแม่น้ำโขงและชายแดน 3 ประเทศ
    • Sky Bike Adventure — ปั่นจักรยานบนสายสลิงท่ามกลางแมกไม้ สัมผัสความสูง 40 เมตรเหนือพื้นดิน
  • แพคเกจ 4 วัน 3 คืน เริ่มต้นที่ 90,000++ บาท รับสิทธิ์พักฟรี 1 คืนที่ Jungle Bubbles — โดมแก้วสุดหรูกลางป่า ให้คุณนอนมองดาว เคียงข้างโขลงช้าง พร้อมเลือกกิจกรรมพิเศษเพิ่มอีก 1 รายการ

ราคาดังกล่าวรวมสิทธิพิเศษ เช่น อาหารเช้า อาหารเย็น และบริการต่าง ๆ ที่จะทำให้คุณรู้สึกราวกับเป็นแขกวีไอพีตลอดระยะเวลาการเข้าพัก

ท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมหัวใจของการอนุรักษ์

สิ่งที่ทำให้อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แตกต่างจากรีสอร์ททั่วไป ไม่ได้อยู่แค่ในงานบริการระดับห้าดาว แต่คือการที่รีสอร์ทแห่งนี้ผสานแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไว้ในทุกมิติ — โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับ “ช้าง”

รีสอร์ทแห่งนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์ช้างเอเชีย ที่มุ่งเน้นให้ช้างอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข และปราศจากการทารุณกรรม นักท่องเที่ยวสามารถร่วมกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ เรียนรู้พฤติกรรมของช้างอย่างใกล้ชิด และสัมผัสถึงความผูกพันระหว่างคนกับสัตว์ที่ลึกซึ้งเกินคำบรรยาย

การได้เข้าพักที่นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงการซื้อประสบการณ์ แต่ยังเป็นการสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

แรงบันดาลใจจากใจกลาง “สามเหลี่ยมทองคำ”

บริเวณสามเหลี่ยมทองคำมีทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิศาสตร์ที่น่าทึ่ง หลายคนอาจรู้จักในฐานะอดีตแหล่งค้าฝิ่น แต่วันนี้พื้นที่แห่งนี้กลับกลายเป็น “จุดเชื่อมโยงใหม่” ของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่ส่งเสริมความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม พร้อมเปิดมุมมองใหม่ของภาคเหนือที่มากกว่าแค่ความสวยงามของธรรมชาติ

รีสอร์ทอนันตราสามเหลี่ยมทองคำ ได้รับรางวัลระดับนานาชาติทั้งในด้านความหรูหรา ความยั่งยืน และการให้บริการ เช่น

  • รางวัล World Travel Awards: Asia’s Leading Luxury Lodge
  • การรับรองจาก Travelife Gold Certification ด้านความยั่งยืน
  • การรับรองจาก Elephant Welfare Association ด้านสวัสดิภาพสัตว์

ทั้งหมดนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของแบรนด์อนันตราในการเป็น “จุดหมายปลายทางแห่งคุณค่า” ที่ทั้งยั่งยืนและน่าจดจำ

จองก่อน คุ้มก่อน – โอกาสพักผ่อนที่ดีที่สุดของปี

โปรโมชั่น “Exclusive Resident Offer” นี้เปิดให้จองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับการเข้าพักระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ตุลาคม 2568 เท่านั้น ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือจองโดยตรงได้ที่โทร. 053-784-084 หรือ  เว็บไซต์ www.anantara.com/th/golden-triangle-chiang-rai

สรุป: หากคุณมองหาประสบการณ์การพักผ่อนที่ไม่ใช่แค่การ “พัก” แต่คือการ “เชื่อมโยง” กับธรรมชาติ ชุมชน และตัวตนของคุณเอง — อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Anantara Golden Triangle Official Website: Exclusive Residents Offer
  • Thailand Travel News: “Luxury in the Wild: Why Anantara Golden Triangle Redefines Eco-Luxury”, 2024
  • Travelife Sustainability Certification Directory
  • Elephant Welfare Association Accreditation (EWA), 2023
    (จัดทำโดยทีมข่าว นครเชียงรายนิวส์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ร่วมลอยกระทงแบบล้านนาที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ

โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชิญร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทงสไตล์ล้านนา “Loy Krathong Wonder” ท่ามกลางบรรยากาศงดงามใจกลางสามเหลี่ยมทองคำ

โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ขอเชิญนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์ของประเพณีลอยกระทงแบบล้านนา ในงานเทศกาล “Loy Krathong Wonder” ที่จัดขึ้นเพื่อสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีไทยอันทรงคุณค่า ซึ่งในปีนี้จะมีการแสดงและกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ให้คุณดื่มด่ำกับบรรยากาศล้านนาและธรรมชาติอันงดงามริมแม่น้ำรวก

บรรยากาศแบบล้านนาและการแสดงพื้นเมืองที่น่าประทับใจ

ในค่ำคืนของงาน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่หลากหลาย เช่น ดนตรีพื้นบ้าน การฟ้อนรำ ฟ้อนดาบ และการตีกลองสะบัดชัย ที่จะเพิ่มความสนุกสนานและประทับใจในทุกช่วงเวลา การแสดงเหล่านี้เป็นการสะท้อนเอกลักษณ์และความงดงามของประเพณีล้านนา ซึ่งได้รับการสืบทอดมาตั้งแต่อดีต

กิจกรรมสืบสานประเพณีลอยกระทงและการประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติ

นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติด้วยตนเอง พร้อมนำกระทงไปลอยที่ริมแม่น้ำรวก ถือเป็นโอกาสในการสืบสานประเพณีลอยกระทงแบบดั้งเดิม รวมถึงการปล่อยโคมไฟยี่เป็งที่ทำให้ค่ำคืนนี้สว่างไสวด้วยแสงไฟ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างบรรยากาศอันน่าตื่นตาตื่นใจและเต็มไปด้วยความหมายของการขอบคุณและการขอพรจากธรรมชาติ

เพลิดเพลินกับกาดล้านนาและสินค้าในชุมชน

นอกจากกิจกรรมลอยกระทงแล้ว ยังมีการจำลองบรรยากาศของกาดล้านนา ซึ่งเป็นตลาดท้องถิ่นที่นำเสนอสินค้าพื้นเมือง งานศิลปะ งานคราฟต์จากชุมชน และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่หลากหลายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ สามารถสัมผัสถึงความเป็นเอกลักษณ์และคุณค่าของงานหัตถกรรมที่ทำขึ้นด้วยใจจากชุมชน

อิ่มอร่อยกับมื้อค่ำแบบบุฟเฟ่ต์อาหารไทยและนานาชาติ ริมแม่น้ำ

ในส่วนของอาหาร ทางโรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เตรียมสถานีอาหารไทย อาหารเหนือ และอาหารนานาชาติในรูปแบบบุฟเฟ่ต์สุดพิเศษ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกอิ่มอร่อยกันอย่างเต็มที่ในบรรยากาศมื้อค่ำที่แสนอบอุ่นริมแม่น้ำ ตั้งแต่เวลา 18.30 น. ถึง 21.30 น. ในราคา 2,400++ บาทต่อท่าน สำหรับเด็กอายุ 4-12 ปี ราคา 1,200++ บาทต่อท่าน

รายละเอียดการเข้าร่วมงาน Loy Krathong Wonder ที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ

กิจกรรม “Loy Krathong Wonder” จะจัดขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ถึง 21.30 น. ที่โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่โทร. 053-784-084

ร่วมดื่มด่ำกับความงดงามของประเพณีลอยกระทงแบบล้านนา สัมผัสบรรยากาศมื้อค่ำริมแม่น้ำที่ร่มรื่น ท่ามกลางทัศนียภาพของสามเหลี่ยมทองคำและธรรมชาติอันงดงาม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

อาหารบนกระเช้าลอยฟ้า Canopy หนึ่งเดียวที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย

 
อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย เปิดตัว Canopy กระเช้าลอยฟ้าที่จะนำคุณขึ้นไปสัมผัสประสบการณ์อีกขั้นของการรับประทานอาหารแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ท่ามกลางทิวทัศน์ของสามประเทศ พร้อมรื่นรมย์กับมนต์เสน่ห์ของแม่น้ำโขงในแบบ 360 องศา ได้ทั้งมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อค่ำ
 
Canopy ตั้งอยู่บนยอดไม้ บนความสูงกว่า 52 เมตร ถูกออกแบบมาในรูปทรงของแคปซูล คล้ายกับรวงผึ้งที่โอบล้อมต้นไม้ตามธรรมชาติ โดยเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติและสีเอิร์ธโทนเป็นหลัก เพื่อให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับบรรยากาศของผืนป่าและสภาพแวดล้อมของรีสอร์ทสุดหรู โดยคุณสามารถใช้เวลาในการรับประทานอาหาร ดื่มด่ำรับแสงแรกยามเช้า และอาทิตย์อัศดงยามพลบค่ำ ไปพร้อมๆกับชมความงดงามของทิวเขา และลำน้ำโขง รวมถึงยังสามารถส่องวิถีชีวิตของเหล่าโขลงช้างที่ออกหากินในปางช้างอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
 
 
สำหรับอาหาร ทางโรงแรมจะจัดสำรับพร้อมเสิร์ฟมาในภาชนะปิ่นโตแบบตำรับไทย ซึ่งเชฟได้สร้างสรรค์เมนูทั้งคาวและหวานอย่างพิถีพิถัน ให้เลือก 3 เซ็ทเมนูตามความชอบได้แก่ Mekong Discovery ที่นำเสนอความโดดเด่นของเมนูอาหารพื้นถิ่น ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรอยต่อ 3 แผ่นดิน ไทย ลาว และพม่า อาทิ ไคแผ่น สแนคของลาวเสิร์ฟพร้อมกับลาบปลาทูน่ารสจัดจ้าน, แกงฮังเลหมู อาหารขึ้นชื่อของภาคเหนือ ฯลฯ Culinary Adventure เมนูที่ผสมผสานระหว่างอาหารตะวันออก และตะวันตกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวและน่าลิ้มลอง เช่น ซี่โครงวากิวเนื้อนุ่ม เสิร์ฟบนขนมปังโฮลวีตโฮมเมดแบบดั้งเดิม, ล็อบสเตอร์ภูเก็ตคุณภาพพรีเมียม เสิร์ฟพร้อมสลัดอโวคาโด หรือของหวานอย่าง เครมบูเล่ ท็อปด้วยลูกฟิก จากมูลนิธิโครงการหลวง, ชูว์ครีมสตรอเบอรี่สดจากไร่ ฯลฯ และ Gourmet Odyssey ที่ชูอาหารพื้นถิ่นเมืองเหนือ กับวัตถุดิบชั้นเลิศมารังสรรค์ให้กลายเป็นเซ็ทเมนูที่โดดเด่นและพิเศษยิ่งขึ้น อาทิ เนื้อวากิว M5, หอยเชลล์ยักษ์นำเข้า และคาเวียร์โครงการหลวง หรือของหวานรสเลิศอย่าง Financier ฟินองเซียของฝรั่งเศส รสชาตินุ่มนวล, เค้กมูสกุหลาบ และฟักทอง หรือ เครมบูเล่มะพร้าวน้ำหอมจากภาคเหนือ ฯลฯ
 
เชฟพิสิษฐ์ จิโนพงป์ หรือ เชฟจีโน่ เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟจากอนันตราสามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารมากว่า 30 ปีกล่าวว่า “หัวใจสำคัญที่ลูกค้าจะได้รับนอกจากการพักผ่อนสุดพิเศษในรีสอร์ทที่ดีที่สุดของเชียงรายแล้ว ก็คือประสบการณ์ที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตระหว่างคนเมืองกับธรรมชาติให้อยู่กันอย่างสมดุล ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน ดังนั้น Canopy จึงเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึงความใส่ใจของเรา ด้วยการมอบพื้นที่ให้แขกได้มีโอกาสสัมผัส และมีส่วนร่วมรื่นรมย์กับธรรมชาติ ในระหว่างรับประทานอาหารแต่ละมื้ออย่างมีคุณค่ามากที่สุด”
 
สัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารเหนือระดับที่ Canopy โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปราคาเริ่มต้น ที่ 14,000++บาท ต่อ 2 ท่าน เปิดให้บริการทุกวัน สำหรับมื้อเช้า เวลา 7.30-11.00 น. มื้อกลางวัน เวลา 12.30-16.30 น. และมื้อค่ำ เวลา 17.30-19.00 น. 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่งโทร.053-784-084
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ปฏิบัติการ “ระเบิดสะพานโจร” กระชับพื้นที่เชียงแสน ปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 เป็นการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศปอส.ตร. ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช. (ด้านกฎหมาย) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และฝ่ายความมั่นคง ตรวจสอบการลักลอบนำสายสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ ไปยังบริเวณพื้นที่คิงส์โรมัน สปป.ลาว อย่างผิดกฎหมาย ทั้งจากซิม สาย เสา และออกมาตรการเข้มงวดในการผ่านช่องทางธรรมชาติ เพื่อไม่ให้กลุ่มคนต่างชาติและคนไทยลักลอบไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในบริเวณพื้นที่รอยต่อที่ตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ

.
พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้หารือกับสำนักงาน กสทช. และผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ทั้ง 3 ค่าย เพื่อแก้ไขปัญหาสัญญาณรุกล้ำข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่ามีการตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่กระจายลุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้าน (คิงส์โรมัน สปป.ลาว) ฝั่งตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ในทุกมิติ จึงลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแผน รวมทั้งใช้เครื่องมือพิเศษตรวจสอบการกระจายสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และสัญญาณอินเตอร์เน็ตตามแนวตะเข็บชายแดนในบริเวณใกล้เคียง และมอบหมายให้หน่วยงานในพื้นที่เฝ้าตรวจสอบและติดตามการลักลอบการติดตั้งเสาส่งสัญญาณเถื่อน เพื่อตัดรากถอนโคนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่เป้าหมายนี้
.
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเชิงรุกล่าสุด พบว่ามีสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของไทยใช้งานอยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม อ.เชียงแสน (คิงส์โรมัน สปป.ลาว) ซึ่งมีข้อมูลเชื่อได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นรังใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่โทรข้ามแดนมาหลอกคนไทย จึงลงพื้นที่บูรณาการร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมผู้ประกอบการโทรคมนาคมทุกเครือข่าย ใช้เครื่องมือพิเศษติดตั้งบนอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ตรวจสแกนตลอดแนวชายแดนของ อ.เชียงแสน เพื่อตัดสัญญาณสื่อสารข้ามโขงในทุกมิติ นอกจากนั้น ได้ร่วมกับกองกำลังผาเมืองตัดทำลายสายเคเบิ้ลใยแก้วหรือไฟเบอร์ออฟติก ส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน บริเวณพื้นที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย
.
มาตรการตัดปัจจัยสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้ง ซิม เสา และสาย ที่ กสทช.ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยได้ระงับการใช้ซิมผีที่มิได้มายืนยันตนตามประกาศ กสทช. ไปแล้วมากกว่า 2 ล้านเลขหมาย ซึ่งเชื่อว่าซิมที่ถูกระงับการใช้งานนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในการถือครองของคนร้าย
.
นอกจากนี้ เพียงครึ่งปีที่ผ่านมา กสทช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจับกุมผู้ลักลอบติดตั้งเสาและสาย ส่งสัญญาณเถื่อนตามแนวชายแดนไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้จำนวน 33 ราย ส่วนผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. แต่ทำผิดเงื่อนไขการให้บริการ ได้แจ้งเตือนและสั่งให้ระงับการส่งสัญญาณโทรคมนาคม และถอดสายสัญญาณและอุปกรณ์ (ล้มเสา) จำนวน 179 จุด โดยดำเนินการแล้วใน 11 อำเภอ 9 จังหวัด ที่มีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ จ.ตาก เชียงราย มุกดาหาร หนองคาย สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระเเก้ว จันทบุรี และ จ.ระนอง ซึ่ง กสทช.ยังคงตรวจตระเวนการกระจายสัญญาณข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง
.
พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลของการบูรณาการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , กสทช. และหน่วยงานความมั่นคง ในการกำจัดซิมผีบัญชีม้า โค่นเสาและสายสัญญาณเถื่อน รวมทั้งตรวจค้นจับกุมอุปกรณ์โทรคมนาคม ผิดกฎหมายดังกล่าว เป็นการทำลายปัจจัยสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม จะเห็นได้จากการไหลทะลักเข้าไทยของอุปกรณ์สื่อสารดาวเทียมผิดกฎหมาย (Starlink) ผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อทดแทนโครงสร้างโทรคมนาคม (ซิม เสา สาย) เดิม คาดว่าคนร้ายได้รับผลกระทบและเริ่มมีการปรับตัว ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กสทช. จะได้ดำเนินการติดตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทย-จีน-ลาว-พม่า-กัมพูชา-เวียดนาม 6 ประเทศ แม่น้ำโขง ปราบยาเสพติด

 

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สปป.ลาว เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือปราบปรามยาเสพติดในประเทศลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ซึ่งได้เชิญทางป.ป.ส.ประเทศไทย เข้าร่วม พร้อมกับผู้แทน ประเทศจีน เมียนมา เวียดนาม และ ประเทศกัมพูชา

 

พลตรี คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง รองรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ สปป.ลาว เป็นประธานกล่าวต้อนรับและเปิดประชุม
โดยการจัดการประชุมครั้งนี้เพื่อแสดงความร่วมมือของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในโอกาสวันต่อต้านยาเสพติดสากล 26 มิถุนายน 2567 และเป็นการกระชับมิตรภาพ ความสามัคคี และความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติด ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงทั้ง 6 ประเทศ
 
 
พลตรี คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง กล่าวว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศต่างๆ ได้ร่วมกันจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2567 ที่นครเวียงจันทน์ สปป. ลาว และ มีคณะผู้แทนของเราเข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการประชุมด้วย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหายาเสพติดถือเป็นอันตรายร้ายแรงและได้แพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางจากเมืองสู่ชนบทในระดับต่างๆ
 
 
จนเป็นสาเหตุของเกิดปัญหาความยากจนและอาชญากรรมประเภทต่างๆ ในสังคม จำนวนคดียาเสพติด นักโทษ ผู้ติดยา รวมทั้งจำนวนยาเสพติดแต่ละประเภทมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันการเคลื่อนย้าย ขนส่ง ค้าขาย และผลิตยามีลักษณะเป็นเครือข่ายมีวิธีการหลายรูปแบบที่ซับซ้อน
 
 
“สปป.ลาวและประเทศที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำของเราได้รับผลกระทบโดยตรงและเผชิญกับปัญหายาเสพติด ปัจจุบันยาเสพติดมีผลกระทบร้ายแรงต่อทุกเพศทุกวัยและทุกชนชั้นทั่วทั้งสังคม ตั้งแต่นักเรียนนักศึกษา ผู้ค้า คนงาน คนว่างงาน ไปจนถึงข้าราชการจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์ที่ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคมถดถอย ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง ตลอดจนความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสังคม” พลตรี คำกิ่ง กล่าว
 
 
หลังจากนั้นที่ประชุมได้ให้ผู้แทนทั้ง 6 ประเทศ ได้กล่าวถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพคิดของตนเอง และจะได้รวบรวมข้อมูลของแต่ล่ะประเทศเพื่อนำไปสู่การร่วมมือกันแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

“ณพลเดช” หวังดัน จ.เชียงราย การเงินโลก – โมเดลสวิตฯ แห่งเอเชีย

 

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 ดร.ณพลเดช มณีลังกา คณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟสบุ๊ค ดร.ปิง ณพลเดช มณีลังกา 李冰阳 ระบุจากที่เป็นคนเชียงรายแท้ๆ วันนี้ไม่ได้ข้ามมายังแผ่นดินลาวบริเวณสามเหลี่ยมทองคำมานาน ผมเคยมาที่นี่น่าจะเกิน 30 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก กลางคืนเป็นเมืองไม่หลับใหลแบบฮ่องกง กลางวันเป็นแหล่งท่องเที่ยวในหลายรูปแบบ จากที่ทราบคือ ประเทศลาวให้ นักลงทุนชาวจีนมาลงทุนระยะยาว จึงเกิดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และ”เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” รวมทั้งกาสิโน ต้องบอกว่ามีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ถ้ามองในสายตาของผมแล้ว หากปล่อยให้เจริญขึ้นเอง ก็คงจะใช้เวลาอีกพันปี แต่พอให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ 

 

ผมเห็นคนลาวที่ไม่มีงานทำ ก็มีอาชีพลืมตาอ้าปากได้ ไม่เพียงชาวลาว คนพม่าก็มาทำงานจำนวนมาก ด้วยแผ่นดินตรงนี้เชื่อม 3 ประเทศ โดยคั่นด้วยแม่น้ำโขง ประกอบด้วย ไทย-ลาว-พม่า โดยมียักษ์ใหญ่คือจีน เชื่อมโดยการเดินทางอยู่ไม่เกิน 6 ชม. ในการเดินรถไฟความเร็วสูงการเดินทางโดยเครื่องบินก็ง่ายเพราะอยู่ตรงกลาง และเชียงรายมีสนามบิน นานาชาติ น่าสนใจเข้าไปอีกมีทางเชื่อมออกทะเลทางเวียดนามและพม่า หมายความว่า สามารถจะเชื่อมทางธุรกิจขนาดใหญ่อย่างน้อย 5 ประเทศ ที่อยู่ใกล้กัน

 

การลงทุนฝั่งลาว มีการลงทุนสัมปทานพื้นที่จากกลุ่มทุนจีนชื่อ กลุ่มดอกงิ้วคำ เป็นบริษัทจดทะเบียนในฮ่องกงที่มีจ้าวเหว่ย กลุ่ม คิงส์โรมัน บริหาร ด้วยเม็ดเงินมหาศาล ในสายตาของผมเราไม่ต้องอิจฉาเขาหรือไม่ต้องไปแข่งกับเขาเลยครับ ถ้าประเทศไทยเราใช้ยุทธศาสตร์ในฐานะ อยู่กึ่งกลางของทุกประเทศข้างต้น ออกกฎหมายที่เหมาะสม เชียงรายจะกลายเป็นเมืองการค้าการลงทุนที่ใหญ่มาก 
 
 
ในภูมิภาคนี้ ไม่แน่อาจกลายเป็นศูนย์กลางทาง Finance แบบสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยภูมิประเทศโอบล้อมด้วยแผ่นดินรอบล้อมด้วยประเทศต่างๆ ไม่ติดทะเล ปลอดภัยจากสงครามจากทางทะเล อาจนำไปสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ผนวกกับ เชียงราย โดยเฉพาะเชียงแสน เป็นเมืองประวัติศาสตร์ มีศิลปะและวัฒนธรรม ที่ยาวนาน เราจะสามารถขายการท่องเที่ยวขายเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นให้ต่างชาติ มาเยี่ยมชมเราได้อีกมาก
 
 
พอเดินทางกลับจากประเทศลาว ผมจึงถือโอกาสไปรดน้ำดำหัวท่านศุลกากรเชียงของ และได้ถือโอกาสหารือกับนายด่านเชียงของ ถึงแนวคิดการ ผลักดันการค้าชายแดน ที่เชียงของที่เชื่อมกับถนน R3A ของลาวเชื่อมทางรถไฟความเร็วสูงสู่จีน นายด่านให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก ตรงนี้ผมเริ่มเห็น โอกาสภูมิประเทศของเชียงราย ที่คล้ายกับสวิสเซอร์แลน การเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจทั้งการเงินการธนาคาร ธุรกิจการค้าขาย แน่นอนหากมีการหมุนเม็ดเงินลงทุนมาสู่เชียงราย อาจนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินการธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งของโลก 
 
 
เบื้องต้นต้องผลักดันเชียงราย-เชียงใหม่ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเสียก่อน โดยออกกฎหมายเฉพาะ และเชิญชวนองค์กรสันติภาพระหว่างประเทศมาตั้งสำนักงานที่นี่ ดึงการค้าการเงินการธนาคาร เพื่อผลักดันการเป็นศูนย์กลาง ซึ่งประเทศไทยมีความมั่นคงอยู่แล้ว อีกทั้งเชื่อมโยงระบบคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ให้สะดวกขึ้น และดึงเม็ดเงินมาลงในพื้นที่ ก็อาจจะทำให้เชียงราย-เชียงใหม่ กลายเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย อย่างไรผมจะลองเอาโมเดลนี้ไปเสนอต่อรัฐบาลต่อไปครับ
 
นอกจากความร่ำรวยระดับโลกแล้ว ฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นสกุลเงินของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยังเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ปลอดภัย ที่นักลงทุนทั่วโลกเชื่อมั่น และครอบครองเมื่อตลาดผันผวน
 
 
โดยปัจจัยที่ทำให้ฟรังก์สวิส เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีอยู่ 4 ข้อหลัก ๆ ด้วยกัน
นั่นก็คือ
1. ระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง และมีความน่าเชื่อถือ
2. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
3. ความเป็นเอกภาพ และเสถียรภาพทางการเมือง
4. ปัจจัยสุดท้ายคือ สถานะความเป็นกลางของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ปิง ณพลเดช มณีลังกา 李冰阳

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เปิดแล้วสนามบินสามเหลี่ยมทองคำ รับได้ถึงโบอิ้ง 737-900

 

เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมาที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้ามกับ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดสนามบินสากลแขวงบ่อแก้วอย่างเป็นทางการ โดยมีผู้เข้าร่วมคือ ดร.บัวคง นามมะวง เจ้าแขวงบ่อแก้ว นายจ้าวเหว่ย ประธานกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ นายหวางเคอหาน ผู้แทนบริษัท Greater Bay Area Investment and Development (HK) Limited จากฮ่องกง และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมครบครัน

 

โดยทางแขวงบ่อแก้วระบุว่าสนามบินดังกล่าวเป็นสนามบินรหัส 4 C มูลค่าการลงทุน 225,358,700 ดอลลาร์สหรัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำที่มีความกว้าง 314 เฮกตาร์ 5,478 ตารางเมตร มีทางวิ่งหรือรันเวย์ยาว 2,500 เมตร รวมทั้งยังสามารถขยายไปได้ถึง 3,000 เมตร สามารถรองรับเครื่องบินขนาด A-321 และโบอิ้ง 737-900 อาคารผู้โดยสารสามารถรองรับผู้โดยสารทั้งขาเข้าและออกได้ถึง 600 คน
 
 
สำหรับสนามบินมีการลงทุนเป็นมูลค่า 225,358,700 เหรียญสหรัฐ เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.2563 เป็นต้น ระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี สามารถขยายออกไปได้ตามข้อตกลงของรัฐบาล ทั้งนี้ เมื่อพ้นระยะเวลาสัมปทานแล้วโครงการจะส่งมอบคืนให้กับรัฐบาล สปป.ลาว ต่อไป อยางไรก็ตามในช่วงต้นนี้สนามบินจะเปิดให้บริการภายในประเทศก่อนโดยรองรับเครื่องบิน ATR-72 หรือเทียบเทา เพื่อเป็นการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ส่งเสริมด้านการคมนาคมขนส่งเชื่อมต่อกับสากล เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนและการท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศ รวมไปถึงการเดินทางของประชาชน ที่สำคัญคือเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาคเหนือโดยเฉพาะแขวงบ่อแก้ว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News