Categories
HEALTH

รมว.สาธารณสุข ห่วงโควิด เพิ่มมาตรการป้องกันกลุ่มเปราะบาง

รัฐมนตรีสมศักดิ์ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม แนะป้องกันเข้มข้น ย้ำความรุนแรงลดลง-รักษาได้

ประเทศไทย, 3 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศฤดูฝนที่มาเยือนพร้อมกับการเปิดภาคเรียนใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความห่วงใยของรัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม

เริ่มต้นด้วยความห่วงใยจากรัฐมนตรี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังได้รับรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19 มักจะแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แออัด

ในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแนวทางการรักษา

สถานการณ์ล่าสุด อัตราการป่วยสูงขึ้นแต่รุนแรงลดลง

นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2568 นี้ ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 รวม 69 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว) และกระจุกตัวในเมืองใหญ่หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานคร 22 ราย, ชลบุรี 8 ราย, จันทบุรี 7 ราย, เชียงใหม่ 3 ราย อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนให้เห็นว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น

สำหรับยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง 3 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 324,692 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 500.20 ต่อประชากรแสนคน โดยจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ระยอง, ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์

ปัจจัยเร่งการระบาด ฝนตก-เปิดเทอม

นพ.สุทัศน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า ช่วงฤดูฝนและเปิดเทอมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงโควิด 19 แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียนที่นักเรียนอยู่รวมกลุ่มกันมาก จึงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 ของปีเป็นต้นมา โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงถึง 93,621 ราย และล่าสุดในสัปดาห์นี้พบอีก 28,392 ราย

สายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบันคือ XEC ซึ่งแม้จะติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการโดยรวมไม่รุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป อัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก และส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส

แนวทางการป้องกันและรักษาเน้นมาตรการส่วนบุคคล

นพ.สกานต์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เน้นย้ำว่า แนวทางการดูแลรักษาในกรณีที่มีอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูกได้เหมือนไข้หวัดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยง 608 หรือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

"รัฐมนตรีสมศักดิ์" ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มขึ้นช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม มอบกรมการแพทย์-กรมควบคุมโรค แจงแนวทางปฏิบัติตัวและการรักษา แนะยกระดับป้องกันเข้ม ทั้งเว้นระยะห่าง ล้างมือ เลี่ยงสถานที่แออัด

สำหรับประชาชนทั่วไป หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างน้อย 5 วัน ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในบ้าน และกลุ่มเปราะบาง สำหรับโรงเรียน หากพบเด็กนักเรียนป่วยหลายราย ให้หยุดเรียนเฉพาะบุคคล ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งชั้นหรือทั้งโรงเรียน

มาตรการเสริมที่แนะนำคือ การเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันโควิด 19 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรง

มั่นใจยารักษา-เตียงพร้อมรองรับผู้ป่วย

นพ.สกานต์กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสาธารณสุขมีเตียงและยารักษาเพียงพอ ทั้งยาเรมดิซีเวียร์ แพกซ์โลวิด และยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับกลุ่มอาการปานกลางหรือมีแนวโน้มรุนแรง หากอาการไม่มากหรือไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการให้ยาหรือรับไว้ในโรงพยาบาลตามความเหมาะสม

วิเคราะห์แนวโน้มและข้อควรระวัง

แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลายกว่าในอดีต แต่ภาครัฐยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุที่ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้น หากร่วมมือกันทั้งภาครัฐ โรงเรียน สถานประกอบการ และประชาชน จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและควบคุมการระบาดได้

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
  • หากป่วยควรใส่หน้ากาก 5-7 วัน หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
  • กลุ่มเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการ
  • เน้นการป้องกันส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ
  • เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เสริมภูมิคุ้มกัน

สรุป

สถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ในฤดูฝนและช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแต่ระดับความรุนแรงของโรคลดลงอย่างชัดเจน ระบบสาธารณสุขยังคงควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี การร่วมมือของประชาชนในการป้องกันส่วนบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดการแพร่ระบาดและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมไทย

นพ.สกานต์กล่าวว่า หากมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจะแยกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือโควิด 19 ได้ยาก แต่แนวทางการดูแลรักษาเบื้องต้นเหมือนกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข
  • ข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กรมประมงเฝ้าระวังน้ำกก-สาย สรุปขอเลี่ยงหรือกินปลาได้

กรมประมงเข้มตั้งทีมเฉพาะกิจเฝ้าระวังสัตว์น้ำแม่น้ำกก-สาย ชี้ผลตรวจยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ขอประชาชนเลี่ยงบริโภคชั่วคราว

เชียงราย, 2 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ต่อสถานการณ์สารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมประมงเดินหน้ายกระดับมาตรการเฝ้าระวัง ตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ” ตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำข้ามพรมแดนอย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะประชาชนเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำสองสายนี้ชั่วคราว แม้ผลตรวจเบื้องต้นยังไม่เกินค่ามาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน

จุดเริ่มต้นของปัญหาและมาตรการรับมือ

สถานการณ์การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกเริ่มกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ หลังมีรายงานปลาบางชนิดมีตุ่มแดงผิดปกติ รวมถึงมีประชาชนในเขตอำเภอแม่สายเกิดอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน สร้างความวิตกกังวลในวงกว้าง ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงและชาวบ้านที่อาศัยแหล่งน้ำเป็นหลัก

กรมประมงโดยนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดี ได้เปิดเผยถึง “แผนเฉพาะกิจตรวจติดตามและเฝ้าระวังสารปนเปื้อนสัตว์น้ำ” ในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง 4 จุดหลักทั้งในเชียงรายและเชียงใหม่ ได้แก่ บ้านโป่งนาคำ, สะพานแม่ฟ้าหลวง, หลังวัดสันธาตุถึงสบกก (เชียงราย) และชายแดนไทย-เมียนมา หมู่บ้านแก่งตุ๋ม อำเภอแม่อาย (เชียงใหม่) โดยเน้นการเก็บตัวอย่างปลาสำคัญ เช่น ปลาสร้อย ปลาซ่า ปลาค้าว และปลากด ทุก 2 สัปดาห์ ตั้งแต่พฤษภาคมถึงกันยายน 2568

ข้อมูลผลการตรวจสอบล่าสุด

จากการเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่า สารพิษสำคัญ ได้แก่ สารหนู (As), ปรอท (Hg), ตะกั่ว (Pb) และแคดเมียม (Cd) รวมถึงการตรวจเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และพยาธิวิทยาในปลายังคงอยู่ในระดับที่ “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” ตามเกณฑ์สากล โดยเฉพาะในปลากินพืชมีการตกค้างของโลหะหนักในระดับต่ำ ส่วนปลากินเนื้อ พบค่าสารปรอทสูงกว่าปลากินพืชแต่ยังไม่เกินมาตรฐาน

กรณีปลามีตุ่มแดง จากการวินิจฉัยพบว่าเกิดจากปรสิตและเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ไม่พบในอวัยวะภายใน และยังไม่พบการติดเชื้อไวรัส ขณะที่ผลตรวจสารปนเปื้อนในปลาทั้ง 3 รอบที่เก็บมา ยังคงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน อันเป็นข้อมูลสำคัญยืนยันว่าสถานการณ์ยังไม่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในวงกว้าง

คำแนะนำและการสื่อสารกับสาธารณชน

ถึงแม้ผลการตรวจสอบจะยังไม่พบอันตราย กรมประมงได้แนะนำประชาชน “หลีกเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำที่จับได้จากแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในระยะนี้” เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูปลามีไข่ที่ควรให้ธรรมชาติฟื้นฟู และป้องกันการสะสมของโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

พร้อมกันนี้กรมประมงยังย้ำว่าสัตว์น้ำที่จำหน่ายตามท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยงในระบบปิด ไม่ใช้น้ำจากแม่น้ำทั้งสองสาย ดังนั้นประชาชนยังสามารถมั่นใจในความปลอดภัยของอาหารทะเลและสัตว์น้ำที่ซื้อบริโภคได้ตามปกติ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและเสียงสะท้อนของชุมชน

ประมงอำเภอเชียงแสนร่วมเวทีเสวนา “ทวงคืนสายน้ำกกขอคนปลายน้ำ” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจัดโดยเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย และศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการพูดคุยถึงมาตรการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำ พืช ดิน และสัตว์ เป็นระยะ รวมถึงแผนรับมือภัยพิบัติและการร่วมมือของรัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่

เสียงสะท้อนจากคนในชุมชนระบุว่า ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อรายได้และจิตใจของผู้ประกอบอาชีพประมง ราคาปลาตกต่ำและขายยากเนื่องจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น แม้หน่วยงานรัฐจะเร่งชี้แจงข้อมูลและลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเป็นระยะ แต่ความวิตกกังวลยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการสะสมของสารพิษในปลากินเนื้อและความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร

มาตรการเพิ่มเติมด้านสาธารณสุขและการติดตามผู้ได้รับผลกระทบ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันตรวจสอบกรณีประชาชนในบ้านแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ ที่มีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อ โดยทีมแพทย์เฉพาะทางลงพื้นที่ตรวจร่างกาย เบื้องต้นพบว่าเป็นผื่นแพ้เหงื่อและยังไม่พบความผิดปกติรุนแรง พร้อมกับเก็บตัวอย่างน้ำในบ่อ 6 จุดเพื่อนำส่งตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดเพิ่มเติม

เจ้าหน้าที่ได้เน้นย้ำประชาชนในพื้นที่เสี่ยงหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ หากพบอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน แสบผิวหนัง หรืออ่อนเพลีย ให้รีบพบแพทย์ทันที

แนวทางแก้ไขและผลกระทบในระยะยาว

แม้ข้อมูลทางวิชาการในขณะนี้จะระบุว่าสารปนเปื้อนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ควรดำเนินการเฝ้าระวังระยะยาว พร้อมเสริมความเข้มแข็งในการฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ พัฒนาแผนรับมือร่วมกับภาคประชาชน และสนับสนุนงานวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบสะสมของสารโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งด้านความรู้ การสื่อสารความเสี่ยง และสร้างทางเลือกในอาชีพให้แก่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบ

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • กรมประมงเก็บตัวอย่างปลาทุก 2 สัปดาห์ใน 4 จุดเสี่ยงหลักตั้งแต่ พ.ค.–ก.ย. 2568
  • ผลตรวจปลากินพืช-กินเนื้อ 3 รอบ ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน (กรมประมง)
  • กลุ่มชาวบ้านผู้ประกอบอาชีพประมงในลุ่มน้ำกก-สายได้รับผลกระทบรายได้ตกต่ำ (ข้อมูลจากเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย)
  • ประชาชนบ้านแม่สาย 1 หมู่ 1 พบอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำบ่อในครัวเรือน ตรวจสอบโดย สสจ.เชียงราย รพ.แม่สาย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมประมง
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลแม่สาย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • เครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันเอง น้ำ-ผัก-ปลา ปลอดสารหนู

เชียงรายยืนยัน “น้ำประปา-ผัก-ปลา” ปลอดภัย ไร้สารหนูปนเปื้อน ตรวจสอบมาตรฐานสากล พร้อมทหารเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงยืนยันคุณภาพน้ำประปา ผัก และปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก “ปลอดภัย” หลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือมาตรฐานสากล โดยไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐาน ทั้งยังมีมาตรการเฝ้าระวังและการจัดการปัญหาน้ำท่วมต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน

การแถลงข่าวความปลอดภัยด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เฝ้าระวัง

วันนี้ (31 พฤษภาคม 2568) ณ ห้องประชุมศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ร่วมแถลงข่าวถึงสถานการณ์คุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน อาหารจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และการตรวจสอบความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่

นายชรินทร์ ทองสุข ระบุว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อหลักและสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการปนเปื้อนของสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติหลายจุด แต่ผลการทดสอบโดยเครื่องมือเบื้องต้น (Test Kit) ไม่สามารถนำมาอ้างอิงอย่างเป็นทางการได้ จำเป็นต้องอาศัยผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025:2017 สามารถตรวจวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้

ข้อมูลการตรวจสอบและผลการทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า หลังมีข่าวการปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานกำหนด กรมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกและแหล่งน้ำใกล้เคียงใน 6 อำเภอ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่าไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน โดยพบปริมาณน้อยกว่า 0.001 – 0.009 มิลลิกรัมต่อลิตร

ต่อมา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ได้ลงพื้นที่อีกครั้งเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านบริเวณใกล้แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกในอำเภอแม่สายและเชียงแสน รวม 6 ตัวอย่าง ผลการตรวจพบปริมาณสารหนูน้อยกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด

ในเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 2568 ได้วางแผนเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก และปลา รวมชนิดละไม่น้อยกว่า 19 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์โดยวิธีมาตรฐานสากล (Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023. part 3030, 3110 : p 3-10) ด้วยเทคนิค AAS และ AOAC 2015.01 เทคนิค ICP-MS ในระบบคุณภาพ ISO/IEC 17025:2017

ผลการตรวจสอบครั้งแรกจำนวน 80 ตัวอย่าง แบ่งเป็นน้ำประปาหมู่บ้าน 36 ตัวอย่าง พืชผัก 21 ตัวอย่าง และปลาแม่น้ำ 23 ตัวอย่าง ไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน นอกจากนี้ ผลการตรวจโลหะหนักชนิดอื่น ได้แก่ แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท และแมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐานเช่นกัน

การเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยงและการดูแลประชาชน

จากกรณีประชาชนในอำเภอแม่สายบางรายมีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างน้ำตรวจสารหนูเบื้องต้นด้วย Test Kit จำนวน 3 จุด ไม่พบการปนเปื้อนแต่อย่างใด และเก็บตัวอย่างบ่อน้ำบาดาล 6 จุด ตรวจหาสารปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจยืนยันว่าไม่พบเกินค่ามาตรฐานทั้งน้ำประปา พืชผัก และปลา

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนใช้เฉพาะน้ำที่ผ่านการกรองหรือปรับปรุงคุณภาพตามมาตรฐาน พร้อมแนะนำกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

การบริหารจัดการสถานการณ์และการสื่อสารสาธารณะ

นายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ยืนยันถึงการเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการด้านสุขภาพอย่างเข้มข้น โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใสให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งมีการเก็บตัวอย่างตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และรายงานผลการดำเนินการอย่างโปร่งใสแก่ประชาชนทุกระยะ

มาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายฝากถึงประชาชนในพื้นที่ ให้มั่นใจในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานราชการที่มีความเชี่ยวชาญ โดยจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการป้องกันเฝ้าระวังและสร้างความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในทุกด้าน

ทหารบกเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมพื้นที่แม่สาย

ในวันเดียวกัน พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมการก่อสร้างพนังคอนกรีตและคันดินริมแม่น้ำสาย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำรอยจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีข้าราชการทหารและฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้การต้อนรับ

การดำเนินงานของทหารช่างในพื้นที่แม่สาย มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาวเพื่อป้องกันน้ำท่วมทะลักเข้าชุมชน ในพื้นที่ที่มีอาคารติดแม่น้ำสาย ได้มีการเชื่อมเหล็กปิดช่องประตูหน้าต่างอย่างเข้มงวด ขณะที่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมปีที่ผ่านมา ได้มอบดอกไม้และป้ายขอบคุณแก่เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาช่วยเหลือในทุกมิติ

สถานการณ์ปัจจุบันและข้อเสนอแนะต่อสาธารณชน

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า สถานการณ์สารหนูปนเปื้อนในแหล่งน้ำจังหวัดเชียงรายขณะนี้ ยังไม่พบข้อมูลที่บ่งชี้ความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าเฝ้าระวังต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพและใช้เฉพาะน้ำประปาที่ผ่านการรับรอง พร้อมติดตามข่าวสารจากราชการอย่างใกล้ชิด

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

  • ผลตรวจน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก ปลา จำนวนรวม 80 ตัวอย่าง ไม่พบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน
  • ปริมาณสารหนูในน้ำประปาเฉลี่ยน้อยกว่า 0.001–0.009 มก./ลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด (อ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์)
  • ผลตรวจโลหะหนักอื่นๆ เช่น แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท แมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (อ้างอิง: ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย)
  • ข้อมูลอ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร, Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023, ISO/IEC 17025:2017

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงรายต้อนรับสปสช. พัฒนาสาธารณสุข

เทศบาลนครเชียงรายต้อนรับ สปสช. ศึกษาดูงานการพัฒนาระบบสุขภาพท้องถิ่น มุ่งสร้าง “เมืองแห่งความสุข” อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงราย เปิดบ้านต้อนรับคณะศึกษาดูงานจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อนำเสนอแนวทางการยกระดับระบบบริการสาธารณสุขแบบบูรณาการ ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มวัยบนฐานของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ พร้อมเดินหน้ายกระดับ “นครเชียงราย เมืองน่าอยู่ นครแห่งความสุข” อย่างเป็นรูปธรรม

ภายใต้การนำของ พ.จ.อ. อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่เทศบาล ได้ให้การต้อนรับ นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชระไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

เชียงรายเมืองน่าอยู่” เริ่มต้นจากชุมชนเข้มแข็ง

เทศบาลนครเชียงรายได้นำเสนอแนวคิด “เมืองสร้างคน คนสร้างเมือง” ซึ่งเป็นแกนหลักในการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่องผ่านการบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน องค์กรเอกชน และสถาบันการศึกษา โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางการวางนโยบาย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขที่เป็นกลไกสำคัญของคุณภาพชีวิต

ความร่วมมือระดับชาติสู่พื้นที่จริง

การต้อนรับคณะจาก สปสช. ครั้งนี้ มุ่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และประเมินความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสุขภาพของเทศบาลนครเชียงราย ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, กองทุนสุขภาพระดับท้องถิ่น, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), รวมถึงหน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่และสถาบันการศึกษาชั้นนำในภาคเหนือ

มหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมเป็นเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, มหาวิทยาลัยพะเยา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ซึ่งมีบทบาทในการสนับสนุนองค์ความรู้ การวิจัย และการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพชุมชน

สามมิติสู่เมืองแห่งความสุข

การดำเนินการขับเคลื่อนเมืองแห่งความสุขของเทศบาลนครเชียงราย ถูกจัดวางภายใต้แนวคิด นครเชียงราย เมืองน่าอยู่ นครแห่งความสุข” ใน 3 มิติ ได้แก่

  1. สุขภาพดี – ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง กลุ่มคนพิการ และผู้มีรายได้น้อย
  2. สังคมดี – การสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง
  3. สิ่งแวดล้อมดี – การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการขยะ การส่งเสริมพื้นที่สีเขียว เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน

กองทุนสุขภาพท้องถิ่น กลไกสำคัญของความยั่งยืน

เทศบาลนครเชียงรายได้เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่บริหารจัดการกองทุนสุขภาพในระดับท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกองทุนสุขภาพ 3 รูปแบบสำคัญที่ดำเนินการแล้ว ดังนี้

  • กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น (กปท.): ทั่วประเทศมีการจัดตั้งแล้วกว่า 7,760 แห่ง
  • กองทุน LTC (Long Term Care): สำหรับการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จัดตั้งแล้ว 7,423 แห่ง
  • กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด: มีการดำเนินงานแล้ว 72 แห่ง จากทั้งหมด 76 แห่งในประเทศไทย (ข้อมูล ณ เมษายน 2568)

ผลงานจริง ประชาชนสัมผัสได้

นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี กล่าวว่า “เทศบาลนครเชียงรายถือเป็นตัวอย่างของพื้นที่ที่สามารถบูรณาการกองทุนจากหลายหน่วยงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่มีงบประมาณซ้ำซ้อน และมีระบบติดตามผลที่วัดได้จริง ส่งผลให้ประชาชนในทุกกลุ่มวัยได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ ทั้งด้านสุขภาพกาย ใจ และสังคม”

จากการรายงานผลลัพธ์ของการดำเนินงานในรอบปี 2567 พบว่า เทศบาลสามารถให้บริการประชาชนได้ครอบคลุมกว่า 96% ของจำนวนประชากรในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่เข้าถึงบริการเพิ่มขึ้นถึง 82% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเริ่มโครงการ

วิเคราะห์ผลกระทบของการดำเนินโครงการสุขภาพท้องถิ่น

ผลกระทบเชิงบวก

  • ประชาชนได้รับบริการด้านสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย
  • งบประมาณด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการซ้ำซ้อน
  • การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและชุมชน ทำให้เกิดนโยบายจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up Policy)
  • สร้างความร่วมมือระยะยาวกับภาคการศึกษาและภาคประชาสังคม

ข้อท้าทาย

  • ความต่อเนื่องของโครงการยังขึ้นอยู่กับงบประมาณประจำปี
  • ความแตกต่างทางบริบทชุมชนอาจทำให้การดำเนินงานไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่
  • ความเข้าใจและทักษะของบุคลากรท้องถิ่นในการบริหารกองทุนยังต้องได้รับการพัฒนา

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูล สปสช. ณ เมษายน 2568 ประเทศไทยมี 7,760 กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น, 7,423 กองทุน LTC และ 72 กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด
  • เทศบาลนครเชียงรายมีประชากรประมาณ 71,000 คน โดยมีหน่วยบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิจำนวน 12 แห่ง
  • ร้อยละ 96 ของประชากรในเขตเทศบาลเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพประจำปี
  • เทศบาลใช้จ่ายงบประมาณเฉลี่ยต่อหัวในการพัฒนาระบบสุขภาพ ประมาณ 256 บาท/คน/ปี โดยมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากการบริหารแบบบูรณาการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เทศบาลนครเชียงราย

  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • รายงานติดตามผลโครงการกองทุนสุขภาพเทศบาลนครเชียงราย ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเคลื่อนที่ มอบสุขถึงบ้าน แก้ปัญหาชุมชน

อบจ.เชียงราย ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้ม” ส่งความสุข-บริการถึงบ้าน สร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้ชุมชน

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้านโยบาย “รัฐบริการเชิงรุก” ด้วยการนำหน่วยงานภาครัฐออกให้บริการถึงพื้นที่ห่างไกล ผ่านโครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างเท่าเทียม พร้อมรับฟังปัญหาเพื่อหาทางออกอย่างมีส่วนร่วม

ในครั้งนี้จัดขึ้น ณ บ้านป่าลัน หมู่ 5 ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี ณ วัดป่าอรัญญวิเวก พร้อมด้วย นางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายสุทัศน์ ลิ้มวณิชย์กุล นายอำเภอดอยหลวง และ นายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เข้าร่วม พร้อมบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้นำท้องถิ่น และอาสาสมัคร พอ.สว.

จาก “หน่วยรัฐประจำจังหวัด” สู่ “รัฐบริการเชิงรุกถึงบ้าน”

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมาย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ. พร้อมด้วยบุคลากรกองสาธารณสุข ร่วมลงพื้นที่กับโครงการในครั้งนี้ เพื่อรับฟังปัญหาอย่างใกล้ชิด และตรวจเยี่ยมผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงในพื้นที่จำนวน 5 ราย ตอกย้ำภารกิจหลักของ อบจ. ในฐานะองค์กรท้องถิ่นที่ใส่ใจสุขภาวะของประชาชน

โครงการนี้ถือเป็นรูปธรรมของการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตในถิ่นทุรกันดาร โดยนำบริการรัฐหลากหลายด้านมาไว้ในพื้นที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการทางการแพทย์ การตรวจสุขภาพ การให้คำปรึกษาด้านสวัสดิการ การเกษตร การศึกษา รวมถึงการเปิดช่องทางร้องเรียน-ร้องทุกข์ต่อหน่วยงานภาครัฐได้โดยตรง

ลดภาระ เพิ่มโอกาส สร้างสุขใกล้บ้าน

หัวใจสำคัญของโครงการ คือการทำให้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไกลเพื่อเข้ารับบริการที่จำเป็น ซึ่งจากการสัมภาษณ์ประชาชนในพื้นที่ต่างสะท้อนเสียงตรงกันว่า “สะดวก รวดเร็ว ไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง” ขณะที่ผู้ป่วยติดเตียงในชุมชนได้รับการเยี่ยมเยียนและตรวจสุขภาพถึงบ้าน ถือเป็นการฟื้นฟูสุขภาพกายใจในเวลาเดียวกัน

อีกทั้งหน่วยงานที่เข้าร่วมในครั้งนี้ยังได้มอบ ถุงยังชีพ 100 ชุด, ข้าวสาร 50 ถุง, ผ้าห่มกันหนาว 100 ชุด, และ พันธุ์ปลา 20 ถุง ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในครัวเรือน

Clinic Center ช่องทางเชื่อมรัฐ-ชุมชนอย่างใกล้ชิด

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้เปิด “Clinic Center” เป็นหน่วยงานประสานงานกลางที่เปิดรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ และคำแนะนำจากประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะปัญหาด้านสาธารณสุข การศึกษา สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

Clinic Center ยังมีบทบาทในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยประชาชนสามารถเสนอแนวคิดการพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และเป็นเจ้าของโครงการต่างๆ ได้มากขึ้น สอดคล้องกับหลักการ “ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา”

บูรณาการหน่วยงาน รัฐ-เอกชน-อาสาสมัคร ผนึกกำลังเพื่อท้องถิ่น

ความสำเร็จของโครงการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึง พลังของความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานราชการระดับจังหวัด อำเภอ อบจ. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เหล่ากาชาด และภาคประชาชน อาสาสมัคร พอ.สว. ที่ร่วมกันสนับสนุนทั้งทรัพยากร กำลังคน และความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการแบบครบวงจร

การมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภอดอยหลวง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ อบจ.เชียงราย ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการติดตามข้อมูลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบข้อมูลสาธารณสุขจังหวัด

วิเคราะห์ผลลัพธ์ของโครงการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”

ผลกระทบเชิงบวก

  • ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้สะดวกและทั่วถึง
  • ผู้ป่วยติดเตียงได้รับการดูแลต่อเนื่อง ไม่ถูกทอดทิ้ง
  • ลดความเหลื่อมล้ำด้านบริการสาธารณะ
  • เสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบราชการและการบริหารงานของ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่น

ข้อสังเกตเชิงลบ/ความท้าทาย

  • บางพื้นที่ยังขาดอุปกรณ์การแพทย์และบุคลากรเฉพาะทาง
  • ความต่อเนื่องของโครงการขึ้นอยู่กับงบประมาณและการประสานงาน
  • ความต้องการของประชาชนในบางประเด็นอาจยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างครอบคลุม

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (พ.ศ. 2567) พบว่า ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 28% เคยไม่ได้รับบริการสาธารณสุขเพราะไม่มีรถรับส่งหรือค่าเดินทาง
  • โครงการ “หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” ปี 2567 จัดขึ้นรวม 18 ครั้งใน 18 อำเภอ ครอบคลุมประชาชนกว่า 35,000 ราย
  • รายงานผลการเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงในจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า กว่า 3,700 ราย อยู่ในพื้นที่เสี่ยงขาดการดูแลหากไม่มีโครงการเยี่ยมบ้านแบบเคลื่อนที่
  • กรมการปกครอง ระบุว่า โครงการจังหวัดเคลื่อนที่สามารถลดภาระการเดินทางของประชาชนได้เฉลี่ย กว่า 850 บาท/ครัวเรือน/ครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • รายงานโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ 2567-2568
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘น้ำประปาเชียงราย’ ปลอดภัยจริง มีการตรวจก่อนส่งให้ประชาชนใช้

การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายชี้แจงกระบวนการผลิตน้ำประปา ยืนยันปลอดภัยจากมลพิษแม่น้ำกก

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – ที่สถานีผลิตน้ำวังคำ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย นายทวีศักดิ์ สุขก้อน ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย ได้นำคณะสื่อมวลชนและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและชี้แจงถึงกระบวนการผลิตน้ำประปาในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน หลังจากเกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่ อันเนื่องมาจากรายงานการปนเปื้อนของสารโลหะหนักและมลพิษในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาสำหรับประชาชนในเขตอำเภอเมืองเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง

การเยี่ยมชมกระบวนการผลิตน้ำประปา

การเยี่ยมชมเริ่มต้นที่โรงคลองน้ำขนาด 1,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสถานีผลิตน้ำวังคำประมาณ 300 เมตร โดยจุดนี้เป็นสถานที่สูบน้ำดิบจากแม่น้ำกกในเขตพื้นที่ค่ายทหาร นายทวีศักดิ์อธิบายว่า น้ำดิบที่ถูกสูบเข้ามาจะถูกนำเข้าสู่ถังน้ำเพื่อผ่านกระบวนการเติมสารเคมีสำหรับจัดการตะกอน โดยในอดีต การประปาใช้สารเคมีในรูปแบบผงที่ต้องมีการเตรียมก่อนใช้งาน ซึ่งใช้เวลานานและอาจไม่ทันต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ปัจจุบันได้ปรับปรุงมาใช้สารเคมีในรูปแบบน้ำ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการจัดการคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดน้ำท่วมหรือน้ำขุ่นสูงจากอุทกภัย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มสารเคมีอีกประเภทหนึ่งเพื่อยกระดับการกำจัดตะกอนให้ดียิ่งขึ้น

จากนั้น น้ำดิบที่ผ่านการเติมสารเคมีจะถูกส่งต่อไปยังถังตกตะกอน ซึ่งใช้เวลาในกระบวนการนี้ประมาณ 30 นาที สารเคมีที่เติมเข้าไปจะช่วยให้ตะกอนทั้งจากธรรมชาติและตะกอนหนัก เช่น สารอินทรีย์หรือโลหะหนัก จับตัวกันเป็นก้อนที่มีน้ำหนักมากขึ้น และตกลงสู่ก้นถัง เหลือเพียงน้ำใสที่ไหลต่อไปยังขั้นตอนถัดไป นายทวีศักดิ์ได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของน้ำในถังตกตะกอน โดยเมื่อน้ำเคลื่อนจากด้านหนึ่งของถังไปยังอีกด้านหนึ่ง ความขุ่นจะลดลงอย่างชัดเจน จนถึงปลายถังที่น้ำแทบไม่มีตะกอนหลงเหลืออยู่เลย

น้ำใสจากถังตกตะกอนจะไหลลงสู่ระบบกรองทรายที่มีชั้นกรอง 5 ชั้น ตั้งแต่ชั้นทรายหยาบที่ด้านล่างไปจนถึงชั้นทรายละเอียดที่ด้านบน เพื่อกำจัดสิ่งปนเปื้อนขนาดเล็กที่อาจหลงเหลืออยู่ นายทวีศักดิ์ระบุว่า หลังจากผ่านระบบกรองนี้ น้ำจะถูกส่งไปยังถังเก็บน้ำสะอาดเพื่อเติมคลอรีนในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับฆ่าเชื้อโรค ก่อนจ่ายไปยังครัวเรือนในเขตบริการ เขาย้ำว่า การประปามีการตรวจวัดคุณภาพน้ำทุกวัน โดยค่าความขุ่นของน้ำที่ออกจากสถานีอยู่ที่ต่ำกว่า 1 หน่วย NTU (Nephelometric Turbidity Unit) ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 4 หน่วย NTU ตามเกณฑ์ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

การรับประกันความปลอดภัยของน้ำประปา

เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสื่อมวลชนและประชาชน นายทวีศักดิ์ได้สาธิตการทดสอบคุณภาพน้ำ โดยการวัดค่า pH ซึ่งผลลัพธ์อยู่ที่ 7.12 อยู่ในช่วงมาตรฐาน 6.5-8.5 ที่กำหนดโดยกรมอนามัย นอกจากนี้ เขายังได้ล้างหน้าด้วยน้ำประปาตรงหน้ากล้อง เพื่อแสดงให้เห็นว่าน้ำมีความปลอดภัยต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน “น้ำประปาของเราผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมอนามัย และมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นช่วงน้ำท่วมหรือสถานการณ์ปกติ ระบบของเราสามารถรองรับได้” นายทวีศักดิ์กล่าว

การเยี่ยมชมยังรวมถึงการพูดคุยกับนายนิพนธ์ แสงพงษ์ วิศวกรประจำศูนย์ควบคุมการผลิต ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบและบันทึกข้อมูลคุณภาพน้ำได้แบบเรียลไทม์ ผ่านกราฟและตัวชี้วัดต่างๆ ศูนย์นี้ยังทำหน้าที่เฝ้าระวังระบบจ่ายน้ำในเขตบริการรอบเมืองเชียงราย หากเกิดปัญหาการขาดน้ำหรือระบบขัดข้อง เจ้าหน้าที่จะทราบทันทีและสามารถส่งทีมช่างออกไปแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว นายนิพนธ์ระบุว่า ระบบนี้ช่วยให้การประปาสามารถตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำในพื้นที่

ห้องปฏิบัติการควบคุมคุณภาพน้ำ

นายณรงค์ศักดิ์ สารใจ นักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการควบคุมคุณภาพน้ำ ซึ่งรับผิดชอบการตรวจสอบน้ำประปาใน 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา และน่าน อธิบายว่า ห้องปฏิบัติการนี้แบ่งการทดสอบออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. คุณลักษณะทางกายภาพ: เช่น ค่าความขุ่นและ pH
  2. คุณลักษณะทางเคมี: เช่น ค่าความกระด้างและฟลูออไรด์
  3. คุณลักษณะทางชีววิทยา: เช่น การตรวจหาเชื้อโรค เช่น อีโคไลและโคลิฟอร์มแบคทีเรีย

การตรวจเชื้อโรคพื้นฐานจะดำเนินการทุกเดือน ส่วนเชื้อก่อโรคอื่นๆ เช่น ซัลโมเนลลา จะมีการตรวจทุก 6 เดือน สำหรับการตรวจสารโลหะหนัก นายพิทักษ์ มูลวิไชย นักวิทยาศาสตร์อีกท่านหนึ่ง ระบุว่า การประปาสาขาเชียงรายจะส่งตัวอย่างไปยังห้องปฏิบัติการของการประปาส่วนภูมิภาคเขตที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนสารพิษที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่น สารหนูและตะกั่ว จะถูกส่งไปตรวจที่สำนักงานใหญ่ของการประปาส่วนภูมิภาคที่กรุงเทพมหานคร โดยมีการตรวจสอบเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก เช่น กรมอนามัย และหน่วยงานอิสระ เพื่อยืนยันคุณภาพน้ำอย่างโปร่งใสและเป็นกลาง

ความกังวลจากสถานการณ์แม่น้ำกก

การชี้แจงครั้งนี้มีขึ้นหลังจากมีรายงานเมื่อต้นเดือนเมษายน 2568 ว่า แม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักของการประปาสาขาเชียงราย มีการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว ในระดับที่เกินมาตรฐานน้ำผิวดิน ส่งผลให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชนถึงความปลอดภัยของน้ำประปา โดยเฉพาะเมื่อสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสหรือบริโภคน้ำจากแม่น้ำกกโดยตรง

นายทวีศักดิ์ยืนยันว่า แม้แม่น้ำกกจะมีรายงานการปนเปื้อน แต่กระบวนการผลิตน้ำประปาของการประปาสามารถกำจัดสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ “เราไม่ปล่อยให้น้ำดิบที่มีปัญหาคุณภาพไหลเข้าสู่ระบบโดยไม่ผ่านการบำบัด ทุกขั้นตอนถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้” เขากล่าว พร้อมระบุว่า การประปาได้เพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบจากแม่น้ำกกตั้งแต่ทราบผลการตรวจเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น

การสื่อสารกับประชาชน

นายทวีศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในน้ำประปาของเรา กระบวนการผลิตและการตรวจสอบของเรามีมาตรฐานชัดเจน หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เพจ Facebook ‘การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย’ หรือโทรศัพท์สายตรงของเราได้ตลอดเวลา” เขายังระบุว่า ข้อมูลผลการตรวจคุณภาพน้ำจะมีการอัปเดตผ่านช่องทางออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ประชาชนรับทราบความเคลื่อนไหวและคลายความกังวล

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

จากสถานการณ์ดังกล่าว มีความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่ประชาชนและผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำประปาในจังหวัดเชียงราย

ฝ่ายที่ 1: มั่นใจในน้ำประปา
การประปาส่วนภูมิภาคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่า น้ำประปาที่ผ่านกระบวนการผลิตมีมาตรฐานสูงและปลอดภัยต่อการใช้งาน ด้วยระบบบำบัดที่สามารถกำจัดสารปนเปื้อน รวมถึงสารโลหะหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทดสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่องและการรับรองจากกรมอนามัยเป็นหลักฐานที่สนับสนุนว่า ประชาชนสามารถใช้งานน้ำประปาได้โดยไม่ต้องกังวล

ฝ่ายที่ 2: ยังคงกังวลถึงความเสี่ยง
ในทางกลับกัน บางส่วนของประชาชนและกลุ่มที่ติดตามสถานการณ์แม่น้ำกกมีความกังวลว่า แม้ระบบบำบัดจะมีประสิทธิภาพ แต่การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแหล่งน้ำดิบอาจส่งผลกระทบในระยะยาว โดยเฉพาะหากระบบเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่สามารถรับมือกับปริมาณสารพิษที่สูงเกินคาดได้ การที่แหล่งน้ำต้นทางอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ

ทัศนคติเป็นกลาง: ทั้งสองฝ่ายมีมุมมองที่สมเหตุสมผล การประปาสาขาเชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของระบบและการตรวจสอบที่เข้มงวด ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการรับประกันความปลอดภัยในสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนก็ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากแหล่งน้ำดิบที่มีปัญหาคุณภาพอาจเป็นความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังในอนาคต การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เช่น การปนเปื้อนจากเหมืองทองคำในเมียนมา ร่วมกับการสื่อสารที่โปร่งใสและการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง จะเป็นแนวทางที่สมดุลในการคลายความกังวลและรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ปริมาณการผลิตน้ำประปา: การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายผลิตน้ำประปาประมาณ 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อให้บริการในเขตอำเภอเมืองเชียงรายและเวียงชัย (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, การประปาส่วนภูมิภาค)
  2. คุณภาพน้ำแม่น้ำกก: กรมควบคุมมลพิษระบุว่า ในปี 2567 แม่น้ำกกมีค่า BOD เฉลี่ย 3-5 mg/L เกินมาตรฐานน้ำผิวดินที่ 2 mg/L (ที่มา: รายงานสถานการณ์มลพิษน้ำ, 2567)
  3. การปนเปื้อนสารหนู: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การสัมผัสสารหนูเกิน 0.01 mg/L ในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง (ที่มา: WHO Arsenic Fact Sheet, 2023)
  4. การใช้น้ำในเชียงราย: แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบหลักสำหรับการผลิตน้ำประปาในเขตอำเภอเมืองเชียงราย คิดเป็นร้อยละ 60 ของปริมาณน้ำที่ใช้ทั้งหมด (ที่มา: รายงานทรัพยากรน้ำ, สทนช., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

กรมวังผู้ใหญ่ฯ ติดตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขที่เชียงราย

ลงพื้นที่เรือนจำกลางเชียงราย ติดตามการดำเนินงานโครงการกำลังใจฯ

เชียงราย, 6 มีนาคม 2568 – พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ 908 กรรมการมูลนิธิราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรองประธานกรรมการกองทุนกำลังใจฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ณ เรือนจำกลางเชียงราย จังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุมเพื่อรายงานผลการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการภายในเรือนจำกลางเชียงราย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังและเสริมสร้างโอกาสให้แก่พวกเขา

ตรวจเยี่ยมสถานพยาบาลและโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต

พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมภายในเรือนจำกลางเชียงราย โดยมีการตรวจสอบการให้บริการทางการแพทย์ผ่านระบบ Telemedicine การทำงานของห้องปฏิบัติการระบบ JHCIS ห้องจ่ายยา และห้องทัณตกรรม นอกจากนี้ ยังมีการตรวจเยี่ยมห้องแม่และเด็กภายในเรือนจำ พร้อมมอบของเยี่ยมให้แก่ผู้ต้องขังหญิงตั้งครรภ์และมารดาที่มีเด็กติดผู้ต้องขัง รวมถึงผู้ต้องขังสูงอายุจำนวน 10 ราย ซึ่งเป็นการแสดงถึงความห่วงใยและสนับสนุนด้านสุขภาพของผู้ต้องขังในเรือนจำ

เยี่ยมชมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สนับสนุนการทำงานบุคลากรทางการแพทย์

ในช่วงบ่าย พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง และคณะ ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงาน โดยได้รับการต้อนรับจากนายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย แพทย์หญิงอัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และทีมผู้บริหารโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ครอบคลุมหลายส่วนงานสำคัญ ได้แก่ ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ศูนย์นเรนทร ระบบ AOC (Ambulance Operation Center) อาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน หอผู้ป่วยรักษ์ใจ กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด และการให้บริการ Telemedicine ในห้องตรวจผิวหนัง อาคารผู้ป่วยนอก 50 ปีอนุสรณ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบสาธารณสุขในจังหวัดเชียงราย

สถิติและแนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับโครงการราชทัณฑ์ปันสุข

ตามข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ ประเทศไทยมีผู้ต้องขังรวมกว่า 250,000 คน ซึ่งในปี 2567 พบว่ามากกว่า 60% เป็นผู้ต้องขังในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้มีความจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือด้านการฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตภายในเรือนจำ โดยโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ได้ช่วยให้ผู้ต้องขังมีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาล การศึกษา และการพัฒนาทักษะอาชีพมากขึ้น

โครงการนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการแพทย์และฟื้นฟูจิตใจของผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ การดำเนินงานของโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ จึงเป็นตัวอย่างของการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังให้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างยั่งยื

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

‘สมศักดิ์’ โต้ 9 หมื่นล้าน ค่ารักษาต่างด้าว ตัวเลขคลาดเคลื่อน

สภาพัฒน์เผย ไทยจ่ายค่ารักษาพยาบาลคนต่างด้าว 9.2 หมื่นล้านบาท กระทบหนักพื้นที่ชายแดน

ค่าใช้จ่ายพุ่งสูง แพทย์ชายแดนรับภาระหนัก

ตาก, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 และภาพรวมปี 2567 พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าวสูงถึง 9.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 8.2 เท่า โดยกว่าร้อยละ 81.1 มาจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะจังหวัดตาก

เหตุผลที่ไทยต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาล

จากข้อมูลเชิงลึกของหน่วยบริการสาธารณสุขในจังหวัดตาก พบปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนต่างด้าวเข้ามารับการรักษาในไทย ได้แก่:

  1. ขาดแคลนสถานพยาบาลในเมียนมา ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องข้ามแดนเข้ามารับการรักษา โดยส่วนใหญ่มักมีอาการป่วยหนักและไม่สามารถชำระค่ารักษาได้
  2. กลุ่มคนไร้สัญชาติที่เกิดในไทย แต่ไม่ได้รับสิทธิรักษาภายใต้กองทุน ท.99 ทำให้ต้องพึ่งพาสาธารณสุขของไทย
  3. โรงพยาบาลชายแดนต้องรับมือกับโรคติดต่อร้ายแรง แพทย์ชายแดนต้องให้บริการตรวจรักษาในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดในไทย

ผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทย

  • บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน ทำให้การให้บริการล่าช้าและมีภาระงานหนักขึ้น
  • งบประมาณโรงพยาบาลตึงตัว ต้องรองรับภาระค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้รับการชดเชยเต็มจำนวน
  • การแพร่ระบาดของโรคติดต่อในพื้นที่ชายแดน สร้างความกังวลด้านสาธารณสุข

รัฐมนตรีสาธารณสุขแจงตัวเลข สศช. คลาดเคลื่อน

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่าตัวเลขค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลคนต่างด้าวที่ สศช. รายงานว่า 9.2 หมื่นล้านบาท เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง โดยงบประมาณหลักประกันสุขภาพรวมต่อปีอยู่ที่ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้นการที่ค่ารักษาคนต่างด้าวจะสูงถึง 9 หมื่นล้านบาทเป็นไปไม่ได้

“ตัวเลขที่แท้จริงอยู่ที่ประมาณ 2,050 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนประมาณ 500 ล้านบาท โดยตัวเลขดังกล่าวยังต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม” นายสมศักดิ์กล่าว

แนวทางแก้ไขปัญหาสาธารณสุขชายแดน

  1. การจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม เพื่อให้โรงพยาบาลชายแดนสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ยกระดับมาตรฐานการสาธารณสุขชายแดน โดยประสานงานกับหน่วยงานในประเทศและองค์กรต่างชาติ
  3. เร่งพิสูจน์สิทธิของบุคคลไร้สถานะ เพื่อลดภาระของโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน

สถิติและข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนต่างด้าวที่เรียกเก็บไม่ได้ปี 2567 อยู่ที่ 2,050 ล้านบาท
  • งบประมาณที่ใช้รองรับคนต่างด้าวในโรงพยาบาลชายแดนลดลง 500 ล้านบาทจากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการรักษาคนต่างด้าวต่อคนต่ำกว่า 2,000 บาท
  • 81.1% ของค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวเลข 9.2 หมื่นล้านบาทที่เผยแพร่โดย สศช. ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ และอาจเกิดจากข้อผิดพลาดด้านการบันทึกข้อมูล เช่น การบันทึกค่ารักษาซ้ำซ้อนหรือคำนวณผิดพลาด

กระทรวงสาธารณสุขเตรียมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง พร้อมเสนอแนวทางบริหารจัดการงบประมาณด้านสุขภาพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

สธ. แจงไวรัส HKU5 ในค้างคาว แค่งานวิจัย ย้ำไทยเฝ้าระวังเข้มแข็ง

กระทรวงสาธารณสุขไทยยัน HKU5-CoV-2 ยังไม่มีการระบาดในคน

ปลัด สธ. ย้ำไทยมีระบบเฝ้าระวังเข้มแข็ง ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

กรุงเทพฯ, 22 กุมภาพันธ์ 2568กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ HKU5-CoV-2 ในคน แม้จะมีรายงานจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการของจีนเมื่อปี 2566 ว่าไวรัสนี้สามารถเกาะกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ดีเช่นเดียวกับโควิด-19

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รายงานดังกล่าวเป็นเพียงผลการทดลองในห้องแล็บ ยังไม่มีหลักฐานทางระบาดวิทยาที่ชี้ว่าไวรัสนี้สามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง และไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อจากสายพันธุ์นี้แต่อย่างใด

“ข้อมูลที่มีในขณะนี้เป็นเพียงรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานว่ามีการแพร่กระจายสู่คนหรือเกิดการระบาดจริงในประชากรทั่วไป ดังนั้นประชาชนไม่ควรตื่นตระหนก” นพ.โอภาสกล่าว

HKU5-CoV-2 คืออะไร?

HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่ถูกค้นพบในค้างคาว และจัดอยู่ในตระกูล Merbecovirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของไวรัสโคโรนา นักวิจัยพบว่าไวรัสนี้มีความสามารถในการจับกับเอนไซม์ ACE2 ซึ่งเป็นตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันสามารถก่อโรคในมนุษย์ได้

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันไวรัสวิทยาหวู่ฮั่น ประเทศจีน ได้ทดสอบ HKU5-CoV-2 ในเซลล์ตัวอย่างของระบบทางเดินหายใจและลำไส้ของมนุษย์ และพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสสามารถจับกับเยื่อหุ้มเซลล์ได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าสู่เซลล์มนุษย์ยังต่ำกว่า SARS-CoV-2 หรือไวรัสโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ไม่ควร “ตีความเกินจริง” เกี่ยวกับความเสี่ยงของ HKU5-CoV-2 ต่อมนุษย์ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้จริง

ไทยติดตามไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด

นพ.โอภาส ยืนยันว่า ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคระบาดที่เข้มแข็ง โดยกรมควบคุมโรคและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำงานร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อ ติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สายพันธุ์ที่พบในไทยยังคงเป็น โอมิครอน JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ และไม่มีหลักฐานว่ามีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยังคงมีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดสำหรับนักเดินทางขาเข้า โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรคทางเดินหายใจ

มาตรการป้องกันไวรัส: ใช้ได้กับทุกสายพันธุ์

แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 สามารถระบาดในมนุษย์ได้ แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มาตรการป้องกันโรคทางเดินหายใจที่ใช้ในปัจจุบันสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากไวรัสทุกชนิดได้ ได้แก่:

  • สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดหรือระบบระบายอากาศไม่ดี
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคทางเดินหายใจ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนโควิด-19

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาและวัคซีน

หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับ HKU5-CoV-2 หุ้นของบริษัทยาผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 เช่น Pfizer, Moderna และ Novavax ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ เช่น ดร.ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม จากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา กล่าวกับ Reuters ว่า ปฏิกิริยาของตลาดและสื่อบางส่วนอาจเกินจริง เพราะยังไม่มีหลักฐานว่าไวรัสนี้มีความเสี่ยงต่อมนุษย์ในระดับที่ควรกังวล

แนวทางการรักษาหาก HKU5-CoV-2 แพร่สู่คน

หาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้จริง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแนวทางการรักษาที่อาจใช้ได้ ได้แก่:

  • แอนติบอดีโมโนโคลนอล (Monoclonal Antibodies) – เป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสู้กับไวรัส
  • ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs) – ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดความรุนแรงของอาการ เช่นเดียวกับยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของการรักษาจะขึ้นอยู่กับความสามารถของไวรัสในการแพร่เชื้อและอัตราการกลายพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมหาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่ระบาดในคนได้ในอนาคต

สรุป

  • HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่พบในค้างคาว และเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไวรัสโคโรนา
  • ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง
  • ไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคที่เข้มแข็ง และติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง
  • มาตรการป้องกัน เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสทุกสายพันธุ์
  • ตลาดหุ้นบริษัทยาผลิตวัคซีนปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่

แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 จะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ในขณะนี้ แต่การเฝ้าระวังและการศึกษาต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข / forbes

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดูแลสุขภาพประชาชน

เชียงรายจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และจังหวัดเคลื่อนที่ บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 9 ประจำปี 2568 พร้อมโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” เพื่อให้บริการด้านสุขภาพและภาครัฐแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล โดยกิจกรรมจัดขึ้นที่โรงเรียนริมวัง 1 บ้านงิ้วเฒ่า หมู่ 7 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย, นายแพทย์คงศักดิ์ ชัยชนะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน และหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

การให้บริการในพื้นที่ห่างไกล

อำเภอพานประกอบด้วย 15 ตำบล 236 หมู่บ้าน โดยกิจกรรมในวันนี้เน้นการให้บริการประชาชนใน 3 หมู่บ้านของตำบลป่าหุ่ง ได้แก่:

  • บ้านปางเกาะทราย (หมู่ 6) ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน 15 กิโลเมตร มีประชากร 2,407 คน 452 ครัวเรือน
  • บ้านงิ้วเฒ่า (หมู่ 7) ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน 25 กิโลเมตร มีประชากร 470 คน 153 ครัวเรือน
  • บ้านผาวี (หมู่ 8) ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน 30 กิโลเมตร มีประชากร 389 คน 123 ครัวเรือน

ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้รับบริการตรวจสุขภาพจาก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. รวมถึงบริการจากหน่วยงานภาครัฐที่มาอำนวยความสะดวก เพื่อช่วยลดภาระและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังสถานที่ราชการในตัวเมือง

การมอบความช่วยเหลือแก่ประชาชน

หลังจากเปิดกิจกรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และคณะ ได้มอบความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่ ดังนี้:

  • ถุงยังชีพ จากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • ข้าวสาร จากวัดห้วยปลากั้ง
  • ผ้าห่มกันหนาว จากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • เงินสงเคราะห์ จำนวน 20 ราย จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา

นอกจากการให้บริการทางสุขภาพและสวัสดิการแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและคณะ ยังได้ร่วมกัน ปลูกต้นกาสะลองคำ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงราย บริเวณโรงเรียนริมวัง 1 พร้อมเดินเยี่ยมชมการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และพบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่

ภายหลังจากการเยี่ยมชม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ร่วมประชุมเสวนากับนายอำเภอพาน หัวหน้าส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ต่อไป

ความสำคัญของโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. โดยบุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันนี้ เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และเป็นการสนองพระปณิธานของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงกลุ่มเปราะบางทางสังคม

นอกจากนี้ คณะผู้บริหารจังหวัดเชียงรายยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุในอำเภอพาน จำนวน 5 ราย เพื่อให้กำลังใจและประเมินความช่วยเหลือที่จำเป็นสำหรับการดูแลผู้ป่วยเหล่านี้

บทสรุป

กิจกรรม หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และจังหวัดเคลื่อนที่ ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดเชียงราย ผ่านการให้บริการด้านสุขภาพและสวัสดิการโดยหน่วยงานภาครัฐที่ลงพื้นที่โดยตรง ซึ่งช่วยลดภาระของประชาชนในการเข้าถึงบริการที่จำเป็น และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE