Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายยกระดับเฝ้าระวังโรคหัด หลังพบผู้ป่วยสะสม 28 ราย กระจุกตัวชายแดน

เชียงรายยกระดับเฝ้าระวัง “โรคหัด” หลังตัวเลขผู้ป่วยพุ่ง รัฐย้ำเป้าครอบคลุมวัคซีนเกิน 95% คุมระบาดแนวชายแดน

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 — สถานการณ์โรคหัด (Measles) กำลังกลายเป็นโจทย์เร่งด่วนของระบบสาธารณสุขในจังหวัดชายแดนภาคเหนือ โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดรายงานผู้ป่วยสะสม 28 ราย ตลอดปี 2568 (ตั้งแต่สิงหาคมถึงปัจจุบันพบ 27 ราย) และพบการกระจุกตัวของผู้ป่วยใน อำเภอเชียงแสน 10 ราย, เชียงของ 8 ราย และอำเภอเมือง 5 ราย ขณะที่ทำเนียบรัฐบาลส่งสัญญาณเตือนระดับประเทศ หลังภาพรวมทั้งปีมีรายงานผู้ป่วย “ไข้ออกผื่นสงสัยหัด/หัดเยอรมัน” สะสม 1,928 ราย และพบว่าประมาณ หนึ่งในสี่ (26.5%) มี “ความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา” อย่างชัดเจน พร้อมบันทึกภาวะปอดอักเสน พร้อมบันทึกภาวะปอดอักเสบ 4.5% ของผู้ป่วยทั้งหมด

สาระสำคัญที่ทำให้เชียงรายต้องเร่งคุมเข้ม คือ “ความเชื่อมโยงข้ามแดน” โดยผู้ป่วยบางส่วนสัมพันธ์กับการระบาดในแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และยังมีผู้ป่วยจากฝั่งลาวเข้ารับการรักษาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายด้วย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) จึงขอความร่วมมือผู้ปกครองและกลุ่มเสี่ยง “เร่งฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์” และสังเกตอาการไข้-ผื่น หากพบให้รีบพบแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ และ สมองอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ภาพรวมสถานการณ์  เชียงราย vs ประเทศไทย

  • เชียงราย (ข้อมูล สสจ.)
    • ผู้ป่วยสะสมปี 2568  28 ราย
    • ช่วงการระบาด  ส.ค.–ปัจจุบัน 27 ราย
    • พื้นที่พบมาก  เชียงแสน (10), เชียงของ (8), เมือง (5), เวียงแก่น (3), ขุนตาล (1), ดอยหลวง (1)
    • กลุ่มเสี่ยงเด่น  เด็กก่อนวัยเรียน, รองลงมา วัยทำงานอายุ 20–40 ปี
  • ภาพรวมประเทศ (คำแถลงรองโฆษกรัฐบาล 21 พ.ย. 2568)
    • ผู้ป่วยไข้ออกผื่นสงสัยหัด/หัดเยอรมันสะสม  1,928 ราย
    • ผู้ป่วยมีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา  511 ราย (26.5%)
    • พบภาวะปอดอักเสบ  23 ราย (4.5%)
    • ช่วงก.ย.–ต.ค. 2568 พบผู้ป่วยสงสัยหัด 46 ราย กระจายหลายจังหวัด และ “พบเพิ่มขึ้นในภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงราย”
    • สาเหตุเชิงโครงสร้าง  ความครอบคลุมวัคซีนต่ำกว่าเกณฑ์ 95% ในหลายพื้นที่

สัญญาณเตือน จึงมิได้จำกัดเฉพาะแนวชายแดน แต่สะท้อน “ช่องว่างภูมิคุ้มกัน” ที่หากปล่อยให้การครอบคลุมวัคซีน (coverage) ต่ำกว่า 95% ตามเกณฑ์ที่จำเป็นต่อ “ภูมิคุ้มกันหมู่” (herd immunity) จะเอื้อให้การแพร่เชื้อเกิดขึ้นได้ “ทุกพื้นที่”

ทำไม “โรคหัด” จึงต้องคุมเข้มเป็นพิเศษ

โรคหัดเป็นโรคไวรัสทางเดินหายใจที่ แพร่ทางอากาศ (airborne) จากการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ติดต่อได้สูงมาก ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนหรือไม่เคยป่วยมาก่อนมีโอกาสติดเชื้อแทบทั้งหมดหากสัมผัสเชื้อ จุดที่น่าห่วงคือ ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ที่เกิดได้ในเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ปอดอักเสบ (เป็นสาเหตุการเสียชีวิตสำคัญ), หูชั้นกลางอักเสบ, และ สมองอักเสบ ซึ่งแม้พบน้อยแต่มีความรุนแรงสูง

ลำดับอาการสำคัญที่ควรรู้

  1. ระยะนำ (ก่อนผื่นขึ้น)  ไข้สูง ไอแห้ง น้ำมูกไหล ตาแดงแพ้แสง และที่เป็น “สัญญาณจำเพาะ” คือ จุดขาวเล็ก ๆ ที่กระพุ้งแก้ม (Koplik’s spots)
  2. ระยะผื่นขึ้น  ผื่นแดงเริ่มที่ใบหน้า ลามลงลำตัว แขน ขา มักมีไข้สูงต่อเนื่อง 3–4 วัน
  3. ระยะฟื้น  ผื่นจางใช้เวลาราว 7–10 วัน แต่ควรเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่อเนื่อง

ข้อเท็จจริงชวนคิด  จากข้อมูลระดับประเทศ ผู้ป่วยที่บันทึกภาวะปอดอักเสบอยู่ที่ 4.5% สะท้อนว่าแม้โรคหัดมีภาพจำว่า “เป็นโรคในเด็ก” แต่ก็ไม่ใช่โรคเบา และการปล่อยให้การระบาดลุกลามจะเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนที่มีการเคลื่อนย้ายข้ามแดนถี่และรวดเร็ว

มาตรการเร่งด่วน  ฉีดวัคซีนให้ครบ ตัดวงจรระบาด

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การควบคุมโรคหัดให้มีประสิทธิภาพ ต้องขับเคลื่อนให้ ครอบคลุมการฉีดวัคซีนมากกว่า 95% ทั่วทั้งประเทศ โดยมีข้อแนะนำหลักดังนี้

  • เด็กเล็ก (วัคซีน MMR/MR)
    • เข็มที่ 1 ช่วงอายุ 9–12 เดือน
    • เข็มที่ 2 ช่วงอายุ 18 เดือน
    • หาก “ยังไม่ครบ 2 เข็ม” ให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานเข้ารับวัคซีน โดยเร็วที่สุด
  • ผู้ใหญ่/ผู้ที่ต้องเดินทาง (โดยเฉพาะไป–กลับประเทศที่มีการระบาด)
    • หาก “ไม่เคยรับวัคซีนหรือไม่แน่ใจประวัติ” ควรรับวัคซีน MR 2 เข็ม (หรืออย่างน้อย 1 เข็ม) และควรฉีด ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนเดินทาง
  • มาตรการลดแพร่เชื้อในชุมชน
    • เลี่ยงพื้นที่คนแออัดในช่วงระบาด
    • สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ และกักตัวเมื่อป่วย
    • หากกลับจากประเทศที่มีการระบาด (เช่น สหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร เนเธอแลนด์ ออสเตรเลีย เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ สปป.ลาว ฯลฯ) แล้วมีอาการไข้/ผื่น/ตาแดง ให้พบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง

สสจ.เชียงราย ยืนยันว่า รพ. และ รพ.สต. ทุกแห่งในจังหวัด มีระบบเฝ้าระวังและบริการวัคซีนรองรับ ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามกำหนดการ “คลินิกวัคซีน” ใกล้บ้านได้ทันที

เชียงราย  จุดเสี่ยง–จุดแข็ง และบทเรียนจากแนวชายแดน

1) ด่านหน้า อำเภอชายแดนคือสมรภูมิสำคัญ
การพบผู้ป่วยกระจุกตัวที่ เชียงแสน–เชียงของ สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ของเชียงรายที่เป็น “จุดเชื่อมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” มีช่องทางการเคลื่อนย้ายของแรงงาน นักท่องเที่ยว และการค้าชายแดนหนาแน่น ความเชื่อมโยงกับการระบาดใน แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

2) โอกาส ระบบบริการสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง
แม้ความเสี่ยงจะสูงจากการเคลื่อนย้ายข้ามแดน แต่เชียงรายมีจุดแข็งคือ เครือข่ายบริการสุขภาพปฐมภูมิ กระจายครอบคลุม การค้นหา–คัดกรอง–รายงานผู้ป่วยทำได้เร็ว หากผนวกรวมกับ “แผนรณรงค์วัคซีนแบบเชิงรุก” ในชุมชน (เช่น การขึ้นทะเบียนเด็กเล็กที่ยัง missed วัคซีน) จะช่วย “ปิดช่องโหว่ภูมิคุ้มกัน” ได้ทันเวลา

3) โฟกัสกลุ่มเสี่ยง เด็กก่อนวัยเรียนและวัยทำงาน 20–40 ปี
รูปแบบผู้ป่วยของเชียงรายชี้ชัดว่าไม่ใช่เฉพาะเด็กเล็ก แต่ยังพบมากใน “วัยทำงาน” ซึ่งเดินทางและมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง เจ้าหน้าที่ควรเชื่อมข้อมูลวัคซีนกับสถานประกอบการ/แรงงานข้ามแดน เพื่อกระตุ้นการเข้ารับวัคซีน MR ในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มทำงานบริการ–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ชายแดน

เข้าใจโรคให้ถูก  5 ประเด็นสำคัญที่ประชาชนควรรู้

  1. โรคหัดติดต่อได้ทางอากาศ จึง “หน้ากาก–ล้างมือ–เว้นระยะ” ยังสำคัญมากเมื่อมีอาการระบบหายใจ
  2. วัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง การฉีดครบ 2 เข็มปกติจะสร้างภูมิคุ้มกันได้ยาวนาน
  3. Koplik’s spots (จุดขาวเล็ก ๆ ที่กระพุ้งแก้ม) คือ “สัญญาณจำเพาะ” หากพบ รีบพบแพทย์
  4. หญิงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เรื่องภูมิคุ้มกัน ไม่ควรรับวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิตระหว่างตั้งครรภ์ แต่ควรอาศัย “ภูมิคุ้มกันฝูงชนในครอบครัว”
  5. หายดีแล้วยังแพร่เชื้อได้ชั่วคราว ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์เรื่องการกักตัวจนพ้นระยะติดต่อ

มุมมองเชิงระบบ  ตัวเลขบอกอะไรเรา

ตัวเลข 1,928 ราย ของผู้ป่วยไข้ออกผื่นสงสัยหัด/หัดเยอรมัน “ทั้งประเทศ” ในปี 2568 และสัดส่วน 26.5% ที่มีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา บอกเราว่า “ห่วงโซ่การแพร่เชื้อจำนวนหนึ่งสามารถไล่รอยได้” ดีสำหรับการคุมโรค แต่ก็สะท้อนว่า “ยังมีช่องโหว่ภูมิคุ้มกัน” ในหลายพื้นที่ เพราะรัฐบาลระบุชัดว่า ครึ่งกว่าของจังหวัดยังครอบคลุมวัคซีนไม่ถึงเกณฑ์ 95%

ในทางปฏิบัติ การยกระดับ coverage ให้แตะ 95%+ ต้องทำ 3 เรื่องคู่ขนาน

  • ทำฐานข้อมูลเชิงรุก รู้ว่าเด็กคนใด “ยังขาดเข็มไหน” และเร่งติดตาม
  • สื่อสารความเสี่ยงอย่างตรงไปตรงมา อธิบายภาวะแทรกซ้อน สร้างแรงจูงใจเชิงสังคม (“ฉีดเพื่อปกป้องลูกหลานและชุมชน”)
  • เพิ่มจุดบริการ–เวลาบริการ ให้เข้าถึงง่ายในชุมชน/โรงเรียน/ที่ทำงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและชุมชนแรงงานเคลื่อนย้ายสูง

สำหรับเชียงราย การเร่ง “วัคซีนเชิงรุกตามรอยผู้สัมผัส” (ring vaccination) รอบผู้ป่วยยืนยัน รวมถึงการประสานงานด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและสถานพยาบาลฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เป็นกุญแจที่จะป้องกัน “คลัสเตอร์ในโรงพยาบาลและชุมชน” ไม่ให้ขยายตัว

คำแนะนำประชาชน  เช็กลิสต์สั้น ๆ แต่สำคัญ

  • ผู้ปกครอง  ตรวจ “สมุดวัคซีน” ลูกว่าครบ MMR 2 เข็ม หรือยัง ถ้ายัง รีบไปฉีดทันที
  • ผู้ใหญ่/ผู้เดินทางต่างประเทศ–ชายแดน  หากไม่แน่ใจว่ารับวัคซีนครบหรือไม่ ให้ปรึกษา รพ./รพ.สต. เพื่อพิจารณา MR เสริม โดยฉีด ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ ก่อนเดินทาง
  • เมื่อป่วยคล้ายหวัดแต่มีผื่น–ตาแดง–จุดขาวที่กระพุ้งแก้ม  ใส่หน้ากาก ลดการพบปะผู้อื่น และรีบพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง
  • ชุมชน–โรงเรียน–สถานประกอบการ  สนับสนุน “วันนัดฉีดวัคซีน” ร่วมกับ สสอ./รพ.สต. และสร้างวัฒนธรรม “ป่วยให้หยุด–พบแพทย์เร็ว”

เสียงจากภาครัฐ  “วัคซีนครบคือเกราะดีที่สุด”

สาระจากคำแถลงของ รองโฆษกรัฐบาล สอดคล้องกับข้อเตือนจาก สสจ.เชียงราย ทั้งคู่ย้ำ “ข้อความเดียวกัน” คือ เร่งฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ และย้ำมาตรการป้องกันพื้นฐานส่วนบุคคล พร้อมแจ้งว่า ประเทศไทยมีมาตรการวัคซีนพร้อมควบคุมการระบาด แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับ ความร่วมมือของประชาชน หากพื้นที่ใด coverage ต่ำกว่า 95% “การระบาดเกิดได้เสมอ”

ในมุมพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงราย การขับเคลื่อนจะต้อง “สองมือสองฝั่ง” ทั้งภายในจังหวัด (ปูพรมวัคซีน–เฝ้าระวัง–สื่อสาร) และการประสานข้ามแดน (ข้อมูลผู้ป่วย–จุดผ่านแดน–แรงงานเคลื่อนย้าย) เพื่อให้การตอบสนองรวดเร็วพอจะ “ดักหน้า” เชื้อที่แพร่กระจายทางอากาศได้ง่ายมาก

จากสถิติสู่การตัดสินใจในชีวิตจริง

  • ข้อเท็จจริง  เชียงรายมีผู้ป่วยสะสม 28 ราย ปีนี้ โดยกระจุกตัวในอำเภอชายแดน ขณะที่ทั้งประเทศมีผู้ป่วยสงสัยหัด/หัดเยอรมันสะสม 1,928 ราย และพบภาวะปอดอักเสบ 4.5%
  • ความเสี่ยง  การเคลื่อนย้ายข้ามแดนและ coverage วัคซีนที่ยังไม่ถึง 95% ในหลายพื้นที่
  • ทางออก: “วัคซีนครบ–เฝ้าระวังเข้ม–สื่อสารตรง” คือสามสูตรสำคัญ หากเชียงรายเร่งปิดช่องโหว่ภูมิคุ้มกันในเด็กเล็กและวัยทำงาน พร้อมจับมือชุมชน–โรงเรียน–สถานประกอบการ เชื้อที่ติดต่อทางอากาศอย่างโรคหัดก็จะถูก “ตัดวงจร” อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยคชวนคิด: หนึ่งเข็มที่หายไป อาจกลายเป็นคลื่นการระบาดทั้งชุมชน แต่หนึ่งวันที่รีบฉีดให้ครบ สามารถหยุดคลื่นนั้นได้”

ประชาชนสามารถติดต่อ โรงพยาบาล/รพ.สต.ใกล้บ้าน เพื่อตรวจสอบสถานะวัคซีนและนัดหมายฉีดได้ทันที หากมีอาการเข้าข่าย ไข้สูง–ผื่น–ตาแดง–จุดขาวในกระพุ้งแก้ม ควร สวมหน้ากากและไปพบแพทย์เร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและการดูแลที่เหมาะสม

สรุปสัญญาณอาการโรคหัดที่พบได้บ่อย

  • ไข้สูง ไอแห้ง น้ำมูกไหล
  • ตาแดง แพ้แสง
  • Koplik’s spots (จุดขาวเล็ก ๆ ขอบแดงในกระพุ้งแก้ม)
  • ผื่นขึ้นจากหน้า “ลามลง” ลำตัว แขน ขา
  • ไข้สูงต่อเนื่อง 3–4 วัน ก่อนค่อย ๆ ลด และผื่นจางใน 7–10 วัน
  • ภาวะแทรกซ้อน ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ สมองอักเสบ (พบมากในเด็กเล็ก/ผู้ภูมิคุ้มกันต่ำ/หญิงตั้งครรภ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คำแถลงรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (21 พ.ย. 2568)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

กมธ.ฯ ลุยเชียงราย แม่น้ำกก “น้ำใสแต่ท้องน้ำป่วย” พบสารหนูเกินเกณฑ์ในตะกอนดิน 9 จุด

กมธ.ทรัพยากรน้ำฯ ติดตามมลพิษ “กก–สาย–รวก” น้ำผิวดินกกดีขึ้นแต่ตะกอนยังวิกฤต—เศรษฐกิจเสี่ยงสูญเกือบ 3.8 พันล้าน/ปี ท่ามกลางแรงกดดันเหมืองรัฐฉานเดินหน้าขยาย

เชียงราย, 31 ต.ค. 2568 — รายงานตรวจวัดรอบปลายกันยายนชี้น้ำผิวดินแม่น้ำกก “ผ่านเกณฑ์” แต่ตะกอนดินยังพบสารหนูเกินระดับเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน 9 จุด ขณะที่แม่น้ำสายยัง “อาการหนัก” ทั้งน้ำและตะกอน ส่วนแม่น้ำรวก–โขง น้ำผ่านเกณฑ์แต่ตะกอนยังน่าห่วง นักวิชาการเตือน “มลพิษในตะกอน” คือระเบิดเวลาที่อาจย้อนปนเปื้อนน้ำอีกระลอก ภาคเกษตร–ประมง–ท่องเที่ยวเสี่ยงเสียหายรวมปีละราว 3,786 ล้านบาท ขณะหน่วยงานสาธารณสุขเร่งเฝ้าระวัง 4 มาตรการ และ กมธ.ฯ สั่งทำแผนแก้ไขระยะสั้น–กลาง–ยาว ด้านมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่เผยภาพดาวเทียมชี้ เหมืองแรร์เอิร์ธ–ทอง ริมกกในรัฐฉานยังขยายตัวต่อเนื่อง ก่อนการประชุม MRC เดือนพฤศจิกายนนี้ที่เชียงราย

 “น้ำเริ่มใส แต่ท้องน้ำยังป่วย”

การประชุมคณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เปิดเวทีให้หน่วยงานส่วนกลาง–ภูมิภาค–จังหวัด ร่วมอัปเดตสถานการณ์คุณภาพน้ำใน แม่น้ำกก–แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก และลำน้ำสาขา ภายหลังตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาพื้นที่ชายแดนเชียงราย–เชียงใหม่เผชิญวิกฤตน้ำขุ่นผิดปกติและผลตรวจสารโลหะหนัก “เกินเกณฑ์” หลายจุด กระทบตั้งแต่การอุปโภคบริโภคจนถึงการเพาะปลูกริมน้ำ

รายงานล่าสุดของ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ซึ่งเก็บตัวอย่างวันที่ 22–26 กันยายน 2568 ระบุว่า

  • แม่น้ำกก: น้ำผิวดิน “เป็นไปตามมาตรฐาน” ทุกจุด แต่ ตะกอนดิน ยังพบสารหนูเกินระดับเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน 9 จุด
  • แม่น้ำสาย: ยังน่ากังวล พบสารหนูในน้ำผิวดิน เกินมาตรฐานทุกจุด ที่ช่วง 0.015–0.017 มก./ล. และตะกอนดินเกินระดับปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน
  • แม่น้ำรวก–แม่น้ำโขง: น้ำผิวดิน “ผ่านเกณฑ์” แต่ผลตรวจตะกอนดิน ทุกจุด ในแม่น้ำรวก และ 3 จุด ในแม่น้ำโขงยังเกินระดับปลอดภัย (แม่น้ำโขงพบช่วง 32–60 มก./กก.)

ข้อสังเกตสำคัญ จากการติดตามหลายรอบคือ “ตัวน้ำบนผิว” อาจฟื้นตัวเร็วเมื่อปริมาณฝน–การเจือจาง–การไหลเวียนดีขึ้น แต่มลพิษใน ตะกอนดิน คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ “ฝังลึก” และสามารถ resuspend หรือ เคลื่อนย้ายย้อนกลับขึ้นมาในคอลัมน์น้ำ เมื่อเกิดกระแสน้ำแรงหรือกิจกรรมรบกวนก้นแม่น้ำ (เช่น การขุดลอก–น้ำหลาก) ทำให้ความเสี่ยงต่อ สัตว์หน้าดิน–ห่วงโซ่อาหาร–การสะสมในสิ่งมีชีวิต ยังไม่สิ้นสุด

เศรษฐกิจชายแดนใต้แรงกดดัน เกือบ 3.8 พันล้าน/ปี เสี่ยงหายไปกับน้ำ

ตัวเลขคาดการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เผยแพร่โดย Rocket Media Lab และฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐด้านเกษตร สะท้อนผลกระทบ เป็นรูปธรรม ดังนี้

  • ลุ่มน้ำกก: พื้นที่การเกษตรที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ 340,358.73 ไร่ ประเมินความเสียหายปีละราว 3,239,061,808.4 บาท หรือ 13% ของจีดีพีเฉพาะภาคเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • ลุ่มน้ำสาย–รวก: พื้นที่เกษตร 63,023.89 ไร่ ความเสียหายปีละประมาณ 547,100,952.5 บาท หรือ 2.19% ของจีดีพีเกษตรจังหวัด

เมื่อรวม สามลุ่มน้ำ ตัวเลขความเสียหายอาจแตะ 3,786,162,760.9 บาท/ปี โดย ข้าว คือพืชเศรษฐกิจที่เสี่ยงที่สุด (คิดเป็น 66.54% ของมูลค่าความเสียหายริมสาย–รวก) เพราะ พื้นที่นาข้าวส่วนใหญ่ติดแม่น้ำ และใช้น้ำแม่น้ำโดยตรงในการทำนาปรัง ยังไม่นับผลต่อ ประมง–เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งจังหวัดเชียงรายมีการจับสัตว์น้ำจืดปี 2567 ราว 1,417 ตัน มูลค่า 92.76 ล้านบาท และมี พื้นที่เพาะเลี้ยง 689.17 ไร่ รวม 284 ฟาร์ม ใน 5 ตำบลตามแนวสาย–รวก

นอกเหนือจากภาคเกษตร กิจกรรม ท่องเที่ยวริมน้ำ–ชุมชนตลาดชายแดน (เช่น อ.แม่สาย/ท่าตอน) ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล–ไฮซีซันที่น้ำคือ “ทรัพยากรภูมิทัศน์” และ “บริการสาธารณะธรรมชาติ” ของพื้นที่

สาธารณสุขเดิน 4 มาตรการ ตรวจ–คัดกรอง–สื่อสาร–บูรณาการ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.) รายงานการดำเนินการเฝ้าระวังสุขภาพ 4 มาตรการ ได้แก่

  1. อนามัยสิ่งแวดล้อม: เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดิน, น้ำประปา, พืชผัก, ปลา ตรวจวิเคราะห์ สารหนู–ตะกั่ว ทุกเดือน
  2. สุขภาพประชาชน: เฝ้าระวังอาการในชุมชน, คัดกรองเชิงรุก, สุ่ม ตรวจปัสสาวะ กลุ่มเสี่ยง
  3. การสื่อสารความเสี่ยง: แจ้งเตือนให้หลีกเลี่ยงใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรง และเฝ้าระวังอาการผิดปกติ
  4. บูรณาการภาคี: เชื่อมปฏิบัติการกับหน่วยงานน้ำ–เกษตร–ท้องถิ่น–ประมง

ผลตรวจเดือนเมษายน–ตุลาคม 2568 จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงรายต่อ น้ำอุปโภคบริโภค–น้ำดื่ม–ปลา–พืชผัก ระบุว่า “ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน” อย่างไรก็ดี พื้นที่ยังมีเสียงเรียกร้องให้ สื่อสารข้อมูลสุขภาพอย่างโปร่งใส และ เข้าใจง่าย โดยเฉพาะกรณีที่เคยมีการกล่าวถึง ปัสสาวะประชาชน 7 ราย เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งควรอธิบายบริบท–ระยะเวลา–การติดตามผลซ้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกหรือชะล่าใจ

โต๊ะนโยบายขยับ กมธ.ฯ สั่งทำแผน 3 ระยะ—หน่วยงานน้ำ–สิ่งแวดล้อม–ท้องถิ่น รายงานผลถี่ขึ้น

ในการประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีมติให้ทุกหน่วยงานจัดทำ สรุปปัญหา–อุปสรรค–ข้อเสนอ–แผนปฏิบัติ ระยะสั้น–กลาง–ยาว เสนอรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ด้าน สคพ.1 (เชียงใหม่) นำเสนอ 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ ภาพรวมคุณภาพน้ำ–มาตรฐานน้ำผิวดิน–ความร่วมมือการตรวจวัด–มาตรการแก้ไขตามกฎหมาย–อุปสรรคและข้อเสนอแนะ ขณะที่ กรมทรัพยากรน้ำ ตรวจประปาหมู่บ้านรอบลุ่มกก 45 แห่ง พบ 3 แห่ง คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน และเร่งจัดหาน้ำผิวดินใหม่ พร้อมเดินหน้า ระบบสูบ–กระจายน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ 5 โครงการ

ส่วน การประปาส่วนภูมิภาค เฝ้าระวังคุณภาพน้ำสาขาหลัก (เชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) เพิ่มความถี่การเก็บตัวอย่างต่อเดือน ขณะที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สสจ.–เกษตรจังหวัด–ประมงจังหวัด ตรวจน้ำประปาชุมชน–พืชผัก–ปลา อย่างต่อเนื่อง

ต้นน้ำรัฐฉาน เหมืองแรร์เอิร์ธ–ทอง “ขยายตัวต่อเนื่อง”

รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation) เมื่อ 28–30 ตุลาคม 2568 อ้างอิง ภาพดาวเทียมล่าสุด (14 ต.ค. 2568) ยืนยันการขยายตัวของ เหมืองแรร์เอิร์ธ 2 แห่ง และ เหมืองทอง ริมแม่น้ำกกในเมืองยอน รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ห่าง อ.ท่าตอน จ.เชียงใหม่ เพียง 30 กม. โดยเฉพาะ วิธีชะละลาย (in-situ leaching) ที่ใช้สารเคมีจำนวนมากฉีดเข้าเชิงเขา เสี่ยงต่อการ รั่วไหลลงแหล่งน้ำ และยากต่อการควบคุม

ภาพถ่ายเปรียบเทียบ พฤษภาคม vs ตุลาคม 2568 ชี้ชัดว่า บ่อแต่งแร่ ฝั่งตะวันตกของกกสร้างเสร็จและมีหลังคาคลุม ขณะฝั่งตะวันออกมี อาคารใหม่หลายหลัง และเห็น ของเหลวสีฟ้า ในบ่อแต่งต่อเนื่อง สอดคล้องกับการประเมินว่า “กิจกรรมแต่งแร่เพิ่มขึ้นอย่างมาก” พร้อมกันนี้ ภาคประชาชนลุ่มน้ำกกไทยได้สื่อสารกรณี สารหนู–แคดเมียม–ตะกั่ว ปนเปื้อน และย้ำผ่านถ้อยคำของภาคีว่า “แม่น้ำเพื่อชีวิต ไม่ใช่แม่น้ำเพื่อความตาย” เพื่อสะท้อนข้อเรียกร้องเชิงจริยธรรมและสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชนปลายน้ำ

เวที MRC เดือนพฤศจิกายน โอกาสยกระดับ “การทูตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน”

การประชุม MRC ที่จะจัดขึ้นที่เชียงรายในปลายพฤศจิกายน ถูกคาดหวังให้เป็น เวทีนโยบายระดับอนุภูมิภาค ที่ไทยควรใช้เพื่อ

  • เสนอ กลไกแจ้งเตือนและแบ่งปันข้อมูลคุณภาพน้ำข้ามพรมแดนแบบใกล้เวลาจริง
  • ผลักดัน มาตรฐานกิจกรรมเหมืองในลุ่มน้ำสาขาโขง และ ห่วงโซ่ตรวจสอบสารเคมี
  • ตั้ง คณะทำงานร่วมไทย–เมียนมา–จีน บูรณาการ ภาพถ่ายดาวเทียม–ข้อมูลตรวจวัด–การสืบสวนเชิงต้นน้ำ พร้อม แผนลดความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์ (เช่น พื้นที่กักเก็บ/บ่อพักตะกอน–การกันชนพื้นที่เสี่ยง)

การเยือนพื้นที่ของ สมาชิกพรรคกรีน เยอรมนี ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนมิติความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการยกระดับ มาตรฐานการทำเหมืองอย่างรับผิดชอบ และ กรอบสินค้าสะอาด (clean supply chains) ในตลาดโลก

ข้อเสนอเชิงระบบ จาก “ตามแก้” สู่ “ป้องกันก่อนเกิด”

บนฐานข้อมูลและสถานการณ์ปัจจุบัน ข่าวนี้เสนอ “แพ็กมาตรการ” 5 ข้อเพื่อคลายปมระยะสั้น–ยาว

  1. แดชบอร์ดสาธารณะ: เปิดข้อมูล น้ำผิวดิน–ตะกอนดิน–โลหะหนัก รายจุด/รายสัปดาห์ พร้อม metadata วิธีเก็บ–ห้องแล็บ–ความเชื่อมั่น เพื่อให้ภาคประชาชน–เกษตร–ท้องถิ่นติดตามได้
  2. แผนจัดการตะกอนดิน: ศึกษาความเป็นไปได้ของ การกักเก็บ–การห่อหุ้ม (capping)–การขุดลอกแบบเลือกสรร โดยมี EIA/สุขภาพชุมชน กำกับ เพื่อไม่ให้ “การแก้ไข” กลายเป็น “การกวนตะกอน”
  3. โพรโทคอลสุขภาพชุมชน: เพิ่ม biomonitoring กลุ่มเสี่ยง (ตัวอย่างปัสสาวะ/เลือด) แบบสุ่มตัวอย่างซ้ำ พร้อม คัดกรองเชิงรุก และ เจ้าภาพสื่อสารเดียว ลดความกำกวมของคำว่า “ไม่เกินมาตรฐาน” โดยแนบค่าจริง–ช่วงเชื่อมั่น
  4. การทูตสิ่งแวดล้อม: ใช้เวที MRC และความร่วมมือทวิภาคี ผลักดัน มาตรการควบคุมสารเคมีเหมือง และ การตรวจสอบย้อนกลับ ร่วมกับผู้ซื้อแรร์เอิร์ธ–ทองในห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก
  5. มาตรการทางการค้าเชิงเป้าหมาย: พิจารณาแนวทางจำกัดการนำเข้าวัตถุดิบ/สินค้าที่โยงกับกิจกรรมทำลายลุ่มน้ำ (ตามแนวคิดยุติการนำเข้า “CTM” ที่ถูกเสนอ) ควบคู่ แรงจูงใจ สำหรับซัพพลายเออร์ที่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

เสียงจากพื้นที่และการบริหารท้องถิ่น

ตลอดหลายเดือนของการเฝ้าระวัง จังหวัดเชียงรายร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพิ่มความถี่เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดินเดือนละ 2 ครั้ง หลายสาขา และร่วม สำรวจความเสียหาย–ค่าใช้จ่ายเฝ้าระวัง เพื่อวางงบประมาณปีถัดไป สะท้อนความตั้งใจ “เดินงานเชิงรุก” โดยไม่รอเฉพาะระดับส่วนกลาง ในเวทีหารือระดับจังหวัด ผู้แทนหน่วยงานน้ำ–สิ่งแวดล้อม–เกษตร–ประมง ยังรายงานอุปสรรค เช่น งบประมาณ–บุคลากร–การเข้าถึงพื้นที่ต้นน้ำข้ามแดน ซึ่งต้องอาศัย “กลไกกลาง” เชื่อมการทำงานต่อเนื่อง

ในขณะที่ภาคประชาชน–ภาคีลุ่มน้ำสื่อสารเสียงเดียวกันว่า “ต้องการข้อมูลที่เข้าใจง่าย–สม่ำเสมอ และตอบข้อกังวลเฉพาะหน้า” เช่น คำถามว่าพื้นที่ใดควรหลีกเลี่ยงใช้น้ำโดยตรง, พื้นที่ใดควรระวังการบริโภคปลา, คำแนะนำเฉพาะกลุ่มเปราะบาง (เด็ก–หญิงตั้งครรภ์–ผู้สูงอายุ) เพื่อให้ครัวเรือนตัดสินใจได้บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้

เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ฟ้าใส” กับ “ท้องน้ำป่วย”

ภาพรวม ณ ปลายตุลาคม 2568 คือ สัญญาณคลี่คลายบางส่วนของน้ำผิวดิน โดยเฉพาะแม่น้ำกกที่ “เข้าเกณฑ์” หลายจุด แต่ ท้องน้ำยังป่วย เพราะตะกอนดินที่สะสมโลหะหนัก เกินระดับปกป้องสัตว์หน้าดิน หลายจุดใน กก–สาย–รวก–โขง ความเสี่ยงนี้ไม่เพียงกระทบต่อ ระบบนิเวศ แต่ยังทบซ้อนสู่ เศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะ ข้าว–ประมง–ท่องเที่ยว ในจังหวัดชายแดน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ แรงกดดันจากต้นน้ำรัฐฉาน ที่ยังเห็นสัญญาณ “เหมืองขยาย” ชัดเจน

คำตอบเชิงนโยบายจึงไม่อาจหยุดที่ “ตรวจ–แจ้ง–แนะนำ” แต่ต้องยกระดับสู่ ระบบข้อมูลสาธารณะ–แผนจัดการตะกอน–การคุ้มครองสุขภาพ–การทูตสิ่งแวดล้อม–มาตรการการค้า ที่เสริมกันเป็นแพ็กเดียว และใช้เวที MRC ที่เชียงราย เป็นจุดเริ่มต่อรองเชิงหลักการเพื่อคุ้มครองลุ่มน้ำร่วมกันอย่างยั่งยืน

“แม่น้ำเพื่อชีวิต ไม่ใช่แม่น้ำเพื่อความตาย” — ประโยคจากเครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำกก อาจเป็นเข็มทิศเชิงคุณค่าที่เตือนให้ทุกฝ่าย “วัดความสำเร็จ” ไม่ใช่แค่จากค่าตัวเลขในห้องแล็บ แต่จาก ความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของผู้คนที่อยู่กับน้ำทุกวัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาค (สาขาเชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ)
  • สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมประมง
  • Rocket Media Lab
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคุยเมียนมา พัฒนาสาธารณสุข พื้นที่ชายแดน

ไทย-เมียนมา จับมือพัฒนาสาธารณสุขชายแดน คณะกระทรวงการต่างประเทศลงพื้นที่เชียงราย หารือแนวทางความร่วมมือ

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อหารือความร่วมมือด้านสาธารณสุข ไทย-เมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน มุ่งส่งเสริมการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข การควบคุมโรคติดต่อ และการสนับสนุนด้านการศึกษาแก่ชาวเมียนมา พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

หารือแนวทางพัฒนาสาธารณสุขชายแดน

นายไพศาล หรูพาณิชย์กิจ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย นายจุลวัจน์ นรินทรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ และคณะ ได้ลงพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนาสาธารณสุขระหว่างไทยและเมียนมา โดยได้รับการต้อนรับจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องรับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนความร่วมมือด้านสาธารณสุขแก่เมียนมาตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือไทย-เมียนมา ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 3-5 มีนาคม 2568 ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การควบคุมโรคติดต่อ และการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ชายแดน

แนวทางขับเคลื่อนความร่วมมือ ไทย-เมียนมา

ภายหลังการประชุมหารือ นายไพศาล หรูพาณิชย์กิจ และคณะ ได้ร่วมประชุมกับหัวหน้าหน่วยงานราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา โดยมีประเด็นหารือสำคัญ ดังนี้

  1. แนวทางการพัฒนาสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน
    • การสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษาโรคแก่โรงพยาบาลชายแดน
    • การฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการด้านสุขภาพ
    • การสร้างความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลชายแดนของไทยและเมียนมา เพื่อให้สามารถรับส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การควบคุมและป้องกันโรคติดต่อระหว่างประเทศ
    • การติดตั้งระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนโรคติดต่อที่อาจแพร่ระบาดในพื้นที่ชายแดน
    • การบูรณาการข้อมูลด้านสุขภาพของไทยและเมียนมา เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • การรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับโรคติดต่อที่พบบ่อย และแนวทางการป้องกัน
  3. ความร่วมมือด้านการศึกษาแก่ชาวเมียนมา
    • การส่งเสริมการศึกษาสำหรับเด็กชาวเมียนมาในพื้นที่ชายแดน
    • การสนับสนุนหลักสูตรภาษาไทยให้แก่แรงงานข้ามชาติ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย
    • การขยายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาไทยและเมียนมา เพื่อยกระดับการศึกษาของเยาวชนในพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับอุปสรรคในการดำเนินงานที่ผ่านมา รวมถึงแนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ลงพื้นที่เยี่ยมชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ภายหลังการประชุมหารือ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และคณะ ได้เดินทางไปยัง อำเภอแม่สาย เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขชายแดน ได้แก่

  • โรงพยาบาลแม่สาย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดน และรับส่งต่อผู้ป่วยจากฝั่งเมียนมา
  • ด่านศุลกากรแม่สาย เพื่อตรวจสอบมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดต่อที่อาจแพร่ระบาดจากการเดินทางข้ามแดน
  • ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดต่อที่อาจแพร่ระบาดจากการเดินทางระหว่างประเทศ
  • ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 2 ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนสำคัญระหว่างไทยและเมียนมา ที่มีการเดินทางของแรงงานข้ามชาติและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขชายแดนไทย-เมียนมา

  • จำนวนผู้ป่วยชาวเมียนมาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไทย (ปี 2567) – มากกว่า 30,000 ราย
  • จำนวนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย – ประมาณ 50,000 คน
  • สัดส่วนโรคติดต่อที่พบมากในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา (ปี 2567)
    • วัณโรค 35%
    • ไข้มาลาเรีย 25%
    • โรคติดต่อทางเดินอาหาร 20%
    • โรคระบบทางเดินหายใจ 15%
  • งบประมาณที่ไทยให้การสนับสนุนด้านสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนเมียนมา (ปี 2567) – มากกว่า 200 ล้านบาท

ความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ

กลุ่มที่สนับสนุนความร่วมมือไทย-เมียนมา

  • บุคลากรทางการแพทย์ เห็นว่าการพัฒนาระบบสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนจะช่วยลดภาระของโรงพยาบาลในประเทศไทย และช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ
  • ภาคธุรกิจในพื้นที่ชายแดน มองว่าการปรับปรุงมาตรฐานสุขอนามัยจะช่วยส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ
  • องค์กรระหว่างประเทศและ NGOs สนับสนุนให้มีการบูรณาการข้อมูลด้านสุขภาพระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อให้สามารถควบคุมโรคติดต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบของความร่วมมือ

  • ประชาชนในพื้นที่ กังวลว่าการเปิดรับแรงงานข้ามชาติและการให้บริการทางการแพทย์แก่ชาวเมียนมา อาจทำให้ทรัพยากรด้านสาธารณสุขของไทยตึงตัว
  • กลุ่มนักวิชาการด้านสาธารณสุข ระบุว่าจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความช่วยเหลือสามารถดำเนินไปได้โดยไม่กระทบต่อบริการสาธารณสุขของคนไทย

บทสรุป

การหารือความร่วมมือด้านสาธารณสุขไทย-เมียนมาในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพในพื้นที่ชายแดน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง และลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่างการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับการรักษาทรัพยากรสาธารณสุขให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE