Categories
ECONOMY

9 เดือนแรกปี 68 เด็กเกิดใหม่ลด 10% ประชากรไทยเสี่ยงต่ำกว่า 66 ล้านคน

ประเทศไทยกำลังหดเล็กลงจากภายใน “เกิดน้อยลง ตายมากขึ้น” ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ แต่คือแนวโน้มถาวร

เชียงราย / ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดเปลี่ยนทางโครงสร้างประชากรครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ หลายคนอาจรู้สึกว่าเรื่อง “คนเกิดน้อยลง” เป็นเพียงประเด็นข่าวเชิงสังคม แต่หากมองลึกลงไปในตัวเลข จะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องของอนาคตที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป หากแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังขยายตัว และเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ปี 2568 มีแนวโน้มจะเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันที่ “จำนวนคนเกิดใหม่ของไทยน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิต” โดยกระแสนี้เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ความหมายของปรากฏการณ์นี้คือ ประชากรไทยโดยกำเนิดกำลังหดตัวลงเรื่อย ๆ ไม่ได้เกิดจากการย้ายถิ่นออกต่างประเทศ หรือการเปลี่ยนแปลงการนับสถิติ แต่เกิดจากธรรมชาติของสังคมไทยเอง นั่นคือ เกิดใหม่น้อยกว่าเสียชีวิต ซ้ำต่อเนื่อง

สิ่งที่หลายฝ่ายกังวล คือปรากฏการณ์นี้ไม่ได้สะท้อนแค่เรื่องจำนวนคน แต่สะท้อนถึงเสถียรภาพของกำลังแรงงานฐานราก ความสามารถในการบริโภคภายในประเทศ ความสามารถในการจัดเก็บภาษีของรัฐ ตลอดจนภาระด้านสุขภาพและสวัสดิการผู้สูงอายุที่กำลังเร่งตัวขึ้นในอัตราที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ประชากรไทย

คนไทย “เกิดน้อย ตายมากขึ้น” ตัวเลขที่ไม่มีใครอยากได้ยิน แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีเด็กเกิดใหม่ที่ลงทะเบียนจำนวน 309,644 คน โดยลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนเชิงโครงสร้างว่าอัตราการเกิด (fertility) ของไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีตัวชี้วัดว่ากำลังจะฟื้นตัว

ในเวลาเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับสูง และในหลายจังหวัดกลับมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดที่มีช่องว่างสูงสุด ได้แก่

  1. นครราชสีมา
  2. ขอนแก่น
  3. ร้อยเอ็ด

พื้นที่เหล่านี้เคยเป็นฐานประชากรหลักของภูมิภาคอีสานที่สร้างแรงงานให้ทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการของประเทศ แต่วันนี้กำลังส่อสัญญาณการหดตัวทางประชากรในระดับโครงสร้าง นั่นหมายความว่า “คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ไม่ได้มีจำนวนเพียงพอที่จะแทนที่คนรุ่นก่อน”

สัญญาณอีกประการหนึ่งที่ชี้ว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ในบางพื้นที่ คือความเสี่ยงที่จำนวนประชากรไทยทั้งประเทศอาจลดลงต่ำกว่า 66 ล้านคนภายในปี 2568 หากแนวโน้มดังกล่าวดำเนินต่อไปโดยไม่มีมาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ

วิกฤตที่ไม่ใช่แค่ “สังคมสูงวัย” แต่เป็น “ประเทศที่เล็กลงจากภายใน”

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยมาหลายปีแล้ว แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วง 4-5 ปีหลัง คือการเปลี่ยนผ่านจาก “สังคมสูงวัย” ไปสู่ “สังคมที่หดตัวทางประชากร” (Population Shrinkage) นั่นหมายถึงไม่ใช่แค่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่จำนวนประชากรทั้งระบบกำลังหายไปช้า ๆ ทุกปี

ในเชิงโครงสร้าง ประชากรไทยกำลังเปลี่ยนไปอย่างน้อย 3 มิติพร้อมกัน ได้แก่

  1. คนวัยทำงานสัดส่วนลดลง
    สัดส่วนประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) ค่อย ๆ ลดลง ในขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอาจแตะระดับกว่าหนึ่งในสามของทั้งประเทศในระยะไม่กี่สิบปีข้างหน้า
    แนวโน้มนี้สอดคล้องกับฉากทัศน์ที่ระบุว่า สัดส่วนผู้สูงอายุของไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นจนถึงระดับราว 36% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่แรงงานวัยทำงานอาจลดลงเหลือใกล้เคียงครึ่งเดียวของประเทศภายในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ซึ่งหมายถึงฐานผู้เสียภาษีและผู้ผลิตสินค้า-บริการจะเล็กลง เมื่อเทียบกับจำนวนผู้พึ่งพิงระบบสวัสดิการ
  2. จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่อปีลดลงต่อเนื่อง
    คนรุ่นใหม่จำนวนมากแต่งงานช้าลง มีลูกช้าลง หรือเลือกไม่มีบุตรเลย ปัจจัยที่ผลักดันการตัดสินใจเหล่านี้มีทั้งด้านเศรษฐกิจ (ค่าครองชีพสูง ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตร) ด้านโอกาสทางอาชีพ (ผู้หญิงอยู่ในตลาดแรงงานยาวนานขึ้น) และด้านความไม่แน่นอนทางสังคม (ภาวะหนี้ครัวเรือน ความไม่มั่นคงทางรายได้)
    ผลลัพธ์คือ อัตราเกิดหยาบ (Crude Birth Rate: CBR) ลดลงแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่ลดลงชั่วคราว
  3. จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุ
    จำนวนผู้เสียชีวิตต่อปีเพิ่มขึ้น ไม่ได้เกิดจากวิกฤตสุขภาพเฉียบพลันเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากข้อเท็จจริงว่าโครงสร้างประชากรของประเทศ “แก่แล้ว” คนจำนวนมากเข้าสู่วัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตตามธรรมชาติในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
    หรือกล่าวอีกแบบได้ว่า ระบบของเรากำลังเดินหน้าไปสู่ภาวะที่คนรุ่นใหญ่ทยอยออกจากระบบเร็วกว่าอัตราที่คนรุ่นใหม่เข้ามาแทน

ผลของทั้งสามมิติข้างต้นเมื่อรวมกัน นำไปสู่สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์แรงงานและนักประชากรศาสตร์เตือนมานาน ประเทศไทยไม่เพียงแก่ตัวลง แต่กำลัง “บางลง” ทางเศรษฐกิจ

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ แรงงานหาย การบริโภคลด ภาระรัฐเพิ่ม

ตัวเลขประชากรไม่ใช่เพียงข้อมูลเชิงสังคม แต่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

จากการวิเคราะห์เชิงนโยบาย สามารถสรุปแรงกดดันหลักที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้

  1. การขาดแคลนแรงงาน
    เมื่อแรงงานวัยทำงาน (15-59 ปี) มีสัดส่วนลดลง และคนรุ่นใหม่เข้าระบบแรงงานน้อยลงเรื่อย ๆ ภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการจะต้องแข่งขันกันบนฐานแรงงานที่เล็กลงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้จะยิ่งหนักในจังหวัดที่ประชากรวัยทำงานย้ายออกไปทำงานต่างพื้นที่หรือเดินทางไปต่างประเทศ
    ความเสี่ยงที่ตามมาคือธุรกิจภาคการผลิตต้นน้ำและกลางน้ำอาจเริ่มพบปัญหาแรงงานขาดแคลนเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เป็นช่วงสั้น ๆ ตามวัฏจักรเศรษฐกิจอีกต่อไป
  2. แนวโน้มการบริโภคภายในประเทศชะลอลง
    ประชากรสูงอายุมีแนวโน้มใช้จ่ายในรูปแบบที่แตกต่างจากคนวัยทำงาน โดยเฉพาะการใช้จ่ายสินค้าคงทนและการลงทุนเพื่ออนาคตของครอบครัว (เช่น ค่าเล่าเรียนลูก ค่าที่อยู่อาศัยใหม่) ซึ่งเป็นหมวดใช้จ่ายที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
    เมื่อสัดส่วนครัวเรือนที่อยู่ในวัยขยายครอบครัวลดลง เศรษฐกิจในประเทศเผชิญแรงเสียดทานต่อการเติบโตในเชิงโครงสร้าง แม้จะไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจฉับพลันก็ตาม
  3. ภาระทางการคลังเพิ่มขึ้น
    ประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัวจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณด้านรายได้พื้นฐานผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพระยะยาว (Long-Term Care) และการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากขึ้นทุกปี
    ในบริบทไทย แนวโน้มนี้ปรากฏชัดเจน โดยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการด้านรายได้และสุขภาพผู้สูงอายุมีอัตราเร่งตัวสูงกว่าการเติบโตของฐานภาษี ในระยะยาว ภาระนี้อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 7% ตามประมาณการการขยายตัวของค่าใช้จ่ายในหมวดสวัสดิการและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ (อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี หรือ CAGR ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง)
    กล่าวได้ว่า รัฐต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อดูแลคนที่อยู่ในวัยพึ่งพาระบบ ในขณะที่ฐานผู้จ่ายภาษีมีแนวโน้มเล็กลง

เชียงรายในภาพใหญ่ โครงสร้างประชากรชายแดนกับความจริงที่ซับซ้อนกว่า “จำนวนคนในทะเบียนบ้าน”

หากมองลึกลงไปที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนภาคเหนือและเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนสำคัญ เราจะเห็นภาพอีกชั้นหนึ่งของวิกฤตโครงสร้างประชากรที่ซับซ้อนกว่าการ “เกิดน้อย ตายมาก” แบบตรงไปตรงมา

การวิเคราะห์ข้อมูลประชากร การเกิด และการตายในจังหวัดเชียงราย ระหว่างปีงบประมาณ 2564–2567 พบว่า จังหวัดกำลังเคลื่อนเข้าสู่จุดที่ “อัตราเพิ่มตามธรรมชาติ” (Rate of Natural Increase: RNI) ใกล้ศูนย์หรืออาจติดลบในอนาคตอันใกล้ กล่าวคือ จำนวนการตายเริ่มเข้าใกล้หรือเทียบเท่ากับจำนวนการเกิดแล้ว

แรงผลักดันสำคัญของสถานการณ์นี้มาจาก 2 ปัจจัยหลัก

  1. ภาวะเจริญพันธุ์ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    แนวโน้มการเกิดมีชีพในเชียงรายลดลงตามโครงสร้างเดียวกันกับทั้งประเทศ และสอดคล้องกับพฤติกรรมประชากรวัยทำงานที่มีแนวโน้มสร้างครอบครัวช้าลง รวมทั้งต้องเผชิญภาระค่าครองชีพของครัวเรือนที่สูงขึ้น
  2. อัตราการตายเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุที่สูงขึ้น
    จังหวัดเชียงรายมีสัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนการตายที่ลงทะเบียนขยับสูงขึ้นในช่วงปี 2564–2567 ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เดียวกับหลายจังหวัดในภาคเหนือที่เข้าสู่สังคมสูงอายุแบบก้าวกระโดด

อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้เชียงรายแตกต่างจากหลายจังหวัดอื่น คือ “ประชากรที่อยู่อาศัยจริง” ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ “ประชากรตามทะเบียนบ้าน”

ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ชี้ว่า ในหลายพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย มีประชากรที่พำนักระยะยาวจำนวนมากซึ่งไม่ได้ปรากฏในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรตามระบบของกรมการปกครอง (DOPA) ประชากรกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยเป็นแรงงานข้ามชาติ โดยพบว่ามีรูปแบบการอยู่อาศัยระยะยาวในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บางส่วนอยู่อาศัยในพื้นที่ 2-19 ปี ซึ่งในทางปฏิบัติ พวกเขาใช้สาธารณูปโภค การบริการสาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่นเหมือนคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิด “ความคลาดเคลื่อนเชิงนโยบาย” อย่างน้อย 2 ประการ

  • หนึ่ง การจัดสรรงบประมาณภาครัฐส่วนใหญ่ โดยเฉพาะงบสาธารณสุขและการศึกษา มักอ้างอิงจำนวนประชากรตามทะเบียนบ้าน (de jure) ไม่ใช่จำนวนคนที่ใช้บริการจริง (de facto) นั่นหมายความว่า ในพื้นที่อย่างแม่สาย เทศบาลและหน่วยบริการสุขภาพอาจต้องรองรับคนจำนวนมากกว่าที่ได้รับงบประมาณมารองรับจริง
  • สอง การนับสถิติการเกิดและการตายอาจไม่ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่พำนักจริงเหล่านี้ได้ครบถ้วน ส่งผลให้ภาพรวมทางสถิติของจังหวัดดูเหมือนว่ามีเด็กเกิดน้อยมาก แต่ความต้องการด้านสาธารณสุขแม่และเด็กยังคงอยู่ หรือดูเหมือนมีการตายสูง แต่ไม่ได้สะท้อนภาระบริการระยะยาวทั้งหมดต่อหน่วยงานพื้นที่

กล่าวอีกแบบคือ จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญ “โจทย์คู่ขนาน” โจทย์หนึ่งคือการจัดการประชากรตามทะเบียน ซึ่งกำลังสูงวัยอย่างรวดเร็ว และอีกโจทย์หนึ่งคือการรองรับประชากรที่พำนักจริงในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมักเป็นแรงงานและครอบครัวแรงงานข้ามชาติที่ยังอยู่ในวัยทำงานและวัยเด็ก

เชียงราย ความเปราะบางที่เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมวัย

นอกจากปริมาณประชากรที่ลดลงแล้ว จังหวัดเชียงรายยังเผชิญโจทย์สำคัญในเชิงคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์รุ่นถัดไป

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (อ้างอิงจากระบบติดตามตัวชี้วัดด้านอนามัยแม่และเด็กในปี 2567) ระบุว่า ร้อยละของเด็กอายุ 0–5 ปี ในจังหวัดเชียงรายที่มีพัฒนาการ “สมวัย” อยู่เพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในระดับ ≥87%

ความหมายของตัวเลขนี้รุนแรงกว่าที่เห็นในบรรทัดเดียว เพราะมันสะท้อน “วิกฤตซ้อน” ดังนี้

  • จำนวนเด็กเกิดใหม่ในจังหวัดลดลง
  • แต่ในบรรดาเด็กที่เกิดขึ้นมาจำนวนไม่มากนั้น เกือบครึ่งหนึ่งมีพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัยในเกณฑ์ที่กระทรวงฯ คาดหวัง

กล่าวอีกแบบคือ ไม่ใช่แค่ “เรามีเด็กน้อยลง” แต่ “เรากำลังเสี่ยงจะมีเด็กที่เริ่มต้นชีวิตด้วยข้อจำกัดมากขึ้น” ซึ่งจะส่งผลในระยะยาวต่อสมรรถนะการเรียนรู้ ความพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา ความสามารถในการแข่งขันทางอาชีพ และท้ายที่สุดคือศักยภาพแรงงานของจังหวัดและของประเทศ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการแก้ปัญหาเชิงประชากรในวันนี้ ไม่อาจจำกัดความหมายแค่การส่งเสริม “ให้มีลูกมากขึ้น” เท่านั้น แต่ยังต้องลงทุนเชิงรุกใน Early Childhood Intervention Programs หรือมาตรการแทรกแซงพัฒนาการเด็กปฐมวัย อาทิ โภชนาการ การกระตุ้นพัฒนาการ การดูแลด้านสุขภาพแม่และเด็ก รวมถึงการสนับสนุนครอบครัวเปราะบางทางเศรษฐกิจ

เพราะถ้าประเทศไทยกำลังจะมีเด็กน้อยลงจริง เด็กทุกคนจึงยิ่ง “มีความหมายทางเศรษฐกิจและสังคม” มากขึ้นเป็นทวีคูณ

โครงสร้างการตายและภาระสุขภาพระยะยาว สัญญาณเตือนจากผู้สูงอายุ

การที่จำนวนผู้เสียชีวิตในจังหวัดเชียงรายและทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงปี 2564–2567 ไม่ได้เป็นหลักฐานของความล้มเหลวทางการแพทย์ แต่เป็นผลตามธรรมชาติของโครงสร้างประชากรสูงวัย สิ่งที่สะท้อนอยู่ใต้ตัวเลขนี้คือ “ภาระด้านระบบสุขภาพ” ที่กำลังเปลี่ยนทิศ

เมื่อคนสูงวัยเพิ่มขึ้นจำนวนมากขึ้นพร้อมกัน ความต้องการบริการสุขภาพระยะยาว การดูแลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) และบริการดูแลระยะท้ายชีวิต (palliative care) จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า ระบบสาธารณสุขระดับจังหวัดจำเป็นต้องโยกทรัพยากรจากบริการมารดาและทารก — ที่ความต้องการลดลงตามจำนวนการเกิด — ไปสู่บริการดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ

ในระบบประเมินผลของกระทรวงสาธารณสุข ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพของการดูแลชีวิต เช่น อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (Maternal Mortality Ratio: MMR) ยังคงถูกติดตามอย่างเข้มงวด โดยตั้งเป้าให้ต่ำกว่า 16 ต่อการเกิดมีชีพแสนคน การที่หน่วยงานระดับจังหวัดต้องรายงานตัวเลขเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ สะท้อนความเที่ยงตรงของฐานข้อมูลการตายและคุณภาพการดูแลเคสที่เสี่ยงสูง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของตัวเลขการตายโดยรวม

กล่าวในเชิงนโยบาย นี่คือจุดเปลี่ยนของระบบสาธารณสุขในจังหวัดอย่างเชียงราย จากระบบที่เคยถูกออกแบบเพื่อ “รองรับการเกิดใหม่จำนวนมาก” ไปสู่ระบบที่ต้อง “ดูแลประชากรสูงอายุจำนวนมาก ที่มีชีวิตยืดยาวขึ้น แต่ต้องการการดูแลที่ซับซ้อนขึ้น”

ปี 2568 จุดวัดทิศทางอนาคตผ่าน “สำมะโนประชากร”

การคาดการณ์ประชากรเชียงรายและของประเทศสำหรับปี 2568 เป็นการประมาณการเบื้องต้นโดยต่อแนวโน้มจากปี 2564–2567 โดยใช้ข้อมูลการเกิด การตาย และโครงสร้างอายุจากแหล่งข้อมูลหลักของกรมการปกครอง (DOPA) และกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านประชากรย้ำว่าปี 2568 ไม่ใช่ “ปีปกติ” เพราะจะมีหมุดหมายสำคัญด้านข้อมูล นั่นคือ “การสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568” ที่มีกำหนดเริ่มเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568

การสำมะโนประชากรมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ

  1. เป็นโอกาสในการ “อัปเดตความจริง” เกี่ยวกับจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริง (de facto population) เทียบกับจำนวนประชากรตามทะเบียน (de jure population) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย
  2. เป็นโอกาสในการตรวจสอบโครงสร้างอายุจริงในระดับพื้นที่ เพื่อประเมินแรงกดดันด้านภาระการดูแลผู้สูงอายุและความต้องการบริการสุขภาพ
  3. เป็นจุดตั้งต้นของการคำนวณฐานภาษีและการจัดสรรงบประมาณในระยะถัดไป ซึ่งหมายความว่า “งบประมาณของจังหวัดหลังปี 2568” อาจสะท้อนสภาพจริงของประชากรมากขึ้น หากข้อมูลสำมะโนสะท้อนจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริง ไม่ใช่เพียงจำนวนคนที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน

กล่าวอีกอย่าง ปี 2568 เป็นปีที่ข้อมูลจริงจะเริ่มไล่ทันความเป็นจริงทางสังคม และข้อมูลดังกล่าวจะกลับมามีผลต่อการจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐในระดับจังหวัดและประเทศ

ทางออกเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ชวนมีลูก แต่ต้อง “ลงทุนกับคนทุกวัย”

เมื่อพิจารณาปัญหาทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัดอย่างเชียงราย ภาพรวมชี้ไปที่ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ 3 มิติต่อไปนี้

  1. ยกระดับศักยภาพแรงงาน (Upskill / Reskill) แทนการหวังเพียงจำนวนแรงงาน
    ในบริบทที่แรงงานวัยทำงานลดลงต่อเนื่อง ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (productivity) ของคนที่ยังอยู่ในระบบ มากกว่าหวังเพียงว่าจำนวนคนทำงานจะกลับมาเพิ่มขึ้นเอง
    นโยบายการยกระดับทักษะ (upskill) และปรับทักษะใหม่ (reskill) โดยเฉพาะในสาขาที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เป็นหนึ่งในแนวทางที่ถูกพูดถึงในระดับนโยบายเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน แม้แรงงานรวมจะลดลง
  2. พิจารณานโยบายขยายอายุเกษียณอย่างรอบด้าน
    การขยับอายุเกษียณเป็นประเด็นที่เริ่มถูกหยิบขึ้นมาหารือในนโยบายสาธารณะมากขึ้น โดยมีโจทย์ที่ต้องตอบให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น อายุเกษียณที่เหมาะสมคือเท่าใด? จะทยอยปรับอย่างไร? ภาคธุรกิจพร้อมหรือไม่? และระบบสวัสดิการแรงงานปัจจุบันรองรับแรงงานสูงอายุที่ยังต้องการทำงานได้หรือไม่?
    ประเด็นนี้มีความสำคัญโดยเฉพาะในจังหวัดที่แรงงานวัยกลางคนยังเป็นฐานหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น เชียงราย ซึ่งมีบทบาทเป็นจังหวัดการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-การเกษตร
  3. ลงทุนในช่วงปฐมวัยอย่างเข้มข้นในพื้นที่เสี่ยง
    กรณีเชียงรายเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าประชากรเด็กไม่ได้มีเพียง “น้อยลง” แต่ยังมีสัดส่วนพัฒนาการไม่สมวัยสูง โดยมีเพียงราว 46.35% ของเด็กอายุ 0–5 ปี ที่อยู่ในเกณฑ์พัฒนาการตามวัย เทียบกับเป้าหมายระดับนโยบายที่ตั้งไว้มากกว่านั้นอย่างมีนัยสำคัญ
    หากไม่เร่งลงทุนในระบบสนับสนุนปฐมวัย วันนี้ เราอาจกำลังปล่อยให้ “คนรุ่นต่อไป” เริ่มต้นชีวิตด้วยเงื่อนไขเชิงพัฒนาการที่ถดถอย ทั้งในเชิงการเรียนรู้ สุขภาพกาย-ใจ และความพร้อมในตลาดแรงงานในอีก 15-20 ปีข้างหน้า

วิกฤตประชากรไม่ใช่วิกฤตของอนาคตอีกต่อไป แต่มาถึงแล้ว

ปี 2568 ไม่ใช่แค่ปีที่ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ลดลงอีก 10% จนเหลือ 309,644 คนในช่วง 9 เดือนแรกของปีเท่านั้น ไม่ใช่แค่ปีที่ประเทศไทยอาจมีประชากรต่ำกว่า 66 ล้านคนเป็นครั้งแรก แต่เป็นปีที่ประเทศไทยต้องยอมรับความจริงว่า “วิกฤตโครงสร้างประชากร” คือประเด็นเศรษฐกิจ การคลัง สาธารณสุข และความมั่นคงทางสังคมในระดับชาติ

จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายยิ่งตอกย้ำความซับซ้อนของปัญหา เมื่อจำนวนประชากรตามทะเบียนกำลังแก่ตัวและเติบโตช้า ขณะที่จำนวนผู้อยู่อาศัยจริงในพื้นที่ โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติและครอบครัว กลับสร้างภาระเชิงบริการสาธารณะจริง แต่ไม่ได้สะท้อนในฐานงบประมาณอย่างเต็มที่

ในอีกด้าน เรากำลังเห็นปรากฏการณ์ที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ คุณภาพของประชากรรุ่นต่อไป ซึ่งในบางพื้นที่ ตัวเลขเด็กเล็กที่มีพัฒนาการสมวัยอยู่เพียงราวครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่กำหนด นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขด้านสาธารณสุข แต่คือสัญญาณล่วงหน้าของความสามารถในการแข่งขันของจังหวัด ของภูมิภาค และของประเทศทั้งระบบ

กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์ประชากรสองชุดในเวลาเดียวกัน คนเกิดใหม่น้อยลง คนสูงวัยมากขึ้น และความต้องการบริการสาธารณะในพื้นที่ชายแดนที่ซับซ้อนขึ้น ในเงื่อนไขเช่นนี้ การแก้ไขปัญหาไม่อาจเป็นเพียงการรณรงค์ “ให้มีลูกเยอะขึ้น” อย่างในอดีต แต่ต้องเป็นการปรับโครงสร้างนโยบายทั้งระบบ ตั้งแต่การยกระดับแรงงานไปจนถึงการดูแลเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิด และการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริงในพื้นที่

และในที่สุด คำถามสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ “เรามีคนเหลืออยู่กี่ล้านคน” แต่อาจเป็น “เราพร้อมหรือยังกับการอยู่ในประเทศที่เล็กลง สูงวัยขึ้น และแข่งขันได้ยากขึ้น — หากไม่เร่งปรับวันนี้”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลประชากรกลางปีและทะเบียนราษฎร จากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง (DOPA)
  • กำหนดการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุการเริ่มต้นเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อปรับฐานข้อมูลประชากรที่แท้จริงสำหรับการวางแผนนโยบายหลังปี 2568
  • ระบบตัวชี้วัดกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) ในปีงบประมาณ 2567–2568 ซึ่งติดตามตัวชี้วัดสำคัญ อาทิ อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (ตั้งเป้าน้อยกว่า 16), อัตราการดูแลแม่และเด็ก รวมถึงตัวชี้วัดพัฒนาการเด็กเล็กอายุ 0–5 ปี ที่บรรลุผลจริงเพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายระดับ ≥87%
  • KResearch
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ราคาทรุด! ปลาเศรษฐกิจแม่น้ำกกดิ่งเหว ชุมชนปากน้ำร้องรัฐวางแผนน้ำสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

วิกฤต “สารพิษแม่น้ำกก” เขย่าเศรษฐกิจริมฝั่งน้ำ—ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ยื่น 4 ข้อเสนอเยียวยา–หยุดต้นเหตุ ขณะที่จังหวัดเร่งวาง Flood Mark-สำรวจน้ำบาดาลสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

เชียงราย, 16 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นริมปากแม่น้ำกก ลมเหนือพัดแรงพอจะทำให้ผืนแหตาข่ายปลิวกระทบกันเป็นจังหวะ แต่เสียงหัวเราะของชาวประมงไม่คึกคักดังเช่นเดิม แผงขายปลาที่เคยคึกครื้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ “ข่าวสารพิษในแม่น้ำกก” ขึ้นหน้าสื่อเมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหดหาย ราคาปลาท้องถิ่นทรุดลงต่อเนื่อง และรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำเกือบหยุดชะงัก

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ชาวประมงจาก บ้านเชียงแสนน้อย–บ้านสบคำ ต.เวียง และบ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน รวม 30 คน เปิด “เวทีระดมข้อมูลผลกระทบ” ที่ศาลาตลาดปลาบ้านเชียงแสนน้อย โดยมี ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ลงบันทึกข้อเท็จจริง–เสียงสะท้อน และ “ข้อเสนอ 4 ข้อ” ส่งถึงหน่วยงานรัฐ ระบุชัดเป็นทางออกทั้งระยะสั้นและยาว หลังชุมชนรับผลกระทบจาก การปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองต้นน้ำฝั่งพม่า ซึ่งไหลลงสู่ลุ่มน้ำกก

 “ความเสี่ยงไม่แน่ชัด” จนกลายเป็น “ความกลัวแน่ชัด”

จุดหักเหเกิดขึ้นราว 9 เมษายน 2568 เมื่อมีประกาศให้งดการลงเล่นแม่น้ำกกจากการตรวจพบ “สารปนเปื้อน” ต่อมา 22 เมษายน 2568 ข่าว “ปลาป่วยเป็นตุ่ม” ถูกเผยแพร่กว้างขวาง อันเป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกของชุมชนผู้ผูกพันกับสายน้ำ กระทั่งช่วงปลายเดือนเมษายน รายงานการตรวจคุณภาพน้ำที่พบ “สารหนู” โดยหน่วยงานสิ่งแวดล้อมกลาง ถูกตีความในสังคมอย่างแตกต่าง—แม้ กรมประมง จะย้ำว่า สารตกค้างในตัวปลา “ไม่เกินมาตรฐาน” และยังบริโภคได้ แต่ในเชิงพฤติกรรม ผู้บริโภคจำนวนมากเลือก “เลี่ยง” มากกว่า “เสี่ยง”

ในเวลาต่อมา คลื่นข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่สะท้อนภาพที่น่ากังวลยิ่งขึ้น การตรวจรอบที่ 4 ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย ชี้ว่า น้ำประปาหมู่บ้าน 18 แห่งมีการปนเปื้อนสารตะกั่ว (บางแห่งพบทั้งตะกั่วและสารหนู) พร้อมสัญญาณ “สารโลหะหนัก” ใน ผักบุ้ง–ผักกาด และในปลาบางชนิด (เช่น ปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์ ปลากระดี่ ปลานิล) แม้ส่วนใหญ่ ยังไม่เกินค่าอ้างอิง แต่การบริโภคซ้ำอย่างต่อเนื่องในชุมชนพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ ย่อมสร้าง “ความเสี่ยงสะสม” โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

เสียงเตือนจากนักวิชาการสะท้อนชัด ดร.สืบสกุล กิจนุกร เรียกร้องรัฐ “สื่อสารให้ตรงไปตรงมา” เลิกใช้คำกำกวมอย่าง “ไม่เกินมาตรฐาน” แล้วเปลี่ยนเป็น “พบสารโลหะหนักแต่ไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจความเสี่ยงจริง นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจครั้งล่าสุด ไม่มีการตรวจ “ปรอท” ในตัวปลา ทั้งที่จังหวัดใกล้เคียงอย่างเชียงใหม่ตรวจและรายงาน พร้อมเผยข้อมูล ผลตรวจปัสสาวะประชาชน 7 รายมี “สารหนูเกินมาตรฐาน” ซึ่งควรถูกสื่อสารและติดตามซ้ำอย่างโปร่งใส

ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ จาก CHIA Platform เสนอให้ หยุดจ่ายน้ำ” ที่โรงเรียน ที่ตรวจพบการปนเปื้อนทันที จัดหาน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นใช้ชั่วคราว ตรวจสอบและยกระดับระบบบำบัด พร้อมประเมินภาวะสุขภาพกลุ่มเสี่ยง (หญิงตั้งครรภ์–เด็กเล็ก) อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ผศ.เสถียร ฉันทะ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรภ.เชียงราย เตือนว่าตะกั่วกระทบระบบประสาทอย่างรุนแรง โดย WHO และการประปาส่วนภูมิภาคกำหนดค่าสูงสุดในน้ำดื่มที่ 0.01 มก./ล. จึงย้ำให้รัฐเปิดเผยข้อมูลและเร่งหา “แหล่งน้ำดิบใหม่” สำหรับผลิตประปาชุมชนโดยเร็ว

ชีวิตชาวประมงปากน้ำกก เมื่อฤดูกาลยังมา แต่รายได้ไม่กลับ

เศรษฐกิจของ 3 ชุมชนปลายน้ำกกผูกกับ “จังหวะน้ำ–วงจรปลา” อย่างแยกไม่ออก

  • ฤดูน้ำหลาก (พฤษภาคม–กันยายน) ปลาแม่น้ำโขงอพยพเข้าแม่น้ำกก จับได้มากที่สุด รายได้สูงสุดของปี
  • ฤดูน้ำลง/ปลาล่อง (ตุลาคม–พฤศจิกายน) ปลาไหลกลับสู่โขง ยังจับได้ต่อ
  • ฤดูแล้ง (ธันวาคม–เมษายน) จับปลาได้น้อย ชาวประมงซ่อมอุปกรณ์–หาเลี้ยงจากแหล่งน้ำย่อย

ภาวะปกติ 6 เดือนของน้ำหลาก+น้ำลง คือ “ห้วงทำเงิน” เฉลี่ย 52,000 บาท/คน/ฤดูกาล สำหรับชาวประมงรายย่อย แต่วงจรปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม

  • เมษายน 2568 ข่าวปนเปื้อนเริ่มกระจาย
  • พฤษภาคม เริ่มขายปลายาก–ราคาตก
  • มิถุนายน–กันยายน แทบ ขายไม่ได้เลย จับได้ก็บริโภคเอง
  • ตุลาคม เริ่มขายได้บ้าง แต่ ทั้งราคา–ปริมาณไม่กลับเท่าเดิม

ราคาปลาเศรษฐกิจ “หักหัวทิ่ม” ในเวลาอันสั้น

  • ปลาเค้า จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก.
  • ปลาแข้ จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก. (ยังขายยาก)
  • ปลาคางเบือน จาก 350 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลากา (เพี้ย) จาก 150 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลาโจก จาก 250 เหลือ 240 บาท/กก.
  • ปลากด จาก 120 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลากดคัง จาก 250 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลาสะงั่ว จาก 400 เหลือ 300 บาท/กก.

ขณะเดียวกัน ต้นทุนคงที่ ของอาชีพประมงพื้นบ้านกลับ “ไม่ลดตาม” ค่าเรือและเครื่องเรือราว 25,000 บาท ค่าน้ำมันเฉพาะฤดูทำการ 18,000 บาท “มองไหล” (อวนตาถี่) 10 ผืน คนละ 45,000 บาท และ ไซลั่น 10 อัน 5,000 บาท รวม เฉลี่ย 83,000 บาท/คน/ปี เมื่อนำมาคูณกับ ชาวประมง 41 ราย ในสามชุมชน (สบคำ 22, สบกก 12, เชียงแสนน้อย 7) เฉพาะ “ทุนอุปกรณ์” ที่สูญเสียไปในปีนี้พุ่งถึง 3,403,000 บาท—ยังไม่รวม ค่าเสียโอกาส จากรายได้ที่หายไปทั้งฤดูกาล

“จับได้ก็ต้องกินเอง จะให้ทิ้งก็ไม่ได้ แต่ขายก็ไม่มีคนซื้อ” — เสียงเล่าซ้ำ ๆ บนเวทีสะท้อน “วิกฤตความเชื่อมั่น” มากกว่าปัญหา “ปริมาณปลา”

4 ข้อเสนอจากชุมชน เยียวยา–สื่อสารตรง–หยุดสารพิษ–ดูแลสุขภาพ

ข้อเสนอร่วมของ ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ต่อภาครัฐ ได้แก่

  1. เยียวยา–ชดเชยรายได้ ที่ขาดหายไปจากอาชีพประมง และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายคงที่ด้านอุปกรณ์/ซ่อมบำรุง
  2. สื่อสารตรงไปตรงมา ชัดเจน และปฏิบัติได้จริง ลดความกำกวมที่ทำให้ชาวบ้าน–ผู้บริโภคสับสน
  3. แก้ที่ต้นเหตุ ให้รัฐบาล เจรจา–กดดัน ฝั่งต้นน้ำให้ หยุดปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ ตามกรอบความร่วมมือข้ามพรมแดน
  4. ตรวจสุขภาพต่อเนื่อง เปิดเผยผล ตรวจย้ำแยกแยะ สารหนูอินทรีย์–อนินทรีย์ พร้อมคำแนะนำป้องกันที่ปฏิบัติได้จริง

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากชุมชนในลุ่มน้ำกก “ตั้งแต่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ถึงปากน้ำกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย” เพื่อยื่นข้อเสนออย่างเป็นระบบต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ

ด้านจังหวัด–ส่วนกลาง เร่งแผนคู่ขนาน น้ำสำรอง–ข้อมูลน้ำท่วม–แผนที่เสี่ยง

วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้มีเพียง “สารพิษ” แต่ยังทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงน้ำหลาก” ที่ลุ่มน้ำกกเผชิญเป็นระยะ 15 ตุลาคม 2568 จังหวัดเชียงรายเปิดประชุมที่ ปภ.จังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ขับเคลื่อนโครงการ ติดตั้งเครื่องหมายระดับคราบน้ำท่วม (Flood Mark) เป็น “ความทรงจำของน้ำ” บนพื้นที่จริง เพื่อนำไปสู่ แผนที่เสี่ยง (Flood Map) และ แผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี Mobile Mapping System (MMS) สำรวจความสูงภูมิประเทศ กว่า 120 กม. ตั้ง หมุด Flood Mark ไม่น้อยกว่า 500 จุด เชื่อมความร่วมมือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย–เทศบาลนครเชียงราย–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้งบสนับสนุนจาก สสน. (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, องค์การมหาชน) และโครงการ CDP ร่วมประสาน TNDR

ในมิติ “น้ำกินน้ำใช้” ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติเดินเกม แผนน้ำสำรอง นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี/รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมาย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจ–คัดเลือก บ่อบาดาลสำรอง สำหรับระบบประปาหมู่บ้านใน ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย โดย สำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 1 (ลำปาง) ลงพื้นที่ร่วมกับ สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ เทศบาลตำบลแม่ยาว ใน 3 หมู่บ้าน (รวมมิตร–ห้วยทรายขาว–ผาสุก) รวมแล้ว ราว 20 จุด พร้อมเปิดรับจุดสำรวจเพิ่มเติม เพื่อทดแทนการใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกในพื้นที่เสี่ยง

มาตรการเชิงรุกดังกล่าวสื่อสาร “แนวทางแก้ปัญหาที่จับต้องได้” ระหว่างที่ผลตรวจสารปนเปื้อนยังต้องเฝ้าระวังและสื่อสารต่อเนื่อง

นโยบาย–ธรรมาภิบาลน้ำแบบข้ามพรมแดน ช่องว่างที่ควรปิด

แม่น้ำกกเป็นสายน้ำที่มี มิติข้ามพรมแดน เชื่อมพื้นที่ต้นน้ำฝั่งพม่าเข้าสู่ไทย ความเสี่ยงจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ—ซึ่งถูกระบุโดยชุมชนว่าเป็นต้นตอการปนเปื้อน—สะท้อนความจำเป็นของ กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) และระดับหน่วยงานวิชาการ (S2S Science-to-Science) เพื่อตกลง มาตรฐานการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–เยียวยา ที่เท่าทัน หากไม่ปิดช่องว่างนี้ ปลายน้ำอย่างเชียงรายจะต้องเผชิญ “ความไม่แน่นอน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตีวงกว้างตั้งแต่ สุขภาพ–เศรษฐกิจฐานราก–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ไปจนถึง ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

ในเชิงสื่อสารสาธารณะ บทเรียนสำคัญคือ ความชัดเจนมาก่อนความสบายใจ” ภาษาราชการที่ไม่ตรงประเด็นอาจทำให้ประชาชน “สบายใจชั่วครู่” แต่ “ไม่ปลอดภัยในระยะยาว” แนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอ—บอกความจริงตามข้อมูลล่าสุด แยกแยะสารแต่ละชนิด ระบุพื้นที่เสี่ยง–กลุ่มเสี่ยง พร้อมมาตรการปฏิบัติ—คือสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ชุมชนตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ เข้าใจง่าย–ตรวจสอบได้

จาก “ความกลัว” สู่ “แผนที่–น้ำสำรอง–ตัวชี้วัดสุขภาพ”

แม้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง แต่ “เส้นทางคลี่คลาย” เริ่มมีองค์ประกอบชัดเจนมากขึ้น

  1. สตอรีไลน์ของน้ำ — เมื่อ Flood Mark ถูกปักไว้เป็นร้อยจุด และ MMS แปลงความสูงภูมิประเทศเป็นข้อมูลดิจิทัล พื้นที่ปลายน้ำกกจะมี “แผนที่เสี่ยงน้ำท่วม” ที่อ้างอิงเหตุการณ์จริง ลดความไม่แน่นอนของฤดูน้ำหลาก สร้าง “ปฏิทินน้ำ” ที่วางแผนล่วงหน้าได้
  2. น้ำดื่มน้ำใช้ที่มั่นคง — เมื่อ “น้ำบาดาลสำรอง” ถูกพัฒนาเป็นเครือข่ายจ่ายน้ำให้ประปาชุมชน พื้นที่เสี่ยงสามารถ “สลับแหล่งน้ำดิบ” ได้ทันทีเมื่อตรวจพบสารปนเปื้อน ลดการพึ่งพาแม่น้ำหลักในช่วงวิกฤต
  3. สุขภาพที่ติดตามได้ — เมื่อตัวชี้วัดสุขภาพ (เช่น การตรวจปัสสาวะสารหนู, คัดกรองภาวะโลหะหนักในกลุ่มเสี่ยง, แนวทางโภชนาการช่วงเฝ้าระวัง) ถูก ประกาศ–อัปเดต–อธิบาย อย่างสม่ำเสมอ ความสามารถของประชาชนในการป้องกันตนเองจะสูงขึ้นทันที
  4. เยียวยาที่เป็นธรรม — หากมาตรการเยียวยารายได้–ช่วยค่าอุปกรณ์–ค้ำประกันสินเชื่ออาชีพ (ชั่วคราว) ของชาวประมงเกิดขึ้นจริง พร้อม “ตลาดทางเลือก” สำหรับช่วงฟื้นความเชื่อมั่น (เช่น อุดหนุนปลาจากแหล่งน้ำที่ปลอดภัย–โปรแกรมรับซื้อประกันราคา) วงจรรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำจะเริ่มหายใจได้อีกครั้ง

หยุดสารพิษที่ต้นน้ำ–เยียวยาปลายน้ำ–ทำให้ข้อมูลไหลเหมือนน้ำ

สิ่งที่ชุมชนขอไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม—เยียวยาทันที, ข้อมูลตรงไปตรงมา, เจรจากับต้นน้ำให้หยุดปล่อยสารพิษ, และ ตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดคือ “มาตรการมนุษย์พื้นฐาน” ในวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่การจะเดินทางไปถึงจุดนั้น ต้องมี “ระบบข้อมูล” ที่ โปร่งใส–ต่อเนื่อง–สื่อสารเป็น และ “ระบบน้ำ” ที่ ยืดหยุ่น–มีทางเลือก–สำรองได้

เชียงรายกำลังวางรากฐานผ่าน Flood Mark–MMS–บ่อบาดาลสำรอง ขณะที่นักวิชาการและภาคประชาชนกำลังช่วยกัน “ทำให้ข้อมูลไม่กำกวม” บทบาทต่อจากนี้ของรัฐ—ทั้งส่วนกลาง–ส่วนท้องถิ่น—คือ เชื่อมทุกเส้นให้ทำงานพร้อมกัน ตั้งแต่โต๊ะเจรจาข้ามพรมแดน ไปจนถึงโต๊ะกินข้าวของครัวเรือนชาวประมง ถ้าทำได้ “ความกลัว” จะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วย “ความเชื่อมั่นใหม่” ที่วัดผลได้ทั้งใน ตัวเลขสุขภาพ–กระเป๋าสตางค์–ราคาปลา และ เสียงหัวเราะริมฝั่งน้ำ ที่จะกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)
  • รายงานสาธารณสุข/ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แก้วิกฤตแม่น้ำกก รัฐ-วิชาการ-ประชาชน ผนึกกำลังหาแหล่งน้ำสำรองและหยุดมลพิษ

ปฏิบัติการลุ่มน้ำกก” รัฐ–ประชาชน–วิชาการ ร่วมคลี่ปมมลพิษข้ามพรมแดน รองนายกฯ สุชาติ เปิดเวทีรับฟัง–สั่งเร่งตรวจน้ำ–หาแหล่งน้ำสำรอง เดินเกมบูรณาการ “ข้อมูล–ความเชื่อมั่น–การทูตน้ำ”

เชียงราย/เชียงใหม่, 9 ตุลาคม 2568นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก่อนเปลี่ยนเป็นอากาศยานปีกหมุนขึ้นสำรวจแนวลำน้ำกกต่อเนื่อง จากเชียงใหม่ถึงเชียงราย โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงฯ และคณะผู้บริหารในสังกัดร่วมภารกิจ และได้รับการต้อนรับ รายงานสถานการณ์จาก ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่–เชียงราย ตลอดจนหน่วยงานทรัพยากรน้ำ สาธารณสุข และปกครองท้องถิ่น

“สิ่งที่มารับฟังในวันนี้คือ ความตั้งใจจริง ของรัฐบาล เราจะเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม”—นายสุชาติ ชมกลิ่น ย้ำต่อหน้าชาวบ้านและผู้นำชุมชนที่บ้านท่าตอน

น้ำ–ดิน–อาหาร–วิถีชีวิต ใต้เงามลพิษข้ามพรมแดน

ปมปัญหาที่ซับซ้อนเริ่มจาก ข้อกังวลเรื่องสารหนูและโลหะหนัก ในแม่น้ำกก–สาขา (รวก–สาย) ที่ไหลลงโขง สะท้อนผ่านความไม่มั่นใจของชุมชนต่อการ อุปโภค–บริโภค และผลกระทบ เศรษฐกิจท้องถิ่น–การท่องเที่ยว นานเดือน จนเกิดเสียงเรียกร้องให้รัฐ “เร่ง ตรงจุด โปร่งใส” โดยเฉพาะการตรวจวัดที่ “เร็วถึงพื้นที่” ไม่ต้องส่งตัวอย่างเข้าเมืองหลวงให้เสียเวลา

ด้านข้อมูลเชิงสุขภาพสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รายงานว่าจากการเฝ้าระวังช่วงที่ผ่านมา ค่าคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภค (ประปาผิวดิน–ภูเขา–บาดาล–บ่อน้ำตื้น) รวมทั้งการตรวจ ค่าสารหนูในปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยง อยู่ในเกณฑ์ ไม่เกินมาตรฐาน เช่นเดียวกับผลตรวจ สารหนู–ตะกั่ว–ปรอท ในพืชผักและปลาในลุ่มน้ำ (ปริมาณ ไม่เกินค่ามาตรฐาน) ขณะ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย ยืนยันว่าการบริโภคปลาในแม่น้ำ “ทานได้ไม่เป็นอันตราย” ในเงื่อนไขที่พบโดยทั่วไปและร่างกายขับออกได้ตามธรรมชาติ

แต่ ผลตรวจ “ไม่เกินมาตรฐาน” ไม่ได้แปลว่า ความเชื่อมั่น” จะกลับมาในทันที—ตัวแทนชาวบ้านสะท้อน ราคาพืชผลตกต่ำ–นักท่องเที่ยวชะลอ–ธุรกิจย่อยต้องควักเงินสำรอง ขณะข้อเสนอบางแนวทางโครงสร้าง (เช่น ฝายดักตะกอน) ยังก่อคำถาม “จะซ้ำเติมระบบนิเวศหรือไม่” และ “จะทำให้ชาวบ้านกลายเป็นหนูทดลองหรือเปล่า”

เวทีเดียว หลายเสียง 10 ข้อเสนอประชาชน ฝ่ายค้าน นักวิชาการ

จุดแข็งของวันลงพื้นที่คือ “การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้พูด” ในเวทีเดียวกัน นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม (ฝ่ายค้าน) ร่วมภารกิจตามคำเชิญของรองนายกฯ พร้อมยื่น 10 ข้อเสนอ ตั้งแต่การ จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ ทดแทนแม่น้ำกก–รวก–สาย–โขง สำหรับเมืองหลักของเชียงราย (อ.เมือง–เวียงชัย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) การ จัดหาแหล่งน้ำใหม่/ปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน อย่างน้อย 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำ การ ตรวจคุณภาพดิน–ผลผลิต ในลุ่มน้ำกก (พื้นที่ลุ่ม 12,000 ไร่ ใน ต.ท่าตอน) และ ข้าวนาปีมากกว่า 100,000 ไร่ ในเขตชลประทาน ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อคุ้มครองทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

สาระสำคัญยังรวมถึงการตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย–เชียงใหม่ เพื่อให้การเฝ้าระวังใน น้ำ–ตะกอน–ดิน–ผลผลิตเกษตร–ปลา–สัตว์น้ำ–มนุษย์ ทำได้ ใกล้–เร็ว–ต้นทุนต่ำ พ่วง “กลไกข้ามแดน” เช่น ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่เชื่อมโยงต้นเหตุ, ตั้ง คณะทำงานร่วม รัฐ–วิชาการ–ประชาชน เพื่อเฝ้าระวัง เยียวยาฟื้นฟูลุ่มน้ำ และการเปิดเวที การทูตน้ำ กับเมียนมา–จีน รวมถึงยกประเด็นสู่กรอบ GMS/ACMECS และเวทีโลกอย่าง COP (UNFCCC) เพื่อกดดันเชิงนโยบาย หยุดต้นตอมลพิษข้ามพรมแดน อย่างยั่งยืน

“เราเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้ารัฐบาลเชิญเพื่อประโยชน์ประชาชน เรายินดีไป และย้ำ 10 ข้อข้อเสนอเพื่อคืนความปลอดภัยน้ำ–ดิน–อาหารให้พี่น้อง”—นายกัณวีร์ สืบแสง

นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ชี้เฉพาะพื้นที่เกษตร ~130,000 ไร่ ที่กำลังออกผลผลิต ต้องตรวจโลหะหนักเร่งด่วน ขณะที่ ภาคประชาสังคม สะท้อนภาพเหมืองฝั่งต้นน้ำในรัฐฉานที่ “มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า” ใกล้ชายแดนไทย—ตอกย้ำว่าทางออกจำเป็นต้อง คิดเชื่อมแดน–เชื่อมสถาบัน–เชื่อมข้อมูล” ไม่ใช่แก้เฉพาะหน้าฝั่งไทยเท่านั้น

คำตอบจากรัฐ เร่งตรวจ–เร่งน้ำ–เร่งข้อมูล และ “ไม่ยึดติดฝ่าย”

ต่อหน้าข้อเสนอและเสียงสะท้อน นายสุชาติ ขีดเส้น 3 งานเร่งด่วนที่ กระทรวง ทส. ทำได้ทันที

  1. งานข้อมูล–คุณภาพน้ำ มอบหมาย กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตั้ง ชุดตรวจประจำจุด ในพื้นที่ให้ผลตรวจ “รวดเร็วและสื่อสารได้” ลดเวลารอจากการส่งเข้ากรุงเทพฯ และให้ผลระดับที่ประชาชน “อ่านเข้าใจได้”
  2. งานน้ำเร่งด่วน ให้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.) สำรวจ–ขุดแหล่งน้ำบาดาลฉุกเฉิน และให้ กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.) ประสาน การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) หา แหล่งน้ำดิบสำรอง เพื่อกระบวนการผลิตน้ำประปาที่มีต้นทุน–สารเคมีต่ำลง ตอบโจทย์ “ปลอดภัย–เพียงพอ–ยืดหยุ่น”
  3. งานมีส่วนร่วม–โครงสร้าง กรณีโครงการ ฝายดักตะกอน ยืนยันต้องผ่าน เวทีรับฟัง/ประชาพิจารณ์ และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน “อาจสร้าง–ไม่สร้าง–หรือปรับวิธีแก้” ก็ได้—ไม่ใช้ชาวบ้านเป็นหนูทดลอง

“เราไม่ยึดติดว่าใครฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราไม่ได้เก่งทุกอย่าง คนที่เก่งกว่าเรายังมี—เชิญมาให้ความรู้ แล้วเอาไปใช้เพื่อประชาชน” — สุชาติ ชมกลิ่น เน้นวัฒนธรรมการทำงาน “ไร้เส้นแบ่ง” ระหว่างรัฐ–ฝ่ายค้าน–เอ็นจีโอ–นักวิชาการ

ขณะเดียวกัน รองนายกฯ ระบุได้พูดคุยกับ รองนายกฯ/รมว.เกษตรฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อบูรณาการภารกิจที่เกี่ยวข้อง โดยย้ำว่าหากประชาชน ไม่ต้องการฝาย” เจ้าหน้าที่รัฐก็ ทำไม่ได้” เพราะคนในพื้นที่รู้ดีที่สุด

บ่ายเชียงราย กำลังใจแนวหน้า–ตั้งหลัก PM2.5 ก่อนฤดูไฟป่า

จากแม่อายสู่เมืองเชียงราย บ่ายวันเดียวกัน นายสุชาติ เดินทางไป ศูนย์ฝึกอบรมที่ 4 (เชียงราย) มอบเสบียง–ถุงยังชีพให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ กรมป่าไม้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ “แนวหน้าดูแลผืนป่า” พร้อมเน้นการทำงานเชิงบูรณาการ อนุรักษ์–ฟื้นฟู–ใช้ประโยชน์อย่างสมดุล และการเตรียม แผนรับมือไฟป่า–หมอกควัน–PM2.5 ที่จะวนกลับมาในฤดูแล้ง

ภาพการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ “เสือไฟ–ชุดควบคุมไฟป่า–อนุรักษ์สัตว์ป่า” ไม่ได้เป็นเพียงพิธี หากเชื่อมกับ บริบทคุณภาพอากาศ ที่ภูมิภาคนี้ต้องเผชิญเป็นประจำ และเชื่อมกับ บริบทคุณภาพน้ำ ที่กำลังแก้ไข—เพราะท้ายที่สุด น้ำ–ดิน–อากาศ–ป่า คือระบบเดียวกัน

ตัวเลขสำคัญ เหตุผลที่ “เร็ว–ชัด–ร่วม” จำเป็น

  • 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำกก–รวก–โขง (ฝั่งเชียงใหม่–เชียงราย) ที่ต้องปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน–แหล่งน้ำใหม่
  • 12,000 ไร่ (ที่ราบลุ่มน้ำกก ต.ท่าตอน) และ >100,000 ไร่ (ข้าวนาปีในเขตชลประทานลุ่มน้ำกก–สาย–รวก) ที่ภาควิชาการเสนอให้ตรวจโลหะหนักก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อ ความปลอดภัยของผู้บริโภค–ความมั่นใจของตลาด
  • การตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักระดับจังหวัด จะลด “ค่าใช้จ่าย–เวลา–ระยะทาง” เมื่อเทียบกับการส่งตรวจในกรุงเทพฯ ทำให้ ข้อมูลทันการสื่อสารสาธารณะ
  • งาน แหล่งน้ำดิบสำรอง/บาดาลฉุกเฉิน ลดการพึ่งน้ำผิวดินช่วง “สภาวะเสี่ยง” และลด ต้นทุนสารเคมี ในกระบวนการทำประปา
  • มาตรการ การทูตน้ำ และ การค้าระหว่างประเทศ (เช่น หยุดนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่โยงแหล่งเหมืองเสี่ยง) ทำให้ การแก้ต้นเหตุ เป็นไปได้จริงในระยะกลาง–ยาว

บทสนทนาที่เริ่มแล้ว จากฝั่งฟ้าถึงฝั่งน้ำ

ช่วงท้ายวัน นายสุชาติ เข้าร่วมประชุมที่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย กับผู้ว่าฯ เครือข่ายภาคประชาสังคม และหน่วยงานรัฐ โดยระบุว่า คพ. จะเป็น “แม่งานตรวจน้ำ” เพื่อให้ผลตรวจ เร็วและสม่ำเสมอ ส่วนงานประมง–ความปลอดภัยอาหาร ให้ สาธารณสุข ช่วยสื่อสาร “เกณฑ์–บริบท” อย่างเข้าใจง่ายและต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากพื้นที่—ถนนกัดเซาะจากน้ำท่วม, ครัวเรือนต้องจัดหาน้ำเอง, พืชผล–การท่องเที่ยวสะดุด—ล้วนถูก จด–จำ–จับคู่หน่วย เพื่อให้การเยียวยา–กอบกู้ความเชื่อมั่นเดินคู่กับการเฝ้าระวังเชิงระบบ และการวาง แผนน้ำดิบระยะยาว (เช่น แนวทางปรับไปใช้แหล่งน้ำอื่นของ กปภ. ในบางจุด พร้อมกรอบก่อสร้างที่หน่วยงานแจ้งไทม์ไลน์ของตน)

“ปัญหาแม่น้ำกกเกี่ยวข้องความมั่นคงมนุษย์ เราต้องสู้เพื่อประชาชน ด้วยข้อมูล–ความร่วมมือ–และการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา”—สารสำคัญที่รองนายกฯ ทิ้งไว้

เส้นทาง “สามขาความเชื่อมั่น” น้ำปลอดภัย–ข้อมูลโปร่งใส–ทูตน้ำเชิงรุก

  1. ความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ (Operational Safety) การตั้ง “จุดตรวจถี่–ผลเร็ว–อธิบายได้” ของ คพ. คือกุญแจเรียกความเชื่อมั่นกลับมา งานบาดาลฉุกเฉิน–แหล่งน้ำสำรองเป็น กันชนความเสี่ยง ให้ระบบประปาเดินได้แม้ในภาวะไม่แน่นอน
  2. ความโปร่งใสเชิงสื่อสาร (Risk Communication) ผล “ไม่เกินมาตรฐาน” ต้องมาคู่ บริบท–คำอธิบาย–คู่มือใช้ชีวิต (เช่น แนวทางบริโภคปลา, การล้าง–ปรุง, การคัดเลือกแหล่งน้ำในครัวเรือน) และ แดชบอร์ดสาธารณะ ที่อัปเดตรายวัน/รายสัปดาห์
  3. การทูตน้ำ–เศรษฐกิจ (Transboundary Governance) การยกระดับประเด็นสู่ GMS/ACMECS/COP และกลไกการค้า (หยุดนำเข้าแร่จากเหมืองเสี่ยง) คือ “แรงส่งต้นน้ำ” ที่ไทยต้องขับเคลื่อนคู่การแก้ปลายน้ำ เพื่อไม่ให้ “ลุ่มน้ำไทย” กลายเป็นผู้รับภาระฝ่ายเดียว

ลำน้ำเดียวกัน–ผลลัพธ์เดียวกัน

ภาพเฮลิคอปเตอร์ที่บินตามลำน้ำกกในเช้าวันนี้ เป็นทั้ง สัญลักษณ์ และ สัญญา ว่า “ลำน้ำเดียวกัน” ต้องได้ ผลลัพธ์เดียวกัน — น้ำที่ปลอดภัย อาหารที่ไว้วางใจได้ เศรษฐกิจชุมชนที่ฟื้นตัว และการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ชัดเจนบนฐานข้อมูล รัฐ–ฝ่ายค้าน–นักวิชาการ–เอ็นจีโอ–ชุมชนต่างเห็นพ้อง “สู้ร่วมกันได้” หาก เป้าหมายคือประชาชน และ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ / จังหวัดเชียงราย และศาลากลางจังหวัด
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 / หน่วยงานปกครองท้องถิ่น
  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย / ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย กระทรวงสาธารณสุข
  • ภาคประชาสังคมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–รวก–สาย และผู้แทนชุมชน
  • นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายวิชาการที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์เดินเครื่องลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี ด้วย 7 นโยบาย Quick Big Win

ศุภจี” คลายปมเศรษฐกิจด้วย 7 นโยบายพาณิชย์ เดินเครื่อง “Quick Big Win” ลดภาระประชาชน–หนุนส่งออก–อุดช่องโหว่การค้า ดึงเอกชนสุขภาพร่วมลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568 — ใเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการจากส่วนกลาง พาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์จากกว่า 50 แห่งทั่วโลก “เสียงสัญญาณ” ของการเปลี่ยนเกียร์เศรษฐกิจดังชัด เมื่อ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศ 7 นโยบายสำคัญ ที่จะเดินหน้าแบบ “Quick Big Win”—ทำสั้น ให้ได้ผล และกระจายประโยชน์เร็ว—โดยไม่ละทิ้งเป้าหมายการวาง “รากฐานยั่งยืน” สำหรับเศรษฐกิจไทยระยะยาว

สารตั้งต้นของนโยบายชุดนี้มีสองชั้นความหมายที่ขนานกันเดิน ชั้นแรกคือ การคลี่คลายปมเร่งด่วน—ภาษี การค้าชายแดน ค่าครองชีพ เกษตร—เพื่อบรรเทาความเปราะบางของครัวเรือนและผู้ประกอบการ หลังเผชิญความผันผวนต่อเนื่องหลายปี ชั้นที่สองคือ การวางรางวิ่งใหม่ ผ่าน FTA ดิจิทัลเทรด และการใช้ AI กับกฎระเบียบ เพื่อให้เศรษฐกิจไทย ก้าวจากการตามให้ทัน ไปสู่การนำบางสมรภูมิ

1) ภาษีสหรัฐฯ–ข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (ART) และ “ดิจิทัล C/O” ปิดช่องทุจริต–เร่ง AD ด้วย AI

กระทรวงพาณิชย์วางหมุดวันที่ ธันวาคม 2568 สำหรับการสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ เดินคู่กับการยกระดับ กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) สู่ ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งผลลัพธ์เริ่มชัด—จาก “หลักร้อยกรณี/ปี” ของเอกสารปลอม เหลือ 5 กรณีในปี 2567 และ ไม่พบในปี 2568

อีกด้านหนึ่ง กระบวนการ ตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping AD) ที่เคยกินเวลายาว 12–18 เดือน จะถูก บีบเหลือ 9 เดือน ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล และพิสูจน์หลักฐาน เพื่อ คุ้มครองผู้ประกอบการไทยเร็วขึ้น ลดความเสียหายจากการแข่งขันไม่เป็นธรรมในตลาดโลก

สัญญาณต่อผู้ส่งออก ชัดเจนว่าไทยกำลัง “ปัดฝุ่นเครื่องมือ” ให้เข้ายุค—โปร่งใส คล่องตัว และเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานได้จริง ซึ่งจะสะท้อนเป็นความเชื่อมั่นจากคู่ค้า และลดความเสี่ยงจากปัญหาสินค้าสวมสิทธิที่บั่นทอนเครดิตประเทศ

2) การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ช่วยคน–ช่วยร้านเล็ก–เร่งหาตลาดทดแทน

ภายใต้สถานการณ์ชายแดนที่ผู้ค้าหลายพื้นที่ รายได้สะดุด กระทรวงพาณิชย์จัดชุดมาตรการตรงจุด—ตั้งแต่ มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ, สนับสนุนค่าขนส่งฟรี 100 บาท/ชิ้น ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย เพื่อพยุง ผู้ประกอบการรายย่อย, จัดช่องทางตลาดใหม่ทดแทน พร้อมสั่งการ พาณิชย์จังหวัด ใน 7 จังหวัดชายแดน ให้ อยู่หน้างาน ประสานงานใกล้ชิดประชาชนและผู้ค้า

มาตรการชุดนี้มี จุดเน้นเชิงคุณภาพ คือรักษา “ชีพจรกิจกรรมเศรษฐกิจ” ไม่ให้สะดุด—เมื่อชายแดนฝั่งหนึ่งชะลอ ก็ เลี้ยวหาตลาดใหม่ ให้ร้านเล็กอยู่รอดได้ระหว่างรอการฟื้นตัว

3) FTA และบุกตลาดใหม่ จับชีพจรโลก–ต่อท่อโอกาส

บนเข็มนาฬิกาการค้าโลก ไทยพุ่งเป้าหลายแนวรบพร้อมกัน

  • FTA ไทย–เอฟตา (EFTA) ตั้งใจให้ มีผลบังคับใช้ในครึ่งแรกปี 2569
  • FTA ไทย–อียู พยายาม ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาส 1/2569
  • FTA ไทย–เกาหลีใต้ ตั้งใจ ปิดดีลภายในปี 2568

ควบคู่กันคือการใช้เครือข่าย ทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่ง “บุกตลาดใหม่” ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย–ยูเออี), แอฟริกาใต้, เอเชียใต้ (อินเดีย) และ อาเซียน (เวียดนาม) โดยใช้รูปแบบ จับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย (B2B Matching) และกิจกรรมเจรจา เชิงรุก–เฉพาะสินค้า เพื่อดึงดีมานด์ที่สอดคล้องกับ โครงสร้างการผลิตไทย มากกว่าเกมปริมาณ

ตัวเลขคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์ตั้งความหวังต่อภาพรวมการส่งออก ปีนี้โต 6–7% สูงกว่าเป้าเดิม—ตัวเลขที่สะท้อนความเชื่อว่าการเปิดตลาดใหม่และเครื่องมือ FTA จะกลบแรงต้านจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่เต็มแรง

4) ดูแลค่าครองชีพ ธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี + จับมือโรงพยาบาลเอกชน เปิดราคายาเปิดทางเลือกซื้อยานอก รพ.

ด้าน ค่าครองชีพ—หัวใจของเศรษฐกิจครัวเรือน—กระทรวงพาณิชย์ประกาศเดินหน้า มหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี เป้าหมาย ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาท/ปี พร้อม “ดีลใหญ่” ในภาคสุขภาพ MOU กับ โรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่ง ให้ เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน และ เปิดทางเลือกให้ซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล ซึ่ง คาดลดรายจ่ายประชาชนได้ราว 32,400 ล้านบาท/ปี ทั้งยังช่วย ลดความแออัดโรงพยาบาลรัฐ และเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วยความเชื่อมั่นใน ความโปร่งใสของราคา

เสียงสะท้อนจากเอกชนสุขภาพ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุสมาคมฯ ยินดีร่วมมือ ชี้หลายโรงพยาบาลประกาศราคาและส่งข้อมูลดิจิทัลให้กระทรวงอยู่แล้ว และพร้อมยกระดับให้ “เห็นชัด ประกอบการตัดสินใจได้จริง” โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จะมีการประชุมหารือรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์

ภาพใหญ่ของมาตรการนี้สอดคล้องกับบริบทตลาด ttb analytics ที่ประเมินว่า รายได้รวมภาคโรงพยาบาลเอกชนปี 2567 แตะ 3.22 แสนล้านบาท โตต่อเนื่องจากโครงสร้างประชากรและความต้องการบริการสุขภาพ—จังหวะนโยบายจึงมุ่ง เพิ่มทางเลือกและความโปร่งใส เพื่อลดภาระประชาชน โดยไม่บั่นทอนมาตรฐานการให้บริการของเอกชน

5) รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โฟกัส “ข้าว” และการเชื่อมส่งออก

สำหรับภาคเกษตร—กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจฐานราก—กระทรวงวาง แพ็กเกจเสถียรภาพราคา โดยเฉพาะ ข้าว ที่คาดผลผลิตปีนี้ 21.8 ล้านตัน และมี สต๊อก 3.5 ล้านตัน มาตรการประกอบด้วย สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อชะลอการขาย, บทบาทสหกรณ์รับสต๊อก, ช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ส่งออก จะเร่งการขายทั้ง จีทูจีกับจีน (ขึ้นจาก 280,000 ตัน 500,000 ตัน) และการทำ MOU กับญี่ปุ่น–สิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตา

เหนือมาตรการเชิงปริมาณ กระทรวงยังผลักดัน การปรับตัวสู่พืชคุณภาพสูง—เช่นสินค้าที่มี GI หรือพืชที่ตลาดเฉพาะต้องการ—เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันราคาต่ำและความผันผวนสภาพอากาศ ซึ่งจะยกระดับ รายได้ต่อไร่ มากกว่าการยึดติดแต่ปริมาณผลผลิต

6) เสริมแกร่ง SMEs เปิดตลาดยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีการค้า

SMEs ไทยเป็นทั้ง ผู้จ้างงานหลัก และ ต้นทางนวัตกรรมท้องถิ่น นโยบายจึงมุ่งสามแนว

  1. เข้าถึงตลาดใหม่—เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา—ผ่านเครื่องมือทูตพาณิชย์และโครงการเจรจาเฉพาะภูมิภาค
  2. ยกระดับคุณภาพความน่าเชื่อถือ ด้วยตรารับรองอย่าง Thailand Trust Mark และ Thai SELECT เพื่อให้ “แบรนด์ไทย” ข้ามพรมแดนได้ง่าย
  3. เครื่องมือดิจิทัลของรัฐ ผ่านแพลตฟอร์ม “MOC+” เป็น One-Stop ให้ SMEs เข้าถึงข้อมูลสิทธิประโยชน์คำปรึกษาสินเชื่อได้สะดวกขึ้น ลดต้นทุนเวลาในการทำธุรกรรมกับรัฐ

7) ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์อุปสงค์อุปทาน และดัน e-Commerce ท้องถิ่นสู่สากล

บนสนามกฎระเบียบ กระทรวงตั้งเป้า ไล่เคลียร์อุปสรรค ที่ขัดการทำธุรกิจ และนำ AI มาช่วย เก็บวิเคราะห์ข้อมูลอุปสงค์–อุปทาน เพื่อออกมาตรการเท่าทันสถานการณ์อย่าง แม่นเร็วตรงจุด ควบคู่กับการขยาย ช่องทาง e-Commerce ให้ สินค้าท้องถิ่น เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศ—จาก OTOP สู่ “Global Niche Brand” ที่ขายเรื่องราวและมาตรฐานมากกว่าราคาต่อชิ้น

“Quick Big Win” ที่ไม่ใช่แค่คำ จากตัวชี้วัดสู่ผลลัพธ์ครัวเรือน

คำว่า Quick Big Win จะเป็นแค่วาทกรรมไม่ได้—กระทรวงจึงชูตัวชี้วัดที่ เห็นผลในชีวิตจริง

  • ยาและเวชภัณฑ์  หาก MOU กับเอกชนเดินเต็มรูปแบบ การเปิดเผยราคาและทางเลือกซื้อยานอก จะ ลดรายจ่ายได้กว่า 3.2–3.4 หมื่นล้านบาท/ปี ตามกรอบที่ประกาศ พร้อมช่วย ลดแออัด รพ.รัฐ
  • ทุจริตเอกสารการค้า  ดิจิทัล C/O ทำให้คดียุบจาก หลักร้อย 5 → 0 ในสองปี—คือการฟื้น เครดิตการค้าไทย ด้วยข้อมูลจริง
  • AD เร็วขึ้น  จาก 12–18 เดือน เหลือ 9 เดือน—คือการลด ความเสียหาย ผู้ประกอบการในโลกการแข่งขันกดดันสูง
  • ธงฟ้า 1,300 ครั้ง ลด ภาระค่าครองชีพ 5,000 ล้านบาท/ปี—ตัวเลขที่สะท้อนการส่งแรงช่วยตรงถึงกระเป๋าประชาชน

หากย้อนมองจาก “เชียงราย” เมืองชายแดนเกษตรท่องเที่ยว

สำหรับ เชียงราย และกลุ่มจังหวัด ล้านนาตะวันออก นโยบายชุดนี้มีผลที่จับต้องได้หลายมิติ

  1. การค้าชายแดน การรักษาช่องทางค้าข้ามแดน—ทั้งทดแทนและเพิ่มเติม—สำคัญต่อเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงของ–แม่สาย การบุกตลาดตะวันออกกลางเอเชียใต้ เชื่อมกับ โลจิสติกส์ระบบราง ที่กำลังเปิดหน้าใหม่ จะต่อท่อโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมากขึ้น
  2. เกษตร เชียงรายเป็น “ฐานข้าว–พืชคุณภาพ–กาแฟ–ชา” มาตรการชะลอขาย–สหกรณ์–ผลักดัน GI/พรีเมียม จะช่วยให้ ราคาหน้าฟาร์มมีเสถียรภาพ และยก มูลค่าเพิ่ม ในสินค้าที่มีเรื่องเล่าและแหล่งกำเนิดชัด
  3. SMEs–ท่องเที่ยว ตรารับรองแพลตฟอร์ม MOC+ และ e-Commerce จะช่วยให้แบรนด์ท้องถิ่นเข้าถึงลูกค้าไกลกว่าตลาดเดิม ขณะที่แพ็กเกจ FTA/ตลาดใหม่ สามารถกลายเป็น “รันเวย์สู่ต่างประเทศ” ของผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงราย
  4. ค่าครองชีพ–สุขภาพ ทางเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาลเอกชน—เมื่อขยายครอบคลุมจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดน—จะช่วย ลดค่าใช้จ่ายฉับพลัน ให้ครัวเรือน โดยไม่ต้องรอคิวในระบบรัฐในกรณีโรคทั่วไป

เสียงสะท้อนและโจทย์ต่อไป

แม้สมาคมโรงพยาบาลเอกชนจะ ยินดีร่วมมือ แต่ก็สะท้อนความจริงว่า ต้นทุนโรงพยาบาลเอกชนต่างจากร้านยาภายนอก (เภสัชกร มาตรฐานเก็บรักษา ระบบควบคุมคุณภาพ) จึงต้องออกแบบมาตรการให้ สมดุล—โปร่งใส—แข่งขันเป็นธรรม เพื่อให้คุณภาพการรักษาไม่ถดถอย ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐจำเป็นต้อง สื่อสารข้อมูลราคา ให้ประชาชนเข้าใจบริบทต้นทุน เพื่อการตัดสินใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ด้าน FTA แม้เป็น รันเวย์ระยะยาว แต่ความสำเร็จขึ้นกับ ศักยภาพแข่งขัน ภายในประเทศ—ตั้งแต่ กฎระเบียบอำนวยความสะดวก, โลจิสติกส์–ดิจิทัล, ไปจนถึง ทักษะแรงงาน ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ถ้าการเปิดตลาดเร็วกว่า ยกระดับขีดความสามารถ ไทยอาจเจอ “การบ้านในบ้าน” ที่หนักหน่วงพอกัน

เมื่อ Quick Win ต้องวางคู่กับ “ฐานยั่งยืน”

ท้ายที่สุด ศุภจี สรุปทิศทางว่า “สิ่งที่ขับเคลื่อนวันนี้ ไม่ใช่แค่ Quick Win แต่คือการ วางรากฐาน ที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน”—คำกล่าวที่วางกรอบการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในบทบาท ตัวเชื่อม” ระหว่างครัวเรือนไทย–ผู้ประกอบการ–ตลาดโลก

ในห้วงเวลาที่ครัวเรือนเผชิญค่าครองชีพสูง—ตั้งแต่ตะกร้าสินค้าจนถึงค่ายา—นโยบายที่ ลดรายจ่ายทันที ควบคู่กับการ ต่อท่อรายได้ใหม่ จาก FTA และตลาดเกิดใหม่ คือสูตรที่ รักษาลมหายใจระยะสั้น และ บ่มเพาะความแข็งแรงระยะยาว ไปพร้อมกัน

หาก ตัวเลขคดี C/O ปลอมเหลือศูนย์, AD เร็วขึ้นเป็น 9 เดือน, ธงฟ้าลดค่าใช้จ่ายได้ตามเป้า, และ MOU ด้านยาสุขภาพ ขยายครอบคลุมจนประชาชนรู้สึกได้จริง—“Quick Big Win” จะกลายเป็นมากกว่าวลีในสไลด์ แต่เป็น การเปลี่ยนสมการชีวิตของผู้คน ที่ปลายทางของนโยบาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ (Ministry of Commerce, Thailand)
  • กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
  • กรมการค้าภายใน
  • กรมการค้าต่างประเทศ
  • สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์/พาณิชย์จังหวัด
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) / กรมการค้าต่างประเทศ
  • สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics)
  • Hfocus/สื่อสาธารณสุขเชิงนโยบาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“โฮงยาไทย Premium Clinic” กลางเซ็นทรัล นำร่องบริการสุขภาพถึงมือถึงชุมชน

เชียงรายพลิกโฉมบริการสุขภาพ “ถึงมือ-ถึงใจ-ถึงชุมชน” เซ็นทรัล เชียงราย จับมือ ‘โฮงยาไทย’ เปิด ‘ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร’ นำร่องลดแออัดโรงพยาบาล เชื่อมประสบการณ์การรักษาเข้ากับวิถีชีวิตเมือง

เชียงราย, 29 กันยายน 2568 เสียงปรบมือดังก้องลานชั้น 2 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ในบ่ายวันอาทิตย์—ภาพของแพทย์ พยาบาล ผู้บริหารศูนย์การค้า และประชาชนที่หลั่งไหลมารอรับฟังข่าวดี สะท้อน “จุดตัดสำคัญ” ของระบบสุขภาพจังหวัดบนดอย เมื่อ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หรือที่คนเมืองเรียกติดปากว่า “โฮงยาไทย” ประกาศความร่วมมือกับ เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ภายในศูนย์การค้า—บริการแพทย์คุณภาพที่เลื่อนไหลไปกับจังหวะชีวิตในเมือง โดยตั้งเป้าช่วย “กระจายภาระ” ผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลหลัก ลดระยะรอคอย และเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการสำหรับคนเชียงรายและจังหวัดรอบข้างอย่างเป็นรูปธรรม

 “MOU” กลางเมือง เมื่อโรงพยาบาลไปหาประชาชน

ความร่วมมือครั้งนี้ “ไม่ใช่เพียงเช่าพื้นที่” หากคือการออกแบบประสบการณ์สุขภาพใหม่ทั้งระบบ จุดยืนชัดจากโพสต์ทางการของโรงพยาบาลที่ระบุการลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง โฮงยาไทย กับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเตรียมเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic” ซึ่งพัฒนาต่อยอดเป็น ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ให้บริการตรวจสุขภาพ เจาะเลือด วัคซีน และปรึกษาแพทย์โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ภายในโลเคชันที่เดินถึงง่าย จอดรถสะดวก และเชื่อมต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองโดยตรง

การเคลื่อนย้าย “บริการหน้าเคาน์เตอร์” มาไว้ใน “ศูนย์กลางการใช้ชีวิต” สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Center of Life ของผู้พัฒนาศูนย์การค้าอย่าง Central Pattana (CPN) ที่ประกาศบทบาทศูนย์การค้าเป็นแพลตฟอร์มสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่เพียงการจับจ่าย ซึ่งเมื่อบรรจบกับบริการสุขภาพ จะสร้าง “ประสบการณ์ที่จำเป็น” ใกล้มือประชาชนยิ่งขึ้น

โรงพยาบาลใหญ่—ผู้ป่วยนอกล้น ระบบนัดแน่น

“การรอคอย” คือความจริงที่คนไข้รับรู้ร่วมกัน โฮงยาไทยในฐานะ โรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิ มีขนาดเตียงใช้งานจริงกว่า 800 เตียง—ตัวเลขสะท้อนภาระงานที่สูงของจังหวัดชายแดนที่เป็น “แม่เหล็ก” ให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนทั้งในจังหวัดและพื้นที่ข้างเคียง ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงผู้ป่วยใน 821 เตียง (รวม ICU หลายสาขา) ซึ่งอยู่ในระดับโรงพยาบาลศูนย์ชั้นนำของภูมิภาคเหนือ

แนวโน้มระดับประเทศก็ชี้ว่าโรงพยาบาลใหญ่กำลังปรับตัวเพื่อลดความแออัดผู้ป่วยนอก (OPD) ผ่าน Telemedicine และการกระจายจุดบริการ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้รับบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ยต่อวันของโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงจาก 23,022 คน/วัน (ปี 2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (ปี 2567) หลังหน่วยบริการเร่งใช้เครื่องมือดิจิทัลและรีดีไซน์เส้นทางบริการ—ตัวเลขที่สอดรับกับทิศทาง “ดึงบริการเบา” ออกจากโรงพยาบาลหลัก เพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยหนักและซับซ้อนมากขึ้น

ดังนั้น ศูนย์ตรวจสุขภาพที่ “ไปหา” ประชาชนในห้าง จึงไม่ใช่แฟชั่น หากเป็น “การปฏิรูปเชิงพื้นที่” ให้บริการป้องกันโรคและดูแลโรคไม่รุนแรงใกล้บ้าน เพื่อให้โรงพยาบาลหลัก “ว่างพอ” สำหรับกรณีฉุกเฉินและซับซ้อน—คลี่ปมหลักของระบบ

ตรวจ เจาะ วัคซีน ปรึกษาแพทย์—ครบวงจรในจุดเดียว

จากข้อมูลประชาสัมพันธ์ของเซ็นทรัล เชียงรายและเครือข่ายท้องถิ่น บริการหลักของ ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ประกอบด้วย
1) โปรแกรมตรวจสุขภาพและ การตรวจโลหิต (Blood Work) สำหรับคัดกรองความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
2) วัคซีน จำเป็นตามช่วงวัย และตามฤดูกาล เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน
3) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ครอบคลุมเวชปฏิบัติทั่วไป เวชศาสตร์ครอบครัว รวมถึงการบูรณาการแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนจีนกับเวชกรรมสมัยใหม่ ให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การเลิกบุหรี่ และสุขภาวะองค์รวมในคนทำงานและผู้สูงอายุ

ทิศทาง “แพทย์บูรณาการ” ไม่ใช่เรื่องใหม่ในนโยบายสาธารณสุขไทย ช่วงหลัง กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่าง กรมการแพทย์ และ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อผสาน “ตะวันตก–ตะวันออก” ให้บริการตอบโจทย์ปัจเจก—แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดสู่ระดับพื้นที่ผ่านคลินิกปฐมภูมิและบริการส่งเสริมสุขภาพในเมืองอย่างต่อเนื่อง

ทำเลและเวลา สุขภาพที่ไม่ต้อง “ลางานทั้งวัน”

การตั้งจุดบริการในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ทำให้ประชาชนสามารถ “ตรวจ–ฉีด–ปรึกษา” ควบคู่กับภารกิจประจำวัน ลดต้นทุนแฝงจากการเดินทางและการรอคอย โดยแนวปฏิบัติของโฮงยาไทยก่อนหน้านี้ก็เคลื่อนบริการบางส่วนไปใกล้ชุมชน เช่น โครงการเจาะเลือดล่วงหน้าใกล้บ้าน ร่วมกับพันธมิตรแล็บในจังหวัดเพื่อย่นเวลา รอผลสั้น พบแพทย์ไว—กรอบคิดเดียวกับการเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพ ในห้าง ที่พยายาม “วางเส้นทาง” ให้สั้นและง่ายที่สุดสำหรับประชาชนที่ต้องการบริการป้องกันและติดตามโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้

ดุลยภาพใหม่ระหว่าง “คุณภาพ–ความสะดวก–ความเท่าเทียม”

แม้ในงานเปิดตัวจะเน้นภาพรวมมากกว่าคำกล่าวยาว ๆ ของผู้บริหาร แต่สาระที่หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดสื่อสารตลอดปีที่ผ่านมา คือภารกิจ ยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน” และ ขยายจุดเข้าถึงวัคซีน–คัดกรอง เพื่อไล่ทันความเสี่ยงในทุกอำเภอ—การมี “แขนขา” ในห้างจึงช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวที่เดินห้างเป็นกิจวัตร พร้อมย้ำบทบาท “สาธารณสุขเชิงรุก” ในพื้นที่เมืองหลักของจังหวัด

ในอีกมุมหนึ่ง การจับมือครั้งนี้ยังสะท้อน “ดุลยภาพใหม่” ระหว่าง คุณภาพทางการแพทย์ ของโรงพยาบาลศูนย์ (ซึ่งมีศักยภาพเตียงรวมกว่า 800 เตียง และบุคลากรสหสาขาวิชาชีพครบถ้วน) กับ ความสะดวก และ ประสบการณ์ผู้ใช้บริการ ที่เครือเซ็นทรัลขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Center of Life—ทำให้บริการสุขภาพฐานราก “น่าไป” ไม่ใช่ “จำใจไป”

ข้อมูลชวนคิด ตัวเลขที่บอกว่า “ใกล้ขึ้น–เร็วขึ้น–คุ้มค่าขึ้น”

  • ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน หลังใช้ Telemedicine และออกแบบเส้นทางบริการใหม่—จาก 23,022 คน/วัน (2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (2567) สะท้อนว่าการ “ย้ายบริการเบาออกนอกอาคารใหญ่” มีผลลัพธ์จริงระดับระบบ
  • ศักยภาพเตียงโฮงยาไทย 821 เตียง คือทรัพยากรอันจำกัดที่ควรถูกใช้กับผู้ป่วยซับซ้อน—การให้บริการตรวจสุขภาพพื้นฐานและวัคซีนในเมือง จึงช่วย กันคิว ห้องตรวจและเตียงสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการความเชี่ยวชาญสูง
  • วาระการแพทย์บูรณาการ ระดับกระทรวง ทำให้ แพทย์แผนไทย/จีน ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโรคทั่วไปและส่งเสริมสุขภาพ—เหมาะกับบริการในห้างที่ต้องการความ “นุ่มนวล–เข้าถึงง่าย” แต่ยังคงมาตรฐานทางการแพทย์

จากจุดตั้งต้นสู่แผนขยาย ฐานรากของ “เมืองสุขภาวะ”

การเปิดศูนย์ตรวจสุขภาพในศูนย์การค้า ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่คือ “ฐาน” ของการขยายเครือข่ายบริการสุขภาพในเมือง—โมเดลที่อาจต่อยอดสู่ คลินิกเรื้อรังคงที่, มุมสุขภาพวัยทำงาน, บริการวัคซีนตามฤดูกาล หรือ กิจกรรมคัดกรองกลุ่มเสี่ยง เชิงรุกในวันหยุด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ สาธารณสุขจังหวัด ใช้มาต่อเนื่องผ่านการตั้งจุดบริการนอกโรงพยาบาลในพื้นที่ชุมชนและอำเภอรอบนอก

และเมื่อ ศูนย์การค้าสมัยใหม่ กลายเป็น “สนามปฏิบัติการ” ของสุขภาวะ เมืองย่อมได้ประโยชน์มากกว่าตัวเลขผู้ใช้บริการ—เพราะทุกกิจกรรมสุขภาพที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใช้สอยของห้าง ส่งต่อ รายได้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น (ร้านอาหาร–คาเฟ่–สินค้าเพื่อสุขภาพ) ขณะเดียวกันก็ช่วยบ่มเพาะ “วัฒนธรรมดูแลตัวเอง” ให้เป็น กิจวัตร มากกว่า ภาระ

เสียงสะท้อนจากชุมชน “โฮงยาไทย” ที่ใกล้ขึ้น

สื่อท้องถิ่นหลายสำนักและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในเชียงรายติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยพาดหัวร่วมกันว่า พรีเมียมคลินิกในห้าง—ทางเลือกใหม่เพื่อลดแออัด” พร้อมอธิบายขอบเขตบริการที่ “เหมาะกับอาการทั่วไปและโรคเรื้อรังคงที่” เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนกับบริการฉุกเฉิน ซึ่งยังต้องไปที่โรงพยาบาลหลักเหมือนเดิม—การสื่อสารเช่นนี้ช่วยปรับความคาดหวังของผู้ใช้บริการให้ตรงกับธรรมชาติของคลินิกในเมือง

นอกจากนี้ บัญชีทางการของ โฮงยาไทย ยังสื่อสารอย่างต่อเนื่องผ่าน Facebook Live ทั้งเรื่องก้าวต่อไปขององค์กร และบริการใหม่ ๆ เช่น Telehealth Center—เป็นสัญญาณว่าโรงพยาบาลกำลัง “เดินสองขา” ทั้ง ทางไกล และ ทางใกล้ เพื่อเพิ่มช่องทางบริการหลากหลายให้ประชาชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม

ความเสี่ยง–ข้อพึงระวัง คุณภาพมาตรฐานและการเชื่อมข้อมูล

แม้ศูนย์ในห้างจะตอบโจทย์ “เข้าถึงง่าย” แต่โจทย์เชิงเทคนิคสำคัญคือ การเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพ ระหว่างคลินิกในเมืองกับโรงพยาบาลหลัก ทั้ง แฟ้มเวชระเบียน, ผลแลบบนระบบ, ยานัดหมาย, และ การดูแลต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยเรื้อรัง—หากออกแบบระบบดี จะทำให้ผู้ป่วย ตรวจ–รับยา–ติดตาม ได้ในเมือง และกลับโรงพยาบาลเฉพาะเมื่อจำเป็น ซึ่งโฮงยาไทยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับแล็บเครือข่ายและการนัดหมายล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงมีฐานข้อมูลพร้อมต่อยอดสู่บริการในห้างได้รวดเร็ว

อีกด้าน มาตรฐานความปลอดภัย ของการให้บริการในพื้นที่ศูนย์การค้า ต้องคงคุณภาพเทียบเท่าพื้นที่โรงพยาบาล ทั้งการควบคุมการติดเชื้อ การจัดการเวชภัณฑ์ และระบบส่งต่อฉุกเฉิน—ซึ่งการมี พันธมิตรภาคเอกชน ที่มีระบบบริหารจัดการพื้นที่เข้มแข็ง (เช่น CPN) ช่วยลดความเสี่ยงปฏิบัติการในวันแรก ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

เมืองที่ “กอดสุขภาพ” ไว้ในชีวิตประจำวัน

เมื่อเรื่องเล่ามาถึงฉากสุดท้าย—เชียงรายกำลังวางรากฐาน เมืองสุขภาวะ” ด้วยการเหลื่อมซ้อนบริการสาธารณสุขลงบนพื้นที่ชีวิตจริง บนทางเดินที่ใคร ๆ ก็แวะได้ โฮงยาไทยยังคงเป็น แบ็กโบน ของการรักษาระดับสูง ส่วน ศูนย์ตรวจสุขภาพในห้าง รับช่วงงานป้องกัน–คัดกรอง–ติดตามอาการทั่วไป—นี่คือ ระบบสองชั้น ที่พยายามส่ง “ทรัพยากรแพทย์” ไปอยู่ “ที่ถูกที่–ถูกเวลา–ถูกคน”

และเมื่อประชาชน “พบหมอ” ง่ายขึ้น “ฉีดวัคซีน” ใกล้ขึ้น “เจาะเลือด” สะดวกขึ้น—ระบบสุขภาพทั้งจังหวัดก็จะ หายใจโล่งขึ้น เฉกเช่นอากาศยามเช้าบนดอยตุง

ข้อมูลสำคัญโดยสรุป

  • MOU โฮงยาไทย x เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic / ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ในห้าง—นำบริการตรวจสุขภาพ วัคซีน และปรึกษาแพทย์ใกล้ชุมชนเมือง เพื่อลดแออัดโรงพยาบาลหลักและเพิ่มการเข้าถึงบริการเชิงป้องกันของประชาชน
  • โฮงยาไทย = โรงพยาบาลศูนย์ ศักยภาพเตียง 821 เตียง (หลาย ICU)—ทรัพยากรสำคัญที่ควรถูกกันไว้สำหรับกรณีซับซ้อนและฉุกเฉิน การดึงบริการเบาออกนอกโรงพยาบาลจึงช่วยใช้เตียงให้ตรงภารกิจมากขึ้น
  • แนวโน้มประเทศ ผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์ลดลงต่อเนื่องหลังปรับใช้ Telemedicine และรีดีไซน์บริการ—ยืนยันประสิทธิผลของ “การกระจายจุดบริการ” และ “ดิจิทัลเฮลท์” ในการคลายคอขวดระบบ
  • นโยบายบูรณาการแพทย์ กรมการแพทย์จับมือกรมการแพทย์แผนไทยฯ ผลักดันบริการผสมผสาน—สอดรับบริการแพทย์แผนไทย/จีนในศูนย์ตรวจสุขภาพรูปแบบใหม่ในเมือง
  • สาธารณสุขจังหวัด ขับเคลื่อนวัคซีนพื้นฐานและงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก—การมีจุดบริการในห้างช่วยเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวได้มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • Central Chiangrai
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

มลพิษแรร์เอิร์ธเขย่าลุ่มน้ำกก-สาย-โขง จี้รัฐบาลใหม่ยุตินำเข้าแร่จากแหล่งเสี่ยง

มลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแรร์เอิร์ธ” เขย่าลุ่มน้ำกก–สาย–โขง เวทีจุฬาฯ ชำแหละช่องกฎหมาย ไทยถูกท้าทายทั้งในฐานะ “ผู้รับผลกระทบ” และ “ผู้ได้ประโยชน์” — จี้รัฐบาลใหม่ยุตินำเข้าแร่–ตั้งทีมรัฐ–ประชาชน–ดันเจรจาระดับภูมิภาค

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 26 กันยายน 2568 — เช้าวันที่สังคมการเมืองไทยกำลังจับตานโยบายเศรษฐกิจความมั่นคง แต่อีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง ณ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้องประชุมชั้น 4 อาคารประชาธิปก–รำไพพรรณี กลับคลาคล่ำไปด้วยเครือข่ายประชาชนจากลุ่มน้ำกก–สาย–โขง นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กฎหมายระหว่างประเทศ และผู้แทนฝ่ายนิติบัญญัติไทย จุดร่วมของทุกคนชัดเจน—มลพิษข้ามพรมแดน” จากเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมา ไม่ใช่ข่าวไกลตัวอีกต่อไป แต่คือประเด็นเร่งด่วนที่กระทบ น้ำกิน–น้ำใช้–อาหาร–รายได้–และศรัทธาต่อรัฐ ของประชาชนสองฝั่งพรมแดน

เวทีสัมมนาเรื่อง กรอบกฎหมายและกลไกระหว่างประเทศต่อมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ” จัดโดย คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ ศูนย์แม่โขงศึกษา จุฬาฯ และภาคีภาคประชาชนจากพื้นที่ชายแดน จุดประเด็นด้วยคำถามใหญ่ที่ทั้งคมและตรง: เมื่อสารปนเปื้อนจากกิจกรรมเหมือง “นอกเขตแดนไทย” ไหลบ่าเข้าสู่แม่น้ำสายสำคัญอย่าง กก–สาย–โขง และซึมลึกในห่วงโซ่อาหารไทย—เราจะปกป้องประชาชน–ระบบนิเวศ–เศรษฐกิจฐานราก อย่างไร ภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบัน

เสียงจากฝ่ายนิติบัญญัติ “อย่าปล่อยให้กฎหมายไทยอ่อนแรงต่อมลพิษข้ามแดน”

บนเวที นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม และ รองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา เขาระบุว่า การขุดแรร์เอิร์ธในเมียนมาเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะหลังปี 2564 และประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ใครเป็นเจ้าของเหมือง” เท่านั้น แต่อยู่ที่ “ผลกระทบข้ามพรมแดน” ที่ ไทยยังไม่มีกลไกกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ในการป้องกัน–รับมือ–เยียวยา

นี่ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือปัญหาโครงสร้างกฎหมายและธรรมาภิบาลระดับภูมิภาค เราต้องส่งเสียงในระดับอาเซียนและประชาคมโลก และในประเทศต้องมีมาตรการชัดเจน—ตั้งแต่การตรวจสอบการปนเปื้อนอย่างโปร่งใส จนถึงการทบทวนนำเข้าแร่จากแหล่งที่ไม่รับผิดชอบ” นายกัณวีร์กล่าว

น้ำเสียง “เร่งด่วน” ของรองประธาน กมธ.กฎหมายฯ สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ที่ตัวแทนชุมชนจาก รัฐคะฉิ่น–เชียงราย–แม่อาย นำหลักฐานและประสบการณ์ตรงขึ้นเล่า—น้ำประปาที่บางช่วงถูกเตือนให้หลีกเลี่ยง, ปลาในแม่น้ำที่ขายยาก, พืชผลบางชนิดถูกปฏิเสธจากผู้ซื้อ ด้วยความกังวลสารโลหะหนัก ขณะที่คำอธิบายจากหน่วยงานรัฐหลายครั้ง ไปคนละทิศ” กับความรู้สึก–ข้อเท็จจริงในพื้นที่

นักวิชาการเตือนไทยไม่ได้เป็น “ผู้เสียหาย” อย่างเดียว—เรายัง “ได้ประโยชน์” จากแร่ด้วย

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) นำเสนอข้อมูลที่ทำให้ห้องประชุมเงียบลงชั่วขณะ เมื่อระบุว่าในปัจจุบัน เมียนมาถูกประเมินว่าเป็นผู้ผลิตแรร์เอิร์ธ “ลำดับ 3 ของโลก” ท่ามกลางความต้องการส่วนผสมสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี–พลังงานสะอาด–ยานยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้รับผลกระทบ แต่ยังได้ประโยชน์จากการนำเข้าแร่” เธอย้ำว่า โครงสร้างนี้ทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น เพราะเกิด ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และ ไร้เจ้าภาพ” ในการรับผิดชอบ

สารปนเปื้อนจากเหมืองไม่ได้หยุดที่แม่น้ำ แต่มันไหลเข้าไปในชีวิตประจำวัน—น้ำดิบ–น้ำประปา–ปลา–ข้าว–ผัก และสะสมในร่างกาย เราจึงต้องถามตรง ๆ ว่า วันนี้น้ำกิน–น้ำใช้–อาหารของเราปลอดภัยจริงหรือไม่ และใครกล้ารับผิดชอบในระยะยาว”

ดร.สืบสกุลยกตัวอย่าง วาทกรรมภาครัฐ” ที่สร้างความสับสน: ระบุเตือนประชาชนให้งดใช้น้ำ แต่ พร้อมกันนั้นบอกว่า “ค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน” เธอชี้ว่าการสื่อสารลักษณะนี้ ไม่พูดความจริงทั้งหมด” เพราะมาตรฐานเป็นเพียง “ค่าเฉลี่ย ณ จุด–เวลา–ตัวอย่าง” ขณะที่ ผลสะสม” ของโลหะหนักในร่างกาย–ดิน–พืชผล เป็นอีกเรื่อง” และกระทบ ห่วงโซ่อาหาร อย่างยากจะควบคุม

10 ข้อเรียกร้องจากเครือข่ายประชาชน แผนเร่งด่วนจาก “ปลายน้ำ” สู่ “ต้นน้ำ”

เวทีจบลงด้วย ข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ที่ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการทันที โดยมีทั้งมาตรการเชิงพื้นที่และเชิงโครงสร้าง ได้แก่

  1. ตรวจหาสารปนเปื้อนในดิน พื้นที่เกษตร 12,000 ไร่ ในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนฤดูกาลเพาะปลูก (ต.ค.)
  2. ตรวจข้าวนาปี ในจังหวัดเชียงราย ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านอาหาร
  3. จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ สำหรับผู้ใช้น้ำอย่างน้อย 55,000 ราย ในแม่น้ำกก–สาย–รวก โดยประเมินกรอบงบประมาณ 1,200 ล้านบาท
  4. ยกระดับการตรวจประปาหมู่บ้าน ให้สามารถตรวจโลหะหนักได้ต่อเนื่อง–เท่าทันสถานการณ์
  5. จัดหาแหล่งน้ำใหม่ ให้ชุมชนที่ต้องซื้อน้ำกิน เช่น ต.ท่าตอน ต.แม่นาวาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
  6. ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนัก ระดับพื้นที่ ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลแบบ “เรียลไทม์”
  7. ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน เพื่อวางแผน ปิดเหมือง (ในมิติเชิงการทูต/กฎหมาย) และ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
  8. ยกเลิกการสร้างฝายดักตะกอน ที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรืออาจก่อผลข้างเคียงต่อระบบนิเวศ
  9. เปิดเจรจากับเมียนมาและจีนอย่างเร่งด่วน ภายใต้กรอบทวิภาคี–พหุภาคี
  10. ยุติ/ทบทวนการนำเข้าแร่ ที่มีที่มาจากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบ โดยเฉพาะจุดผ่านแดน แม่สาย–แม่สะเรียง–แม่ฮ่องสอน และ ตรวจสอบเส้นทางการค้า–ผู้ได้รับประโยชน์–การส่งออกต่อไปประเทศที่สาม (มีการระบุว่าเกี่ยวข้อง “ไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท” ที่ต้องตรวจสอบแหล่งที่มา)

ในภาพรวม ข้อเสนอทั้ง 10 ฝากให้รัฐ ทำ 3 ชั้น” พร้อมกัน—คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน (สุขภาพ/น้ำ/อาหาร), รักษาศรัทธาตลาด (เชื่อมั่นสินค้าเกษตร), และ วางท่าทีระหว่างประเทศ (การเจรจา–มาตรการทางเศรษฐกิจ)

ทำไม “แรร์เอิร์ธ” จึงท้าทายระบบกฎหมาย–นโยบาย

แรร์เอิร์ธเป็นกลุ่มแร่สำคัญต่ออุตสาหกรรมยุคพลังงานสะอาด: แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV, กังหันลม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์–กลาโหม ความต้องการที่พุ่งขึ้นทำให้แหล่งผลิตในภูมิภาค ลุ่มน้ำโขง–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกจับตามอง ทว่า ห่วงโซ่อุปทานที่ยาว–กำกับดูแลยาก ทำให้ ต้นทุนภายนอก” (น้ำเสีย, ดินปนเปื้อน, สุขภาพชุมชน) ถูกผลักออกไปนอกงบประมาณบริษัท–ข้ามพรมแดน–และกลับมาคิดบัญชีกับสังคมในรูป ค่าใช้จ่ายสาธารณะ (รักษาพยาบาล–น้ำประปา–เยียวยา–โครงสร้างพื้นฐานใหม่)

ในเชิงกฎหมาย–สถาบัน นี่คือโจทย์ มลพิษไร้พรมแดน”: ประเทศผู้รับผลกระทบ ไม่มีเขตอำนาจโดยตรง ในการสั่งการเหมืองต่างแดน แต่ มีภารกิจ ต้องปกป้องประชาชนของตนเอง การอาศัยเพียง “มาตรฐานคุณภาพน้ำ–อาหาร” ในเขตแดนไทยจึงไม่พอ หาก ต้นน้ำ อยู่ต่างประเทศ และ ปลายน้ำ คือชีวิตคนไทย

ทางเลือกเชิงนโยบาย 3 ระยะเวลา–5 คานอำนาจ

เพื่อแปลงข้อเรียกร้องให้เกิดผลจริง นักวิชาการและภาคประชาชนบนเวทีเสนอ “กรอบเดินงาน” ที่สรุปใจความได้ดังนี้

ระยะสั้น (0–6 เดือน):

  • สารสนเทศ–ความโปร่งใส: ปรับระบบสื่อสารความเสี่ยงให้ “พูดความจริงทั้งหมด” — รายวัน/รายสัปดาห์ของค่าตรวจโลหะหนักในน้ำ–ดิน–ปลา–ข้าว, แผนที่จุดเสี่ยง, ข้อมูลภาษาคู่ (ไทย–ชนเผ่า)
  • สุขภาพ–น้ำ–อาหาร: ดำเนินการตามข้อ 1–6 ให้ครบ: ตรวจดิน 12,000 ไร่, ตรวจข้าวนาปีเชียงราย, ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนัก, หาแหล่งน้ำดิบใหม่ให้ 55,000 ครัวเรือน พร้อมงบประมาณเบื้องต้น 1,200 ล้านบาท
  • การค้า–ตลาด: จัดทำฉลาก/เอกสารรับรองผลตรวจเป็นรอบ ๆ ช่วยผู้ผลิตในพื้นที่ฟื้นความเชื่อมั่นตลาด

ระยะกลาง (6–24 เดือน):

  • คณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน (ข้อ 7): มีอำนาจเสนอคำสั่ง/มาตรการเฉพาะพื้นที่–ข้ามหน่วยงาน, กำกับการเยียวยา
  • กำกับห่วงโซ่แร่: ออก “บัญชีดำ” เหมือง/ผู้ค้า/ผู้นำเข้าที่ไม่ตรวจสอบได้, บังคับใช้กติกา Due Diligence ในการนำเข้าวัตถุดิบเหมือง
  • การทูตเชิงรุก (ข้อ 9): ตั้งโต๊ะคุยเมียนมา–จีน–ลาว ภายใต้กรอบแม่น้ำโขง/อาเซียน–MRC, แลกข้อมูลตรวจวัด–กำกับเหมือง–แผนฟื้นฟู

ระยะยาว (2–5 ปี):

  • กฎหมายแม่บทมลพิษข้ามแดน: เติม “เขี้ยวเล็บ” ให้รัฐไทยใช้มาตรการทางการค้า–สิ่งแวดล้อมกับสินค้าที่ก่อมลพิษต้นทางต่างแดน (จัดเก็บ/ห้าม/จำกัด) โดยไม่ขัดพันธกรณีระหว่างประเทศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนแร่: ลงทุน รีไซเคิลแรร์เอิร์ธ–นวัตกรรมนำกลับ ลดการพึ่งพาแร่ดิบต้นทางที่เป็นความเสี่ยงเชิงนิเวศ–ภูมิรัฐศาสตร์

คานอำนาจ 5 ตัว ที่ต้องใช้พร้อมกัน: (1) วิทยาศาสตร์ข้อมูล, (2) กฎหมาย–มาตรการการค้า, (3) การทูตพหุภาคี, (4) การมีส่วนร่วมของประชาชน, และ (5) งบประมาณฉุกเฉิน–เยียวยา

น้ำเสียงจากพื้นที่ เมื่อ “ความไม่แน่ใจ” แพงกว่าทุกอย่าง

เครือข่ายประชาชนจาก คะฉิ่น–เชียงราย–แม่อาย ถ่ายทอดสภาวะร่วม: ความไม่แน่ใจ ว่าน้ำที่ดื่ม–ข้าวที่กิน–ปลาที่จับ “ปลอดภัยจริงหรือไม่” ทำให้ค่าใช้จ่ายครัวเรือนพุ่งขึ้น (ซื้อน้ำ/เดินทางไปตรวจ) ขณะรายได้จากพืชผล–ประมงลดลงเพราะความเชื่อมั่นตลาดสั่นคลอน ความไม่แน่ใจ” จึงกลายเป็นภาษีที่มองไม่เห็น สะสมดอกเบี้ยทางเศรษฐกิจ–สังคม–สุขภาพ

“เราไม่ได้ขออะไรเกินจริง แค่ขอให้รัฐพูดตามตรง และทำตามหน้าที่—ตรวจ–เปิดเผย–ปกป้อง–เยียวยา—ให้ไวและจริงจัง” ตัวแทนชุมชนกล่าวบนเวที

มุมกฎหมายระหว่างประเทศ ไทยยืนตรงไหนบนสมการ “อธิปไตย–สิทธิมนุษยชน–สิ่งแวดล้อม”

ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชี้ว่า แม้หลักอธิปไตยทำให้ไทยไม่อาจสั่งการกิจกรรมในเมียนมาโดยตรง แต่กรอบระหว่างประเทศเปิดช่อง มาตรการฝั่งผู้นำเข้า (import-side measures) ที่ ชอบด้วยกฎหมายการค้า หากพิสูจน์ได้ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อ คุ้มครองชีวิต–สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม และใช้ อย่างไม่เลือกปฏิบัติ พร้อมกันนั้น การเจรจาพหุภาคีกับ ลาว–จีน–เมียนมา ภายใต้กรอบลุ่มน้ำโขง/อาเซียนสามารถผลักดัน กลไกแจ้งเหตุ–สอบสวน–แผนฟื้นฟูร่วม ที่ติดตามได้

ประเด็นชวนคิด (สำหรับผู้กำหนดนโยบาย)

  • ตัวเลข 55,000 ครัวเรือน–งบ 1,200 ล้านบาท: งบระดับนี้เทียบไม่ได้กับ “มูลค่าความเสียหายสะสม” หากปล่อยให้ความไม่แน่ใจดำเนินต่อไปอีกหลายฤดูกาลเพาะปลูก
  • ยุตินำเข้าแร่” เป็นคันโยก: การใช้ อำนาจทางเศรษฐกิจ น่าจะเป็นคันโยกที่รัฐบาลไทยมีมากสุดในการจูงใจให้เกิดการปรับพฤติกรรมต้นทาง แต่ต้องคู่กับ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ ที่โปร่งใส เพื่อไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมไทย “เปลี่ยนประตูนำเข้า” แล้วปัญหาเดิมยังอยู่
  • สื่อสารความเสี่ยงแบบผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่: สังคมยอมรับความจริงที่ซับซ้อนได้ หากรัฐกล้าพูดตรง–เร็ว–มีแผนรับมือ และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำกับตรวจสอบ

จากเวทีสัมมนาสู่โต๊ะ ครม.—ถึงเวลาตอบว่า “เราปกป้องคนของเราอย่างไร”

งานวันนี้ไม่ได้จบที่เสียงปรบมือ แต่วางการบ้านขนาดใหญ่ไว้ที่รัฐบาลใหม่: จะยุติการนำเข้าแร่จากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบหรือไม่—เมื่อใด—อย่างไร, จะยืนยันความปลอดภัยน้ำ–อาหารให้ประชาชนได้อย่างไร, จะเยียวยา–คุ้มครองเกษตรกรอย่างไร, และ จะวางท่าทีต่อเพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขงอย่างไร เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมโลกสีเขียว ไม่ทิ้งคนปลายน้ำ ไว้ข้างหลัง

ในห้องประชุมของจุฬาฯ วันนี้ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ นักวิชาการ และเครือข่ายชุมชนได้คลี่แผนที่และชี้พิกัดแล้วว่า เส้นทางสั้น–กลาง–ยาว” คืออะไร เหลือเพียง “เจตจำนง” ของรัฐและ ความสม่ำเสมอของการลงมือทำ ที่จะพิสูจน์ว่า ประเทศไทยสามารถยืนหยัดปกป้อง สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–เศรษฐกิจฐานราก ของประชาชนตนเองได้จริงเพียงใด ท่ามกลางคลื่นอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธที่โหมกระหน่ำทั้งภูมิภาค

สาระย่อ “10 ข้อเรียกร้อง”

  1. ตรวจดิน 12,000 ไร่ (อ.แม่อาย) ก่อนเข้าฤดูปลูก
  2. ตรวจข้าวนาปี (เชียงราย) ก่อนเก็บเกี่ยว
  3. หาแหล่งน้ำดิบใหม่ให้ 55,000 ราย (กก–สาย–รวก) งบ 1,200 ล้านบาท
  4. ยกระดับประปาหมู่บ้านตรวจโลหะหนักได้
  5. หาแหล่งน้ำใหม่ให้ ต.ท่าตอน–ต.แม่นาวาง (แม่อาย)
  6. ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนักในพื้นที่
  7. ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน ปิดเหมือง–เยียวยา
  8. ยกเลิกฝายดักตะกอน
  9. เปิดเจรจาเมียนมา–จีน เร่งด่วน
  10. ยุติ/ทบทวนการนำเข้าแร่จากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบ ตรวจเส้นทางการค้า–ผู้ได้ประโยชน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
  • ศูนย์แม่โขงศึกษา และสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) — ข้อสังเกตทางวิชาการและข้อเสนอเชิงนโยบายโดย ดร.สืบสกุล กิจนุกร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายพร้อมหรือยัง? Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่จุดหมายสุขภาพโลก

Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่ “จุดหมายสุขภาพ” ระดับโลก—เชียงรายพร้อมหรือยัง?

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท ค่อย ๆ เงียบลงเมื่อพิธีเปิดเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้น “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) ต้องจับมือกันแน่นขึ้น—จากเชียงรายถึงเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง” นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเปิด โดยมี นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย และตัวแทนราชการ-เอกชน-ประชาสังคม 4 จังหวัดเข้าร่วมกว่า 200 คน วาระสำคัญบนโต๊ะ จะเปลี่ยน “ศักยภาพ” ของภาคเหนือให้เป็น “มูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์” อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยหนึ่งในสี่อุตสาหกรรมเป้าหมายคือ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งเชื่อมตรงสู่ Medical Tourism ในระดับประเทศ

ไทย—จากจุดหมายท่องเที่ยวสู่จุดหมายสุขภาพ

สองทศวรรษหลังเปิดยุทธศาสตร์ “Medical Hub” ประเทศไทยเดินเกมต่อเนื่อง—ยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชน, ขยายบริการเฉพาะทาง, รับรองคุณภาพสากล, เสริมโครงสร้างสนามบิน–วีซ่า–บริการล่าม–รถรับส่ง—จน “การรักษา + การพักผ่อน + การพักฟื้น” หลอมรวมเป็นประสบการณ์เดียว จุดเด่นของไทยยังเหมือนเดิมแต่คมขึ้น: คุณภาพการรักษา, ราคาคุ้มค่า, บริการมืออาชีพและเป็นมิตร ขณะที่ตลาดโลกเปลี่ยนเร็ว ผู้ป่วยต่างชาติไม่ได้มองหาการผ่าตัดอย่างเดียว แต่ยังสนใจ ศัลยกรรมความงาม–ชะลอวัย, ทันตกรรม, IVF, หัวใจ–กระดูก–สันหลัง, ไปจนถึง แพทย์ฟื้นฟู/เวชศาสตร์ชะลอวัย และ wellness แบบองค์รวม

แม้ตัวเลขมูลค่าตลาดจากแต่ละสำนักวิจัยต่างกัน (เพราะคำนิยามคนละชุด—Medical vs Health/Wellness) แต่ “ทิศทาง” สอดคล้องกัน เติบโตเร็ว, ตัวยืนใหม่เพิ่ม, ผู้ป่วยพักนาน–ใช้จ่ายนอกการแพทย์สูง, และ อาเซียน–ตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–จีนตอนใต้ เป็นฐานลูกค้าหลัก หากมองทั้งห่วงโซ่ คุณค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้อยู่แค่ “ค่ารักษา” แต่อยู่ใน ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม–แพ็กเกจพักฟื้น–สปาทางการแพทย์ ซึ่งทำให้ “เมืองปลายทาง” เป็นผู้เล่นตัวจริง ไม่ต่างกับโรงพยาบาล

NEC–Creative LANNA เวทีที่เชียงรายต้องคว้า

นายนิพนธ์ นิยม อธิบายทิศทางการขับเคลื่อน NEC หลังมติ ครม. ที่วางโครงมาจากปี 2565–2566 เป้าประสงค์ 5 ด้านเพื่อกระจายความเจริญ ลดเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพชีวิต แข่งขันข้ามพรมแดน และเชื่อมโลก ผ่าน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย—อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (เช่น Movie Town), ดิจิทัล (Data Center/Cloud/คอนเทนต์), ท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, และ เกษตร–อาหาร (อินทรีย์/สารสกัด/นิคมอาหาร)

สำหรับ Medical/Wellness Tourism จุดแข็งของเชียงรายโดดเด่น

  • ทำเลชายแดน เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ (R3A) มีด่าน–ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน–ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งเชียงของ
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง รองรับเที่ยวบินภายในประเทศและศักยภาพเชื่อมเมืองหลักภูมิภาค
  • สินทรัพย์ท่องเที่ยว ธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ชุมชน–กาแฟ–ชา–งานหัตถกรรม
  • ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา สมุนไพร–นวดไทย–สปา–อาหารพื้นถิ่นสายสุขภาพ—ต่อยอดเป็น Wellness Retreat/Detox/Recovery Stay ได้ทันที

แต่ในสนาม Medical Tourism ความพร้อมต้องไปไกลกว่า “บรรยากาศดี–บริการดี”—เชียงรายจำเป็นต้อง “ปิดช่องว่าง” ต่อไปนี้ให้เร็วและพร้อมกัน

สิ่งที่เชียงรายยังขาด และต้องเร่งเติม

1) มาตรฐานสากลฝั่งสถานพยาบาล
เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติอย่างมั่นใจ โรงพยาบาล/คลินิกเฉพาะทางต้องมีมาตรฐานระดับสากล (เช่น JCI หรือเทียบเท่า) ในบริการแกน: ศัลยกรรมความงาม–ทันตกรรม–IVF–กระดูกสันหลัง–หัวใจ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู/ชะลอวัย วันนี้ เชียงรายยัง “พึ่งบริการเฉพาะทางระดับสูงจากหัวเมืองใหญ่” อยู่พอสมควร การยกระดับโรงพยาบาลจังหวัด/เอกชน และการดึงดูดพันธมิตรโรงพยาบาลเครือใหญ่จึงเป็น เกมเชิงรุก ที่ต้องทำคู่กัน

2) International Patient Center (IPC) แบบครบวงจร
ผู้ป่วยต่างชาติต้องการ “ผู้ช่วยส่วนตัว” ตั้งแต่ก่อนบินจนจบการติดตามผล: นัดหมายแพทย์, ประเมินความเหมาะสมเบื้องต้นทางเทคนิคการแพทย์, second opinion ออนไลน์, รับ–ส่งสนามบิน, ล่าม, อำนวยความสะดวกวีซ่าการแพทย์, ประสานประกันสุขภาพนานาชาติ, จัดที่พัก/อาหารเฉพาะโรค, เวชระเบียนภาษาอังกฤษ, และ digital follow-up หลังกลับประเทศ เชียงรายยังต้องตั้ง/ยกระดับ IPC ในโรงพยาบาลหลัก พร้อมมาตรฐานบริการเดียวกันทั้งเครือข่าย

3) ระบบการเงิน–ประกันต่างประเทศ
การเบิกจ่ายตรงกับ International Insurance/Assistance เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของการตัดสินใจผู้ป่วย (โดยเฉพาะตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–ยุโรป) เมืองปลายทางต้องมี ทีม Billing นานาชาติ, สัญญาเครือข่ายประกัน, และ DRG/ICD สากลที่แม่น—จุดนี้ยังเป็น gap ของหลายโรงพยาบาลหัวเมือง

4) บุคลากรภาษา–มาตรฐานเอกสาร
แม้แพทย์เก่ง แต่ถ้า touchpoint อื่น ๆ ภาษาไม่พร้อม—ประสบการณ์ผู้ป่วยจะสะดุดทันที จึงต้องมี ล่ามการแพทย์ (อังกฤษ–จีน–พม่า–ลาว–อาหรับ), เอกสารสองภาษา, แผงสื่อสารความเสี่ยง–ยินยอมรักษา (informed consent) มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง

5) โครงสร้างรองรับการพักฟื้น (Recovery/Wellness Stay)
นี่คือ “จุดต่าง” ที่เชียงรายสร้างความได้เปรียบได้เร็ว—โรงแรม/รีสอร์ต/โฮมสเตย์คุณภาพ ต้องร่วมกับโรงพยาบาลทำ แพ็กเกจพักฟื้น เฉพาะหัตถการ (อาหาร–กายภาพ–การพยาบาล–รถรับส่ง–แพทย์เยี่ยม–สปาเชิงการแพทย์) โดยมี Care Pathway ชัดเจนและความปลอดภัยเป็นฐาน

6) การตลาดปลายทางแบบ one story, many doors
ต้องมี แบรนด์ร่วม “Chiang Rai Health & Wellness” ที่เล่าเรื่องเดียวกันในหลายประตู: สถานพยาบาล–ผู้ให้บริการท่องเที่ยว–ตัวแทนการแพทย์ในต่างประเทศ–สายการบิน–OTA เพื่อให้ผู้ป่วยค้นเจอ “ข้อเสนอเดียวกัน–คุณภาพเดียวกัน–ราคาโปร่งใส” ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากช่องทางใด

7) ธรรมาภิบาล–สมดุลกับระบบสุขภาพท้องถิ่น
การเติบโตของ Medical Tourism ต้องไม่ดึงบุคลากรจากระบบรัฐมากเกินไปจนกระทบประชาชนในพื้นที่ จำเป็นต้องมี โควตา/แรงจูงใจ ที่รักษาสมดุล และ โครงการร่วมผลิต–พัฒนาบุคลากร ระหว่างรัฐ–เอกชน พร้อม แนวทางรับเรื่องร้องเรียน/ชดเชย ที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้สำหรับผู้ป่วยต่างชาติและคนไทย

เส้นทางสู่ความพร้อม แผน 3 ระยะที่ “วัดผลได้”

ระยะสั้น 0–12 เดือน “ย้ำหัวใจประสบการณ์ผู้ป่วย”

  • ตั้ง Chiang Rai International Patient Desk กลาง (ออนไลน์ + จุดบริการสนามบิน) เชื่อมโรงพยาบาลหลัก/โรงแรมพันธมิตร
  • คัด “5 สายผลิตภัณฑ์เรือธง” ที่ทำได้ทันที: ทันตกรรมด่วน, ศัลยกรรมเล็ก–ความงามเฉพาะ, โปรแกรมชะลอวัย/Detox, กายภาพ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู, โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน
  • Fast track เอกสาร 2 ภาษา, ล่ามการแพทย์, ระบบรับ–ส่ง, จับมือโรงแรมทำ Recovery Packages อย่างน้อย 10 ชุด
  • วัดผลด้วย จำนวนเคสต่างชาติ, คะแนนความพึงพอใจ, ค่าใช้จ่ายต่อเคส (ใน-นอกการแพทย์)

ระยะกลาง 12–36 เดือน  “ล็อกมาตรฐาน–ขยายบริการเฉพาะทาง”

  • พัฒนา/ดึงดูด ศูนย์เฉพาะทาง อย่างน้อย 2 ด้าน (เช่น กระดูกสันหลัง, IVF, เวชศาสตร์ฟื้นฟูชั้นสูง) สู่มาตรฐานสากล
  • ทำ สัญญาเครือข่ายประกันนานาชาติ 10–20 ราย, ตั้ง International Billing Unit ร่วม
  • สร้าง/ยกระดับ Wellness Campus (สมุนไพร–สปาการแพทย์–กายภาพ) เชื่อมชุมชนท้องถิ่น
  • วัดผลด้วย รายได้รวมห่วงโซ่, สัดส่วนเคสประกันนานาชาติ, อัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำ

ระยะยาว 36 เดือนขึ้นไป “ศูนย์กลางสุขภาพชายแดนตอนบน”

  • เป็นเจ้าภาพ งานประชุม/มหกรรม Health & Wellness ระดับอนุภูมิภาค (GMS/ล้านช้าง-แม่โขง)
  • พัฒนา ข้อมูลสุขภาพ–เวชท่องเที่ยว ระดับเมือง (แดชบอร์ดสาธารณะ) เพื่อนโยบายฐานข้อมูล
  • ตั้ง กองทุนพัฒนาสุขภาพจังหวัด จากรายได้อุตสาหกรรม เพื่อ “คืนกลับ” สู่ระบบสุขภาพประชาชน—ทำให้การเติบโต “ไม่ทิ้งใคร”

เสียงจากเวทีเชื่อมยุทธศาสตร์ให้ลงดิน

บนเวทีเวิร์กช็อป นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ ย้ำว่า “NEC จะสำเร็จได้ ต้อง ‘ทำงานร่วม’ ระหว่างรัฐ–เอกชน–ชุมชน—เชียงรายมีทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติพร้อม แต่เราต้องแปลงทุนให้เป็นบริการที่มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง” ขณะที่ นายนิพนธ์ นิยม ชี้เป้า “ห่วงโซ่คุณค่า” ว่า “ปีนี้เราจะเน้นสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมมากขึ้น ทั้งในมิติแพทย์แผนปัจจุบัน–แผนไทย–Wellness—และเชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้ประโยชน์ตรง”

แม้ไม่มี “คำตอบลัด” แต่ฉากหน้าเริ่มชัดเจน: เมืองชายแดนที่ เดินเกมมาตรฐาน–บริการไร้รอยต่อ–แพ็กเกจพักฟื้นที่ปลอดภัย–การตลาดร่วม จะชิงส่วนแบ่งตลาดได้เร็วกว่าคู่แข่ง—และที่สำคัญคือ ทำให้การเติบโตไม่ย้อนศรคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

ตัวเลขที่ชวนคิดชวนโฟกัส

  • รายงานตลาดบางสำนักประเมิน Health/Wellness Tourism ไทย แตะหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตในอัตราสูงมากเมื่อรวมบริการสุขภาวะ ขณะที่รายงานที่จำกัดเฉพาะ Medical Tourism ประเมิน หลักหลายร้อยล้าน–พันล้านดอลลาร์สหรัฐ—สะท้อนความต่างเชิงคำนิยามมากกว่าความคลาดเคลื่อนของข้อเท็จจริง
  • สัดส่วน Wellness ในตลาดสุขภาพอาเซียนถูกประเมินว่ามีส่วนแบ่งสูง (หลายฉบับระบุราว 70%+ ของภาพรวมสุขภาพ/การแพทย์รวมกัน) จึงเป็น “ทางด่วน” ที่เชียงรายสามารถขึ้นรถได้เร็ว—หากทำให้ ปลอดภัย–เป็นสากล–เชื่อมแพทย์ปัจจุบัน
  • ผู้ป่วยต่างชาติ non-medical spend (ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม) สูง—หมายถึง “รายได้เมือง” จะเกิดเมื่อเรามี แพ็กเกจพักฟื้น ที่คำตอบครบตั้งแต่รพ.ถึงโรงแรม ไม่ใช่ขาย “ค่าห้องผ่าตัด” เพียงอย่างเดียว

เชียงราย—จากคำถาม “พร้อมหรือยัง” สู่ “พร้อมอย่างไร”

คำตอบสั้น ๆ คือ พร้อมบางส่วน แต่ยังต้องเร่ง “เชื่อมจุด” จุดแข็งของเชียงราย—ทำเลชายแดน, สนามบิน, ทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติ, ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา—คือฐานที่ดีมาก เมื่อประกอบเข้ากับกรอบ NEC–Creative LANNA เมืองสามารถ “ยกระดับ” เป็น จุดหมายสุขภาพชายแดนตอนบน ได้จริง หากลงมือ 4 เรื่องใหญ่ พร้อมกัน:

  1. มาตรฐานสากล–ศูนย์เฉพาะทาง (เลือกไม่กี่เรือธงแล้วทำให้ชนะจริง),
  2. International Patient Center + ประกันนานาชาติ (ทำให้การเดินทางรักษาไร้รอยต่อ),
  3. แพ็กเกจพักฟื้นเชื่อมชุมชนอย่างปลอดภัย (เปลี่ยนโรงแรม–รีสอร์ตให้เป็น Recovery Partner), และ
  4. ธรรมาภิบาล–คืนกำไรสู่ระบบสุขภาพประชาชน (ให้คนเชียงรายได้ประโยชน์จากการเติบโต)

บนถนนสาย Medical Tourism เมืองที่ “เล่าเรื่องเดียวกัน—ให้บริการมาตรฐานเดียวกัน—คิดภาพรวมทั้งห่วงโซ่” จะไปได้เร็วและไกลกว่า คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า พร้อมหรือยัง แต่คือ พร้อมอย่างไร ให้ ได้มาตรฐาน และ ได้ส่วนแบ่ง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (20 ก.ย. 2565; 31 ม.ค. 2566)
  • จังหวัดเชียงราย / สำนักงานจังหวัดเชียงราย: เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ NEC (22–24 ก.ย. 2568) คำชี้แจงโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและหัวหน้าสำนักงานจังหวัด
  • กระทรวงสาธารณสุข: แผนยุทธศาสตร์ประเทศไทยศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ต่อเนื่องถึงแผน 2017–2026
  • Data Bridge Market Research: Thailand Health/Wellness Tourism
  • IMARC Group และ Credence Research: Thailand Medical Tourism
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สมาพันธ์โรงพยาบาลเอกชนไทย / ข้อมูลการรับรอง Joint Commission International (JCI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

อบจ.เชียงราย Kick off Telemedicine นำร่อง 5 อำเภอ ลดภาระเดินทางผู้ป่วย

อบจ.เชียงราย “Kick off Telemedicine” ตามนโยบาย ‘อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus’ เปิดนำร่อง 5 อำเภอ เชื่อมหมอ–ผู้ป่วยระยะไกล ลดภาระเดินทาง ยกระดับความเท่าเทียมด้านสุขภาพ

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 — แผนที่จังหวัดเชียงรายดูแคบลงทันทีที่ปุ่ม “เชื่อมต่อ” บนจอแท็บเล็ตถูกแตะ ภาพแพทย์จากโรงพยาบาลแม่ข่ายปรากฏขึ้น พร้อมเสียงทักทายผู้ป่วยที่กำลังนั่งอยู่ใน “โฮงยาใกล้บ้าน” ณ รพ.สต.ปลายทาง การแพทย์ทางไกลหรือ Telemedicine ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไป เมื่อ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้าเปิดโครงการ “Kick off Telemedicine ตามนโยบายอยู่ไหนก็ใกล้หมอ โฮงยาใกล้บ้าน Plus” อย่างเป็นทางการ ย้ำเป้าหมาย “เป็นธรรม–เข้าถึง–ต่อเนื่อง” ผ่านการบูรณาการภาคท้องถิ่นกับสาธารณสุขจังหวัด และเครือข่ายโรงพยาบาลแม่ข่ายในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดชายแดนเหนือสุดแดนสยาม

ทำไม “เชียงราย” จึงเหมาะเป็นสนามจริงของ Telemedicine

เชียงรายมีภูมิประเทศกว้างและหลากหลาย ระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลใหญ่สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือผู้ป่วยติดบ้าน คือ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ทั้งค่าเดินทาง เวลา และรายได้ที่หายไป ขณะเดียวกัน โครงสร้างดิจิทัลของสาธารณสุขจังหวัดเริ่มพร้อมมากขึ้น ทั้ง แพลตฟอร์มติดตามผู้ป่วย NCDs, ระบบอ้างอิงข้ามหน่วย (MOPH Refer) และ Health Station ที่กระจายถึงระดับชุมชน นี่คือเหตุผลเชิงระบบที่ทำให้ Telemedicine ในเชียงราย “มีโอกาสสำเร็จสูง” หากยึดมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูล คลินิกอลโควอร์แนนซ์ และการชดเชยค่าบริการตามเกณฑ์ สปสช. สำหรับบริการผู้ป่วยนอกทางไกล (OP telemed)

พิธีเปิดและภาพรวมโครงการ “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ” เริ่มเดินจริง

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ ที่ทำการ อบจ.เชียงราย โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้บริหารจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) และโรงพยาบาลเครือข่ายเข้าร่วม ระดับปฏิบัติการทดลองเชื่อมต่อในพื้นที่นำร่อง ครอบคลุม 5 อำเภอแรก ได้แก่ แม่จัน เมืองเชียงราย เทิง แม่ลาว และแม่สาย ซึ่งเป็นโซนที่มีทั้งเขตเมือง–กึ่งเมือง–ภูเขา เพื่อทดสอบการใช้งานในบริบทที่ต่างกัน ก่อนขยายผลสู่พื้นที่ที่เหลือทั้งจังหวัดตามแผนในไตรมาสถัดไป ข้อมูลเชิงนโยบายของ อบจ. ระบุชัดว่า “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus)” เป็น 1 ใน 7 เรือธงของแผนพัฒนาจังหวัดปี 2568–2569 ที่นายก อบจ.ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี 2568 และมีการสื่อสารสาธารณะต่อเนื่องผ่านช่องทางทางการของ อบจ.

นอกจากฝั่งท้องถิ่น ฝ่ายสาธารณสุขก็เดินเครื่องควบคู่ สสจ.เชียงราย จัดประชุมคณะทำงาน Telehealth/Telemedicine หลายครั้งในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568 เพื่อวางระบบ สนับสนุนบุคลากร และเคลียร์ประเด็นมาตรฐานข้อมูล–ความปลอดภัยไซเบอร์ โดยย้ำโจทย์ “ลดเหลื่อมล้ำ–เข้าถึงฉุกเฉิน–ต่อเนื่องการรักษา” ขณะอ้างอิงเกณฑ์และแนวทางของกรมการแพทย์สำหรับบริการแพทย์ทางไกลในคลินิกโรคเรื้อรังเป็นหลักฐานวิชาการรองรับการปฏิบัติ

จาก “แนวคิด” สู่ “ระบบ” ฐานข้อมูลจังหวัดที่พร้อมกว่าเดิม

สิ่งที่ทำให้เชียงราย “พร้อมกว่าที่คิด” คือข้อมูลผลการดำเนินงานด้าน Digital Health ที่สะท้อน การใช้งาน Telehealth–Telemed สะสมกว่า 9,800 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2568 (ข้อมูล ณ ไตรมาสกลางปี) และมีการใช้ Health Rider เพื่อรับ–ส่งยา/ดูแลต่อเนื่องกว่า 14,800 ครั้ง ขณะเดียวกัน เอกสารติดตามงานของจังหวัดระบุว่า รพ.สต.ในสังกัด อบจ. มีแผนพัฒนาบริการ Telemedicine เชื่อม โรงพยาบาลแม่ข่าย โดยติดตั้ง Health Station แล้ว 77 ชุด ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ ซึ่งเป็น “ฮาร์ดแวร์–ซอฟต์แวร์ชุมชน” สำคัญให้ Telemedicine เดินได้จริงในระดับหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่โรงพยาบาล

นอกจากนี้ ย้อนดูการประกาศสาธารณะช่วงปลายปี 2567 ยังพบว่า อบจ.เชียงรายเคยเปิดบริการแพทย์ทางไกลเชื่อม รพ.สต. 75 แห่ง เพื่อให้ผู้ป่วยห่างไกลวินิจฉัยกับแพทย์โดยตรง โครงการปีที่แล้วจึงทำหน้าที่เป็น “รุ่นทดลอง” ที่ช่วยไล่ปัญหาหน้างาน ก่อนยกระดับเป็น “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ในปีนี้ ซึ่งเป็นกลไก “ต่อยอดมากกว่าเริ่มใหม่” อย่างชัดเจน

ณ จุดหมายสำคัญ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง–ติดบ้านคือกลุ่มได้ประโยชน์ทันที

การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเริ่มจาก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ควบคุมไม่ได้ และ ผู้ป่วยติดบ้าน–ติดเตียง เพราะเป็นกลุ่มที่ “เดินทางยาก–เสี่ยงทรุด–ค่าใช้จ่ายสูง” ในเอกสารกำกับติดตามของเขตสุขภาพ ระบุว่าการให้บริการ Telemedicine สำหรับคลินิก NCDs และคลินิกเฉพาะทาง เช่น ผิวหนัง หรือ สุขภาพจิต ได้เริ่มปฏิบัติแล้วในบางเครือข่าย ขณะที่ โรงพยาบาลแม่สาย รายงานผลการให้บริการ Telemedicine ในคลินิก NCDs ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และยกระดับงานตามเป้าหมายตรวจราชการปี 2568 สะท้อนความต่อเนื่องของระบบจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน

ภาพปลายทางที่คาดหวังคือ ผู้ป่วย NCDs จะรับ การติดตามอาการ–ปรับยา–ให้คำปรึกษา ผ่านจุดบริการใกล้บ้าน ส่งผลให้โรงพยาบาลใหญ่ ลดความแออัด และทีมชุมชน–อสม.ทำงานได้ แม่นยำ ยิ่งขึ้น เพราะแพทย์เห็นผลตรวจพื้นฐานแบบเรียลไทม์ และสั่งการพยาบาล–นักวิชาชีพปลายทางได้ทันที (ตามแนวทาง DMS Telemedicine) นี่คือ “คลินิกเสมือน” ที่ต่อเข้ากับชีวิตจริงของครอบครัวชนบทบนภูเขาและชายแดน

จากห้องประชุมสู่ห้องนั่งเล่น” กรณีใช้งานและเวิร์กโฟลว์

  • ก่อนพบแพทย์: เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ชั่งน้ำหนักวัดความดันเจาะปลายนิ้วตรวจน้ำตาล (ถ้ามีคำสั่ง) อัปเดตข้อมูลเข้าแพลตฟอร์ม
  • ขณะพบแพทย์ทางไกล: จอภาพขึ้นพร้อมกันสามฝ่ายคนไข้, ทีม รพ.สต., และแพทย์โรงพยาบาลแม่ข่ายเพื่อซักประวัติ ปรับยา ให้คำแนะนำ
  • หลังพบแพทย์: ระบบเชื่อมต่อ รับยา–ส่งยา ผ่าน Health Rider/ช่องทางที่กำหนด ลดรอบเดินทางซ้ำของครอบครัว
  • กรณีฉุกเฉิน: มีทางลัดเรียก รถพยาบาล–1669 และส่งต่อเข้าโรงพยาบาล เมื่ออาการไม่ปลอดภัยตามเกณฑ์

เวิร์กโฟลว์นี้ผูกกับ เกณฑ์เบิกจ่ายบริการทางไกลของ สปสช. (OP telemed) เพื่อให้หน่วยบริการชุมชนและโรงพยาบาลสามารถ เคลมค่าบริการได้ถูกต้อง ลดปัญหา “ทำได้แต่เบิกไม่ได้” ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคในอดีต การขับเคลื่อนของเชียงรายจึง “ล้มช่องว่างเรื่องงบประมาณ” ไปพร้อมกับ “ล้มช่องว่างระยะทาง”

ช่วงทดลองภาคสนาม: ทำไมต้อง “แม่จัน–แม่สาย–เมือง–เทิง–แม่ลาว”

การเลือก 5 อำเภอ นอกจากจะครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่แล้ว ยังทดสอบ คุณภาพสัญญาณภูมิประเทศการเดินทาง ที่ต่างกัน เช่น พื้นที่ชายแดน–ภูเขาอย่างแม่สาย/แม่จัน กับพื้นที่ราบและเมืองอย่างอำเภอเมืองเชียงราย/แม่ลาว และโซนกึ่งภูเขาอย่างเทิง ทำให้ทีมเทคนิคสามารถ ไล่ปัญหาเชิงระบบ ได้ครบตั้งแต่สัปดาห์แรกของการใช้งานจริง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่พบได้จากการดำเนินการของ สสจ.เชียงราย ตลอดปีที่ผ่านมาในการขยายระบบดิจิทัลด้านสุขภาพไปพร้อม Telemedicine (เช่นการเชื่อมระบบติดตาม NCDs และการใช้ Health Platform อื่นของกระทรวง)

เสียงจากผู้บริหารเป้าหมายคือ “เข้าถึง–ยั่งยืน–ตรวจสอบได้”

บนเวทีเปิดตัว นายก อบจ.เชียงราย ย้ำแก่นโครงการว่า Telemedicine ภายใต้นโยบาย “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus” จะเน้น เข้าถึงบริการที่จำเป็น, ลดเหลื่อมล้ำพื้นที่, และ สร้างระบบติดตามผลที่ตรวจสอบได้ ผ่านแดชบอร์ดระดับจังหวัด พร้อมย้ำว่าการทำงานร่วมกับ สสจ.เชียงราย–โรงพยาบาลแม่ข่าย–รพ.สต. จะเดินหน้าอย่างเป็นระบบเพื่อขยายผลตลอดไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ทั้งนี้ แนวทางความร่วมมือระหว่าง อบจ. และ สสจ.ถูกสื่อสารต่อเนื่องในเพจทางการของทั้งสองหน่วย และมีการประชุมคณะทำงานแบบกำกับติดตามเป็นระยะในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568

ตัวเลขที่พูดแทน” หลักฐานว่าระบบกำลังเดิน

  • Telehealth–Telemed ทั้งจังหวัด: ดำเนินการแล้ว 9,898 ครั้ง (สะสมปีงบ 2568 ขณะรายงาน)
  • Health Rider ส่งยา–บริการต่อเนื่อง: 14,877 ครั้ง
  • Health Station: ติดตั้งแล้ว 77 ชุด ครอบคลุม 18 อำเภอ
  • สถานพยาบาลให้บริการ Telemedicine: โรงพยาบาลในสังกัดจังหวัด 17/18 แห่ง ผ่านเกณฑ์ของเขตสุขภาพ (94.44%)

ตัวเลขเหล่านี้ปรากฏในสไลด์ตรวจราชการของจังหวัดและเขตสุขภาพ ซึ่งสะท้อน ความพร้อมเชิงระบบ และการ นำไปใช้จริง ไม่ใช่แค่พิธีเปิดสวยงาม ตัวเลขดังกล่าวยังทำหน้าที่ “ฐานเปรียบเทียบ” ให้โครงการปี 2568–2569 วัดผลได้อย่างโปร่งใส

ความท้าทายและทางแก้ ไม่ใช่แค่วิดีโอคอล แต่คือ “งานระบบ”

  1. สัญญาณ–ไฟฟ้า–อุปกรณ์: บางหมู่บ้านยังเผชิญปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ต อบจ.และ สสจ.ต้องจัด แผนสำรอง เช่น อุปกรณ์สื่อสารพกพา/เน็ตสำรอง–ไฟสำรอง เพื่อไม่ให้การรักษาสะดุดในช่วงเวลาสำคัญ (เอกสารตรวจราชการจังหวัดมีแผนด้าน Cyber Security และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรองรับ)
  2. PDPA–ความปลอดภัยข้อมูลสุขภาพ: จำเป็นต้องแยกสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล กำหนดผู้ดูแลระบบ และทดสอบ ความทนทานทางไซเบอร์ อย่างสม่ำเสมอ ตามข้อกำหนดของกระทรวงและแนวทางกรมการแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงข้อมูลผู้ป่วยรั่วไหล
  3. เกณฑ์คลินิกอล–ความต่อเนื่อง: เวชปฏิบัติต้องยืนบน แนวทางคลินิก Telemedicine ชัดเจน เช่น เกณฑ์ NCDs, เงื่อนไขที่ต้องนัดพบแพทย์ตัวจริง, ระบบส่งต่อฉุกเฉิน และ การลงรหัส–เคลม OP telemed ให้ถูกต้องตาม สปสช. เพื่อกำกับคุณภาพและยั่งยืนทางการเงิน
  4. การสื่อสารกับชุมชน: ให้ประชาชนเข้าใจว่า Telemedicine ไม่ใช่การลดคุณภาพบริการ แต่คือการเพิ่มทางเลือก–ลดภาระ ต้องมี สื่อสารอธิบายเป็นภาษาชาวบ้าน ผ่าน อสม.–ท้องถิ่น และทำ “Mother Class เวอร์ชันสุขภาพผู้ใหญ่” สำหรับดูแลตนเอง–สังเกตอาการก่อนเข้า Telemedicine

ทางไปข้างหน้า: จาก 5 อำเภอ สู่ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ทั้งจังหวัด

เมื่อพิจารณาจากฐานระบบที่ทำไว้ตลอดปี 2567–2568 ตั้งแต่โครงการ Telemedicine ใน รพ.สต. 75 แห่ง ไปจนถึงการติดตั้ง Health Station 77 จุด และตัวเลขการใช้งานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การขยายผลจากนำร่อง 5 อำเภอสู่ทั้งจังหวัด “มีความเป็นไปได้สูง” หากคงจังหวะการประชุมคณะทำงาน–ประเมินผล–แก้จุดอ่อนทุก 2–4 สัปดาห์ พร้อมทำงานเชื่อม รพ.สต. ในความรับผิดชอบของ อบจ. กับ โรงพยาบาลแม่ข่าย ให้แน่นแฟ้น ซึ่งในแผนของจังหวัดก็วางไว้ชัดเจนแล้วว่า รพ.สต. อบจ. จะเชื่อม Telemedicine ตรงกับแม่ข่ายในทุกอำเภอ ตามทรัพยากรที่มี

สาระสำคัญ: โครงการนี้ไม่ใช่แค่ “คอลกับหมอ” แต่คือ “ระบบบริการใหม่” ที่เอื้อให้คนเชียงราย เจอหมอถูกคน ในเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ต้องแบกภาระระยะทาง และทำให้โรงพยาบาลแม่ข่ายจัดลำดับความสำคัญผู้ป่วยได้ดีขึ้น

โมเดลเชียงรายใช้ได้กับจังหวัดอื่นอย่างไร

  1. เริ่มจากงานเก่า–ต่อเป็นงานใหม่: ใช้ผลลัพธ์ปีที่แล้วเป็นฐาน ตั้ง KPI ชัดเจนจำนวนคอนซัลต์, ระยะรอคอย, สัดส่วนผู้ป่วยฉุกเฉินถูกส่งต่อทันเวลา
  2. วางสถาปัตยกรรมข้อมูลเดียวกันทั้งจังหวัด: เชื่อม MOPH Refer–Health Rider–Telemed และแดชบอร์ดเดียวกัน ลดข้อมูลซ้ำซ้อน
  3. ทำกรอบงบประมาณ–เคลม สปสช. ตั้งแต่วันแรก: ให้หน่วยบริการ “อยู่รอดขยายได้”
  4. ลงทุนในคน: แพทย์–พยาบาล–เจ้าหน้าที่ รพ.สต.–อสม. ต้องได้ คู่มือปฏิบัติ และ ซ้อมเวิร์กโฟลว์ รายเดือน
  5. ประเมินและสื่อสารสาธารณะ: เปิดเผย ตัวชี้วัดรายอำเภอ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนจากประชาชนท้องถิ่น

เชียงรายกำลังพิสูจน์ว่า เมืองชายแดนภูเขาก็ เป็นเมืองสุขภาพดิจิทัล ได้ หากทุกฟันเฟืองหมุนพร้อมกันหน่วยท้องถิ่นใส่ทรัพยากรสาธารณสุขใส่ระบบโรงพยาบาลใส่มาตรฐานชุมชนใส่การมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายรุกฉีดวัคซีนโปลิโอพื้นที่ชายแดน หลังเมียนมาพบเชื้อกลายพันธุ์ ปิดประตูความเสี่ยง

เชียงรายรุกฉีดวัคซีนโปลิโอพื้นที่ชายแดน หลังเมียนมาพบเชื้อกลายพันธุ์ปิดประตูความเสี่ยงก่อนฤดูการเดินทางไฮซีซัน

เชียงราย,13 สิงหาคม 2568 – ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงรายคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดประชุมด่วน โดยมี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน เพื่อติดตามสถานการณ์โรคโปลิโอที่ฝั่งเมียนมาและกำหนดมาตรการเชิงรุกฝั่งไทย สาระสำคัญคือ “ยืนยัน” แผนรณรงค์ ให้ OPV เสริม 2 รอบ ในพื้นที่ชายแดนพื้นที่ครอบคลุมวัคซีนต่ำและจุดที่มีการเคลื่อนย้ายประชากรสูง โดย

  • รอบที่ 1: 20 สิงหาคม 2568
  • รอบที่ 2: 24 กันยายน 2568

กลุ่มเป้าหมายคือ เด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี และ เด็กต่างชาติอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่อาศัยในแนวชายแดน ครอบคลุม เชียงราย–เชียงใหม่–แม่ฮ่องสอน เพื่อหยุดยั้งโอกาสแพร่เชื้อ หากมีการนำเข้ามาจริงในช่วงฤดูท่องเที่ยวที่กำลังใกล้เข้ามา

หมายเหตุ: รายละเอียดข้างต้นอ้างอิงจากการแถลงของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย (13 ส.ค. 2568) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

cVDPV1 คืออะไร ทำไม “ต้องรีบ” แม้ไทยปลอดโปลิโอมานาน

หลายคนสงสัยถ้าไทยปลอดโปลิโอแล้ว ทำไมยังต้องฉีดซ้ำ? คำตอบอยู่ที่พลวัตของไวรัสและภูมิคุ้มกันชุมชน

  1. โปลิโอและความรุนแรง: โปลิโอส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้วไม่แสดงอาการ แต่ ประมาณ 1 ใน 200 รายอาจเกิดอัมพาตถาวร และในบางกรณีถึงชีวิต องค์การอนามัยโลกย้ำว่า “ภูมิคุ้มกันครอบคลุมสูงทั่วชุมชน” คือปราการสำคัญที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสชนิดนี้ ซึ่งติดต่อผ่าน ทางอุจจาระ–ปาก จึงแพร่เร็วในพื้นที่แออัด สุขาภิบาลจำกัด หรือมีการเคลื่อนย้ายเข้าออกจำนวนมาก
  2. cVDPV คืออะไร: cVDPV ย่อมาจาก “circulating vaccine-derived poliovirus” คือไวรัสโปลิโอที่กลายพันธุ์ย้อนกลับไปสู่สภาพก่อโรคและสามารถแพร่ระบาดได้ในชุมชนที่ ภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ได้หมายความว่าวัคซีน “อันตราย” แต่สะท้อนปัญหา “ช่องว่างความครอบคลุมวัคซีน” หากปล่อยให้มีเด็กตกหล่นจำนวนมาก เชื้อจะมีพื้นที่หมุนเวียนและวิวัฒน์จนก่อปัญหาได้ WHO และ GPEI อธิบายกลไกนี้ไว้อย่างเป็นระบบและใช้เป็นฐานคิดหลักของยุทธศาสตร์กำจัดโปลิโอทั่วโลก
  3. ภาพรวมโลกและกรอบฉุกเฉิน: นับถึงกลางปี 2025 คณะกรรมการฉุกเฉินภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) ของ WHO รายงานว่า ยังมีผู้ป่วยและการตรวจพบเชื้อทั้ง WPV1 และ cVDPV ในหลายประเทศ จึงประกาศต่ออายุสถานะ PHEIC ต่อไป และย้ำว่าความเสี่ยงของ cVDPV ขับเคลื่อนด้วย “เด็กตกหล่น–เข้าถึงยาก–ย้ายถิ่น–พื้นที่ไม่มั่นคง” เป็นสำคัญ แม้ในปี 2025 จะไม่พบ cVDPV1 รายใหม่ ณ วันที่รายงาน แต่ปี 2024 โลกยังพบ cVDPV1 รวม 11 ราย
  4. บริบทภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน: ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมไทย) รับรองปลอดโปลิโอปี 2557 แต่ เมียนมาเคยมีการระบาด cVDPV1 ในอดีตและยังเป็นพื้นที่เปราะบางด้านสาธารณสุข การที่เชียงรายอยู่แนวชายแดนจึงต้องไม่ประมาทกับความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์และการเดินทางของผู้คนซึ่งยากต่อการควบคุม

ทำไม “ต้องเป็น OPV” และทำไม “ต้อง 2 รอบ”

  • เหตุผลด้านภูมิคุ้มกัน: กรณีรับมือการระบาดในพื้นที่เสี่ยง WHO/GPEI แนะนำให้ใช้ OPV เพราะสร้าง ภูมิคุ้มกันที่ลำไส้ ได้ดี ช่วยหยุดการขับไวรัสทางอุจจาระ–ลดการแพร่ในชุมชน ซึ่งเป็น “หัวใจ” ของการตัดวงจรระบาด ต่างจาก IPV ที่เด่นด้านภูมิคุ้มกันเลือด ป้องกันอาการรุนแรง แต่หยุดการแพร่ในลำไส้สู้ OPV ในสถานการณ์ระบาดไม่ได้
  • เหตุผลด้านจำนวนรอบ: เอกสาร SOP ของ WHO/GPEI สำหรับการตอบสนองการระบาดเน้น การฉีดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องอย่างน้อย 2 รอบ ห่างกันราว 4 สัปดาห์ เพื่อยกระดับภูมิในชุมชนให้สูงพออย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับไทม์ไลน์รอบ 20 ส.ค. และ 24 ก.ย. ของเชียงรายในครั้งนี้

ไทยกับตารางวัคซีนตามปกติเสริม “ระบบประจำ” ด้วย “ปฏิบัติการเฉพาะกิจ”

ประเทศไทยมีแผนวัคซีนพื้นฐานที่ปรับตามหลักฐานใหม่ต่อเนื่อง โดยเพิ่ม IPV 2 เข็ม เป็นมาตรฐาน เพื่อเสริมความปลอดภัยด้านอาการรุนแรง และยัง คงบทบาท OPV ในปฏิบัติการเฉพาะกิจ เสริม/SIA เมื่อมีความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แนวทางนี้ตรงกับคำอธิบายเชิงนโยบายของ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และการสื่อสารจาก กรมควบคุมโรค ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ปลอดโปลิโอถาวรของไทย

ภาพรวมโรคติดต่ออื่นในเชียงรายเสียงเตือนจากข้อมูลจริง

นอกจากโปลิโอ ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดยังสรุปสถานการณ์โรคเด่นในพื้นที่ (อัปเดต 10 ส.ค. 2568) ระบุว่า

  • ไข้เลือดออก ผู้ป่วยสะสม 953 ราย (สูงใน อ.ป่าแดด เวียงชัย เวียงป่าเป้า เมือง แม่สาย)
  • โควิด-19 สะสม 4,701 ราย (สูงใน อ.ป่าแดด แม่ลาว เมือง พาน เวียงชัย)
  • ไข้หวัดใหญ่ สะสม 9,241 ราย (สูงใน อ.แม่แดด* แม่จัน แม่ลาว เวียงชัย เมือง)
  • อาหารเป็นพิษ สะสม 2,291 ราย (สูงใน อ.แม่สรวย เทิง เชียงแสน พญาเม็งราย เมือง)
  • โรคฉี่หนู สะสม 151 ราย (สูงใน อ.แม่ฟ้าหลวง แม่สรวย เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง ป่าแดด)
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สะสม 1,979 ราย แนวโน้มเพิ่ม (สูงใน อ.เมือง เวียงชัย แม่สรวย เวียงเชียงรุ้ง ป่าแดด)

*หมายเหตุ: ชื่ออำเภอ “แม่แดด” ไม่มีในเชียงรายในทางปกครอง อาจหมายถึงหน่วยบริการหรือพื้นที่สำรวจเฉพาะกิจตามนิยามทางระบาดวิทยา

ภาพรวมนี้สะท้อนว่าระบบสาธารณสุขเชียงราย ทำงานหลายสมรภูมิพร้อมกัน การรณรงค์ OPV เสริมจึงต้อง “เกาะไปกับระบบเดิม”ตั้งจุดบริการที่ รพ.สต., โรงเรียน, จุดผ่านแดน, คลินิกชุมชน และทำงานกับ อสม.–ผู้นำชุมชน–ด่านควบคุมโรค ให้เข้าถึงครัวเรือนที่เด็กตกหล่นมากที่สุด

บทเรียนจากชายแดนลอจิสติกส์การสื่อสารความไว้วางใจ

จุดเสี่ยงจริง ไม่ได้อยู่แค่ “แนวเส้นเขตแดน” แต่อยู่ใน ชุมชนเคลื่อนย้าย เช่น แคมป์คนงาน การค้า–ท่องเที่ยวชายแดน ตลาดนัด และโรงเรียนที่มีเด็กข้ามแดน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จึงต้องมี “ทะเบียนเด็กเสี่ยง” ที่อัปเดตตลอดเวลา และเชื่อมกับข้อมูลโรงเรียน–ด่านควบคุมโรค–หน่วยงานปกครองท้องถิ่น

ด้านการสื่อสาร สิ่งสำคัญคือ ภาษาที่ชุมชนเข้าใจได้จริง ไทย, ภาษาชนเผ่า, พม่าพร้อมตอบข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนอย่างตรงไปตรงมา โดยใช้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ของ WHO/GPEI ซึ่งย้ำชัดว่าความเสี่ยง cVDPV เกิดจาก เด็กไม่ได้รับวัคซีนจำนวนมาก” ไม่ใช่จาก “วัคซีนที่มีปัญหา” การเพิ่มความครอบคลุมวัคซีนคือคำตอบเดียวที่ปิดความเสี่ยงนี้ได้อย่างยั่งยืน

มองให้ไกลกว่าการฉีด ผลลัพธ์ต่อครัวเรือนชุมชนเศรษฐกิจ

  1. ครัวเรือน: ลดความเสี่ยง “อัมพาตถาวร” ที่เปลี่ยนชีวิตเด็กและครอบครัวทั้งชีวิต ต้นทุนการดูแลระยะยาวลดลงอย่างประเมินค่าไม่ได้
  2. ชุมชน: ภูมิคุ้มกันหมู่สูงขึ้น ลดความกังวลข่าวลือความตื่นตระหนก เมื่อมีการพบเหตุเตือนบริเวณชายแดน
  3. เศรษฐกิจพื้นที่ท่องเที่ยว: เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางฤดูหนาว หากมีข่าวเหตุระบาดฉับพลันจะกระทบความเชื่อมั่นทันที การรณรงค์เชิงรุกส่งสัญญาณว่าระบบสาธารณสุข ทันเกมพร้อมรับมือ” สอดคล้องกับกรอบ PHEIC ของ WHO ที่เน้นการป้องกันการแพร่ข้ามพรมแดนเป็นหัวใจ

สิ่งที่ประชาชนควรทำตอนนี้

  • พ่อแม่ผู้ปกครอง:
    • ตรวจ สมุดวัคซีน ของบุตรหลาน ถ้าอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย ให้พามารับ OPV เสริมทั้ง 2 รอบ ตามวันนัด
    • หากลูกได้ IPV ครบ ตามตารางปกติแล้ว ยังควรรับ OPV เสริม ในพื้นที่เสี่ยงตามประกาศ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันที่ลำไส้  
  • ครู–โรงเรียน–ศูนย์เด็กเล็ก: จัดทำรายชื่อเด็กตกหล่น ประสาน รพ.สต./อสม. นำทีมฉีดเชิงรุกในสถานศึกษา
  • ผู้ประกอบการ–แรงงานเคลื่อนย้าย: สนับสนุนวัน–เวลา ให้ครอบครัวพาเด็กไปรับวัคซีน และสื่อสารข้อมูลหลายภาษาในสถานประกอบการ
  • ชุมชน: เฝ้าระวังสุขอนามัยพื้นฐานห้องน้ำสะอาด ล้างมือ ส่วนน้ำดื่มอาหารต้องผ่านการปรุงสุก

คำถามชวนคิด “สองรอบพอไหมยั่งยืนจริงหรือ”

ในเชิงเทคนิค การทำ SIA 2 รอบ เป็น “ขั้นต่ำจำเป็น” ให้ภูมิชุมชนดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หากบริเวณชายแดนยังมีการเคลื่อนย้ายสูงและพบสัญญาณความเสี่ยงเพิ่มเติม หน่วยงานสาธารณสุขสามารถ ขยายรอบขยายพื้นที่ ได้ตามหลักฐานจริง ณ เวลาเกิดเหตุ (evidence-based) ตามคู่มือรับมือการระบาดของ WHO/GPEI ซึ่งเน้น ความเร็วความครอบคลุมการติดตามคุณภาพหลังจบแต่ละรอบ เป็นตัวชี้วัดสำคัญ

นอกเหนือจากนั้น “ความยั่งยืน” ต้องพึ่ง ระบบวัคซีนประจำ ที่ เก็บตกเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กไร้เอกสาร–ย้ายถิ่น–อยู่ไกลบริการ รวมถึง ระบบสื่อสารความเสี่ยง ที่ลดความลังเลวัคซีน (vaccine hesitancy) ด้วยข้อมูลโปร่งใส เข้าใจง่าย และ การร่วมมือข้ามหน่วยงาน ด่านควบคุมโรค–พื้นที่การศึกษา–ท้องถิ่น–ภาคเอกชน จึงจะป้องกันปัญหา cVDPV ได้อย่างถาวร

ไทม์ไลน์–พื้นที่–กลุ่มเป้าหมาย

  • พื้นที่: แนวชายแดนและพื้นที่คุ้มครองต่ำใน เชียงราย–เชียงใหม่–แม่ฮ่องสอน
  • กลุ่มเป้าหมาย:
    • เด็กไทย อายุ < 5 ปี
    • เด็กต่างชาติ อายุ < 15 ปี ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
  • วัคซีน: OPV เสริม (ชนิดกิน) ตามมาตรฐานการตอบสนองการระบาด
  • กำหนดการ:
    • รอบ 1 – 20 ส.ค. 2568
    • รอบ 2 – 24 ก.ย. 2568
  • หน่วยปฏิบัติ: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด–อำเภอ, รพ.สต., โรงพยาบาลเครือข่าย, อสม., ด่านควบคุมโรค

ปิดประตูความเสี่ยงด้วย “ความพร้อม–ความครอบคลุม–ความร่วมมือ”

เชียงรายกำลังทำในสิ่งที่ระบบสาธารณสุขสมัยใหม่เรียกว่า การป้องกันก่อนเกิดเหตุ”ฉีด OPV เสริมแบบเจาะจงพื้นที่–ช่วงเวลา ตามกรอบ WHO/GPEI เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชนชายแดนให้ “สูงพอและเร็วพอ” ทันก่อนฤดูกาลท่องเที่ยวและการเคลื่อนย้ายใหญ่ปลายปี

ในมุมของประชาชนทั่วไป สิ่งนี้คือ ประกันความเสี่ยงระดับจังหวัด ที่ต้นทุนต่ำกว่าแต่คุ้มค่ากว่าการรับเคราะห์จากเหตุระบาดฉับพลันในภายหลัง และในระยะยาว หากเราร่วมกัน รักษาความครอบคลุมวัคซีนพื้นฐานให้สูงลดเด็กตกหล่น เชียงรายก็จะไม่เพียงรักษาสถานะความปลอดภัยของตนเอง แต่ยังทำหน้าที่เป็น “แนวกันชน” สำคัญของประเทศ ในการป้องกันการนำเชื้อเข้าจากต่างแดนตามเจตนารมณ์ PHEIC ของ WHO ได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO), Poliomyelitis – Fact sheet (อธิบายโรค เส้นทางการแพร่เชื้อ ความเสี่ยงอัมพาต และหลักการควบคุม) World Health Organization
  • WHO & Global Polio Eradication Initiative (GPEI), Outbreak Response SOP / แนวทางการรับมือการระบาด (เหตุผลการใช้ OPV ในการ SIA หลายรอบเพื่อหยุดการแพร่ในลำไส้) CDC
  • WHO – IHR Emergency Committee, Statement of the Forty-second meeting on the international spread of poliovirus (สถานะ PHEIC และภาพรวมตัวเลข WPV1/cVDPV ในปี 2024–2025) World Health Organization
  • WHO South-East Asia Region, เอกสารสื่อสาร Polio-free certification of the Region (2014) (กรอบภูมิภาคปลอดโปลิโอและบริบทประวัติศาสตร์) World Health Organization
  • Disease Outbreak News – WHO, Circulating vaccine-derived poliovirus type 1 – Myanmar (2019) (หลักฐานเชิงประวัติว่าพื้นที่เมียนมาเคยพบ cVDPV1 สะท้อนความเปราะบางทางภูมิคุ้มกัน)
  • สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (NVI), นโยบายเพิ่มเข็มวัคซีนโปลิโอชนิดฉีด (IPV) และบทบาทของวัคซีนในระบบไทย (อ้างเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ IPV/OPV ในเชิงนโยบาย)
  • ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ/สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย (บทความวิชาการเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันจาก OPV เทียบ IPV ในบริบทการหยุดยั้งการแพร่เชื้อทางลำไส้) GPEI
  • CIDRAP–มหาวิทยาลัยมินนิโซตา, Polio this week: global update based on GPEI (ภาพรวมแนวโน้มทั่วโลกและกรอบการเฝ้าระวังล่าสุด) World Health Organization
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ภัยเงียบหลังน้ำลด แม่สายเผชิญโคลนโลหะหนัก ขาดหน่วยงานหลักดูแล ประชาชนรอความจริง

แม่สายเผชิญภัยเงียบ “โคลนโลหะหนัก” หลังน้ำท่วม 3 ระลอก เร่งหาทางออกมลพิษข้ามพรมแดน

เชียงราย, 7 สิงหาคม 2568 – หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย คลี่คลายลง ชาวบ้านในพื้นที่กลับต้องเผชิญกับ “ภัยเงียบ” ที่อาจอันตรายกว่าน้ำท่วมเสียอีก นั่นคือ “โคลนปนเปื้อนโลหะหนัก” ที่ผลตรวจจากห้องปฏิบัติการยืนยันแล้วว่ามีค่าเกินมาตรฐาน พร้อมเปิดเผย “จุดบอด” ของระบบราชการที่ขาดหน่วยงานหลักรับผิดชอบ ทีมข่าวได้ลงไปพื้นที่จริงเพื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นใหม่ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของทุกท่าน รายงานชิ้นนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้และไขข้อสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบจากตะกอนน้ำท่วมที่อาจปนเปื้อนโลหะหนัก ไม่ได้มีเจตนาเพื่อตัดสินหรือสร้างความตื่นตระหนก แต่เพื่อมอบข้อมูลที่ครบถ้วนให้ประชาชนสามารถพิจารณาและตัดสินใจในการดูแลตนเองและครอบครัวภายใต้บริบทความกังวลของการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม เพราะนี่คือเรื่องใหม่ที่ต้องการการพิสูจน์และทำความเข้าใจร่วมกัน

เรื่องเล่าจากสายลมจอยความทุกข์ทรมานของประชาชน

ในย่านสายลมจอย ซึ่งเป็นหัวใจทางเศรษฐกิจของอำเภอแม่สาย ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ปีนี้โดนมาแล้ว 3 รอบ รอบที่ 2 เก็บของไม่ทัน” คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนถึงความเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้กับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้จะเผชิญกับความยากลำบาก แต่ชาวบ้านยังคงมีความหวัง ชาวบ้านร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยจัดหา “รถดูดโคลน” ขนาดใหญ่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะปัจจุบันพวกเขามีเพียงอุปกรณ์ป้องกันขั้นพื้นฐานอย่างรองเท้าบูทและถุงมือเท่านั้น

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หลายคนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย หรือหากสวมก็เป็นเพียงหน้ากากเกรดธรรมดา ซึ่งไม่เพียงพอต่อการป้องกันฝุ่นละอองและสารปนเปื้อนที่อาจแฝงมากับโคลนและตะกอนดิน

• ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ว่าน วิริยา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ห้องแล็บเผยความจริงตะกอนปนเปื้อนโลหะหนักสูงกว่าปกติ

ความกังวลของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องที่ไร้มูลเหตุอีกต่อไป เมื่อผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ว่าน วิริยา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เปิดเผยผลการตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินที่เก็บตัวอย่างจากแม่น้ำสาย

“ผลการตรวจพบว่ามีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ สารหนู ตะกั่ว และแมงกานีส” ดร.ว่าน อธิบาย “เมื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างจากลำน้ำที่ใสสะอาดในสภาวะปกติ พบว่าความเข้มข้นในแม่น้ำสายสูงกว่ามากอย่างมีนัยสำคัญ”

สิ่งที่น่าตกใจคือ เมื่อน้ำลดและโคลนเริ่มแห้ง สารพิษเหล่านี้จะกลายเป็นฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายในอากาศ “ถ้ามันเป็นฝุ่นที่ฟุ้งกระจายมา มันจะมีโอกาสที่จะมีโลหะหนักปะปนอยู่ด้วย” ดร.ว่าน เตือน

หากอนุภาคฝุ่นมีขนาดเล็กกว่า PM2.5 และฟุ้งกระจายในระดับความเข้มข้นสูงอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีอันตรายจากการสัมผัสผ่านผิวหนัง การปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม

ในส่วนความเสี่ยงต่อสุขภาพ มีการคำนวณหลายรูปแบบ อันดับแรก คือ ดัชนีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่ใช่โรคมะเร็ง อาจจะเป็นความเสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคอื่น ๆ หรือที่เป็นสารเดียวซึ่งเรียกว่า Hazard Quotient – HQ ซึ่งอิงการคำนวณตามมาตรฐานสากลทั้งองค์การอนามัยโลก WHO และ US EPA ซึ่งหากนำแม่น้ำกก มาดื่มสองลิตรต่อวัน และการสัมผัสในรูปแบบอื่นทั้งในส่วนของการหายใจและผิวหนังในทุกวันก็จะทำให้เกิดอันตรายและโรคต่าง ๆ ได้ ส่วนดัชนีความเสี่ยงรวม หรือ Hazard Index – HI ซึ่งไม่ใช่การตรวจวัดเพียงสารเดียว แต่มีสารหนู แคดเมียม โครเมียม ตะกั่ว และนิกเกิล ค่าการตรวจวัดที่ยอมรับได้คือน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ถ้ามากกว่านั้นก็คือเสี่ยงและยอมรับไม่ได้ เมื่อเอาค่าเหล่านี้ไปคำนวณความเสี่ยงพบว่าในส่วนของการกินและดื่มน้ำที่ปนเปื้อนสารโลหะหนัก พบว่ามีความเสี่ยงอย่างมากทั้งผู้ใหญ่และเด็ก โดยในส่วนของผู้ใหญ่ค่าสารหนูอย่างเดียวเกินมากว่า 42 เท่า และเมื่อคิดค่าสารโลหะหนักรวมพบว่าเกินมากถึง 64 เท่า ส่วนในเด็กเสี่ยงกว่าผู้ใหญ่มาก เพราะการรับสัมผัสต่างจากผู้ใหญ่ โดยเด็กมีความเสี่ยงต่อค่าสารหนูอยู่ที่ 65 เท่า และเมื่อรวมค่าสารปนเปื้อนต่าง ๆ รวมกันจะพบว่าเสี่ยงมากถึง 100 เท่า

• ดร.สืบสกุล กิจนุกร, สำนักวิชานวัตกรรมสังคม ม.แม่ฟ้าหลวง

“จุดบอด” ระบบราชการวิกฤตที่ไม่มีใครตอบ

แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนแล้ว แต่การรับมือกับปัญหายังคงเผชิญอุปสรรค อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างที่สำคัญ

“พอมีน้ำท่วมที่แม่สายเนี่ย มันไม่มีหน่วยงานไหนลงไปตรวจ” ดร.สืบสกุล กล่าว “นี่คือจุดบอดของระบบราชการที่ขาดหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบอย่างชัดเจน”

ปัญหาไม่ได้จบแค่นั้น เครื่องมือตรวจวัดของหน่วยงานราชการบางแห่งมีอายุมากและขาดการสอบเทียบมานาน ทำให้ไม่สามารถใช้ตรวจวัดได้อย่างแม่นยำตามมาตรฐาน

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความไม่พร้อมของระบบรัฐในการเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน โดยเฉพาะปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศ

• นายวรายุทธ ค่อมบุญ, นายอำเภอแม่สาย

แผนรับมือระยะยาวจากผังเมืองใหม่สู่การเจรจาข้ามพรมแดน

ในขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงเป็นความท้าทาย นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ได้เปิดเผยแผนการทำงานเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ

“ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงมิติด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงมิติทางกายภาพของแม่น้ำสายที่เป็น ‘คอขวด’ ทำให้ไม่สามารถระบายน้ำได้ทันเมื่อเกิดน้ำหลาก” นายวรายุทธ อธิบาย

แผนการแก้ไขประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก

  1. ผังเมืองใหม่ รัฐบาลมอบหมายให้กรมโยธาธิการศึกษาและออกแบบผังเมืองใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสำรวจและออกแบบ คาดใช้เวลาประมาณ 1 ปี
  2. รถดูดโคลน อำเภอแม่สายได้ประสานงานขอรถดูดโคลนขนาดใหญ่จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อจัดการโคลนและตะกอนที่ตกค้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การเจรจาข้ามพรมแดน นายอำเภอวรายุทธชี้ให้เห็นถึงปัญหาซับซ้อนจากการทำเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่ในเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อยที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่

“ทางการเมียนมาเองก็ยอมรับปัญหานี้ การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอจึงจำเป็นต้องมีการยกระดับการเจรจาระหว่างประเทศอย่างจริงจัง” นายอำเภอวรายุทธกล่าว

ไม่สามารถจำแนกได้อย่างละเอียดว่าเกิดจากฝุ่น PM2.5 หรือโลหะหนัก

ส่วนสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย  (ทสจ.เชียงราย) ที่ให้ข้อมูลทีมข่าวเกี่ยวกับประเด็นฝุ่นละอองและโลหะหนักในพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย ความสัมพันธ์ระหว่างฝุ่น PM2.5 และการเจ็บป่วยเจ้าหน้าที่ระบุว่าในปัจจุบันการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นและโลหะหนักจะถูกวินิจฉัยรวมเป็น “โรคระบบทางเดินหายใจ” โดยยังไม่สามารถจำแนกได้อย่างละเอียดว่าเกิดจากฝุ่น PM2.5 หรือโลหะหนักชนิดใดโดยเฉพาะ

 เงื่อนไขการเข้าสู่ร่างกายการที่ฝุ่นและโลหะหนักจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจได้ต้องเกิดจากการฟุ้งกระจายในอากาศในระดับที่สูงและมีความเข้มข้นมากพอ โดยฝุ่นต้องมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งระบบการกรองตามธรรมชาติของร่างกาย (เช่น ขนจมูก) ไม่สามารถดักจับได้ สถานการณ์ในช่วงฤดูฝนในช่วงฤดูฝนฝุ่นและสารปนเปื้อนในดินโคลนจะถูกน้ำชะล้างและตกตะกอนอยู่กับพื้น ทำให้ไม่ได้ฟุ้งกระจายในอากาศมากนัก ความเสี่ยงจากการสูดดมจึงลดลง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ย้ำว่าเมื่อน้ำแห้ง ฝุ่นอาจกลับมาฟุ้งกระจายได้อีก ความเสี่ยงจากการสัมผัสโดยตรง: สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการสัมผัสฝุ่นที่มีสารโลหะหนักปนเปื้อนโดยตรง

หลักใจความสำคัญความเสี่ยงมากที่สุดคือการปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม

อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสทางผิวหนัง (เท้า) หรือการปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม ซึ่งเป็นช่องทางที่สารพิษเข้าสู่ร่างกายและสะสมในระยะยาวได้โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก การตรวจวัดและข้อมูลจากหน่วยงานอื่น มีการตั้งข้อสังเกตถึงผลการตรวจวัดของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ที่ระบุว่าสารโลหะหนักยังมีปริมาณไม่มากพอที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเจ้าหน้าที่ของ ทสจ. สันนิษฐานว่าการตรวจนั้นอาจเป็นไปได้ว่ายังไม่ถึงขั้นมีการตรวจในเลือดหรือมีการตรวจเฉพาะในช่วงที่ฝุ่นไม่ได้ฟุ้งกระจาย

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายทางออกที่ประชาชนได้ประโยชน์

การแก้ไขปัญหาวิกฤตแม่สายต้องใช้ยุทธศาสตร์แบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยมีข้อเสนอแนะสำคัญ 4 ประการ

  1. ยกระดับการเจรจาข้ามพรมแดน

รัฐบาลไทยต้องใช้ทุกกลไกเพื่อเจรจาและกดดันให้มีการแก้ไขปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจังและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาที่ต้นเหตุและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

  1. กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลัก

รัฐบาลควรมีคำสั่งชัดเจนว่าหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจัดการและเฝ้าระวังปัญหามลพิษที่มาพร้อมภัยพิบัติ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและไม่เกิดความล่าช้า

  1. เร่งจัดหาเครื่องมือและงบประมาณ

อำเภอและเทศบาลควรได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดหาเครื่องมือจำเป็นในการจัดการโคลนที่ปนเปื้อนโลหะหนักอย่างถูกวิธี รวมถึงเครื่องมือตรวจวัดที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน

  1. ให้ข้อมูลและสร้างความตระหนัก

หน่วยงานสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมต้องเร่งประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงความเสี่ยงจากฝุ่นปนเปื้อนโลหะหนัก รวมถึงวิธีการป้องกันที่ถูกต้อง เช่น การสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นเกรด N95 และการสวมถุงมือเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง

ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ

การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้จะส่งผลให้

  • ประชาชนได้รับการปกป้องสุขภาพ จากการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเครื่องมือป้องกันที่เหมาะสม
  • ลดความเสี่ยงในระยะยาว จากการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุผ่านการเจรจาข้ามพรมแดน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการภัยพิบัติ จากการมีหน่วยงานหลักรับผิดชอบที่ชัดเจน
  • สร้างความมั่นใจในระบบการทำงานของรัฐ จากการมีแผนการแก้ไขปัญหาที่เป็นระบบ

วิกฤตที่อำเภอแม่สายต้องเผชิญครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติที่ซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต การดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นระบบจะช่วยป้องกันไม่ให้วิกฤตเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว และรักษาความเชื่อมั่นในระบบการทำงานของภาครัฐไว้ได้ ประเด็นสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นคือ ปัญหาการขาดการสื่อสารที่ชัดเจนจากหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ข้อมูลยังกระจัดกระจายและไม่ถูกส่งตรงถึงประชาชน ซึ่งนำไปสู่ความไม่เข้าใจและการรับมือที่ไม่เหมาะสม ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำหรืออากาศในช่วงเวลาและสถานที่ต่างกันย่อมให้ผลที่ต่างกันได้ เนื่องจากกลศาสตร์การไหลและช่วงเวลาการปล่อยสารพิษที่ไม่แน่นอน สร้างความสับสนและเป็นข้อกังวลที่ประชาชนต้องการความชัดเจนในการใช้ชีวิตประจำวัน

มาตรการเบื้องต้นสำหรับประชาชนคือสวมหน้ากาก

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำมาตรการเบื้องต้นสำหรับประชาชนคือ ควรสวมหน้ากากป้องกันหากอยู่ในพื้นที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย และใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน สำหรับภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่นควรมีมาตรการป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่น เช่น การรดน้ำถนนในพื้นที่ดินโคลนแห้ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ว่าน วิริยา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุย้ำกับทีมข่าวว่าปัจจุบัน 

“คณะอนุกรรมธิการของสภาผู้แทนราษฎรมีแผนที่จะรวบรวมข้อมูลจาก 24 หน่วยงานภาครัฐทั้งหมดให้อยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม”

การนำเสนอข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในชีวิตประจำวันของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตนเองหรือการตั้งข้อสังเกตอาการเบื้องต้น เราเชื่อมั่นว่าการได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนจะช่วยให้ทุกท่านสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชาญฉลาดและมีสุขภาวะที่ดีในยุคดิจิทัลและยุคของปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตมากยิ่งขึ้น 

การนำเสนอข่าวในครั้งนี้จึงเป็นไปเพื่อส่งเสริมการรู้เท่าทันและตรวจสอบข้อมูลลวง เสริมสร้างระบบนิเวศน์ข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือและอ้างอิงได้เพื่อประโยชน์สาธารณะ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ว่าน วิริยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
  • กรมโยธาธิการและพัฒนาเมือง
  • ชาวบ้านในพื้นที่สายลมจอย อำเภอแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News