Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ นำร่อง ประกันสุขภาพสมัครใจในโรงพยาบาลรัฐ ดึงเงิน 1.6 หมื่นล้าน เข้า สธ.

รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์นำร่องโมเดลใหม่ “ประกันสุขภาพสมัครใจในรพ.รัฐ” หลัง สธ.–สมาคมประกันชีวิตไทยเซ็น MOU ดันเม็ดเงิน 1.6 หมื่นล้านเข้าระบบสาธารณสุข

เชียงราย, 5 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสความกังวลเรื่องงบประมาณสาธารณสุขที่ตึงตัว และค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่ขยับสูงขึ้นทุกปี การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กับสมาคมประกันชีวิตไทย เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 จึงถูกจับตามองว่าเป็น “จุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง” ของระบบสุขภาพไทย

ในดีลครั้งประวัติศาสตร์นี้ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กลายเป็นหนึ่งใน 28 โรงพยาบาลรัฐนำร่อง ที่จะรองรับ “ประกันสุขภาพภาคสมัครใจ” อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในส่วนของคลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ซึ่งในอดีตผู้เอาประกันจำนวนไม่น้อยไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้เต็มที่จากข้อจำกัดของกติกาและระบบเบิกจ่าย

การขยับครั้งนี้ไม่เพียงเปลี่ยนภาพจำของ “โรงพยาบาลรัฐที่ใช้ประกันไม่ได้” แต่ยังมีเป้าหมายดึงเม็ดเงินกว่า 16,000 ล้านบาทจากระบบประกันสุขภาพสมัครใจ เข้าสู่โรงพยาบาลของรัฐ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดภาระงบประมาณ และยกระดับมาตรฐานบริการสำหรับประชาชนในระยะยาว

MOU ใหญ่ สธ.–สมาคมประกันชีวิตไทย เชื่อม “เงินเอกชน” เข้าระบบ “บริการรัฐ”

พิธีลงนาม MOU จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 10 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้ร่วมลงนามและสักขีพยานจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

ฝั่งกระทรวงสาธารณสุข มี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ลงนาม ขณะที่ฝั่งสมาคมประกันชีวิตไทย นำโดย นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย และนายสาระ ล่ำซำ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย โดยมี นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการสำนักงานคปภ. และผู้อำนวยการโรงพยาบาลนำร่อง 28 แห่ง ร่วมเป็นสักขีพยานในห้องประชุมเดียวกัน

ใจกลางของ MOU ฉบับนี้คือการ “บูรณาการเครือข่ายบริการสาธารณสุขของรัฐ” เข้ากับ “ระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจของเอกชน” อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และได้มาตรฐาน เป้าหมายสำคัญมีสองมิติ

  1. มิติด้านบริการ – ยกระดับศักยภาพของโรงพยาบาลรัฐให้รองรับผู้เอาประกันสุขภาพได้อย่างสะดวก ทันสมัย ผ่านการพัฒนา Service Center คลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ลดเวลารอคอยและความแออัด ซึ่งเป็นปัญหาที่ประชาชนจำนวนมากคุ้นเคย
  2. มิติด้านการคลังและเศรษฐกิจ – ดึงเม็ดเงินจากประกันสุขภาพสมัครใจ ที่คาดว่าจะสามารถ “Top Up” สิทธิประโยชน์เดิมเข้าสู่โรงพยาบาลรัฐกว่า 16,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อเสริมรายได้ ลดภาระงบประมาณ และเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการของระบบสาธารณสุขในระยะยาว

ในแง่นี้ MOU จึงไม่ใช่เพียงเอกสารความร่วมมือเชิงพิธีการ แต่เป็น “กลไกเชื่อม” ระหว่าง เงินเอกชน – ระบบรัฐ – สิทธิประโยชน์ของประชาชน เข้าด้วยกันในครั้งเดียว

รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ จากโรงพยาบาลศูนย์ สู่ต้นแบบ “รพ.รัฐที่ใช้ประกันได้เต็มสิทธิ์”

สำหรับจังหวัดเชียงราย ชื่อของ “โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์” เป็นเหมือนศูนย์กลางด้านสาธารณสุขที่ประชาชนในพื้นที่คุ้นเคยมานาน ในครั้งนี้ โรงพยาบาลถูกผลักดันให้ก้าวอีกขั้นสู่บทบาท “โรงพยาบาลรัฐนำร่อง” ภายใต้โมเดลใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข

วันเดียวกับการลงนาม MOU นพ.สมศักดิ์ อุทัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พร้อมด้วย นพ.เปรมชัย ติรางกูร รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ได้เข้าร่วมประชุมและพิธีลงนามเป็นสักขีพยาน พร้อมขึ้นเวทีเสวนาในหัวข้อ
“Model การบริหารจัดการในโรงพยาบาลรัฐ รองรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจ (Showcase)”

ในเวทีดังกล่าว โรงพยาบาลเชียงรายฯ ถูกนำเสนอในฐานะ “ต้นแบบการบริหารจัดการ” ที่พร้อมรองรับระบบประกันสุขภาพสมัครใจในโรงพยาบาลรัฐอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติ

  • การออกแบบเส้นทางบริการ (Patient Journey) สำหรับผู้เอาประกันสุขภาพ
  • การจัดคลินิกพิเศษและ Premium Clinics ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพและความรวดเร็ว
  • การบริหารห้องพิเศษที่สามารถรองรับผู้ป่วยประกันสุขภาพโดยไม่กระทบสิทธิ์ของผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

การขึ้นเวทีระดับชาติในฐานะ Showcase สะท้อนว่า รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ตาม” นโยบายจากส่วนกลาง แต่มีบทบาทเชิงรุกในการนำเสนอโมเดลบริหารจัดการ เพื่อให้เงินประกันสุขภาพสมัครใจไหลเข้าระบบโรงพยาบาลรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงมาตรฐานความเท่าเทียมด้านบริการขั้นพื้นฐานไว้ควบคู่กัน

ทำไมต้องดึง “เงินประกันสุขภาพ” เข้าสู่โรงพยาบาลรัฐ?

เบื้องหลัง MOU ครั้งนี้ เชื่อมโยงกับโจทย์ใหญ่ที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเคยสะท้อนไว้ในเวที “การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569” นั่นคือ ต้นทุนด้านสุขภาพของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงพยาบาลของรัฐจำนวนมากต้องเผชิญภาวะขาดทุนและภาระงบประมาณที่หนักขึ้นทุกปี

ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจประกันชีวิตและประกันสุขภาพเองก็เผชิญแรงกดดันจาก ค่าใช้จ่ายด้านการเคลมที่สูงขึ้น ทั้งจากค่ารักษาทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้ค่าเบี้ยประกันสุขภาพมีแนวโน้มต้องขยับสูงขึ้นตามต้นทุน

ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีในระดับหลายแสนล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 2–4% ต่อปี ซึ่งสะท้อนว่าศักยภาพของเม็ดเงินจากระบบประกันยังมีอยู่มาก หากสามารถออกแบบให้ไหลเข้าสนับสนุนระบบบริการสาธารณสุขของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ

MOU ครั้งนี้ จึงถูกออกแบบให้ “จับมือกันกลางทาง”

  • ฝั่ง กระทรวงสาธารณสุข ต้องยกระดับคุณภาพและประสบการณ์บริการให้ประชาชนรู้สึกว่า โรงพยาบาลรัฐสามารถรองรับผู้เอาประกันสุขภาพได้อย่างน่าเชื่อถือ สะดวกสบาย และไม่ต่างจากการไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในบางบริการ
  • ฝั่ง บริษัทประกันชีวิต จะได้เครือข่ายโรงพยาบาลรัฐที่มีต้นทุนบริการต่ำกว่าเอกชน ช่วยชะลอการขึ้นค่าเบี้ยในระยะยาว และออกผลิตภัณฑ์ที่ “จับต้องได้” มากขึ้นสำหรับคนไทยรายได้ปานกลาง

เมื่อเม็ดเงินจากประกันสุขภาพสมัครใจ กว่า 16,000 ล้านบาท สามารถถูกดึงเข้ามา “Top Up” ระบบเดิมได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจึงไม่ใช่เพียงตัวเลขในงบประมาณ แต่คือการเสริมความยั่งยืนให้กับโรงพยาบาลรัฐทั้งระบบ

สามฝ่ายได้อะไรจากโมเดลใหม่ “ประกันสุขภาพภาคสมัครใจในรพ.รัฐ”

ถ้ามองในภาพรวม ความร่วมมือครั้งนี้สร้างผลประโยชน์อย่างน้อย 3 มิติสำคัญ

  1. ประชาชนและผู้เอาประกัน: ทางเลือกที่มากขึ้นในราคาที่เข้าถึงได้

ผู้เอาประกันสุขภาพที่เคยลังเลว่า
“จะไปโรงพยาบาลรัฐที่แออัด หรือไปเอกชนที่ค่าใช้จ่ายสูงกว่า?”

อาจมีคำตอบใหม่เมื่อโรงพยาบาลรัฐสามารถรองรับการเบิกจ่ายประกันสุขภาพสมัครใจในคลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ได้อย่างเป็นระบบ

ประชาชนจะได้รับ:

  • บริการที่รวดเร็วขึ้นในบางจุดบริการ
  • การเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลรัฐ ที่ขึ้นชื่อว่ามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญไม่แพ้เอกชน
  • ค่าใช้จ่ายสุทธิที่ “สมเหตุสมผล” กว่าการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนเต็มรูปแบบ

นางนุสรา นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เคยระบุถึงทิศทางสำคัญว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีแนวโน้มจะนำไปสู่ กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่เลือกใช้เฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ” ซึ่งคาดว่าจะมี “ราคาเบี้ยที่ย่อมเยาลง” ทำให้ประชาชนเข้าถึงการทำประกันสุขภาพได้ง่ายขึ้น และมีตัวเลือกมากกว่าที่เป็นอยู่

  1. โรงพยาบาลรัฐ: รายได้เพิ่มขึ้น – งบลงทุนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

สำหรับโรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป การมีรายได้จากระบบประกันสุขภาพสมัครใจเข้ามาเพิ่มเติม นอกจากช่วยบรรเทาปัญหาขาดทุนสะสมแล้ว ยังหมายถึง “งบลงทุน” ที่เพิ่มขึ้น ทั้งในด้านบุคลากร เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน

ในกรณีของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการรับผู้เอาประกันสุขภาพในคลินิกพิเศษและห้องพิเศษ จะกลายเป็นงบประมาณหมุนเวียนกลับไปสู่

  • การพัฒนาระบบบริการพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกสิทธิ์
  • การลงทุนในระบบ IT และ Service Center เพื่อให้การบริหารจัดการผู้ป่วยทุกกลุ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การดูแลบุคลากรด่านหน้า ที่ต้องรองรับภาระงานหนักในแต่ละวัน
  1. ภาคธุรกิจประกัน: ต้นทุนการเคลมลดลง – เบี้ยประกันเติบโตอย่างยั่งยืน

ในมุมของบริษัทประกันชีวิต “ต้นทุนจากค่ารักษาพยาบาล” คือหนึ่งในปัจจัยหลักที่กดดันการปรับขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพในแต่ละปี การมีเครือข่ายโรงพยาบาลรัฐที่สามารถให้บริการผู้เอาประกันได้จริง จะช่วยให้บริษัทประกันมีต้นทุนเรื่องค่ารักษาที่ต่ำลง เมื่อเทียบกับการพึ่งพาโรงพยาบาลเอกชนเพียงอย่างเดียว

รมว.สาธารณสุขสะท้อนมุมนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า การดึงผู้เอาประกันให้เข้ามารักษาในโรงพยาบาลรัฐมากขึ้น จะเป็น “กลไกสำคัญ” ในการชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันสุขภาพในระยะยาว ขณะเดียวกัน ธุรกิจประกันชีวิตก็ยังสามารถเติบโตบนฐานเบี้ยประกันที่รับได้ต่อสังคม

รพ.เชียงรายฯ กับโจทย์ใหม่ ยกระดับบริการ โดยไม่ทิ้งความเท่าเทียม

แม้โมเดลใหม่จะถูกมองว่าเป็น “โอกาส” ครั้งใหญ่ แต่ก็มีคำถามสำคัญที่สังคมจับตาเช่นกัน นั่นคือ

เมื่อมีบริการพรีเมียมสำหรับผู้เอาประกันมากขึ้น
ระบบจะรักษาความเท่าเทียมสำหรับผู้ป่วยสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างไร?

โจทย์นี้ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ในฐานะโรงพยาบาลศูนย์ที่มีภาระรองรับผู้ป่วยจำนวนมากจากทั้งจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง

การบริหารจัดการจึงต้องวางอยู่บนหลักสองประการคู่กันคือ

  1. ไม่ลดทอนคุณภาพและสิทธิของผู้ป่วยในระบบหลักประกันเดิม – บริการพื้นฐานต้องยังคงเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
  2. ใช้รายได้จากผู้เอาประกันสมัครใจกลับไปเสริมความเข้มแข็งของระบบเดิม – ทั้งในมิติบุคลากร เวชภัณฑ์ และระบบสนับสนุนด้านหลังบ้าน

บทบาทของทีมผู้บริหาร นำโดย นพ.สมศักดิ์ และ นพ.เปรมชัย จึงไม่ใช่เพียงการ “ดีลกับบริษัทประกัน” หรือ “เพิ่มบริการพรีเมียม” เท่านั้น แต่ต้องวางสมดุลระหว่าง ประสิทธิภาพทางการเงิน” และ “ความเป็นธรรมทางสุขภาพ” ให้เดินไปด้วยกัน

ภาคเหนือและโรงพยาบาลนำร่อง เครือข่ายเชื่อมโยงมากกว่าหนึ่งจังหวัด

การนำร่องครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ในภาคเหนือ มีโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่หลายแห่งที่เข้าร่วม เช่น

  • โรงพยาบาลลำปาง
  • โรงพยาบาลนครพิงค์
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • โรงพยาบาลพุทธชินราช
  • โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์

การมีเครือข่ายโรงพยาบาลนำร่อง 28 แห่งทั่วประเทศ ทำให้อนาคตของ “กรมธรรม์ประกันสุขภาพเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ” มีความเป็นไปได้มากขึ้น เพราะผู้เอาประกันจะสามารถเลือกใช้บริการในโรงพยาบาลรัฐชั้นนำในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องจำกัดอยู่แค่โรงพยาบาลเอกชนในเมืองใหญ่

สำหรับเชียงรายเอง การที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดก้าวสู่การเป็นหนึ่งในต้นแบบระดับชาติ อาจส่งผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดทั้งในด้าน การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism) และ ความเชื่อมั่นด้านระบบสาธารณสุข ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนและอยู่อาศัยของประชาชนในระยะยาว

ขยับจาก “นโยบายบนกระดาษ” สู่ “สิทธิที่ประชาชนใช้ได้จริง”

อย่างไรก็ดี การลงนาม MOU เป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” เท่านั้น สิ่งที่จะตอบคำถามได้ชัดเจนที่สุดไม่ใช่ถ้อยคำบนเวที หรือภาพพิธีลงนาม แต่คือประสบการณ์จริงของประชาชนที่เดินเข้าไปในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลนำร่องอื่น ๆ ในวันข้างหน้า

คำถามที่ต้องติดตามต่อไป ได้แก่

  • ระบบการลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิ์ประกันสุขภาพในโรงพยาบาลรัฐ จะรวดเร็วและไม่ซับซ้อนเพียงใด
  • การจัดโซนคลินิกพิเศษและ Premium Clinics จะสามารถช่วยลดความแออัดในระบบปกติ หรือกลับเพิ่มภาระให้บุคลากรด่านหน้า
  • รายได้จากประกันสุขภาพสมัครใจ จะถูกนำกลับไปใช้เสริมบริการพื้นฐานให้ผู้ป่วยสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างโปร่งใสเพียงใด

คำตอบเหล่านี้จะค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อระบบเริ่มเดินจริงในปีงบประมาณถัดไป และเมื่อกรมธรรม์ประกันสุขภาพรูปแบบใหม่ที่เลือกใช้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

สำหรับประชาชนเชียงราย ข่าวนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่อง “นโยบายส่วนกลาง” หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะสะท้อนอยู่ในห้องตรวจ ห้องพิเศษ และคลินิกพิเศษของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ในอนาคตอันใกล้ หากโมเดลนี้เดินหน้าได้อย่างราบรื่น และรักษาสมดุลระหว่าง สิทธิพื้นฐาน” และ “บริการพิเศษ” ได้อย่างแท้จริง

สำหรับสถานพยาบาลนำร่อง 28 แห่งทั่วประเทศ 

ที่เข้าร่วมเป็นรพ.นำร่อง ก่อนจะขยายไปทั่วประเทศภายใต้ MOU ดังกล่าว และคาดหวังได้ว่า เมื่อประกันสุขภาพแบบใหม่คลอดออกมา จะสามารถใช้ได้กับรพ. เหล่านี้ ได้แก่

  1. โรงพยาบาลลำปาง
  2. โรงพยาบาลนครพิงค์
  3. โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  4. โรงพยาบาลพุทธชินราช
  5. โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์
  6. โรงพยาบาลสระบุรี
  7. โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
  8. โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
  9. โรงพยาบาลสมุทรสาคร
  10. โรงพยาบาลราชบุรี
  11. โรงพยาบาลนครปฐม
  12. โรงพยาบาลระยอง
  13. โรงพยาบาลพระปกเกล้า
  14. โรงพยาบาลสมุทรปราการ
  15. โรงพยาบาลชลบุรี
  16. โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
  17. โรงพยาบาลขอนแก่น
  18. โรงพยาบาลสกลนคร
  19. โรงพยาบาลอุดรธานี
  20. โรงพยาบาลชัยภูมิ
  21. โรงพยาบาลสุรินทร์
  22. โรงพยาบาลบุรีรัมย์
  23. โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
  24. โรงพยาบาลศรีสะเกษ
  25. โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
  26. โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
  27. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
  28. โรงพยาบาลหาดใหญ่
สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ผ่าน EIA ขยายสู่ 237 เตียง พร้อมยกระดับบริการเฉพาะทาง

เชียงรายเดินหน้าศูนย์แพทย์มาตรฐานสากล “โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย (ส่วนต่อขยาย)” ผ่าน EIA ยกระดับบริการ-คุมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน

เชียงราย, 21 พฤศจิกายน 2568 – โครงการ “โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย (ส่วนต่อขยาย)” เดินหน้าสู่หมุดหมายสำคัญของจังหวัด หลังมีหนังสือจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แจ้งผลการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยมีมติ “ให้ความเห็นชอบรายงาน” พร้อมกำชับให้ผู้พัฒนาโครงการถือปฏิบัติตามเงื่อนไขและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของชุมชนรอบพื้นที่โครงการ (หนังสือ สผ. ลงวันที่ 25 กันยายน 2568)

หนังสือแจ้งมติ 

การขยายศักยภาพครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจน จากโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลางบนถนนพหลโยธิน ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย ที่ให้บริการผู้ป่วยในได้ 57 เตียง สู่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่รองรับผู้ป่วยได้ 237 เตียง เพิ่มขีดความสามารถด้านบริการเฉพาะทาง พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและการจัดการสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกฎหมายสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่

บริบทโครงการ จาก “ความต้องการรักษา” สู่ “สาธารณูปโภคสุขภาพของเมือง”

เชียงรายเป็นประตูเศรษฐกิจภาคเหนือตอนบน เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน การเติบโตทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และโครงสร้างประชากรที่เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัย ล้วนกดดัน “อุปทานบริการแพทย์คุณภาพ” ให้ต้องขยายตัว โครงการส่วนต่อขยายของโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงรายจึงถูกออกแบบเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งจากคนในจังหวัด นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และผู้ป่วยชายแดน โดยยังคงหลักคิดสำคัญ “ขยายบริการไปพร้อมมาตรการปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตชุมชน”

สาระสำคัญของโครงการตามเอกสารประชาสัมพันธ์ EIA และรายละเอียดจากผู้พัฒนา

  • ที่ตั้ง  เลขที่ 369 หมู่ที่ 13 ถนนพหลโยธิน ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย
  • ขอบเขตการก่อสร้าง
    • ปรับปรุงอาคารเดิม คสล. สูง 7 ชั้น เพิ่มเตียงผู้ป่วยในรวม 28 เตียง (ชั้น 4 และ 6)
    • ก่อสร้างอาคารใหม่ คสล. สูง 8 ชั้น พร้อมชั้นใต้ดิน 1 ชั้น เพิ่มเตียงอีก 152 เตียง
    • องค์ประกอบสนับสนุน อาคารพักแพทย์ 3 ชั้น, อาคารห้องพักมูลฝอยรวม 1 ชั้น, อาคารห้องผ้า 1 ชั้น, พื้นที่ให้เช่า
    • พื้นที่ใช้สอยรวม  33,860.37 ตร.ม.
    • ที่จอดรถ  รถยนต์ 144 คัน รถจักรยานยนต์ 23 คัน
  • ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ  24 เดือน (เริ่มจากงานรื้อถอนอาคารเดิมจนแล้วเสร็จ)

สาระดังกล่าวสะท้อนทิศทาง “ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสุขภาพ” ของเมือง ผ่านการเสริมเตียงผู้ป่วย การเพิ่มบริการเฉพาะทาง และการสร้างระบบสนับสนุนบุคลากรแพทย์ (เช่น อาคารพักแพทย์) เพื่อลดข้อจำกัดการดึงดูดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้อยู่ปฏิบัติงานในภูมิภาค

เส้นทาง EIA  ผ่านด่านสำคัญ พร้อมเงื่อนไขคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

หนังสือ สผ. ที่ส่งถึงผู้พัฒนาและที่ปรึกษาโครงการ ระบุชัดเจนว่าคณะผู้ชำนาญการได้ “พิจารณาและให้ความเห็นชอบรายงาน EIA” ของโครงการ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ผลรายงานเป็นฐานประกอบการอนุญาตต่าง ๆ และให้ผู้พัฒนาปฏิบัติตาม มาตรการป้องกัน-แก้ไข-ติดตามตรวจสอบผลกระทบ ตามที่ระบุไว้ในรายงานอย่างเข้มงวด (หนังสือ สผ. ลงวันที่ 25 กันยายน 2568, หน้า 1–2)

เหตุผลเชิงนโยบายของกระบวนการ EIA

ในทางปฏิบัติ โครงการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ต้องพิสูจน์ว่า “ประโยชน์สาธารณะ” (การเข้าถึงบริการรักษาคุณภาพสูง) จะเกิดขึ้นควบคู่กับ “การบริหารความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม” (ฝุ่น เสียง น้ำเสีย มูลฝอยติดเชื้อ จราจร และความปลอดภัยชุมชน) เอกสาร EIA จึงทำหน้าที่เป็น “สัญญาทางสังคม” กำหนดมาตรการคุ้มครองที่ตรวจสอบได้ ทั้งในระยะก่อสร้างและระยะดำเนินการ

สาระสำคัญที่ สผ. เน้นย้ำในหนังสือ

  • โครงการต้องปฏิบัติตามมาตรการและเงื่อนไขตามรายงาน EIA ที่ได้รับความเห็นชอบ
  • ให้ถือเป็นฐานประกอบการขออนุญาตจากหน่วยงานอื่น (เช่น ผังเมือง สิ่งปลูกสร้าง ระบบบำบัด ฯลฯ)
  • เมื่อได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานปลายทาง ต้องแจ้งกลับเพื่อให้ สผ. ติดตามในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป (หน้า 2)

เสียงสะท้อนจากรั้วชุมชน กังวลอะไร และโครงการจะตอบอย่างไร

โรงพยาบาลขยาย…ชุมชนต้องอยู่สบายกว่าเดิม” คือประโยคสั้น ๆ ที่สะท้อนความคาดหวังของคนรอบพื้นที่ เมื่อโครงการประกาศแผนเพิ่มเตียงและก่อสร้างอาคาร 8 ชั้น ทุกสายตาจึงจับจ้อง “มาตรการดูแลสิ่งแวดล้อม” ที่จะทำให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น

ระยะก่อสร้าง  ฝุ่น-เสียง-จราจร ต้อง “ชัด-เช็ค-โชว์”

  • ฝุ่น PM และดินโคลน  ควบคุมด้วยผ้าใบคลุมกองวัสดุ ฉีดพ่นน้ำเป็นรอบเวลา กำหนดจุดล้างล้อรถบรรทุกก่อนออกถนนสาธารณะ และทำความสะอาดผิวทางอย่างสม่ำเสมอ
  • เสียงและแรงสั่นสะเทือน  กำหนดเวลาใช้เครื่องจักรเสียงดังในช่วงกลางวัน ติดตั้งแผงกั้นเสียงชั่วคราวตามแนวเขตก่อสร้าง ตรวจวัดระดับเสียง/สั่นสะเทือนเป็นระยะ และแจ้งชุมชนหากมีงานที่ต้องใช้วิธีการก่อสร้างพิเศษ
  • ความปลอดภัยไซต์งาน  กำหนดทางเข้า-ออกเฉพาะรถงานก่อสร้าง ติดตั้งป้ายเตือน ไฟส่องสว่าง กล้องวงจรปิด และผู้ควบคุมการจราจรช่วงเวลาเร่งด่วน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้ถนนพหลโยธินและซอยเชื่อม
  • สื่อสารเชิงรุก  เปิดช่องทางร้องเรียน-แจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง พร้อมกลไกตอบสนองภายในเวลาที่กำหนด และรายงานผลการดำเนินมาตรการบนบอร์ดข้อมูลหน้าไซต์/สื่อออนไลน์ของโครงการ

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง  การก่อสร้างเดินหน้าตามเวลา ขณะที่ผู้พักอาศัยและสถานประกอบการรอบข้างสามารถประกอบกิจวัตรได้โดยไม่ถูกรบกวนเกินมาตรฐาน

ระยะดำเนินการ น้ำเสีย-มูลฝอยติดเชื้อ-จราจรผู้มาใช้บริการ ต้อง “ออกแบบไว้ก่อน”

  • น้ำเสียโรงพยาบาล  แยกเส้นทางน้ำเสียหอผู้ป่วย ห้องผ่าตัด ห้องแลบ ไปบำบัดในระบบเฉพาะของโรงพยาบาล ก่อนระบายต้องผ่านค่ามาตรฐานตามกฎหมาย และติดตั้ง “ระบบเฝ้าระวัง” (Monitoring) รายงานผลต่อหน่วยงานกำกับเป็นระยะ
  • มูลฝอยทั่วไป-ติดเชื้อ  จัดห้องพักมูลฝอยรวมแบบควบคุมอุณหภูมิ/การปนเปื้อน แยกถังสีตามประเภท (ทั่วไป/อันตราย/ติดเชื้อ) และทำสัญญา “ผู้รับกำจัดที่ได้รับอนุญาต” ขนส่งตามเส้นทาง-รอบเวลาเฉพาะ ลดการรบกวนพื้นที่ชุมชน
  • คุณภาพอากาศ-กลิ่น  ห้องเก็บสารเคมี/ยา และระบบกรองอากาศในพื้นที่เสี่ยงใช้ HEPA/ถ่านกัมมันต์ตามหลักวิศวกรรม มีแผนบำรุงรักษาระบบอย่างเคร่งครัด และตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยรอบเป็นระยะ
  • พลังงานและคาร์บอน  ใช้แนวคิดอาคารเขียว (ความหนาผนัง ฉนวน กันความร้อน/รั่วอากาศ) จัดสรรแสงสว่างธรรมชาติ ผสานระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง และบริหารพลังงานสำรอง (เครื่องปั่นไฟ) ให้เหมาะสมเพื่อลดมลพิษทางเสียง/ไอเสีย
  • การจราจรผู้รับบริการ  วางผังทางเข้า-ออกแยกประเภทผู้มาใช้บริการ รถฉุกเฉิน รถส่งของ-ขยะติดเชื้อ และบุคลากร พร้อมที่จอดรถเพียงพอ (รถยนต์ 144 คัน จยย. 23 คัน) และแผนจัดระเบียบจราจรช่วงพีก เช่น คลินิกยอดนิยม/วันตรวจสุขภาพองค์กร

เป้าหมายสูงสุด  โรงพยาบาลที่ “รักษาได้มากขึ้น” แต่ “รบกวนน้อยลง” กับผู้คนรอบข้าง

โครงสร้างกายภาพรองรับบริการเฉพาะทาง และเหตุผลที่ต้องมี “อาคารพักแพทย์”

องค์ประกอบสำคัญของโครงการคือ อาคารพักแพทย์สูง 3 ชั้น โครงสร้างนี้อาจดูเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ แต่มีนัยสำคัญเชิงคุณภาพ โรงพยาบาลภูมิภาคที่ต้องการยกระดับสู่การรักษา “หัตถการซับซ้อน” จำเป็นต้องมี แพทย์เฉพาะทาง ประจำการอย่างเพียงพอ การมีที่อยู่อาศัยคุณภาพในรั้วโรงพยาบาลช่วยดึงดูดและรักษาบุคลากรฝีมือให้อยู่กับระบบบริการนอกเมืองใหญ่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ “ความต่อเนื่องของบริการ” และ “ความเร็วของการตอบสนองภาวะฉุกเฉิน”

เหตุผลเชิงสังคม-เศรษฐกิจ  โรงพยาบาลที่ดี “ประหยัดต้นทุนสังคม” ได้อย่างไร

แม้โครงการมุ่งยกระดับบริการเชิงพาณิชย์ แต่ในเชิงสังคม โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีระบบส่งต่อผู้ป่วยและการแพทย์เฉพาะทางครบวงจร เปรียบเสมือน “โครงสร้างพื้นฐานของเมือง” ที่ช่วย ลดต้นทุนการเดินทางรักษา ของผู้ป่วย/ญาติ และ ลดภาระโรงพยาบาลรัฐ ในบางกลุ่มโรคที่สามารถร่วมบริการได้ นอกจากนี้ ความพร้อมของบริการแพทย์คุณภาพยังเป็นหนึ่งในปัจจัยดึงดูดการลงทุน/การท่องเที่ยว และยกระดับความเชื่อมั่นของเมืองในฐานะจุดหมายปลายทางอยู่อาศัย-ทำงาน-ท่องเที่ยว

ประเด็นที่ชุมชน-หน่วยงานควร “ติดตามต่อ” หลัง EIA ผ่าน

การ “ให้ความเห็นชอบ EIA” เป็นเพียง จุดเริ่มต้นของความรับผิดชอบ โครงการยังต้องเดินหน้าปฏิบัติตามมาตรการและเปิดเผยข้อมูลให้ตรวจสอบได้อย่างต่อเนื่อง ประเด็นที่ควรจับตา ได้แก่

  1. แผนจัดการฝุ่น-เสียง ระยะก่อสร้าง – รายงานผลการตรวจวัดถี่แค่ไหน? วิธีตอบสนองเมื่อเกินค่ามาตรฐานเป็นอย่างไร?
  2. การเดินรถบรรทุกวัสดุ – กำหนดช่วงเวลา/เส้นทางหลีกเลี่ยงชุมชนหรือโรงเรียนแล้วหรือไม่?
  3. ระบบจัดการมูลฝอยติดเชื้อ – ห้องพักมูลฝอยรวมมีการควบคุมการปนเปื้อน/กลิ่นและบันทึกการขนส่งด้วยระบบติดตาม (tracking) หรือไม่?
  4. น้ำเสียสถานพยาบาล – ผลตรวจ BOD, COD, ค่ามาตรฐานอื่น ๆ หลังบำบัดเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอหรือไม่?
  5. ความปลอดภัยชุมชน – การซ้อมแผนอัคคีภัย/สารเคมีรั่วไหล และช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉินของโรงพยาบาลกับชุมชนรอบข้างเชื่อมกันแล้วหรือยัง?
  6. การสื่อสารสาธารณะ – ช่องทางร้องเรียน 24 ชม. ผู้รับผิดชอบ และ SLA ในการแก้ไขข้อร้องเรียน ถูกนำมาใช้จริงและรายงานผลแบบโปร่งใสหรือไม่?

หากคำตอบของทั้ง 6 ข้อ “ชัด-มีหลักฐาน-ตรวจสอบได้” ความเชื่อมั่นของชุมชนย่อมสูงขึ้นตามลำดับ

ไทม์ไลน์และขั้นตอนอนุญาต  จาก EIA สู่ใบอนุญาตปลายทาง

หลังได้รับความเห็นชอบ EIA โครงการต้องเดินหน้าขอใบอนุญาตเฉพาะจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง (เช่น ใบอนุญาตก่อสร้างอาคารตามกฎหมายควบคุมอาคาร ระบบบำบัดน้ำเสีย มาตรฐานห้องเก็บมูลฝอยติดเชื้อ และการเชื่อมต่อสาธารณูปโภค) เมื่อเอกสารอนุญาตครบถ้วนจึงเข้าสู่การก่อสร้างระยะเวลา ประมาณ 24 เดือน ก่อนทดสอบระบบและเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ สผ. ระบุในหนังสือให้โครงการแจ้งกลับเมื่อได้รับอนุญาตจากหน่วยงานปลายทาง เพื่อประสานการติดตามในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 

มุมมองบรรณาธิการ  “อาสาสมัครข้อมูล” คือหัวใจของการอยู่ร่วมกัน

โครงการโรงพยาบาลไม่ใช่อาคารคอนกรีต แต่คือ “ระบบนิเวศของความไว้วางใจ” ระหว่างผู้พัฒนา แพทย์ บุคลากร คนไข้ และชุมชน การทำให้ข้อมูลมาตรการสิ่งแวดล้อม “อยู่ในที่เดียวกัน อ่านง่าย อัปเดตได้” จะลดความกังวลใจและทำให้การรับฟังข้อเสนอจากชุมชนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงรูปธรรมที่โครงการสามารถทำได้ทันที ได้แก่

  • Dashboard สิ่งแวดล้อมสาธารณะ  สรุปค่าฝุ่น-เสียง-น้ำทิ้ง-ข้อร้องเรียนแบบเรียลไทม์/รายเดือน พร้อมคำอธิบายมาตรการแก้ไข
  • Community Walk & Talk  นัดหมายเดินดูไซต์ก่อสร้างร่วมกับตัวแทนชุมชนทุกไตรมาส รับข้อเสนอแนะและสรุป “สิ่งที่แก้แล้ว/กำลังดำเนินการ/กำหนดเสร็จ”
  • Hotline & SLA  ระบุเวลาตอบสนองและเวลาปิดงานร้องเรียนอย่างชัดเจน พร้อมเผยแพร่สถิติการให้บริการประชาชน

หากทำได้ครบ วงจร “รับฟัง-ปรับปรุง-รายงานผล” จะช่วยให้โครงการกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างแท้จริง

“ขยายบริการสุขภาพ” กับ “คุ้มครองสิ่งแวดล้อม” ต้องเดินไปพร้อมกัน

การที่โครงการส่วนต่อขยายโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ผ่านความเห็นชอบรายงาน EIA คือสัญญาณเชิงสถาบันว่า การขยายบริการสุขภาพของเมืองสามารถทำได้โดย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตของผู้คนรอบพื้นที่

ก้าวถัดไปจึงอยู่ที่ วินัยของการปฏิบัติตามมาตรการ, ความโปร่งใสของข้อมูล, และ ความร่วมมือของทุกภาคส่วน หากสามเสาหลักนี้ยืนมั่นคง เชียงรายจะได้ทั้งโรงพยาบาลคุณภาพระดับภูมิภาค และแบบอย่างการพัฒนาเมืองที่เคารพสิ่งแวดล้อมและชุมชนไปพร้อมกัน

ข้อมูลโครงการโดยสรุป

  • ชื่อโครงการ  โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย (ส่วนต่อขยาย)
  • ที่ตั้ง  369 หมู่ 13 ถ.พหลโยธิน ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
  • สถานะ EIA  ให้ความเห็นชอบรายงาน (เลขที่รายงาน 256806-49; หนังสือแจ้งผลจาก สผ. ลงวันที่ 25 กันยายน 2568)
  • ขนาดโครงการ  เพิ่มจำนวนเตียงจาก 57 เป็น 237 เตียง; อาคารใหม่สูง 8 ชั้น + ชั้นใต้ดิน 1; ปรับปรุงอาคารเดิม 7 ชั้น; พื้นที่ใช้สอยรวม 33,860.37 ตร.ม.; จอดรถยนต์ 144 คัน จยย. 23 คัน
  • ระยะเวลาก่อสร้าง  ประมาณ 24 เดือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • หนังสือ สผ. แจ้งผลการพิจารณารายงาน EIA โครงการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย (ส่วนต่อขยาย) ลงวันที่ 25 กันยายน 2568  
  • ภาพสถานะระบบฐานข้อมูลโครงการ EIA
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเผชิญวิกฤตคู่ขนาน ปลดล็อกบ่าย อาจเพิ่มความเสี่ยงบนถนน ภูมิประเทศภูเขา ซับซ้อน

ปลดล็อกเหล้า–เบียร์บ่าย เศรษฐกิจคึกหรือสังคมเสี่ยง? ส.อ.ท.หนุนรายได้ท่องเที่ยว–แต่เตือน “วินัยการทำงาน” ขณะเชียงรายเผชิญวิกฤตคู่ขนาน นักดื่มสูงอันดับ 4 ประเทศ–อุบัติเหตุหนักช่วงเทศกาล

เชียงราย/กรุงเทพฯ, 18 พฤศจิกายน 2568 — เสียงเฮรับไฮซีซันของธุรกิจท่องเที่ยวและบริการดังรับมติ “ปลดล็อกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ช่วง 14.00–17.00 น. ที่ภาครัฐผลักดันโดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภาคเอกชนมองเป็น “สวิทช์ความสะดวก” ให้ผู้ประกอบการเดินเกมการตลาดและบริการนักท่องเที่ยวได้คล่องตัวขึ้น ขณะที่นักเดินทางรู้สึกถึงเสรีภาพในการจับจ่ายช่วงบ่ายที่เคยถูกปิดไว้ แต่ในอีกฟากหนึ่งของสังคม เสียงเตือนเรื่อง “วินัยคนทำงาน” และ “ความปลอดภัยบนท้องถนน” ดังขึ้นพร้อมกัน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงอย่างเชียงรายที่ตัวเลข “ผู้ดื่มสุรา” สูงถึง 53.7% และเคยขึ้นแท่น “ความรุนแรงอุบัติเหตุช่วงเทศกาล” ของประเทศ

ส.อ.ท. ผลบวกชัดต่อท่องเที่ยว–บริการ แต่ต้องมีกติกาในที่ทำงาน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์มองนโยบายปลดล็อกบ่ายว่า “ช่วยกระตุ้นบรรยากาศการท่องเที่ยวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะปลายปี” ภาคบริการ ตั้งแต่ร้านอาหาร บาร์ โรงแรม ไปจนถึงผู้จัดแพ็กเกจ มี “อิสระเชิงเวลา” ให้กำหนดข้อเสนอแบบต่อเนื่อง กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มักกินเวลาหลังอาหารกลางวัน จะได้ประสบการณ์ที่สอดคล้องกับรูปแบบการพักผ่อน ขณะที่ร้านค้าลด “คอขวด” ของช่วงงดขาย เปลี่ยนเป็นจังหวะทำรายได้

อย่างไรก็ดี ส.อ.ท.วางเงื่อนไข “วินัยองค์กร” ไว้อย่างชัดเจน เนื่องจากช่วงเวลา 14.00–17.00 น. เป็น “เวลาทำงานปกติ” ของหลายภาคส่วน บริษัทจึงควรมี นโยบายภายใน ที่รัดกุม เช่น การสื่อสารข้อห้าม การกำหนดแนวปฏิบัติ (เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ห้ามในเวลางาน/ห้ามก่อนขับรถภารกิจ) และระบบตรวจสอบตามบริบท เพื่อคงประสิทธิภาพและภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ พร้อมทั้งเน้นย้ำ “ความปลอดภัยสาธารณะ” โดยเฉพาะการป้องกัน เมาแล้วขับ และการส่งเสริม “การดื่มอย่างรับผิดชอบ”

เชียงราย “วิกฤตคู่ขนาน” ที่ต้องคิดให้จบตั้งแต่วันแรกที่ปลดล็อก

หากมองผ่านแว่นเศรษฐกิจอย่างเดียว ภาคเหนือที่เป็นเมืองท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรม เช่น เชียงราย จะได้รับแรงส่งจากการผ่อนกติกาช่วงบ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้อมูล สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ปี 2567 ระบุว่า เชียงรายมีอัตราผู้ดื่มสุรา 53.7% อยู่อันดับ 4 ของประเทศ รองจากขอนแก่น (64.1%), ลำปาง (59.5%) และมหาสารคาม (56.0%) สัญญาณนี้ชี้ว่า “ความเสี่ยงสุขภาพเรื้อรัง (NCDs)” และ “ความเสี่ยงเฉียบพลันบนถนน” อาจขยับขึ้น หากการบริโภคขยายตัวในช่วงเวลาทำงานและก่อนการเดินทาง

ด้านความปลอดภัยทางถนน เชียงรายถูกบันทึกว่า “รุนแรง” ในช่วงเทศกาลบางปี โดยใน สงกรานต์ 2567 เคยครองสถิติผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุดของประเทศ และในการประเมินภาพรวมระดับชาติ เมาแล้วขับ มีสัดส่วนต่ออุบัติเหตุสูงประมาณ 20.47–23.92% ของคดีสะสมช่วงเทศกาล ขณะที่กลุ่มอายุ 20–29 ปี ถูกชี้ว่าเป็น “ฮอตสปอตทางพฤติกรรม” ทั้งการดื่มและการใช้รถจักรยานยนต์ ยานพาหนะที่สัมพันธ์กับการบาดเจ็บจาก DUI สูงที่สุด

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การปลดล็อกเวลาขายช่วงบ่ายในพื้นที่ที่ “ฐานผู้ดื่มสูงอยู่แล้ว” ยิ่งต้องการ กรอบควบคุมเสริม ที่ประคองให้ “ผลบวกทางเศรษฐกิจ” เดินคู่กับ “ความปลอดภัยสาธารณะ” โดยเฉพาะจังหวัดที่มีภูมิประเทศซับซ้อน เส้นทางภูเขา และการเดินทางท่องเที่ยวข้ามอำเภอ

เศรษฐกิจ vs สังคม จะเอาเพียงด้านเดียวไม่ได้

ด้านเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการท่องเที่ยว บริการได้รับ 3 แต้มหลักทันที (1) เพิ่ม “ช่วงขาย” ช่วงบ่าย ลดการสะดุดขององศารายได้ (2) ทำแพ็กเกจประสบการณ์ต่อเนื่อง อาหารกลางวัน/ทัวร์ระยะสั้น/บาร์คาเฟ่ ให้สอดรับพฤติกรรมนักเที่ยว และ (3) เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าต่างชาติที่คาดหวังความยืดหยุ่นเรื่องเวลา
ด้านสังคม–แรงงาน บริษัทต้องรักษาประสิทธิภาพงาน โดยมีนโยบายห้ามดื่มในเวลางาน/ก่อนขับรถภารกิจ และการตรวจวัดแอลกอฮอล์แบบสุ่มในงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย (เช่น โลจิสติกส์/ช่างภาคสนาม)
ด้านความปลอดภัยสาธารณะ จังหวัดเสี่ยงอย่างเชียงรายต้องเสริม “กรอบคุม” ทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะ 7–10 วันอันตราย

แผนที่เสี่ยงของเชียงราย วัยทำงานตอนต้น รถจักรยานยนต์ ถนนภูเขา

  1. วัยทำงานตอนต้น (20–29 ปี) กลุ่มอายุที่มีอัตราถูกส่งตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดจากอุบัติเหตุสูงสุด หากเปิดจำหน่ายช่วงบ่าย ปฏิทินสังคมหลังเลิกงานอาจขยับมาเร็วขึ้น เป็นช่องให้ “ดื่มก่อนขับ” เกิดขึ้น
  2. รถจักรยานยนต์ ในภาพรวมของประเทศ ยานพาหนะนี้ครองสัดส่วนหลักของการบาดเจ็บจาก DUI ความเสี่ยงจะทวีคูณบนถนนชนบท/เส้นรองที่มีไฟส่องสว่างจำกัด
  3. ภูมิประเทศภูเขา เส้นทางคดเคี้ยว ภูมิอากาศและทัศนวิสัย (หมอก/ฝน) บวกกับความชันและโค้ง ทำให้ “อุบัติเหตุหนึ่งครั้ง” มีโอกาสรุนแรงสูงกว่าพื้นที่ราบ

ถอดบทเรียนเพื่อ “ปลดล็อกอย่างปลอดภัย” ในเชียงราย

เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไปต่อบนความเสี่ยงสังคม ข้อเสนอเชิงระบบต่อเชียงราย ที่สอดคล้องความเห็น ส.อ.ท. และหน่วยงานด้านสาธารณสุข ความปลอดภัย ควรประกอบด้วย 4 ชั้นเชื่อมโยงกัน

ชั้นที่ 1 นายจ้าง–สถานประกอบการ (Workplace Governance)

  • นโยบายห้ามดื่มในเวลางาน/ก่อนไปภารกิจ เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร สื่อสารซ้ำทุกไตรมาส
  • สุ่มตรวจแอลกอฮอล์เฉพาะตำแหน่งเสี่ยง (ขับรถ/โลจิสติกส์/ซ่อมบำรุง/งานบนที่สูง) พร้อมมาตรการทางวินัยที่เป็นธรรม
  • จัดสิทธิพนักงานสำหรับ “ผู้เสี่ยง” เช่น คูปองรถโดยสาร/แท็กซี่ในวันสังสรรค์องค์กร ลดแรงจูงใจขับรถหลังดื่ม

ชั้นที่ 2 ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–บริการ (Responsible Seller)

  • โปรโตคอล “เสิร์ฟอย่างรับผิดชอบ” ฝึกอบรมพนักงานคัดกรองอายุ ภาวะเมา และมีสิทธิ “ปฏิเสธเสิร์ฟ” อย่างปลอดภัย
  • ดีลร่วมขนส่ง สร้างแพ็กเกจ “กิน เที่ยว กลับ” จับมือแท็กซี่/รถรับจ้างท้องถิ่น เพื่อให้ลูกค้ามีทางกลับโดยไม่ต้องขับเอง
  • สื่อสารเชิงบวก ใช้ป้าย/คิวอาร์โค้ดเตือน “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม” ตั้งแต่หน้าร้าน (ภาษไทย อังกฤษ จีน) รับฤดูกาลทัวร์ข้ามแดน

ชั้นที่ 3 จังหวัด ท้องถิ่น (Road Safety & Health)

  • จุดตรวจยืดหยุ่นตลอดปี โฟกัสช่วง 18.00–21.00 น. บนเส้นรอง/รอบสถานบันเทิง/จุดท่องเที่ยว มากกว่ารอเฉพาะเทศกาล
  • DUI Hotspot Mapping ใช้ข้อมูล ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน สาธารณสุข ตำรวจ ทำแผนที่จุดเสี่ยงรายสัปดาห์
  • ทีมชุมชน–อสม. สอดส่องการขายผิดกฎหมาย (ขายให้ <20 ปี/นอกเวลาที่กำหนด) และประสานงานการเตือนภัยท้องถิ่น

ชั้นที่ 4 สาธารณสุข–ป้องกันระยะยาว (Chronic Risk)

  • คลินิกลดเสี่ยง NCDs เจาะกลุ่ม “นักดื่มประจำ” ด้วยการคัดกรองความดัน เบาหวาน ตับ และโปรแกรมงด/ลดแบบสมัครใจ
  • การสื่อสารกับเยาวชน ลดอายุกลุ่มเริ่มดื่มผ่านกิจกรรมโรงเรียน อาชีวะ มหาวิทยาลัย และเข้มบังคับใช้ห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี

จากสถิติสู่การตัดสินใจ ตัวเลขที่ควรจำเมื่อถกนโยบาย

  • 53.7% สัดส่วนผู้ดื่มสุราของประชากรเชียงราย (ปี 2567)   สูงอันดับ 4 ประเทศ
  • 20.47–23.92% สัดส่วนอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับในช่วงเทศกาลระดับชาติ รองจากการขับรถเร็ว
  • กลุ่ม 20–29 ปี กลุ่มอายุที่ถูกส่งตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดจากอุบัติเหตุสูงสุด สัมพันธ์กับรถจักรยานยนต์

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้บอกให้ “หยุด” นโยบายปลดล็อกบ่าย หากแต่บอกให้ “ออกแบบราวกันตก” ที่ชัดเจนตั้งแต่วันแรก โดยเฉพาะในจังหวัดที่เสี่ยงทั้ง “เรื้อรัง” และ “เฉียบพลัน” อย่างเชียงราย

เสียงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สมดุลที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันสร้าง

ภาคธุรกิจ ต้องกล้าประกาศกติกาในองค์กรและลงทุนกับความปลอดภัยของลูกค้า (เช่น ส่วนลดค่ารถกลับบ้าน/ดีลร่วมแท็กซี่)
เจ้าหน้าที่รัฐ ต้องทำ “งานปกติ” ให้เป็น “งานตลอดปี” ขยายจุดตรวจตามจังหวะพฤติกรรมจริง ไม่ใช่รอเฉพาะเทศกาล
ชุมชน มีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวังหน้าร้าน หลังร้าน ลดการขายผิดกฎหมาย และสร้างวัฒนธรรม “เพื่อนเตือนเพื่อน”
ประชาชน เป็นคีย์เวิร์ดสุดท้าย ดื่มอย่างรับผิดชอบ รู้ทางกลับ ปฏิเสธการขับขี่เมื่อมีแอลกอฮอล์ในเลือด

คำถามสำคัญที่ต้องตอบใน 3 เดือนแรกของการปลดล็อก

  1. ตัวเลขอุบัติเหตุ/เมาแล้วขับช่วงเย็น–ค่ำ เปลี่ยนไปหรือไม่ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนปลดล็อก?
  2. ธุรกิจบริการ–ท่องเที่ยว สร้างมาตรฐาน “เสิร์ฟอย่างรับผิดชอบ” ได้ครอบคลุมแค่ไหน และมีผลต่อพฤติกรรมจริงหรือไม่?
  3. เชียงราย สามารถทำ Hotspot Mapping และปรับจุดตรวจให้ตรงจังหวะ “เส้นรอง เวลาเสี่ยง” ได้เร็วเพียงใด?

การตอบคำถามด้วย “ข้อมูลจริง” จะเป็นตัวชี้ว่าประเทศไทยกำลังเดินบนทางที่สมดุลระหว่าง “เศรษฐกิจที่เติบโต” และ “สังคมที่ปลอดภัย” หรือไม่

ปลดล็อกไม่ใช่ปล่อยไหล เชียงรายต้องปลดล็อกบนรางเหล็กของข้อมูล

ปลดล็อกบ่ายคือ “นโยบายเศรษฐกิจ” ที่มองเห็นประโยชน์ได้ทันที แต่สำหรับเชียงราย จังหวัดนักท่องเที่ยวที่มีฐานผู้ดื่มสูงและภูมิประเทศท้าทาย ทุกก้าวต่อไปควรเดินบน “รางเหล็กของข้อมูล” และ “กติกาที่วัดผลได้” หากทุกฟันเฟือง ผู้ว่าฯ อปท. ตำรวจ สาธารณสุข ผู้ประกอบการ สถานศึกษา ชุมชน ขันแน่นเป็นวงเดียวกัน เม็ดเงินที่ไหลเข้าจะไม่ถูกแลกด้วยชีวิตบนท้องถนน

ประโยคชวนคิด “เศรษฐกิจดีขึ้นหนึ่งก้าว มีค่าก็ต่อเมื่อความปลอดภัยไม่ถอยหลังสองก้าว เชียงรายทำได้ ถ้าขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและความรับผิดชอบร่วมกัน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.)
  • กรมควบคุมโรค / กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)
  • คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัด/สสส.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

9 เดือนแรกปี 68 เด็กเกิดใหม่ลด 10% ประชากรไทยเสี่ยงต่ำกว่า 66 ล้านคน

ประเทศไทยกำลังหดเล็กลงจากภายใน “เกิดน้อยลง ตายมากขึ้น” ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ แต่คือแนวโน้มถาวร

เชียงราย / ประเทศไทย, 25 ตุลาคม 2568 — ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดเปลี่ยนทางโครงสร้างประชากรครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ หลายคนอาจรู้สึกว่าเรื่อง “คนเกิดน้อยลง” เป็นเพียงประเด็นข่าวเชิงสังคม แต่หากมองลึกลงไปในตัวเลข จะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องของอนาคตที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป หากแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังขยายตัว และเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยอย่างเป็นรูปธรรม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ปี 2568 มีแนวโน้มจะเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันที่ “จำนวนคนเกิดใหม่ของไทยน้อยกว่าจำนวนผู้เสียชีวิต” โดยกระแสนี้เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ความหมายของปรากฏการณ์นี้คือ ประชากรไทยโดยกำเนิดกำลังหดตัวลงเรื่อย ๆ ไม่ได้เกิดจากการย้ายถิ่นออกต่างประเทศ หรือการเปลี่ยนแปลงการนับสถิติ แต่เกิดจากธรรมชาติของสังคมไทยเอง นั่นคือ เกิดใหม่น้อยกว่าเสียชีวิต ซ้ำต่อเนื่อง

สิ่งที่หลายฝ่ายกังวล คือปรากฏการณ์นี้ไม่ได้สะท้อนแค่เรื่องจำนวนคน แต่สะท้อนถึงเสถียรภาพของกำลังแรงงานฐานราก ความสามารถในการบริโภคภายในประเทศ ความสามารถในการจัดเก็บภาษีของรัฐ ตลอดจนภาระด้านสุขภาพและสวัสดิการผู้สูงอายุที่กำลังเร่งตัวขึ้นในอัตราที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ประชากรไทย

คนไทย “เกิดน้อย ตายมากขึ้น” ตัวเลขที่ไม่มีใครอยากได้ยิน แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีเด็กเกิดใหม่ที่ลงทะเบียนจำนวน 309,644 คน โดยลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนเชิงโครงสร้างว่าอัตราการเกิด (fertility) ของไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีตัวชี้วัดว่ากำลังจะฟื้นตัว

ในเวลาเดียวกัน จำนวนผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับสูง และในหลายจังหวัดกลับมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนเด็กเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดที่มีช่องว่างสูงสุด ได้แก่

  1. นครราชสีมา
  2. ขอนแก่น
  3. ร้อยเอ็ด

พื้นที่เหล่านี้เคยเป็นฐานประชากรหลักของภูมิภาคอีสานที่สร้างแรงงานให้ทั้งภาคอุตสาหกรรมและบริการของประเทศ แต่วันนี้กำลังส่อสัญญาณการหดตัวทางประชากรในระดับโครงสร้าง นั่นหมายความว่า “คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ ไม่ได้มีจำนวนเพียงพอที่จะแทนที่คนรุ่นก่อน”

สัญญาณอีกประการหนึ่งที่ชี้ว่าปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ในบางพื้นที่ คือความเสี่ยงที่จำนวนประชากรไทยทั้งประเทศอาจลดลงต่ำกว่า 66 ล้านคนภายในปี 2568 หากแนวโน้มดังกล่าวดำเนินต่อไปโดยไม่มีมาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ

วิกฤตที่ไม่ใช่แค่ “สังคมสูงวัย” แต่เป็น “ประเทศที่เล็กลงจากภายใน”

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยมาหลายปีแล้ว แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วง 4-5 ปีหลัง คือการเปลี่ยนผ่านจาก “สังคมสูงวัย” ไปสู่ “สังคมที่หดตัวทางประชากร” (Population Shrinkage) นั่นหมายถึงไม่ใช่แค่สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แต่จำนวนประชากรทั้งระบบกำลังหายไปช้า ๆ ทุกปี

ในเชิงโครงสร้าง ประชากรไทยกำลังเปลี่ยนไปอย่างน้อย 3 มิติพร้อมกัน ได้แก่

  1. คนวัยทำงานสัดส่วนลดลง
    สัดส่วนประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) ค่อย ๆ ลดลง ในขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอาจแตะระดับกว่าหนึ่งในสามของทั้งประเทศในระยะไม่กี่สิบปีข้างหน้า
    แนวโน้มนี้สอดคล้องกับฉากทัศน์ที่ระบุว่า สัดส่วนผู้สูงอายุของไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นจนถึงระดับราว 36% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่แรงงานวัยทำงานอาจลดลงเหลือใกล้เคียงครึ่งเดียวของประเทศภายในช่วงไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ซึ่งหมายถึงฐานผู้เสียภาษีและผู้ผลิตสินค้า-บริการจะเล็กลง เมื่อเทียบกับจำนวนผู้พึ่งพิงระบบสวัสดิการ
  2. จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่อปีลดลงต่อเนื่อง
    คนรุ่นใหม่จำนวนมากแต่งงานช้าลง มีลูกช้าลง หรือเลือกไม่มีบุตรเลย ปัจจัยที่ผลักดันการตัดสินใจเหล่านี้มีทั้งด้านเศรษฐกิจ (ค่าครองชีพสูง ค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตร) ด้านโอกาสทางอาชีพ (ผู้หญิงอยู่ในตลาดแรงงานยาวนานขึ้น) และด้านความไม่แน่นอนทางสังคม (ภาวะหนี้ครัวเรือน ความไม่มั่นคงทางรายได้)
    ผลลัพธ์คือ อัตราเกิดหยาบ (Crude Birth Rate: CBR) ลดลงแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่ลดลงชั่วคราว
  3. จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุ
    จำนวนผู้เสียชีวิตต่อปีเพิ่มขึ้น ไม่ได้เกิดจากวิกฤตสุขภาพเฉียบพลันเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากข้อเท็จจริงว่าโครงสร้างประชากรของประเทศ “แก่แล้ว” คนจำนวนมากเข้าสู่วัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตตามธรรมชาติในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
    หรือกล่าวอีกแบบได้ว่า ระบบของเรากำลังเดินหน้าไปสู่ภาวะที่คนรุ่นใหญ่ทยอยออกจากระบบเร็วกว่าอัตราที่คนรุ่นใหม่เข้ามาแทน

ผลของทั้งสามมิติข้างต้นเมื่อรวมกัน นำไปสู่สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์แรงงานและนักประชากรศาสตร์เตือนมานาน ประเทศไทยไม่เพียงแก่ตัวลง แต่กำลัง “บางลง” ทางเศรษฐกิจ

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ แรงงานหาย การบริโภคลด ภาระรัฐเพิ่ม

ตัวเลขประชากรไม่ใช่เพียงข้อมูลเชิงสังคม แต่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

จากการวิเคราะห์เชิงนโยบาย สามารถสรุปแรงกดดันหลักที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้

  1. การขาดแคลนแรงงาน
    เมื่อแรงงานวัยทำงาน (15-59 ปี) มีสัดส่วนลดลง และคนรุ่นใหม่เข้าระบบแรงงานน้อยลงเรื่อย ๆ ภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการจะต้องแข่งขันกันบนฐานแรงงานที่เล็กลงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้จะยิ่งหนักในจังหวัดที่ประชากรวัยทำงานย้ายออกไปทำงานต่างพื้นที่หรือเดินทางไปต่างประเทศ
    ความเสี่ยงที่ตามมาคือธุรกิจภาคการผลิตต้นน้ำและกลางน้ำอาจเริ่มพบปัญหาแรงงานขาดแคลนเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เป็นช่วงสั้น ๆ ตามวัฏจักรเศรษฐกิจอีกต่อไป
  2. แนวโน้มการบริโภคภายในประเทศชะลอลง
    ประชากรสูงอายุมีแนวโน้มใช้จ่ายในรูปแบบที่แตกต่างจากคนวัยทำงาน โดยเฉพาะการใช้จ่ายสินค้าคงทนและการลงทุนเพื่ออนาคตของครอบครัว (เช่น ค่าเล่าเรียนลูก ค่าที่อยู่อาศัยใหม่) ซึ่งเป็นหมวดใช้จ่ายที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
    เมื่อสัดส่วนครัวเรือนที่อยู่ในวัยขยายครอบครัวลดลง เศรษฐกิจในประเทศเผชิญแรงเสียดทานต่อการเติบโตในเชิงโครงสร้าง แม้จะไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจฉับพลันก็ตาม
  3. ภาระทางการคลังเพิ่มขึ้น
    ประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัวจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณด้านรายได้พื้นฐานผู้สูงอายุ การดูแลสุขภาพระยะยาว (Long-Term Care) และการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มากขึ้นทุกปี
    ในบริบทไทย แนวโน้มนี้ปรากฏชัดเจน โดยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการด้านรายได้และสุขภาพผู้สูงอายุมีอัตราเร่งตัวสูงกว่าการเติบโตของฐานภาษี ในระยะยาว ภาระนี้อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 7% ตามประมาณการการขยายตัวของค่าใช้จ่ายในหมวดสวัสดิการและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ (อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี หรือ CAGR ในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง)
    กล่าวได้ว่า รัฐต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อดูแลคนที่อยู่ในวัยพึ่งพาระบบ ในขณะที่ฐานผู้จ่ายภาษีมีแนวโน้มเล็กลง

เชียงรายในภาพใหญ่ โครงสร้างประชากรชายแดนกับความจริงที่ซับซ้อนกว่า “จำนวนคนในทะเบียนบ้าน”

หากมองลึกลงไปที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนภาคเหนือและเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนสำคัญ เราจะเห็นภาพอีกชั้นหนึ่งของวิกฤตโครงสร้างประชากรที่ซับซ้อนกว่าการ “เกิดน้อย ตายมาก” แบบตรงไปตรงมา

การวิเคราะห์ข้อมูลประชากร การเกิด และการตายในจังหวัดเชียงราย ระหว่างปีงบประมาณ 2564–2567 พบว่า จังหวัดกำลังเคลื่อนเข้าสู่จุดที่ “อัตราเพิ่มตามธรรมชาติ” (Rate of Natural Increase: RNI) ใกล้ศูนย์หรืออาจติดลบในอนาคตอันใกล้ กล่าวคือ จำนวนการตายเริ่มเข้าใกล้หรือเทียบเท่ากับจำนวนการเกิดแล้ว

แรงผลักดันสำคัญของสถานการณ์นี้มาจาก 2 ปัจจัยหลัก

  1. ภาวะเจริญพันธุ์ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    แนวโน้มการเกิดมีชีพในเชียงรายลดลงตามโครงสร้างเดียวกันกับทั้งประเทศ และสอดคล้องกับพฤติกรรมประชากรวัยทำงานที่มีแนวโน้มสร้างครอบครัวช้าลง รวมทั้งต้องเผชิญภาระค่าครองชีพของครัวเรือนที่สูงขึ้น
  2. อัตราการตายเพิ่มขึ้นตามโครงสร้างอายุที่สูงขึ้น
    จังหวัดเชียงรายมีสัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จำนวนการตายที่ลงทะเบียนขยับสูงขึ้นในช่วงปี 2564–2567 ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เดียวกับหลายจังหวัดในภาคเหนือที่เข้าสู่สังคมสูงอายุแบบก้าวกระโดด

อย่างไรก็ตาม จุดที่ทำให้เชียงรายแตกต่างจากหลายจังหวัดอื่น คือ “ประชากรที่อยู่อาศัยจริง” ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ “ประชากรตามทะเบียนบ้าน”

ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ชี้ว่า ในหลายพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย มีประชากรที่พำนักระยะยาวจำนวนมากซึ่งไม่ได้ปรากฏในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรตามระบบของกรมการปกครอง (DOPA) ประชากรกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยเป็นแรงงานข้ามชาติ โดยพบว่ามีรูปแบบการอยู่อาศัยระยะยาวในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา บางส่วนอยู่อาศัยในพื้นที่ 2-19 ปี ซึ่งในทางปฏิบัติ พวกเขาใช้สาธารณูปโภค การบริการสาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่นเหมือนคนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิด “ความคลาดเคลื่อนเชิงนโยบาย” อย่างน้อย 2 ประการ

  • หนึ่ง การจัดสรรงบประมาณภาครัฐส่วนใหญ่ โดยเฉพาะงบสาธารณสุขและการศึกษา มักอ้างอิงจำนวนประชากรตามทะเบียนบ้าน (de jure) ไม่ใช่จำนวนคนที่ใช้บริการจริง (de facto) นั่นหมายความว่า ในพื้นที่อย่างแม่สาย เทศบาลและหน่วยบริการสุขภาพอาจต้องรองรับคนจำนวนมากกว่าที่ได้รับงบประมาณมารองรับจริง
  • สอง การนับสถิติการเกิดและการตายอาจไม่ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่พำนักจริงเหล่านี้ได้ครบถ้วน ส่งผลให้ภาพรวมทางสถิติของจังหวัดดูเหมือนว่ามีเด็กเกิดน้อยมาก แต่ความต้องการด้านสาธารณสุขแม่และเด็กยังคงอยู่ หรือดูเหมือนมีการตายสูง แต่ไม่ได้สะท้อนภาระบริการระยะยาวทั้งหมดต่อหน่วยงานพื้นที่

กล่าวอีกแบบคือ จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญ “โจทย์คู่ขนาน” โจทย์หนึ่งคือการจัดการประชากรตามทะเบียน ซึ่งกำลังสูงวัยอย่างรวดเร็ว และอีกโจทย์หนึ่งคือการรองรับประชากรที่พำนักจริงในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมักเป็นแรงงานและครอบครัวแรงงานข้ามชาติที่ยังอยู่ในวัยทำงานและวัยเด็ก

เชียงราย ความเปราะบางที่เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมวัย

นอกจากปริมาณประชากรที่ลดลงแล้ว จังหวัดเชียงรายยังเผชิญโจทย์สำคัญในเชิงคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์รุ่นถัดไป

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (อ้างอิงจากระบบติดตามตัวชี้วัดด้านอนามัยแม่และเด็กในปี 2567) ระบุว่า ร้อยละของเด็กอายุ 0–5 ปี ในจังหวัดเชียงรายที่มีพัฒนาการ “สมวัย” อยู่เพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในระดับ ≥87%

ความหมายของตัวเลขนี้รุนแรงกว่าที่เห็นในบรรทัดเดียว เพราะมันสะท้อน “วิกฤตซ้อน” ดังนี้

  • จำนวนเด็กเกิดใหม่ในจังหวัดลดลง
  • แต่ในบรรดาเด็กที่เกิดขึ้นมาจำนวนไม่มากนั้น เกือบครึ่งหนึ่งมีพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัยในเกณฑ์ที่กระทรวงฯ คาดหวัง

กล่าวอีกแบบคือ ไม่ใช่แค่ “เรามีเด็กน้อยลง” แต่ “เรากำลังเสี่ยงจะมีเด็กที่เริ่มต้นชีวิตด้วยข้อจำกัดมากขึ้น” ซึ่งจะส่งผลในระยะยาวต่อสมรรถนะการเรียนรู้ ความพร้อมเข้าสู่ระบบการศึกษา ความสามารถในการแข่งขันทางอาชีพ และท้ายที่สุดคือศักยภาพแรงงานของจังหวัดและของประเทศ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการแก้ปัญหาเชิงประชากรในวันนี้ ไม่อาจจำกัดความหมายแค่การส่งเสริม “ให้มีลูกมากขึ้น” เท่านั้น แต่ยังต้องลงทุนเชิงรุกใน Early Childhood Intervention Programs หรือมาตรการแทรกแซงพัฒนาการเด็กปฐมวัย อาทิ โภชนาการ การกระตุ้นพัฒนาการ การดูแลด้านสุขภาพแม่และเด็ก รวมถึงการสนับสนุนครอบครัวเปราะบางทางเศรษฐกิจ

เพราะถ้าประเทศไทยกำลังจะมีเด็กน้อยลงจริง เด็กทุกคนจึงยิ่ง “มีความหมายทางเศรษฐกิจและสังคม” มากขึ้นเป็นทวีคูณ

โครงสร้างการตายและภาระสุขภาพระยะยาว สัญญาณเตือนจากผู้สูงอายุ

การที่จำนวนผู้เสียชีวิตในจังหวัดเชียงรายและทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงปี 2564–2567 ไม่ได้เป็นหลักฐานของความล้มเหลวทางการแพทย์ แต่เป็นผลตามธรรมชาติของโครงสร้างประชากรสูงวัย สิ่งที่สะท้อนอยู่ใต้ตัวเลขนี้คือ “ภาระด้านระบบสุขภาพ” ที่กำลังเปลี่ยนทิศ

เมื่อคนสูงวัยเพิ่มขึ้นจำนวนมากขึ้นพร้อมกัน ความต้องการบริการสุขภาพระยะยาว การดูแลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) และบริการดูแลระยะท้ายชีวิต (palliative care) จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่า ระบบสาธารณสุขระดับจังหวัดจำเป็นต้องโยกทรัพยากรจากบริการมารดาและทารก — ที่ความต้องการลดลงตามจำนวนการเกิด — ไปสู่บริการดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ

ในระบบประเมินผลของกระทรวงสาธารณสุข ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพของการดูแลชีวิต เช่น อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (Maternal Mortality Ratio: MMR) ยังคงถูกติดตามอย่างเข้มงวด โดยตั้งเป้าให้ต่ำกว่า 16 ต่อการเกิดมีชีพแสนคน การที่หน่วยงานระดับจังหวัดต้องรายงานตัวเลขเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ สะท้อนความเที่ยงตรงของฐานข้อมูลการตายและคุณภาพการดูแลเคสที่เสี่ยงสูง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของตัวเลขการตายโดยรวม

กล่าวในเชิงนโยบาย นี่คือจุดเปลี่ยนของระบบสาธารณสุขในจังหวัดอย่างเชียงราย จากระบบที่เคยถูกออกแบบเพื่อ “รองรับการเกิดใหม่จำนวนมาก” ไปสู่ระบบที่ต้อง “ดูแลประชากรสูงอายุจำนวนมาก ที่มีชีวิตยืดยาวขึ้น แต่ต้องการการดูแลที่ซับซ้อนขึ้น”

ปี 2568 จุดวัดทิศทางอนาคตผ่าน “สำมะโนประชากร”

การคาดการณ์ประชากรเชียงรายและของประเทศสำหรับปี 2568 เป็นการประมาณการเบื้องต้นโดยต่อแนวโน้มจากปี 2564–2567 โดยใช้ข้อมูลการเกิด การตาย และโครงสร้างอายุจากแหล่งข้อมูลหลักของกรมการปกครอง (DOPA) และกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านประชากรย้ำว่าปี 2568 ไม่ใช่ “ปีปกติ” เพราะจะมีหมุดหมายสำคัญด้านข้อมูล นั่นคือ “การสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568” ที่มีกำหนดเริ่มเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568

การสำมะโนประชากรมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ

  1. เป็นโอกาสในการ “อัปเดตความจริง” เกี่ยวกับจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริง (de facto population) เทียบกับจำนวนประชากรตามทะเบียน (de jure population) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย
  2. เป็นโอกาสในการตรวจสอบโครงสร้างอายุจริงในระดับพื้นที่ เพื่อประเมินแรงกดดันด้านภาระการดูแลผู้สูงอายุและความต้องการบริการสุขภาพ
  3. เป็นจุดตั้งต้นของการคำนวณฐานภาษีและการจัดสรรงบประมาณในระยะถัดไป ซึ่งหมายความว่า “งบประมาณของจังหวัดหลังปี 2568” อาจสะท้อนสภาพจริงของประชากรมากขึ้น หากข้อมูลสำมะโนสะท้อนจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริง ไม่ใช่เพียงจำนวนคนที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน

กล่าวอีกอย่าง ปี 2568 เป็นปีที่ข้อมูลจริงจะเริ่มไล่ทันความเป็นจริงทางสังคม และข้อมูลดังกล่าวจะกลับมามีผลต่อการจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐในระดับจังหวัดและประเทศ

ทางออกเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ชวนมีลูก แต่ต้อง “ลงทุนกับคนทุกวัย”

เมื่อพิจารณาปัญหาทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัดอย่างเชียงราย ภาพรวมชี้ไปที่ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ 3 มิติต่อไปนี้

  1. ยกระดับศักยภาพแรงงาน (Upskill / Reskill) แทนการหวังเพียงจำนวนแรงงาน
    ในบริบทที่แรงงานวัยทำงานลดลงต่อเนื่อง ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (productivity) ของคนที่ยังอยู่ในระบบ มากกว่าหวังเพียงว่าจำนวนคนทำงานจะกลับมาเพิ่มขึ้นเอง
    นโยบายการยกระดับทักษะ (upskill) และปรับทักษะใหม่ (reskill) โดยเฉพาะในสาขาที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เป็นหนึ่งในแนวทางที่ถูกพูดถึงในระดับนโยบายเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน แม้แรงงานรวมจะลดลง
  2. พิจารณานโยบายขยายอายุเกษียณอย่างรอบด้าน
    การขยับอายุเกษียณเป็นประเด็นที่เริ่มถูกหยิบขึ้นมาหารือในนโยบายสาธารณะมากขึ้น โดยมีโจทย์ที่ต้องตอบให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น อายุเกษียณที่เหมาะสมคือเท่าใด? จะทยอยปรับอย่างไร? ภาคธุรกิจพร้อมหรือไม่? และระบบสวัสดิการแรงงานปัจจุบันรองรับแรงงานสูงอายุที่ยังต้องการทำงานได้หรือไม่?
    ประเด็นนี้มีความสำคัญโดยเฉพาะในจังหวัดที่แรงงานวัยกลางคนยังเป็นฐานหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น เชียงราย ซึ่งมีบทบาทเป็นจังหวัดการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-การเกษตร
  3. ลงทุนในช่วงปฐมวัยอย่างเข้มข้นในพื้นที่เสี่ยง
    กรณีเชียงรายเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าประชากรเด็กไม่ได้มีเพียง “น้อยลง” แต่ยังมีสัดส่วนพัฒนาการไม่สมวัยสูง โดยมีเพียงราว 46.35% ของเด็กอายุ 0–5 ปี ที่อยู่ในเกณฑ์พัฒนาการตามวัย เทียบกับเป้าหมายระดับนโยบายที่ตั้งไว้มากกว่านั้นอย่างมีนัยสำคัญ
    หากไม่เร่งลงทุนในระบบสนับสนุนปฐมวัย วันนี้ เราอาจกำลังปล่อยให้ “คนรุ่นต่อไป” เริ่มต้นชีวิตด้วยเงื่อนไขเชิงพัฒนาการที่ถดถอย ทั้งในเชิงการเรียนรู้ สุขภาพกาย-ใจ และความพร้อมในตลาดแรงงานในอีก 15-20 ปีข้างหน้า

วิกฤตประชากรไม่ใช่วิกฤตของอนาคตอีกต่อไป แต่มาถึงแล้ว

ปี 2568 ไม่ใช่แค่ปีที่ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ลดลงอีก 10% จนเหลือ 309,644 คนในช่วง 9 เดือนแรกของปีเท่านั้น ไม่ใช่แค่ปีที่ประเทศไทยอาจมีประชากรต่ำกว่า 66 ล้านคนเป็นครั้งแรก แต่เป็นปีที่ประเทศไทยต้องยอมรับความจริงว่า “วิกฤตโครงสร้างประชากร” คือประเด็นเศรษฐกิจ การคลัง สาธารณสุข และความมั่นคงทางสังคมในระดับชาติ

จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายยิ่งตอกย้ำความซับซ้อนของปัญหา เมื่อจำนวนประชากรตามทะเบียนกำลังแก่ตัวและเติบโตช้า ขณะที่จำนวนผู้อยู่อาศัยจริงในพื้นที่ โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติและครอบครัว กลับสร้างภาระเชิงบริการสาธารณะจริง แต่ไม่ได้สะท้อนในฐานงบประมาณอย่างเต็มที่

ในอีกด้าน เรากำลังเห็นปรากฏการณ์ที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ คุณภาพของประชากรรุ่นต่อไป ซึ่งในบางพื้นที่ ตัวเลขเด็กเล็กที่มีพัฒนาการสมวัยอยู่เพียงราวครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่กำหนด นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขด้านสาธารณสุข แต่คือสัญญาณล่วงหน้าของความสามารถในการแข่งขันของจังหวัด ของภูมิภาค และของประเทศทั้งระบบ

กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์ประชากรสองชุดในเวลาเดียวกัน คนเกิดใหม่น้อยลง คนสูงวัยมากขึ้น และความต้องการบริการสาธารณะในพื้นที่ชายแดนที่ซับซ้อนขึ้น ในเงื่อนไขเช่นนี้ การแก้ไขปัญหาไม่อาจเป็นเพียงการรณรงค์ “ให้มีลูกเยอะขึ้น” อย่างในอดีต แต่ต้องเป็นการปรับโครงสร้างนโยบายทั้งระบบ ตั้งแต่การยกระดับแรงงานไปจนถึงการดูแลเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิด และการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับจำนวนคนที่อาศัยอยู่จริงในพื้นที่

และในที่สุด คำถามสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ “เรามีคนเหลืออยู่กี่ล้านคน” แต่อาจเป็น “เราพร้อมหรือยังกับการอยู่ในประเทศที่เล็กลง สูงวัยขึ้น และแข่งขันได้ยากขึ้น — หากไม่เร่งปรับวันนี้”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลประชากรกลางปีและทะเบียนราษฎร จากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง (DOPA)
  • กำหนดการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 ซึ่งระบุการเริ่มต้นเก็บข้อมูลในวันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อปรับฐานข้อมูลประชากรที่แท้จริงสำหรับการวางแผนนโยบายหลังปี 2568
  • ระบบตัวชี้วัดกระทรวงสาธารณสุข (MOPH) ในปีงบประมาณ 2567–2568 ซึ่งติดตามตัวชี้วัดสำคัญ อาทิ อัตราการตายมารดาต่อการเกิดมีชีพแสนคน (ตั้งเป้าน้อยกว่า 16), อัตราการดูแลแม่และเด็ก รวมถึงตัวชี้วัดพัฒนาการเด็กเล็กอายุ 0–5 ปี ที่บรรลุผลจริงเพียง 46.35% เมื่อเทียบกับเป้าหมายระดับ ≥87%
  • KResearch
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ราคาทรุด! ปลาเศรษฐกิจแม่น้ำกกดิ่งเหว ชุมชนปากน้ำร้องรัฐวางแผนน้ำสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

วิกฤต “สารพิษแม่น้ำกก” เขย่าเศรษฐกิจริมฝั่งน้ำ—ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ยื่น 4 ข้อเสนอเยียวยา–หยุดต้นเหตุ ขณะที่จังหวัดเร่งวาง Flood Mark-สำรวจน้ำบาดาลสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

เชียงราย, 16 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นริมปากแม่น้ำกก ลมเหนือพัดแรงพอจะทำให้ผืนแหตาข่ายปลิวกระทบกันเป็นจังหวะ แต่เสียงหัวเราะของชาวประมงไม่คึกคักดังเช่นเดิม แผงขายปลาที่เคยคึกครื้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ “ข่าวสารพิษในแม่น้ำกก” ขึ้นหน้าสื่อเมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหดหาย ราคาปลาท้องถิ่นทรุดลงต่อเนื่อง และรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำเกือบหยุดชะงัก

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ชาวประมงจาก บ้านเชียงแสนน้อย–บ้านสบคำ ต.เวียง และบ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน รวม 30 คน เปิด “เวทีระดมข้อมูลผลกระทบ” ที่ศาลาตลาดปลาบ้านเชียงแสนน้อย โดยมี ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ลงบันทึกข้อเท็จจริง–เสียงสะท้อน และ “ข้อเสนอ 4 ข้อ” ส่งถึงหน่วยงานรัฐ ระบุชัดเป็นทางออกทั้งระยะสั้นและยาว หลังชุมชนรับผลกระทบจาก การปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองต้นน้ำฝั่งพม่า ซึ่งไหลลงสู่ลุ่มน้ำกก

 “ความเสี่ยงไม่แน่ชัด” จนกลายเป็น “ความกลัวแน่ชัด”

จุดหักเหเกิดขึ้นราว 9 เมษายน 2568 เมื่อมีประกาศให้งดการลงเล่นแม่น้ำกกจากการตรวจพบ “สารปนเปื้อน” ต่อมา 22 เมษายน 2568 ข่าว “ปลาป่วยเป็นตุ่ม” ถูกเผยแพร่กว้างขวาง อันเป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกของชุมชนผู้ผูกพันกับสายน้ำ กระทั่งช่วงปลายเดือนเมษายน รายงานการตรวจคุณภาพน้ำที่พบ “สารหนู” โดยหน่วยงานสิ่งแวดล้อมกลาง ถูกตีความในสังคมอย่างแตกต่าง—แม้ กรมประมง จะย้ำว่า สารตกค้างในตัวปลา “ไม่เกินมาตรฐาน” และยังบริโภคได้ แต่ในเชิงพฤติกรรม ผู้บริโภคจำนวนมากเลือก “เลี่ยง” มากกว่า “เสี่ยง”

ในเวลาต่อมา คลื่นข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่สะท้อนภาพที่น่ากังวลยิ่งขึ้น การตรวจรอบที่ 4 ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย ชี้ว่า น้ำประปาหมู่บ้าน 18 แห่งมีการปนเปื้อนสารตะกั่ว (บางแห่งพบทั้งตะกั่วและสารหนู) พร้อมสัญญาณ “สารโลหะหนัก” ใน ผักบุ้ง–ผักกาด และในปลาบางชนิด (เช่น ปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์ ปลากระดี่ ปลานิล) แม้ส่วนใหญ่ ยังไม่เกินค่าอ้างอิง แต่การบริโภคซ้ำอย่างต่อเนื่องในชุมชนพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ ย่อมสร้าง “ความเสี่ยงสะสม” โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

เสียงเตือนจากนักวิชาการสะท้อนชัด ดร.สืบสกุล กิจนุกร เรียกร้องรัฐ “สื่อสารให้ตรงไปตรงมา” เลิกใช้คำกำกวมอย่าง “ไม่เกินมาตรฐาน” แล้วเปลี่ยนเป็น “พบสารโลหะหนักแต่ไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจความเสี่ยงจริง นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจครั้งล่าสุด ไม่มีการตรวจ “ปรอท” ในตัวปลา ทั้งที่จังหวัดใกล้เคียงอย่างเชียงใหม่ตรวจและรายงาน พร้อมเผยข้อมูล ผลตรวจปัสสาวะประชาชน 7 รายมี “สารหนูเกินมาตรฐาน” ซึ่งควรถูกสื่อสารและติดตามซ้ำอย่างโปร่งใส

ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ จาก CHIA Platform เสนอให้ หยุดจ่ายน้ำ” ที่โรงเรียน ที่ตรวจพบการปนเปื้อนทันที จัดหาน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นใช้ชั่วคราว ตรวจสอบและยกระดับระบบบำบัด พร้อมประเมินภาวะสุขภาพกลุ่มเสี่ยง (หญิงตั้งครรภ์–เด็กเล็ก) อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ผศ.เสถียร ฉันทะ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรภ.เชียงราย เตือนว่าตะกั่วกระทบระบบประสาทอย่างรุนแรง โดย WHO และการประปาส่วนภูมิภาคกำหนดค่าสูงสุดในน้ำดื่มที่ 0.01 มก./ล. จึงย้ำให้รัฐเปิดเผยข้อมูลและเร่งหา “แหล่งน้ำดิบใหม่” สำหรับผลิตประปาชุมชนโดยเร็ว

ชีวิตชาวประมงปากน้ำกก เมื่อฤดูกาลยังมา แต่รายได้ไม่กลับ

เศรษฐกิจของ 3 ชุมชนปลายน้ำกกผูกกับ “จังหวะน้ำ–วงจรปลา” อย่างแยกไม่ออก

  • ฤดูน้ำหลาก (พฤษภาคม–กันยายน) ปลาแม่น้ำโขงอพยพเข้าแม่น้ำกก จับได้มากที่สุด รายได้สูงสุดของปี
  • ฤดูน้ำลง/ปลาล่อง (ตุลาคม–พฤศจิกายน) ปลาไหลกลับสู่โขง ยังจับได้ต่อ
  • ฤดูแล้ง (ธันวาคม–เมษายน) จับปลาได้น้อย ชาวประมงซ่อมอุปกรณ์–หาเลี้ยงจากแหล่งน้ำย่อย

ภาวะปกติ 6 เดือนของน้ำหลาก+น้ำลง คือ “ห้วงทำเงิน” เฉลี่ย 52,000 บาท/คน/ฤดูกาล สำหรับชาวประมงรายย่อย แต่วงจรปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม

  • เมษายน 2568 ข่าวปนเปื้อนเริ่มกระจาย
  • พฤษภาคม เริ่มขายปลายาก–ราคาตก
  • มิถุนายน–กันยายน แทบ ขายไม่ได้เลย จับได้ก็บริโภคเอง
  • ตุลาคม เริ่มขายได้บ้าง แต่ ทั้งราคา–ปริมาณไม่กลับเท่าเดิม

ราคาปลาเศรษฐกิจ “หักหัวทิ่ม” ในเวลาอันสั้น

  • ปลาเค้า จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก.
  • ปลาแข้ จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก. (ยังขายยาก)
  • ปลาคางเบือน จาก 350 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลากา (เพี้ย) จาก 150 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลาโจก จาก 250 เหลือ 240 บาท/กก.
  • ปลากด จาก 120 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลากดคัง จาก 250 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลาสะงั่ว จาก 400 เหลือ 300 บาท/กก.

ขณะเดียวกัน ต้นทุนคงที่ ของอาชีพประมงพื้นบ้านกลับ “ไม่ลดตาม” ค่าเรือและเครื่องเรือราว 25,000 บาท ค่าน้ำมันเฉพาะฤดูทำการ 18,000 บาท “มองไหล” (อวนตาถี่) 10 ผืน คนละ 45,000 บาท และ ไซลั่น 10 อัน 5,000 บาท รวม เฉลี่ย 83,000 บาท/คน/ปี เมื่อนำมาคูณกับ ชาวประมง 41 ราย ในสามชุมชน (สบคำ 22, สบกก 12, เชียงแสนน้อย 7) เฉพาะ “ทุนอุปกรณ์” ที่สูญเสียไปในปีนี้พุ่งถึง 3,403,000 บาท—ยังไม่รวม ค่าเสียโอกาส จากรายได้ที่หายไปทั้งฤดูกาล

“จับได้ก็ต้องกินเอง จะให้ทิ้งก็ไม่ได้ แต่ขายก็ไม่มีคนซื้อ” — เสียงเล่าซ้ำ ๆ บนเวทีสะท้อน “วิกฤตความเชื่อมั่น” มากกว่าปัญหา “ปริมาณปลา”

4 ข้อเสนอจากชุมชน เยียวยา–สื่อสารตรง–หยุดสารพิษ–ดูแลสุขภาพ

ข้อเสนอร่วมของ ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ต่อภาครัฐ ได้แก่

  1. เยียวยา–ชดเชยรายได้ ที่ขาดหายไปจากอาชีพประมง และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายคงที่ด้านอุปกรณ์/ซ่อมบำรุง
  2. สื่อสารตรงไปตรงมา ชัดเจน และปฏิบัติได้จริง ลดความกำกวมที่ทำให้ชาวบ้าน–ผู้บริโภคสับสน
  3. แก้ที่ต้นเหตุ ให้รัฐบาล เจรจา–กดดัน ฝั่งต้นน้ำให้ หยุดปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ ตามกรอบความร่วมมือข้ามพรมแดน
  4. ตรวจสุขภาพต่อเนื่อง เปิดเผยผล ตรวจย้ำแยกแยะ สารหนูอินทรีย์–อนินทรีย์ พร้อมคำแนะนำป้องกันที่ปฏิบัติได้จริง

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากชุมชนในลุ่มน้ำกก “ตั้งแต่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ถึงปากน้ำกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย” เพื่อยื่นข้อเสนออย่างเป็นระบบต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ

ด้านจังหวัด–ส่วนกลาง เร่งแผนคู่ขนาน น้ำสำรอง–ข้อมูลน้ำท่วม–แผนที่เสี่ยง

วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้มีเพียง “สารพิษ” แต่ยังทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงน้ำหลาก” ที่ลุ่มน้ำกกเผชิญเป็นระยะ 15 ตุลาคม 2568 จังหวัดเชียงรายเปิดประชุมที่ ปภ.จังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ขับเคลื่อนโครงการ ติดตั้งเครื่องหมายระดับคราบน้ำท่วม (Flood Mark) เป็น “ความทรงจำของน้ำ” บนพื้นที่จริง เพื่อนำไปสู่ แผนที่เสี่ยง (Flood Map) และ แผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี Mobile Mapping System (MMS) สำรวจความสูงภูมิประเทศ กว่า 120 กม. ตั้ง หมุด Flood Mark ไม่น้อยกว่า 500 จุด เชื่อมความร่วมมือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย–เทศบาลนครเชียงราย–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้งบสนับสนุนจาก สสน. (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, องค์การมหาชน) และโครงการ CDP ร่วมประสาน TNDR

ในมิติ “น้ำกินน้ำใช้” ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติเดินเกม แผนน้ำสำรอง นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี/รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมาย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจ–คัดเลือก บ่อบาดาลสำรอง สำหรับระบบประปาหมู่บ้านใน ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย โดย สำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 1 (ลำปาง) ลงพื้นที่ร่วมกับ สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ เทศบาลตำบลแม่ยาว ใน 3 หมู่บ้าน (รวมมิตร–ห้วยทรายขาว–ผาสุก) รวมแล้ว ราว 20 จุด พร้อมเปิดรับจุดสำรวจเพิ่มเติม เพื่อทดแทนการใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกในพื้นที่เสี่ยง

มาตรการเชิงรุกดังกล่าวสื่อสาร “แนวทางแก้ปัญหาที่จับต้องได้” ระหว่างที่ผลตรวจสารปนเปื้อนยังต้องเฝ้าระวังและสื่อสารต่อเนื่อง

นโยบาย–ธรรมาภิบาลน้ำแบบข้ามพรมแดน ช่องว่างที่ควรปิด

แม่น้ำกกเป็นสายน้ำที่มี มิติข้ามพรมแดน เชื่อมพื้นที่ต้นน้ำฝั่งพม่าเข้าสู่ไทย ความเสี่ยงจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ—ซึ่งถูกระบุโดยชุมชนว่าเป็นต้นตอการปนเปื้อน—สะท้อนความจำเป็นของ กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) และระดับหน่วยงานวิชาการ (S2S Science-to-Science) เพื่อตกลง มาตรฐานการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–เยียวยา ที่เท่าทัน หากไม่ปิดช่องว่างนี้ ปลายน้ำอย่างเชียงรายจะต้องเผชิญ “ความไม่แน่นอน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตีวงกว้างตั้งแต่ สุขภาพ–เศรษฐกิจฐานราก–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ไปจนถึง ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

ในเชิงสื่อสารสาธารณะ บทเรียนสำคัญคือ ความชัดเจนมาก่อนความสบายใจ” ภาษาราชการที่ไม่ตรงประเด็นอาจทำให้ประชาชน “สบายใจชั่วครู่” แต่ “ไม่ปลอดภัยในระยะยาว” แนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอ—บอกความจริงตามข้อมูลล่าสุด แยกแยะสารแต่ละชนิด ระบุพื้นที่เสี่ยง–กลุ่มเสี่ยง พร้อมมาตรการปฏิบัติ—คือสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ชุมชนตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ เข้าใจง่าย–ตรวจสอบได้

จาก “ความกลัว” สู่ “แผนที่–น้ำสำรอง–ตัวชี้วัดสุขภาพ”

แม้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง แต่ “เส้นทางคลี่คลาย” เริ่มมีองค์ประกอบชัดเจนมากขึ้น

  1. สตอรีไลน์ของน้ำ — เมื่อ Flood Mark ถูกปักไว้เป็นร้อยจุด และ MMS แปลงความสูงภูมิประเทศเป็นข้อมูลดิจิทัล พื้นที่ปลายน้ำกกจะมี “แผนที่เสี่ยงน้ำท่วม” ที่อ้างอิงเหตุการณ์จริง ลดความไม่แน่นอนของฤดูน้ำหลาก สร้าง “ปฏิทินน้ำ” ที่วางแผนล่วงหน้าได้
  2. น้ำดื่มน้ำใช้ที่มั่นคง — เมื่อ “น้ำบาดาลสำรอง” ถูกพัฒนาเป็นเครือข่ายจ่ายน้ำให้ประปาชุมชน พื้นที่เสี่ยงสามารถ “สลับแหล่งน้ำดิบ” ได้ทันทีเมื่อตรวจพบสารปนเปื้อน ลดการพึ่งพาแม่น้ำหลักในช่วงวิกฤต
  3. สุขภาพที่ติดตามได้ — เมื่อตัวชี้วัดสุขภาพ (เช่น การตรวจปัสสาวะสารหนู, คัดกรองภาวะโลหะหนักในกลุ่มเสี่ยง, แนวทางโภชนาการช่วงเฝ้าระวัง) ถูก ประกาศ–อัปเดต–อธิบาย อย่างสม่ำเสมอ ความสามารถของประชาชนในการป้องกันตนเองจะสูงขึ้นทันที
  4. เยียวยาที่เป็นธรรม — หากมาตรการเยียวยารายได้–ช่วยค่าอุปกรณ์–ค้ำประกันสินเชื่ออาชีพ (ชั่วคราว) ของชาวประมงเกิดขึ้นจริง พร้อม “ตลาดทางเลือก” สำหรับช่วงฟื้นความเชื่อมั่น (เช่น อุดหนุนปลาจากแหล่งน้ำที่ปลอดภัย–โปรแกรมรับซื้อประกันราคา) วงจรรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำจะเริ่มหายใจได้อีกครั้ง

หยุดสารพิษที่ต้นน้ำ–เยียวยาปลายน้ำ–ทำให้ข้อมูลไหลเหมือนน้ำ

สิ่งที่ชุมชนขอไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม—เยียวยาทันที, ข้อมูลตรงไปตรงมา, เจรจากับต้นน้ำให้หยุดปล่อยสารพิษ, และ ตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดคือ “มาตรการมนุษย์พื้นฐาน” ในวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่การจะเดินทางไปถึงจุดนั้น ต้องมี “ระบบข้อมูล” ที่ โปร่งใส–ต่อเนื่อง–สื่อสารเป็น และ “ระบบน้ำ” ที่ ยืดหยุ่น–มีทางเลือก–สำรองได้

เชียงรายกำลังวางรากฐานผ่าน Flood Mark–MMS–บ่อบาดาลสำรอง ขณะที่นักวิชาการและภาคประชาชนกำลังช่วยกัน “ทำให้ข้อมูลไม่กำกวม” บทบาทต่อจากนี้ของรัฐ—ทั้งส่วนกลาง–ส่วนท้องถิ่น—คือ เชื่อมทุกเส้นให้ทำงานพร้อมกัน ตั้งแต่โต๊ะเจรจาข้ามพรมแดน ไปจนถึงโต๊ะกินข้าวของครัวเรือนชาวประมง ถ้าทำได้ “ความกลัว” จะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วย “ความเชื่อมั่นใหม่” ที่วัดผลได้ทั้งใน ตัวเลขสุขภาพ–กระเป๋าสตางค์–ราคาปลา และ เสียงหัวเราะริมฝั่งน้ำ ที่จะกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)
  • รายงานสาธารณสุข/ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แก้วิกฤตแม่น้ำกก รัฐ-วิชาการ-ประชาชน ผนึกกำลังหาแหล่งน้ำสำรองและหยุดมลพิษ

ปฏิบัติการลุ่มน้ำกก” รัฐ–ประชาชน–วิชาการ ร่วมคลี่ปมมลพิษข้ามพรมแดน รองนายกฯ สุชาติ เปิดเวทีรับฟัง–สั่งเร่งตรวจน้ำ–หาแหล่งน้ำสำรอง เดินเกมบูรณาการ “ข้อมูล–ความเชื่อมั่น–การทูตน้ำ”

เชียงราย/เชียงใหม่, 9 ตุลาคม 2568นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก่อนเปลี่ยนเป็นอากาศยานปีกหมุนขึ้นสำรวจแนวลำน้ำกกต่อเนื่อง จากเชียงใหม่ถึงเชียงราย โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงฯ และคณะผู้บริหารในสังกัดร่วมภารกิจ และได้รับการต้อนรับ รายงานสถานการณ์จาก ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่–เชียงราย ตลอดจนหน่วยงานทรัพยากรน้ำ สาธารณสุข และปกครองท้องถิ่น

“สิ่งที่มารับฟังในวันนี้คือ ความตั้งใจจริง ของรัฐบาล เราจะเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม”—นายสุชาติ ชมกลิ่น ย้ำต่อหน้าชาวบ้านและผู้นำชุมชนที่บ้านท่าตอน

น้ำ–ดิน–อาหาร–วิถีชีวิต ใต้เงามลพิษข้ามพรมแดน

ปมปัญหาที่ซับซ้อนเริ่มจาก ข้อกังวลเรื่องสารหนูและโลหะหนัก ในแม่น้ำกก–สาขา (รวก–สาย) ที่ไหลลงโขง สะท้อนผ่านความไม่มั่นใจของชุมชนต่อการ อุปโภค–บริโภค และผลกระทบ เศรษฐกิจท้องถิ่น–การท่องเที่ยว นานเดือน จนเกิดเสียงเรียกร้องให้รัฐ “เร่ง ตรงจุด โปร่งใส” โดยเฉพาะการตรวจวัดที่ “เร็วถึงพื้นที่” ไม่ต้องส่งตัวอย่างเข้าเมืองหลวงให้เสียเวลา

ด้านข้อมูลเชิงสุขภาพสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รายงานว่าจากการเฝ้าระวังช่วงที่ผ่านมา ค่าคุณภาพน้ำเพื่อการอุปโภค (ประปาผิวดิน–ภูเขา–บาดาล–บ่อน้ำตื้น) รวมทั้งการตรวจ ค่าสารหนูในปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยง อยู่ในเกณฑ์ ไม่เกินมาตรฐาน เช่นเดียวกับผลตรวจ สารหนู–ตะกั่ว–ปรอท ในพืชผักและปลาในลุ่มน้ำ (ปริมาณ ไม่เกินค่ามาตรฐาน) ขณะ ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย ยืนยันว่าการบริโภคปลาในแม่น้ำ “ทานได้ไม่เป็นอันตราย” ในเงื่อนไขที่พบโดยทั่วไปและร่างกายขับออกได้ตามธรรมชาติ

แต่ ผลตรวจ “ไม่เกินมาตรฐาน” ไม่ได้แปลว่า ความเชื่อมั่น” จะกลับมาในทันที—ตัวแทนชาวบ้านสะท้อน ราคาพืชผลตกต่ำ–นักท่องเที่ยวชะลอ–ธุรกิจย่อยต้องควักเงินสำรอง ขณะข้อเสนอบางแนวทางโครงสร้าง (เช่น ฝายดักตะกอน) ยังก่อคำถาม “จะซ้ำเติมระบบนิเวศหรือไม่” และ “จะทำให้ชาวบ้านกลายเป็นหนูทดลองหรือเปล่า”

เวทีเดียว หลายเสียง 10 ข้อเสนอประชาชน ฝ่ายค้าน นักวิชาการ

จุดแข็งของวันลงพื้นที่คือ “การเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้พูด” ในเวทีเดียวกัน นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม (ฝ่ายค้าน) ร่วมภารกิจตามคำเชิญของรองนายกฯ พร้อมยื่น 10 ข้อเสนอ ตั้งแต่การ จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ ทดแทนแม่น้ำกก–รวก–สาย–โขง สำหรับเมืองหลักของเชียงราย (อ.เมือง–เวียงชัย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) การ จัดหาแหล่งน้ำใหม่/ปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน อย่างน้อย 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำ การ ตรวจคุณภาพดิน–ผลผลิต ในลุ่มน้ำกก (พื้นที่ลุ่ม 12,000 ไร่ ใน ต.ท่าตอน) และ ข้าวนาปีมากกว่า 100,000 ไร่ ในเขตชลประทาน ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อคุ้มครองทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

สาระสำคัญยังรวมถึงการตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย–เชียงใหม่ เพื่อให้การเฝ้าระวังใน น้ำ–ตะกอน–ดิน–ผลผลิตเกษตร–ปลา–สัตว์น้ำ–มนุษย์ ทำได้ ใกล้–เร็ว–ต้นทุนต่ำ พ่วง “กลไกข้ามแดน” เช่น ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่เชื่อมโยงต้นเหตุ, ตั้ง คณะทำงานร่วม รัฐ–วิชาการ–ประชาชน เพื่อเฝ้าระวัง เยียวยาฟื้นฟูลุ่มน้ำ และการเปิดเวที การทูตน้ำ กับเมียนมา–จีน รวมถึงยกประเด็นสู่กรอบ GMS/ACMECS และเวทีโลกอย่าง COP (UNFCCC) เพื่อกดดันเชิงนโยบาย หยุดต้นตอมลพิษข้ามพรมแดน อย่างยั่งยืน

“เราเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้ารัฐบาลเชิญเพื่อประโยชน์ประชาชน เรายินดีไป และย้ำ 10 ข้อข้อเสนอเพื่อคืนความปลอดภัยน้ำ–ดิน–อาหารให้พี่น้อง”—นายกัณวีร์ สืบแสง

นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ชี้เฉพาะพื้นที่เกษตร ~130,000 ไร่ ที่กำลังออกผลผลิต ต้องตรวจโลหะหนักเร่งด่วน ขณะที่ ภาคประชาสังคม สะท้อนภาพเหมืองฝั่งต้นน้ำในรัฐฉานที่ “มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า” ใกล้ชายแดนไทย—ตอกย้ำว่าทางออกจำเป็นต้อง คิดเชื่อมแดน–เชื่อมสถาบัน–เชื่อมข้อมูล” ไม่ใช่แก้เฉพาะหน้าฝั่งไทยเท่านั้น

คำตอบจากรัฐ เร่งตรวจ–เร่งน้ำ–เร่งข้อมูล และ “ไม่ยึดติดฝ่าย”

ต่อหน้าข้อเสนอและเสียงสะท้อน นายสุชาติ ขีดเส้น 3 งานเร่งด่วนที่ กระทรวง ทส. ทำได้ทันที

  1. งานข้อมูล–คุณภาพน้ำ มอบหมาย กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตั้ง ชุดตรวจประจำจุด ในพื้นที่ให้ผลตรวจ “รวดเร็วและสื่อสารได้” ลดเวลารอจากการส่งเข้ากรุงเทพฯ และให้ผลระดับที่ประชาชน “อ่านเข้าใจได้”
  2. งานน้ำเร่งด่วน ให้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.) สำรวจ–ขุดแหล่งน้ำบาดาลฉุกเฉิน และให้ กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.) ประสาน การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) หา แหล่งน้ำดิบสำรอง เพื่อกระบวนการผลิตน้ำประปาที่มีต้นทุน–สารเคมีต่ำลง ตอบโจทย์ “ปลอดภัย–เพียงพอ–ยืดหยุ่น”
  3. งานมีส่วนร่วม–โครงสร้าง กรณีโครงการ ฝายดักตะกอน ยืนยันต้องผ่าน เวทีรับฟัง/ประชาพิจารณ์ และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน “อาจสร้าง–ไม่สร้าง–หรือปรับวิธีแก้” ก็ได้—ไม่ใช้ชาวบ้านเป็นหนูทดลอง

“เราไม่ยึดติดว่าใครฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราไม่ได้เก่งทุกอย่าง คนที่เก่งกว่าเรายังมี—เชิญมาให้ความรู้ แล้วเอาไปใช้เพื่อประชาชน” — สุชาติ ชมกลิ่น เน้นวัฒนธรรมการทำงาน “ไร้เส้นแบ่ง” ระหว่างรัฐ–ฝ่ายค้าน–เอ็นจีโอ–นักวิชาการ

ขณะเดียวกัน รองนายกฯ ระบุได้พูดคุยกับ รองนายกฯ/รมว.เกษตรฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อบูรณาการภารกิจที่เกี่ยวข้อง โดยย้ำว่าหากประชาชน ไม่ต้องการฝาย” เจ้าหน้าที่รัฐก็ ทำไม่ได้” เพราะคนในพื้นที่รู้ดีที่สุด

บ่ายเชียงราย กำลังใจแนวหน้า–ตั้งหลัก PM2.5 ก่อนฤดูไฟป่า

จากแม่อายสู่เมืองเชียงราย บ่ายวันเดียวกัน นายสุชาติ เดินทางไป ศูนย์ฝึกอบรมที่ 4 (เชียงราย) มอบเสบียง–ถุงยังชีพให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ กรมป่าไม้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ “แนวหน้าดูแลผืนป่า” พร้อมเน้นการทำงานเชิงบูรณาการ อนุรักษ์–ฟื้นฟู–ใช้ประโยชน์อย่างสมดุล และการเตรียม แผนรับมือไฟป่า–หมอกควัน–PM2.5 ที่จะวนกลับมาในฤดูแล้ง

ภาพการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ “เสือไฟ–ชุดควบคุมไฟป่า–อนุรักษ์สัตว์ป่า” ไม่ได้เป็นเพียงพิธี หากเชื่อมกับ บริบทคุณภาพอากาศ ที่ภูมิภาคนี้ต้องเผชิญเป็นประจำ และเชื่อมกับ บริบทคุณภาพน้ำ ที่กำลังแก้ไข—เพราะท้ายที่สุด น้ำ–ดิน–อากาศ–ป่า คือระบบเดียวกัน

ตัวเลขสำคัญ เหตุผลที่ “เร็ว–ชัด–ร่วม” จำเป็น

  • 30 หมู่บ้าน ตลอดลำน้ำกก–รวก–โขง (ฝั่งเชียงใหม่–เชียงราย) ที่ต้องปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้าน–แหล่งน้ำใหม่
  • 12,000 ไร่ (ที่ราบลุ่มน้ำกก ต.ท่าตอน) และ >100,000 ไร่ (ข้าวนาปีในเขตชลประทานลุ่มน้ำกก–สาย–รวก) ที่ภาควิชาการเสนอให้ตรวจโลหะหนักก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อ ความปลอดภัยของผู้บริโภค–ความมั่นใจของตลาด
  • การตั้ง ศูนย์ตรวจโลหะหนักระดับจังหวัด จะลด “ค่าใช้จ่าย–เวลา–ระยะทาง” เมื่อเทียบกับการส่งตรวจในกรุงเทพฯ ทำให้ ข้อมูลทันการสื่อสารสาธารณะ
  • งาน แหล่งน้ำดิบสำรอง/บาดาลฉุกเฉิน ลดการพึ่งน้ำผิวดินช่วง “สภาวะเสี่ยง” และลด ต้นทุนสารเคมี ในกระบวนการทำประปา
  • มาตรการ การทูตน้ำ และ การค้าระหว่างประเทศ (เช่น หยุดนำเข้าแร่จากเมียนมา ที่โยงแหล่งเหมืองเสี่ยง) ทำให้ การแก้ต้นเหตุ เป็นไปได้จริงในระยะกลาง–ยาว

บทสนทนาที่เริ่มแล้ว จากฝั่งฟ้าถึงฝั่งน้ำ

ช่วงท้ายวัน นายสุชาติ เข้าร่วมประชุมที่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย กับผู้ว่าฯ เครือข่ายภาคประชาสังคม และหน่วยงานรัฐ โดยระบุว่า คพ. จะเป็น “แม่งานตรวจน้ำ” เพื่อให้ผลตรวจ เร็วและสม่ำเสมอ ส่วนงานประมง–ความปลอดภัยอาหาร ให้ สาธารณสุข ช่วยสื่อสาร “เกณฑ์–บริบท” อย่างเข้าใจง่ายและต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากพื้นที่—ถนนกัดเซาะจากน้ำท่วม, ครัวเรือนต้องจัดหาน้ำเอง, พืชผล–การท่องเที่ยวสะดุด—ล้วนถูก จด–จำ–จับคู่หน่วย เพื่อให้การเยียวยา–กอบกู้ความเชื่อมั่นเดินคู่กับการเฝ้าระวังเชิงระบบ และการวาง แผนน้ำดิบระยะยาว (เช่น แนวทางปรับไปใช้แหล่งน้ำอื่นของ กปภ. ในบางจุด พร้อมกรอบก่อสร้างที่หน่วยงานแจ้งไทม์ไลน์ของตน)

“ปัญหาแม่น้ำกกเกี่ยวข้องความมั่นคงมนุษย์ เราต้องสู้เพื่อประชาชน ด้วยข้อมูล–ความร่วมมือ–และการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา”—สารสำคัญที่รองนายกฯ ทิ้งไว้

เส้นทาง “สามขาความเชื่อมั่น” น้ำปลอดภัย–ข้อมูลโปร่งใส–ทูตน้ำเชิงรุก

  1. ความปลอดภัยเชิงปฏิบัติการ (Operational Safety) การตั้ง “จุดตรวจถี่–ผลเร็ว–อธิบายได้” ของ คพ. คือกุญแจเรียกความเชื่อมั่นกลับมา งานบาดาลฉุกเฉิน–แหล่งน้ำสำรองเป็น กันชนความเสี่ยง ให้ระบบประปาเดินได้แม้ในภาวะไม่แน่นอน
  2. ความโปร่งใสเชิงสื่อสาร (Risk Communication) ผล “ไม่เกินมาตรฐาน” ต้องมาคู่ บริบท–คำอธิบาย–คู่มือใช้ชีวิต (เช่น แนวทางบริโภคปลา, การล้าง–ปรุง, การคัดเลือกแหล่งน้ำในครัวเรือน) และ แดชบอร์ดสาธารณะ ที่อัปเดตรายวัน/รายสัปดาห์
  3. การทูตน้ำ–เศรษฐกิจ (Transboundary Governance) การยกระดับประเด็นสู่ GMS/ACMECS/COP และกลไกการค้า (หยุดนำเข้าแร่จากเหมืองเสี่ยง) คือ “แรงส่งต้นน้ำ” ที่ไทยต้องขับเคลื่อนคู่การแก้ปลายน้ำ เพื่อไม่ให้ “ลุ่มน้ำไทย” กลายเป็นผู้รับภาระฝ่ายเดียว

ลำน้ำเดียวกัน–ผลลัพธ์เดียวกัน

ภาพเฮลิคอปเตอร์ที่บินตามลำน้ำกกในเช้าวันนี้ เป็นทั้ง สัญลักษณ์ และ สัญญา ว่า “ลำน้ำเดียวกัน” ต้องได้ ผลลัพธ์เดียวกัน — น้ำที่ปลอดภัย อาหารที่ไว้วางใจได้ เศรษฐกิจชุมชนที่ฟื้นตัว และการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ชัดเจนบนฐานข้อมูล รัฐ–ฝ่ายค้าน–นักวิชาการ–เอ็นจีโอ–ชุมชนต่างเห็นพ้อง “สู้ร่วมกันได้” หาก เป้าหมายคือประชาชน และ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำ (ทรพ.)
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทธบ.)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมป่าไม้
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ / จังหวัดเชียงราย และศาลากลางจังหวัด
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 / หน่วยงานปกครองท้องถิ่น
  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กรมอนามัย / ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย กระทรวงสาธารณสุข
  • ภาคประชาสังคมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–รวก–สาย และผู้แทนชุมชน
  • นักวิชาการมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายวิชาการที่เกี่ยวข้อง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์เดินเครื่องลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี ด้วย 7 นโยบาย Quick Big Win

ศุภจี” คลายปมเศรษฐกิจด้วย 7 นโยบายพาณิชย์ เดินเครื่อง “Quick Big Win” ลดภาระประชาชน–หนุนส่งออก–อุดช่องโหว่การค้า ดึงเอกชนสุขภาพร่วมลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568 — ใเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการจากส่วนกลาง พาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์จากกว่า 50 แห่งทั่วโลก “เสียงสัญญาณ” ของการเปลี่ยนเกียร์เศรษฐกิจดังชัด เมื่อ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศ 7 นโยบายสำคัญ ที่จะเดินหน้าแบบ “Quick Big Win”—ทำสั้น ให้ได้ผล และกระจายประโยชน์เร็ว—โดยไม่ละทิ้งเป้าหมายการวาง “รากฐานยั่งยืน” สำหรับเศรษฐกิจไทยระยะยาว

สารตั้งต้นของนโยบายชุดนี้มีสองชั้นความหมายที่ขนานกันเดิน ชั้นแรกคือ การคลี่คลายปมเร่งด่วน—ภาษี การค้าชายแดน ค่าครองชีพ เกษตร—เพื่อบรรเทาความเปราะบางของครัวเรือนและผู้ประกอบการ หลังเผชิญความผันผวนต่อเนื่องหลายปี ชั้นที่สองคือ การวางรางวิ่งใหม่ ผ่าน FTA ดิจิทัลเทรด และการใช้ AI กับกฎระเบียบ เพื่อให้เศรษฐกิจไทย ก้าวจากการตามให้ทัน ไปสู่การนำบางสมรภูมิ

1) ภาษีสหรัฐฯ–ข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (ART) และ “ดิจิทัล C/O” ปิดช่องทุจริต–เร่ง AD ด้วย AI

กระทรวงพาณิชย์วางหมุดวันที่ ธันวาคม 2568 สำหรับการสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ เดินคู่กับการยกระดับ กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) สู่ ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งผลลัพธ์เริ่มชัด—จาก “หลักร้อยกรณี/ปี” ของเอกสารปลอม เหลือ 5 กรณีในปี 2567 และ ไม่พบในปี 2568

อีกด้านหนึ่ง กระบวนการ ตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping AD) ที่เคยกินเวลายาว 12–18 เดือน จะถูก บีบเหลือ 9 เดือน ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล และพิสูจน์หลักฐาน เพื่อ คุ้มครองผู้ประกอบการไทยเร็วขึ้น ลดความเสียหายจากการแข่งขันไม่เป็นธรรมในตลาดโลก

สัญญาณต่อผู้ส่งออก ชัดเจนว่าไทยกำลัง “ปัดฝุ่นเครื่องมือ” ให้เข้ายุค—โปร่งใส คล่องตัว และเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานได้จริง ซึ่งจะสะท้อนเป็นความเชื่อมั่นจากคู่ค้า และลดความเสี่ยงจากปัญหาสินค้าสวมสิทธิที่บั่นทอนเครดิตประเทศ

2) การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ช่วยคน–ช่วยร้านเล็ก–เร่งหาตลาดทดแทน

ภายใต้สถานการณ์ชายแดนที่ผู้ค้าหลายพื้นที่ รายได้สะดุด กระทรวงพาณิชย์จัดชุดมาตรการตรงจุด—ตั้งแต่ มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ, สนับสนุนค่าขนส่งฟรี 100 บาท/ชิ้น ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย เพื่อพยุง ผู้ประกอบการรายย่อย, จัดช่องทางตลาดใหม่ทดแทน พร้อมสั่งการ พาณิชย์จังหวัด ใน 7 จังหวัดชายแดน ให้ อยู่หน้างาน ประสานงานใกล้ชิดประชาชนและผู้ค้า

มาตรการชุดนี้มี จุดเน้นเชิงคุณภาพ คือรักษา “ชีพจรกิจกรรมเศรษฐกิจ” ไม่ให้สะดุด—เมื่อชายแดนฝั่งหนึ่งชะลอ ก็ เลี้ยวหาตลาดใหม่ ให้ร้านเล็กอยู่รอดได้ระหว่างรอการฟื้นตัว

3) FTA และบุกตลาดใหม่ จับชีพจรโลก–ต่อท่อโอกาส

บนเข็มนาฬิกาการค้าโลก ไทยพุ่งเป้าหลายแนวรบพร้อมกัน

  • FTA ไทย–เอฟตา (EFTA) ตั้งใจให้ มีผลบังคับใช้ในครึ่งแรกปี 2569
  • FTA ไทย–อียู พยายาม ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาส 1/2569
  • FTA ไทย–เกาหลีใต้ ตั้งใจ ปิดดีลภายในปี 2568

ควบคู่กันคือการใช้เครือข่าย ทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่ง “บุกตลาดใหม่” ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย–ยูเออี), แอฟริกาใต้, เอเชียใต้ (อินเดีย) และ อาเซียน (เวียดนาม) โดยใช้รูปแบบ จับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย (B2B Matching) และกิจกรรมเจรจา เชิงรุก–เฉพาะสินค้า เพื่อดึงดีมานด์ที่สอดคล้องกับ โครงสร้างการผลิตไทย มากกว่าเกมปริมาณ

ตัวเลขคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์ตั้งความหวังต่อภาพรวมการส่งออก ปีนี้โต 6–7% สูงกว่าเป้าเดิม—ตัวเลขที่สะท้อนความเชื่อว่าการเปิดตลาดใหม่และเครื่องมือ FTA จะกลบแรงต้านจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่เต็มแรง

4) ดูแลค่าครองชีพ ธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี + จับมือโรงพยาบาลเอกชน เปิดราคายาเปิดทางเลือกซื้อยานอก รพ.

ด้าน ค่าครองชีพ—หัวใจของเศรษฐกิจครัวเรือน—กระทรวงพาณิชย์ประกาศเดินหน้า มหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี เป้าหมาย ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาท/ปี พร้อม “ดีลใหญ่” ในภาคสุขภาพ MOU กับ โรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่ง ให้ เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน และ เปิดทางเลือกให้ซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล ซึ่ง คาดลดรายจ่ายประชาชนได้ราว 32,400 ล้านบาท/ปี ทั้งยังช่วย ลดความแออัดโรงพยาบาลรัฐ และเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วยความเชื่อมั่นใน ความโปร่งใสของราคา

เสียงสะท้อนจากเอกชนสุขภาพ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุสมาคมฯ ยินดีร่วมมือ ชี้หลายโรงพยาบาลประกาศราคาและส่งข้อมูลดิจิทัลให้กระทรวงอยู่แล้ว และพร้อมยกระดับให้ “เห็นชัด ประกอบการตัดสินใจได้จริง” โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จะมีการประชุมหารือรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์

ภาพใหญ่ของมาตรการนี้สอดคล้องกับบริบทตลาด ttb analytics ที่ประเมินว่า รายได้รวมภาคโรงพยาบาลเอกชนปี 2567 แตะ 3.22 แสนล้านบาท โตต่อเนื่องจากโครงสร้างประชากรและความต้องการบริการสุขภาพ—จังหวะนโยบายจึงมุ่ง เพิ่มทางเลือกและความโปร่งใส เพื่อลดภาระประชาชน โดยไม่บั่นทอนมาตรฐานการให้บริการของเอกชน

5) รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โฟกัส “ข้าว” และการเชื่อมส่งออก

สำหรับภาคเกษตร—กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจฐานราก—กระทรวงวาง แพ็กเกจเสถียรภาพราคา โดยเฉพาะ ข้าว ที่คาดผลผลิตปีนี้ 21.8 ล้านตัน และมี สต๊อก 3.5 ล้านตัน มาตรการประกอบด้วย สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อชะลอการขาย, บทบาทสหกรณ์รับสต๊อก, ช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ส่งออก จะเร่งการขายทั้ง จีทูจีกับจีน (ขึ้นจาก 280,000 ตัน 500,000 ตัน) และการทำ MOU กับญี่ปุ่น–สิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตา

เหนือมาตรการเชิงปริมาณ กระทรวงยังผลักดัน การปรับตัวสู่พืชคุณภาพสูง—เช่นสินค้าที่มี GI หรือพืชที่ตลาดเฉพาะต้องการ—เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันราคาต่ำและความผันผวนสภาพอากาศ ซึ่งจะยกระดับ รายได้ต่อไร่ มากกว่าการยึดติดแต่ปริมาณผลผลิต

6) เสริมแกร่ง SMEs เปิดตลาดยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีการค้า

SMEs ไทยเป็นทั้ง ผู้จ้างงานหลัก และ ต้นทางนวัตกรรมท้องถิ่น นโยบายจึงมุ่งสามแนว

  1. เข้าถึงตลาดใหม่—เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา—ผ่านเครื่องมือทูตพาณิชย์และโครงการเจรจาเฉพาะภูมิภาค
  2. ยกระดับคุณภาพความน่าเชื่อถือ ด้วยตรารับรองอย่าง Thailand Trust Mark และ Thai SELECT เพื่อให้ “แบรนด์ไทย” ข้ามพรมแดนได้ง่าย
  3. เครื่องมือดิจิทัลของรัฐ ผ่านแพลตฟอร์ม “MOC+” เป็น One-Stop ให้ SMEs เข้าถึงข้อมูลสิทธิประโยชน์คำปรึกษาสินเชื่อได้สะดวกขึ้น ลดต้นทุนเวลาในการทำธุรกรรมกับรัฐ

7) ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์อุปสงค์อุปทาน และดัน e-Commerce ท้องถิ่นสู่สากล

บนสนามกฎระเบียบ กระทรวงตั้งเป้า ไล่เคลียร์อุปสรรค ที่ขัดการทำธุรกิจ และนำ AI มาช่วย เก็บวิเคราะห์ข้อมูลอุปสงค์–อุปทาน เพื่อออกมาตรการเท่าทันสถานการณ์อย่าง แม่นเร็วตรงจุด ควบคู่กับการขยาย ช่องทาง e-Commerce ให้ สินค้าท้องถิ่น เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศ—จาก OTOP สู่ “Global Niche Brand” ที่ขายเรื่องราวและมาตรฐานมากกว่าราคาต่อชิ้น

“Quick Big Win” ที่ไม่ใช่แค่คำ จากตัวชี้วัดสู่ผลลัพธ์ครัวเรือน

คำว่า Quick Big Win จะเป็นแค่วาทกรรมไม่ได้—กระทรวงจึงชูตัวชี้วัดที่ เห็นผลในชีวิตจริง

  • ยาและเวชภัณฑ์  หาก MOU กับเอกชนเดินเต็มรูปแบบ การเปิดเผยราคาและทางเลือกซื้อยานอก จะ ลดรายจ่ายได้กว่า 3.2–3.4 หมื่นล้านบาท/ปี ตามกรอบที่ประกาศ พร้อมช่วย ลดแออัด รพ.รัฐ
  • ทุจริตเอกสารการค้า  ดิจิทัล C/O ทำให้คดียุบจาก หลักร้อย 5 → 0 ในสองปี—คือการฟื้น เครดิตการค้าไทย ด้วยข้อมูลจริง
  • AD เร็วขึ้น  จาก 12–18 เดือน เหลือ 9 เดือน—คือการลด ความเสียหาย ผู้ประกอบการในโลกการแข่งขันกดดันสูง
  • ธงฟ้า 1,300 ครั้ง ลด ภาระค่าครองชีพ 5,000 ล้านบาท/ปี—ตัวเลขที่สะท้อนการส่งแรงช่วยตรงถึงกระเป๋าประชาชน

หากย้อนมองจาก “เชียงราย” เมืองชายแดนเกษตรท่องเที่ยว

สำหรับ เชียงราย และกลุ่มจังหวัด ล้านนาตะวันออก นโยบายชุดนี้มีผลที่จับต้องได้หลายมิติ

  1. การค้าชายแดน การรักษาช่องทางค้าข้ามแดน—ทั้งทดแทนและเพิ่มเติม—สำคัญต่อเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงของ–แม่สาย การบุกตลาดตะวันออกกลางเอเชียใต้ เชื่อมกับ โลจิสติกส์ระบบราง ที่กำลังเปิดหน้าใหม่ จะต่อท่อโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมากขึ้น
  2. เกษตร เชียงรายเป็น “ฐานข้าว–พืชคุณภาพ–กาแฟ–ชา” มาตรการชะลอขาย–สหกรณ์–ผลักดัน GI/พรีเมียม จะช่วยให้ ราคาหน้าฟาร์มมีเสถียรภาพ และยก มูลค่าเพิ่ม ในสินค้าที่มีเรื่องเล่าและแหล่งกำเนิดชัด
  3. SMEs–ท่องเที่ยว ตรารับรองแพลตฟอร์ม MOC+ และ e-Commerce จะช่วยให้แบรนด์ท้องถิ่นเข้าถึงลูกค้าไกลกว่าตลาดเดิม ขณะที่แพ็กเกจ FTA/ตลาดใหม่ สามารถกลายเป็น “รันเวย์สู่ต่างประเทศ” ของผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงราย
  4. ค่าครองชีพ–สุขภาพ ทางเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาลเอกชน—เมื่อขยายครอบคลุมจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดน—จะช่วย ลดค่าใช้จ่ายฉับพลัน ให้ครัวเรือน โดยไม่ต้องรอคิวในระบบรัฐในกรณีโรคทั่วไป

เสียงสะท้อนและโจทย์ต่อไป

แม้สมาคมโรงพยาบาลเอกชนจะ ยินดีร่วมมือ แต่ก็สะท้อนความจริงว่า ต้นทุนโรงพยาบาลเอกชนต่างจากร้านยาภายนอก (เภสัชกร มาตรฐานเก็บรักษา ระบบควบคุมคุณภาพ) จึงต้องออกแบบมาตรการให้ สมดุล—โปร่งใส—แข่งขันเป็นธรรม เพื่อให้คุณภาพการรักษาไม่ถดถอย ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐจำเป็นต้อง สื่อสารข้อมูลราคา ให้ประชาชนเข้าใจบริบทต้นทุน เพื่อการตัดสินใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ด้าน FTA แม้เป็น รันเวย์ระยะยาว แต่ความสำเร็จขึ้นกับ ศักยภาพแข่งขัน ภายในประเทศ—ตั้งแต่ กฎระเบียบอำนวยความสะดวก, โลจิสติกส์–ดิจิทัล, ไปจนถึง ทักษะแรงงาน ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ถ้าการเปิดตลาดเร็วกว่า ยกระดับขีดความสามารถ ไทยอาจเจอ “การบ้านในบ้าน” ที่หนักหน่วงพอกัน

เมื่อ Quick Win ต้องวางคู่กับ “ฐานยั่งยืน”

ท้ายที่สุด ศุภจี สรุปทิศทางว่า “สิ่งที่ขับเคลื่อนวันนี้ ไม่ใช่แค่ Quick Win แต่คือการ วางรากฐาน ที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน”—คำกล่าวที่วางกรอบการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในบทบาท ตัวเชื่อม” ระหว่างครัวเรือนไทย–ผู้ประกอบการ–ตลาดโลก

ในห้วงเวลาที่ครัวเรือนเผชิญค่าครองชีพสูง—ตั้งแต่ตะกร้าสินค้าจนถึงค่ายา—นโยบายที่ ลดรายจ่ายทันที ควบคู่กับการ ต่อท่อรายได้ใหม่ จาก FTA และตลาดเกิดใหม่ คือสูตรที่ รักษาลมหายใจระยะสั้น และ บ่มเพาะความแข็งแรงระยะยาว ไปพร้อมกัน

หาก ตัวเลขคดี C/O ปลอมเหลือศูนย์, AD เร็วขึ้นเป็น 9 เดือน, ธงฟ้าลดค่าใช้จ่ายได้ตามเป้า, และ MOU ด้านยาสุขภาพ ขยายครอบคลุมจนประชาชนรู้สึกได้จริง—“Quick Big Win” จะกลายเป็นมากกว่าวลีในสไลด์ แต่เป็น การเปลี่ยนสมการชีวิตของผู้คน ที่ปลายทางของนโยบาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ (Ministry of Commerce, Thailand)
  • กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
  • กรมการค้าภายใน
  • กรมการค้าต่างประเทศ
  • สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์/พาณิชย์จังหวัด
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) / กรมการค้าต่างประเทศ
  • สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics)
  • Hfocus/สื่อสาธารณสุขเชิงนโยบาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“โฮงยาไทย Premium Clinic” กลางเซ็นทรัล นำร่องบริการสุขภาพถึงมือถึงชุมชน

เชียงรายพลิกโฉมบริการสุขภาพ “ถึงมือ-ถึงใจ-ถึงชุมชน” เซ็นทรัล เชียงราย จับมือ ‘โฮงยาไทย’ เปิด ‘ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร’ นำร่องลดแออัดโรงพยาบาล เชื่อมประสบการณ์การรักษาเข้ากับวิถีชีวิตเมือง

เชียงราย, 29 กันยายน 2568 เสียงปรบมือดังก้องลานชั้น 2 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ในบ่ายวันอาทิตย์—ภาพของแพทย์ พยาบาล ผู้บริหารศูนย์การค้า และประชาชนที่หลั่งไหลมารอรับฟังข่าวดี สะท้อน “จุดตัดสำคัญ” ของระบบสุขภาพจังหวัดบนดอย เมื่อ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ หรือที่คนเมืองเรียกติดปากว่า “โฮงยาไทย” ประกาศความร่วมมือกับ เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ภายในศูนย์การค้า—บริการแพทย์คุณภาพที่เลื่อนไหลไปกับจังหวะชีวิตในเมือง โดยตั้งเป้าช่วย “กระจายภาระ” ผู้ป่วยนอกจากโรงพยาบาลหลัก ลดระยะรอคอย และเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการสำหรับคนเชียงรายและจังหวัดรอบข้างอย่างเป็นรูปธรรม

 “MOU” กลางเมือง เมื่อโรงพยาบาลไปหาประชาชน

ความร่วมมือครั้งนี้ “ไม่ใช่เพียงเช่าพื้นที่” หากคือการออกแบบประสบการณ์สุขภาพใหม่ทั้งระบบ จุดยืนชัดจากโพสต์ทางการของโรงพยาบาลที่ระบุการลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง โฮงยาไทย กับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเตรียมเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic” ซึ่งพัฒนาต่อยอดเป็น ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ให้บริการตรวจสุขภาพ เจาะเลือด วัคซีน และปรึกษาแพทย์โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ ภายในโลเคชันที่เดินถึงง่าย จอดรถสะดวก และเชื่อมต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองโดยตรง

การเคลื่อนย้าย “บริการหน้าเคาน์เตอร์” มาไว้ใน “ศูนย์กลางการใช้ชีวิต” สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Center of Life ของผู้พัฒนาศูนย์การค้าอย่าง Central Pattana (CPN) ที่ประกาศบทบาทศูนย์การค้าเป็นแพลตฟอร์มสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่เพียงการจับจ่าย ซึ่งเมื่อบรรจบกับบริการสุขภาพ จะสร้าง “ประสบการณ์ที่จำเป็น” ใกล้มือประชาชนยิ่งขึ้น

โรงพยาบาลใหญ่—ผู้ป่วยนอกล้น ระบบนัดแน่น

“การรอคอย” คือความจริงที่คนไข้รับรู้ร่วมกัน โฮงยาไทยในฐานะ โรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิ มีขนาดเตียงใช้งานจริงกว่า 800 เตียง—ตัวเลขสะท้อนภาระงานที่สูงของจังหวัดชายแดนที่เป็น “แม่เหล็ก” ให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนทั้งในจังหวัดและพื้นที่ข้างเคียง ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงผู้ป่วยใน 821 เตียง (รวม ICU หลายสาขา) ซึ่งอยู่ในระดับโรงพยาบาลศูนย์ชั้นนำของภูมิภาคเหนือ

แนวโน้มระดับประเทศก็ชี้ว่าโรงพยาบาลใหญ่กำลังปรับตัวเพื่อลดความแออัดผู้ป่วยนอก (OPD) ผ่าน Telemedicine และการกระจายจุดบริการ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จำนวนผู้รับบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ยต่อวันของโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงจาก 23,022 คน/วัน (ปี 2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (ปี 2567) หลังหน่วยบริการเร่งใช้เครื่องมือดิจิทัลและรีดีไซน์เส้นทางบริการ—ตัวเลขที่สอดรับกับทิศทาง “ดึงบริการเบา” ออกจากโรงพยาบาลหลัก เพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยหนักและซับซ้อนมากขึ้น

ดังนั้น ศูนย์ตรวจสุขภาพที่ “ไปหา” ประชาชนในห้าง จึงไม่ใช่แฟชั่น หากเป็น “การปฏิรูปเชิงพื้นที่” ให้บริการป้องกันโรคและดูแลโรคไม่รุนแรงใกล้บ้าน เพื่อให้โรงพยาบาลหลัก “ว่างพอ” สำหรับกรณีฉุกเฉินและซับซ้อน—คลี่ปมหลักของระบบ

ตรวจ เจาะ วัคซีน ปรึกษาแพทย์—ครบวงจรในจุดเดียว

จากข้อมูลประชาสัมพันธ์ของเซ็นทรัล เชียงรายและเครือข่ายท้องถิ่น บริการหลักของ ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร ประกอบด้วย
1) โปรแกรมตรวจสุขภาพและ การตรวจโลหิต (Blood Work) สำหรับคัดกรองความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
2) วัคซีน จำเป็นตามช่วงวัย และตามฤดูกาล เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน
3) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ครอบคลุมเวชปฏิบัติทั่วไป เวชศาสตร์ครอบครัว รวมถึงการบูรณาการแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนจีนกับเวชกรรมสมัยใหม่ ให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การเลิกบุหรี่ และสุขภาวะองค์รวมในคนทำงานและผู้สูงอายุ

ทิศทาง “แพทย์บูรณาการ” ไม่ใช่เรื่องใหม่ในนโยบายสาธารณสุขไทย ช่วงหลัง กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่าง กรมการแพทย์ และ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพื่อผสาน “ตะวันตก–ตะวันออก” ให้บริการตอบโจทย์ปัจเจก—แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดสู่ระดับพื้นที่ผ่านคลินิกปฐมภูมิและบริการส่งเสริมสุขภาพในเมืองอย่างต่อเนื่อง

ทำเลและเวลา สุขภาพที่ไม่ต้อง “ลางานทั้งวัน”

การตั้งจุดบริการในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ทำให้ประชาชนสามารถ “ตรวจ–ฉีด–ปรึกษา” ควบคู่กับภารกิจประจำวัน ลดต้นทุนแฝงจากการเดินทางและการรอคอย โดยแนวปฏิบัติของโฮงยาไทยก่อนหน้านี้ก็เคลื่อนบริการบางส่วนไปใกล้ชุมชน เช่น โครงการเจาะเลือดล่วงหน้าใกล้บ้าน ร่วมกับพันธมิตรแล็บในจังหวัดเพื่อย่นเวลา รอผลสั้น พบแพทย์ไว—กรอบคิดเดียวกับการเปิด ศูนย์ตรวจสุขภาพ ในห้าง ที่พยายาม “วางเส้นทาง” ให้สั้นและง่ายที่สุดสำหรับประชาชนที่ต้องการบริการป้องกันและติดตามโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้

ดุลยภาพใหม่ระหว่าง “คุณภาพ–ความสะดวก–ความเท่าเทียม”

แม้ในงานเปิดตัวจะเน้นภาพรวมมากกว่าคำกล่าวยาว ๆ ของผู้บริหาร แต่สาระที่หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดสื่อสารตลอดปีที่ผ่านมา คือภารกิจ ยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชน” และ ขยายจุดเข้าถึงวัคซีน–คัดกรอง เพื่อไล่ทันความเสี่ยงในทุกอำเภอ—การมี “แขนขา” ในห้างจึงช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวที่เดินห้างเป็นกิจวัตร พร้อมย้ำบทบาท “สาธารณสุขเชิงรุก” ในพื้นที่เมืองหลักของจังหวัด

ในอีกมุมหนึ่ง การจับมือครั้งนี้ยังสะท้อน “ดุลยภาพใหม่” ระหว่าง คุณภาพทางการแพทย์ ของโรงพยาบาลศูนย์ (ซึ่งมีศักยภาพเตียงรวมกว่า 800 เตียง และบุคลากรสหสาขาวิชาชีพครบถ้วน) กับ ความสะดวก และ ประสบการณ์ผู้ใช้บริการ ที่เครือเซ็นทรัลขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Center of Life—ทำให้บริการสุขภาพฐานราก “น่าไป” ไม่ใช่ “จำใจไป”

ข้อมูลชวนคิด ตัวเลขที่บอกว่า “ใกล้ขึ้น–เร็วขึ้น–คุ้มค่าขึ้น”

  • ผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศลดลงต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน หลังใช้ Telemedicine และออกแบบเส้นทางบริการใหม่—จาก 23,022 คน/วัน (2565) เหลือ 13,341 คน/วัน (2567) สะท้อนว่าการ “ย้ายบริการเบาออกนอกอาคารใหญ่” มีผลลัพธ์จริงระดับระบบ
  • ศักยภาพเตียงโฮงยาไทย 821 เตียง คือทรัพยากรอันจำกัดที่ควรถูกใช้กับผู้ป่วยซับซ้อน—การให้บริการตรวจสุขภาพพื้นฐานและวัคซีนในเมือง จึงช่วย กันคิว ห้องตรวจและเตียงสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการความเชี่ยวชาญสูง
  • วาระการแพทย์บูรณาการ ระดับกระทรวง ทำให้ แพทย์แผนไทย/จีน ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโรคทั่วไปและส่งเสริมสุขภาพ—เหมาะกับบริการในห้างที่ต้องการความ “นุ่มนวล–เข้าถึงง่าย” แต่ยังคงมาตรฐานทางการแพทย์

จากจุดตั้งต้นสู่แผนขยาย ฐานรากของ “เมืองสุขภาวะ”

การเปิดศูนย์ตรวจสุขภาพในศูนย์การค้า ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่คือ “ฐาน” ของการขยายเครือข่ายบริการสุขภาพในเมือง—โมเดลที่อาจต่อยอดสู่ คลินิกเรื้อรังคงที่, มุมสุขภาพวัยทำงาน, บริการวัคซีนตามฤดูกาล หรือ กิจกรรมคัดกรองกลุ่มเสี่ยง เชิงรุกในวันหยุด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ สาธารณสุขจังหวัด ใช้มาต่อเนื่องผ่านการตั้งจุดบริการนอกโรงพยาบาลในพื้นที่ชุมชนและอำเภอรอบนอก

และเมื่อ ศูนย์การค้าสมัยใหม่ กลายเป็น “สนามปฏิบัติการ” ของสุขภาวะ เมืองย่อมได้ประโยชน์มากกว่าตัวเลขผู้ใช้บริการ—เพราะทุกกิจกรรมสุขภาพที่เกิดขึ้นในพื้นที่ใช้สอยของห้าง ส่งต่อ รายได้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น (ร้านอาหาร–คาเฟ่–สินค้าเพื่อสุขภาพ) ขณะเดียวกันก็ช่วยบ่มเพาะ “วัฒนธรรมดูแลตัวเอง” ให้เป็น กิจวัตร มากกว่า ภาระ

เสียงสะท้อนจากชุมชน “โฮงยาไทย” ที่ใกล้ขึ้น

สื่อท้องถิ่นหลายสำนักและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในเชียงรายติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยพาดหัวร่วมกันว่า พรีเมียมคลินิกในห้าง—ทางเลือกใหม่เพื่อลดแออัด” พร้อมอธิบายขอบเขตบริการที่ “เหมาะกับอาการทั่วไปและโรคเรื้อรังคงที่” เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนกับบริการฉุกเฉิน ซึ่งยังต้องไปที่โรงพยาบาลหลักเหมือนเดิม—การสื่อสารเช่นนี้ช่วยปรับความคาดหวังของผู้ใช้บริการให้ตรงกับธรรมชาติของคลินิกในเมือง

นอกจากนี้ บัญชีทางการของ โฮงยาไทย ยังสื่อสารอย่างต่อเนื่องผ่าน Facebook Live ทั้งเรื่องก้าวต่อไปขององค์กร และบริการใหม่ ๆ เช่น Telehealth Center—เป็นสัญญาณว่าโรงพยาบาลกำลัง “เดินสองขา” ทั้ง ทางไกล และ ทางใกล้ เพื่อเพิ่มช่องทางบริการหลากหลายให้ประชาชนเลือกใช้ตามความเหมาะสม

ความเสี่ยง–ข้อพึงระวัง คุณภาพมาตรฐานและการเชื่อมข้อมูล

แม้ศูนย์ในห้างจะตอบโจทย์ “เข้าถึงง่าย” แต่โจทย์เชิงเทคนิคสำคัญคือ การเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพ ระหว่างคลินิกในเมืองกับโรงพยาบาลหลัก ทั้ง แฟ้มเวชระเบียน, ผลแลบบนระบบ, ยานัดหมาย, และ การดูแลต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยเรื้อรัง—หากออกแบบระบบดี จะทำให้ผู้ป่วย ตรวจ–รับยา–ติดตาม ได้ในเมือง และกลับโรงพยาบาลเฉพาะเมื่อจำเป็น ซึ่งโฮงยาไทยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับแล็บเครือข่ายและการนัดหมายล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงมีฐานข้อมูลพร้อมต่อยอดสู่บริการในห้างได้รวดเร็ว

อีกด้าน มาตรฐานความปลอดภัย ของการให้บริการในพื้นที่ศูนย์การค้า ต้องคงคุณภาพเทียบเท่าพื้นที่โรงพยาบาล ทั้งการควบคุมการติดเชื้อ การจัดการเวชภัณฑ์ และระบบส่งต่อฉุกเฉิน—ซึ่งการมี พันธมิตรภาคเอกชน ที่มีระบบบริหารจัดการพื้นที่เข้มแข็ง (เช่น CPN) ช่วยลดความเสี่ยงปฏิบัติการในวันแรก ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญ

เมืองที่ “กอดสุขภาพ” ไว้ในชีวิตประจำวัน

เมื่อเรื่องเล่ามาถึงฉากสุดท้าย—เชียงรายกำลังวางรากฐาน เมืองสุขภาวะ” ด้วยการเหลื่อมซ้อนบริการสาธารณสุขลงบนพื้นที่ชีวิตจริง บนทางเดินที่ใคร ๆ ก็แวะได้ โฮงยาไทยยังคงเป็น แบ็กโบน ของการรักษาระดับสูง ส่วน ศูนย์ตรวจสุขภาพในห้าง รับช่วงงานป้องกัน–คัดกรอง–ติดตามอาการทั่วไป—นี่คือ ระบบสองชั้น ที่พยายามส่ง “ทรัพยากรแพทย์” ไปอยู่ “ที่ถูกที่–ถูกเวลา–ถูกคน”

และเมื่อประชาชน “พบหมอ” ง่ายขึ้น “ฉีดวัคซีน” ใกล้ขึ้น “เจาะเลือด” สะดวกขึ้น—ระบบสุขภาพทั้งจังหวัดก็จะ หายใจโล่งขึ้น เฉกเช่นอากาศยามเช้าบนดอยตุง

ข้อมูลสำคัญโดยสรุป

  • MOU โฮงยาไทย x เซ็นทรัล เชียงราย เพื่อเปิด “โฮงยาไทย Premium Clinic / ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจร” ในห้าง—นำบริการตรวจสุขภาพ วัคซีน และปรึกษาแพทย์ใกล้ชุมชนเมือง เพื่อลดแออัดโรงพยาบาลหลักและเพิ่มการเข้าถึงบริการเชิงป้องกันของประชาชน
  • โฮงยาไทย = โรงพยาบาลศูนย์ ศักยภาพเตียง 821 เตียง (หลาย ICU)—ทรัพยากรสำคัญที่ควรถูกกันไว้สำหรับกรณีซับซ้อนและฉุกเฉิน การดึงบริการเบาออกนอกโรงพยาบาลจึงช่วยใช้เตียงให้ตรงภารกิจมากขึ้น
  • แนวโน้มประเทศ ผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์ลดลงต่อเนื่องหลังปรับใช้ Telemedicine และรีดีไซน์บริการ—ยืนยันประสิทธิผลของ “การกระจายจุดบริการ” และ “ดิจิทัลเฮลท์” ในการคลายคอขวดระบบ
  • นโยบายบูรณาการแพทย์ กรมการแพทย์จับมือกรมการแพทย์แผนไทยฯ ผลักดันบริการผสมผสาน—สอดรับบริการแพทย์แผนไทย/จีนในศูนย์ตรวจสุขภาพรูปแบบใหม่ในเมือง
  • สาธารณสุขจังหวัด ขับเคลื่อนวัคซีนพื้นฐานและงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก—การมีจุดบริการในห้างช่วยเข้าถึงกลุ่มวัยทำงานและครอบครัวได้มากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • Central Chiangrai
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

มลพิษแรร์เอิร์ธเขย่าลุ่มน้ำกก-สาย-โขง จี้รัฐบาลใหม่ยุตินำเข้าแร่จากแหล่งเสี่ยง

มลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแรร์เอิร์ธ” เขย่าลุ่มน้ำกก–สาย–โขง เวทีจุฬาฯ ชำแหละช่องกฎหมาย ไทยถูกท้าทายทั้งในฐานะ “ผู้รับผลกระทบ” และ “ผู้ได้ประโยชน์” — จี้รัฐบาลใหม่ยุตินำเข้าแร่–ตั้งทีมรัฐ–ประชาชน–ดันเจรจาระดับภูมิภาค

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 26 กันยายน 2568 — เช้าวันที่สังคมการเมืองไทยกำลังจับตานโยบายเศรษฐกิจความมั่นคง แต่อีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง ณ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้องประชุมชั้น 4 อาคารประชาธิปก–รำไพพรรณี กลับคลาคล่ำไปด้วยเครือข่ายประชาชนจากลุ่มน้ำกก–สาย–โขง นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กฎหมายระหว่างประเทศ และผู้แทนฝ่ายนิติบัญญัติไทย จุดร่วมของทุกคนชัดเจน—มลพิษข้ามพรมแดน” จากเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมา ไม่ใช่ข่าวไกลตัวอีกต่อไป แต่คือประเด็นเร่งด่วนที่กระทบ น้ำกิน–น้ำใช้–อาหาร–รายได้–และศรัทธาต่อรัฐ ของประชาชนสองฝั่งพรมแดน

เวทีสัมมนาเรื่อง กรอบกฎหมายและกลไกระหว่างประเทศต่อมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ” จัดโดย คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ ศูนย์แม่โขงศึกษา จุฬาฯ และภาคีภาคประชาชนจากพื้นที่ชายแดน จุดประเด็นด้วยคำถามใหญ่ที่ทั้งคมและตรง: เมื่อสารปนเปื้อนจากกิจกรรมเหมือง “นอกเขตแดนไทย” ไหลบ่าเข้าสู่แม่น้ำสายสำคัญอย่าง กก–สาย–โขง และซึมลึกในห่วงโซ่อาหารไทย—เราจะปกป้องประชาชน–ระบบนิเวศ–เศรษฐกิจฐานราก อย่างไร ภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบัน

เสียงจากฝ่ายนิติบัญญัติ “อย่าปล่อยให้กฎหมายไทยอ่อนแรงต่อมลพิษข้ามแดน”

บนเวที นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม และ รองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา เขาระบุว่า การขุดแรร์เอิร์ธในเมียนมาเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะหลังปี 2564 และประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ใครเป็นเจ้าของเหมือง” เท่านั้น แต่อยู่ที่ “ผลกระทบข้ามพรมแดน” ที่ ไทยยังไม่มีกลไกกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ในการป้องกัน–รับมือ–เยียวยา

นี่ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือปัญหาโครงสร้างกฎหมายและธรรมาภิบาลระดับภูมิภาค เราต้องส่งเสียงในระดับอาเซียนและประชาคมโลก และในประเทศต้องมีมาตรการชัดเจน—ตั้งแต่การตรวจสอบการปนเปื้อนอย่างโปร่งใส จนถึงการทบทวนนำเข้าแร่จากแหล่งที่ไม่รับผิดชอบ” นายกัณวีร์กล่าว

น้ำเสียง “เร่งด่วน” ของรองประธาน กมธ.กฎหมายฯ สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ที่ตัวแทนชุมชนจาก รัฐคะฉิ่น–เชียงราย–แม่อาย นำหลักฐานและประสบการณ์ตรงขึ้นเล่า—น้ำประปาที่บางช่วงถูกเตือนให้หลีกเลี่ยง, ปลาในแม่น้ำที่ขายยาก, พืชผลบางชนิดถูกปฏิเสธจากผู้ซื้อ ด้วยความกังวลสารโลหะหนัก ขณะที่คำอธิบายจากหน่วยงานรัฐหลายครั้ง ไปคนละทิศ” กับความรู้สึก–ข้อเท็จจริงในพื้นที่

นักวิชาการเตือนไทยไม่ได้เป็น “ผู้เสียหาย” อย่างเดียว—เรายัง “ได้ประโยชน์” จากแร่ด้วย

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) นำเสนอข้อมูลที่ทำให้ห้องประชุมเงียบลงชั่วขณะ เมื่อระบุว่าในปัจจุบัน เมียนมาถูกประเมินว่าเป็นผู้ผลิตแรร์เอิร์ธ “ลำดับ 3 ของโลก” ท่ามกลางความต้องการส่วนผสมสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี–พลังงานสะอาด–ยานยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้รับผลกระทบ แต่ยังได้ประโยชน์จากการนำเข้าแร่” เธอย้ำว่า โครงสร้างนี้ทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น เพราะเกิด ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และ ไร้เจ้าภาพ” ในการรับผิดชอบ

สารปนเปื้อนจากเหมืองไม่ได้หยุดที่แม่น้ำ แต่มันไหลเข้าไปในชีวิตประจำวัน—น้ำดิบ–น้ำประปา–ปลา–ข้าว–ผัก และสะสมในร่างกาย เราจึงต้องถามตรง ๆ ว่า วันนี้น้ำกิน–น้ำใช้–อาหารของเราปลอดภัยจริงหรือไม่ และใครกล้ารับผิดชอบในระยะยาว”

ดร.สืบสกุลยกตัวอย่าง วาทกรรมภาครัฐ” ที่สร้างความสับสน: ระบุเตือนประชาชนให้งดใช้น้ำ แต่ พร้อมกันนั้นบอกว่า “ค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน” เธอชี้ว่าการสื่อสารลักษณะนี้ ไม่พูดความจริงทั้งหมด” เพราะมาตรฐานเป็นเพียง “ค่าเฉลี่ย ณ จุด–เวลา–ตัวอย่าง” ขณะที่ ผลสะสม” ของโลหะหนักในร่างกาย–ดิน–พืชผล เป็นอีกเรื่อง” และกระทบ ห่วงโซ่อาหาร อย่างยากจะควบคุม

10 ข้อเรียกร้องจากเครือข่ายประชาชน แผนเร่งด่วนจาก “ปลายน้ำ” สู่ “ต้นน้ำ”

เวทีจบลงด้วย ข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ที่ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการทันที โดยมีทั้งมาตรการเชิงพื้นที่และเชิงโครงสร้าง ได้แก่

  1. ตรวจหาสารปนเปื้อนในดิน พื้นที่เกษตร 12,000 ไร่ ในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนฤดูกาลเพาะปลูก (ต.ค.)
  2. ตรวจข้าวนาปี ในจังหวัดเชียงราย ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านอาหาร
  3. จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ สำหรับผู้ใช้น้ำอย่างน้อย 55,000 ราย ในแม่น้ำกก–สาย–รวก โดยประเมินกรอบงบประมาณ 1,200 ล้านบาท
  4. ยกระดับการตรวจประปาหมู่บ้าน ให้สามารถตรวจโลหะหนักได้ต่อเนื่อง–เท่าทันสถานการณ์
  5. จัดหาแหล่งน้ำใหม่ ให้ชุมชนที่ต้องซื้อน้ำกิน เช่น ต.ท่าตอน ต.แม่นาวาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
  6. ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนัก ระดับพื้นที่ ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลแบบ “เรียลไทม์”
  7. ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน เพื่อวางแผน ปิดเหมือง (ในมิติเชิงการทูต/กฎหมาย) และ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
  8. ยกเลิกการสร้างฝายดักตะกอน ที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรืออาจก่อผลข้างเคียงต่อระบบนิเวศ
  9. เปิดเจรจากับเมียนมาและจีนอย่างเร่งด่วน ภายใต้กรอบทวิภาคี–พหุภาคี
  10. ยุติ/ทบทวนการนำเข้าแร่ ที่มีที่มาจากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบ โดยเฉพาะจุดผ่านแดน แม่สาย–แม่สะเรียง–แม่ฮ่องสอน และ ตรวจสอบเส้นทางการค้า–ผู้ได้รับประโยชน์–การส่งออกต่อไปประเทศที่สาม (มีการระบุว่าเกี่ยวข้อง “ไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท” ที่ต้องตรวจสอบแหล่งที่มา)

ในภาพรวม ข้อเสนอทั้ง 10 ฝากให้รัฐ ทำ 3 ชั้น” พร้อมกัน—คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน (สุขภาพ/น้ำ/อาหาร), รักษาศรัทธาตลาด (เชื่อมั่นสินค้าเกษตร), และ วางท่าทีระหว่างประเทศ (การเจรจา–มาตรการทางเศรษฐกิจ)

ทำไม “แรร์เอิร์ธ” จึงท้าทายระบบกฎหมาย–นโยบาย

แรร์เอิร์ธเป็นกลุ่มแร่สำคัญต่ออุตสาหกรรมยุคพลังงานสะอาด: แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV, กังหันลม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์–กลาโหม ความต้องการที่พุ่งขึ้นทำให้แหล่งผลิตในภูมิภาค ลุ่มน้ำโขง–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกจับตามอง ทว่า ห่วงโซ่อุปทานที่ยาว–กำกับดูแลยาก ทำให้ ต้นทุนภายนอก” (น้ำเสีย, ดินปนเปื้อน, สุขภาพชุมชน) ถูกผลักออกไปนอกงบประมาณบริษัท–ข้ามพรมแดน–และกลับมาคิดบัญชีกับสังคมในรูป ค่าใช้จ่ายสาธารณะ (รักษาพยาบาล–น้ำประปา–เยียวยา–โครงสร้างพื้นฐานใหม่)

ในเชิงกฎหมาย–สถาบัน นี่คือโจทย์ มลพิษไร้พรมแดน”: ประเทศผู้รับผลกระทบ ไม่มีเขตอำนาจโดยตรง ในการสั่งการเหมืองต่างแดน แต่ มีภารกิจ ต้องปกป้องประชาชนของตนเอง การอาศัยเพียง “มาตรฐานคุณภาพน้ำ–อาหาร” ในเขตแดนไทยจึงไม่พอ หาก ต้นน้ำ อยู่ต่างประเทศ และ ปลายน้ำ คือชีวิตคนไทย

ทางเลือกเชิงนโยบาย 3 ระยะเวลา–5 คานอำนาจ

เพื่อแปลงข้อเรียกร้องให้เกิดผลจริง นักวิชาการและภาคประชาชนบนเวทีเสนอ “กรอบเดินงาน” ที่สรุปใจความได้ดังนี้

ระยะสั้น (0–6 เดือน):

  • สารสนเทศ–ความโปร่งใส: ปรับระบบสื่อสารความเสี่ยงให้ “พูดความจริงทั้งหมด” — รายวัน/รายสัปดาห์ของค่าตรวจโลหะหนักในน้ำ–ดิน–ปลา–ข้าว, แผนที่จุดเสี่ยง, ข้อมูลภาษาคู่ (ไทย–ชนเผ่า)
  • สุขภาพ–น้ำ–อาหาร: ดำเนินการตามข้อ 1–6 ให้ครบ: ตรวจดิน 12,000 ไร่, ตรวจข้าวนาปีเชียงราย, ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนัก, หาแหล่งน้ำดิบใหม่ให้ 55,000 ครัวเรือน พร้อมงบประมาณเบื้องต้น 1,200 ล้านบาท
  • การค้า–ตลาด: จัดทำฉลาก/เอกสารรับรองผลตรวจเป็นรอบ ๆ ช่วยผู้ผลิตในพื้นที่ฟื้นความเชื่อมั่นตลาด

ระยะกลาง (6–24 เดือน):

  • คณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน (ข้อ 7): มีอำนาจเสนอคำสั่ง/มาตรการเฉพาะพื้นที่–ข้ามหน่วยงาน, กำกับการเยียวยา
  • กำกับห่วงโซ่แร่: ออก “บัญชีดำ” เหมือง/ผู้ค้า/ผู้นำเข้าที่ไม่ตรวจสอบได้, บังคับใช้กติกา Due Diligence ในการนำเข้าวัตถุดิบเหมือง
  • การทูตเชิงรุก (ข้อ 9): ตั้งโต๊ะคุยเมียนมา–จีน–ลาว ภายใต้กรอบแม่น้ำโขง/อาเซียน–MRC, แลกข้อมูลตรวจวัด–กำกับเหมือง–แผนฟื้นฟู

ระยะยาว (2–5 ปี):

  • กฎหมายแม่บทมลพิษข้ามแดน: เติม “เขี้ยวเล็บ” ให้รัฐไทยใช้มาตรการทางการค้า–สิ่งแวดล้อมกับสินค้าที่ก่อมลพิษต้นทางต่างแดน (จัดเก็บ/ห้าม/จำกัด) โดยไม่ขัดพันธกรณีระหว่างประเทศ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียนแร่: ลงทุน รีไซเคิลแรร์เอิร์ธ–นวัตกรรมนำกลับ ลดการพึ่งพาแร่ดิบต้นทางที่เป็นความเสี่ยงเชิงนิเวศ–ภูมิรัฐศาสตร์

คานอำนาจ 5 ตัว ที่ต้องใช้พร้อมกัน: (1) วิทยาศาสตร์ข้อมูล, (2) กฎหมาย–มาตรการการค้า, (3) การทูตพหุภาคี, (4) การมีส่วนร่วมของประชาชน, และ (5) งบประมาณฉุกเฉิน–เยียวยา

น้ำเสียงจากพื้นที่ เมื่อ “ความไม่แน่ใจ” แพงกว่าทุกอย่าง

เครือข่ายประชาชนจาก คะฉิ่น–เชียงราย–แม่อาย ถ่ายทอดสภาวะร่วม: ความไม่แน่ใจ ว่าน้ำที่ดื่ม–ข้าวที่กิน–ปลาที่จับ “ปลอดภัยจริงหรือไม่” ทำให้ค่าใช้จ่ายครัวเรือนพุ่งขึ้น (ซื้อน้ำ/เดินทางไปตรวจ) ขณะรายได้จากพืชผล–ประมงลดลงเพราะความเชื่อมั่นตลาดสั่นคลอน ความไม่แน่ใจ” จึงกลายเป็นภาษีที่มองไม่เห็น สะสมดอกเบี้ยทางเศรษฐกิจ–สังคม–สุขภาพ

“เราไม่ได้ขออะไรเกินจริง แค่ขอให้รัฐพูดตามตรง และทำตามหน้าที่—ตรวจ–เปิดเผย–ปกป้อง–เยียวยา—ให้ไวและจริงจัง” ตัวแทนชุมชนกล่าวบนเวที

มุมกฎหมายระหว่างประเทศ ไทยยืนตรงไหนบนสมการ “อธิปไตย–สิทธิมนุษยชน–สิ่งแวดล้อม”

ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชี้ว่า แม้หลักอธิปไตยทำให้ไทยไม่อาจสั่งการกิจกรรมในเมียนมาโดยตรง แต่กรอบระหว่างประเทศเปิดช่อง มาตรการฝั่งผู้นำเข้า (import-side measures) ที่ ชอบด้วยกฎหมายการค้า หากพิสูจน์ได้ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อ คุ้มครองชีวิต–สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม และใช้ อย่างไม่เลือกปฏิบัติ พร้อมกันนั้น การเจรจาพหุภาคีกับ ลาว–จีน–เมียนมา ภายใต้กรอบลุ่มน้ำโขง/อาเซียนสามารถผลักดัน กลไกแจ้งเหตุ–สอบสวน–แผนฟื้นฟูร่วม ที่ติดตามได้

ประเด็นชวนคิด (สำหรับผู้กำหนดนโยบาย)

  • ตัวเลข 55,000 ครัวเรือน–งบ 1,200 ล้านบาท: งบระดับนี้เทียบไม่ได้กับ “มูลค่าความเสียหายสะสม” หากปล่อยให้ความไม่แน่ใจดำเนินต่อไปอีกหลายฤดูกาลเพาะปลูก
  • ยุตินำเข้าแร่” เป็นคันโยก: การใช้ อำนาจทางเศรษฐกิจ น่าจะเป็นคันโยกที่รัฐบาลไทยมีมากสุดในการจูงใจให้เกิดการปรับพฤติกรรมต้นทาง แต่ต้องคู่กับ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ ที่โปร่งใส เพื่อไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมไทย “เปลี่ยนประตูนำเข้า” แล้วปัญหาเดิมยังอยู่
  • สื่อสารความเสี่ยงแบบผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่: สังคมยอมรับความจริงที่ซับซ้อนได้ หากรัฐกล้าพูดตรง–เร็ว–มีแผนรับมือ และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำกับตรวจสอบ

จากเวทีสัมมนาสู่โต๊ะ ครม.—ถึงเวลาตอบว่า “เราปกป้องคนของเราอย่างไร”

งานวันนี้ไม่ได้จบที่เสียงปรบมือ แต่วางการบ้านขนาดใหญ่ไว้ที่รัฐบาลใหม่: จะยุติการนำเข้าแร่จากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบหรือไม่—เมื่อใด—อย่างไร, จะยืนยันความปลอดภัยน้ำ–อาหารให้ประชาชนได้อย่างไร, จะเยียวยา–คุ้มครองเกษตรกรอย่างไร, และ จะวางท่าทีต่อเพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขงอย่างไร เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมโลกสีเขียว ไม่ทิ้งคนปลายน้ำ ไว้ข้างหลัง

ในห้องประชุมของจุฬาฯ วันนี้ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ นักวิชาการ และเครือข่ายชุมชนได้คลี่แผนที่และชี้พิกัดแล้วว่า เส้นทางสั้น–กลาง–ยาว” คืออะไร เหลือเพียง “เจตจำนง” ของรัฐและ ความสม่ำเสมอของการลงมือทำ ที่จะพิสูจน์ว่า ประเทศไทยสามารถยืนหยัดปกป้อง สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–เศรษฐกิจฐานราก ของประชาชนตนเองได้จริงเพียงใด ท่ามกลางคลื่นอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธที่โหมกระหน่ำทั้งภูมิภาค

สาระย่อ “10 ข้อเรียกร้อง”

  1. ตรวจดิน 12,000 ไร่ (อ.แม่อาย) ก่อนเข้าฤดูปลูก
  2. ตรวจข้าวนาปี (เชียงราย) ก่อนเก็บเกี่ยว
  3. หาแหล่งน้ำดิบใหม่ให้ 55,000 ราย (กก–สาย–รวก) งบ 1,200 ล้านบาท
  4. ยกระดับประปาหมู่บ้านตรวจโลหะหนักได้
  5. หาแหล่งน้ำใหม่ให้ ต.ท่าตอน–ต.แม่นาวาง (แม่อาย)
  6. ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนักในพื้นที่
  7. ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน ปิดเหมือง–เยียวยา
  8. ยกเลิกฝายดักตะกอน
  9. เปิดเจรจาเมียนมา–จีน เร่งด่วน
  10. ยุติ/ทบทวนการนำเข้าแร่จากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบ ตรวจเส้นทางการค้า–ผู้ได้ประโยชน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
  • ศูนย์แม่โขงศึกษา และสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) — ข้อสังเกตทางวิชาการและข้อเสนอเชิงนโยบายโดย ดร.สืบสกุล กิจนุกร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายพร้อมหรือยัง? Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่จุดหมายสุขภาพโลก

Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่ “จุดหมายสุขภาพ” ระดับโลก—เชียงรายพร้อมหรือยัง?

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท ค่อย ๆ เงียบลงเมื่อพิธีเปิดเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้น “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) ต้องจับมือกันแน่นขึ้น—จากเชียงรายถึงเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง” นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเปิด โดยมี นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย และตัวแทนราชการ-เอกชน-ประชาสังคม 4 จังหวัดเข้าร่วมกว่า 200 คน วาระสำคัญบนโต๊ะ จะเปลี่ยน “ศักยภาพ” ของภาคเหนือให้เป็น “มูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์” อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยหนึ่งในสี่อุตสาหกรรมเป้าหมายคือ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งเชื่อมตรงสู่ Medical Tourism ในระดับประเทศ

ไทย—จากจุดหมายท่องเที่ยวสู่จุดหมายสุขภาพ

สองทศวรรษหลังเปิดยุทธศาสตร์ “Medical Hub” ประเทศไทยเดินเกมต่อเนื่อง—ยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชน, ขยายบริการเฉพาะทาง, รับรองคุณภาพสากล, เสริมโครงสร้างสนามบิน–วีซ่า–บริการล่าม–รถรับส่ง—จน “การรักษา + การพักผ่อน + การพักฟื้น” หลอมรวมเป็นประสบการณ์เดียว จุดเด่นของไทยยังเหมือนเดิมแต่คมขึ้น: คุณภาพการรักษา, ราคาคุ้มค่า, บริการมืออาชีพและเป็นมิตร ขณะที่ตลาดโลกเปลี่ยนเร็ว ผู้ป่วยต่างชาติไม่ได้มองหาการผ่าตัดอย่างเดียว แต่ยังสนใจ ศัลยกรรมความงาม–ชะลอวัย, ทันตกรรม, IVF, หัวใจ–กระดูก–สันหลัง, ไปจนถึง แพทย์ฟื้นฟู/เวชศาสตร์ชะลอวัย และ wellness แบบองค์รวม

แม้ตัวเลขมูลค่าตลาดจากแต่ละสำนักวิจัยต่างกัน (เพราะคำนิยามคนละชุด—Medical vs Health/Wellness) แต่ “ทิศทาง” สอดคล้องกัน เติบโตเร็ว, ตัวยืนใหม่เพิ่ม, ผู้ป่วยพักนาน–ใช้จ่ายนอกการแพทย์สูง, และ อาเซียน–ตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–จีนตอนใต้ เป็นฐานลูกค้าหลัก หากมองทั้งห่วงโซ่ คุณค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้อยู่แค่ “ค่ารักษา” แต่อยู่ใน ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม–แพ็กเกจพักฟื้น–สปาทางการแพทย์ ซึ่งทำให้ “เมืองปลายทาง” เป็นผู้เล่นตัวจริง ไม่ต่างกับโรงพยาบาล

NEC–Creative LANNA เวทีที่เชียงรายต้องคว้า

นายนิพนธ์ นิยม อธิบายทิศทางการขับเคลื่อน NEC หลังมติ ครม. ที่วางโครงมาจากปี 2565–2566 เป้าประสงค์ 5 ด้านเพื่อกระจายความเจริญ ลดเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพชีวิต แข่งขันข้ามพรมแดน และเชื่อมโลก ผ่าน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย—อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (เช่น Movie Town), ดิจิทัล (Data Center/Cloud/คอนเทนต์), ท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, และ เกษตร–อาหาร (อินทรีย์/สารสกัด/นิคมอาหาร)

สำหรับ Medical/Wellness Tourism จุดแข็งของเชียงรายโดดเด่น

  • ทำเลชายแดน เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ (R3A) มีด่าน–ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน–ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งเชียงของ
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง รองรับเที่ยวบินภายในประเทศและศักยภาพเชื่อมเมืองหลักภูมิภาค
  • สินทรัพย์ท่องเที่ยว ธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ชุมชน–กาแฟ–ชา–งานหัตถกรรม
  • ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา สมุนไพร–นวดไทย–สปา–อาหารพื้นถิ่นสายสุขภาพ—ต่อยอดเป็น Wellness Retreat/Detox/Recovery Stay ได้ทันที

แต่ในสนาม Medical Tourism ความพร้อมต้องไปไกลกว่า “บรรยากาศดี–บริการดี”—เชียงรายจำเป็นต้อง “ปิดช่องว่าง” ต่อไปนี้ให้เร็วและพร้อมกัน

สิ่งที่เชียงรายยังขาด และต้องเร่งเติม

1) มาตรฐานสากลฝั่งสถานพยาบาล
เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติอย่างมั่นใจ โรงพยาบาล/คลินิกเฉพาะทางต้องมีมาตรฐานระดับสากล (เช่น JCI หรือเทียบเท่า) ในบริการแกน: ศัลยกรรมความงาม–ทันตกรรม–IVF–กระดูกสันหลัง–หัวใจ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู/ชะลอวัย วันนี้ เชียงรายยัง “พึ่งบริการเฉพาะทางระดับสูงจากหัวเมืองใหญ่” อยู่พอสมควร การยกระดับโรงพยาบาลจังหวัด/เอกชน และการดึงดูดพันธมิตรโรงพยาบาลเครือใหญ่จึงเป็น เกมเชิงรุก ที่ต้องทำคู่กัน

2) International Patient Center (IPC) แบบครบวงจร
ผู้ป่วยต่างชาติต้องการ “ผู้ช่วยส่วนตัว” ตั้งแต่ก่อนบินจนจบการติดตามผล: นัดหมายแพทย์, ประเมินความเหมาะสมเบื้องต้นทางเทคนิคการแพทย์, second opinion ออนไลน์, รับ–ส่งสนามบิน, ล่าม, อำนวยความสะดวกวีซ่าการแพทย์, ประสานประกันสุขภาพนานาชาติ, จัดที่พัก/อาหารเฉพาะโรค, เวชระเบียนภาษาอังกฤษ, และ digital follow-up หลังกลับประเทศ เชียงรายยังต้องตั้ง/ยกระดับ IPC ในโรงพยาบาลหลัก พร้อมมาตรฐานบริการเดียวกันทั้งเครือข่าย

3) ระบบการเงิน–ประกันต่างประเทศ
การเบิกจ่ายตรงกับ International Insurance/Assistance เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของการตัดสินใจผู้ป่วย (โดยเฉพาะตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–ยุโรป) เมืองปลายทางต้องมี ทีม Billing นานาชาติ, สัญญาเครือข่ายประกัน, และ DRG/ICD สากลที่แม่น—จุดนี้ยังเป็น gap ของหลายโรงพยาบาลหัวเมือง

4) บุคลากรภาษา–มาตรฐานเอกสาร
แม้แพทย์เก่ง แต่ถ้า touchpoint อื่น ๆ ภาษาไม่พร้อม—ประสบการณ์ผู้ป่วยจะสะดุดทันที จึงต้องมี ล่ามการแพทย์ (อังกฤษ–จีน–พม่า–ลาว–อาหรับ), เอกสารสองภาษา, แผงสื่อสารความเสี่ยง–ยินยอมรักษา (informed consent) มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง

5) โครงสร้างรองรับการพักฟื้น (Recovery/Wellness Stay)
นี่คือ “จุดต่าง” ที่เชียงรายสร้างความได้เปรียบได้เร็ว—โรงแรม/รีสอร์ต/โฮมสเตย์คุณภาพ ต้องร่วมกับโรงพยาบาลทำ แพ็กเกจพักฟื้น เฉพาะหัตถการ (อาหาร–กายภาพ–การพยาบาล–รถรับส่ง–แพทย์เยี่ยม–สปาเชิงการแพทย์) โดยมี Care Pathway ชัดเจนและความปลอดภัยเป็นฐาน

6) การตลาดปลายทางแบบ one story, many doors
ต้องมี แบรนด์ร่วม “Chiang Rai Health & Wellness” ที่เล่าเรื่องเดียวกันในหลายประตู: สถานพยาบาล–ผู้ให้บริการท่องเที่ยว–ตัวแทนการแพทย์ในต่างประเทศ–สายการบิน–OTA เพื่อให้ผู้ป่วยค้นเจอ “ข้อเสนอเดียวกัน–คุณภาพเดียวกัน–ราคาโปร่งใส” ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากช่องทางใด

7) ธรรมาภิบาล–สมดุลกับระบบสุขภาพท้องถิ่น
การเติบโตของ Medical Tourism ต้องไม่ดึงบุคลากรจากระบบรัฐมากเกินไปจนกระทบประชาชนในพื้นที่ จำเป็นต้องมี โควตา/แรงจูงใจ ที่รักษาสมดุล และ โครงการร่วมผลิต–พัฒนาบุคลากร ระหว่างรัฐ–เอกชน พร้อม แนวทางรับเรื่องร้องเรียน/ชดเชย ที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้สำหรับผู้ป่วยต่างชาติและคนไทย

เส้นทางสู่ความพร้อม แผน 3 ระยะที่ “วัดผลได้”

ระยะสั้น 0–12 เดือน “ย้ำหัวใจประสบการณ์ผู้ป่วย”

  • ตั้ง Chiang Rai International Patient Desk กลาง (ออนไลน์ + จุดบริการสนามบิน) เชื่อมโรงพยาบาลหลัก/โรงแรมพันธมิตร
  • คัด “5 สายผลิตภัณฑ์เรือธง” ที่ทำได้ทันที: ทันตกรรมด่วน, ศัลยกรรมเล็ก–ความงามเฉพาะ, โปรแกรมชะลอวัย/Detox, กายภาพ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู, โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน
  • Fast track เอกสาร 2 ภาษา, ล่ามการแพทย์, ระบบรับ–ส่ง, จับมือโรงแรมทำ Recovery Packages อย่างน้อย 10 ชุด
  • วัดผลด้วย จำนวนเคสต่างชาติ, คะแนนความพึงพอใจ, ค่าใช้จ่ายต่อเคส (ใน-นอกการแพทย์)

ระยะกลาง 12–36 เดือน  “ล็อกมาตรฐาน–ขยายบริการเฉพาะทาง”

  • พัฒนา/ดึงดูด ศูนย์เฉพาะทาง อย่างน้อย 2 ด้าน (เช่น กระดูกสันหลัง, IVF, เวชศาสตร์ฟื้นฟูชั้นสูง) สู่มาตรฐานสากล
  • ทำ สัญญาเครือข่ายประกันนานาชาติ 10–20 ราย, ตั้ง International Billing Unit ร่วม
  • สร้าง/ยกระดับ Wellness Campus (สมุนไพร–สปาการแพทย์–กายภาพ) เชื่อมชุมชนท้องถิ่น
  • วัดผลด้วย รายได้รวมห่วงโซ่, สัดส่วนเคสประกันนานาชาติ, อัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำ

ระยะยาว 36 เดือนขึ้นไป “ศูนย์กลางสุขภาพชายแดนตอนบน”

  • เป็นเจ้าภาพ งานประชุม/มหกรรม Health & Wellness ระดับอนุภูมิภาค (GMS/ล้านช้าง-แม่โขง)
  • พัฒนา ข้อมูลสุขภาพ–เวชท่องเที่ยว ระดับเมือง (แดชบอร์ดสาธารณะ) เพื่อนโยบายฐานข้อมูล
  • ตั้ง กองทุนพัฒนาสุขภาพจังหวัด จากรายได้อุตสาหกรรม เพื่อ “คืนกลับ” สู่ระบบสุขภาพประชาชน—ทำให้การเติบโต “ไม่ทิ้งใคร”

เสียงจากเวทีเชื่อมยุทธศาสตร์ให้ลงดิน

บนเวทีเวิร์กช็อป นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ ย้ำว่า “NEC จะสำเร็จได้ ต้อง ‘ทำงานร่วม’ ระหว่างรัฐ–เอกชน–ชุมชน—เชียงรายมีทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติพร้อม แต่เราต้องแปลงทุนให้เป็นบริการที่มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง” ขณะที่ นายนิพนธ์ นิยม ชี้เป้า “ห่วงโซ่คุณค่า” ว่า “ปีนี้เราจะเน้นสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมมากขึ้น ทั้งในมิติแพทย์แผนปัจจุบัน–แผนไทย–Wellness—และเชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้ประโยชน์ตรง”

แม้ไม่มี “คำตอบลัด” แต่ฉากหน้าเริ่มชัดเจน: เมืองชายแดนที่ เดินเกมมาตรฐาน–บริการไร้รอยต่อ–แพ็กเกจพักฟื้นที่ปลอดภัย–การตลาดร่วม จะชิงส่วนแบ่งตลาดได้เร็วกว่าคู่แข่ง—และที่สำคัญคือ ทำให้การเติบโตไม่ย้อนศรคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

ตัวเลขที่ชวนคิดชวนโฟกัส

  • รายงานตลาดบางสำนักประเมิน Health/Wellness Tourism ไทย แตะหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตในอัตราสูงมากเมื่อรวมบริการสุขภาวะ ขณะที่รายงานที่จำกัดเฉพาะ Medical Tourism ประเมิน หลักหลายร้อยล้าน–พันล้านดอลลาร์สหรัฐ—สะท้อนความต่างเชิงคำนิยามมากกว่าความคลาดเคลื่อนของข้อเท็จจริง
  • สัดส่วน Wellness ในตลาดสุขภาพอาเซียนถูกประเมินว่ามีส่วนแบ่งสูง (หลายฉบับระบุราว 70%+ ของภาพรวมสุขภาพ/การแพทย์รวมกัน) จึงเป็น “ทางด่วน” ที่เชียงรายสามารถขึ้นรถได้เร็ว—หากทำให้ ปลอดภัย–เป็นสากล–เชื่อมแพทย์ปัจจุบัน
  • ผู้ป่วยต่างชาติ non-medical spend (ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม) สูง—หมายถึง “รายได้เมือง” จะเกิดเมื่อเรามี แพ็กเกจพักฟื้น ที่คำตอบครบตั้งแต่รพ.ถึงโรงแรม ไม่ใช่ขาย “ค่าห้องผ่าตัด” เพียงอย่างเดียว

เชียงราย—จากคำถาม “พร้อมหรือยัง” สู่ “พร้อมอย่างไร”

คำตอบสั้น ๆ คือ พร้อมบางส่วน แต่ยังต้องเร่ง “เชื่อมจุด” จุดแข็งของเชียงราย—ทำเลชายแดน, สนามบิน, ทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติ, ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา—คือฐานที่ดีมาก เมื่อประกอบเข้ากับกรอบ NEC–Creative LANNA เมืองสามารถ “ยกระดับ” เป็น จุดหมายสุขภาพชายแดนตอนบน ได้จริง หากลงมือ 4 เรื่องใหญ่ พร้อมกัน:

  1. มาตรฐานสากล–ศูนย์เฉพาะทาง (เลือกไม่กี่เรือธงแล้วทำให้ชนะจริง),
  2. International Patient Center + ประกันนานาชาติ (ทำให้การเดินทางรักษาไร้รอยต่อ),
  3. แพ็กเกจพักฟื้นเชื่อมชุมชนอย่างปลอดภัย (เปลี่ยนโรงแรม–รีสอร์ตให้เป็น Recovery Partner), และ
  4. ธรรมาภิบาล–คืนกำไรสู่ระบบสุขภาพประชาชน (ให้คนเชียงรายได้ประโยชน์จากการเติบโต)

บนถนนสาย Medical Tourism เมืองที่ “เล่าเรื่องเดียวกัน—ให้บริการมาตรฐานเดียวกัน—คิดภาพรวมทั้งห่วงโซ่” จะไปได้เร็วและไกลกว่า คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า พร้อมหรือยัง แต่คือ พร้อมอย่างไร ให้ ได้มาตรฐาน และ ได้ส่วนแบ่ง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (20 ก.ย. 2565; 31 ม.ค. 2566)
  • จังหวัดเชียงราย / สำนักงานจังหวัดเชียงราย: เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ NEC (22–24 ก.ย. 2568) คำชี้แจงโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและหัวหน้าสำนักงานจังหวัด
  • กระทรวงสาธารณสุข: แผนยุทธศาสตร์ประเทศไทยศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ต่อเนื่องถึงแผน 2017–2026
  • Data Bridge Market Research: Thailand Health/Wellness Tourism
  • IMARC Group และ Credence Research: Thailand Medical Tourism
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สมาพันธ์โรงพยาบาลเอกชนไทย / ข้อมูลการรับรอง Joint Commission International (JCI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News