Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ปราบสแกมเมอร์ทำชีวิตหยุดนิ่ง! สัญญาณมือถือชายแดนเชียงรายถูกตัด สู่ปัญหาใหญ่ระดับชาติขาดมาตรการเยียวยา

เชียงรายร้องสัญญาณมือถือหายทั้งตำบล สะท้อนปัญหาใหญ่ระดับชาติ ร้องเรียนผู้บริโภคพุ่ง “สินค้าออนไลน์–มือถือ–อีเวนต์–รถ EV” เสี่ยงซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำดิจิทัล

เชียงราย, 14 ธันวาคม 2568 – เสียงสะท้อนจากประชาชนในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่ออกมาร้องเรียนว่า “โทรศัพท์เหมือนถูกตัดเข้าโหมดเครื่องบินทั้งตำบล” ตลอดช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ไม่เพียงสะท้อนความลำบากในชีวิตประจำวันของคนชายแดน แต่ยังชี้ไปยังปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบคุ้มครองผู้บริโภคในยุคดิจิทัล เมื่อมาตรการด้านความมั่นคงและการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากเข้าไม่ถึงบริการสื่อสารที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยที่ยังไม่มีมาตรการเยียวยาอย่างชัดเจน

กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นควบคู่กับตัวเลขร้องเรียนระดับประเทศที่กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามรายงาน “ภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2568” ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งสะท้อนว่า ผู้บริโภคไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงใหม่ ๆ จากเทคโนโลยี การซื้อขายออนไลน์ รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงธุรกิจอีเวนต์และคอนเสิร์ตที่เติบโตเร็ว แต่การกำกับดูแลยังตามไม่ทัน

ภาพรวมร้องเรียนไตรมาส 3/2568 สินค้าออนไลน์–โทรคมนาคม ครองแชมป์ปัญหาผู้บริโภค

รายงานของ สศช. อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสำนักงาน กสทช. ระบุว่า ในไตรมาส 3 ปี 2568 ประเทศไทยมีเรื่องร้องเรียนด้านการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในส่วนของกิจการโทรคมนาคม สำนักงาน กสทช. ได้รับเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 449 เรื่อง เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 44.8 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยแบ่งเป็น

  • ปัญหาโทรศัพท์เคลื่อนที่ 320 เรื่อง
  • ปัญหาอินเทอร์เน็ต 124 เรื่อง
  • ปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่ง

เมื่อพิจารณาตามลักษณะปัญหา พบว่า

  • “คุณภาพการให้บริการ” เป็นประเด็นร้องเรียนสูงสุด 157 เรื่อง
  • รองลงมาคือ “คุณภาพสัญญาณ” 105 เรื่อง
  • ตามด้วยปัญหาการคิดค่าบริการ การรับข้อความ SMS และการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ฯลฯ

ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำว่า แม้ระบบสื่อสารจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ทั้งต่อเศรษฐกิจดิจิทัลและชีวิตประจำวัน แต่ผู้บริโภคยังเผชิญทั้งปัญหาคุณภาพบริการและความไม่แน่นอนของสัญญาณในหลายพื้นที่

ด้าน สคบ. รายงานว่ามีเรื่องร้องเรียนรวม 9,236 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 34 โดยประเภทปัญหาเปลี่ยนโฉมไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ

เมื่อลงลึกถึงประเภทสินค้าและบริการ พบว่า

  • “สินค้าออนไลน์” มีการร้องเรียนสูงสุด 3,656 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 39.6 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด
  • รองลงมาคือ “รถยนต์” 509 เรื่อง
  • ที่พักโรงแรม/อพาร์ตเมนต์ 448 เรื่อง
  • อุปกรณ์ไฟฟ้า อาหารเสริม ศูนย์บริการ และจองตั๋วเดินทาง ฯลฯ ตามลำดับ

โดยในกลุ่มบริการ มีเรื่องร้องเรียน 1,439 เรื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นปัญหาจากธุรกิจอีเวนต์และคอนเสิร์ต ตั้งแต่การเปลี่ยนเงื่อนไขโดยไม่แจ้งล่วงหน้า การบังคับสมัครสมาชิกพิเศษเพื่อกดบัตร การยกเลิกกิจกรรมแล้วไม่คืนเงิน ไปจนถึงการใช้บอทกว้านซื้อบัตรเพื่อขายต่อในราคาสูงเกินควร

ข้อมูลจากสภาองค์กรของผู้บริโภคระบุว่า ระหว่างปี 2564–2568 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับธุรกิจอีเวนต์และคอนเสิร์ตสูงถึง 9,053 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 32.9 ล้านบาท สะท้อนว่าความบันเทิงที่ควรให้ความสุข กลับกลายเป็นแหล่งความเสี่ยงของผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย

เมื่อสัญญาณถูก “ตัด” เพื่อปราบสแกมเมอร์ ชีวิตชายแดนเชียงรายที่หยุดนิ่ง

ท่ามกลางตัวเลขร้องเรียนที่เพิ่มสูงขึ้น กรณีเชิงรูปธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในจังหวัดเชียงรายทำให้ปัญหา “คุณภาพสัญญาณ” จากสถิติระดับชาติ กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและจับต้องได้ทันที

ประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงของหลายตำบล ร้องเรียนมายังทีมข่าวท้องถิ่นว่า สัญญาณโทรศัพท์เครือข่าย AIS ในบางพื้นที่ถูกตัดขาดแทบทั้งตำบล โดยเฉพาะบริเวณแนวชายแดนริมแม่น้ำโขง ซึ่งสัญญาณหายไปเกือบ 100% ทำให้ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต หรือแอปพลิเคชันทางการเงินได้เลย

ผู้ร้องเรียนบางรายระบุว่า เมื่อต้องออกจากบ้านและไม่มีสัญญาณ Wi-Fi โทรศัพท์จะกลายเป็นเหมือน “โหมดเครื่องบิน” ทันที ไม่สามารถติดต่อธุรกิจ ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว หรือรับ–ส่งข้อมูลสำคัญได้ ขณะที่เครือข่ายอื่นอย่าง dtac และ true ยังใช้งานได้ตามปกติ

ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า ในหลายจุดตามแนวชายแดน สัญญาณ AIS ไม่สามารถใช้งานได้จริงตรงกับคำร้องเรียนของประชาชน โดยข้อมูลเบื้องต้นจากผู้ร้องเรียนระบุว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ได้ขอความร่วมมือ กสทช. ให้จำกัดหรือปิดสัญญาณบางย่านความถี่ตามแนวชายแดน เพื่อสกัดกั้นการใช้ซิมไทยของแก๊งสแกมเมอร์และขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ที่มักตั้งฐานอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

แม้เจตนารมณ์ด้านความมั่นคงทางดิจิทัลจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับกระทบตรงกับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและแอปธนาคารในการทำธุรกรรมประจำวัน เช่น พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย คนขับรถส่งของ นักเรียน นักศึกษา และครอบครัวที่มีสมาชิกทำงานต่างจังหวัดซึ่งต้องติดต่อกันผ่านโทรศัพท์มือถือ

จนถึงวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ยังไม่มีมาตรการเยียวยาที่ชัดเจนจากทั้งผู้ให้บริการเครือข่ายและหน่วยงานกำกับดูแล ขณะที่เหตุการณ์ดังกล่าวอาจกลายเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาสำคัญว่าการตัดสินใจด้านนโยบายที่ “มุ่งแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์” หากขาดการประเมินผลกระทบด้านสิทธิผู้บริโภคอย่างรอบด้าน อาจสร้างความเสียหายต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว

ออนไลน์พุ่ง – EV สะดุด – คอนเสิร์ตป่วน ภูมิทัศน์ใหม่ของความเสี่ยงผู้บริโภคไทย

นอกจากปัญหาสัญญาณโทรศัพท์แล้ว ข้อมูลจาก สคบ. และสภาองค์กรของผู้บริโภคยังฉายภาพชัดเจนว่า คนไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงในหลายมิติที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว

  1. สินค้าออนไลน์: เมื่อ “คลิกสั่งซื้อ” แปลว่าเปิดช่องรับความเสี่ยง

สินค้าออนไลน์กลายเป็นหมวดที่มีการร้องเรียนสูงที่สุดถึง 3,656 เรื่อง หรือเกือบ 4 ใน 10 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด ปัญหาหลักคือ “ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากร้านค้า” ตั้งแต่ไม่ได้รับสินค้า สินค้าไม่ตรงปก สินค้าชำรุด ไม่มีการรับผิดชอบ ไปจนถึงการโฆษณาเกินจริง

ปรากฏการณ์ “ไลฟ์ขายของ” ที่เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มโซเชียล ทำให้การซื้อขายเข้าถึงง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้ผู้ค้าและอินฟลูเอนเซอร์บางกลุ่มใช้ความคล่องตัวของแพลตฟอร์มเป็นเกราะกำบัง ไม่ขออนุญาตโฆษณาจาก อย. ขายอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อาจไม่ปลอดภัย ใช้กลยุทธ์เรียกความเชื่อถือจากผู้ติดตามจำนวนมาก แต่กลับไม่รับผิดชอบเมื่อสินค้ามีปัญหา

สภาพัฒน์เสนอว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องยกระดับการกำกับดูแลการขายสินค้าผ่านไลฟ์อย่างจริงจัง ทั้งการกำหนดมาตรฐานให้ผู้ไลฟ์และอินฟลูเอนเซอร์ต้องมีใบรับรองในบางประเภทสินค้า การร่วมมือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ในการเพิ่มช่องทางร้องเรียน และการถอดถอนสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานออกจากระบบ รวมถึงการเผยแพร่คู่มือการขาย–โฆษณาสินค้าที่ถูกต้องของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ให้ผู้ค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

  1. รถยนต์ไฟฟ้า (EV): ก้าวสู่อนาคตสีเขียว แต่บริการหลังการขายยัง “แดง”

กลุ่มรถยนต์ถูกยกให้เป็นประเภทสินค้าที่มีการร้องเรียนเป็นอันดับ 2 จำนวน 509 เรื่อง โดยส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังได้รับความนิยม แต่โครงสร้างบริการหลังการขายยังไม่พร้อมเท่าที่ควร

งานวิจัย “โครงการศึกษาการใช้รถยนต์ไฟฟ้า” ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค ปี 2568 สะท้อนว่า ผู้ใช้รถ EV จำนวนไม่น้อยเผชิญปัญหาการรออะไหล่นาน บางกรณีต้องรออะไหล่ถึง 7 เดือน ขณะที่ศูนย์บริการยังมีไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ใช้รถจำนวนมากเสียโอกาสในการประกอบอาชีพและการเดินทาง แต่กลับไม่ได้รับการชดเชยหรือเยียวยาอย่างเป็นธรรม

แม้ สคบ. จะประกาศให้รถ EV เป็นสินค้าควบคุมฉลาก กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องระบุข้อมูลสำคัญ เช่น กำลังมอเตอร์ ความจุแบตเตอรี่ ระยะทางต่อการชาร์จ และรายละเอียดการรับประกันแบตเตอรี่ เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจบนข้อมูลที่ครบถ้วน แต่สภาพัฒน์ชี้ว่า ยังจำเป็นต้องพิจารณากำหนดมาตรฐานเพิ่มเติมด้านการซ่อมบำรุงและการรับประกันบริการหลังการขาย เพื่อสร้างกลไกคุ้มครองผู้ใช้รถ EV ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

  1. ธุรกิจอีเวนต์–คอนเสิร์ต: เมื่อบัตรหายยากกว่าหาเงิน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจคอนเสิร์ตและอีเวนต์เติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาการเอาเปรียบผู้บริโภคในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การบังคับสมัครสมาชิกพิเศษก่อนกดบัตร การจัดระบบขายบัตรที่ไม่เสถียร การยกเลิกงานกระทันหันโดยไม่คืนเงิน ไปจนถึงการใช้บอทซื้อบัตรจำนวนมากแล้วนำมาขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง

ข้อมูลจากสภาองค์กรของผู้บริโภคชี้ว่า ระหว่างปี 2564–2568 มีการร้องเรียนในประเด็นดังกล่าวรวม 9,053 เรื่อง มูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 32.9 ล้านบาท ตัวเลขนี้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า ระบบขายบัตรในปัจจุบันคุ้มครองผู้บริโภคเพียงพอหรือไม่

สภาพัฒน์เสนอว่า กรมการค้าภายในและ สคบ. ควรหารือเพื่อกำหนดมาตรการกำกับดูแลธุรกิจอีเวนต์–คอนเสิร์ตอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การกำหนดเงื่อนไขการให้บริการ การคืนเงิน ไปจนถึงการขายต่อ (resale) พร้อมเสนอให้ศึกษาแนวทางของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งได้แก้ไขกฎหมายการแสดงสาธารณะ (Public Performance Act 2023) ห้ามใช้โปรแกรมอัตโนมัติในการซื้อบัตรคอนเสิร์ตเพื่อนำไปขายต่อ โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับสูงสุด 10 ล้านวอน

ช่องโหว่กำกับดูแล–เสียงประชาชน จุดที่รัฐต้องเร่งฟังให้มากขึ้น

จากภาพรวมทั้งหมด จะเห็นได้ว่า “เสียงร้องเรียน” ไม่ได้มีความหมายเพียงตัวเลขในรายงานประจำไตรมาส แต่คือสัญญาณเตือนถึงช่องโหว่ในระบบกำกับดูแลที่อาจกำลังขยายวงกว้าง โดยเฉพาะในสังคมที่การใช้เทคโนโลยีและบริการดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

กรณีสัญญาณมือถือใน อ.เชียงของ และพื้นที่ชายแดนเชียงรายที่ถูกจำกัดเพื่อปราบแก๊งสแกมเมอร์ แต่กลับทำให้ประชาชนจำนวนมาก “ถูกตัดออกจากโลกดิจิทัล” เป็นตัวอย่างสำคัญของการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ขาดการสื่อสารและกลไกเยียวยาที่รัดกุม หากไม่มีช่องทางให้ผู้ได้รับผลกระทบสามารถร้องเรียนและได้รับคำชี้แจงอย่างโปร่งใส ปัญหาความไม่ไว้วางใจต่อรัฐและผู้ให้บริการเอกชนอาจทวีความรุนแรง

สภาพัฒน์ย้ำว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในระยะต่อไป ได้แก่

  1. การกำกับดูแลการขายสินค้าผ่านไลฟ์ (Live Commerce) ให้เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งในมิติการโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค
  2. การยกระดับมาตรฐานบริการหลังการขายของรถ EV เพื่อให้สอดรับกับนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในระดับประเทศ
  3. การออกมาตรการเฉพาะสำหรับธุรกิจอีเวนต์–คอนเสิร์ต โดยเรียนรู้จากประเทศที่มีระบบควบคุมบอทและการขายบัตรเกินราคาที่เห็นผลชัดเจน

ในด้านกิจการโทรคมนาคม กรณีร้องเรียนเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งในเวลาเพียงปีเดียว ตลอดจนปัญหาคุณภาพสัญญาณตามแนวชายแดน ยิ่งทำให้ความคาดหวังต่อบทบาทของ กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่ายสูงขึ้น ทั้งในเรื่องการสื่อสารข้อมูล การชดเชยกรณีบริการขัดข้อง และการสร้างกลไกแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนดำเนินมาตรการที่กระทบประชาชนวงกว้าง

ทางเลือกของประชาชน ใช้สิทธิ–ใช้เสียง อย่างมีข้อมูล

ในสถานการณ์ที่ความเสี่ยงของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากโลกออนไลน์และโลกจริง หน่วยงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคย้ำว่า ประชาชนไม่ควรนิ่งเฉยเมื่อพบปัญหา

  • กรณีสินค้าและบริการทั่วไป รวมถึงสินค้าออนไลน์ รถยนต์ และบริการอีเวนต์–คอนเสิร์ต สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน สคบ. 1166 หรือเว็บไซต์ที่ระบุในรายงานของ สคบ. เพื่อให้มีหลักฐานทางการในการติดตามผล
  • กรณีปัญหาสัญญาณโทรศัพท์ คุณภาพอินเทอร์เน็ต ค่าบริการ หรือบริการด้านโทรคมนาคมอื่น ๆ สามารถติดต่อสำนักงาน กสทช. ผ่านช่องทางร้องเรียนที่เปิดให้บริการ พร้อมแนบหลักฐานการใช้งานและความเสียหายที่เกิดขึ้น
  • ในกรณีที่ปัญหามีมูลค่าความเสียหายสูงหรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมาก เช่น การจัดคอนเสิร์ตหรือกิจกรรมใหญ่ ผู้เสียหายสามารถประสานงานกับสภาองค์กรของผู้บริโภคเพื่อรวมกลุ่มฟ้องคดีแบบกลุ่ม (class action) หรือผลักดันให้มีการทบทวนกฎระเบียบระดับนโยบาย

สำหรับประชาชนในพื้นที่ชายแดนเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากการจำกัดสัญญาณมือถือ การรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาสัญญาณหาย พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และผลเสียหายต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และนำไปร้องเรียนต่อหน่วยงานกำกับดูแล จะช่วยให้เสียงของพื้นที่ถูกบันทึกไว้ในระบบทางการ มากกว่าการเป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปาก

จาก “ตัวเลขร้องเรียน” สู่ “เข็มทิศนโยบาย”

ตัวเลข 449 เรื่องร้องเรียนด้านโทรคมนาคม และ 9,236 เรื่องร้องเรียนต่อ สคบ. ในไตรมาส 3 ปี 2568 อาจดูเป็นเพียงสถิติหนึ่งในรายงานภาวะสังคม แต่เมื่อเชื่อมโยงกับเสียงจากพื้นที่จริงอย่างเชียงราย ภาพรวมที่ปรากฏคือ “ความเปราะบางใหม่” ของผู้บริโภคไทยในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อผ่านสัญญาณและแพลตฟอร์มดิจิทัล

สินค้าออนไลน์ที่ร้องเรียนสูงสุด 3,656 เรื่อง ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการกำกับดูแล Live Commerce อย่างจริงจัง รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังถูกผลักดันในฐานะอนาคตของการเดินทาง กลับเผชิญปัญหาบริการหลังการขายที่ยังไม่พร้อม ขณะที่ธุรกิจอีเวนต์และคอนเสิร์ต ซึ่งควรเป็นพื้นที่แห่งความสุข กลับสร้างความเสียหายหลายหมื่นคดีในช่วงไม่ถึง 5 ปี

กรณีสัญญาณ AIS ตามแนวชายแดนเชียงรายที่หายไปเกือบ 1 เดือน เป็นสัญลักษณ์ชัดเจนว่า หากนโยบายด้านความมั่นคงดิจิทัลขาดกลไกคุ้มครองประชาชน อาจทำให้ “คนตัวเล็ก” กลายเป็นผู้รับภาระตัวจริงในสงครามกับอาชญากรรมออนไลน์

ในระยะยาว การลดตัวเลขร้องเรียนและป้องกันความเสียหายต่อผู้บริโภค จะต้องอาศัยทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่ทันสมัย การทำงานเชิงรุกของหน่วยงานรัฐ การรับผิดชอบของภาคเอกชน และการใช้สิทธิร้องเรียนของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ทุกฝ่ายต้องมอง “เสียงร้องเรียน” ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นเข็มทิศให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยเดินหน้าไปสู่ความเป็นธรรมและความปลอดภัยที่แท้จริงในยุคดิจิทัล

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • ข้อมูลการร้องเรียนผู้บริโภคด้านสินค้าและบริการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และสภาองค์กรของผู้บริโภค (ช่วงปี 2564–2568)
  • รายงานวิจัย “โครงการศึกษาการใช้รถยนต์ไฟฟ้า” มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค (ปี 2568)
  • ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)
  • ข้อมูลร้องเรียนกรณีปัญหาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จากทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์และผู้ร้องเรียนในพื้นที่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY

คนจนลด แต่เสี่ยงเพียบ สศช. ชี้ 24 ล้านคน ส่อจนหลายมิติ

สศช. เปิดเผยสถานการณ์ความยากจนไทย แม้ลดลงแต่ยังมีความเสี่ยงสูง

แนวโน้มความยากจนของไทยในปี 2566 และความท้าทายในอนาคต

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ สถานการณ์ความยากจนในประเทศไทย ในช่วงการแถลงภาวะสังคมไทย ไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 โดยพบว่าแม้ตัวเลขสัดส่วนคนจนในประเทศจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

สถานการณ์ความยากจนหลายมิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนคนจนหลายมิติของประเทศไทยปรับตัวลดลง โดยในปี 2566 มีประชากรที่อยู่ในกลุ่ม คนจนหลายมิติ” รวมทั้งสิ้น 6.13 ล้านคน หรือ คิดเป็น 8.76% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าตัวเลขดังกล่าวลดลงมากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับช่วงปี 2558 – 2566

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขจะลดลง แต่ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ความยากจนหลายมิติยังคงอยู่ โดยสามารถแบ่งกลุ่มคนจนออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่:

  • กลุ่มคนจนด้านตัวเงินเพียงอย่างเดียว
  • กลุ่มคนจนที่ประสบปัญหาทั้งด้านตัวเงินและด้านคุณภาพชีวิต (คนจนหลายมิติ)
  • กลุ่มคนจนที่ประสบปัญหาหลายมิติโดยไม่มีปัญหาด้านตัวเงิน

จำนวนคนจนไทยปี 2566 และแนวโน้ม

จากข้อมูลล่าสุด พบว่า ประเทศไทยมีคนจนรวมทั้งสิ้น 7.17 ล้านคน แบ่งเป็น:

  • คนจนหลายมิติเพียงอย่างเดียว จำนวน 4.78 ล้านคน
  • คนจนด้านตัวเงินเพียงอย่างเดียว จำนวน 1.04 ล้านคน
  • กลุ่มที่ประสบปัญหาทั้ง 2 ด้าน (การเงินและคุณภาพชีวิต) จำนวน 1.35 ล้านคน

ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีประชากรไทยอีกจำนวนมากที่ยังประสบปัญหาด้านคุณภาพชีวิต และกว่า 18.8% ของประชากรที่อยู่ในสถานะ “เกือบจน” มีความเสี่ยงที่จะกลับไปอยู่ในกลุ่มคนจนอีกครั้ง

ความเสี่ยงและปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง

แม้สถานการณ์คนจนหลายมิติในประเทศไทยจะดีขึ้น แต่ยังมี คนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน หรือ 34.7% ของประชากรที่จัดอยู่ในกลุ่ม เสี่ยงตกเป็นคนจนหลายมิติ” โดยกลุ่มนี้กระจายอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางเป็นหลัก

เมื่อวิเคราะห์ตามภูมิภาค พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความยากจนแตกต่างกัน:

  • ภาคเหนือและภาคอีสาน: ปัญหาด้านการไม่มีบำเหน็จ/บำนาญสูงถึง 70.5% ซึ่งสูงกว่าภูมิภาคอื่นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 57.4%
  • ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร: ปัจจัยที่มีผลกระทบสูงสุดคือ ความมั่นคงทางการเงิน ตามมาด้วยปัญหาด้านความเป็นอยู่และการศึกษา
  • จังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์: แม้จะอยู่ใกล้กัน แต่มีปัญหาต่างกัน โดยพิษณุโลกเผชิญกับปัญหาการจัดการขยะ ขณะที่อุตรดิตถ์มีอัตราการขาดบำเหน็จบำนาญสูง

แนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนหลายมิติ

รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นไปที่ การสร้างความมั่นคงทางการเงิน และ การเพิ่มคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ เช่น:

  1. ส่งเสริมการวางแผนทางการเงิน: กระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการออมและการวางแผนเกษียณ
  2. พัฒนาระบบบำเหน็จ/บำนาญ: ปรับปรุงระบบสวัสดิการเพื่อรองรับประชากรสูงวัย และเพิ่มแรงจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้าร่วม
  3. ลดหนี้สินครัวเรือน: จัดทำโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย และให้คำแนะนำด้านการบริหารจัดการเงิน
  4. พัฒนาการศึกษาและอาชีพ: เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการฝึกอบรมทักษะเพื่อลดอัตราการว่างงาน
  5. สนับสนุนธุรกิจชุมชน: กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านโครงการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง

แม้สถานการณ์ความยากจนในไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังมี ข้อท้าทายสำคัญ ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า มาตรการของรัฐยังไม่เพียงพอ และต้องมีการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่บางฝ่ายมองว่า รัฐบาลมีความคืบหน้าในการลดความยากจน แต่ต้องปรับนโยบายให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาคมากขึ้น

สถิติและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ กระทรวงการคลัง ในปี 2566 พบว่า:

  • สัดส่วนคนจนหลายมิติของไทยลดลงจาก 19% ในปี 2558 เหลือ 8.76% ในปี 2566
  • กลุ่มเสี่ยงตกเป็นคนจนหลายมิติอยู่ที่ 24 ล้านคน หรือ 34.7% ของประชากร
  • ภาคเหนือและภาคอีสานมีประชากรที่ขาดบำเหน็จ/บำนาญสูงสุดที่ 70.5%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สศช. / กระทรวงการคลัง / สำนักสถิติแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

คนโสดไทยพุ่งสูง สศช.ชี้แนวทางแก้ไขหาคู่เพิ่ม

ไทยเข้าสู่ยุคสังคมคนโสด สภาพัฒน์เผยคนโสดวัยเจริญพันธุ์พุ่งสูง แนะพัฒนาแพลตฟอร์มหาคู่

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยข้อมูลที่ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมคนโสดมากขึ้น โดยจำนวนคนไทยในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ที่ยังโสดเพิ่มขึ้นเป็น 40.5% จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ปี 2566 สะท้อนถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานและการสร้างครอบครัวที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

จำนวนคนโสดในไทยเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับอัตราการแต่งงานที่ลดลง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุว่า อัตราการแต่งงานของคนไทยลดลงต่อเนื่อง จากระดับ 57.9% ในปี 2560 เหลือเพียง 52.6% ในปี 2566 ขณะที่อัตราการหย่าร้างกลับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยคนโสดส่วนใหญ่พบได้ในพื้นที่เขตเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่มีสัดส่วนคนโสดสูงถึง 50.4%

ปัจจัยที่ทำให้คนไทยโสดเพิ่มขึ้น แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก

  1. ค่านิยมและทัศนคติที่เปลี่ยนไป
    การเป็นโสดในยุคใหม่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า SINK (Single Income, No Kids) ที่มุ่งเน้นการใช้จ่ายเพื่อตนเอง และ PANK (Professional Aunt, No Kids) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไปที่มีรายได้ดีและมุ่งเน้นการดูแลหลานแทนการมีลูก

  2. ความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกันในการหาคู่
    ข้อมูลจากบริษัท Meet & Lunch ในปี 2564 พบว่าผู้หญิงกว่า 76% จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และ 83% ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะที่ผู้ชาย 59% จะไม่คบกับผู้หญิงที่ตัวสูงกว่าและอีกกว่า 60% ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง

  3. การขาดโอกาสในการพบปะผู้คน
    คนโสดในปี 2566 มีชั่วโมงการทำงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่คนทำงานหนักที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ทำให้มีเวลาน้อยในการพบปะคนใหม่ ๆ

  4. นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่เพียงพอ
    แม้ว่าจะมีความพยายามส่งเสริมการแต่งงานและมีลูก แต่ยังไม่ครอบคลุมความต้องการของคนโสด ซึ่งต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่มีการสนับสนุนทั้งด้านการเงินและการพัฒนาแพลตฟอร์มหาคู่

แนวทางการแก้ปัญหาและส่งเสริมให้คนโสดมีคู่

เพื่อแก้ปัญหานี้ สภาพัฒน์เสนอแนวทางการสนับสนุนให้คนโสดสามารถหาคู่ได้ง่ายขึ้น เช่น

  • การพัฒนา แพลตฟอร์ม Matching ที่ให้บริการโดยภาครัฐร่วมกับผู้ให้บริการเอกชน
  • ส่งเสริมการมี Work-life Balance เพื่อให้คนโสดมีเวลามากขึ้นในการทำกิจกรรมที่ชอบและพบปะผู้คนใหม่ ๆ
  • ยกระดับทักษะและเพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ เพื่อให้คนโสดมีความมั่นใจในชีวิตและพร้อมที่จะสร้างความสัมพันธ์

กรณีศึกษาจากต่างประเทศที่น่าสนใจ

หลายประเทศได้ดำเนินการนโยบายส่งเสริมการแต่งงานที่ครอบคลุมมากกว่า เช่น

  • สิงคโปร์ จัดทำโครงการลดคนโสดโดยจ่ายเงินสนับสนุนการออกเดท
  • จีน ใช้แอปพลิเคชันหาคู่ที่พัฒนาจากฐานข้อมูลของคนโสดในเมือง
  • ญี่ปุ่น ใช้ระบบ AI ในการจับคู่เพื่อช่วยให้คนโสดพบคนที่เหมาะสม

สรุปสถานการณ์และแนวทางต่อไป

นายดนุชากล่าวว่า การสนับสนุนให้คนโสดมีคู่และสร้างครอบครัว เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดปัญหาการเกิดน้อยลงในระยะยาว การสร้างแพลตฟอร์มหาคู่ที่เข้าถึงง่ายและส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างสมดุลจะช่วยให้คนโสดมีโอกาสพบคนที่เหมาะสมและสร้างครอบครัวได้ง่ายขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมจำนวนคนโสดในไทยถึงเพิ่มขึ้น?
    เพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไป การทำงานหนัก และความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกันในการหาคู่

  2. ภาครัฐมีแนวทางส่งเสริมการมีคู่หรือไม่?
    มีการเสนอพัฒนาแพลตฟอร์ม Matching และสนับสนุน Work-life Balance

  3. กรณีศึกษาจากประเทศอื่น ๆ มีอะไรบ้าง?
    สิงคโปร์, จีน, และญี่ปุ่นมีการพัฒนาแอปพลิเคชันและโครงการสนับสนุนการหาคู่

  4. คนโสดในไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มไหน?
    กลุ่ม SINK และ PANK ซึ่งเน้นใช้จ่ายเพื่อตนเองและไม่มีลูก

  5. นโยบายใดที่จะช่วยให้คนโสดมีเวลาหาคู่มากขึ้น?
    การส่งเสริม Work-life Balance และการลดชั่วโมงการทำงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ข้อมูลจากสภาพัฒน์ฯ บอกคนไทย อายุ 15-49 ปี กำลัง “โสด” ถึง 40.5%

 
เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2567 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงเรื่องภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 โดยข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) พ.ศ.2566 พบว่าคนไทยครองตัวเป็นโสดมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 23.9 หรือ 1 ใน 5 ของคนไทย และหากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่อายุ 15-49 ปีจะมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 40.5 สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว และเพิ่มขึ้นจาก พ.ศ.2560 (ร้อยละ 35.7) 
 
โดย ร้อยละ 50.9 อยู่ในช่วงอายุ 15 – 25 ปี สัดส่วนการแต่งงานในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ปี 2560 -2566 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ ร้อยละ 52.6 ลดลงจากปี 2565 ที่อยู่ที่ร้อยละ 53.2 และลดลงจากปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 57.9 ขณะเดียวกันการหย่าร้างในอัตราที่สูงขึ้น โดยในปี 2566 มีประมาณ 400,000 คู่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 22
 
 

โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นคนโสดแบ่งได้เป็น 4 ด้าน คือ

1) ค่านิยมทางสังคมของการเป็นโสดยุคใหม่ อาทิ “SINK (Single Income,No Kids)” หรือคนโสดที่มีรายได้และไม่มีลูก” เน้นใช้จ่ายเพื่อตนเอง จากข้อมูล SES ในปี 2566 พบว่า สัดส่วนคนโสด SINK สูงขึ้นตามระดับรายได้ “PANK (Professional Aunt, No Kids)” หรือกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ อาชีพการงานดีและไม่มีลูก” ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลหลาน เด็กในครอบครัวรอบตัว

 

โดยคนโสด PANK มีจำนวน 2.8 ล้านคน ส่วนใหญ่มีรายได้ดีและจบการศึกษาสูง และ “Waithood” กลุ่มคนโสดที่เลือกจะรอคอยความรักเนื่องจากความไม่พร้อม ไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากคนโสดร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ำสุด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 37.7 ส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากถึงร้อยละ 62.6 มีระดับการศึกษาที่ไม่สูงนัก ทำให้ความสามารถในการหารายได้จำกัด

2) ปัญหาความต้องการ ความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกัน เป็นผลจากความคาดหวังทางสังคมและทัศนคติต่อการมองหาคู่ของคนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัท มีทแอนด์ลันช์ สาขาประเทศไทย (2021) พบว่าผู้หญิงกว่าร้อยละ 76.0 จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และร้อยละ 83.0 ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะเดียวกัน ผู้ชายร้อยละ 59.0 จะไม่คบกับผู้หญิงตัวสูงกว่า และอีกว่าร้อยละ 60.0 ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง

3) โอกาสในการพบปะผู้คน โดยใน พ.ศ.2566 คนโสดมีชั่วโมงการทำงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ โดยข้อมูลจาก LFS สำนักงานสถิติแห่งชาติ เฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์ สูงกว่าภาพรวมประเทศ (42.3 เฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์)

อีกทั้งกรุงเทพฯ ยังจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ของเมืองที่แรงงานทำงานหนักที่สุดในโลก ทำให้คนโสดไม่มีโอกาสในการมองหาคู่

4) นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่ต่อเนื่องและครอบคลุมความต้องการของคนโสด โดยนโยบายส่งเสริมการมีคู่ของไทยในช่วงที่ผ่านมายังมีไม่มากนัก โดยเน้นไปที่กลุ่มคนโสดที่มีความพร้อม ขณะที่ ในต่างประเทศมีแนวทางการส่งเสริมการมีคู่ที่ครอบคลุมไปถึงการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และการสร้างโอกาสในการมีคู่

 

 

ทั้งนี้ มีแนวทางสนับสนุนให้คนมีคู่ ดังนี้

1) การสนับสนุนเครื่องมือการ Matching คนโสด โดยภาครัฐอาจร่วมมือกับผู้ให้บริการพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมให้คนโสดสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

2) การส่งเสริมการมี Work-life Balance ทั้งในภาครัฐและเอกชน ทำให้คนโสดมีคุณภาพชีวิตที่ขึ้น และเพิ่มโอกาสให้คนโสดมีเวลาทำกิจกรรมที่ชอบและพบเจอคนที่น่าสนใจมากขึ้น

3) การยกระดับทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพการงานและรายได้ซึ่งคนโสดยังมีโอกาสพบรักจากสถานศึกษาได้อีกด้วย

4) การส่งเสริมกิจกรรมและการมีส่วนร่วมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนโสดมีโอกาสพบปะและสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆได้

 

 

สำหรับปัญหาสุขภาพจิตยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสังคมไทย โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบว่า มีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการเพิ่มขึ้น จาก 1.3 ล้านคน ในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 ซึ่งหากพิจารณาในรายละเอียด จะพบประเด็นที่มีความน่ากังวล ดังนี้

1.แม้ว่าประเทศไทยจะมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา 2.9 ล้านคน แต่ผู้มีปัญหาอาจมากถึง 10 ล้านคน ทำให้สัดส่วนผู้มีปัญหาสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก และสะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้ที่ไม่ได้เข้ารับรักษาเป็นจำนวนมาก

2.ผู้มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตมีสัดส่วนสูงเช่นกัน โดยระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2566 – 22 เม.ย.2567 พบผู้มีความเครียดสูงถึงร้อยละ 15.48 เสี่ยงซึมเศร้า ร้อยละ 17.20 และเสี่ยงฆ่าตัวตายร้อยละ 10.63 ซึ่งแย่ลงกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา

3) ปัญหาสุขภาพจิตไม่เพียงกระทบต่อตนเอง แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดคิด องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลของประชากรทั่วโลก ทำให้วันทำงานหายไปประมาณ 12 พันล้านวัน สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

4) เกือบ 1 ใน 5 ของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตไม่สามารถดูแลตนเองได้ ทำให้ครัวเรือนต้องจัดหาผู้ดูแลและเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ไม่ถึง 1 ใน 4 ที่ได้รับการติดตามดูแลและเฝ้าระวังตามแนวทางที่กำหนด

5) สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความกดดันส่งผลให้คนไทยเป็นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลมากขึ้น ในงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบสัดส่วนผู้ป่วยกลุ่มโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า สูงเป็น 2 อันดับแรก สูงกว่าผู้ป่วยติดยาบ้าและยาเสพติดอื่น ๆ รวมกัน

6) การฆ่าตัวตายสูงใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7.94 ต่อประชากรแสนคน ใกล้เคียงช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง (8.59 ต่อประชากรแสนคน)

7) ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตภายใน จากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าในเยาวชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 ซึ่งไทยต้องเฝ้าระวังเนื่องจากกำลังประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

นอกจากนี้ หากพิจารณาตามช่วงวัย พบว่าวัยเด็กและเยาวชนมีปัญหาสุขภาพจิตที่น่ากังวลหลายเรื่องโดยเฉพาะความเครียด ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการเรียนและความคาดหวังด้านการทำงานในอนาคต และสถานะทางการเงินของครอบครัว นอกจากนี้การกลั่นแกล้ง (Bully) ในโรงเรียน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า

วัยทำงานความรับผิดชอบสูง และหลายปัญหารุมเร้า บริษัท Kisi พบว่า ในปี 2565 กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับ 5 จาก 100 เมืองทั่วโลกที่มีผู้คนทำงานหนักเกินไป สอดคล้องกับมหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 หมดไฟในการทำงาน อีกทั้ง ข้อมูลจากสายด่วน 1323 ของกรมสุขภาพจิต พบว่า ปี 2566 วัยแรงงานขอรับบริการเรื่องความเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการทำงานถึง 5,989 สาย จากทั้งหมด 8,009 สาย

สำหรับ ผู้สูงวัยต้องอยู่กับความเหงาและโดดเดี่ยว สูญเสียคุณค่าในตนเอง ในปี 2566 พบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 84.93 มีความสุขในระดับที่ดีแต่จะลดน้อยลงตามวัย ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดกิจกรรมและบทบาททางสังคม อีกทั้ง ยังพบผู้สูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียวเพิ่มขึ้น และมีผู้สูงอายุอีก 8 แสนคน มีภาวะความจำเสื่อม ซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่นร่วมด้วย

สถานการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาสุขภาพจิตต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งการป้องกันต้องสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว เน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

การรักษา เร่งเพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอรวมทั้งขยายบริการการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด อีกทั้งต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการ

รวมถึงการติดตามและฟื้นฟูเยียวยา ต้องจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจิตที่ครอบคลุม เร่งติดตามผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงให้ได้รับการรักษาต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนและสังคม ในการส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพจิตใจและขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพจิต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News