Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายจัดขบวนรุ่น 2 พสกนิกร 230 คน ถวายบังคมพระบรมศพอย่างเป็นระบบ

นครเชียงรายรุ่นที่ 2 ออกเดินทางถวายบังคมพระบรมศพ “สมเด็จพระพันปีหลวง” เปิดพื้นที่แห่งความอาลัยให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นระบบ

เชียงราย, 25 พฤศจิกายน 2568 – ในห้วงเวลาแห่งความโศกอาดูรที่แผ่คลุมไปทั่วประเทศ เทศบาลนครเชียงรายได้ขยับบทบาทสำคัญในการเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกับพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร ด้วยการจัดขบวนพสกนิกรชาวนครเชียงราย “รุ่นที่ 2” เดินทางไปกราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความอาลัยและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างทั่วถึง

ภายใต้บริบทที่ประชาชนจำนวนมากในต่างจังหวัดอาจมีข้อจำกัดด้านระยะทาง ค่าใช้จ่าย และการจัดการเดินทางด้วยตนเอง การที่เทศบาลนครเชียงรายลุกขึ้นมาจัดระบบการเดินทางอย่างเป็นรูปธรรมจึงสะท้อน “บทบาทของท้องถิ่น” ในการแปลงความจงรักภักดีให้กลายเป็นโอกาสและการเข้าถึงอย่างเป็นธรรมสำหรับทุกกลุ่มประชาชน

ขบวนรุ่นที่ 2 จากอาคารเทิดพระเกียรติฯ สู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

เมื่อเวลา 17.00 น. วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ณ อาคารเทิดพระเกียรติ 90 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ เทศบาลนครเชียงรายได้จัดพิธีปล่อยขบวนรถอย่างเป็นทางการ บรรยากาศในช่วงเย็นเต็มไปด้วยความสงบ สำรวม และเปี่ยมด้วยความหมาย

ขบวนพสกนิกรชาวนครเชียงราย “รุ่นที่ 2” จำนวน 230 คน ถูกจัดลำดับอย่างเป็นระเบียบ ก่อนทยอยขึ้นรถบัสที่เตรียมไว้ 5 คัน เพื่อออกเดินทางสู่กรุงเทพมหานคร เป้าหมายคือการเข้าเฝ้าฯ ถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

พิธีปล่อยขบวนได้รับเกียรติจาก
– นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย
– ร.ต.อ.ดร. ธนรัช จงสุทธานามณี อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
– คณะผู้บริหารเทศบาล
– สมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงราย
– ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เทศบาลจำนวนหนึ่ง

ทุกคนร่วมยืนส่งขบวนด้วยความสำรวม สะท้อนถึงความพร้อมทั้งด้าน “จิตใจ” และ “การบริหารจัดการ” ในการนำคณะพสกนิกรออกเดินทางในครั้งนี้

ระบบการเดินทางที่วางแผนล่วงหน้า เมื่อความอาลัยต้องเดินคู่กับความปลอดภัย

เพื่อให้การเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เทศบาลนครเชียงรายได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเชิงปฏิบัติการอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การจัดสรรยานพาหนะไปจนถึงการดูแลตลอดเส้นทาง

เทศบาลนครเชียงรายจัดเตรียมรถบัสจำนวน 5 คัน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประจำรถทุกคัน เพื่อทำหน้าที่
– อำนวยความสะดวกในการเดินทาง
– ดูแลความปลอดภัยของผู้ร่วมเดินทาง
– ประสานงานในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ในระดับการควบคุมขบวน นายภาธร์ รังษีกุลพิพัฒน์ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยสมาชิกสภาเทศบาล นางสาวปภาวินี คำโพนงาม ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลและนำขบวนประชาชนตลอดการเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง

การมีผู้บริหารระดับรองนายกเทศมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการร่วมเดินทางไปกับประชาชน ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของการ “ลงพื้นที่เคียงข้างประชาชน” แต่ยังช่วยให้การตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางสามารถทำได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

กำหนดการแบบรอบ เปิดทางให้ประชาชนเข้าถึงอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้การเปิดโอกาสแก่ประชาชนมีความทั่วถึง ไม่ใช่เพียงการจัดครั้งเดียว เทศบาลนครเชียงรายได้ออกแบบ “ระบบรอบการเดินทาง” อย่างชัดเจนในเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้แก่

  • รอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 25–28 พฤศจิกายน 2568
  • รอบที่ 3 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2568

การแบ่งรอบลักษณะนี้ช่วยให้ประชาชนจากหลายชุมชน หลายเขตในพื้นที่นครเชียงราย สามารถทยอยลงทะเบียนและเข้าร่วมได้ตามความพร้อม ลดความแออัด ลดความเสี่ยงด้านสาธารณสุข และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการด้านโลจิสติกส์ของเทศบาล

แม้ตัวเลข 230 คนในรุ่นที่ 2 อาจดูไม่ใช่ตัวเลขมหาศาล หากมองในมุมสถิติระดับประเทศ แต่ในเชิงพื้นที่ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึง “ความตั้งใจเชิงนโยบาย” ที่ต้องการให้กลุ่มประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ มีโอกาสเดินทางไปถวายบังคมพระบรมศพ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยต้นทุนและข้อจำกัดส่วนบุคคล

ความหมายเชิงสังคม พื้นที่แห่งความอาลัยที่ไม่จำกัดแค่คนเมืองหลวง

การเดินทางของขบวนพสกนิกรนครเชียงรายรุ่นที่ 2 ครั้งนี้ มีความหมายเกินกว่า “ภารกิจหนึ่งทริป” เนื่องจากสะท้อนมิติสำคัญอย่างน้อยสามประการ ดังนี้

การสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงพระราชพิธีสำคัญ
ประชาชนในจังหวัดชายขอบหรือจังหวัดห่างไกลจากศูนย์กลางมักมีข้อจำกัดด้านระยะทาง เวลา และค่าใช้จ่าย การที่เทศบาลนครเชียงรายเข้ามามีบทบาทในการจัดการเดินทางอย่างเป็นระบบ ทำให้ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ คนทำงาน หรือคนที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินทางไกล สามารถเข้าถึงพระราชพิธีสำคัญได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น

การแปร “ความอาลัยส่วนบุคคล” สู่ “การร่วมไว้อาลัยในฐานะชุมชน”
เมื่อประชาชนเดินทางเป็นขบวนในนาม “นครเชียงราย” การแสดงความอาลัยจึงมีมิติของความเป็นชุมชนเข้ามาเสริม ไม่ใช่เพียงเรื่องของบุคคลและครอบครัว แต่สะท้อนถึงการรวมพลังของคนทั้งเมืองที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

การยืนยันบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในช่วงเหตุการณ์ระดับชาติ
การจัดการครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เทศบาลไม่ได้มีบทบาทเพียงด้านสาธารณูปโภคหรือโครงการพัฒนาเมือง แต่ยังมีภารกิจด้าน “จิตวิญญาณสาธารณะ” ในการออกแบบช่องทางให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความผูกพันและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณร่วมกัน

ภาพสะท้อนเชิงบริหารจัดการ เมื่อสวัสดิการสังคมเดินคู่กับศักดิ์ศรีประชาชน

บทบาทของกองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งมีนางสาวปภาวินี คำโพนงาม เป็นผู้อำนวยการ มีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการนี้ เพราะต้องทำงาน “สองมิติ” ควบคู่กันไป ได้แก่

  1. การบริหารจัดการด้านสวัสดิการ เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว การจัดเตรียมยา การกำหนดเวลาแวะพัก และการจัดการความปลอดภัยตลอดเส้นทาง
  2. การรักษาศักดิ์ศรีและความรู้สึกของผู้ร่วมเดินทาง ให้ทุกคนรู้สึกว่าไม่ได้เป็น “ผู้รับความช่วยเหลือ” แต่เป็น “ตัวแทนของนครเชียงราย” ที่เดินทางไปแสดงความอาลัยในฐานะพสกนิกรของพระองค์ท่าน

การผสมผสานสองมิตินี้ทำให้การเดินทางไม่ได้เป็นเพียง “ทริป” แต่เป็นการเดินทางที่มีความหมาย มีการออกแบบเชิงสังคม และมีระบบรองรับประชาชนอย่างเหมาะสมในทุกขั้นตอน

เชื่อมเหตุการณ์สู่การตัดสินใจในอนาคต บทเรียนจากการจัดขบวนรุ่นที่ 2

จากการจัดขบวนพสกนิกรรุ่นที่ 2 ครั้งนี้ เทศบาลนครเชียงรายย่อมได้รับ “บทเรียนเชิงระบบ” ที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการเหตุการณ์สำคัญอื่นในอนาคต ทั้งในด้านพิธีการ การเดินทางระยะไกล และการดูแลกลุ่มประชาชนขนาดใหญ่

ในเชิงปฏิบัติ การกำหนดรอบการเดินทางที่ชัดเจน การจัดสรรยานพาหนะและเจ้าหน้าที่ประจำรถ การมีผู้บริหารระดับสูงร่วมกำกับการเดินทาง และการเตรียมข้อมูลให้ประชาชนทราบล่วงหน้า ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าร่วม และสร้างมาตรฐานในการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ในเชิงสังคม การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความอาลัยต่อสมเด็จพระพันปีหลวงอย่างเป็นระบบ ช่วยตอกย้ำความผูกพันระหว่างประชาชนกับสถาบันหลักของชาติ และสะท้อนให้เห็นว่า แม้ระยะห่างทางภูมิศาสตร์จะไกล แต่ “ระยะห่างทางจิตใจ” สามารถถูกย่นย่อได้ ผ่านการบริหารจัดการที่ตั้งอยู่บนหลักการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

นครเชียงรายในห้วงเวลาแห่งการไว้อาลัยของชาติ

การจัดขบวนพสกนิกรนครเชียงรายรุ่นที่ 2 เดินทางไปถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการ “เดินทางจากเชียงรายสู่กรุงเทพฯ” หากแต่เป็นการเดินทางที่เชื่อมต่อ “หัวใจของผู้คนในท้องถิ่น” เข้ากับ “หัวใจของชาติ”

ภายใต้จำนวน 230 คน รถบัส 5 คัน เจ้าหน้าที่ประจำรถทุกคัน ผู้บริหารที่ร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด และการกำหนดรอบการเดินทางที่ครอบคลุมตลอดช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สัมผัสได้จากบรรยากาศ คือความตั้งใจของเทศบาลนครเชียงรายในการทำให้ “คำว่าโอกาสอย่างทั่วถึง” เกิดขึ้นจริง

สำหรับผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารเชิงลึก เหตุการณ์นี้อาจเป็นตัวอย่างชัดเจนของการที่ “นโยบายเชิงสัญลักษณ์” ด้านความจงรักภักดี สามารถถูกออกแบบและขับเคลื่อนผ่านกลไกของท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อการจัดการครั้งนี้เดินหน้าไปพร้อมกับความสำรวม ความเคารพ และการบริหารสาธารณะอย่างมืออาชีพ ก็ยิ่งทำให้ภาพของนครเชียงรายในฐานะเมืองที่ไม่ทอดทิ้งประชาชนในห้วงเวลาแห่งความสูญเสีย ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY

แรงงานศรีลังกา 10,000 -ผู้หนีภัยฯ เมียนมาเข้าไทย! แผนอัปสกิล-รีสกิล รับมือวิกฤตขาดแคลน

วิกฤตแรงงานไทย 2568 “เร่งอุดช่องว่าง 1 แสนตำแหน่ง” – แผนฟื้นตัวจากชายแดนสู่ดิจิทัล อัปสกิล–รีสกิล และยกระดับสวัสดิการ เพื่อแรงงานทุกกลุ่ม

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568เช้าวันจันทร์ต้นไตรมาส 4/2568 ประเทศไทยตื่นมาเจอ “โจทย์ใหญ่” ในตลาดงาน—ตำแหน่งงานว่างกว่าหนึ่งแสนตำแหน่งที่หาแรงงานไม่ได้ในเวลาเดียวกับที่ธุรกิจจำนวนมากกำลังเร่งเครื่องรับ “ไฮซีซัน” และฟื้นตัวจากความผันผวนชายแดนไทย–กัมพูชา สถานการณ์นี้ผลักให้ กระทรวงแรงงาน ต้องยืนหน้าเวทีและส่ง “แพ็กเกจนโยบายเร่งด่วน” ออกมาทันที

นางสาว ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุชัดหลังมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ หน่วยงานในสังกัด และเครือข่ายภาคเอกชนว่า ภารกิจมีสองชั้นที่ต้องเดินคู่กัน—แก้ขาดแคลนแรงงานเฉพาะหน้า และ วางรากฐานทักษะ–สวัสดิการ รองรับเศรษฐกิจดิจิทัลระยะยาว โดยมีเป้าหมายหลักคือ “ให้ระบบแรงงานไทยมั่นคง แข่งขันได้ และยืดหยุ่นพอรับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน”

 

1) ชั้นเร่งด่วน อุดช่องว่างแรงงาน 100,000 คน พร้อมคุมแรงงานผิดกฎหมาย

แกนกลางมาตรการเร่งด่วนของกระทรวงแรงงานในปีงบประมาณใหม่ แบ่งออกเป็น 3 แนวทางที่ลงมือได้ทันที

1.1 นำเข้าแรงงานภายใต้กรอบกฎหมาย (MOU ครบวงจร)

  • แรงงานศรีลังกา ครม.อนุมัติการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อจัดส่งแรงงานศรีลังกาเข้าสู่ระบบไทย ประมาณ 10,000 คน ช่วยทดแทนกำลังคนในภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ขาดมือ
  • เพิ่มช่องทางแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้กรอบ MOU เดิม โดยเร่งกระบวนการอนุญาตทำงานและตรวจสุขภาพให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อลดแรงจูงใจเข้าสู่ระบบผิดกฎหมาย

1.2 ใช้แรงงาน “ชั่วคราว” อย่างมีมนุษยธรรมและปลอดภัย

  • ผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมา ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐและมีความพร้อมทำงาน “ชั่วคราว” กระทรวงมหาดไทยแจ้งตัวเลข กว่า 42,000 คน ซึ่งจะเริ่มมีผลให้เข้าระบบแรงงานได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 โดยบูรณาการกับหน่วยงานความมั่นคงและการคุ้มครองแรงงานเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์

1.3 เร่ง “ปรับสถานะ–ขึ้นทะเบียน” แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย

  • เดินหน้าตาม มติคณะรัฐมนตรี เปิดช่องทางขึ้นทะเบียนและตรวจสอบประวัติ เพื่อให้แรงงานนอกระบบสามารถเข้าสู่ ระบบประกันสังคม–สาธารณสุข–ภาษี ได้ถูกกฎหมาย ลดความเสี่ยงเชิงสังคม และเพิ่มการคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงาน

2) ชั้นโครงสร้าง เร่งอัป/รีสกิล, เปิดเส้นทาง “มัลติสกิล”, ยกระดับสวัสดิการแรงงานทุกกลุ่ม

ปัญหาขาดแคลนแรงงานวันนี้ ไม่ใช่เพียง “จำนวนคน” แต่คือ “ช่องว่างทักษะ” ในเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล–อัตโนมัติ ดังนั้นแพ็กเกจระยะกลาง–ยาวจึงวางไว้ 4 มิติ

2.1 อัปสกิล–รีสกิล (Up/Reskill) แบบจับมือเอกชน
กระทรวงแรงงานจะทำงานร่วมกับ สมาคมอุตสาหกรรม–สภาหอการค้า–หอการค้าไทย–สถาบันการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ ออกหลักสูตรสั้นเข้มข้นตั้งแต่ ทักษะดิจิทัลพื้นฐาน ถึง เทคโนโลยี AI/ข้อมูล ให้แรงงานในและนอกระบบ รวมถึงนักศึกษาช่วงปิดภาคเรียน “เรียนแล้วต่อยอดได้จริง” ผ่าน มาตรฐานสมรรถนะอาชีพ และ พอร์ตโฟลิโอ (Thai National Resume) เป็นเอกสารกลางเชื่อมตลาดงาน

2.2 “1 ตำบล 1 ช่างอเนกประสงค์” – เสริมแรงงานมัลติสกิลทั่วประเทศ
โครงการนี้เน้นสร้างแรงงาน Multi-Skills สำหรับงานซ่อมบำรุง บริการชุมชน ธุรกิจท้องถิ่น พร้อม ชุดเครื่องมือทำกิน หลังจบหลักสูตร เพื่อให้แรงงานมีรายได้หลายช่องทาง ลดความเสี่ยงจากการว่างงานระยะสั้น

2.3 ยกระดับสิทธิประโยชน์ประกันสังคม โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ (มาตรา 40)
รัฐบาลผลักดันแก้กฎกระทรวงเพื่อขยายผลประโยชน์ 3 รายการสำคัญ

  • เงินทดแทนทุพพลภาพ จาก 1,000 → 3,000 บาท/เดือน
  • เงินสงเคราะห์บุตร จาก 200 → 300 บาท/คน
  • ค่าทดแทนขาดรายได้ระหว่างรักษาพยาบาล จาก 50 → 200 บาท/ครั้ง
    ควบคู่กับการ คุ้มครองเหตุสุดวิสัย (เช่น พื้นที่ขัดแย้งชายแดน) ให้แรงงานเข้าสู่หลักประกันอย่างทั่วถึง

2.4 ขยายตลาดงานต่างประเทศและคุ้มครองแรงงานไทยนอกแดน
เดินเครื่อง ทูตแรงงาน ใน 12 ประเทศเป้าหมาย เพื่อเปิดตลาดใหม่ เพิ่มตำแหน่งงานรายได้สูง และปกป้องสิทธิแรงงานไทยในต่างประเทศ ตั้งแต่ขั้นตอนทำสัญญา ค่าจ้าง สภาพการทำงาน ช่องทางร้องเรียน

3) กลไกกำกับดูแล ค่าแรงขั้นต่ำ บอร์ดประกันสังคม ธรรมาภิบาลกองทุน

เพื่อสร้าง ความเชื่อมั่น ต่อสาธารณะ นโยบายด้านกำกับดูแลถูกวางคู่ขนานไปกับแพ็กเกจแรงงาน

  • ค่าแรงขั้นต่ำ มอบ คณะกรรมการไตรภาคี เป็นกลไกพิจารณาตามข้อมูลเศรษฐกิจจริง เพื่อให้สมดุลต่อทั้งนายจ้าง–ลูกจ้าง และความสามารถแข่งขันของประเทศ (ปีนี้มีการปรับแล้ว 2 ครั้ง ส่วนกรอบ “400 บาท” ให้ไตรภาคีชี้ขาดตามหลักเกณฑ์)
  • บอร์ดประกันสังคม ยืนยันดำเนินการสรรหาตามกรอบกฎหมายตามกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศด้านนโยบาย
  • ตรวจสอบการลงทุนกองทุน (กรณีอาคาร Skyy9)  สั่ง คณะกรรมการตรวจข้อเท็จจริง เร่งรายงานผลเบื้องต้นภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังและความโปร่งใส

“นโยบายทั้งหมดนี้มุ่งแก้โจทย์เร่งด่วนไปพร้อมกับวางรากฐานระยะยาว ระบบแรงงานต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานทุกกลุ่ม” — นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

4) มองจาก “พื้นที่จริง” เชียงรายต้องการอะไรในสถานการณ์นี้

แม้ปัญหาแรงงานดูเหมือนเป็น “ภาพรวมประเทศ” แต่ในพื้นที่ชายแดนเหนืออย่าง เชียงราย ความหมายของคำว่า “แรงงานขาดแคลน” มีรายละเอียดเฉพาะตัวและเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง

4.1 โครงสร้างเศรษฐกิจของเชียงราย เกษตร–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ชายแดน
เชียงรายยืนอยู่บนฐาน เกษตรและเกษตรแปรรูป (ชา กาแฟ พืชเมืองหนาว), บริการท่องเที่ยว (โฮมสเตย์–ชุมชน), และ โลจิสติกส์การค้าชายแดน (ด่านแม่สาย–เชียงของ– R3A เชื่อม สปป.ลาว–จีนตอนใต้) กิจกรรมเหล่านี้ต้องพึ่งแรงงานจำนวนมากในฤดูกาลที่ต่างกัน และต้องใช้ ทักษะผสมผสาน ตั้งแต่ช่างเครื่องจักรแปรรูปเบื้องต้น, งานคลังสินค้า–ศุลกากร, จนถึงบริการท่องเที่ยวที่ใช้ภาษา–ดิจิทัล

4.2 แพ็กเกจเร่งด่วนของส่วนกลาง จะ “ลงดอย” อย่างไร

  • การเปิดทาง ผู้หนีภัยจากเมียนมาที่พร้อมทำงานชั่วคราว มีความหมายกับจังหวัดชายแดนโดยตรง เพราะช่วย “คงการผลิต” ในช่วงฤดูกาลและลดแรงกดดันค่าจ้างระยะสั้น ขณะเดียวกันต้องตามด้วย การคุ้มครองแรงงาน–สาธารณสุข–ความปลอดภัย อย่างเคร่งครัด
  • MOU ศรีลังกา และการเร่งขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวจะช่วยภาคโลจิสติกส์–ก่อสร้าง–บริการ ที่กำลังขยายตัวตามการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวฟื้นตัว
  • อัป/รีสกิล ในเชียงรายควรเน้น “ทักษะตรงงาน” เช่น ดิจิทัลซัพพลายเชน–อีคอมเมิร์ซข้ามแดน–ภาษาพม่า/จีนระดับทำงาน–ช่างซ่อมบำรุงเครื่องมือเกษตร–ไกด์ท้องถิ่นดิจิทัล เชื่อมกับแผนจังหวัด (เช่น แนวทาง Wellness/Astro Tourism และเกษตรคุณภาพสูง) เพื่อให้คนท้องถิ่นได้ “งานดี–รายได้มั่นคง” ที่บ้านเกิด

4.3 ประเด็นที่จังหวัดควรทำทันที (เชื่อมกระทรวงแรงงาน)

  1. ตั้ง Job Matchpoint รายอำเภอ – ศูนย์จับคู่งาน–แรงงานแบบ One Stop (สมัครงาน–ขึ้นทะเบียน–ทดสอบทักษะ–นัดสัมภาษณ์) ให้เสร็จในวันเดียว
  2. เปิด “คลินิกทักษะ” รายสัปดาห์ – หลักสูตรสั้น 12–30 ชั่วโมงสำหรับงานจริง (เวิร์กช็อปอีคอมเมิร์ซ, ซอฟต์สกิลบริการ, ภาษาจำเป็น, ช่างเบื้องต้น) รับใบรับรองเข้า Thai National Resume อัตโนมัติ
  3. พัฒนานายจ้างรายย่อย – ชวน SMEs เกษตร–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ ใช้ มาตรฐานค่าแรง–สวัสดิการ เป็นจุดขายดึงคนกลับบ้าน พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องกฎหมายแรงงาน–ประกันสังคม

ในบริบทเชียงราย เป้าหมายไม่ใช่แค่ “พอมีแรงงาน” แต่คือ “แรงงานที่เหมาะกับโครงสร้างเศรษฐกิจจังหวัด” และ “คนท้องถิ่นมีทักษะพอจะได้งานคุณภาพในบ้านเกิด”—สิ่งนี้ต้องอาศัยแพ็กเกจกลาง + กลไกจังหวัดที่ทำงานร่วมกันจริงจัง

5) มุมมองความยั่งยืน นำผู้หนีภัยเข้าทำงานช่วยระยะสั้น แต่คำตอบระยะยาวคือ “ทักษะ–ผลิตภาพ–สวัสดิการ”

คำถามปลายเปิดที่สังคมตั้งไว้—การนำผู้หนีภัยฯ เข้ามาเป็นแรงงานทดแทนชั่วคราว จะแก้ปัญหาขาดแคลนได้ยั่งยืนหรือไม่?”—คำตอบตามหลักเศรษฐศาสตร์แรงงานคือ ช่วยได้ในมิติ “ปริมาณ” ระยะสั้น โดยเฉพาะฤดูกาลและอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานกายภาพจำนวนมาก แต่ ความยั่งยืน ขึ้นกับ 3 เงื่อนไข

  1. ผลิตภาพแรงงานไทยสูงขึ้นจริง จากการอัป/รีสกิลและการยกเครื่องกระบวนการผลิตด้วยดิจิทัล–อัตโนมัติ
  2. ตลาดงานสะท้อนทักษะ – ค่าแรง–สวัสดิการ–เส้นทางความก้าวหน้าต้องจูงใจพอให้คนเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ขาดแคลน
  3. การกำกับดูแลที่เข้มแข็ง – ทุกคนที่เข้าทำงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ปิดช่องการค้ามนุษย์/แรงงานบังคับ และสร้างสนามแข่งขันที่เป็นธรรมต่อนายจ้างไทย

หาก 3 เงื่อนไขนี้เดินคู่กัน นโยบายชั่วคราวจะกลายเป็น “สะพาน” สู่โครงสร้างแรงงานที่แข็งแรงกว่าเดิม

6) กล่องข้อมูล สัญญาณ “ชวนคิด” จากแพ็กเกจกระทรวงแรงงาน

  • 100,000 – ประมาณการตำแหน่งงานว่างจากผลกระทบชายแดนไทย–กัมพูชา
  • 42,000 – ผู้หนีภัยจากเมียนมาที่ “พร้อมทำงานชั่วคราว” ภายใต้กรอบรัฐ เริ่มใช้ได้ 1 ต.ค. 2568
  • 10,000 – โควตาแรงงานศรีลังกาจาก MOU ที่ ครม.อนุมัติ
  • 3,000/200/300 บาท – ชุดตัวเลขใหม่สิทธิประโยชน์มาตรา 40 (ทุพพลภาพ/ค่ารักษาพยาบาลต่อครั้ง/สงเคราะห์บุตร) ตามแนวทางที่กระทรวงเสนอปรับปรุง
  • 12 ประเทศ – เครือข่าย ทูตแรงงาน เป้าหมายเปิดตลาดงานรายได้สูงให้แรงงานไทย

 “แรงงาน” คือเศรษฐกิจ และ “ศักดิ์ศรีแรงงาน” คือความมั่นคงของประเทศ

การอุดช่องว่างแรงงานหนึ่งแสนตำแหน่งด้วยมาตรการนำเข้า–ชั่วคราว–ขึ้นทะเบียน เป็น ยาด่วนที่จำเป็น ในห้วงเวลาเร่งด่วน แต่การทำให้ระบบแรงงานไทย “แข็งแรง” ต้องการ วัคซีนโครงสร้าง—อัปทักษะ, ปรับค่าจ้างตามผลิตภาพ, สวัสดิการทั่วถึง, ตลาดงานโปร่งใส, กองทุนมั่นคง และธรรมาภิบาลที่ตรวจสอบได้

เชียงราย—ฐานเศรษฐกิจชายแดนและชนบทบนดอย—คือตัวอย่างพื้นที่ที่เห็นภาพชัด เมื่อแรงงานมีทักษะที่ตรงกับเศรษฐกิจท้องถิ่น, ธุรกิจมีคนทำงานพอและพร้อม, และรัฐกำกับดูแลอย่างยุติธรรม—รายได้จะเกิดในบ้านเกิด และความเหลื่อมล้ำจะค่อย ๆ ลดลง

“วิกฤตแรงงาน” ครั้งนี้จึงอาจเป็น โอกาสของประเทศ หากเราทำให้ทุกตำแหน่งว่างในวันนี้ กลายเป็น ตำแหน่งงานที่ดีกว่าเดิม สำหรับคนไทยในวันพรุ่งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงแรงงาน
  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
  • สำนักงานประกันสังคม (สปส.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News