Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“พันดวงประทีป ธ ประดับสวรรคาลัย” ร่วมน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

แสงศรัทธาประดับสวรรคาลัย เชียงรายร่วมรำลึก “สมเด็จพระพันปีหลวง” ด้วยพันดวงประทีปและพิธีบำเพ็ญกุศล สองเวที–หนึ่งความหมาย บึงทัพฟ้าสว่างไสว และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายก้องสะท้อนกตัญญู–สามัคคี–จงรักภักดี

เชียงราย, 4 พฤศจิกายน 2568 — ยามเย็นริม “บึงทัพฟ้า” ลมหนาวต้นเดือนพฤศจิกายนพัดผ่านเหนือผืนน้ำที่สงบนิ่งก่อนเปลวไฟนับพันดวงจะถูกจุดขึ้นพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ ตะเกียงแต่ละใบค่อย ๆ ส่องสว่างรอบคุ้งน้ำ ดั่งริ้วคลื่นแห่งความกตัญญูที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา ณ ชั่วขณะนั้น เมืองเชียงรายทั้งเมืองเหมือนหยุดหายใจเพื่อร่วม “วาระเดียวกัน”—รำลึกพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็นแรงบันดาลใจและร่มพระบารมีของประชาชนไทยมายาวนาน

บนพื้นที่เดียวกัน เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ผนึกกำลังกับ กองทัพอากาศ จัดพิธี “พันดวงประทีป ธ ประดับสวรรคาลัย” อย่างสมพระเกียรติ โดยมี พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานพิธี และมีผู้แทนหน่วยราชการ ทหาร ข้าราชการท้องถิ่น ตลอดจนประชาชนจำนวนมากเข้าร่วม ท่ามกลางบรรยากาศเรียบสง่า แต่เข้มขลังด้วย “แสงศรัทธา” ที่ทุกคนร่วมกันจุดถวายเพื่อแสดงความจงรักภักดีและขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น

ขณะเดียวกัน ในเขตตัวเมืองอีกฟากหนึ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ณ หอประชุมใหญ่ โดยมี พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย/เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ รองศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ภาพของพุทธศาสนิกชนที่สงบนิ่งในหอประชุมตัดสลับกับแสงประทีปรอบบึงทัพฟ้าในยามค่ำ กลายเป็น “สองเวที–หนึ่งความหมาย” ที่สะท้อนพลังร่วมของเมืองทั้งเมือง

บึงทัพฟ้า—เมื่อ “หนึ่งเปลวไฟ” สานเป็น “พันดวงประทีป”

พิธีเริ่มขึ้นโดยขั้นตอนระเบียบเรียบร้อยตามแบบแผนราชพิธีร่วมสมัย เสียงเพลงเบา ๆ ผสานกับเสียงลมเหนือผืนน้ำ ผู้คนหลากวัยสวมชุดสุภาพร่วมจุดตะเกียงทีละดวง ลำดับแถวเรียงรายรอบบึงก่อเกิดเป็น “วงแหวนแห่งแสง” ซึ่งบันทึกความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณผ่านภาพที่เรียบง่ายแต่ตราตรึง การจัดวางพื้นที่และการกำกับดูแลความปลอดภัยดำเนินไปอย่างรัดกุม สะท้อนความร่วมมือของเทศบาล หน่วยงานความมั่นคง และจิตอาสาในพื้นที่

สาระของพิธี เน้นย้ำสามมิติสำคัญคือ “กตัญญู–จงรักภักดี–เสียสละ” ประชาชนที่เข้าร่วมต่างตั้งใจให้ “แสงแห่งความดีงาม” นี้เป็นสัญลักษณ์นำทางการดำรงตนในชีวิตประจำวัน ตามรอย พระราชปณิธาน ของพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะด้านงานหัตถศิลป์และการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งทรงวางรากฐานไว้ให้สังคมไทยยึดถือและสืบสานต่อมาอย่างยาวนาน

หอประชุมใหญ่ มรภ.เชียงราย—ความศรัทธาที่กลั่นเป็น “บุญกุศล”

ขณะบึงทัพฟ้าสุขุมด้วยแสงไฟ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความสงบงามของพิธีสงฆ์ พระราชวชิรคณี นำประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย โดยมี รศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ภายในพิธีประกอบด้วยบทสวดมนต์ อนุโมทนา และการร่วมใจภาวนาของผู้เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ความพร้อมหน้าของ คณาจารย์–บุคลากร–นักศึกษา–หัวหน้าส่วนราชการ–ผู้นำท้องถิ่น–ประชาชน บอกเล่า “พลวัตการมีส่วนร่วม” ที่บ่มเพาะในสถาบันการศึกษา เพื่อส่งต่อ “จิตสำนึกพลเมือง” เข้าสู่สังคมวงกว้าง

สาระสำคัญ ของพิธีที่มหาวิทยาลัย คือการให้พื้นที่กับ “ความทรงจำร่วม” ผ่านรูปแบบที่แสดงออกได้อย่างเหมาะสม—ทั้งด้านพุทธศาสนา (พิธีบำเพ็ญกุศล) และด้านพลเมือง (การรวมพลังทำความดี) นี่ไม่ใช่เพียง “พิธีกรรม” หากเป็น “บทเรียนสาธารณะ” ที่ทำให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้คุณค่าของความกตัญญูและการเสียสละ ผ่านการลงมือปฏิบัติและสัมผัสบรรยากาศจริง

ทำไม “พันดวงประทีป” จึงทรงพลัง อ่านสัญลักษณ์ในสามระดับ

  1. ระดับปัจเจก — เปลวไฟหนึ่งดวงคือคำมั่น ผู้จุดตะเกียง “ประกาศภายใน” ว่าจะเดินตามรอยความดีงาม ความอ่อนน้อม และความเสียสละของพระองค์
  2. ระดับชุมชน — เมื่อไฟนับพันดวงรวมเป็นวงแหวนรอบบึงทัพฟ้า เมืองทั้งเมืองได้ “เห็นกันและกัน” ว่าสังคมยังมีแก่นค่านิยมร่วมที่จับต้องได้—ความกตัญญูและความสามัคคี
  3. ระดับประเทศ — รูปธรรมของพิธีที่เชียงรายสอดรับจารีตการรำลึกในหลากพื้นที่ของไทย เชื่อม “ความทรงจำทางสังคม” เข้ากับ “อัตลักษณ์ร่วม” ที่ยืนยาวกว่าความต่างในรายละเอียด

เชียงรายในมุมความทรงจำ เมือง–ศรัทธา–งานหัตถศิลป์

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อ “เชียงราย” เด่นชัดในบทสนทนาเรื่องวัฒนธรรมและหัตถศิลป์ล้านนา ตั้งแต่งานทอผ้า งานจักสาน งานแกะสลัก ไปจนถึงงานศิลป์ร่วมสมัย แก่นค่านิยมหนึ่งที่สะท้อนชัดจากพิธีในวันนี้คือ การสืบสานอย่างมีชีวิต” ไม่ใช่เพียงการเก็บรักษา แต่คือการทำให้มี “ผู้สืบทอด” อยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชปณิธานของพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการทรงทำนุบำรุงงานหัตถศิลป์และศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น

เมื่อ เทศบาลนครเชียงราย ผนึกกำลังกับ กองทัพอากาศ และหน่วยงานท้องถิ่น การจัดพิธีที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมายจึงไม่ใช่ “งานครั้งคราว” หากเป็น “กลไก” ในการก่อรูปความทรงจำและบ่มเพาะความเป็นพลเมืองร่วมสมัยให้แข็งแรงขึ้น

มหาวิทยาลัยคือสะพาน เชื่อมความทรงจำสู่อนาคตของคนรุ่นใหม่

บทบาทของ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในค่ำคืนนี้ ไม่เพียงแสดงความพร้อมทางวิชาการและพิธีการ แต่ยังตอกย้ำบทบาทของ “สถาบันอุดมศึกษา” ในฐานะ “พื้นที่กลางของชุมชน” ที่เปิดรับคนทุกวัย ทุกสาขาอาชีพเข้าสู่พิธีกรรมทางสังคมที่มีความหมาย การได้เห็นนักศึกษา “เรียนบทเรียนพลเมือง” ผ่านการมีส่วนร่วมจริง—ตั้งแต่เตรียมงาน อำนวยความสะดวก ไปจนถึงร่วมภาวนา—คือการส่งต่อทุนสังคมชุดสำคัญ ความรับผิดชอบ–ความอ่อนน้อม–ความเคารพในสถาบันหลักของชาติ

สถิติ–สัญญะ–ส่วนร่วม (Reading the Impact)

แม้พิธีเชิงสัญลักษณ์จะวัดค่าเชิงปริมาณได้ยาก แต่สามองค์ประกอบต่อไปนี้ช่วย “อ่านผลลัพธ์” ได้ชัดเจนขึ้น

  • สถิติในเชิงโครงสร้าง มี “สองเวทีพิธีหลัก” ในวันเดียวกัน—บึงทัพฟ้า (พิธีประทีป) และ มรภ.เชียงราย (พิธีบำเพ็ญกุศล) ดึงผู้มีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน ทั้งทหาร ส่วนท้องถิ่น ส่วนกลาง ชุมชน นักศึกษา และประชาชน
  • สัญญะของแสง “พันดวงประทีป” ไม่ใช่เพียงจำนวน แต่คือ “การรวมพลัง” ที่มองเห็นได้ด้วยตา—การที่ไฟแต่ละดวงต้อง “ถูกจุดด้วยมือ” ทำให้ทุกคนเป็น “เจ้าของพิธี” เท่า ๆ กัน
  • ส่วนร่วมอย่างมีคุณภาพ พิธีทั้งสองไม่ใช่กิจกรรมแบบผู้จัด–ผู้ชม หากเป็นกิจกรรมที่ “ทุกฝ่ายมีบทบาท” ตั้งแต่เตรียมงาน ดูแลความปลอดภัย ไปจนถึงร่วมภาวนา—มิตินี้คือหัวใจของ “ความเข้มแข็งทางสังคม”

เชื่อมโยงพระราชปณิธาน จากงานศิลป์–หัตถกรรม สู่ความดีงามในชีวิตประจำวัน

หนึ่งในรากฐานที่ทำให้พิธีค่ำคืนนี้ทรงความหมายคือการได้ “น้อมระลึก” ถึงพระราชปณิธานด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม งานหัตถกรรม และภูมิปัญญาพื้นถิ่น—สิ่งที่ส่งผลจริงต่อวิถีชีวิตประชาชน ทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภาคภูมิใจให้ชุมชน เมื่อประชาชนและนิสิตนักศึกษาลุกขึ้นมาร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง สิ่งที่ซึมลึกกว่าความงามของเปลวไฟ คือ “แรงบันดาลใจจะทำความดีต่อเนื่อง” ในหน่วยเล็ก ๆ ของสังคม ครอบครัว โรงเรียน วัด ชุมชน

บทเรียนสำหรับเมือง ทำอย่างไรให้ “ความทรงจำร่วม” ดำรงอยู่ยาวนาน

  1. ปฏิทินพิธีกรรมประจำปี – เมืองสามารถกำหนด “จังหวะเวลา” ให้ประชาชนคุ้นเคยและรอคอย เหมือนฤดูกาลของความดีงามที่กลับมาเสมอ
  2. การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง – เปิดพื้นที่ให้ภาคีหลากหลายได้ “ทำ” ไม่ใช่แค่ “มาดู” เช่น กลุ่มเยาวชน องค์กรชุมชน โรงเรียน อาสาสมัคร
  3. สื่อสารสาระอย่างเข้าใจง่าย – อธิบายความหมายของพิธีและสัญลักษณ์ เช่น ทำไมต้อง “ตะเกียงนับพันดวง” ทำไมต้อง “บำเพ็ญกุศล”—ยิ่งเข้าใจ ยิ่งมีพลัง
  4. เชื่อมงานบุญกับงานชุมชน – ต่อท่อกิจกรรมจาก “พิธี” ไปสู่ “โครงการย่อย” เช่น เวิร์กช็อปงานหัตถกรรม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรอบบึงทัพฟ้า ทุนการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ

สองพื้นที่—หนึ่งใจเดียว

ค่ำคืนที่ “บึงทัพฟ้า” เมืองได้เห็นแสงประทีปนับพันดวงโอบกอดผืนน้ำ ขณะที่ “หอประชุมใหญ่ มรภ.เชียงราย” เปล่งเสียงสวดกังวานด้วยความสงบเยือกเย็น—สองภาพนี้คือ บทกวีร่วมสมัยของเชียงราย ที่ร้อยเรียงด้วยเส้นด้ายเดียวกันคือ ความกตัญญูและความจงรักภักดี ต่อ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเมื่อเปลวไฟสุดท้ายค่อย ๆ มอดดับ ผู้คนแยกย้ายกลับบ้านพร้อม “แสงเล็ก ๆ ในใจ” ที่ยังอุ่นอยู่—แสงที่เตือนว่า ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน ยังมีค่าหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน: การระลึกคุณและการทำความดีร่วมกัน

KEY TAKEAWAYS (สำหรับผู้อ่านเชิงนโยบาย/การจัดการเมือง)

  • สองเวทีหลัก: พิธีประทีป ณ บึงทัพฟ้า (เทศบาลฯ–กองทัพอากาศ) และพิธีบำเพ็ญกุศล ณ มรภ.เชียงราย (ฝ่ายสงฆ์–ฝ่ายฆราวาส–สาธารณะ)
  • สาระกลาง: ความกตัญญู–ความจงรักภักดี–การสืบสานพระราชปณิธานด้านวัฒนธรรมและหัตถศิลป์
  • ผลลัพธ์ทางสังคม: เกิดพื้นที่ส่วนร่วมของพลเมืองอย่างกว้างขวาง สร้างความเชื่อมโยงระหว่างรัฐ–สถาบันการศึกษา–ศาสนา–ชุมชน
  • ข้อเสนอเชิงระบบ: ทำปฏิทินพิธีประจำปี—เปิดโอกาสให้ “ทำ” มากกว่า “ดู”—สื่อสารความหมายให้เข้าใจง่าย—เชื่อมพิชญ์กรรมกับกิจกรรมชุมชนเชิงยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองทัพอากาศ
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเดินหน้าจัด ‘มหกรรมไม้ดอก 2025’ ปรับรูปแบบ ลดมหรสพ เน้นนิทรรศการน้อมรำลึก

จุดสมดุลเศรษฐกิจ-ความรู้สึก เชียงรายชวนนักท่องเที่ยวแต่ง ‘โทนสุภาพ’ ร่วมงานไม้ดอก

เชียงราย,28 ตุลาคม 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมรับอรุณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การประชุมราชการ (Morning Brief) ครั้งที่ 8/2568 มีวาระพิเศษที่ไม่ใช่แค่การติดตามผลการทำงานประจำเดือนเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป หากแต่เป็นการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางเชิงภาพรวมของจังหวัดในห้วงเวลาที่ทั่วประเทศกำลังอยู่ในความโศกเศร้าหลังจากสำนักพระราชวังประกาศข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทั่วทั้งแผ่นดินต่างแสดงความอาลัยอย่างสุดหัวใจ

การประชุมครั้งนี้นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร อาทิ นางทรงศรี คมขำ รองนายก อบจ.เชียงราย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย และนางอัญญลักษณ์ กายาไชย เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด เพื่อหารือภารกิจที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง

หัวข้อสำคัญที่สุดของการประชุมครั้งนี้ คือทิศทางการจัดงาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เดินหน้าตามกำหนดการเดิม แต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป

หลังการประชุม นางอทิตาธรยืนยันอย่างชัดเจนว่า อบจ.เชียงรายจะยังคงจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ตามกำหนดการที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือ

  • พื้นที่หลัก “สวนไม้งามริมน้ำกก” อำเภอเมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569
  • พื้นที่ขยายในอำเภอ ได้แก่ สวนสาธารณะหนองหลวง อำเภอเวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค อำเภอแม่สาย ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569

หมายความว่า จังหวัดยังคงมุ่งหวังให้ช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปีใหม่เป็นระยะเวลาที่เชียงรายจะดึงดูดการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่นิยมเดินทางขึ้นเหนือในฤดูหนาว และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมล้านนา ธรรมชาติ และอากาศเย็น

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “จะจัดหรือไม่จัด” แต่อยู่ที่ “จะจัดอย่างไร”

นางอทิตาธรระบุชัดว่า การจัดงานปีนี้ “จะต้องมีการปรับให้เหมาะสม” เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอาลัยจากการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง โดยย้ำว่าการจัดงานต้องดำเนินไป “ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางกลางของรัฐบาล” ที่ระบุให้ส่วนราชการและหน่วยงานท้องถิ่นระมัดระวังกิจกรรมที่อาจถูกมองว่าไม่เหมาะสมหรือเกินความกาลเทศะ

เธอกล่าวในที่ประชุมว่า การดำเนินงานในครั้งนี้ต้องสะท้อนทั้ง “ความจงรักภักดี” และ “ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” ของพสกนิกรชาวเชียงรายและประชาชนชาวไทย

เมื่อแปลออกมาในเชิงปฏิบัติ รูปแบบของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะถูกปรับใน 3 มิติใหญ่ คือ

  1. ลดกิจกรรมรื่นเริง
    กิจกรรมที่มีลักษณะเป็นความบันเทิง เช่น การแสดงมหรสพคึกคัก การแสดงคอนเสิร์ตเชิงบันเทิง หรือกิจกรรมที่เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก จะถูกลดระดับหรือปรับโทน ไม่ใช่เพียงเพราะความเหมาะสมทางสังคม แต่เพื่อส่งสัญญาณถึงความเคารพและความอาลัยในระดับจังหวัด ซึ่งเป็นการแสดงจิตวิญญาณร่วมกับประชาชนทั้งประเทศ
  2. เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และจารีตท้องถิ่น
    อบจ.เชียงรายกำหนดให้งานในปีนี้เน้นการจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับที่สะท้อนความอ่อนช้อย งดงาม และอัตลักษณ์ของเชียงราย เช่น ไม้ดอกฤดูหนาว ไม้ประดับหายาก การจัดสวนนิทรรศการเชิงศิลป์ และการออกแบบภูมิทัศน์ที่ใช้ดอกไม้เป็น “ภาษาทางความรู้สึก” มากกว่าจะเป็นเพียงฉากสำหรับท่องเที่ยวเช็คอิน
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดอกไม้ในปีนี้จะไม่ใช่เพียง “สีสันของงาน” แต่น่าจะถูกตีความให้เป็น “สัญลักษณ์ของการรำลึกถึง” และ “การถวายความเคารพ”
  3. จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึก
    จะมีการจัดนิทรรศการเพื่อน้อมรำลึกและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมุ่งสะท้อนพระราชจริยวัตร พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมพื้นถิ่น ตลอดจนพระราชดำริในการส่งเสริมอาชีพและคุณภาพชีวิตของราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

ประเด็นนี้มีนัยสำคัญในทางสัญลักษณ์อย่างยิ่ง เพราะสมเด็จพระพันปีหลวงทรงได้รับการยกย่องมาโดยตลอดในฐานะ “แม่ของแผ่นดิน” ผู้ทรงมีบทบาทโดดเด่นในการผลักดันงานหัตถศิลป์ ผ้าไทย งานจักสาน งานทอมือ และงานอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย — ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ภาคเหนือรวมถึงเชียงราย การนำแนวทาง “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” มาเป็นแกนของงานมหกรรมไม้ดอกในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การแสดงความอาลัยเชิงพิธีเท่านั้น แต่เป็นการวางบทบาทของเชียงรายในฐานะเมืองที่เข้าใจคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม และพร้อมถ่ายทอดต่อสาธารณะ

เชียงรายต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เชียงรายก็ต้องเป็นจังหวัดที่ “รู้กาลเทศะ”

อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดอย่างชัดเจนในการประชาสัมพันธ์ของ อบจ.เชียงราย คือการ “ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว” โดยเชิญชวนให้ผู้มาเยือนร่วมแต่งกายด้วยโทนสีไว้ทุกข์หรือสีสุภาพตลอดช่วงการจัดงาน

คำขอนี้สะท้อนความพยายามของจังหวัดในการสร้างบรรยากาศร่วมไว้อาลัยในพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่เพียงผ่านพิธีการหรือคำกล่าวเปิดงาน แต่ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการยกระดับงานท่องเที่ยวให้เป็นพื้นที่แสดงความเคารพร่วมกันในฐานะ “สาธารณะทางความรู้สึก”

การขอความร่วมมือด้านการแต่งกายแบบนี้ มักจะปรากฏในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญเหตุการณ์สำคัญระดับสถาบัน ซึ่งสะท้อนว่านโยบายของจังหวัดในครั้งนี้ไม่ได้มองงานไม้ดอกเป็นเพียงอีเวนต์เชิงเศรษฐกิจ แต่ยกระดับไปสู่พื้นที่เชิงสังคมและจิตใจร่วม

ในอีกด้านหนึ่ง การเดินหน้าจัดงานตามกำหนดการเดิมในช่วงวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569 ก็มีความหมายเชิงเศรษฐกิจที่ไม่อาจปฏิเสธได้

เดือนธันวาคมถึงต้นมกราคมเป็นช่วงที่เชียงรายมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นที่สุดของปี อากาศเย็นเป็นแม่เหล็กตามธรรมชาติ ขณะที่สีสันทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีล้านนา อาหารพื้นถิ่น และภูมิทัศน์ริมน้ำกก ล้วนเป็นจุดขายของจังหวัดมาอย่างยาวนาน งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนในอดีตมักถูกใช้เป็น “เวทีหลัก” ในการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น ทั้งผู้ประกอบการที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านงานหัตถกรรม ตลอดจนเครือข่ายเกษตรกรไม้ดอกไม้ประดับ

กล่าวอีกมุมหนึ่ง งานนี้ไม่ใช่เพียงงานที่จัดเพื่อความสวยงาม แต่เป็น “จุดกระจายเม็ดเงินปลายปี” ของจังหวัดเชียงราย

การตัดสินใจ “เดินหน้าจัด – แต่ลดความรื่นเริง และเพิ่มความสงบสำรวม” จึงเป็นจุดสมดุลที่สะท้อนแนวทางของฝ่ายบริหารท้องถิ่น จังหวัดยังต้องขยับเศรษฐกิจและดูแลความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยบรรยากาศแห่งความโศกอาลัยระดับชาติ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรยังย้ำประเด็นเรื่อง “การบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” พร้อมมอบหมายให้ทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งด้านการจัดสถานที่ การรักษาความปลอดภัย การดูแลสภาพแวดล้อมจราจร และการบริการนักท่องเที่ยวในพื้นที่จัดงานทั้งสามจุดคือ ริมน้ำกก หนองหลวง เวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค แม่สาย ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวชายแดนสำคัญ

ถ้อยคำลักษณะนี้ชวนให้สังเกตว่า งานมหกรรมไม้ดอกฯ ไม่ใช่การจัดโดยหน่วยงานเดียว แต่เป็นงานที่ต้องใช้พลังของทั้งจังหวัด ทั้งหน่วยงานวัฒนธรรม เกษตรและสหกรณ์ การท่องเที่ยวและกีฬา หน่วยความมั่นคง ตำรวจ ท้องถิ่นอำเภอ รวมถึงชุมชนเจ้าของพื้นที่ร่วมกันดูแลภาพลักษณ์ของจังหวัดต่อสายตาคนทั้งประเทศ

มิติเชิงวัฒนธรรม ดอกไม้ในปีแห่งการอาลัย

หากมองเชิงสัญลักษณ์ การจัดงานดอกไม้ภายใต้บรรยากาศความอาลัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย ดอกไม้ถูกใช้เสมอในวัฒนธรรมไทยเพื่อแสดงความเคารพ ความระลึก และพระเกียรติคุณ โดยเฉพาะดอกไม้สีขาว สีอ่อนโทนสุภาพ หรือไม้ดอกที่จัดเป็นลวดลายเชิงสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์

เมื่อ อบจ.เชียงรายประกาศว่าจะ “เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” นั่นหมายความว่างานปีนี้อาจไม่ใช่เพียงการประกวดความสวยงามของไม้ดอก หากแต่อาจเป็นพื้นที่เล่าเรื่องความผูกพันระหว่างเชียงรายกับสถาบันฯ ผ่านการตีความด้วยสื่อที่อ่อนโยน เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้สำหรับทุกเพศทุกวัย

ทิศทางเช่นนี้ยังสอดคล้องกับบทบาทของสมเด็จพระพันปีหลวงในประวัติศาสตร์สังคมไทย ทรงมีพระราชกรณียกิจด้านศิลปหัตถกรรมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ ทั้งงานผ้า การทอ การปัก การอนุรักษ์วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับจังหวัดในพื้นที่ล้านนา รวมทั้งเชียงรายด้วย การจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติภายในงานจึงอาจเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นบทบาทเหล่านี้ชัดเจนขึ้น

กล่าวในเชิงเนื้อหา งานไม้ดอกฯ ปีนี้อาจกลายเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูกมายืนอยู่ในภาพเดียวกัน—ภาพที่ไม่ได้มีแค่ดอกไม้สวย ๆ ให้ถ่ายรูปลงโซเชียล แต่เป็นภาพของการเรียนรู้ร่วมกันว่า ความผูกพันของ “ชาติ-สถาบัน-ท้องถิ่น” มีมิติที่ลึกกว่าในเชิงอารมณ์

การบริหารจังหวัดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการที่ผู้บริหาร อบจ.เชียงราย พูดถึง “ความโปร่งใส” และ “การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ” ในการประชุม Morning Brief ครั้งที่ 8/2568 จุดนี้สะท้อนมุมมองการทำงานเชิงรุกด้านธรรมาภิบาลท้องถิ่น เพราะโดยปกติ งานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมปลายปีมักถูกจับตาในสองเรื่องเสมอ คือค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมพื้นที่ (ตกแต่งภูมิทัศน์ ระบบแสง-เสียง การบริหารเวทีกิจกรรม โครงสร้างชั่วคราว) และความคุ้มค่าต่อประชาชนในพื้นที่

การย้ำเรื่อง “งบประมาณต้องโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” จึงเป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า อบจ.จะวางตัวเองในฐานะองค์กรที่พร้อมถูกตรวจสอบในสายตาสังคม โดยเฉพาะในโครงการสาธารณะที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูงและอยู่ในความสนใจของสื่อและประชาชนทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัด

การวางน้ำเสียงเช่นนี้ยังสะท้อนการทำงานเชิงป้องกันความเสี่ยงทางสังคมเช่นกัน เพราะในยุคปัจจุบัน โครงการของหน่วยงานท้องถิ่นสามารถถูกตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ผ่านโซเชียลมีเดีย หากกระบวนการใช้งบประมาณไม่ชัดเจน ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดการตั้งคำถามเชิงศรัทธาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น

งานดอกไม้ที่ไม่ใช่แค่งานดอกไม้

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” จึงไม่ใช่แค่งานท่องเที่ยวประจำฤดูหนาวของจังหวัดเชียงรายอีกต่อไป หากแต่มันกำลังถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เชิงสาธารณะของความทรงจำร่วมและความอาลัย ขณะเดียวกันก็เป็นกลไกทางเศรษฐกิจในปลายปีที่ถูกคาดหวังว่าจะกระจายรายได้สู่คนในจังหวัด

ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งประเทศกำลังแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การจัดงานในบรรยากาศที่สำรวมขึ้น ลดความเป็น “มหรสพ” เพิ่มความเป็น “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและศิลปวัฒนธรรม” อาจเป็นแบบจำลองใหม่ของการจัดงานสาธารณะในระดับจังหวัด ว่าจะสามารถผสานเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม-ความรู้สึกร่วมของสังคมได้อย่างไรในเวลาเดียวกัน

ในทางปฏิบัติ การเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้แต่งกายโทนไว้ทุกข์ คือการส่งสารเชิงสังคมว่า ทุกคนที่มาเยือนเชียงรายในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียง “นักท่องเที่ยว” แต่เป็น “ผู้ร่วมยืนในช่วงเวลาเดียวกันของประวัติศาสตร์ร่วมชาติ”

และในทางการบริหาร นี่คือบททดสอบสำคัญของ อบจ.เชียงราย ว่าจะสามารถเดินเชือกเส้นบาง ๆ ระหว่าง “การรักษาความรู้สึกของคนทั้งประเทศ” กับ “การรักษาความยืนยาวของเศรษฐกิจท้องถิ่น” ไปจนจบงานได้อย่างไร

เพราะเมื่อม่านดอกไม้ปิดลงในวันที่ 7 มกราคม 2569 สิ่งที่จังหวัดเชียงรายจะเหลืออยู่ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายสวนดอกไม้ยามรุ่งสางริมแม่น้ำกก แต่คือคำตอบว่า เชียงรายสามารถเป็นต้นแบบการจัดงานท้องถิ่นในยามที่ทั้งประเทศกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ร่วมได้หรือไม่ และคำตอบนั้น ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับเชียงรายเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ของไทยในอนาคตด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มฟล. เชียงราย จัดพิธี “จุดเทียนถวายอาลัย” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระพันปีหลวง”

น้อมรำลึกสุดอาลัย! มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนำพสกนิกรเชียงราย ร่วมพิธีถวายความเคารพ

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 – แสงเทียนหลายสิบเล่มค่อย ๆ สว่างขึ้นท่ามกลางความมืดของลานเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พร้อมเสียงสวดถวายความอาลัยที่ดังขึ้นอย่างนอบน้อม นี่ไม่ใช่เพียงพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่คือภาพสะท้อนของสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สั่งสมมาหลายทศวรรษต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนไทยทั้งแผ่นดิน

พิธี “จุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 เวลา 18.00 น. หลังจากสำนักพระราชวังประกาศการสวรรคตอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระพันปีหลวง ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้าของทั้งประเทศ ภายในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทำหน้าที่นำคณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา และประชาชนชาวเชียงรายกว่า 100 คน ร่วมถวายอาลัยแด่ “พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย” ด้วยความอ่อนน้อมและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อชาติบ้านเมือง

พิธีดังกล่าวมีความหมายทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงสถาบัน เพราะมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมิได้เป็นเพียงสถาบันอุดมศึกษาในภาคเหนือ หากยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้พระราชปณิธานด้านการพัฒนาคนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ผู้ทรงเป็น “แม่ฟ้าหลวง” อันเป็นที่มาของพระนามมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มักยืนอยู่แนวหน้าในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในวาระสำคัญของแผ่นดิน

ความอาลัยที่มากกว่าพิธีการ “พระองค์ทรงอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน”

ในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร กล่าวถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาติด้วยถ้อยคำที่สะท้อนความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากในช่วงเวลานี้ว่า

“พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติและประชาชน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงได้จัดพิธีจุดเทียนขึ้น เพื่อถวายความเคารพและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้”

ข้อความดังกล่าวมิได้เป็นเพียงคำปราศรัยในโอกาสพิเศษ แต่คือการย้ำเตือนว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีบทบาทอันยิ่งใหญ่ต่อการพัฒนาสังคมไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัฒนธรรม วิถีชุมชนชายแดน การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และต้นน้ำ การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร รวมถึงการทรงงานด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สำหรับจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือ พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวงถูกจดจำอย่างลึกซึ้งในมิติการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมงานหัตถกรรมผ้า การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรี และการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างคนกับป่า ซึ่งทั้งหมดนี้ได้วางรากฐานให้หลายชุมชนในภาคเหนือสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีในระยะยาว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับคนในพื้นที่เชียงราย พระองค์ไม่ใช่เพียง “สมเด็จพระราชินี” ในเชิงสถานะทางราชสำนัก แต่เป็น “แม่” ในความหมายจริงของคำว่า ผู้หล่อเลี้ยง ดูแล ปกป้อง และยืนเคียงข้างประชาชนในยามยากลำบาก

ดังนั้น พิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงไม่ใช่เหตุการณ์เชิงพิธีกรรมเพียงชั่วโมงเดียว หากเป็นการแสดงออกถึงความต่อเนื่องของสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในท้องถิ่นกับสถาบันฯ ที่ยังคงชัดเจนและมีความหมายในสังคมไทยร่วมสมัย

มฟล. กับบทบาท “พื้นที่กลางของความอาลัย” ของชาวเชียงราย

พิธีดังกล่าวได้รับการออกแบบให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ ไม่จำกัดเพียงบุคลากรในมหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนบทบาทที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงตั้งใจจะทำในฐานะ “พื้นที่กลางของสังคมเชียงราย” ไม่ใช่ “พื้นที่เฉพาะของคนในรั้วมหาวิทยาลัย” เท่านั้น

ในแง่นี้ มฟล. ทำหน้าที่คล้ายศูนย์รวมใจของจังหวัดเชียงรายในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการสถานที่เพื่อแสดงความอาลัยร่วมกันอย่างสงบและมีเกียรติ พื้นที่ลานเฉลิมพระเกียรติจึงทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “ลานหลวงของจังหวัด” ในค่ำคืนนี้ ผู้เข้าร่วมหลายคนสวมเสื้อผ้าสีสุภาพ สีดำ สีเทา และสีขาว บางคนถือดอกไม้ บางคนถือภาพความทรงจำ บางคนเพียงต้องการยืนร่วมแถวแสงเทียนและพนมมือเงียบ ๆ

สำหรับนักศึกษาหลายคน นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารับรู้ว่าภาษาอย่าง “พระมหากรุณาธิคุณ” หรือ “พระราชกรณียกิจ” ที่เคยได้ยินในตำรานั้น แท้จริงแล้วมีผลอย่างไรต่อการศึกษา สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และโอกาสของคนในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง

กล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้เพียง “จัดพิธี” แต่กำลัง “จัดความหมายร่วมของจังหวัด”

มติ ครม. และจังหวะที่ทั้งประเทศยืนไว้อาลัยพร้อมกัน

พิธีที่เชียงรายเกิดขึ้นควบคู่กับมาตรการแสดงความอาลัยระดับชาติ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานของรัฐและสังคม ดังนี้

  • ลดธงครึ่งเสา
    ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
  • การไว้ทุกข์ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
    ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สะท้อนถึงความเคารพอย่างสูงสุดที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐมีต่อพระราชสถานะและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง
  • การร่วมไว้อาลัยของประชาชนทั่วไป
    ขอความร่วมมือให้ประชาชนร่วมกันแสดงความอาลัยเป็นเวลา 90 วัน โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและบริบทของแต่ละพื้นที่

แนวทางดังกล่าวทำให้บรรยากาศในประเทศในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความรู้สึกส่วนบุคคลหรือของท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง แต่เป็นการเคลื่อนไหวของสังคมไทยทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคประชาชน และภาคชุมชนวัฒนธรรมร่วมกัน

ในมิติทางสังคม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความจงรักภักดีและความอาลัยยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมการเมืองและวัฒนธรรมสาธารณะของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประชาชนจำนวนมากมองว่าทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงในพื้นที่ห่างไกล

ความหมายของ “การไว้ทุกข์ร่วมกัน” ในระดับชุมชน

เมื่อมติ ครม. ประกาศออกมาพร้อม ๆ กับพิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ค่ำคืนนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความสูญเสีย แต่เป็นการประกาศเจตจำนงร่วมของจังหวัดเชียงรายว่า จะยืนอยู่ในกรอบแห่งความอาลัยเดียวกันกับทั้งประเทศ

จุดนี้มีความสำคัญในเชิงสังคมการเมือง เพราะในยุคปัจจุบันที่ความหลากหลายทางความคิดทางสังคมและการเมืองมีมากขึ้น พิธีสาธารณะในลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ร่วม” ที่ผู้คนสามารถเข้ามายืนเคียงข้างกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีภูมิหลังเดียวกัน หรือความคิดเห็นทางการเมืองตรงกันทุกประการ หากแต่มีพื้นที่ร่วมทางอารมณ์และความทรงจำประวัติศาสตร์ร่วมกัน

กล่าวอย่างเรียบง่าย ความอาลัยทำให้สังคมกลับมายืนอยู่ข้างกันอีกครั้ง แม้เพียงชั่วคราวก็ตาม

เชียงราย จังหวัดชายแดนที่เติบโตจากพระราชกรณียกิจ

อีกประเด็นที่ควรพิจารณาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดเชียงรายกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง มีทั้งกลุ่มไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ม้ง ลาหู่ รวมถึงชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานตามแนวชายแดนติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสหภาพเมียนมา พื้นที่เหล่านี้ในอดีตเผชิญทั้งความยากจนเชิงโครงสร้าง การขาดโอกาสทางการศึกษา ปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยืดเยื้อ

หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของสมเด็จพระพันปีหลวงคือการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพของสตรีและชุมชนบนพื้นที่สูง รวมถึงการส่งเสริมการทอผ้าและหัตถกรรมพื้นถิ่นในฐานะอาชีพเสริมและอาชีพหลัก ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ แต่ยังช่วยฟื้นฟูศักดิ์ศรีของคนท้องถิ่นในพื้นที่ชนบทห่างไกล โดยเฉพาะกลุ่มสตรี ที่เดิมอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “เสาหลักทางเศรษฐกิจของครอบครัว”

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีบทบาทสำคัญด้านการอนุรักษ์ป่าและการจัดระเบียบพื้นที่ทำกิน เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติได้โดยไม่ทำลายฐานการดำรงชีพในระยะยาว แนวคิดเรื่อง “คนอยู่กับป่าได้โดยไม่ทำลายป่า” ซึ่งปรากฏในหลายโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ กลายเป็นแนวนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรที่ได้รับการสืบสานในระดับหน่วยงานรัฐมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น สำหรับชาวเชียงราย ความอาลัยในครั้งนี้จึงไม่ใช่อารมณ์ลอย ๆ แต่ผูกพันกับวิถีชีวิตจริง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคงของถิ่นฐาน

มหาวิทยาลัยในฐานะผู้สืบสานอุดมการณ์ “การพัฒนาคน”

สิ่งที่สะท้อนเด่นชัดในพิธี คือการที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงย้ำบทบาทของตนเองว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ผลิตบัณฑิตอย่างเดียว แต่ยังมีพันธกิจในการสืบสานแนวทางการพัฒนาคนตามรอยพระราชปณิธานของพระบรมวงศานุวงศ์

การจัดพิธีจุดเทียนถวายอาลัยจึงเป็นการส่งสัญญาณทางสถาบันในสามมิติหลัก

  1. มิติศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
    มฟล. ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “มหาวิทยาลัยของภาคเหนือตอนบน” ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาค การจัดพิธีถวายอาลัยต่อสมเด็จพระพันปีหลวง ซึ่งทรงมีบทบาทในการดูแลคุณภาพชีวิตคนชายขอบและคนบนพื้นที่สูง จึงเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมโยงโดยตรงของอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยกับพระราชปณิธานของพระองค์
  2. มิติของการให้การศึกษาเชิงคุณค่า (Value-based Education)
    นักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีมิได้เพียง “ทำกิจกรรม” แต่กำลังซึมซับกรอบความคิดแบบไทยร่วมสมัยที่ผสานทั้งอัตลักษณ์ชาติ วัฒนธรรมพลเมือง ความจงรักภักดี และจิตสำนึกเพื่อสาธารณะ นี่คือการสร้างทุนทางสังคม (social capital) ให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่าการเป็นบัณฑิตไม่ใช่เพียงเรื่องวุฒิการศึกษา แต่คือการเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมรอบตัวด้วย
  3. มิติของความต่อเนื่องทางสังคม
    ในช่วงที่สังคมไทยเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว พิธีลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรุ่นสู่รุ่น ทำให้คนรุ่นก่อนสามารถถ่ายทอดความหมายของความจงรักภักดี ความกตัญญู และความระลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สู่คนรุ่นใหม่ผ่านประสบการณ์ร่วม ไม่ใช่แค่ผ่านตำราเรียน

กล่าวโดยสรุป การจุดเทียนในค่ำคืนนี้จึงเป็นทั้งการไว้อาลัย การประกาศคุณค่า และการส่งไม้ต่อ

ความสงบ งดงาม และความต่อเนื่องของความทรงจำ

ท่ามกลางความเงียบในช่วงท้ายของพิธี หลายคนหลับตาลงพร้อมกับประคองเปลวเทียนในมือ บางคนยกเทียนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย บางคนปิดหน้าไว้กับฝ่ามือ ราวกับพยายามเก็บภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในความทรงจำส่วนตัว นั่นคือภาพของความอาลัยที่มิใช่เพียงเรื่องของรัฐ แต่เป็นเรื่องในหัวใจประชาชน

และเมื่อมองในระดับจังหวัด เหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดขึ้นในค่ำคืนนี้ คือการประกาศว่า จังหวัดเชียงราย ในฐานะจังหวัดชายแดนซึ่งมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวทั้งเชิงชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และสังคม ยังคงยึดโยงอยู่กับสถาบันหลักของชาติ และยังคงมุ่งหมายจะสืบสานคุณค่านั้นต่อไป

บทสรุปเชิงนโยบายและสังคม

  1. พิธีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงไม่ใช่เพียงการจัดตามธรรมเนียม แต่เป็นการแสดงบทบาทเชิงสถาบันของมหาวิทยาลัยในฐานะ “พื้นที่กลางทางสังคม” ที่ให้ทั้งบุคลากร นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
  2. มติคณะรัฐมนตรีและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลดธงครึ่งเสา 30 วัน การไว้ทุกข์ของข้าราชการเป็นเวลา 1 ปี และขอความร่วมมือประชาชนร่วมอาลัย 90 วัน ชี้ให้เห็นถึงน้ำหนักเชิงสถาบันของพระราชสถานะของสมเด็จพระพันปีหลวง และยังตอกย้ำว่าพระองค์ทรงถูกนับเป็นหนึ่งในเสาหลักทางจิตวิญญาณของชาติ
  3. สำหรับจังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังย้ำให้เห็นรากทางสังคม-วัฒนธรรมที่ลึก ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในมิติการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่สูง
  4. ในระยะยาว พิธีอาลัยครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดกิจกรรมเชิงรำลึกและเชิงวิชาการ เพื่อศึกษาสืบสานแนวคิดการพัฒนาชุมชน ทรัพยากร และคุณภาพชีวิตตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวง ผ่านบทบาททางวิชาการและทางสังคมของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ท้ายที่สุด ค่ำคืนที่แสงเทียนสว่างขึ้นเหนือพื้นลานมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งความเศร้า แต่เป็นการให้คำมั่นร่วมกันว่า “พระมหากรุณาธิคุณจะไม่เลือนหาย” และพันธกิจเพื่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส จะยังเดินหน้าต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News