Categories
TOP STORIES

แอปฯ เงินกู้ ละเมิดสิทธิผู้ใช้ ถูดติดตั้งฝังในสมาร์ทโฟน

แอปฯ กู้เงินเถื่อน ‘Fineasy’ ฝังในสมาร์ทโฟน ผู้ใช้ไม่ยินยอม สภาผู้บริโภคเร่งเรียกร้องมาตรการคุ้มครอง

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 สภาองค์กรของผู้บริโภคได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียรายงานกรณีพบแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน เช่น แอปฯ ‘สินเชื่อความสุข’ หรือ ‘Fineasy’ ที่ถูกติดตั้งมาพร้อมระบบปฏิบัติการในสมาร์ทโฟนโดยผู้ใช้ไม่ได้ยินยอม แอปฯ ดังกล่าวฝังตัวในระบบเป็น System App ทำให้ไม่สามารถลบออกได้ ส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รายชื่อผู้ติดต่อและเบอร์โทรศัพท์ และอาจถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น การล่วงละเมิดทางการเงินหรือการหลอกลวง

ความกังวลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้

แอปฯ เงินกู้เถื่อนนี้ส่งการแจ้งเตือนเชิญชวนกู้เงินและเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งการแอบติดตั้งแอปฯ โดยไม่ได้รับความยินยอม ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานและเสี่ยงต่อการก่อปัญหาภัยคุกคามทางการเงิน นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องหาวิธีป้องกันตัวเอง

สภาผู้บริโภคเรียกร้องมาตรการจัดการ

สภาองค์กรของผู้บริโภคได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และ กสทช. เร่งตรวจสอบและแก้ไขปัญหานี้ รวมถึงกำหนดบทลงโทษกับผู้ประกอบการที่กระทำผิดอย่างเข้มงวด

แถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าว พร้อมยืนยันความรับผิดชอบและแนวทางแก้ปัญหา

หลังจากกระแสข่าว ออปโป้ ประเทศไทย และ เรียลมี ประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าว ได้แจ้งลบแอปฯ Fineasy พร้อมยืนยันความรับผิดชอบและแนวทางแก้ปัญหา

ทาง OPPO ชี้แจงดังนี้

“OPPO ขออภัยเป็นอย่างสูงในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นประเด็นบนหน้าสื่อฯ ออนไลน์ โดย OPPO ตระหนักและให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับประสบการณ์การใช้งานและความปลอดภัยด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเสมอมา สำหรับประเด็นเกี่ยวกับซอฟต์แวร์จากบุคคลที่สามที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลการกู้ยืมเงินนั้น เรากำลังทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจังและรวดเร็วที่สุด

ล่าสุด แอปพลิเคชัน Fineasy ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคงไว้เฉพาะฟังก์ชันบริการเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันเท่านั้น นอกจากนี้ เรากำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถถอนการติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy ได้โดยเร็วที่สุด หากผู้ใช้งานต้องการถอนการติดตั้งแอปฯ ในทันที สามารถติดต่อศูนย์บริการลูกค้า OPPO อย่างเป็นทางการได้ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ OPPO จะหยุดการติดตั้งแอปพลิเคชันประเภทสินเชื่อทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า รวมถึงการหยุดแนะนำแอปพลิเคชันประเภทนี้ใน APP Market อีกด้วย

OPPO ให้คำมั่นในการพัฒนาและส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศเพื่อผู้ใช้งานทุกท่าน และขอบคุณที่ไว้วางใจและให้การสนับสนุน OPPO เป็นอย่างดีเสมอมา

realme ได้ออกแถลงการณ์ มีเนื้อหาดังนี้

“เรียน ลูกค้าที่เคารพทุกท่าน

realme ขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น

realme ให้ความสำคัญอย่างสูงกับประสบการณ์การใช้งานและความปลอดภัยด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานทุกท่าน ดังนั้น สำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับบริการสินเชื่อจากแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัท realme กำลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดและจัดการอย่างจริงจังโดยเร็วที่สุด

โดยแอปฯ Fineasy ได้ทำการลบข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อออกทั้งหมดและคงไว้เพียงฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริการในชีวิตประจำวันเท่านั้น และจะเร่งปล่อยอัปเดตสิทธิ์ให้ผู้ใช้งานให้สามารถลบแอป Fineasy และหากผู้ใช้งานต้องการลบแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ทันที สามารถติดต่อศูนย์บริการ realme ได้ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ realme จะหยุดการติดตั้งแอปพลิเคชันสินเชื่อทุกประเภทในสมาร์ตโฟนรุ่นต่อไป และหยุดการแสดงผลแอปพลิเคชันสินเชื่อเป็นแอปแนะนำใน APP Market

มาตรการป้องกันในอนาคต

สภาผู้บริโภคยังเรียกร้องให้มีการกำหนดมาตรการควบคุมการอัปเดตระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟน เพื่อป้องกันการแอบติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ใช้งานตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามและรายงานปัญหาที่พบ

เสียงจากผู้ใช้และข้อเรียกร้องเพิ่มเติม

ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเรียกร้องให้ผู้ประกอบการออกมารับผิดชอบและเยียวยาความเสียหาย พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐมีมาตรการที่ชัดเจนและรัดกุมในการปกป้องสิทธิผู้บริโภค เพื่อป้องกันปัญหาลักษณะนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก

สรุป

กรณีแอปฯ Fineasy เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการแก้ไขและป้องกันอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคและป้องกันการกระทำผิดในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาองค์กรของผู้บริโภค / ออปโป้ ประเทศไทย / เรียลมี ประเทศไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘บัตรคอนเสิร์ต’ เรื่องร้องทุกข์อันดับ 1 ของผู้บริโภค ในปี 66

 
 

ภาพที่ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม การได้รับข้อมูลที่ไม่เพียงพอหรือไม่จนไม่สามารถตัดสินใจเลือกใช้หรือเลือกซื้อสินค้าและบริการได้อย่างถูกต้องหรือมีคุณภาพ กลายเป็นภาพสะท้อนที่พบเห็นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันและอาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่การโฆษณาหรือรีวิวสินค้าของบุคคลมีชื่อเสียงที่ผลิตและเผยแพร่คลิปวิดีโอสินค้าต่าง ๆ เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคอยากได้ อยากมี และตัดสินใจซื้อสินค้า จนทำให้หลาย ๆ ครั้ง ผู้บริโภคอาจไม่ได้สังเกตรายละเอียดของข้อมูลหรือไม่ได้ศึกษาข้อมูลก่อนการซื้อจนทำให้ถูกละเมิดสิทธิผู้บริโภคของตัวเองหรือถูกเอารัดเอาเปรียบ

            ในปีงบประมาณ 2566 (เดือนตุลาคม 2565 – เดือนกันยายน 2566) สภาผู้บริโภคจึงได้รวบรวมข้อมูลและรายงานสถานการณ์ผู้บริโภคจากการรับเรื่องร้องทุกข์ทั่วประเทศ ได้แก่ สำนักงานสภาผู้บริโภค หน่วยงานประจำจังหวัดใน 15 จังหวัด และองค์กรสมาชิกของสภาผู้บริโภค โดยในปีนี้มีผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิผู้บริโภคได้ร้องทุกข์เข้ามาเป็นจำนวน 16,142 เรื่อง ซึ่งสภาผู้บริโภคได้ช่วยเหลือผู้บริโภคให้ได้รับการชดเชยเยียวยาเสร็จสิ้นทั้งหมด 12,837 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 79 และสามารถคิดรวมเป็นมูลค่าความสำเร็จในการคุ้มครองผู้บริโภคได้ถึง 71,703,984.46 บาท ส่วนที่เหลืออีก 3,305 เรื่อง อยู่ระหว่างการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตามกรณีใดที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยหรือยุุติปัญหาได้ สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในการฟ้องคดีให้กับผู้บริโภค

 

            เมื่อลงรายละเอียดในภาพรวมเรื่องร้องทุกข์ที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในปีงบประมาณ 2566 ปัญหาที่มีผู้ร้องทุกข์เข้ามาที่สภาผู้บริโภคมากที่สุด คือ ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน 10,150 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 62.88 เกินครึ่งหนึ่งของเรื่องร้องทุกข์ทั้งหมด ซึ่งมากกว่าเรื่องร้องทุกข์ในปีงบประมาณ 2565 ถึง 7,875 เรื่อง

 

            ในสถานการณ์โควิด19 ที่เริ่มซาลง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการบันเทิง อาทิ คอนเสิร์ต แฟนมีตตี้ง หรืองานอีเว้นท์ต่าง ๆ ได้เริ่มกลับมาจัดงาน เมื่อผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบริการเหล่านี้ก็ได้พบกับปัญหาที่ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ ‘ข้อสัญญา’ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงผังคอนเสิร์ต การสมัครสมาชิกแต่ไม่ได้รับสิทธิตามที่ระบุ การจัดงานที่ไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้ในครั้งแรก ไม่สามารถคืนบัตรได้ แจ้งราคาบัตรโดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าธรรมเนียม การประชาสัมพันธ์ไม่ชัดเจน รวมถึงราคาบัตรที่แพงเกินไป ซึ่งเมื่อคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนได้รับความเดือดร้อนในปัญหาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันจึงได้ส่งเสียง ส่งต่อช่องทางและร้องทุกข์เข้ามาที่สภาผู้บริโภคถึง 5,906 เรื่อง ในอีกทางนั้นการที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคอนเสิร์ตเป็นจำนวนมาก อาจสะท้อนได้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ร้องทุกข์เข้ามาในประเด็นปัญหาข้างต้นอยู่ในวัยที่โตมากับเทคโนโลยีและมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างคล่องแคล่ว จึงเข้าถึงข้อมูลว่าตัวเองกำลังถูกผู้ประกอบการเอารัดเอาเปรียบและต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองได้รับความเป็นธรรม จนกระทั่งการเข้าถึงช่องทางการช่วยเหลือและใช้เครื่องมือการสื่อสารเพื่อร้องทุกข์ได้อย่างรวดเร็ว

 

            อย่างไรก็ตาม ปัญหาข้างต้นล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ ‘ข้อสัญญา’ สภาผู้บริโภคจึงได้ติดต่อและประสานงานกับบริษัทผู้จัดงานหรือบริษัทที่จัดจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตต่าง ๆ ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงและแนวทางการชดเชยเยียวยาความเสียหาย รวมถึงการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หน่วยงานกำกับดูแลให้เข้ามาจัดการปัญหา ผ่านการออกหลักเกณฑ์หรือแนวปฏิบัติเรื่องการทำสัญญาระหว่างภาคธุรกิจกับผู้บริโภค โดยจะกำหนดสิ่งที่ต้องระบุในสัญญาและสิ่งที่ห้ามระบุในสัญญา เช่น การซื้อสินค้าแล้วไม่รับเปลี่ยนหรือคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ และหากสัญญาไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ถือว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะเพื่อให้การใช้สิทธิของผู้บริโภคในทุกประเด็นไม่มีข้อจำกัด นอกจากนี้ธุรกิจที่ต้องควบคุมสัญญาไม่ควรพิจารณาเป็นรายธุรกิจหรือรายกิจการ เพราะการแก้ปัญหาในลักษณะดังกล่าวเสมือนเป็นการไล่ตามปัญหาและต้องแก้ไขกันไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นการแก้ปัญหาเชิงป้องกันด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์กลางด้านสัญญาจึงเป็นผลดีกว่าในหลายมิติ

 

            นอกจากประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสัญญาในด้านสินค้าฯ ข้างต้น ปัญหาการซื้อสินค้าทางออนไลน์และปัญหาที่ผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากการเข้าไปใช้บริการเสริมความงามเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในจำนวนใกล้เคียงกัน 1,474 เรื่อง และ 1,110 ตามลำดับ สำหรับการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์นั้นส่วนใหญ่เป็นกรณีการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อสินค้าในเฟซบุ๊กแฟนเพจ แต่ไม่ได้รับสินค้าและไม่ได้รับเงินคืน หรือการได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่สั่งซื้อไป ซึ่งผู้บริโภคมักถูกหลอกหลวงจากการที่มิจฉาชีพซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊กโปรโมทสินค้าหรือเปิดเฟซบุ๊กแฟนเพจขายสินค้า โดยในช่วงแรกทำทีส่งสินค้าให้เพื่อให้มีเครดิตว่าเป็นร้านค้าที่ไม่ได้คิดจะหลอกลวง เพราะมีผู้บริโภคการันตีว่าได้รับสินค้า แต่เมื่อผ่านไปสักพักจนผู้บริโภครายอื่น ๆ หลงเชื่อ จึงจะหลอกให้โอนเงินแต่สุดท้ายกลับไม่ส่งสินค้าให้ ส่วนในกรณีการได้รับความเสียหายจากการเข้าไปใช้บริการเสริมความงามนั้นจะมีความคล้ายคลึงกับกรณีของการจองหรือกดบัตรคอนเสิร์ต แต่คลินิกหรือสถานเสริมความงามกลับผิดสัญญาตามที่ตกลงไว้ตั้งแต่ครั้งแรก โดยผู้บริโภคที่เข้ามาร้องเรียนกรณีสถานเสริมความงามนั้นได้รับความเสียหายจากการที่คลินิกหรือสถานเสริมความงามอ้างว่าปิดปรับปรุงหรือปิดกิจการทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถใช้บริการได้ อาทิ กรณีอาร์ฑิชัยคลินิกที่อ้างปิดปรับปรุงชั่วคราว หรือกรณีคลินิกเอสเตลล่าที่ปิดดำเนินการโดยไม่แจ้งลูกค้าล่วงหน้า จนทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน เป็นต้น

 

            ทั้งนี้ ในกรณีของการซื้อขายสินค้าในออนไลน์ สภาผู้บริโภคได้ประสานความร่วมมือทั้งกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อจัดการแก้ไขปัญหา รวมทั้งยังมีการทำสื่อเผยแพร่เพื่อให้ความรู้และเตือนภัยผู้บริโภค อีกทั้งหน่วยงานประจำจังหวัดรวมถึงองค์กรสมาชิกของสภาองค์กรของผู้บริโภคลงพื้นที่ให้ความรู้ทั้งเรื่องสิทธิผู้บริโภค และการรับมือกับกลโกงออนไลน์เพื่อให้ผู้บริโภครู้เท่าทันและมีข้อมูลในการตัดสินใจ นอกจากนี้ยังมีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย เป็นต้น เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค ขณะที่กรณีของเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้บริการที่สถานเสริมความงามนั้น สภาผู้บริโภคได้ติดต่อเพื่อเจรจากับบริษัททั้งสอง โดยที่การเจรจากับคลินิกอาร์ฑิชัยมีผลสรุปออกมาได้ 2 ทาง ได้แก่ คลินิกเสนอให้ผู้บริโภคที่ยังเหลือคอร์สเสริมความงามอยู่สามารถเข้าไปใช้บริการต่อได้ ส่วนผู้บริโภคที่ไม่ต้องการใช้บริการต่อแล้วและต้องการเงินคืนสามารถใช้สิทธิทางศาลต่อสู้และเรียกร้องเงินคืนได้ โดยที่สภาผู้บริโภคจะเป็นตัวแทนผู้บริโภคในการฟ้องร้องเป็นคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ขณะที่กรณีคลินิกเอสเตลล่าที่ปิดดำเนินการโดยไม่แจ้งลูกค้าล่วงหน้านั้น คณะอนุกรรมการด้านคดีผู้บริโภค สภาผู้บริโภคมีมติเดินหน้าฟ้องร้องเป็นคดีแบบกลุ่ม เนื่องจากเห็นว่ามีผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากและไม่สามารถเจรจาหรือไกล่เกลี่ยกับบริษัทเพื่อให้คลินิกคืนเงินให้ผู้บริโภคได้

 

            ส่วนปัญหาที่มีผู้ร้องเรียนมากเป็นอันดับที่ 2 ได้แก่ ปัญหาด้านการเงินและการธนาคาร จำนวน 2,084 กรณี หรือคิดเป็นร้อยละ 12.91 ซึ่งสัดส่วนการร้องทุกข์เข้ามานั้นน้อยกว่าในปีงบประมาณ 2565 แต่กลับเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงโควิด19 และในปัจจุบันยังคงมีผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการเคลมประกันโควิดหรือถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน สภาผู้บริโภคจึงได้ช่วยเหลือผู้เอาประกันที่ถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ 1) ติดต่อและประสานงานกับบริษัทประกันภัยซึ่งเป็นเจ้าของกรมธรรม์เพื่อให้จ่ายค่าสินไหมให้กับผู้บริโภค แต่ทั้งนี้จากการเจรจาไกล่เกลี่ยพบว่าบางกรณีมีปัญหาเรื่องการออกใบรับรองแพทย์ สภาผู้บริโภคจึงได้แจ้งผู้เอาประกันเข้าไปแก้ไขใบรับรองแพทย์และยื่นขอเคลมค่าสินไหมอีกครั้ง 2) สภาผู้บริโภคเป็นที่ปรึกษาให้ผู้บริโภคที่ยื่นฟ้องคดีด้วยตนเอง กรณีที่บริษัทฯ ที่ไม่สามารถจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนได้ และ 3) ฟ้องคดีให้กับผู้บริโภค ในการยื่นฟ้องทิพยประกันภัยที่ขอยื่นเป็นคดีกลุ่มนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างศาลชั้นต้นนัดไต่สวนผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายและตัวแทนจากบริษัททิพยประกันภัย

 

            อันดับที่ 3 เป็นปัญหาด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 918 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 5.69 กรณีการถูกหลอกลวงจากข้อความสั้น (SMS) ที่มิจฉาชีพส่งเข้ามาบนโทรศัพท์ของผู้บริโภคและแนบลิงก์มาให้กด ยังเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคพบไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเผลอกดอาจสูญเงินหรือถูกขโมยข้อส่วนตัว และประเด็นปัญหาที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในด้านการสื่อสารฯ มากไม่แพ้กันคือ การถูก ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ โทรเข้ามาและอ้างว่ามาจากหน่วยงานหรือองค์กรของภาครัฐ รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงโดยใช้เทคโนโลยีปลอมเป็นเสียงของบุคคลที่รู้จักและหลอกให้โอนเงิน ทั้งนี้เนื่องจากการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ต้องอาศัยความรวดเร็วเพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับเงินคืนหรือได้รับการชดเชยเยียวยา ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) บก.ปคบ. บช.สอท. รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้ติดตามและสกัดเส้นทางการเงินที่ผู้บริโภคถูกหลอกให้โอนเงิน

 

            ขณะที่เรื่องร้องทุกข์ที่เหลือนั้นจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพบสิ่งปนเปื้อนในอาหารที่เป็นซากแมลง เศษพลาสติกหนังยาง หรือของแปลกปลอมอื่น ๆ อีกทั้งยังพบประเด็นที่ไม่สามารถใช้สิทธิรักษาสุขภาพได้หรือการถูกเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งที่โรงพยาบาลไม่มีสิทธิในการเรียกเก็บเพิ่มเติม รวมถึงปัญหาด้านการขนส่งและยานพาหนะที่ผู้บริโภคมักพบกับปัญหาค่าโดยสาร ถูกให้นั่งเบาะเสริม คนขับพูดจาไม่สุภาพ หรือขับรถเร็วเกินกำหนด นอกจากนี้ผู้บริโภคยังพบกับปัญหาในประเด็นความไม่เป็นธรรมในการทำสัญญาซื้อขายบ้านหรืออาคารชุดต่าง ๆ ปัญหาบ้านร้าว หรือแม้แต่ปัญหาการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในพื้นที่ชุมชน

 

            หากมองภาพรวมของการช่วยเหลือผู้บริโภคของสภาผู้บริโภคในการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้บริโภคได้ช่วยเหลือผู้บริโภคเป็นรายบุคคลและกลุ่มเฉพาะที่พบปัญหาในลักษณะเดียวกัน ผ่านการรับเรื่องร้องทุกข์จากผู้บริโภคในทุกช่องทางโดยการให้คำปรึกษา คำแนะนำ การช่วยเจรจาและไกล่เกลี่ย รวมถึงหากไม่สามารถตกลงได้จะเดินหน้าฟ้องร้องคดีแทนและสนับสนุนการฟ้องร้องคดีให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้สภาผู้บริโภคเดินหน้าคุ้มครองผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องโดยเน้นว่ากระบวนการเอาเปรียบต้องยุติเร็วที่สุดและผู้บริโภคต้องสูญเสียน้อยที่สุด

 

            นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าสภาผู้บริโภคยังได้ดำเนินการที่ทำให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคที่ครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศในหลายกรณี เนื่่องจากการแก้ไขความเสียหาย หรือการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทำให้ผู้บริโภคทั้งประเทศได้รับการคุ้มครองผ่านการจัดทำข้อเสนอแนะ ข้อเสนอเชิงนโยบาย และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ในปีงบประมาณ 2566 สภาผู้บริโภคได้จัดทำนโยบายระดับจังหวัดและระดับประเทศ รวม 36 เรื่อง แบ่งเป็นนโยบายระดับประเทศ 25 เรื่อง และนโยบายระดับจังหวัด 9 เรื่อง

 

            เมื่อลงรายละเอียดนโยบายระดับประเทศ 25 ข้อ แบ่งได้เป็นข้อเสนอแนะ 10 ข้อ เช่น เรียกร้องให้สถานพยาบาลแสดงรายละเอียดต้นทุนค่าบริการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP) เพื่อนำไปประเมินกลไกการควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน กรณี UCEP ให้มีความเหมาะสมโดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 65 พ.ศ. 2558 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เพื่อปรับปรุงกฎหมายเรื่องควบคุมอาคารให้สอดคล้องกับบริบทและลักษณะทางกายภาพของเมืองมากขึ้น เป็นต้น ข้อเสนอเชิงนโยบาย 8 ข้อ เช่น การยกระดับสิทธิประโยชน์ด้านบริการทันตกรรมของผู้ประกันตน โดยเสนอให้ปรับสิทธิประโยชน์ให้ทัดเทียมกับสิทธิบัตรทอง รวมไปถึงการจัดตั้งกองทุนบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ที่เสนอให้รัฐบาลจัดสรรเงินบำนาญถ้วนหน้า เดือนละ 3,000 บาทให้กับผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นต้น มาตรการคุ้มครองผู้บริโภค 7 มาตรการ เช่น การควบคุมการใช้กัญชา – กัญชงในอาหาร การพัฒนาระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย สินค้าออนไลน์ เป็นต้น

 

            ส่วนข้อเสนอแนะนโยบายระดับจังหวัด 9 ข้อ แบ่งเป็น ข้อเสนอแนะ 1 ข้อ ได้แก่ เรื่องการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐโดยเฉพาะสิทธิการรักษาพยาบาลเมื่ออยู่ระหว่างการรับรองสถานะชาติไทย ของหน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 3 ข้อ เช่น การแก้ไขปัญหาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มาตรการคุ้มครองผู้บริโภค 5 มาตรการ เช่น การแก้ไขปัญหาการเลี่ยงจัดสรรที่ดินของผู้ประกอบการธุรกิจ บ้านจัดสรรในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รณรงค์เรื่องการมีถุงลมนิรภัยที่ปลอดภัย ของหน่วยงานจังหวัดพะเยา เป็นต้น

 

            ปัจจุบันข้อเสนอแนะ ข้อเสนอเชิงนโยบาย และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้เสนอไปในปีงบประมาณ 2566 ได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 9 ประเด็น ดังนี้ 1) มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านการนำพืชกัญชา และกัญชงมาเป็นวัตถุดิบในอาหาร 2) การเร่งยุติการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซีดาฟในแพลตฟอร์มออนไลน์ 3) ข้อเสนอให้ผู้ประกอบการสถานพยาบาลแสดงรายละเอียดต้นทุนค่ารักษาบริการสิทธิ UCEP ในงบการเงิน 4) การออกใบอนุญาตติดตั้งตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในเขตกรุงเทพมหานคร 5) การแก้ไขปัญหากรณีการขายทุเรียนอ่อนในจังหวัดกาญจนบุรี 6) การจำหน่ายยาในตลาดนัด ร้านค้า และท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสงคราม 7) ปัญหาการเลี่ยงขอจัดสรรที่ดินบ้านจัดสรร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 8) การรณรงค์เรื่องถุงลมนิรภัยไม่ปลอดภัย ในจังหวัดพะเยา และ 9) การใช้สารเคมีที่ปลอดภัย ในจังหวัดลำพูน

 

            ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคยังคังเดินหน้าเสนอแนะ ผลักดันนโยบาย และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการผลักดันเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและแรงผลักดันจากประชาชนทุกคนในการกระตุ้นและกดดันให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค เพื่อนำไปสู่การพัฒนานโยบายและยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาองค์กรของผู้บริโภค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สภาผู้บริโภคเอาจริง จ่อยื่น ป.ป.ช. ถอดถอน กสทช. เอื้อผูกขาดอินเทอร์เน็ต

 

18 พฤศจิกายน 2566 สภาผู้บริโภค ร่วมกับเครือข่ายองค์กรของผู้บริโภค จัดงานแถลงข่าว “ความล้มเหลวของ กสทช. ในการคุ้มครองผู้บริโภคกรณีการควบรวมธุรกิจโทรคมนาคม” เพื่อแสดงความผิดหวังและแสดงความเห็นต่อมติของคณะกรรมการ กสทช.  พร้อมออกแถลงการณ์ร่วมกันและเตรียมเสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ถอดถอนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (คณะกรรมการ กสทช.) ออกจากตำแหน่งทั้งคณะ เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ที่อาจเข้าข่ายบกพร่องและไม่กำกับดูแล ได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อผู้บริโภค ทั้งกรณีมีมติรับทราบการควบรวมทรู – ดีแทค และการอนุญาตให้ควบรวม AWN – 3BB

 

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า การทำงานของ กสทช.ชุดปัจจุบัน หากสะท้อนจากมุมมองของคนนอกจะเหมือนเป็นสงครามตัวแทน (proxy war) ระหว่างสองรายใหญ่เพราะคนที่ได้ประโยชน์ชัดเจนคือ ผู้ประกอบการทั้งสองราย ในทางกลับกัน กลับไม่เห็นความพยายามในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคในกสทช. ที่ชัดเจน แม้แต่กรรมการ กทสช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค

 

“สิ่งที่น่าเสียใจคือ การปฏิรูปกิจการคลื่นความถี่โทรคมนาคมในประเทศไทยดูเหมือนจะมีความคืบหน้า แต่ในความเป็นจริงกลับถอยหลัง และเป็นการถอยหลังที่มองไม่เห็นอนาคตว่าจะไปอย่างไรกันต่อ โดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมือนจะไม่มีความหวัง ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับการเป็นปากเสียงให้ผู้บริโภคในองค์กรอิสระที่มีศักดิ์ศรีและได้รับการคุ้มครองความอิสระตามเจตนารมณ์ในรัฐธรรมนูญ” นางสาวสุภิญญาระบุ

 

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ภาวะความขัดแย้งและความเห็นต่างในองค์กรอิสระเป็นเรื่องปกติเนื่องจากกรรมการแต่ละท่านต่างมีจุดยืนของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งของกสทช.ชุดนี้กลับมองไม่เห็นว่าเชื่อมโยงกับประโยชน์สาธารณะอย่างไรและมีผลประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างไร  

 

  “ปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าผู้บริโภคในยุค 5G และ 6G และขณะนี้กำลังจะเข้าสู่ยุค AI และ Internet of Things ปัญหารุมเร้าทั้งในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มิจฉาชีพที่มาจากแก๊งคอลเซนเตอร์ สแกมเมอร์และสแปมต่าง ๆ รวมไปถึงคุณภาพในการให้บริการ ผู้บริโภคถึงกับมืดมนว่าจะพึ่งใคร ถ้าองค์กรที่ควรจะเป็นที่พึ่งอย่าง กสทช.กลายเป็นทไวไลท์โซนหรือแดนสนธยาที่แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปไม่ถึง เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นความหวังให้กับเราได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา”นางสาวสุภิญญากล่าว

 

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ความล้มเหลวของ กสทช.ในการคุ้มครองผู้บริโภคมี 3 ประการ ประการแรกคือ การลงมติ “รับทราบ” การรวมธุรกิจระหว่างทรู – ดีแทค โดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน แต่ในการประชุมลงมติกรณี AWN – 3BB ที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมาก 5:2 เห็นว่าเป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่บกพร่องมีการตัดสินที่ผิดพลาดในเบื้องต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังได้อนุญาตให้เกิดการควบรวมระหว่างค่าย AWN – 3BB ที่เป็นความผิดพลาดครั้งที่สอง เพราะเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนในการรับบริการโทรคมนาคมที่ถูกเอาเปรียบการมีอำนาจเหนือตลาดของธุรกิจเอกชน

 

“ที่ผ่านมาภาคประชาชน รวมทั้งนักวิชาการและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ในการคัดค้าน กสทช.ไปจนถึงการฟ้องคดีที่ศาลปกครอง เพื่อให้ กสทช.ใช้อำนาจของตัวเอง แต่สุดท้ายกสทช.ก็ทำหน้าที่เพียงรับทราบ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ กสทช. ไม่สามารถกำกับหรือควบคุมให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคได้ตามมาตรการที่ตัวเองออกแบบไว้”
สารีกล่าว

 

ความล้มเหลวประการที่สองคือการมีมติอนุญาตให้ AWN – 3BB ควบรวมกิจการได้ โดยไม่คำนึงว่าจะทำให้เกิดการผูกขาดอินเทอร์เน็ตตามมา ซึ่งทำให้บริษัทที่ควบรวมได้รับประโยชน์โดยตรงที่สำคัญ กล่าวคือทำให้ บริษัท AWN มีส่วนแบ่งในตลาดของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตประจำที่มากถึงร้อยละ 44.44 ในขณะที่ลำดับที่สองและสาม คือ บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด (TICC) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 37.47 และ 15.44 ตามลำดับ

 

นอกจากนี้ การควบรวม AWN – 3BB ยังส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการไม่ต้องลงทุนโครงข่ายซ้ำซ้อนคิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทในเวลา 5 ปี การที่คณะกรรมการ กสทช. ได้กำหนดมาตรการให้นำเงินที่ประหยัดได้นี้ไปลงทุนสร้างโครงข่ายเพิ่มในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งหากพิจารณาอย่างผิวเผินจะเห็นว่าประชาชนได้รับประโยชน์ แต่ทางกลับกันจะทำให้บริษัท AWN ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากถึงเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดทั้งหมด มีโอกาสใช้เงินทุนที่เหนือกว่าคู่แข่งที่เป็นผลพวงจากการได้รับอนุญาตให้ควบรวมกิจการ ทำลายพื้นที่การแข่งขันของผู้ให้บริการเจ้าอื่นได้เช่นกัน โดยเฉพาะ NT

 

“จากเอกสารที่ กสทช. ใช้ชี้แจงต่อองค์กรผู้บริโภคจะว่าการควบรวมครั้งนี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคด้านราคาโดยมีงานวิจัยหลายชิ้นที่สะท้อนผลกระทบด้านราคาเพิ่มขึ้นหลังจากควบรวม และตัวเลขที่ถูกคาดการณ์มีทั้งที่บอกว่า ค่าบริการจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 – 13.4 เปอร์เซนต์ หรือบางงานวิจัยบอกว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 – 45 หรืองานวิจัยของ 101 PUB ที่ระบุว่าจะราคาจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 – 22.9  ซึ่ง กสทช.กำลังจะบอกว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้สามารถจัดการได้ แต่พวกเราไม่มีความมั่นใจเลยและไม่เชื่อว่ากสทช. จะทำได้จริง” สารีกล่าว

 

ความล้มเหลวประการที่สาม คือ ความล้มเหลวในการกำกับหรือสั่งการสำนักงาน กสทช. หลักฐานเชิงประจักษ์คือ ถึงแม้กรรมการเสียงข้างมากจะมีมติให้ดำเนินการกับรักษาการเลขาธิการ แต่ก็ไม่มีผลในการใช้บังคับ หรือกรณีการควบรวมทรู – ดีแทคที่สำนักงาน กสทช. ไม่สามารถกำกับดูแลบริษัทให้ทำตามมาตรการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ นำมาสู่คำถามและข้อกังขาว่ากรณีการควบรวม AWN – 3BB กสทช. จะสามารถควบคุมไม่ให้บริษัทขึ้นราคาได้หรือไม่ และเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างภาระให้กับผู้บริโภคในการตรวจสอบ

 

ความล้มเหลวประการสุดท้ายถูกสะท้อนจากการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากปัญหาภายใน ดังนั้น ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน กสทช. ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะกรรมการ กสทช. ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค แต่กลับไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่น มาตรการหลังการควบรวมทรู – ดีแทคที่กำหนดให้บริษัทต้องลดราคาลงร้อยละ 12 ภายใน 90 วันหลังการควบรวม หรือการกำหนดให้แสดงแหล่งที่มาของเอสเอ็มเอสจะต้องบอกเพื่อลดปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถกำกับให้บริษัทปฏิบัติตามมาตรการหรือเงื่อนไขดังกล่าวได้

นางสาวนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า  ปัจจุบันมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคในเรื่องการควบรวมโดยมีข้อมูลการสำรวจตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน ถึงปัจจุบันมีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามประมาณ 2,700 คน โดยปัญหาพบปัญหาคุณภาพการใช้บริการลดลง ค่าโปรโมชั่นแพงขึ้น โดยหลังจากนี้จะมีการเปิดเผยผลสำรวจที่ลงลึกมากขึ้น

 

ด้าน นายฉัตร คำแสง ผู้อำนวยการ 101 PUB กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการควบรวมระหว่างกิจการโทรคมนาคม 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการควบรวมระหว่างทรู – ดีแทคซึ่งหลังจากการควบรวมพบว่าตลาดมีความกระจุกตัวสูง ทำให้เหลือผู้แข่งขันหรือผู้ให้บริการหลักเพียง 2 ราย ทั้งนี้ยังพบว่าดัชนีการกระจุกก็เพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ในระดับที่ผู้กำกับดูแลโดยทั่วไปของโลกรับไม่ได้ โดยมีการประเมินว่าอาจมีผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยในการกรณีที่มีการแข่งขันตามปกติในตลาดโทรคมนาคมอย่างในปัจจุบัน ค่าบริการอาจจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7 – 10 เปอร์เซ็นต์ แต่หากมีการ “ฮั้วราคา” อาจจะทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้นได้ถึงในร้อยละ 20

 

“การฮั้วราคากันซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นการฮั้วแบบที่มีลายลักษณ์อักษรแต่มานั่งคุยกันก็ได้ แต่ว่าเมื่อมองตาแล้วรู้ใจว่า ถ้าเราขึ้นราคาแล้วเขาจะขึ้นราคาตามก็มีโอกาสเหมือนกันที่จะทำให้ราคาแพงขึ้นซึ่งอาจจะเป็นค่าบริการเฉลี่ยแพงขึ้น แพ็กเกจต่ำอาจถูกตัดออก หรือในอนาคตแม้ต้นทุนถูกลงแต่ราคาลดลงไม่เท่าก็เป็นไปได้ รวมไปถึงการให้บริการคุณภาพก็อาจจะแย่ลง เราคาดการณ์สิ่งเหล่านี้ไว้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้เราก็เห็นสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างชัดเจน” นายฉัตรกล่าว

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาผู้บริโภค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

สภาผู้บริโภคออกแถลงการณ์ “ผิดหวัง” มติ กสทช. หลังอนุญาตควบรวม AIS – 3BB

 

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ได้ออกแถลงการณ์ แสดงความผิดหวังต่อมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (คณะกรรมการ กสทช.) ที่ได้อนุญาตให้บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) บริษัทในเครือเอไอเอส (AIS) และบริษัท ทริปเปิลบี บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือทรีบีบี (3BB) ควบรวมกิจการได้ ด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 ในการประชุมเมื่อวานนี้ (10 พฤศจิกายน 2566)

 

โดยในแถลงการณ์ดังกล่าวนั้น สภาผู้บริโภคระบุว่า การลงมติดังกล่าวเป็นมติที่ไม่รักษาผลประโยชน์ผู้บริโภค กล่าวคือ แทนที่ กสทช. จะป้องกันปัญหาการผูกขาด กลับสร้างภาระให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น ที่แม้คณะกรรมการ กสทช. ได้ใช้อำนาจในฐานะองค์กรกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่มติดังกล่าวจะเพิ่มภาระผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งเมื่อตลาดด้านโทรคมนาคมในประเทศกำลังเดินเข้าสู่ภาวะการผูกขาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เกิดจากการที่คณะกรรมการ กสทช. ชุดนี้เปิดทางให้มีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระดับยักษ์ใหญ่ถึง 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี 1 เดือน

 

ทั้งนี้จากมติข้างต้น คณะกรรมการ กสทช. ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าการควบรวมครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์อย่างไร อีกทั้งยังส่งผลให้สภาพของระบบโทรคมนาคมในประเทศไทยถอยหลังกลับไปหลายทศวรรษ กระทบต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างลึกซึ้งจนยากเกินเยียวยาในอนาคต โดยเฉพาะสังคมไทยที่เปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ แต่ผู้บริโภคกลับถูกจำกัดทางเลือก นอกจากนี้ยังทำให้การแข่งขันในระบบตลาดเสรีกลายเป็นตลาดผูกขาดเมื่อเหลือผู้แข่งระดับใหญ่เพียง 2 ราย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะพิจารณาด้านหลักรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือหลักด้านเศรษฐศาสตร์ การปล่อยให้เกิดการผูกขาดของกิจการใด ๆ ในประเทศไทยที่ยึดหลักการค้าเสรีเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะจะก่อให้เกิดการเสียเปรียบของประโยชน์สาธารณะ เป็นการละเลยสิทธิของประชาชนที่จะได้รับทางเลือกในการใช้บริการ ความเป็นธรรม ความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการต่าง ๆ อย่างทั่วถึง

 

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ข้างต้น ยังระบุว่า ปัจจุบันสังคมโลกและสังคมไทยต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสื่อสารในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าทางด้านการสื่อสารเพื่อความบันเทิงหรือในภาวะวิกฤติ แต่เมื่อกิจการด้านสื่อเทคโนโลยีอยู่ในภาวะผูกขาดจะทำให้ราคาค่าบริการและทางเลือกที่ประชาชนเคยได้รับจะถูกตัดทอนลง ในขณะที่ค่าบริการจะเพิ่มขึ้น โดยการศึกษาวิจัยที่สภาผู้บริโภคได้ดำเนินการ ได้ที่ชี้ถึงผลกระทบต่อผู้บริโภคหากบริษัททั้งสองได้รับว่า “ราคาค่าบริการอินเทอร์เน็ตบ้านจะสูงขึ้นระหว่างร้อยละ 9.5 – 22.9 ซึ่งจะเป็นภาระหนักสำหรับผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ประเทศมีหนี้ครัวเรือนสูงถึงกว่า 5 แสนบาทต่อครอบครัวซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 15 ปี ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการถูกบังคับซื้อบริการพ่วง การถูกลดทางเลือกการถูกจำกัดการเข้าถึงบริการของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล”

 

ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงขอให้คณะกรรมการ กสทช. ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลอัตราค่าบริการของ กสทช. อย่างเคร่งครัด เกิดประสิทธิภาพได้จริงที่จะสามารถป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค ทั้งเรื่องอัตราค่าบริการและคุณภาพการให้บริการ อาทิ การห้ามขึ้นราคาและลดคุณภาพการให้บริการ โดยให้คงรายการส่งเสริมการขาย (Package) ซึ่งมีราคาต่ำที่สุดที่มีอยู่ก่อนการรวมธุรกิจ และแจ้งให้ กสทช. ทราบ พร้อมกับต้องคงคุณภาพการให้บริการและราคาสำหรับรายการส่งเสริมการขาย (Package) ดังกล่าวเป็นระยะเวลา 5 ปี รวมถึงการรักษาคุณภาพการให้บริการ (QoS) ตามประกาศของ กสทช. เรื่อง มาตรฐานของคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมอย่างเคร่งครัดและต้องมีความพร้อมเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นจากการรวมธุรกิจ เพื่อให้คุณภาพในการให้บริการต่อผู้ใช้บริการไม่ด้อยไปกว่าเดิม

 

รวมทั้งการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ต่อสาธารณชนว่าจะคงไว้ซึ่งบริการที่มีคุณภาพ และราคาค่าบริการที่เป็นธรรมต่อผู้ใช้บริการ โดยไม่ปล่อยให้เกิดช่องว่างหรือการย่อหย่อนต่อการบังคับใช้มาตรการเฉพาะของ กสทช. ที่เกิดขึ้นแล้วในกรณีการควบรวมระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ในเดือนตุลาคม 2565

 

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคจะนำประเด็นมติ กสทช. ในครั้งนี้เดินหน้าปรึกษาและหารือร่วมกับเครือข่ายสมาชิกของสภาผู้บริโภคที่มีอยู่ทั่วประเทศ ในการดำเนินการใด ๆ ที่จะเป็นการรักษาสิทธิผู้บริโภคต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาองค์กรของผู้บริโภค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News