Categories
FEATURED NEWS

เชียงราย-น่าน เทคโนโลยี ววน. หนุนชุมชนรับมือน้ำ

กองทุน ววน.” หนุนงานวิจัย-นวัตกรรม บูรณาการรับมือภัยน้ำ เชียงราย-น่าน ชูเทคโนโลยีสร้างความมั่นใจชุมชน

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – รายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและน่าน กำลังได้รับความสนใจและการขับเคลื่อนเชิงรุกอย่างเป็นระบบ จากทั้งภาครัฐ นักวิชาการ และเครือข่ายวิจัยทั่วประเทศ ภายใต้การสนับสนุนจาก “กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)” ซึ่งเดินหน้าหนุนงานวิจัยมุ่งเป้าโครงการ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ครอบคลุมงานด้านการเตือนภัย ระบบบริหารจัดการน้ำ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำ

กองทุน ววน. ขับเคลื่อนทีมวิจัยปฏิบัติการ เฝ้าระวังน้ำในภาคเหนือ

สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 สร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 4,405 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตรเสียหาย 500 ไร่ จากอิทธิพลของมรสุมและฝนสะสมติดต่อกันหลายวัน กองทุน ววน. ได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและระดมนักวิจัยเชิงปฏิบัติการจากหลากหลายสถาบัน เข้าร่วมเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในพื้นที่เป้าหมาย อาทิ เชียงรายและน่าน เพื่อเสริมมาตรการรับมือภัยพิบัติของประเทศ

ผศ. ดร.อังกูร ว่องตระกูล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย เปิดเผยถึงการดำเนินงานว่า ทีมวิจัยของแผนงาน “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและชุมชน 7 แห่งต้นน้ำกก เพื่อจัดตั้งจุดติดตามสถานการณ์น้ำสำคัญในแต่ละชุมชน สนับสนุนข้อมูลระดับน้ำในแต่ละวัน รายงานต่อศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าและเพจ “ระบบการเตือนภัยและแนวทางการป้องกันน้ำท่วม” เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์

เทคโนโลยี-นวัตกรรมยกระดับระบบเตือนภัยและการวิเคราะห์

การพัฒนาระบบแผนที่ความเสี่ยงคาดการณ์ฝนสะสมและพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษ โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุน ววน. โดยระบบนี้สามารถเผยแพร่แผนที่เสี่ยงน้ำท่วมจากฝนสะสมรายตำบลล่วงหน้า 48 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ Thaiwater.net และแอปพลิเคชัน Thaiwater ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่เฝ้าระวังได้รับข้อมูลเตือนภัยอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ล่าสุดในจังหวัดน่าน “ระบบ Sing Command” ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ภายใต้การบริหารจัดการของชลประทานจังหวัดน่าน ทำงานประสานกับทีมวิจัยเพื่อวางระบบวิเคราะห์-พยากรณ์สถานการณ์น้ำและแจ้งเตือนล่วงหน้า โดยดึงข้อมูลพยากรณ์ฝนจากกรมอุตุนิยมวิทยาและข้อมูลดาวเทียมมาพัฒนาโมเดลคาดการณ์ฝนล่วงหน้า 3 วัน ก่อนถอดความเป็นภาษาง่าย ๆ ให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรับทราบสถานการณ์ทันเวลา

การบูรณาการภาคีเครือข่ายมหาวิทยาลัย-ชุมชน ร่วมพัฒนา “แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม” เชิงลึก

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงาน “น้ำมั่นคงฯ” เน้นว่า โมเดลสำเร็จในการลดผลกระทบภัยพิบัติจากน้ำท่วม คือการผลักดันให้เกิด “แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมระดับพื้นที่” ที่พัฒนาโดยทีมวิจัยร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น และชัยภูมิ เชื่อมโยงกับการจัดทำพิมพ์เขียว (Blueprint) การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมืองผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมชุมชน และการใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่น เซนเซอร์ IoT ระบบอัตโนมัติ การจำลองน้ำท่วมแบบดิจิทัล เพื่อประเมินสถานการณ์น้ำท่วมได้อย่างแม่นยำในแต่ละพื้นที่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เชียงราย” ที่ปัจจุบันมีระบบติดตามระดับน้ำแม่น้ำกก ณ สะพานแม่นาวางและสะพานพ่อขุนเป็นรายชั่วโมง ร่วมมือกับศูนย์อุทกวิทยาชลประทาน ภาคเหนือตอนบน ทำให้สามารถคาดการณ์ระดับน้ำและแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที ช่วยสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่และลดความสูญเสียจากน้ำท่วมซ้ำซาก

ถอดบทเรียนการจัดการน้ำ จากวิกฤตสู่โอกาสเปลี่ยนผ่าน

กรณีศึกษาจังหวัดเชียงรายแสดงให้เห็นว่าการบริหารจัดการน้ำต้องอาศัยความร่วมมือหลายภาคส่วน ทั้งจากรัฐบาลกลาง (ผ่านนโยบายและงบประมาณ) หน่วยงานในพื้นที่ (ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ ชลประทาน อปท.) ภาควิชาการและเครือข่ายประชาชนในท้องถิ่น ที่สำคัญคือบทบาท “กองทุน ววน.” ในการหนุนนำความรู้และนวัตกรรมมาสร้างต้นแบบระบบเตือนภัยและแผนรับมือที่ตอบโจทย์พื้นที่

ในเชิงยุทธศาสตร์ แม้เทคโนโลยีและการพยากรณ์จะช่วยลดความเสี่ยงภัยจากน้ำท่วม แต่ความท้าทายคือการถ่ายทอดและปรับใช้โมเดลเหล่านี้ให้เกิดผลลัพธ์จริงในระดับชุมชน พร้อมทั้งการจัดการข้อมูลเชิงลึก เช่น แบบจำลอง Digital Elevation Model (DEM) ที่ยังเป็นจุดอ่อนสำคัญสำหรับการพยากรณ์น้ำท่วมในบางพื้นที่ ทีมวิจัยกำลังผลักดันให้ สสน. สนับสนุนข้อมูลและเชื่อมต่อเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยน้ำในภูมิภาค

นอกจากนี้ ระบบเตือนภัยในจังหวัดน่านก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยผนวกเอาข้อมูลพยากรณ์ฝนจากหลายแหล่งมาสื่อสารกับประชาชนผ่านภาษาเข้าใจง่าย เพื่อให้การเตรียมพร้อมรับมือเป็นไปอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางในอนาคต

จากการระดมเครือข่ายวิจัย มหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐ-ท้องถิ่น ทำให้ระบบบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เสี่ยงภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงรายและน่าน มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เทคโนโลยีและข้อมูลแบบเปิดช่วยลดช่องว่างการสื่อสารและเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันในระยะยาวของชุมชน ลดความสูญเสียซ้ำซากจากภัยน้ำ และสร้างต้นแบบให้จังหวัดอื่นๆ

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องและความยั่งยืนของการบูรณาการทั้งในเชิงนโยบาย งบประมาณ และเครือข่ายวิชาการในพื้นที่ หากสามารถขยายผลนวัตกรรมและระบบเตือนภัยจาก “จุดนำร่อง” สู่พื้นที่เสี่ยงทั่วประเทศ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในการบริหารความเสี่ยงจากน้ำท่วมและภัยแล้งอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) Thaiwater.net
  • ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน
  • เครือข่ายงานวิจัยและทีมมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือ
  • รายงานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำโดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สสน. หนุน อบจ.เชียงราย! วางแผนรับมือน้ำท่วม-ภัยแล้งแบบมืออาชีพ

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เข้าหารือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำแบบรอบด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน-ระหว่าง-หลังเกิดภัยพิบัติ

การหารือระดับจังหวัดสู่การวางรากฐานระบบจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 7 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องรับรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดประชุมหารือสำคัญระหว่างผู้แทนจาก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กับ คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิด และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัยพิบัติ

การประชุมครั้งนี้มี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานให้การต้อนรับพร้อมด้วย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายกฯ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านภัยพิบัติ เข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้โดยละเอียดกับคณะจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกและระบบภูมิสารสนเทศที่แม่นยำสำหรับการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่

PDOSS กลไกสำคัญสู่การบริหารภัยพิบัติแบบเบ็ดเสร็จ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรได้กล่าวถึงนโยบายหลักขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายที่ให้ความสำคัญกับการใช้ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster One Stop Service: PDOSS) ซึ่งเป็นระบบที่นำมาใช้ในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ

PDOSS ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านภัยพิบัติและสาธารณภัยทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์
  • การจัดการเครือข่ายน้ำและการระบายน้ำ
  • การบริหารไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
  • การแจ้งเหตุและรับเรื่องร้องเรียนภัยพิบัติแบบจุดเดียว
  • ระบบเยียวยาผู้ประสบภัยแบบเบ็ดเสร็จ

ระบบดังกล่าวช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัย และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย

แผนบริหารจัดการน้ำกลยุทธ์ตั้งรับภัยพิบัติยุคใหม่

หนึ่งในหัวข้อหลักที่ถูกหยิบยกในการหารือครั้งนี้ คือการบริหารจัดการน้ำเชิงป้องกัน ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการลดความรุนแรงของผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม หรือภัยแล้ง

การวางแผนล่วงหน้าครอบคลุมตั้งแต่

  • การวิเคราะห์แหล่งน้ำต้นทุน
  • การก่อสร้างเขื่อน ฝาย และอ่างเก็บน้ำ
  • การจัดการเส้นทางระบายน้ำในเขตเมืองและชนบท
  • การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการใช้ระบบ แบบจำลองน้ำหลาก (Flood Simulation) ร่วมกับแบบจำลองภูมิอากาศ เพื่อให้สามารถเตือนภัยล่วงหน้าและจัดการพื้นที่เสี่ยงได้ล่วงหน้า 3 – 7 วัน

การสร้างความร่วมมือระดับนโยบายและภาคปฏิบัติ

ตัวแทนจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนองค์ความรู้ ฐานข้อมูล และระบบเทคโนโลยีสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำในระดับท้องถิ่น โดยเน้นการส่งเสริมการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และการเชื่อมโยงข้อมูลกับแผนปฏิบัติการระดับจังหวัด

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐระดับชาติ ระดับจังหวัด และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการจัดการอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความสำคัญของการเตรียมพร้อมในทุกระดับ

การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัยพิบัติ ไม่เพียงเป็นภารกิจของหน่วยงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่งการจัดทำ แผนรับมือภัยพิบัติรายตำบลและรายหมู่บ้าน กำลังถูกขยายผลอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งตนเองเบื้องต้น ก่อนการเข้าช่วยเหลือจากหน่วยงานหลัก

ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้ผลักดันโครงการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำแบบเรียลไทม์ (Real-time water level sensors) ในพื้นที่เสี่ยง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจแบบทันสถานการณ์ และการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวโน้มและทิศทางอนาคต

จากข้อมูลด้านการบริหารน้ำและภัยพิบัติของจังหวัดเชียงราย พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่จังหวัดเชียงรายเผชิญกับภัยธรรมชาติต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูฝนและฤดูแล้งที่แปรปรวนอย่างรุนแรงจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีแนวโน้มของ ความถี่ของน้ำท่วมฉับพลันเพิ่มขึ้น 12% และ อัตราฝนเฉลี่ยต่อปีสูงขึ้นกว่า 20% จากค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี

ข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้สะท้อนความจำเป็นในการเร่งพัฒนาระบบจัดการน้ำให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะการปรับตัวเชิงโครงสร้างและการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาท้องถิ่นและแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายประสบเหตุอุทกภัย รวม 9 ครั้ง กระจายทุกอำเภอหลัก
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติในปีเดียวสูงถึง 3,200 ล้านบาท
  • พื้นที่ที่อยู่ในโซนเสี่ยงน้ำท่วมตามแผนที่ GIS ของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน 147 หมู่บ้าน
  • อัตราฝนเฉลี่ยในฤดูฝนปี 2567 อยู่ที่ 1,698 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 17%
    (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ, สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน), สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

สรุป

การหารือระหว่างสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย ไม่เพียงเสริมสร้างการป้องกันภัยพิบัติอย่างยั่งยืน แต่ยังช่วยส่งเสริมความมั่นคงของชีวิตประชาชนในพื้นที่ ผ่านความร่วมมือระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

ทีมวิจัยเตือนเฝ้าระวังพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เผยน้ำท่วมนาข้าวเสียหายกว่า 1.6 พันลบ.

 

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ประธานแผนงานวิจัยแผนงานการขับเคลื่อนแนวทางการใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ ระยะที่ 1 ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า คณะวิจัยได้คาดการณ์น้ำเขื่อน น้ำท่า น้ำท่วม ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ โดยใช้ฝนคาดการณ์ของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ร่วมกับงานน้ำเขื่อนโดยมหาวิทยาลัยมหิดล งานน้ำท่าของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และงานน้ำท่วมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันคาดการณ์ว่าวันที่ 8 กันยายน 2567 ปริมาณน้ำที่จังหวัดนครสวรรค์จะเพิ่มขึ้นถึง 2,180 ลบ.ม.ต่อวินาที หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเฝ้าระวัง (เนื่องจากจะเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ริมแม่น้ำ และค่าเกิน 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาที ตามเกณฑ์การจัดการน้ำที่จังหวัดนครสวรรค์จะเป็นการจัดการน้ำระดับชาติ)

 

 

ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567 พบว่าพื้นที่น้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีขนาด 407,311 ไร่ ครอบคลุมจังหวัดเชียงราย พะเยา ลำพูน แพร่ สุโขทัย น่าน และลำปาง โดยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่การเกษตร พื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำสายหลักและสายรอง รวมถึงพื้นที่อยู่อาศัยบางส่วน คาดว่าพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในปีนี้อาจจะแผ่ขยายออกไปอีกในช่วงต้นเดือนกันยายนในบริเวณเส้นทางน้ำหลากไหลผ่าน รวมถึงพื้นที่ตามแนวเส้นทางผันน้ำทางตอนกลางของประเทศสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบางส่วน

 

ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำของเขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 47% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 7,104 ล้านลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 78% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 2,110 ล้านลบ.ม. เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 46% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 503 ล้านลบ.ม. เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 28% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 688 ล้านลบ.ม. เขื่อนกิ่วคอหมา มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 89% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 18 ล้านลบ.ม.

 

 

“ข้อมูลผลกระทบจากน้ำท่วม ประเมินผล ณ วันที่ 4 กันยายน 2567 ทั้งประเทศไทย พบว่ามีพื้นที่น้ำท่วมรวมทั้งสิ้น 749,511 ไร่ ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ปลูกข้าว 355,255 ไร่ คิดเป็นมูลค่า 1,608 ล้านบาท โดยพื้นที่ 4 จังหวัดภาคเหนือได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง จังหวัดที่มีข้าวเสียหายมากที่สุดคือ อุตรดิตถ์ มูลค่า 323.7 ล้านบาท รองลงมาคือ พิจิตร และนครพนม มูลค่า 266.3 ล้านบาท และ 243.1 ล้านบาทตามลำดับ มีพื้นที่ถนนได้รับผลกระทบรวมระยะทาง 508.9 กม. ขณะที่ผลกระทบด้านสังคมทำให้มีผู้ประสบภัย 123,603 คน” รศ. ดร.สุจริตกล่าวสรุป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News