Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

สหรัฐฯ กดดันเปิดตลาด! ภาษี 36% เขย่าหมูไทย เชียงรายเสี่ยงขาดทุนมหาศาล

วิกฤตหมูไทย 2568 เชียงรายกับมหันตภัยราคาดิ่ง โดมิโนเศรษฐกิจปศุสัตว์จากแรงกดดันสหรัฐฯ

สถานการณ์ล่าสุดไทยเจอแรงกดดันสหรัฐฯ เปิดตลาดเนื้อหมู

เชียงราย, 12  กรกฎาคม 2568  – อุตสาหกรรมเนื้อหมูไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ หลังสหรัฐอเมริกาประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้า 36% กับเนื้อหมูไทย เริ่ม 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้ไทยถูกกดดันให้นำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐฯ มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุชัด ไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่น้อยมาก แต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและประสิทธิภาพการผลิตสูงของหมูสหรัฐฯ ส่งผลต่อการแข่งขันและราคาหมูในประเทศโดยตรง

หมูสหรัฐฯ ราคาแรง ผลิตถูกกว่าไทย

ราคาหมูสหรัฐฯ เฉลี่ยเพียง 1.7 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ขณะที่หมูไทยแตะ 2.3 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม หมูสหรัฐฯ ถูกกว่าไทยถึง 1.3 เท่า ทำให้ยากต่อการแข่งขัน หากตลาดเปิดเสรี หมูราคาถูกจากสหรัฐฯ จะทะลักเข้าสู่ประเทศไทย สร้างแรงกดดันหนักต่อห่วงโซ่ปศุสัตว์

โดมิโนเอฟเฟกต์ผลกระทบครอบคลุมทุกภาคส่วน

เมื่อหมูราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนว่า จะเกิด Domino Effect ต่อทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมดังนี้

  • เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู: ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกว่า 1.49 แสนราย เสี่ยงขาดรายได้หรือเลิกกิจการ
  • ผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์: 5 ล้านครัวเรือน ผลิตภัณฑ์หลักอย่างรำสด ข้าวโพด จะราคาตกต่ำ
  • โรงชำแหละและเขียงหมู: อาจถูกกดดันให้ต้องเลิกกิจการ หรือรายได้ลดลงจากการแข่งขันกับหมูแปรรูปนำเข้า
  • ผู้บริโภค: แม้ราคาหมูถูกลง แต่เสี่ยงต่อสุขภาพจากสารเร่งเนื้อแดงในหมูสหรัฐฯ
    คาดการณ์ความสูญเสียตลาดหมูไทยสูงถึง 112,330 ล้านบาท หากไทยเปิดตลาดเต็มรูปแบบ

เชียงรายจังหวัดยุทธศาสตร์การค้าปศุสัตว์ชายแดน

เชียงรายคือประตูสำคัญของการส่งออกปศุสัตว์ไปยัง สปป.ลาว เมียนมา และจีน จุดผ่านแดนเช่น ด่านกักกันสัตว์เชียงของ และท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน มีบทบาทสูงในการขับเคลื่อนตลาดสุกรมีชีวิตและเนื้อสัตว์แปรรูป ข้อมูลล่าสุดระบุ เชียงรายมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร 3,722 ราย สุกร 95,268 ตัว ผลผลิตสุกรรวม 23,817 ตัน

ต้นทุนพุ่ง-อุปทานลดความท้าทายของอุตสาหกรรมหมู

แม้การผลิตสุกรปี 2567 ฟื้นตัวจากโรค ASF รวม 21.723 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 6.19% แต่ปี 2568 คาดผลิตลดเหลือ 21.370 ล้านตัว (-1.63%) เนื่องจากมาตรการควบคุมโรคและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าอาหารสัตว์ที่ผันผวน
โครงสร้างผู้ผลิตเปลี่ยนไป ฟาร์มขนาดกลางและใหญ่เพิ่มเป็น 74% ในปี 2567 เกษตรกรรายย่อยลดลง 22.6%
ราคาหมูหน้าฟาร์มเพิ่มสูงสุดในรอบ 2 ปี เฉลี่ย 75 บาทต่อกิโลกรัม (+14.1%)

ความท้าทายจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ปี 2567 อุปสงค์เนื้อสุกรในประเทศขยายตัว 2.5% จากราคาที่ลดลงและนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา ปี 2568 อุปสงค์คาดว่าจะลดลง 1.7% เพราะราคาสูงขึ้น ตลาดโลกเองก็มีแรงกดดันจากการลดการบริโภคในจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคหลัก
อีกทั้ง สังคมผู้สูงอายุในไทย ส่งผลให้การบริโภคเนื้อหมูมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว

กลยุทธ์ปกป้องอุตสาหกรรมสุกรไทย

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแนะรัฐบาล “อย่าเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ” ไม่ว่ากรณีใด เพื่อรักษาเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานและความอยู่รอดของเกษตรกรไทย

สำหรับผู้ประกอบการ

  • บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม
  • สร้างจุดขายด้วยคุณภาพสินค้า เน้นหมูปลอดสาร
  • ใช้ประโยชน์การค้าชายแดน เชื่อมตลาดเพื่อนบ้าน

สำหรับภาครัฐ

  • สนับสนุนวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำ
  • พัฒนาการค้าชายแดนให้ได้มาตรฐาน
  • รักษาเสถียรภาพราคา โดยไม่บิดเบือนกลไกตลาด
  • เจรจาการค้าด้วยความรอบคอบ
  • สนับสนุนการวิจัยสินค้าสำหรับสังคมสูงวัย

เชียงรายต้องปรับตัวอย่างไรในยุคตลาดหมูเสรี

คำถามสำคัญ หากแรงกดดันจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เชียงรายซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนและจุดยุทธศาสตร์การค้าหมู จะต้องวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และสร้างความอยู่รอดให้กับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่
สถานการณ์นี้จึงเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของทั้งผู้ประกอบการและรัฐ หากไม่เตรียมพร้อม ปัญหาอาจลุกลามเป็นวิกฤตระดับชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
  • กรมปศุสัตว์
  • รายงานข่าวตลาดการค้าชายแดนจังหวัดเชียงราย ปี 2567-2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

วิกฤตรายได้ท่องเที่ยว! เมืองรองดึงคนได้ แต่ค่าใช้จ่ายต่ำ เชียงรายต้องเร่งสร้างมูลค่า

ท่องเที่ยวในประเทศครึ่งปีแรก 2568 โตชะลอตัว คนไทยเมินเมืองหลัก แห่เที่ยวเมืองรอง เชียงรายเนื้อหอม แต่รายได้ยังไม่ปัง!

สถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวในประเทศ โตแต่ชะลอตัว เหตุปัจจัยลบหลายด้าน

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยระบุว่าการท่องเที่ยวในประเทศยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจำนวนการเดินทาง 101 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และสร้างรายได้รวม 574,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% (YoY) อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเติบโตเริ่มแผ่วลงกว่าที่คาดไว้ และยังคงเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวในบางพื้นที่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของคนไทยที่นิยมเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกัน กำลังซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่มยังคงอ่อนแอจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น

เมืองหลักซบเซา เมืองรองรับอานิสงส์แต่รายได้ยังห่าง

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า หลายจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ กระบี่ อยุธยา และจันทบุรี กลับมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยลดลงในครึ่งปีแรก 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนแรงฉุดจากปัจจัยภายนอกทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นและรายได้ของผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้เมืองหลักไม่สามารถรักษาฐานลูกค้าภายในประเทศได้เหมือนเดิม

ขณะเดียวกัน “เมืองรอง” หรือจังหวัดท่องเที่ยวรอง อาทิ เชียงราย สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และอุบลราชธานี กลับได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเชียงรายที่กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับคนไทยที่ต้องการหลีกหนีความแออัดและแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ

ตลาดท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง ยังโตแต่โตช้าลง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าการเดินทางในประเทศครึ่งปีหลังจะเติบโตเพียง 1.4% (YoY) แม้มีมาตรการส่งเสริมจากรัฐ เช่น โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่รัฐบาลสนับสนุนค่าโรงแรมและคูปองดิจิทัล แต่ผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว และปัจจัยการเมือง ยังคงฉุดกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในวงกว้าง

เที่ยวต่างประเทศฮิต แพ็กเกจคุ้มค่า – “วีซ่าฟรี” ดึงคนไทยออกนอก

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเติบโตของท่องเที่ยวในประเทศชะลอตัว คือแนวโน้มที่คนไทยนิยมเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น สืบเนื่องจากมาตรการวีซ่าฟรีของหลายประเทศและกลยุทธ์ของบริษัทนำเที่ยวที่เสนอแพ็กเกจราคาถูกและคุ้มค่า ตัวอย่างเช่น ทริปเกาหลีใต้ 4 วัน 2 คืน ราคาเฉลี่ยเพียง 6,000 บาท หรือเวียดนาม 7,000 บาท ซึ่งมีราคาดึงดูดใจเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายการเที่ยวในประเทศที่สูงขึ้นทุกปี

เชียงรายขึ้นแท่นเมืองรองยอดนิยม แต่รายได้ยังน้อยกว่าเมืองหลัก

แนวโน้มใหม่ของตลาดท่องเที่ยวไทย คือการเที่ยว “เมืองรอง” ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเชียงรายที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่นักท่องเที่ยวไทย สาเหตุสำคัญคือความต้องการหลีกเลี่ยงความแออัดในเมืองหลัก การค้นหาสถานที่เที่ยวใหม่ ๆ และการรีวิวผ่านโซเชียลมีเดียที่ช่วยผลักดันกระแส

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนคนไทยเที่ยวเมืองรองปีนี้จะอยู่ที่ 41.4% เพิ่มจาก 41.3% ใน 5 เดือนแรก และเติบโตขึ้นถึง 32.3% เทียบกับก่อนโควิด-19 หลายจังหวัดเมืองรองมีนักท่องเที่ยวเกิน 2 ล้านคน อาทิ เชียงราย สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และอุบลราชธานี ตัวเลขนี้สูงกว่าเมืองหลักบางแห่ง เช่น สงขลา หรือพังงา

อย่างไรก็ตาม รายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองยังน้อยกว่าเมืองหลักมาก โดยรายได้จากเมืองรองอยู่ที่ 28% ของรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะที่เมืองหลักคิดเป็น 72% ของรายได้ทั้งหมด

ค่าใช้จ่ายต่อทริปต่ำกว่าก่อนโควิด พฤติกรรมเปลี่ยน “ไปเช้า-เย็นกลับ”

แม้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเมืองรองจะสูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อครั้งยังไม่ฟื้นตัวเท่าช่วงก่อนโควิด-19 ข้อมูลคาดว่าการใช้จ่ายในประเทศตลอดปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท เติบโต 2% ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 4,100 บาท/คน/ครั้ง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2562 อย่างมีนัยสำคัญ

สาเหตุหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจชะลอตัว พฤติกรรมการท่องเที่ยวแบบ “ไปเช้า-เย็นกลับ” ที่เพิ่มขึ้นจนคิดเป็น 51% ของการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในเมืองรองก็ต่ำกว่ามาก เฉลี่ย 2,800 บาท/คน/ครั้ง เมื่อเทียบกับเมืองหลักที่ 5,000 บาท/คน/ครั้ง ค่าที่พักในเมืองรอง เช่น เชียงราย เฉลี่ย 1,850 บาทต่อคืน ต่ำกว่ากรุงเทพฯ หรือภูเก็ตที่ 3,500 บาทต่อคืน ขณะที่ค่าอาหารและของที่ระลึกก็ถูกกว่า

โอกาสและความท้าทาย เมืองรองดึงคนได้ แต่รายได้ต้องเร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม

สถานการณ์นี้สะท้อนทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะเมืองรองอย่างเชียงรายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถสร้างรายได้ต่อหัวได้เท่าเมืองหลัก

ความท้าทายสำคัญคือการออกแบบแคมเปญและประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคนไทย พร้อมกับส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่นมากขึ้น ทั้งจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวใหม่ การยกระดับที่พัก อาหาร การบริการ และการส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น ควบคู่กับมาตรการของรัฐที่ช่วยจูงใจให้คนไทย “อยู่เที่ยว” เมืองรองนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น

เชียงรายกับเส้นทางการท่องเที่ยวไทยใหม่

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทย เมืองรองอย่างเชียงรายยิ่งกลายเป็นจุดหมายที่ได้รับความสนใจสูง แต่ยังต้องเน้นพัฒนา “มูลค่า” ไม่ใช่แค่ “จำนวน” เพื่อเปลี่ยนการเติบโตเชิงปริมาณให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของพื้นที่อย่างยั่งยืน การสร้างกิจกรรมพิเศษ เทศกาล วัฒนธรรมท้องถิ่น และแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ จะเป็นหัวใจของกลยุทธ์ในอนาคตของ “เมืองรอง” เพื่อให้สมดุลทั้งจำนวนและรายได้ที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2568
  • ข้อมูลจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสื่อเศรษฐกิจไทย
  • หลงฮักเขาแคมป์ปิ้ง ภูชี้ฟ้า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

ศัลยกรรมไทยโต! Gen Z-LGBTQIA+ ลูกค้ากลุ่มใหม่

ตลาดศัลยกรรมความงามไทยโตต่อเนื่อง คนไทยนิยมศัลยกรรมใบหน้า LGBTQIA+ และ Gen Z เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่

ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามเติบโตต่อเนื่องแม้การแข่งขันสูง

ประเทศไทย, 3 มีนาคม 2568 – การทำศัลยกรรมและเสริมความงามได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยเฉพาะการทำตา จมูก หน้าอก และฉีดโบท็อกซ์ ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท เติบโต 2.8% จากปีก่อน แม้ว่าอัตราการเติบโตจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง

คลินิกยังครองตลาด แต่โรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโต

โครงสร้างตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยแบ่งออกเป็น คลินิกและโรงพยาบาล ซึ่งปัจจุบัน คลินิกความงามยังคงมีสัดส่วนมากถึง 85% แม้ว่าจะลดลงจาก 90% ในปี 2564 เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น ในขณะที่ โรงพยาบาลมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% อันเป็นผลมาจาก จำนวนนักท่องเที่ยวทางการแพทย์ (Medical Tourism) ที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น และความน่าเชื่อถือของมาตรฐานการรักษาและศัลยแพทย์ไทย

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป การศัลยกรรมได้รับความนิยมมากขึ้น

ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการทำศัลยกรรมมากขึ้น ส่งผลให้การทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดเพิ่มขึ้นจาก 75% ในปี 2562 เป็น 79% ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น มีความปลอดภัยสูงขึ้น และใช้เวลาฟื้นตัวที่น้อยลง

ศัลยกรรมยอดนิยมที่คนไทยเลือกทำมากที่สุด

  • แบบผ่าตัด: ตา, จมูก, หน้าอก
  • แบบไม่ผ่าตัด: ฉีดโบท็อกซ์, ไฮยาลูรอน, ยกกระชับใบหน้าและลำคอ

เทรนด์ศัลยกรรมที่กำลังมาแรง

จากการสำรวจพบว่า กลุ่มลูกค้าศักยภาพใหม่ ที่มีแนวโน้มเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ได้แก่:

  • กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQIA+)
  • กลุ่ม Gen Z
  • กลุ่มผู้ชาย

โดยการทำศัลยกรรมบน ใบหน้า เป็นที่นิยมมากที่สุด คิดเป็น 47% ของการใช้บริการทั้งหมด

ตลาดผู้สูงอายุ หนุนการทำศัลยกรรมชะลอวัย

ภายในปี 2571 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุประมาณ 14 ล้านคน โดย 22% ของกลุ่มนี้มีรายได้สูงและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงสำหรับ ศัลยกรรมดึงหน้า, ทำหน้าอก, ดูดไขมัน และลดริ้วรอย

Medical Tourism หนุนธุรกิจศัลยกรรมไทย

ธุรกิจศัลยกรรมในไทยได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ โดยมี อัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี สำหรับกลุ่มลูกค้า Medical Tourism ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่:

  • จีน
  • มาเลเซีย
  • ญี่ปุ่น
  • กลุ่มอาเซียน (CLMV+I) ที่กำลังเติบโต

การทำศัลยกรรมเป็นหนึ่งใน บริการทางการแพทย์ที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ามาใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ของไทย เนื่องจากไทยมี มาตรฐานการรักษาสูง แต่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้

ความท้าทายและความเสี่ยงของธุรกิจศัลยกรรมในไทย

  1. บุคลากรทางการแพทย์มีจำกัด

ปัจจุบัน ไทยมีศัลยแพทย์ตกแต่งเพียง 500 คน เมื่อเทียบกับ เกาหลีใต้ที่มีศัลยแพทย์มากถึง 2,739 คน ทำให้เกิดการแข่งขันเพื่อดึงบุคลากรทางการแพทย์ ส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าในไทยที่มีเพียง 100 คน

  1. การแข่งขันรุนแรง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • ในประเทศไทยมี คลินิกศัลยกรรมกว่า 2,500 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคลินิกขนาดเล็ก
  • ต่างชาติเริ่มเข้ามาแข่งขัน เช่น คลินิกจากเกาหลีใต้ที่เข้ามาเปิดสาขาในไทย หรือการที่ชาวไทยนิยมเดินทางไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศโดยเฉพาะเกาหลีใต้
  1. ธุรกิจต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

การพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีต้นทุนสูง หากลูกค้ามีจำนวนลดลงอาจกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าที่เน้นความคุ้มค่าและเปรียบเทียบราคา

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายที่สนับสนุน: เห็นว่าธุรกิจศัลยกรรมความงามของไทย มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม Medical Tourism ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ
  • ฝ่ายที่กังวล: มองว่าการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และการแข่งขันที่สูงอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการ รวมถึงความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และกระทรวงสาธารณสุข พบว่า:

  • ปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท โต 2.8%
  • คลินิกความงามครองตลาด 85% ส่วนโรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็น 15%
  • Medical Tourism คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5%
  • ศัลยแพทย์ตกแต่งในไทยมีเพียง 500 คน เทียบกับเกาหลีใต้ที่มี 2,739 คน
  • ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 2 ของชาวต่างชาติที่ต้องการศัลยกรรมความงาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย / กระทรวงสาธารณสุข / สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินน้ำท่วม ปี 2567 สูง 30,000 ล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2567 สูงถึง 3 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เปิดเผยการประเมินความเสียหายจากน้ำท่วมในปี 2567 ว่ามีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.16% ของ GDP ของประเทศไทย หากสถานการณ์น้ำท่วมลากยาวหรือขยายพื้นที่ ผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นถึง 50,000 ล้านบาท หรือ 0.27% ของ GDP

การประเมินผลกระทบจากน้ำท่วม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการประเมินว่าผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2567 จะเกิดขึ้นอย่างหนักในภาคเกษตรและรายได้ของครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลต่อการบริโภคและเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ภัยพิบัติจากน้ำท่วมมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคเกษตร

น้ำท่วมปีนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อภาคเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เช่น เชียงรายและเชียงใหม่ ที่น้ำท่วมซ้ำหลายรอบ นอกจากนี้ รายได้ของครัวเรือนและภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก ทำให้การบริโภคลดลงและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม

การขยายพื้นที่น้ำท่วมและความเสียหายที่เพิ่มขึ้น

หากสถานการณ์น้ำท่วมขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองของภาคกลางและภาคใต้ ผลกระทบจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 50,000 ล้านบาท หรือ 0.27% ของ GDP การขยายพื้นที่น้ำท่วมยังส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนทรุด สะพานขาด และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจในพื้นที่

การเตรียมรับมือกับภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนทำให้ภัยพิบัติจากน้ำท่วมมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น การวางแผนรับมือเช่น การมีระบบเตือนภัยที่เข้าใจง่าย แผนปฏิบัติการฉุกเฉิน การทำประกันภัย และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากน้ำท่วมในอนาคต

การประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและการเคลื่อนย้ายพื้นที่เสี่ยง

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำได้ประเมินว่าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันจะเคลื่อนจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางในเดือนกันยายนและตุลาคม มาเป็นภาคกลางและภาคใต้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม การเคลื่อนย้ายพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมนี้ทำให้ต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ใหม่

ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจ

น้ำท่วมปี 2567 ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก ถนนทรุด สะพานขาด และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ซึ่งทำให้การดำเนินธุรกิจและการเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างยากลำบาก นอกจากนี้ ภาคการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้การผลิตหยุดชะงักและส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม

การฟื้นฟูหลังน้ำท่วมและบทบาทของภาครัฐและเอกชน

หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย การฟื้นฟูพื้นที่จะต้องพึ่งพางบประมาณของภาครัฐและการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมการก่อสร้างและการตกแต่งบ้าน แต่ในขณะเดียวกัน ครัวเรือนก็อาจจำเป็นต้องก่อหนี้เพื่อซ่อมแซมบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ส่งผลให้มีการกดดันการใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ ของครัวเรือน

บทสรุป

น้ำท่วมปี 2567 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก โดยเฉพาะในภาคเกษตรและรายได้ของครัวเรือน การวางแผนรับมือและการฟื้นฟูพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมในอนาคต การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

วิจัยกสิกรฯ เผยว่า ปี 2029 ผู้สูงอายุไทยพุ่ง 18 ล้านคน

 

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2029 คาดการณ์ว่ามูลค่าการใช้จ่ายของผู้สูงอายุไทยจะอยู่ที่ 2.2 ล้านล้านบาท โตเฉลี่ย 5.3% ต่อปี (CAGR 2024-2029) ตามจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น (ปี 2024 อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท) โดยในปี 2029 ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-aged Society) ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สูงวัยในไทยราว 18 ล้านคน จากปัจจุบันที่อยู่ราว 14 ล้านคน ทั้งนี้ ธุรกิจที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการขยายตัวของสังคมสูงวัย อาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้

 

    1) ธุรกิจที่เน้นด้านสุขภาพ ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจการดูแลสุขภาพ โดยการใช้จ่ายใน 2 หมวดนี้มีสัดส่วนรวมกันกว่า 37% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้สูงอายุ ซึ่งสูงกว่าการใช้จ่ายในหมวดเดียวกันของช่วงวัยหรือ Generation อื่นๆ ราว 3% สอดคล้องไปกับผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่พบว่าผู้สูงอายุไทยมีความสนใจซื้อสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของผู้สูงอายุที่ตอบแบบสำรวจทั้งหมด

 

    ขณะที่สินค้าและบริการที่น่าจะเป็นโอกาสในกลุ่มนี้ ได้แก่ ศูนย์โรคเฉพาะทาง ยาและเวชภัณฑ์ บริการดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home และ Care Giver) ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น โดยมีปัจจัยหนุนจากเทรนด์รักสุขภาพ ความเสี่ยงเจ็บป่วยต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อไม่เรื้อรังของผู้สูงอายุ สำหรับในหมวดอาหาร ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและอาหารทางการแพทย์ แต่ทั้งนี้รูปแบบของอาหารควรเคี้ยวง่าย ย่อยง่าย มีขนาดที่พอเหมาะ และมีโภชนาการครบถ้วน

 

    2) ธุรกิจอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้สูงอายุ คิดเป็นสัดส่วนราว 63% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้สูงอายุ ซึ่งการใช้จ่ายต่อครั้งจะมีมูลค่าสูง แต่มีความถี่ในการใช้จ่ายน้อยกว่าการบริโภคสินค้าในกลุ่มแรก (อาหารและสุขภาพ) อาทิ

        – ธุรกิจนวัตกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Smart Home Devices เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง อุปกรณ์แจ้งเตือนเมื่อเกิดอุบัติเหตุในบ้าน กล้องติดตามการเคลื่อนไหว ไม้เท้าอัจฉริยะ เครื่องช่วยฟัง เป็นต้น

        – ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง จากปัจจุบันผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงความนิยมเลี้ยงสัตว์ของผู้สูงอายุเพื่อช่วยในการบำบัดรักษา (Pet Healing) ส่งผลให้สินค้าและบริการที่น่าจะได้ประโยชน์ เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และบริการดูแลสัตว์เลี้ยง

        – ธุรกิจที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ที่ปัจจุบันโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ในปี 2023 ยังมีอยู่น้อยเพียง 728 แห่งทั่วประเทศ รองรับผู้สูงอายุที่ได้เพียงราว 19,490 คนเท่านั้น คาดว่าต่อไปจะเพิ่มมากขึ้น จากมาตรการหนุนให้ชาวต่างชาติมีอาศัยที่ไทย รวมถึงธุรกิจการปรับปรุงที่อยู่อาศัยน่าจะช่วยรองรับความต้องการของผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้

        – ธุรกิจบริการอื่นๆ เช่น บริการทางการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ และ Reverse Mortgage สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการเงินไว้ใช้หลังเกษียณ แต่ไม่มีลูกหลานดูแล รวมถึงบริการ Entertainment ต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ อาทิ เกมช่วยบริหารสมองและช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และเกมช่วยฝึกความไวของสายตา เป็นต้น 

 

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ตลาดผู้สูงอายุมีแนวโน้มน่าสนใจมากขึ้น แต่ธุรกิจอาจมีความเสี่ยงจาก 2 เรื่องหลัก ได้แก่

    1. ตลาดแข่งขันรุนแรง เพื่อแย่งชิงลูกค้าที่มีศักยภาพ แม้ตลาดผู้สูงอายุจะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น แต่ในช่วง 2-3 ปีแรกของการเจาะตลาดผู้สูงอายุ ขนาดตลาดจะยังไม่ใหญ่มากตามจำนวนผู้สูงอายุไทยที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 23% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อย ส่งผลต่อกำลังซื้อที่จำกัด

    ขณะที่ ผู้สูงอายุที่มีรายได้สูงส่วนใหญ่ พบว่ามักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคกลาง ทำให้ธุรกิจที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้อาจต้องเผชิญการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่เข้มข้นจากคู่แข่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน และญี่ปุ่น

    นอกจากการปรับตัวของธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ การทำกลยุทธ์การตลาด (Marketing) ไปที่ลูก-หลาน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผู้ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการแทนผู้สูงอายุ โดยเน้นที่คุณภาพ/มาตรฐานของสินค้าและบริการ รวมถึงความคุ้มค่าด้านราคาเป็นหลัก

 

    2. ธุรกิจมีต้นทุนในการปรับตัวรองรับสังคมสูงวัย ทั้งต้นทุนหลักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่าน ธุรกิจจะมีต้นทุนส่วนเพิ่มจากการปรับไลน์การผลิต/พัฒนารูปแบบสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้สูงอายุ เช่น สินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่มก็อาจต้องเพิ่มสารอาหารที่เหมาะสมกับวัยและโรคของผู้สูงอายุ ปรับบรรจุภัณฑ์ให้ใช้เปิด-ปิดง่าย เป็นต้น รวมถึงบางธุรกิจที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) ในภาคเกษตร การผลิต และการค้า ที่อาจต้องมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่จะรุนแรงในระยะข้างหน้า

    การปรับตัวเหล่านี้อาจกระทบผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ทั้งหมดราว 3.18 ล้านราย โดยธุรกิจที่มีสัดส่วน SMEs สูง ได้แก่ ค้าส่ง/ค้าปลีก การผลิต ก่อสร้าง และธุรกิจการเกษตร คิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 63% ของจำนวน SMEs ทั้งหมด (รูปที่ 6) ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนเพิ่มขึ้น

    แต่ในระยะข้างหน้า การปรับตัวรองรับสังคมสูงวัย โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่แม้จะใช้เงินลงทุนสูงในช่วงแรก แต่คาดว่าจะสร้างความคุ้มค่าในระยะกลาง-ยาวจากราคาเริ่มถูกลง เช่น ราคาหุ่นยนต์ (Robot Price) ที่ใช้ในอุตสาหกรรม (Robot Arms, Industrial Robots) จะลดลงเฉลี่ยปีละ 11% (CAGR 2017-2025) และการใช้ AI ในธุรกิจจะมีต้นทุนลดลงจากการแข่งขันกันพัฒนาโมเดล/ความสามารถใหม่ๆ โดยเฉพาะ Gen AI (ChatGPT, Gemini, Claude-3 ฯลฯ) ซึ่งคงจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

วิจัยพบคนไทยใช้ Food Delivery น้อยลง เพราะราคาแพง อาหารไม่ตรงปก

 
ศูนย์วิจัยกสิกรคาดตลาดเดลิเวอรี่ Food Delivery หดตัวปีนี้ คนเปลี่ยนพฤติกรรม ซ้ำปัญหาแก้ไม่ตก ราคาแพง อาหารไม่ตรงปก แนะแพลตฟอร์มมัดใจ Gen Z รักษาลูกค้าด้วยการเพิ่มคุณภาพและใช้เทคโนโลยีมาช่วย
 
 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยบทวิเคราะห์ตลาด Food Delivery มองว่า ในปี 2566 มูลค่าตลาด Food Delivery น่าจะอยู่ที่ประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 0.6% จากปี 2565 ขณะที่ปริมาณการสั่งอาหารน่าจะหดตัวลง 11.3% จากปี 2565 โดยกลุ่มตัวอย่าง 44% ยังมีการสั่งอาหาร แต่ความถี่ในการสั่งลดลง เนื่องจากปรับเปลี่ยนมานั่งทานนอกบ้าน ซื้ออาหารกลับไปทานหรือทำเองที่บ้านมากขึ้น รวมถึงไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการสั่งอาหาร แต่กลุ่มตัวอย่างในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันก็มองว่าน่าจะใช้เท่าเดิม (42%) ขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่มองว่าไม่ใช้บริการเลย คิดเป็น 8% และใช้งานมากขึ้นคิดเป็น 6%
 
 

ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจากการสั่งอาหารมีผลทำให้กลุ่มตัวอย่างสั่งลดลงหรือหลีกเลี่ยงการสั่งอาหารในระยะข้างหน้า อาทิ ค่าใช้จ่ายในการสั่งอาหารปรับตัวสูงขึ้น ทั้งราคาอาหารและค่าขนส่ง รวมไปถึงประเด็นเฉพาะที่เกิดจากการสั่งอาหาร เช่น ปัญหาอาหารที่สั่งแล้วไม่ตรงปกจากร้านอาหาร ปริมาณอาหารที่ได้รับรู้สึกไม่คุ้มกับค่าเงินที่เสียไป ปัญหาความล่าช้าในการส่งอาหาร ปัญหาความผิดพลาดและอาหารเสียหาย ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ส่ง

 

 

นอกจากนี้หากค่าใช้จ่ายในการสั่งอาหารไม่ว่าจะเป็นราคาอาหาร หรือค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้นก็มีผลต่อการใช้บริการสั่งอาหารจัดส่งยังที่พักเช่นกัน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกิดข้ึนสะสมมานาน ผู้ให้บริการแพลตฟอรม์ออนไลน์คงต้องทำงานร่วมกับผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่ของธุรกิจ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ใช้บริการ

 

ศูนย์วิจัยกสิกรยังเผยว่าผู้ใช้งานแอป Food Delivery ส่วนใหญ่เป็น กลุ่ม Gen Y (58%) รองลงมาเป็นกลุ่ม Gen X (28%) ซึ่งเป็นกลุ่มในวัยทำงานที่มีกำลังซื้อ และส่วนใหญ่ใช้งานมากกว่า 1 แอปขึ้นไป เพื่อเปรียบเทียบราคา ตามโปรโมชั่นหรือสิทธิพิเศษ 

 

ขณะที่กลุ่มผู้บริโภค New generation หรือ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาและวัยเริ่มทำงาน แม้จากผลสำรวจสะท้อนว่ามีสัดส่วนผู้ใช้งานน้อยกว่าแต่กลับพบว่ามีค่าเฉลี่ยความถี่ในการใช้งานสูงกว่ากลุ่มอื่น สะท้อนถึงพฤติกรรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ซึ่งผู้ให้บริการแพลตฟอร์มฯ น่าจะให้ความสำคัญในการกระตุ้นตลาดในกลุ่มนี้มากขึ้น

 

โดยกลุ่มตัวอย่างต้องการให้แพลตฟอร์มฯ นำเสนอบริการที่ครอบคลุมความต้องการ ในชีวิตประจำวัน และสามารถตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายได้ในแอปพลิเคชั้่นเดียว ควรมีร้านอาหารที่มีคุณภาพและทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค รวมถึงมีระบบการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน และสามารถนำเสนอร้านอาหาร/โปรโมชั่นได้ตรงความต้องการมากที่สุด

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้น และพฤติกรรมของผู้ใช้บริการที่มีความหลากหลาย ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจัดส่งอาหารจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้มีความเฉพาะมากข้ึน เช่น การใช้ฐานข้อมูลของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มฯ ร่วมกับพันธมิตรร้านอาหาร ทำการตลาดเจาะกลุ่มตามไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้ใช้บริการที่แตกต่างกัน

 

แพลตฟอร์มจัดส่งอาหารคงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการและตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มที่ย่อยลงไปอีก (Sub- Segment)  เช่น ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอ Customized loyalty program หรือโปรโมชั่นที่ดึงดูด เพื่อรักษายอดการใช้บริการของกลุ่ม Gen Y-X และเพิ่มรายได้จากลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ อย่าง Gen Z ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News