Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ย้อนรอยตำนานสุมนมาลาการ สู่พิธีตักบาตรดอกไม้เมืองหนาวและมรดกศิลป์ 9 ราชรถบุษบกเมืองเชียงราย

พลังศรัทธางานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 22 ชูพิธีตักบาตรดอกไม้และราชรถบุษบกขับเคลื่อนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงราย, 30 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางสายลมหนาวปลายปีและทิวดอกไม้เมืองหนาวนับล้านดอกที่ผลิบานริมฝั่งแม่น้ำกก “งานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 22” มิได้เป็นเพียงเทศกาลท่องเที่ยวถ่ายภาพยอดนิยม หากยังกลายเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนพลังศรัทธาทางพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับความวิจิตรของศิลปกรรมล้านนา ผ่าน “พิธีตักบาตรดอกไม้หนึ่งเดียวในล้านนา” และ “ขบวน 9 ราชรถบุษบก” ที่หลายฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า คือมรดกทางวัฒนธรรมและศิลป์ร่วมสมัยอันทรงคุณค่า ที่มีศักยภาพจะต่อยอดเป็นซอฟต์พาวเวอร์ระดับนานาชาติในอนาคตอันใกล้

พิธีใหญ่ดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ณ สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย สถานที่จัดงานหลักของเทศกาล โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษาเทศบาลนครเชียงราย คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เข้าร่วมอย่างเนืองแน่น บริเวณลานหาดทรายริมแม่น้ำกกจึงกลายเป็น “ลานบุญ” ที่เชื่อมประเพณีดั้งเดิมกับภาพลักษณ์ใหม่ของเมืองแห่งศิลปะและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างกลมกลืน

จากตำนาน “นายสุมนมาลาการ” สู่พิธีตักบาตรดอกไม้เมืองหนาว รากเหง้าศรัทธาที่ถูกตีความใหม่ในแบบเชียงราย

พิธีตักบาตรดอกไม้ของชาวเชียงรายในวันนี้ มิได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา หากสืบเนื่องจากคติความเชื่อในพระพุทธศาสนาเรื่อง “นายสุมนมาลาการ” มาลาการผู้ดูแลดอกไม้หลวงซึ่งมีศรัทธาแรงกล้า ยอมสละชีวิตตนเองเพื่อถวายดอกมะลิที่เตรียมไว้สำหรับพระราชา นำไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทน ตำนานดังกล่าวถูกยกย่องว่าเป็นตัวอย่างของการบูชาด้วยศรัทธาอันบริสุทธิ์ ไร้เงื่อนไขทางโลก

เชียงรายเลือกที่จะหยิบยืม “หัวใจ” ของตำนานมาสร้างพิธีกรรมใหม่ ให้สอดรับกับบริบทพื้นที่และฤดูกาล ดอกมะลิในตำนานจึงถูกแปลงเป็น “ดอกไม้เมืองหนาว” หลากสีสันที่กำลังบานเต็มที่ในช่วงเทศกาลปลายปี ไม่ว่าจะเป็นดอกทิวลิป เบญจมาศ ซัลเวีย หรือดอกไม้ประดับเมืองหนาวพันธุ์ต่าง ๆ ที่เทศบาลนครเชียงรายปลูกประดับอย่างประณีตทั่วพื้นที่จัดงาน

ดอกไม้เหล่านี้จึงไม่ได้มีความหมายเพียงความสวยงามเพื่อการท่องเที่ยว แต่ถูกยกระดับให้เป็น “ดอกไม้บุญ” ที่ประชาชนและนักท่องเที่ยวจัดเตรียมมาเพื่อตักบาตร ถวายเป็นพุทธบูชา และร้อยรัดความศรัทธาของผู้คนต่างรุ่นวัยเข้าด้วยกัน

พิธีเช้าวันหนาว พระเถรานุเถระ 94 รูป และขบวนศรัทธาริมแม่น้ำกก

ในพิธีวันที่ 28 ธันวาคม 2568 เทศบาลนครเชียงรายได้รับความเมตตาจากพระเถรานุเถระและพระผู้ใหญ่ในจังหวัดเชียงราย นำโดย พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย (เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน) พระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย วัดพระแก้วพระอารามหลวง พระครูขันติพลาธร รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย (เจ้าอาวาสวัดฝั่งหมิ่น) พระไพศาลประชาทร วิ. (พระอาจารย์พบโชค ติสฺสวํโส เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง) พระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตโต เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ) พระครูสุธีวรกิจ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย วัดพระสิงห์ พระครูบาชัยยาปัถพี จากสถานธรรมดอยดวงแก้วสัพพัญญู (อำเภอเวียงป่าเป้า) พร้อมด้วยพระสงฆ์และสามเณรรวมทั้งสิ้น 94 รูป เดินเรียงแถวเป็นขบวนรับบาตรท่ามกลางความสงบสำรวม

ประชาชนจำนวนมากต่างพร้อมใจกันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสุภาพ บางส่วนสวมชุดพื้นเมือง ผ้าซิ่นลายล้านนา ถือพานดอกไม้เมืองหนาวหลากสีในมือ เพื่อตักบาตรดอกไม้แทนข้าวสารอาหารแห้ง บรรยากาศเช้าวันนั้นจึงมิใช่เพียงพิธีกรรมทางศาสนา หากยังเป็น “ฉากชีวิต” ที่สะท้อนสายใยระหว่างวัด ชุมชน และเมืองท่องเที่ยวได้อย่างชัดเจน

พิธีตักบาตรดอกไม้ดังกล่าวจัดขึ้นอย่างเป็นระบบ ภายใต้แนวคิด “ศรัทธาที่งดงามและเป็นระเบียบ” โดยเทศบาลนครเชียงรายจัดเตรียมพื้นที่ ตลอดจนจุดอำนวยความสะดวกด้านการจราจรและความปลอดภัย เพื่อรองรับทั้งชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมทำบุญส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ในบรรยากาศเมืองดอกไม้

หัวใจของขบวน 9 ราชรถบุษบก มรดกศิลป์หนึ่งเดียวในล้านนาที่สร้างกว่า 20 ปี

สิ่งที่ทำให้พิธีในเชียงรายแตกต่างจากพื้นที่อื่นอย่างเด่นชัด คือ “ราชรถบุษบก 9 คัน” ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “หนึ่งเดียวในล้านนา” ทั้งในแง่จำนวน ความวิจิตร และความหมายเชิงสัญลักษณ์

ราชรถทั้ง 9 คันนี้ ใช้สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์ศิลปะเชียงแสน ซึ่งบรรพชนได้สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคต้นของอาณาจักรล้านนา และถือเป็นมรดกทางศิลปกรรมที่ทรงคุณค่ายิ่ง ขบวนราชรถได้รับการออกแบบและสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่างเทศบาลนครเชียงรายกับศิลปินล้านนาหลายรุ่น ใช้ระยะเวลาพัฒนารวมกันยาวนานกว่า 20 ปี

ราชรถแต่ละคันถูกออกแบบให้สะท้อนอัตลักษณ์ของ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน อาทิ ลวดลายศิลปะเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน พะเยา และแม่ฮ่องสอน โดยมีศิลปินชื่อดังระดับชาติและระดับล้านนาเข้ามามีบทบาทในการออกแบบเชิงแนวคิดและรายละเอียดเชิงช่าง เช่น แนวทางการใช้ลวดลายเทวดาปูนปั้น ศิลปะแบบไทใหญ่ และองค์ประกอบลายคำแบบล้านนาโบราณ

แหล่งข่าวจากเทศบาลนครเชียงราย เล่าถึงเบื้องหลังของโครงการนี้ว่า
“เราใช้เวลาเกือบ 10 ปี ในการสร้างราชรถแต่ละคันให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้ขบวนนี้เป็นมากกว่าการแห่พระ แต่คือการรวบรวมลมหายใจของช่างศิลป์ล้านนามาประดิษฐานไว้ในที่เดียว”

คำกล่าวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ราชรถบุษบกไม่ได้เป็นเพียงองค์ประกอบของพิธีกรรม แต่ถูกออกแบบให้เป็น “พิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่” ที่แสดงพัฒนาการและความหลากหลายของศิลปกรรมล้านนาในช่วงเวลาร่วมสมัย ภายใต้รูปแบบที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้จริงในพื้นที่สาธารณะ

มุมมองเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม จากพิธีบุญสู่กลไกขับเคลื่อนเมืองท่องเที่ยวเชียงราย

หากมองจากมิติทางเศรษฐกิจ งานเชียงรายดอกไม้งามและพิธีตักบาตรดอกไม้–แห่ 9 ราชรถบุษบก มิได้เป็นเพียงกิจกรรมเชิงศาสนาหรือวัฒนธรรม หากยังเป็น “สินทรัพย์เชิงวัฒนธรรม” ที่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์และรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอย่างเป็นระบบ

จากข้อมูลสถิตินักท่องเที่ยวในปี 2567 ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเยือนมากกว่า 6.1 ล้านคน สร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 37,000 ล้านบาท ทำให้เชียงรายกลายเป็นหนึ่งในจังหวัดหลักของภาคเหนือด้านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ไม่เพียงพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างภูชี้ฟ้า ดอยแม่สลอง หรือดอยตุง เท่านั้น แต่ยังต่อยอดจุดแข็งด้านศิลปวัฒนธรรมและงานเทศกาลให้เป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่

พิธีตักบาตรดอกไม้และการแสดงขบวนราชรถบุษบกในวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งจัดขึ้นก่อนคืนเคาท์ดาวน์ ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่ล่วงหน้า ช่วยกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการในเขตเทศบาลนครเชียงราย ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ผู้ประกอบการรถรับส่ง และธุรกิจบริการในย่านเมืองเก่า ข้อมูลจากผู้จัดงานระบุว่า ในช่วงวันดังกล่าว มียอดจองที่พักในเขตเมืองเชียงรายเต็มเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ สะท้อนความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่าง “ศรัทธา–ศิลปะ–เศรษฐกิจ” ของเมืองได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ การมีขบวนราชรถบุษบกที่ออกแบบอย่างงดงาม ยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางภาพลักษณ์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ภาพนิ่งและวิดีโอของพิธีแห่พระและการตักบาตรดอกไม้ ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก ช่วยให้เชียงรายถูกจดจำไม่ใช่แค่ “เมืองชายแดน” หรือ “เมืองกาแฟ” แต่ยังเป็น “เมืองมงคลแห่งศิลปวัฒนธรรม” ที่สามารถนำเสนอเรื่องราวได้หลากมิติ

ทำอย่างไรให้ประเพณีไม่ถูกทิ้งไว้แค่ในภาพถ่าย

แม้งานประเพณีจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว แต่คำถามสำคัญที่ผู้จัดงานและชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญอยู่เสมอ คือ “จะทำอย่างไรให้ประเพณียังคงมีชีวิต และไม่กลายเป็นเพียงฉากประกอบการท่องเที่ยว?”

ในมุมนี้ งานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 22 พยายามออกแบบพิธีกรรมและกิจกรรมควบคู่กันไปอย่างมียุทธศาสตร์ โดยเปิดพื้นที่ให้เยาวชน นักเรียน นักศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในหลายมิติ ทั้งในฐานะอาสาสมัครประสานงาน ผู้ร่วมขบวนถือดอกไม้ตักบาตร รวมถึงกลุ่มเยาวชนศิลปินที่มีโอกาสเรียนรู้จากช่างฝีมือล้านนาในการบูรณะและดูแลราชรถบุษบก

ภาพเยาวชนที่ยืนเรียงแถวถือดอกไม้หลากสีเคียงข้างผู้สูงอายุในพิธีตักบาตร จึงสะท้อนมากกว่าความสวยงาม หากยังเป็นสัญญาณของ “การส่งต่อมรดก” จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งในระดับโครงสร้างของชุมชน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวถึงหัวใจของการจัดงานในปีนี้ว่า
“ความงดงามของดอกไม้เป็นเพียงเปลือกนอก แต่เนื้อในที่แท้จริงของงานเชียงรายดอกไม้งามคือศรัทธาและภูมิปัญญา ราชรถบุษบกทั้ง 9 คันนี้คือตัวแทนความภาคภูมิใจที่เราต้องการส่งมอบให้ลูกหลาน เพื่อให้เขาเห็นว่าศิลปะล้านนาสามารถสร้างมูลค่าและคุณค่าให้กับบ้านเกิดได้จริง”

คำกล่าวนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของเมืองที่ไม่ได้มองงานประเพณีเป็นเพียงกิจกรรมประจำปี แต่เห็นว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรม” ซึ่งต้องได้รับการดูแล บริหารจัดการ และต่อยอดไม่ต่างจากโครงสร้างพื้นฐานด้านถนนหนทางหรือระบบคมนาคม

ก้าวต่อไป แห่พระแวดเวียงเจียงฮาย สานต่อบรรยากาศบุญรับปีใหม่ 2569

สำหรับผู้ที่พลาดเข้าร่วมพิธีตักบาตรดอกไม้ในวันที่ 28 ธันวาคม เทศบาลนครเชียงรายยังได้จัดพิธี “แห่พระแวดเวียงเจียงฮาย” ในวันที่ 1 มกราคม 2569 ต่อเนื่อง โดยจะอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานบนราชรถบุษบกทั้ง 9 คัน ออกจากพื้นที่สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย แห่ไปรอบเขตเมือง เพื่อให้ประชาชนได้สักการะและประกอบพิธีทางศาสนา เป็นสิริมงคลรับศักราชใหม่

ขบวนแห่ดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างพื้นที่จัดงานดอกไม้งามกับย่านเมืองเก่าเชียงราย ช่วยกระจายจำนวนนักท่องเที่ยวสู่ถนนสายประวัติศาสตร์ ย่านวัดสำคัญ และย่านเศรษฐกิจในเมือง ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย ร้านอาหารพื้นเมือง และธุรกิจชุมชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากเทศกาลในวงกว้างยิ่งขึ้น

ศิลปะ–ศรัทธา–เศรษฐกิจ สามเสาหลักของ “เมืองดอกไม้มงคล” แห่งล้านนาเหนือ

หากพิจารณาอย่างรอบด้าน พิธีตักบาตรดอกไม้และขบวน 9 ราชรถบุษบกในงานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 22 มิได้เป็นเพียง “ภาพจำสวยงาม” ของเทศกาลปลายปี หากคือภาพสะท้อนการผสานกันของสามปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. ศรัทธาทางพระพุทธศาสนา ที่หยิบยืมตำนานนายสุมนมาลาการมาปรับใช้ในบริบทเมืองดอกไม้
  2. ศิลปะและภูมิปัญญาล้านนา ที่ถูกรวบรวมและถ่ายทอดผ่านราชรถบุษบก 9 คัน อันเป็นมรดกศิลป์ร่วมสมัยที่ยังมีลมหายใจ
  3. เศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่ช่วยสร้างรายได้และงานให้กับคนในชุมชนอย่างจับต้องได้จริง

เมื่อทั้งสามเสาหลักยืนอยู่บนฐานการบริหารจัดการเมืองที่มองไกลกว่าการจัดงานปีต่อปี เชียงรายจึงมิได้เป็นเพียง “เมืองผ่าน” หากกำลังกลายเป็น “เมืองปลายทาง” ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อสัมผัสทั้งธรรมชาติ ศิลปะ ศรัทธา และวิถีชีวิตของผู้คนอย่างลึกซึ้ง

ในวันที่แสงสุดท้ายของปีเก่าค่อย ๆ ลาลับริมฝั่งแม่น้ำกก เสียงระฆังจากวัดวาอารามในเมืองเชียงรายอาจดังผสานกับเสียงดนตรีจากเวทีเคาท์ดาวน์ แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น “ดอกไม้ในบาตร” และ “ราชรถบุษบก 9 คัน” ยังคงยืนอยู่เป็นสัญลักษณ์เตือนใจว่า เมืองนี้มิได้เติบโตด้วยเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากยังยืนอยู่บนรากเหง้าศรัทธาและภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
CULTURE

“พระเจ้าตอง” คืนสู่ ‘พะเยา’ หลังสูญหายกว่า 36 ปี

“พระเจ้าตอง” โบราณวัตถุสำคัญของไทย กลับคืนสู่พะเยาหลังสูญหายกว่า 36 ปี

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 นางสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีรับมอบ “พระเจ้าตอง” พระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดพะเยา ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เข้าร่วมงาน

“พระเจ้าตอง” หรือ “หลวงพ่อลอ” เป็นพระพุทธรูปศิลปะล้านนาอันทรงคุณค่า หล่อด้วยสัมฤทธิ์ ตักกว้าง 78 เซนติเมตร สูง 110 เซนติเมตร มีอิทธิพลศิลปะสุโขทัยผสมผสาน เดิมประดิษฐานที่วัดศรีปิงเมือง บ้านเวียงลอ ตำบลลอ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา พระพุทธรูปองค์นี้สูญหายไปตั้งแต่ปลายปี 2531 หลังถูกโจรกรรม โดยมีการตัดฐานองค์พระ และไม่มีเบาะแสอีกเลย จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2567 กรมศิลปากรได้รับแจ้งจากนายวิสุทธิ์ ว่าพบพระพุทธรูปที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระเจ้าตองปรากฏในสถานประมูลโบราณวัตถุในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

กรมศิลปากรจึงประสานงานกับผู้ครอบครองและสถานประมูล จนนำพระพุทธรูปองค์นี้กลับคืนสู่ประเทศไทยในวันที่ 24 ตุลาคม 2567 หลังจากการตรวจพิสูจน์โดยใช้หลักฐานภาพถ่ายและข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2528 พบว่าลักษณะศิลปะ ชายสังฆาฏิ และตำหนิต่าง ๆ ตรงกับพระเจ้าตองดั้งเดิม จึงสามารถยืนยันได้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้คือพระเจ้าตอง

นางสุดาวรรณกล่าวว่า การนำพระเจ้าตองกลับมาสู่แหล่งกำเนิดในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยพระเจ้าตองจะถูกอัญเชิญกลับไปประดิษฐาน ณ วัดศรีปิงเมือง จังหวัดพะเยา เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและศักดิ์สิทธิ์ของชาวพะเยา

ชายสังฆาฏิ ลวดลายเอกลักษณ์ของพระเจ้าตอง

นายพนมบุตร อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวว่า การตรวจพิสูจน์พบลักษณะเฉพาะตัวของพระเจ้าตอง เช่น ร่องรอยสีแดงเดิมบริเวณริมฝีปากและนัยน์ตา ตำหนิที่หน้าผาก และลวดลายชายสังฆาฏิ ซึ่งตรงกับบันทึกเดิมของฝ่ายทะเบียน กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

การติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างแดน

ปัจจุบันยังมีโบราณวัตถุอีกกว่า 130 ชิ้นที่อยู่ในแผนการติดตามกลับคืน โดยภาคเอกชนได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยประสานงาน การนำพระเจ้าตองกลับสู่ประเทศไทยจึงเป็นความสำเร็จที่สร้างความหวังให้กับการดำเนินงานในอนาคต

ประชาชนสามารถเข้าสักการะพระเจ้าตองได้ที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ก่อนจะถูกอัญเชิญกลับไปยังจังหวัดพะเยา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE