Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไม้ดอกอาเซียนเชียงราย อบจ. ดันธีม “สายนทีแห่งศรัทธา” ยกระดับเป็นศูนย์กลาง Creative Tourism ล้านนา

มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 “สายนทีแห่งศรัทธา ธ สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์” ยกระดับงานดอกไม้สู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของล้านนา

เชียงราย, 18 พฤศจิกายน 2568 — เวทีแถลงข่าวที่บอกเล่าความพร้อมของทั้งเมือง บนเวทีอาคารคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) บรรยากาศของการแถลงข่าว “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย Chiang Rai Flower and Art Festival 2025” เริ่มต้นด้วยถ้อยคำเชิญชวนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เชียงรายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง ภายใต้แนวคิดใหญ่ “สายนทีแห่งศรัทธา ธ สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์” ที่ตีความดอกไม้ ศิลปะ วัฒนธรรม และความจงรักภักดีให้กลายเป็นประสบการณ์ร่วมสมัยของทั้งชาวเชียงรายและผู้มาเยือน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำทีมผู้แทนหน่วยงานหลักด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของจังหวัด ได้แก่ นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย, นางสาวยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานเชียงราย และนายภาคภูมิ ผลพิสิษฐ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ขึ้นเวทีสนทนาเพื่ออธิบาย “ภาพใหญ่” ของงานปีนี้และผลเชื่อมโยงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น กิจกรรมหลักถูกประกาศอย่างชัดเจนว่า จัดระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569สวนไม้งามริมน้ำกก พร้อม “กระจายความศรัทธา” สู่ โซนอำเภอเวียงชัย (สวนสาธารณะหนองหลวง) และ โซนอำเภอแม่สาย (วัดถ้ำเสาหินพญานาค) เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว รายได้ และโอกาสทางเศรษฐกิจตลอดทั้งเทศกาลปลายปี

การวางพล็อตงานปีนี้ยังคงความเป็น “เทศกาลชูตัวตนเชียงราย” ที่เน้น ศิลปะ (Art), การออกแบบ (Design), วิถีวัฒนธรรมล้านนาและชาติพันธุ์ (Culture & Ethnic), และ ธรรมชาติ (Nature) ผสาน “นวัตกรรมแสงสีสื่อผสาน” ให้สวนดอกไม้ 4 ฤดูกาล Summer, Rainy, Winter, Spring เป็นทั้งพื้นที่เรียนรู้ พักผ่อน และถ่ายภาพที่มี “ความหมาย” มากกว่าความสวยงาม

สารหลัก ของงานปีนี้ คือ ความทรงจำร่วม” ที่ให้ผู้เข้าชมเดินทางผ่าน “แสงสะท้อนแห่งฤดูกาล” เห็นความหวัง ความอุดมสมบูรณ์ ความเงียบสงบ และการฟื้นคืนชีพ ก่อนกลับออกมาด้วยความอิ่มเอมใจ คลี่คลายความคิด และอยากย้อนคืนอีกครั้งในปีถัดไป

เหตุผลและบริบท ทำไม “เชียงราย” และทำไม “ตอนนี้” เมืองแห่งศิลปะและการออกแบบ ขยายภาพสู่ระดับโลก

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เชียงรายถูกผลักดันสู่ภาพจำใหม่ของ “เมืองศิลปะและการออกแบบ” อย่างจริงจัง ฐานทุนสำคัญคือชุมชนศิลปินร่วมสมัย แหล่งท่องเที่ยวทางศิลปะระดับชาติ (เช่น วัดร่องขุ่น บ้านดำ วัดร่องเสือเต้น ฯลฯ) และ “ดีเอ็นเอล้านนา” ที่กลั่นออกมาเป็นสถาปัตยกรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่น เสริมให้เชียงรายมีกรอบเรื่องเล่าที่ชัดเจนต่อโลกของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

นัยสำคัญอีกประการคือ เชียงรายได้รับการประกาศในเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network) ด้านการออกแบบในปี 2566 ตามรายชื่อเมืองใหม่ที่ประกาศเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งได้รับการเผยแพร่โดยยูเนสโกและสื่อไทยหลายสำนักในห้วงเวลาเดียวกัน ความเคลื่อนไหวนี้เป็นเสมือน “ตราประทับ” ยืนยันจุดยืนทางกลยุทธ์ให้เชียงรายเดินหน้าใช้ Design Economy และ Creative Tourism เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนระยะยาว

ความต่อเนื่องของเทศกาลและพัฒนาการแบบ “ยกมาตรฐาน”

งานดอกไม้เชียงรายมิใช่อีเวนต์เกิดใหม่ หากแต่สะสมความนิยมมาหลายปี ปีก่อนหน้า (2567–2568) ก็จัดในช่วงกลางธันวาคมต่อเนื่องถึงต้นมกราคม แนวคิดการจัด 4 โซน/4 ฤดูกาล และการใช้พื้นที่สวนไม้งามริมน้ำกกเป็นแกนกลางได้รับการยืนยันผ่านช่องทางสาธารณะหลายแห่งของจังหวัดและผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ การสานต่อความสำเร็จเดิมพร้อมยกระดับ การออกแบบแสงสี และ เทคโนโลยี Interactive ให้ “สวนดอกไม้ = นิทรรศการมีชีวิต” คือหัวใจของ 2025

เศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยกลับมา และภาคเหนือยังเติบโต

ภาพรวมระดับประเทศ ปี 2567–2568 คือห้วงเวลาที่การท่องเที่ยวไทยทยอยฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งจำนวนผู้มาเยือนและรายได้รวมด้านท่องเที่ยวของประเทศ โดยข้อมูลสถิติของ กรมการท่องเที่ยว สะท้อนการขยายตัวต่อเนื่องของตลาดต่างประเทศและแรงหนุนกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์/เทศกาลในภูมิภาค เป็นบริบทมหภาคที่เอื้อให้เทศกาลระดับจังหวัดสามารถขยายฐานผู้เข้าชมและรายได้หมุนเวียนได้จริง

 “เชื่อมเครือข่าย” อีเวนต์นานาชาติและ MICE

เชียงรายกำลังสถาปนาบทบาทเจ้าภาพการประชุม/เสวนานานาชาติด้านการตลาดปลายทางการท่องเที่ยว เช่น PATA Destination Marketing Forum 2025 ที่จังหวัดอยู่ระหว่างการประสานความร่วมมือกับภาคีท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (PATA) ซึ่งได้มีการสื่อสารเชิงนโยบายและการเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพผ่านช่องทางราชการของจังหวัดในปี 2568 ที่ผ่านมา เป็นสัญญาณของการ “ยกสเตจ” เชียงรายสู่เรดาร์โลกด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

เรื่องเล่าหลัก เมื่อ “สายนที” พาเดินผ่าน 4 ฤดูกาล

โครงเรื่องของงานปีนี้เปรียบ “สายน้ำ” เป็นผู้พาเราเดินทางจากฤดูสู่ฤดู จากความเรืองรองของ ฤดูร้อน (Summer) สู่ความอิ่มเอมและการเริ่มต้นใหม่ของ ฤดูฝน (Rainy) ข้ามสู่ความนิ่งสงบและความทรงจำของ ฤดูหนาว (Winter) และปลุกให้โลกรุ่งเรืองอีกครั้งด้วยการฟื้นคืนชีพใน ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) แต่ละฤดูไม่ได้แค่จัดวางพันธุ์ไม้เมืองหนาวให้ผลิบาน หากยังแทรก “งานออกแบบเชิงศิลป์” และ “เทคนิคแสง-เสียง/จอ LED/Interactive” เพื่อให้ผู้เข้าชม “มีปฏิสัมพันธ์” กับเรื่องเล่า

  • Summer — Reflection of Rainbow ซุ้มประตูศิลป์ “สายรุ้ง” เปิดม่านสู่อาณาบริเวณของแสงและความหวัง พื้นที่นี้จะเล่า พลังแห่งการเริ่มต้นใหม่ พร้อม ทุ่งทานตะวัน และผังสวนที่ “ไหล” เหมือนสายน้ำ
  • Rainy — Symphony of the Rain ฟัง “เสียงฝน” ในฐานะ ซิมโฟนีของชีวิตเล็กๆ ที่ตื่นขึ้น การจัดแสงที่แปลงหยาดฝนให้เป็น “จังหวะ” สร้าง เกมแสง Interactive ที่ผู้ชมกลายเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลป์
  • Winter — Monuments of Memory ภูเขาแห่งฤดูหนาว บ้านหิมะ และความนิ่งสงบ ซึ่งเป็นพื้นที่ให้ ย้อนคิด เกี่ยวกับ “ความจำเป็นของการหยุดพัก” ท่ามกลางเทศกาล
  • Spring — Bloom of Light จุดประกายด้วยกิจกรรมเชิงการเรียนรู้ เช่น ระบายสีเมล็ดดอกไม้/เส้นทางผีเสื้อ เพื่อสื่อสาร การดูแล-การฟื้นคืนชีวิต ที่ “มนุษย์” มีบทบาทร่วม

เนื้อหาเชิงสัญลักษณ์แฝงประเด็น ศรัทธาและความจงรักภักดี” ผ่านนิทรรศการพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้ผู้เข้าชม น้อมรำลึก ในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมกิจกรรมวัฒนธรรมชาติพันธุ์กว่า 17 กลุ่ม บน “ข่วงวัฒนธรรม” ซึ่งจะมีทั้งการแสดง การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ถนนคนเดิน อาหารพื้นถิ่น และ โซน Food Truck ริมน้ำกก ทั้งหมดนี้ทำให้ “การชมดอกไม้” กลายเป็น ประสบการณ์ปลายปีแบบเชียงราย ที่ครบทั้ง ดู-ชิม-ฟัง-สัมผัส-เรียนรู้

เศรษฐกิจท้องถิ่น ตัวคูณรายได้ที่จับต้องได้

สิ่งที่น่าสนใจในเวทีแถลงข่าว คือการพูดคุยเชิงตัวเลขของภาคเศรษฐกิจเชียงราย โดยผู้แทนหอการค้าระบุภาพรวมว่า โครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยภาคบริการและการท่องเที่ยวมากกว่าร้อยละ 60 สะท้อนบทบาท “หัวรถจักร” ของเศรษฐกิจท่องเที่ยวในจังหวัด และชี้ให้เห็นว่าการลงทุนกับ “เทศกาลคุณภาพ” มีความคุ้มค่าในเชิงผลกระทบกว้าง

จากประสบการณ์ปีก่อนหน้า ทีมผู้จัดให้ข้อมูลว่าพื้นที่ ริมกก ต้อนรับผู้เข้าชมรวม กว่า 700,000 คน ในช่วงกว่า 20 วันของการจัดงาน และผู้ค้าจำนวนมากมีรายได้ หลักหมื่นบาทต่อวัน นี่คือ “หลักฐานภาคสนาม” ว่าการจัดเทศกาลที่ออกแบบดี เชื่อมโยง ศิลปะ-วัฒนธรรม-อาหาร-ชุมชน-การค้า สามารถสร้าง วงจรรายได้ท้องถิ่น ที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงความสวยริมภาพถ่าย

ในปี 2025 นี้ ออกแบบการกระจายพื้นที่จัดงานสู่ อำเภอเวียงชัย (หนองหลวง) และ อำเภอแม่สาย (วัดถ้ำเสาหินพญานาค) เพื่อให้เกิด การกระจายตัวของนักท่องเที่ยว และลดความแออัดในพื้นที่หลัก ขณะเดียวกันก็เพิ่ม จุดผลักดันเศรษฐกิจ ให้ร้านอาหาร ร้านกาแฟ โฮมสเตย์ ที่พัก และผู้ประกอบการท้องถิ่นในวงกว้างมีโอกาสรับรายได้จากเทศกาล

“3 อีเวนต์ใหญ่” ขับเคลื่อนภาพเมืองในสัปดาห์เดียวกัน

เพื่อยกระดับ “แรงดึงดูด” และ ยืดระยะพำนัก (Length of Stay) จังหวัดและ อบจ.เชียงราย เสริม สามอีเวนต์ขนาน ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2568 ได้แก่

  1. การแข่งขันฟุตบอลอาวุโส อบจ.คัพ ชิงแชมป์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2568 ถ้วยพระราชทาน จัด 12–17 ธันวาคม 2568 (พิธีเปิด 17 ธันวาคม ณ สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย)
  2. การประชุมทางวิชาการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หัวข้อ “พลังขับเคลื่อนสู่บริการสาธารณะที่ดี และมีคุณธรรม” 17–19 ธันวาคม 2568 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  3. ต่อเนื่องด้วย มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 ณ สวนไม้งามริมน้ำกก และสองโซนภาคขยาย

การ “ผูกชุด” อีเวนต์เช่นนี้ทำให้เกิด จุดพีกของการเดินทาง ในสัปดาห์กลางเดือนธันวาคม นักท่องเที่ยวต่างจังหวัดและผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วประเทศมีเหตุผลในการ “อยู่ต่ออีก 2–3 คืน” เพื่อชมดอกไม้และท่องเที่ยวรอบเมือง ส่งผลเชิงบวกต่อ อัตราการเข้าพัก (Occupancy) และ รายได้เฉลี่ยต่อทริป ของผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และบริการท่องเที่ยว

เชื่อมทิศทางนโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”

ผู้จัดวางกรอบยุทธศาสตร์ “7 เรือธง” ของ อบจ.เชียงราย ไว้ชัดเจน งานดอกไม้ปีนี้จึงไม่ใช่ “กิจกรรมเฉพาะกิจ” หากแต่เป็น เครื่องมือบรรลุเป้าหมาย ต่อไปนี้

  • กระจายรายได้ สู่ทุกอำเภอ ผ่านการทำ “โซนภาคขยาย” และเนื้อหาเฉพาะพื้นที่
  • ต่อยอดทุนวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ ให้คนท้องถิ่นเป็น “เจ้าภาพ” และ “ผู้แสดง” แท้จริง
  • รักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ด้วยการจัดการพื้นที่สีเขียว หนองน้ำ และการนำวัสดุธรรมชาติมาเพิ่มมูลค่า (เช่น การจัดการผักตบชวา ณ หนองหลวง เพื่อเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของชุมชน)
  • ยกระดับคุณภาพประสบการณ์ ให้เชียงรายเป็น “เมืองปลายทาง” ที่นักท่องเที่ยวตั้งใจมา ไม่ใช่แค่ “ทางผ่าน”

เสียงสะท้อนบนเวที ประเด็นเด่น ประเด็นรอง ที่สังคมควรรับรู้

ประเด็นเด่น (Highlights)

  • เรื่องเล่าแบบ 4 ฤดูกาล จากความหวัง (Summer) สู่การเริ่มต้นใหม่ (Rainy) ผ่านความทรงจำ (Winter) ไปยังการฟื้นคืนชีพ (Spring)
  • การออกแบบร่วมสมัย ใช้แสง สี เสียง จอ LED ขนาดใหญ่ และ Interactive Art ให้ “ผู้ชมมีส่วนร่วม”
  • วัฒนธรรมชาติพันธุ์ 17 ชาติพันธุ์ร่วมแสดง เรียนรู้ วิถีชีวิต และสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
  • เศรษฐกิจเชิงคุณภาพ กลไกเพิ่มรายได้ชุมชนแบบจับต้องได้ (จากประสบการณ์ปีก่อนและแบบจำลองปีนี้)
  • ความทรงจำร่วม นิทรรศการพระราชกรณียกิจ พื้นที่ของความจงรักภักดีและการน้อมรำลึก

ประเด็นรอง (แต่สำคัญ)

  • การกระจายตัวนักท่องเที่ยว ลดแออัด สร้างโอกาสรายได้ใหม่แก่พื้นที่นอกศูนย์กลาง
  • การเชื่อมโยงอีเวนต์ (ฟุตบอลอาวุโส-ประชุมวิชาการ-ดอกไม้) เพื่อยืดเวลาพำนัก
  • การสื่อสารการตลาดร่วมกับ ททท. ทั้งปฏิทินกิจกรรมและแคมเปญกระตุ้น เที่ยววันธรรมดา เพื่อบริหารโหลดการท่องเที่ยว (สอดคล้องพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ตัดสินใจสั้นลง)
  • การเชื่อมเวทีโลก (เช่น PATA DMF) เพื่อสร้างแบรนด์ “เชียงราย” ในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

วิเคราะห์ผลกระทบที่คาดหวัง จาก “ความสวยงาม” สู่ “ความคุ้มค่าทางสังคม-เศรษฐกิจ”

  1. รายได้กระจาย ธุรกิจฐานรากเติบโต
    ด้วยจำนวนวันจัดงาน ~3 สัปดาห์ครึ่ง หากเฉลี่ยผู้เข้าชมวันละหลายหมื่นคน (อิงประสบการณ์ปีก่อนที่รวมทะลุหลายแสนราย) จะเกิด วงจรจับจ่าย ครอบคลุมตั้งแต่ค่าเดินทาง ที่พัก อาหาร ร้านกาแฟ ของฝาก งานฝีมือ โฮมสเตย์ ไปจนถึงธุรกิจบริการรายย่อย การที่ภาครัฐท้องถิ่นจัด โซนเสริม ใน เวียงชัย และ แม่สาย ยังช่วยสร้าง จุดหมายรอง ที่ผู้มาเยือนยอม “ขยับออกนอกเมือง” เพื่อค้นพบประสบการณ์ใหม่ รายได้กระจายตัวมากขึ้น
  2. ภาพลักษณ์เมืองสร้างสรรค์ ดีต่อการลงทุนระยะยาว
    การเล่าเรื่องระดับ ศิลปะ-การออกแบบ ขับเน้นสถานะ Creative City ของเชียงรายที่ได้รับการกล่าวถึงในบริบท UNESCO Creative Cities Network (สาขาการออกแบบ) ตั้งแต่ปลายปี 2566 และถูกหยิบยกซ้ำบนเวทีนโยบายหลายครั้งในรอบปีที่ผ่านมา สร้าง ความเชื่อมั่น ให้เอกชน/พันธมิตรพร้อม “ร่วมลงทุน” กับเทศกาลและกิจกรรมต่อเนื่อง
  3. เสถียรภาพเชิงฤดูกาล เที่ยวได้ทั้งปี
    การจัดวาระกิจกรรมปลายปีเชื่อมกับช่วง “หนาวเหนือ” ช่วยตอกย้ำแคมเปญ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี โดย ปลายปี = ไฮซีซัน ดอกไม้และหมอกหนาว ช่วงอื่นของปีสามารถพัฒนา “ฤดูกาลเฉพาะทาง” เช่น คาเฟ่และสวนดอกไม้ดอยช้าง-วาวี (ฤดูฝน/ฤดูร้อน), เส้นทางกาแฟ-ชา (ทั้งปี), เทศกาลศิลปะร่วมสมัย (ฤดูฝน/ปลายฝน) ให้ กราฟรายได้ ของผู้ประกอบการไม่เหวี่ยงแรง
  4. สังคมและวัฒนธรรม ความภาคภูมิใจร่วม
    เมื่อชุมชนชาติพันธุ์ถูกยกขึ้นเป็น “เจ้าภาพร่วม” คนในพื้นที่มีบทบาททั้ง ผู้แสดง และ ผู้ประกอบการ เกิดการส่งต่อภูมิปัญญาอย่างมีรายได้และศักดิ์ศรี การจัดการพื้นที่สาธารณะ เช่น หนองหลวง ให้สะอาดและมีชีวิตด้วย น้ำพุดนตรี-งานประติมากรรม ยังสร้าง ความรู้สึกเป็นเจ้าของเมือง และความภูมิใจแก่ชาวบ้านโดยตรง

คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับนักท่องเที่ยวและสื่อ

  • วางแผนเส้นทางล่วงหน้า ปีนี้มี 3 โซน และ 3 อีเวนต์ใหญ่ ในช่วงไล่เลี่ยกัน แนะนำแบ่งวันชม โซนหลัก (ริมน้ำกก) 1 วันเต็ม และเผื่อเวลาอีก 1–2 วันสำหรับ เวียงชัย และ แม่สาย
  • เลือกวันธรรมดา หากต้องการเลี่ยงความหนาแน่น และมักได้ มุมถ่ายภาพโล่งกว่า
  • เส้นทางชิม-ช้อป อย่าพลาด ชา-กาแฟเชียงราย, อาหารชาติพันธุ์, และโซน OTOP/ถนนคนเดิน รอบงาน
  • มารยาทการชมงาน รักษาความสะอาด ไม่เหยียบแปลงดอกไม้ เคารพพื้นที่พิธีการ/นิทรรศการเชิงสถาบัน
  • ที่พัก ช่วงไฮซีซัน ห้องพักในเมืองอาจเต็มเร็วกว่าปกติ ลอง กระจายการพัก ไปอำเภอรอบนอก จะได้ประสบการณ์แตกต่างและช่วยเศรษฐกิจชุมชน

โครงสร้างการบริหารจัดการ สิ่งที่ผู้จัด “ทำถูกทาง”

  1. Design First, Tech-Enhanced ชัดเจนว่าปีนี้ให้ “การออกแบบประสบการณ์” เป็นแกน แล้วค่อยเสริมเทคโนโลยี (แสง-สี-เสียง-LED-Interactive) ให้เล่าเรื่องได้ทรงพลัง
  2. Place-Based Storytelling ใช้ ริมน้ำกก-หนองหลวง-วัดถ้ำเสาหินพญานาค เป็นเวทีเล่า “ความหมายของสายน้ำ-ธรรมชาติ-ศรัทธา”
  3. Distributed Tourism เปิด “วงจรรายได้” ให้กว้างขึ้น ด้วยการทำโซนภาคขยายในอำเภอรอง
  4. Event Bundling ผูกอีเวนต์กีฬา-วิชาการ-เทศกาล เพื่อยืดเวลาพำนักและเพิ่มค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป
  5. Cross-Agency Alliance ร้อยเครือข่ายกับ ททท., หน่วยงานจังหวัด, มหาวิทยาลัย, ภาคเอกชน และชุมชนชาติพันธุ์

เสียงบนเวที ถ้อยคำสำคัญที่ขับเคลื่อน

  • นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ (นายก อบจ.เชียงราย) ย้ำว่าเทศกาลนี้คือ สวนดอกไม้แห่งศิลปะ” ที่ผสาน นวัตกรรม และ ความจงรักภักดี เพื่อให้ผู้ชม “ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด” ตลอดเส้นทาง 4 ฤดูกาล
  • นายนิพนธ์ นิยม (หัวหน้าสำนักงานจังหวัด) ชี้ “ทุนศิลปะและการออกแบบ” ของเชียงรายที่ โดดเด่นระดับชาติ และบทบาทของแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลป์ที่เป็นหน้าเป็นตา
  • นางสาวยุรีพรรณ แสนใจยา (ผอ.ททท.เชียงราย) เปิดมุมการตลาด จะ ปักหมุด” จุดเที่ยว 4 ทิศ และ แคมเปญวันธรรมดา เพื่อกระจายนักท่องเที่ยว
  • นายภาคภูมิ ผลพิสิษฐ์ (ประธานหอการค้าจังหวัด) ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจเชียงราย พึ่งพาบริการ-ท่องเที่ยว เป็นสำคัญ จึงต้องมี อีเวนต์ระดับอินเตอร์ เพื่อขยายสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ

จากเวที “งานดอกไม้ที่ดี ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้อง ‘มีความหมาย’ และ ‘มีมูลค่า’ ทั้งต่อผู้ชมและต่อชุมชน”

เช็คพอยต์สำคัญของงาน 2025 (สรุปเชิงปฏิบัติ)

  • กำหนดการหลัก 18 ธ.ค. 2568 – 7 ม.ค. 2569 (สวนไม้งามริมน้ำกก)
  • โซนภาคขยาย เวียงชัย (หนองหลวง), แม่สาย (วัดถ้ำเสาหินพญานาค)
  • ธีม “สายนทีแห่งศรัทธา ธ สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์” + “แสงสะท้อนแห่งฤดูกาล (Reflex of Seasons)”
  • คอนเทนต์ 4 ฤดูกาล + นิทรรศการพระราชกรณียกิจ + ข่วงวัฒนธรรมชาติพันธุ์ 17 กลุ่ม + ถนนคนเดิน/OTOP/Food Truck + โซนชา-กาแฟ
  • อีเวนต์ขนาน ฟุตบอลอาวุโส อบจ.คัพ (12–17 ธ.ค.), ประชุมวิชาการ อปท. (17–19 ธ.ค.)
  • สารหลัก ศิลปะ × การออกแบบ × วัฒนธรรม × ความจงรักภักดี × เศรษฐกิจชุมชน

ข้อสังเกตเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้ “ดี” และ “ยั่งยืน”

  1. จัดการภาระการท่องเที่ยว (Overtourism) เชิงนำ
    วางระบบ จุดจอด–รถรับส่ง (Park & Ride) เพิ่มป้ายแนะนำเส้นทางรอบเมือง จัด สล็อตเวลา สำหรับการแสดงยอดนิยม เพื่อเฉลี่ยความหนาแน่น
  2. เศรษฐกิจหมุนเวียน
    สนับสนุน วัสดุทดแทน-รีไซเคิล ในงาน (เช่น การออกแบบฉาก/ทางเดินจากวัสดุท้องถิ่น), ระบบ คัดแยกขยะ, จูงใจร้านค้าใช้ ภาชนะย่อยสลายได้
  3. การเข้าถึงอย่างเท่าเทียม (Universal Design)
    พัฒนาทางลาด พื้นผิวเดินเรียบ ห้องน้ำทางเลือก ป้ายสองภาษา และ สื่อบรรยายเสียง/ภาษามือ สำหรับกิจกรรมหลัก สอดคล้องภาพลักษณ์เมืองออกแบบ
  4. การวัดผลแบบ Evidence-based
    เก็บข้อมูล จำนวนผู้เข้าชม, ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย, เวลาพำนัก, ความพึงพอใจ, รายได้ผู้ค้า และ เม็ดเงินหมุนเวียน เพื่อสื่อสาร “ผลคุ้มค่า” ต่อสาธารณะและผู้สนับสนุน

งานดอกไม้ที่เป็นมากกว่า “ดอกไม้”

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” เป็น “บทพิสูจน์” ว่าเชียงรายกำลังก้าวจาก ความงามเชิงทัศนียภาพ ไปสู่ ความงามเชิงความหมาย เรื่องเล่าที่เชื่อม ศิลปะ-ดีไซน์-วิถีชาติพันธุ์-สถาบัน-ธรรมชาติ-เศรษฐกิจชุมชน เข้าด้วยกันอย่างพอดิบพอดี ปีนี้งานถูก “วางองค์ประกอบ” ให้ เดินเพลิน และ คิดเพลิน ได้ในคราวเดียว ตั้งแต่ก้าวผ่าน “สายรุ้งแห่งฤดูร้อน” จนถึง “บลูมออฟไลท์” ที่บอกเราว่า การฟื้นคืนชีพของเมือง ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจากดอกไม้บาน แต่เกิดจาก ผู้คนบาน ไปพร้อมๆ กัน

และเมื่อม่านไฟปิดลงในคืนสุดท้ายของเทศกาล สิ่งที่เหลือในใจ ไม่ใช่แค่ภาพถ่าย หากคือความทรงจำร่วมว่า เชียงราย คือเมืองที่จัดการ ความสวย ให้กลายเป็น ความหมาย และจัดการ ความหมาย ให้กลายเป็น ความยั่งยืน ได้อย่างงดงาม

แหล่งข้อมูลประกอบการรายงาน (คัดสรร)

  • รายการเมืองใหม่ใน UNESCO Creative Cities Network (UCCN) ปี 2566 (ข่าวและบทความสรุปภาษาไทย)   ยืนยันว่าเชียงรายได้รับการประกาศเป็น “เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” ในปี 2566 (อัปเดตเชิงอ้างอิงจากยูเนสโกและสื่อไทยช่วงปลาย ต.ค. 2566)
  • ข่าวประชาสัมพันธ์จังหวัด/สื่อท้องถิ่น มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2024 วันที่จัด งาน 4 โซน แนวคิด และสถานที่ (เพื่อยืนยันความต่อเนื่องและรูปแบบกิจกรรมที่ยกมาตรฐานในปี 2025).
  • กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ข้อมูลสถิติท่องเที่ยวไทยปี 2567–2568 (ภาพรวมการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ/รายได้รวมของประเทศ บริบทมหภาคที่เอื้อให้เทศกาลระดับจังหวัดเติบโต)
  • จังหวัดเชียงราย (ช่องทางสื่อสารกับ PATA) สัญญาณความร่วมมือจัด PATA Destination Marketing Forum 2025 ที่เชียงราย สะท้อนบทบาทเมืองเจ้าภาพอีเวนต์นานาชาติที่ต่อเนื่อง.

ตัวเลขเชิงประสบการณ์ (เช่น ผู้เข้าชมรวมกว่า 700,000 คนในปีที่ผ่านมา, รายได้ผู้ค้าหลักหมื่นบาท/วัน) เป็น คำให้ข้อมูลบนเวทีแถลงข่าว ของผู้จัดงาน/ผู้บริหารท้องถิ่นในครั้งนี้ ซึ่งผู้สื่อข่าวตรวจสอบแล้วว่ามีความสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของเทศกาลในปีก่อน ๆ จากแหล่งข่าวภาคพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • หอการค้าจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
VIDEO

ย้อนรำลึก “สาวรำวงเชียงราย” วัฒนธรรมบันเทิงที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านสังคม

ภูมิปัญญาบันเทิงล้านนา ‘สาวรำวง’ บทสะท้อนวิถีชีวิตเชียงราย 30 ปี

“ครั้งหนึ่งของเมืองเรา” เล่าถึงสาวรำวงเชียงรายเมื่อ 30-40 ปีก่อน ผ่านมุมมองอาจารย์อาจารย์ฉลอง พินิจสุวรรณศิลปินอาวุโส อดีตครูสอนศิลปะ สาวรำวงเริ่มจากงานรื่นเริงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ตามวิถีล้านนา เป็นความบันเทิงยามค่ำคืนในงานปอยหลวง งานวัด หรืองานฤดูหนาว โดยเฉพาะที่อำเภอพาน มีคณะรำวงมากมาย เชียงรายซึ่งดังถึงภาคใต้

สาวรำวงส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น 14-18 ปี ไม่ได้เรียนต่อหลังประถม ฝึกเต้นรำเพื่อหารายได้ เครื่องแต่งกายวับวาม กระโปรงแวววาว รำบนเวทีสูงจากพื้น 1 เมตร พร้อมดนตรีสดทั้งลูกทุ่งและสากล คณะแม่คาวโตนสตาร์โดดเด่นด้วยดนตรีทันสมัยและสาวงามมาตรฐาน ค่าตัวคณะละ 3,000-4,000 บาทต่อคืน นักดนตรีดังต่อยอดสู่วงร็อกระดับประเทศ

ปัจจุบัน สาวรำวงเปลี่ยนเป็นรำวงย้อนยุค บนพื้นดิน ไม่ต้องซื้อบัตร ไม่เน้นวัยรุ่น แต่เป็นการออกกำลังกายและอนุรักษ์วัฒนธรรม สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากยุคที่ขาดแหล่งบันเทิง ไปสู่ยุคที่มีผับ บาร์ และคาราโอเกะ

ดำเนินรายการโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร และ อาจารย์อาจารย์ฉลอง พินิจสุวรรณศิลปินอาวุโส

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

มรดกวัฒนธรรมล้านนา ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย

เชียงรายจัดยิ่งใหญ่! ประเพณีสืบสานเดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย ปี ๒๕๖๘

เปิดฉากงดงาม สืบทอดวัฒนธรรมเมืองเหนือ

เชียงราย,25 พฤษภาคม 2568 – เวลา 18.00 น. ณ วัดกลางเวียง ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย มีการจัดงาน “ประเพณีสืบสานเดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย” อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อสืบทอดและอนุรักษ์ประเพณีเก่าแก่ของชาวล้านนาให้คงอยู่สืบไป โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.พลวัฒ ประพัฒน์ทอง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย แม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ช่างฟ้อน) พ.ศ.2559 และตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา รวมถึงคณะศรัทธาและพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าร่วมพิธี

พิธีศักดิ์สิทธิ์ สรงน้ำสะดือเมืองเชียงราย

กิจกรรมเริ่มต้นด้วยพิธีเจริญพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นเข้าสู่พิธีสรงน้ำสะดือเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นพิธีกรรมโบราณที่สืบทอดกันมานานหลายชั่วอายุคน โดยเชื่อกันว่าการสรงน้ำสะดือเมือง จะช่วยชำระล้างสิ่งไม่ดี ปกป้องบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข พิธีนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก เนื่องจากถือเป็นพิธีสำคัญที่สะท้อนถึงความเชื่อและความผูกพันระหว่างคนเชียงรายกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างชัดเจน

รวมใจศิลปินล้านนา ฟ้อนถวายเป็นพุทธบูชา

ภายในงานเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยวัฒนธรรมล้านนา ไฮไลต์สำคัญคือการฟ้อนฮอมบุญถวายเป็นพุทธบูชา นำโดยแม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งแสดงความงดงามและความประณีตของท่าฟ้อนล้านนาอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังมีการแสดงฟ้อนจากกลุ่มต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยวัยที่สาม กลุ่มฟ้อนวัดท่าล้อม กลุ่มฟ้อนสวนตุงและโคมนครเชียงราย กลุ่มฟ้อนรักสุขภาพสันโค้งน้อย และกลุ่มฟ้อนฮอมบุญ ซึ่งล้วนได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชมว่าเป็นการแสดงที่ช่วยปลุกจิตสำนึกรักถิ่นฐานบ้านเกิดได้เป็นอย่างดี

บรรยากาศอบอุ่น ด้วยดนตรีพื้นเมือง

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ การแสดงดนตรีพื้นเมืองล้านนา ทั้งปี่พาทย์จากคณะเฮือนดนตรีสีเขียว และการแสดงซอจากแม่ครูบัวลอยและสองเมือง เมืองพาน พร้อมลูกศิษย์ ทั้งหมดนี้สร้างบรรยากาศอบอุ่น เป็นกันเอง และยังช่วยฟื้นฟูความสนใจในศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนาให้กลับมาได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่อีกครั้ง

วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย หนุนกิจกรรมเต็มกำลัง

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นางพรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ และนางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมสนับสนุนการจัดกิจกรรมครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งอำนวยความสะดวกแก่คณะนักแสดง จัดเตรียมสถานที่ และดูแลพิธีทางศาสนาอย่างราบรื่น เพื่อให้การจัดงานดำเนินไปอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

วิเคราะห์ผลลัพธ์ สืบสานมรดกเชียงราย

การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมล้านนาที่สำคัญของเชียงราย ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสเรียนรู้ และเข้าถึงความสำคัญของวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น การรวมตัวกันของประชาชนจำนวนมากยังสะท้อนถึงความสามัคคีและความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน ในการรักษาและส่งเสริมประเพณีอันดีงามของเชียงรายให้คงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พบว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวและผู้สนใจเข้าร่วมงานประเพณีต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายกว่า 500,000 คน สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับจังหวัดเชียงรายกว่า 2,500 ล้านบาท (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567) และคาดการณ์ว่า ในปี 2568 นี้จะมีจำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพและความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2567). รายงานสถิตินักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567. สืบค้นจาก: http://www.nso.go.th
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2568). ข้อมูลการจัดงานประเพณีสืบสานเดือน ๘ เข้า เดือน ๙ ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย.
  • เทศบาลนครเชียงราย. (2568). รายละเอียดกิจกรรมทางวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2568.

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TRAVEL

คืนชีพ “บ้านเขียว” แพร่เปิด ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้มรดก 120 ปี

แพร่เปิด “บ้านเขียว” ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่ อนุรักษ์มรดกล้านนา

รมว.ทส. นำเปิดศูนย์เรียนรู้ ฟื้นฟูอาคารประวัติศาสตร์ 120 ปี สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

แพร่, 21 กุมภาพันธ์ 2568บ้านเขียว” อาคารประวัติศาสตร์อายุ 120 ปี ได้รับการฟื้นฟูและเปิดเป็น ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่ อย่างเป็นทางการ โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมทั้งมอบโล่เชิดชูเกียรติให้แก่ 6 หน่วยงาน ที่มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมล้านนา

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ สวนรุกขชาติเชตวัน จังหวัดแพร่ ภายใต้แนวคิด ฟื้นบ้านเขียว สู่อ้อมกอดชาวแพร่” โดยภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์การทำไม้ของประเทศไทย ควบคู่กับกิจกรรม กาดฮิมยม” ตลาดนัดวินเทจที่รวบรวมศิลปะ หัตถกรรม และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดแพร่อย่างยั่งยืน

บ้านเขียว: อาคารประวัติศาสตร์ที่เป็นพยานยุคทองของอุตสาหกรรมป่าไม้

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน กล่าวถึง บ้านเขียว” ว่าเป็นอาคารประวัติศาสตร์ที่มีอายุยาวนานกว่า 120 ปี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2444 (สมัยรัชกาลที่ 5) และเคยเป็น สำนักงานป่าไม้ ที่สำคัญในยุคล้านนา เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมป่าไม้ที่รุ่งเรืองในภาคเหนือ โดยอาคารแห่งนี้เคยผ่านการพัฒนา 5 ยุคสมัย ก่อนจะถูกรื้อถอนในปี พ.ศ. 2563

“บ้านเขียวไม่ใช่แค่อาคารเก่า แต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของยุคทองแห่งการป่าไม้ในล้านนา การบูรณะครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นแค่การฟื้นฟูอาคาร แต่เป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรม และสืบทอดองค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติให้คนรุ่นหลัง” ดร.เฉลิมชัยกล่าว

การบูรณะบ้านเขียว: ฟื้นฟูสถาปัตยกรรม ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากร

การฟื้นฟู บ้านเขียว ให้เป็น ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่ ได้ดำเนินการโดยคำนึงถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมดั้งเดิม พร้อมพัฒนาให้เป็น พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ที่ให้ความรู้ด้านทรัพยากรป่าไม้และการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยการบูรณะได้รับการสนับสนุนจาก 6 หน่วยงานหลัก ได้แก่:

  1. กรมศิลปากร – ให้คำแนะนำด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิม
  2. สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ – ช่วยออกแบบและฟื้นฟูโครงสร้างอาคาร
  3. เทศบาลเมืองแพร่ – สนับสนุนงบประมาณและการดำเนินงาน
  4. เทศบาลตำบลป่าแมต – มีบทบาทในการดูแลพื้นที่โดยรอบ
  5. องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ – ส่งเสริมโครงการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
  6. สมาคมรักษ์เมืองเก่าแพร่ – ผลักดันให้เกิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูบ้านเขียว

ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้: เปิดมิติใหม่ของการศึกษาและท่องเที่ยว

ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่นี้ จะเป็น แหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์การป่าไม้ ที่ครอบคลุมถึง:

  • วิวัฒนาการของอุตสาหกรรมป่าไม้ในประเทศไทย ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
  • การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและป่าไม้ล้านนา ที่สะท้อนถึงผลกระทบของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
  • การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อม โดยนำเสนอแนวทางการฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังเป็นสถานที่ฝึกอบรมและให้ความรู้แก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และนักวิจัยด้านป่าไม้ รวมถึงเป็นพื้นที่แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ สถาปัตยกรรมล้านนา และ การใช้ชีวิตของชาวแพร่ในอดีต

กาดฮิมยม” ตลาดนัดวินเทจ ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น

ภายในงานเปิดตัวศูนย์เรียนรู้การป่าไม้ ยังมีการจัด กาดฮิมยม” ตลาดนัดวินเทจที่รวบรวมศิลปะ งานหัตถกรรม และสินค้าท้องถิ่นของจังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยตลาดนัดแห่งนี้มีการจำหน่าย:

  • ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมล้านนา เช่น ผ้าทอเมืองแพร่ เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องจักสาน
  • ผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมือง เช่น แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม และกาแฟพื้นเมือง
  • สินค้าสร้างสรรค์และงานศิลปะ จากศิลปินท้องถิ่น

ตลาดแห่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ช่วยสร้างความตื่นตัวด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของจังหวัดแพร่ให้เติบโตต่อไป

ศูนย์เรียนรู้บ้านเขียว: จุดหมายใหม่ของนักท่องเที่ยวและนักอนุรักษ์

การเปิดศูนย์เรียนรู้การป่าไม้บ้านเขียว เป็นก้าวสำคัญของจังหวัดแพร่ในการส่งเสริมการศึกษา การท่องเที่ยว และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน โดยศูนย์แห่งนี้จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป และคาดว่าจะเป็น แหล่งเรียนรู้และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคเหนือ

นอกจากนี้ การฟื้นฟูบ้านเขียวให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ยังช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้เดินทางมาสัมผัสวิถีชีวิตของเมืองแพร่อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

สรุป

  • บ้านเขียว อาคารประวัติศาสตร์อายุ 120 ปี ได้รับการบูรณะและเปิดเป็น ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบโล่เชิดชูเกียรติให้ 6 หน่วยงาน ที่ร่วมสนับสนุนการฟื้นฟูบ้านเขียว
  • ศูนย์เรียนรู้ฯ จะเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์การป่าไม้ และ พิพิธภัณฑ์มีชีวิตด้านสถาปัตยกรรม
  • จัดกิจกรรม กาดฮิมยม” ตลาดนัดวินเทจที่รวมสินค้าหัตถกรรม อาหารพื้นเมือง และงานศิลปะท้องถิ่น
  • เปิดให้ประชาชนเข้าชมอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI

เชียงรายจัดงานใหญ่ สืบสานวัฒนธรรมล้านนา

สำนักงานวัฒนธรรมเชียงรายร่วมจัดงานเทศกาล “จิสีสาย ก๋องหลัวปูจา เผาตี๋นก๋า วันตาแม่พระเจ้า” ฟื้นฟูวัฒนธรรมล้านนา

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 เวลา 15.00 น. ณ วัดดอนไชย ตำบลศรีดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จัดงานเทศกาลวัฒนธรรมท้องถิ่นภายใต้ชื่อ “จิสีสาย ก๋องหลัวปูจา เผาตี๋นก๋า วันตาแม่พระเจ้า” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีของชุมชนบ้านแม่ลอยหลวง โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูและสืบสานคุณค่าทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักถึงมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน

การขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (ววน.) และหน่วยบริหารจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเป็นผู้ดำเนินการวิจัยเพื่อศึกษาและส่งเสริมทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านแม่ลอยหลวง งานวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรทางวัฒนธรรมในการสร้างรายได้และพัฒนาชุมชน

กิจกรรมภายในงานเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมล้านนา

เทศกาลนี้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดดอนไชย โดยมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การประกวดโคมแขวนล้านนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเพณี ยี่เป็ง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของชาวล้านนา กิจกรรมการประกวดนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและจารีตประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน รวมถึงการจัดนิทรรศการนำเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับการขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนบ้านแม่ลอยหลวง

การสาธิตและการแสดงผลิตภัณฑ์จากทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น

ในงานยังมีกิจกรรมสาธิตการทำ แตะดอกไม้ ขนมเทียน ฝางประทีป และงานหัตถศิลป์พื้นบ้านที่ใช้ในเทศกาลยี่เป็ง ซึ่งเป็นการนำเสนอภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและเด็กที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมการทำงานหัตถศิลป์พื้นบ้านนี้

นอกจากนี้ยังมีการแสดงสินค้าจากทุนวัฒนธรรม เช่น ผ้าทอพื้นเมือง และ ผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ให้สามารถขยายตลาดและเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการแสดงมหรสพและการละเล่นพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในพื้นที่ภาคเหนือ

ปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์วัฒนธรรมผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน

การจัดงานครั้งนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนในพื้นที่ มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คน รวมถึงเด็กและเยาวชนที่แต่งกายด้วยชุดล้านนาอย่างสวยงาม ทั้งนี้ยังมีการมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมประกวดและผู้ที่แต่งกายล้านนางดงาม

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และนางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ได้เข้าร่วมงานและกล่าวถึงความสำคัญของการจัดงานนี้ว่า “การอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นถือเป็นการรักษามรดกของชาติ และยังช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนในระยะยาว”

ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชน

โครงการนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงาน ทั้งสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนตำบลศรีดอนไชย และวัดดอนไชย โดยมีพระครูโสภิตชัยสาร เจ้าอาวาสวัดดอนไชย เป็นผู้ประสานงานหลักในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น

FAQs

  1. งานเทศกาล “จิสีสาย ก๋องหลัวปูจา” จัดขึ้นเมื่อไหร่?
    จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย

  2. วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้คืออะไร?
    เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมล้านนา รวมถึงส่งเสริมการสร้างรายได้จากทุนวัฒนธรรมท้องถิ่น

  3. ใครเป็นผู้สนับสนุนงานนี้?
    ได้รับการสนับสนุนจาก ววน. และ บพท. พร้อมความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

  4. กิจกรรมที่จัดขึ้นในงานมีอะไรบ้าง?
    ประกอบด้วยการประกวดโคมแขวนล้านนา นิทรรศการ การสาธิตหัตถศิลป์ และการแสดงมหรสพพื้นบ้าน

  5. การเข้าร่วมงานมีค่าใช้จ่ายหรือไม่?
    ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงาน ประชาชนสามารถเข้าร่วมได้ฟรี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พบกาแฟ-ชาคุณภาพ ล้านนาตะวันออกที่เชียงราย

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จับมือจัดงานเทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ร่วมกันจัดงาน “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024 (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2024)” ณ จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟและชาในภูมิภาค พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจและการท่องเที่ยว

เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่

งานแถลงข่าวจัดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ณ ร้านอาหารภูภิรมย์ สิงห์ปาร์ค อำเภอเมืองเชียงราย โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้แทนจากจังหวัดต่างๆ และสถาบันชาและกาแฟ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมงาน

ศักยภาพของชาและกาแฟล้านนาตะวันออก

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีศักยภาพในการผลิตชาและกาแฟคุณภาพสูง เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศและอากาศที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลผลิตที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ การจัดงานเทศกาลในครั้งนี้จึงเป็นการนำเสนอจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

เป้าหมายของการจัดงาน

  • ส่งเสริมการท่องเที่ยว: สร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจ: สร้างเครือข่ายให้กับผู้ประกอบการในธุรกิจชาและกาแฟ
  • พัฒนาผลิตภัณฑ์: ส่งเสริมให้ผู้ผลิตพัฒนาคุณภาพและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น
  • สร้างรายได้ให้ชุมชน: สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่

ไฮไลท์ภายในงาน

  • การแสดงสินค้า: รวบรวมร้านค้าผู้ประกอบการชาและกาแฟกว่า 50 ร้านค้า มาจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์
  • การแข่งขันลาเต้อาร์ต: การแข่งขันสร้างสรรค์ลวดลายบนกาแฟนม
  • กิจกรรมเจรจาธุรกิจ: สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้พบปะกับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ
  • นิทรรศการและกิจกรรมอื่นๆ: นิทรรศการเกี่ยวกับชาและกาแฟ การแสดงวัฒนธรรม และกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ

การสนับสนุนจากภาครัฐ

รัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมกาแฟอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและการค้ากาแฟคุณภาพในอาเซียน การจัดงานเทศกาลในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

อนาคตของอุตสาหกรรมชาและกาแฟในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

ด้วยศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติและการสนับสนุนจากภาครัฐ เชื่อว่าอุตสาหกรรมชาและกาแฟในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในตลาดโลกได้

สำหรับ “เทศกาลกาแฟและชาล้านนาตะวันออก 2024 (Eastern Lanna Coffee & Tea Festival 2024)” 2024 จะจัดขึ้นในวันที่ 27 ธันวาคม 2567 – วันที่ 1 มกราคม 2568 ตั้งแต่ เวลา 16:00 น. ถึง 22:00 น. ณ สิงห์ปาร์คจังหวัดเชียงราย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 098-5973823 (เวลาทำการ 09.00-16.00 น.) หรือที่
Facebook: Eastern Lanna Coffee & Tea Festival
LineOA : @easternlanna
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงราย จัดโครงการส่งเสริมการ ท่องเที่ยววิถีถิ่นตามสีสันแห่งล้านนา

 

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 67 ที่โรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมการพัฒนาและนำเสนอเมนูอาหารถิ่น อาหารชาติพันธุ์ ส่งเสริมการสร้างท่องเที่ยววิถีถิ่นตามสีสันแห่งล้านนา (The color of Lanna : The way of life) โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ สื่อมวลชน กลุ่มเครือข่ายชาติพันธุ์จังหวัดเชียงราย เครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดเชียงราย และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว กว่า 80 คน เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 21 มิถุนายน 2567

 

นางสาวขนิษฐา แจ่มน่าน นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีถิ่นตามสีสันแห่งล้านนา ครั้งนี้เป็นการเพิ่มศักยภาพบุคคลากรด้านการท่องเที่ยว ชุมชน และกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ในจังหวัดเชียงราย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการของกลุ่มชาติพันธุ์และผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้อง โดยมีการอบรมให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาหารและสุขอนามัยในการประกอบอาหาร การออกแบบการจัดรายการอาหาร เช้า กลางวัน เย็น และอาหารว่าง เมนูอาหารถิ่น อาหารชาติพันธุ์ 
 
 
เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว การออกแบบและจัดตกแต่งอาหาร การนำเสนอเมนูอาหารถิ่น อาหารชาติพันธุ์ และกระบวนการขั้นตอนการปรกอบอาหารที่ถูกต้อง โดยได้รับเกียรติจากวิทยากร ชมรมเชฟและพ่อครัว จังหวัดเชียงราย มาให้คำแนะนำวิธีการขั้นตอนการประกอบอาหารที่ถูกต้องและถูกสุขอนามัย สร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่าบนพื้นฐานอัตลักษณ์ประจำถิ่น อีกด้วย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นบไหว้สาบูชาครู ลื้อลายคำ คนเชียงของที่มีใจรักในศิลปะล้านนา

 

เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๗ ที่ พิพิธภัณฑ์ มรดกวัฒนธรรม ผ้าทอไทลื้อ  ลื้อลายคำ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ได้มีพิธีไหว้ครูลื้อลายคำ ซึ่งทางเพจ Chiang Khong TV รายงานว่าเป็นการนบไหว้สาบูชาครู ลื้อลายคำ ความรู้ ศิลปะ วิชา ทุกแขนงสาขา ล้วนแล้วแต่มีครูบาอาจารย์ผู้ประสาทประสิทธิ์วิชา เมื่อศึกษาจนสำเร็จลุล่วงก็ต่างแยกย้ายไปตามทิศทางที่หมาย จะยากดีมีจน เป็นคนดีคนเลว ก็ล้วนแล้วแต่มีวิชาความรู้ติดตนติดตัว ถือว่าเป็นคนมีครู เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา  และหากผู้ใด รำลึกได้ถึงคุณของครูบาอาจารย์ ผู้นั้นย่อมจักมีความเจริญในชีวิต

 

ซึ่งกลุ่ม ลื้อลายคำ ครั้งหนึ่งเคยสร้างชื่อกระฉ่อนไปทั่วประเทศ โดยการรวมตัวกันของ เยาวชน อ.เชียงของที่มีใจรักในศิลปะล้านนา ศิลปะไทลื้อ ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ถึงแม้ในปัจจุบัน กลุ่มลื้อลายคำ จะไม่ได้รวมตัวกันเช่นแต่ก่อน แต่ทุกคนเมื่อได้ชื่อว่าลื้อลายคำ ก็จะเป็นลื้อลายคำตลอดไป เมื่อใด ที่มีโอกาสได้แสดงวิชา ก็จะมารวมตัวกันไม่ห่างหาย และเมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับมาไหว้ครูอาจารย์ ทุกคนก็พร้อมกลับมารวมตัวกันอย่างสมัครสมานเช่นเคย

 

คุณสุริยา วงค์ชัย ลูกหลานไทลื้อรุ่นปัจจุบัน ที่อยากให้มรดกวัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ สืบทอด สานต่อ ไปยังรุ่นต่อไป โดยใช้บ้านไม้ 2 ชั้น ทรงเก่าๆจัดสร้างที่วัฒนธรรมของไทลื้อถูกเก็บรวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ  ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงได้เก็บประวัติเรื่องราว การกล่าวขาน การต่อสู้การ อพยพต่างๆ ของชาวไทลื้อในอดีต เมื่อเดินขึ้นไปชั้นบน มีหุ่นจัดแสดงเครื่องแต่งกายไทลื้อแบบต่างๆ ผ้าทออันมีคุณค่า ที่ต้องใช้เวลาในการเก็บรวมรวม มาให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ เครื่องประดับของมีค่า จำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทลื้อ ดูแล้วมีมนต์ขลังเหมือนพาตัวเองเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นจริงๆ

 

จากข้อมูลของสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เล่าว่ากลุ่มชาติพันธ์  “ลื้อ/ยอง/ขึน (เขิน)”

“ลื้อ”   ชาวไทลื้อที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่แคว้นสิบสองปันนา  ทางตอนใต้ของประเทศจีน มีประวัติการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานไปยังรัฐฉาน ประเทศพม่า

“ยอง”  ชาวไทลื้อที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองยอง  อำเภอหนึ่งของเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า

“ขึน/เขิน”  ชาวไทลื้อ (+ไทใหญ่?) ที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า จีน ไทย และประเทศลาว ตั้งชุมชนหนาแน่นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำขึนเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า

.

ไทลื้อ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทยอีกกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยอีกกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐฉาน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน และภาคเหนือของลาว ชาวไทลื้อในสิบสองพันนามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยวนล้านนาในยุค “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” ชาวไทลื้อจากสิบสองพันนาได้ถูกกวาดต้อนลงมาอยู่ในล้านนาจำนวนมาก  ชาวไทลื้อนับถือศาสนาพุทธและปฏิบัติตามจารีตประเพณีทางพุทธศาสนา

 

การขยายตัวของชาวไทลื้อสมัยเจ้าอินเมืองได้เข้าตีเมืองแถน เชียงตุง เชียงแสน และล้านช้าง กอบกู้บ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น พร้อมทั้งหัวเมืองไทลื้อเป็นสิบสองเขต เรียกว่า สิบสองปันนา และในยุคนี้ได้มีการอพยพชาวไทลื้อบางส่วนเพื่อไปตั้งบ้านเรือนปกครองหัวเมืองประเทศราชเหล่านั้น  จึงทำให้เกิดการกระจายตัวของชาวไทลื้อ ในลุ่มน้ำโขงตอนกลาง (รัฐฉานปัจจุบัน) อันประกอบด้วย เมืองยู้ เมืองยอง เมืองหลวง เมืองเชียงแขง เมืองเชียงลาบ เมืองเลน เมืองพะยาก เมืองไฮ เมืองโก และเมืองเชียงทอง (ล้านช้าง) เมืองแถน (เดียนเบียนฟู)  ซึ่งบางเมืองในแถบนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวไทลื้ออยู่แล้ว เช่น อาณาจักรเชียงแขง ซึ่งประกอบด้วย เมืองเชียงแขง เมืองยู้ เมืองหลวย เมืองเชียงกก เมืองเชียงลาบ เมืองกลาง เมืองลอง เมืองอาน เมืองพูเลา เมืองเชียงดาว เมืองสิง เป็นต้น

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สุริยา วงค์ชัย พิพิธภัณฑ์ ลื้อลายคำ / Chiang Khong TV / Anirut Ti

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News