Categories
FEATURED NEWS

เหนือวิกฤต ฝุ่น PM2.5 สูง ลำพูนนำ-แม่ฮ่องสอนท้าทาย

คนเหนือระทม! ฝุ่นพิษ-สังคมแก่-รายได้ฝืด

กรุงเทพฯ, 20 มีนาคม 2568 – สกสว. หนุน SDG Move จัดเวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือ

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ให้การสนับสนุน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดเวที นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาค และรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคเหนือ)”สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมงานระดับภาคเหนือ

ภาควิชาการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในโอกาสนี้ ผศ. ดร.ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการวิจัยและนวัตกรรมที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศไทย (SDSN Thailand) กล่าวถึงความสำคัญขององค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ในการเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน พร้อมผลักดันให้เกิด นโยบายแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับนานาชาติ

SDG Index เผยลำพูนคะแนนสูงสุดในภาคเหนือ แต่แม่ฮ่องสอนยังเผชิญปัญหา

จากการนำเสนอข้อมูล SDG Index ระดับจังหวัดและภูมิภาค ของทีม SDG Move พบว่า ภาคเหนือเผชิญกับปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับ 8 เป้าหมายของ SDGs ได้แก่:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 2: การขจัดความหิวโหย
  • SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  • SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • SDG 9: โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
  • SDG 17: หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงขึ้น ถูกจัดอยู่ใน SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในหลายจังหวัดของภาคเหนือ

แม่ฮ่องสอนมีคะแนน SDG Index ต่ำสุด และเป็นจังหวัดที่เผชิญความท้าทายอย่างมากในเรื่อง:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ
  • SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 13: การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • SDG 15: ระบบนิเวศบนบก

ขณะที่ ลำพูนมีคะแนน SDG Index สูงสุด ในภาคเหนือ แต่ยังต้องแก้ไขปัญหา สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDG 3) และเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

3 ปัญหาเร่งด่วนที่ภาคเหนือเผชิญ

  1. มลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นทุกปี
    • ภาคเหนือประสบปัญหาค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศ
    • มีผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  2. สังคมสูงวัย และมาตรการรองรับที่ยังไม่เพียงพอ
    • ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุ
    • เพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพและสวัสดิการ
  3. รายได้ต่ำและค่าครองชีพสูง
    • รายได้ของประชาชนไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
    • ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ

  1. ศึกษาวิจัยผลกระทบและสาเหตุของ PM2.5
    • พัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สนับสนุนเกษตรกรเปลี่ยนไปใช้วิธีการเผาที่ลดมลพิษ
  2. ปรับปรุงการจัดการศึกษาสู่ตลาดแรงงาน
    • เชื่อมโยงการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
    • ส่งเสริมอาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล
  3. เพิ่มการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย
    • วิจัยแนวทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
    • ลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 4 เท่า ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
  • ประชากรสูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ในภาคเหนือคิดเป็น 22% ของประชากรทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
  • รายได้เฉลี่ยของประชาชนในภาคเหนืออยู่ที่ 8,500 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 12,000 บาท

สรุป

การพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะ ปัญหาฝุ่น PM2.5 สังคมสูงวัย และค่าครองชีพสูง ขณะที่ ลำพูนมีความก้าวหน้า แต่แม่ฮ่องสอนยังคงเป็นจังหวัดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก เวทีระดมสมองครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการออกแบบแนวทางพัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 / สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ชมกัปตัน ‘จักรี’ ฝนหลวงกล้าหาญ ปลดกระเช้าช่วย ฮ. ดับไฟป่าลำพูน

วินาทีชีวิต! กัปตันจักรีตัดสินใจเฉียบขาด ปลดกระเช้าตักน้ำกู้ภัย ฮ. ฝนหลวง

การตัดสินใจในเสี้ยววินาทีเพื่อรักษาความปลอดภัยและปฏิบัติภารกิจดับไฟป่า

ลำพูน, 7 มีนาคม 2568 – กัปตันจักรี ผู้บังคับอากาศยาน Bell 407 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากตัดสินใจปลดกระเช้าตักน้ำกลางอากาศเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจทำให้เฮลิคอปเตอร์ตกน้ำ ขณะทำภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน

เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่เฮลิคอปเตอร์ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กำลังตักน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สาร ตำบลศรีบัวบาน อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เพื่อนำไปดับไฟป่าที่กำลังลุกลามในเขตพื้นที่ป่าไม้ของจังหวัดลำพูน แต่ระหว่างที่เครื่องกำลังยกตัวขึ้น ปรากฏว่ากระเช้าตักน้ำได้ไปติดกับอวนดักปลาของชาวบ้าน ทำให้เครื่องไม่สามารถยกตัวขึ้นได้ตามปกติ

ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน กัปตันจักรีจึงตัดสินใจปลดสายเคเบิลของกระเช้าตักน้ำออกจากตัวเฮลิคอปเตอร์ทันที เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจทำให้เครื่องเสียการทรงตัวและตกลงไปในน้ำ ซึ่งการตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนี้ช่วยป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้

แผนการกู้คืนกระเช้าตักน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สาร

ภายหลังจากเฮลิคอปเตอร์สามารถยกตัวขึ้นได้อย่างปลอดภัย ทางหน่วยกู้ภัยและนักประดาน้ำจาก หน่วยกู้ภัยภาค 5 กู้ภัยเพชรเกษม กู้ภัยอมรินทร์ใต้ ลำพูน และทีมเทวฤทธิ์ ได้รับการประสานให้งมค้นหากระเช้าตักน้ำที่จมอยู่ในอ่างเก็บน้ำแม่สาร ซึ่งมีความลึกประมาณ 10 เมตร การค้นหาดำเนินไปอย่างระมัดระวังจนกระทั่งสามารถนำกระเช้าตักน้ำขึ้นมาได้สำเร็จ

เสียงชื่นชมและความสำคัญของภารกิจดับไฟป่า

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดับไฟป่าและการปฏิบัติภารกิจทางอากาศ เนื่องจากนักบินที่ทำภารกิจเหล่านี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน พื้นที่ปฏิบัติการที่เป็นภูเขาสูง และความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกวินาที

กัปตันจักรี ได้แสดงให้เห็นถึง ความกล้าหาญและสติปัญญาในการตัดสินใจที่แม่นยำ เพื่อรักษาความปลอดภัยของตนเอง ทีมงาน และอากาศยาน รวมถึงป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนและทรัพย์สินในพื้นที่

ไฟป่าในลำพูน: สถานการณ์และความเสียหาย

ปัญหาไฟป่าในจังหวัดลำพูน โดยเฉพาะในเขตอำเภอแม่ทา เป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชน จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่า ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ลำพูนเพิ่มขึ้นเกินค่ามาตรฐานในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นผลมาจากการเผาป่าและการลุกลามของไฟป่า

จากสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในปี 2567 พบว่า ไฟป่าในภาคเหนือมีพื้นที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 1.2 ล้านไร่ และมีจุดความร้อน (Hotspot) มากกว่า 10,000 จุด โดยเฉพาะในจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติอยู่เป็นจำนวนมาก

การสนับสนุนจากภาครัฐและแนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่า

รัฐบาลไทยได้ประกาศมาตรการเร่งด่วนในการควบคุมไฟป่า โดยมีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและโดรนในการเฝ้าระวัง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อลดการเผาป่า นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ให้สามารถดำเนินภารกิจดับไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ประชาชนและอาสาสมัครในพื้นที่ยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันไฟป่า โดยการแจ้งเตือนจุดเกิดเหตุไฟป่า และร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการดับไฟ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะลุกลามไปยังพื้นที่ใกล้เคียง

มุมมองของประชาชนต่อภารกิจเสี่ยงอันตรายของนักบิน

ประชาชนทั่วไปต่างแสดงความชื่นชมและให้กำลังใจทีมงานกรมฝนหลวงและการบินเกษตร รวมถึงหน่วยดับไฟป่าที่ทำงานอย่างหนักเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและความปลอดภัยของชุมชน

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ความเสี่ยงของนักบินและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน ที่ต้องปฏิบัติภารกิจในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย บางฝ่ายเสนอให้มีการปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย และเพิ่มงบประมาณในการจัดหาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อสนับสนุนภารกิจเหล่านี้ เช่น การใช้เครื่องบินดับเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือการใช้ระบบเติมน้ำอัตโนมัติที่ลดความเสี่ยงของนักบิน

สรุป

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกัปตันจักรีและเฮลิคอปเตอร์ Bell 407 สะท้อนให้เห็นถึง ความเสียสละและความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าภารกิจดับไฟป่าจะเต็มไปด้วยความท้าทายและอันตราย แต่ก็เป็นหน้าที่สำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

จากกรณีนี้ ยังเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับ ความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและมาตรการความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจทางอากาศ ซึ่งควรได้รับการพัฒนาและสนับสนุนให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับปัญหาไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ห้ามกิน ‘ว่านจักจั่น’ เด็ดขาด หลังพบชาวลำพูน ดับ 1 ป่วย 3

 

เมื่อวันที่  28 มี.ค. 67 ผู้สื่อข่าวรายงาน รพ.บ้านโฮ่ง อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน พบว่ามีชาวบ้านขุดว่านจักจั่นนำมาทำอาหารรับประทานจากนั้นมีอาการซึมลง เกิดอาการเกร็ง อ่อนแรง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียนอาเจียน ตากลอกไปมา ปวดเมื่อยทั้งตัว ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ เนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ขณะนี้ป่วยแล้ว 3 รายในเวลาเดียว โดยรับประทานแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทั้งนี้ ว่านจักจั่น ไม่ใช่พืชที่กินได้ แต่คือจักจั่นที่ตายจากเชื้อรางอกในตัวจักจั่น อาการที่เกิดขึ้นมาจากพิษของเชื้อรานี้ ไม่มียาแก้พิษโดยตรง ต้องรักษาตามอาการแบบประคับประคอง

จึงแจ้งเตือนและช่วยกันรณรงค์ให้ความรู้แก่ชาวบ้าน ที่เข้าใจผิดคิดว่า เชื้อราที่ติดงอกจักจั่น คือของดีมีประโยชน์ แต่มันคือเชื้อราที่อันตรายกินเข้าไปเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงถึงตายได้ ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก

สำหรับ ว่านจักจั่น คือ ซากตัวอ่อนของแมลงที่ชาวล้านนาเรียกว่า “แมงอิจ้า” ที่เสียชีวิตขณะฟักตัวอ่อนอยู่ในดิน แล้วติดเชื้อรา มันไม่ใช่พืชที่อยู่ด้านบนหรือด้านล่างของดินแต่อย่างใด ส่วนตัวที่ไม่ตายจะออกจากดินในช่วงกลางคืนไต่ขึ้นมาลอกคราบกลายเป็นจักจั่น หรือ แมงอิจ้า ช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. ที่ชาวบ้านออกจับมาบริโภค หรือ จับมาขายสร้างรายได้ในราคาตัวละ 1 บาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

กระทรวงอุตฯ ลุยเหนือเสริมศักยภาพ อุตสาหกรรมดึงดูดต่างชาติลงทุน

 

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 เวลา 13.00 น. นางสาวพิมพ์ภัทรา  วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ลำพูน หารือร่วมเอกชน ถึงแนวทางขับเคลื่อน ภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดลำพูน พร้อมด้วย นางสาวศิรินันท์ ศิริพานิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูง กระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม โดยมี นายสันติธร ยิ้มละมัย ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน  นางจันทนา ไวยาวัจมัย อุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่เกี่ยวข้องร่วมต้อนรับ ณ ห้องประชุมสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน

 

สำหรับในพื้นที่จังหวัดลำพูน มีผู้ประกอบกิจการโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ 73 ราย แบ่งเป็น ญี่ปุ่น 35 ราย ไทย 19 ราย ยุโรป 11 ราย เกาหลี 3 ราย ไต้หวัน 2 ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย สิงคโปร์ 1 ราย และอินเดีย 1 ราย มีจำนวนการจ้างงาน 35,000 คน โดยเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม แบ่งเป็นด้าน ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ 27 โรงงาน อุตสาหกรรมเหล็ก และผลิตภัณฑ์โลหะ 8 โรงงาน อุตสาหกรรมน้ำมัน และพลังงาน 7 โรงงาน อุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม 5 โรงงาน อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เครื่องจักร และอะไหล่ 5 โรงงาน และอุตสาหกรรมด้านอื่นๆ เช่น อัญมณี เครื่องแต่งกาย ฯลฯ 21 โรงงาน

 

โดยการประชุมหารือในครั้งนี้ ได้นำเสนอในประเด็นต่าง ๆ อาทิ โครงการพัฒนาและเชื่อมโยงผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรายใหญ่กับ SMEs ลำพูน (Lamphun Supply Chain) : เพื่อเปิดโอกาสแสดงศักยภาพ และสร้างโอกาสเจรจาธุรกิจร่วมกัน ,โครงการขนส่งสินค้าทางรถไฟ และสถานี Container Yard : เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขนส่งสินค้าในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมภายในประเทศไทยและขนส่งออกไปต่างประเทศ, การปรับปรุงผังเมือง เพื่อรองรับการขยายตัวของการค้าและอุตสาหกรรมลำพูน NEC ,การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับเศรษฐกิจ และ อุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มมูลค่าสูง (Lamphun Superfoods Valley)

 

อุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดลำพูน จากข้อมูล ประจำปี พ.ศ. 2564 ต่อหัว ลำพูน เป็นอันดับ 1 ของภาคเหนือ ลำดับที่ 14 ของประเทศ และจังหวัดลำพูน มีประเด็นการพัฒนาจังหวัดให้เป็นเมืองอุตสาหกรรม หัตถกรรม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทย ให้สอดรับกับการขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคเหนือ (Northern Economic Corridor) หรือ NEC ซึ่งรัฐบาลหวังพัฒนาภาคเหนือในส่วนของ 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และลำพูน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดลำพูน ให้เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ของประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปวิสัยทัศน์ของจังหวัดลำพูนในปี 2570 ต่อไป

 

ทั้งนี้ รัฐมนตรีฯ พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งดึงดูดนักลงทุน ในส่วนภาคอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูนว่า รัฐบาลมีความพร้อมในการสนับสนุนศักยภาพภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก พร้อมกับมีโยบายในการส่งเสริมการจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้กำลังใจพี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการภาคธุรกิจ และเน้นย้ำให้การนิคมฯ ดูแลในส่วนของการบริหารจัดการน้ำ การใช้น้ำของโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ให้กระทบต่อภาคการเกษตรของประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรี เป็นห่วงสถานการณ์น้ำแล้งเป็นอย่างมาก

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News