Categories
SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงม่วนคว้าแชมป์ อปท.ดีเด่น 4.23 ล้านบาท โมเดลธรรมาภิบาลล้านนา

เชียงม่วน”ขึ้นแท่นต้นแบบธรรมาภิบาลท้องถิ่นล้านนา เบื้องหลังชัยชนะอันดับ 1 เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท และบทเรียนสู่การยกระดับ อปท. ทั่วประเทศ

พะเยา, 3 ตุลาคม 2568 – แสงไฟจากเวทีแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี สะท้อนประกายความภูมิใจไปถึงชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในดินแดนล้านนา—เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา เมื่อ นายสุเมธี คำลือ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงม่วน ก้าวขึ้นรับ รางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประเภทโดดเด่น ชนะเลิศอันดับ 1 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อม เงินรางวัล 4,233,600 บาท จากมือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางสายตาผู้บริหาร อปท. จากทั่วประเทศกว่า 250 หน่วยงานที่เข้าร่วมในฐานะผู้ได้รับรางวัลปีนี้

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 พิธีมอบรางวัลครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการประกาศ “ใครทำได้ดี” หากแต่เป็นการยืนยันว่าระบบการบริหารภาครัฐระดับฐานรากของไทย เดินหน้าเข้าสู่มาตรฐานธรรมาภิบาลเชิงรูปธรรม—โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับล้านนาตะวันออกเฉียงเหนือที่มีโครงสร้างท้องถิ่นหนาแน่นและความต้องการบริการสาธารณะหลากหลาย การที่เชียงม่วน “ทะยานเป็นที่หนึ่ง” จึงมีนัยยะแห่งความหวังต่อจังหวัดรอบข้างอย่าง เชียงราย น่าน แพร่ พะเยา และต่อทั้งภูมิภาคเหนือที่ต้องการโมเดลต้นแบบสำหรับยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่านงานท้องถิ่นที่มีมาตรฐาน

จากเวทีระดับชาติสู่หมู่บ้านริมโขง ทำไม “เชียงม่วน” จึงคว้าอันดับ 1

คีย์เวิร์ดสามคำ ที่ทีมงานเชียงม่วนย้ำมาตลอดคือ ธรรมาภิบาล–ร่วมมือ–วัดผลได้” ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากแคมเปญที่หวือหวา หากมาจาก “งานประจำที่ทำอย่างไม่ประมาท” ตั้งแต่ระบบงบประมาณ การบริการประชาชน ไปจนถึงงานสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน โดยสรุปปัจจัยเชิงระบบที่ทำให้เชียงม่วนโดดเด่น มีอย่างน้อย 5 มิติ ดังนี้

  1. ธรรมาภิบาลและระบบการเงินการคลังเข้มแข็ง
    ก่อนมาถึงจุดนี้ อปท. ผู้ร่วมชิงรางวัลต้องผ่านกลไกคัดกรองหลายชั้น ตั้งแต่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงาน ป.ป.ท. จนถึงการประเมินจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เพื่อยืนยันว่า “การใช้จ่ายและโครงการทุกชิ้น โปร่งใส–ตรวจสอบได้” เชียงม่วนจึงไม่ใช่เฉพาะ “ทำงานดี” แต่ “ทำดีอย่างมีหลักฐาน”
  2. การมีส่วนร่วมระดับชุมชน (People–Public Partnership)
    โมเดลการขับเคลื่อนนโยบายที่เชียงม่วนทำเป็นกิจวัตรคือ “ชวนประชาชนคิดตั้งแต่ต้นน้ำ” ผ่านเวทีรับฟัง แผนชุมชน และกลไกสภาเมืองเล็กๆ ที่จับต้องได้ จึงไม่ได้มีเพียงความเห็นชอบของผู้แทน แต่เป็น ฉันทมติร่วม ที่ทำให้การบริการสาธารณะไปถึง “ความทุกข์–ความสุขจริง” ของคนในพื้นที่
  3. บริหารแบบข้อมูลนำ (Data–Driven Local Government)
    ระบบติดตามความคืบหน้าโครงการ (dashboard) และตัวชี้วัดบริการสาธารณะทำให้ผู้บริหารเห็นคอขวดได้เร็ว เช่น งานถนน น้ำประปา ขยะมูลฝอย หรือการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เลือกใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยยึดหลัก “แก้ปัญหาที่มีผลต่อชีวิตประจำวันก่อน
  4. เชื่อมแผนจังหวัด–อำเภอ–ตำบล และพันธมิตรภาคประชาสังคม
    เชียงม่วนทำหน้าที่ “ฮับบูรณาการ” ประสานแผนกับจังหวัดพะเยาและอำเภอข้างเคียง รวมทั้งเครือข่ายชุมชนและภาคเอกชน เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงเรียน–วัด–สถานประกอบการในพื้นที่ ทำให้โครงการเดินหน้าเร็วด้วยต้นทุนสังคมต่ำ
  5. พัฒนาคนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง (Local Talent First)
    ลงทุนกับ “คนทำงานด่านหน้า” ทั้งพนักงานส่วนท้องถิ่น อสม. อพปร. และอาสาสมัครด้านสิ่งแวดล้อม จัดอบรมทักษะใหม่แบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ดิจิทัลเบื้องต้นจนถึงการสื่อสารความเสี่ยงภัยพิบัติ ขณะที่ประชาชนกลายเป็น “หุ้นส่วน” ของการป้องกันปัญหา มากกว่าจะเป็นเพียง “ผู้รับบริการ”

เมื่อยกเลนส์ไปส่องเกณฑ์การให้รางวัลระดับประเทศปีนี้—ที่มี 250 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลจากอนุกรรมการเฉพาะกิจ 52 รางวัล และกลุ่มที่ผ่านรอบสุดท้าย/ผ่านเกณฑ์ตามหลักเกณฑ์จัดสรรเงินอุดหนุนรวม 198 รางวัล—จะเห็นว่า เชียงม่วน ชนะในหมวดโดดเด่นของเทศบาลตำบล” ซึ่งเป็นสนามที่การแข่งขันดุเดือดที่สุด เพราะมีจำนวนหน่วยงานมากและงานบริการกระทบชีวิตผู้คนโดยตรง ตั้งแต่น้ำ ไฟ ถนน ไปจนถึงกิจกรรมผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และสิ่งแวดล้อม

นายกฯ เน้น “อปท. คือหน่วยแรกที่แตะหัวใจประชาชน” – นายกสุเมธีตอบรับ “รางวัลนี้เป็นของทุกคน”

บนเวที นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ย้ำกลางห้องประชุมว่า อปท. คือกลไกที่ ใกล้ชิดประชาชนที่สุด และเป็น “ด่านหน้า” ของรัฐในการบรรเทาความเดือดร้อน ส่งต่อปัญหา และสื่อสารนโยบาย “เพื่อให้เกิดความกินดีอยู่ดี” ข้อความสำคัญคือ รางวัลในวันนี้ต้องเป็นทั้ง แรงจูงใจและแรงบันดาลใจ ให้ท้องถิ่นทั่วประเทศรักษาความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยกระดับการทำงานอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นายสุเมธี คำลือ กล่าวหลังรับรางวัลว่า “รางวัลนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่เป็นของชาวเชียงม่วนทั้งตำบล—คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา พนักงาน และประชาชนที่ร่วมแรงร่วมใจ ความเชื่อมั่นที่ทุกคนมอบให้ทำให้เรากล้าปรับปรุงงานประจำให้มีมาตรฐานขึ้นทุกปี” พร้อมกันนั้น นายกสุเมธีได้รับเชิญขึ้นเวที PITCHING ถ่ายทอด “ถอดบทเรียนสู่การพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” เพื่อแบ่งปันแนวทางให้ อปท. อื่นๆ นำไปปรับใช้

คีย์เมสเสจของเชียงม่วน การบริหารจัดการที่ดี = ธรรมาภิบาล + การมีส่วนร่วม + วัดผลได้ + ทีมงานแข็งแรง + ประชาชนร่วมมือ

เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท เงินก้อนนี้จะไม่ “นอนนิ่ง” แต่ขยับคุณภาพชีวิต

เงินรางวัล 4,233,600 บาท ที่เชียงม่วนได้รับ ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ หากเป็น “เชื้อเพลิงสาธารณะ” ที่เทศบาลตั้งใจจะผลักให้เกิดผลลัพธ์ต่อชีวิตผู้คนอย่างรวดเร็ว รายการใช้จ่ายที่อยู่ในกรอบแนวคิดเบื้องต้น (ตามหลักเกณฑ์เงินอุดหนุนและแผนพัฒนาท้องถิ่น) ได้แก่

  • ยกระดับบริการขั้นพื้นฐาน ที่สำคัญและมีคอขวด เช่น ระบบประปาชุมชน ถนนเชื่อมชุมชน และไฟส่องสว่างที่ปลอดภัย
  • เพิ่มสมรรถนะงานสิ่งแวดล้อม เช่น การคัดแยกขยะต้นทาง–รถเข็นรีไซเคิลชุมชน–สวนสาธารณะขนาดย่อมสำหรับผู้สูงอายุ
  • ลงทุนในคน ผ่านหลักสูตรทักษะใหม่สำหรับพนักงานท้องถิ่นและเครือข่ายอาสาสมัคร เช่น การรับมือภัยพิบัติ–การสื่อสารสาธารณะ–ดิจิทัลภาครัฐ
  • โครงการต้นแบบการมีส่วนร่วม เช่น เวทีวางแผนชุมชน และงบมีส่วนร่วม (participatory budgeting) ในโครงการที่กระทบจำนวนประชาชนมาก

การจัดสรรเช่นนี้สะท้อน “หลักการคุ้มค่าต่อภารกิจ (Value for Mission)” ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องการให้รางวัลนี้เป็น แรงขับต่อเนื่อง ไม่ใช่ “เช็คใบเดียวแล้วจบ”

บทเรียนสำหรับจังหวัดรอบข้าง โดยเฉพาะ “เชียงราย” จะต่อยอดอย่างไรให้เกิดผลทั้งจังหวัด

แม้รางวัลนี้จะเป็นของจังหวัดพะเยา แต่ ผลสะเทือนเชิงบวก ส่งถึงจังหวัดคู่ขนานในโครงสร้างเศรษฐกิจ–สังคม อย่าง เชียงราย ซึ่งกำลังเร่งเครื่องขับเคลื่อนท้องถิ่นด้วยแนวคิดใหม่ เช่น เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ, เมืองฟ้ามืด (Dark Sky), Wellness/Creative City และโลจิสติกส์ชายแดน การนำบทเรียนเชียงม่วนมาจับ “โจทย์พื้นที่เชียงราย” ทำได้อย่างน้อย 4 ทาง

  1. ยกระดับธรรมาภิบาลเชิงรุก
    ตั้ง ศูนย์ข้อมูลเปิดท้องถิ่น (Open Local Data) สำหรับโครงการลงทุนหลัก—ถนน–ประปา–ขยะ–สาธารณสุข—เผยแพร่งบประมาณ ความคืบหน้า และผลลัพธ์ต่อคุณภาพชีวิต เพื่อให้ประชาชน “ร่วมติดตาม” ได้อย่างเป็นระบบ
  2. สร้างแพลตฟอร์มการมีส่วนร่วม
    ใช้กลไก “งบมีส่วนร่วม” รายตำบล/เทศบาล นำร่องในโครงการที่กระทบคนหมู่มาก เช่น พื้นที่สาธารณะปลอดภัย/ทางเท้า/ไฟทางเดิน/ลานสุขภาพ โดยให้ประชาชนร่วมออกแบบ–โหวตโครงการ–ลงแรงตั้งแต่ต้นน้ำ
  3. พัฒนาทีมอาสาสมัครท้องถิ่นเข้มแข็ง
    เชื่อม อสม.–กู้ชีพ–อาสาสมัครสิ่งแวดล้อม–อาสาป้องกันภัย เข้ากับระบบตอบสนองภัยพิบัติและสุขภาพชุมชน โดยอบรมทักษะเฉพาะ (เช่น การสื่อสารภาวะวิกฤต, การใช้แอปแจ้งเหตุ, การเก็บข้อมูลพื้นที่เสี่ยง)
  4. ตั้งเป้า “รางวัลรวมจังหวัด”
    ผลักดันให้ อปท. ในเชียงรายเข้าสู่สนามรางวัล การบริหารจัดการที่ดี” พร้อมกันหลายหน่วย เพื่อสร้าง “เอฟเฟกต์แคสเคด” ให้การยกระดับมาตรฐานเกิดขึ้นเป็นเครือข่ายทั้งจังหวัด เกิดแรงจูงใจระหว่างกัน มีการแลกเปลี่ยนคู่พี่เลี้ยง–คู่นวัตกรรม

หากเชียงรายเดินตามรอย “เชียงม่วนโมเดล” บวกกับจุดแข็งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทุนทางวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–ชายแดน–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภูมิภาคเหนือจะได้เห็น กลุ่มเมืองท้องถิ่นมาตรฐานสูง” ที่ขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตได้จริงในระดับพื้นที่

เกณฑ์คัดเลือก “อปท.ดีเด่น” ปี 2568 บอกอะไรเรา

การได้รับรางวัลปีนี้สะท้อนว่า อปท. ผู้ชนะ สอดคล้องนโยบายรัฐบาลดิจิทัล–ข้อมูลเชื่อมโยงทั้งระบบ” ที่นายกรัฐมนตรีประกาศในสภาเมื่อ 30 กันยายน 2568 อย่างน้อย 3 แกนหลัก

  • ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ต้องเปิดเผยข้อมูล และผ่านการกลั่นกรองจากหน่วยงานตรวจสอบอิสระ
  • สมรรถนะการบริหารและบริการสาธารณะ มีตัวชี้วัดผลลัพธ์ (Outcome) ไม่ใช่เฉพาะตัวชี้วัดกิจกรรม (Output)
  • การมีส่วนร่วมของประชาชน โครงการต้อง “ร่วมคิด–ร่วมทำ–ร่วมติดตาม” ไม่ใช่เพียงทำเสร็จตาม TOR

นอกจากรางวัลใหญ่ที่เชียงม่วนได้รับ ยังมีการจัดสรรรางวัลรวม 250 รางวัล ครอบคลุมทั้ง หมวดดีเลิศ (เช่น เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลเมืองลำพูน และ อบจ.สตูล) และ หมวดโดดเด่น/ทั่วไป ในขนาดองค์กรต่างๆ สะท้อนว่ามาตรฐานไม่ได้ผูกติดกับ “องค์กรใหญ่เท่านั้น” หากองค์กรขนาดเล็กที่บริหารจัดการดีอย่างมีวินัยก็สามารถขึ้นแท่นได้เช่นกัน

 “ชนะแล้วทำอะไรต่อ” – จากเหรียญรางวัลสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เสียงเฮจากห้องประชุมจางลง แต่ “งานจริง” เพิ่งเริ่ม เชียงม่วนประกาศเจตนารมณ์ว่าจะใช้รางวัลเป็น คานงัด” ผลักโครงการเร่งด่วน 3 กลุ่มใน 12 เดือนข้างหน้า

  1. ปลอดภัย–เข้าถึงได้ ปรับปรุงจุดเสี่ยงทางเดิน ทางม้าลาย ไฟทางเท้า และจุดมืดหน้าสถานศึกษา–ชุมชน ให้เป็นมาตรฐานเมืองมนุษย์เดินเท้า
  2. สิ่งแวดล้อม–สุขภาวะ โครงการคัดแยกขยะต้นทางครัวเรือน/ตลาด, สวนสาธารณะขนาดย่อม (pocket park) สำหรับผู้สูงอายุ, กิจกรรมสุขภาพชุมชนต่อเนื่อง
  3. รัฐดิจิทัลท้องถิ่น ขยายบริการเอกสารออนไลน์ นัดหมายงานราชการผ่านแอป/ไลน์ออฟฟิเชียล, เปิดฐานข้อมูลโครงการ (project tracker) ให้ประชาชนติดตามสถานะได้แบบเรียลไทม์

หากทำสำเร็จ นี่จะเป็น “วงจรคุณธรรม” ของการบริหารท้องถิ่น—โปร่งใส → ประชาชนเชื่อมั่น → ร่วมมือมากขึ้น → คุณภาพบริการดีขึ้น → สร้างความไว้วางใจต่อไปไม่รู้จบ

มุมมองเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้รางวัล “ไม่ใช่งานปีละครั้ง” แต่เป็น “มาตรฐานทุกวัน”

รางวัลคือแรงจูงใจ แต่ มาตรฐาน ต้องกลายเป็น “กิจวัตร” 3 แนวทางที่หน่วยกลางอย่าง กระทรวงมหาดไทย–กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และพันธมิตรควรผลักต่อเนื่อง ได้แก่

  • เอสคูล (S-Cool) ท้องถิ่น สร้างเครือข่าย “โรงเรียนพัฒนาผู้นำท้องถิ่น” อบรมหลักสูตรระยะสั้นให้ผู้บริหาร–ข้าราชการท้องถิ่นมองภาพเชิงยุทธศาสตร์ ใช้ข้อมูลตัดสินใจ และสื่อสารสาธารณะอย่างมืออาชีพ
  • มาตรฐานข้อมูลกลาง (Local Gov Open Schema) บังคับใช้โครงสร้างข้อมูลเปิดมาตรฐานเดียวกันสำหรับงบประมาณ โครงการ การจัดซื้อจัดจ้าง และผลลัพธ์บริการ เพื่อให้เทียบเคียงกันข้ามจังหวัด/อปท. ได้
  • กลไกเงินอุดหนุนตามผลลัพธ์ (Outcome–Based Grant) จัดงบพิเศษให้โครงการที่พิสูจน์ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ชัด เช่น อัตราเกิดอุบัติเหตุลดลง คุณภาพน้ำ/อากาศดีขึ้น การเข้าถึงบริการสุขภาพชุมชนเพิ่มขึ้น

แนวทางเหล่านี้จะทำให้ “ความดี” ไม่ได้วัดเฉพาะวันรับรางวัล แต่เกิดขึ้น ทุกวัน ที่ประชาชนเปิดก๊อกน้ำสะอาด เดินบนทางเท้าที่ปลอดภัย และพิมพ์เอกสารราชการได้ด้วยตนเองจากโทรศัพท์มือถือ

จากเชียงม่วนถึงเชียงราย—และทั่วประเทศ

ชัยชนะของ เทศบาลตำบลเชียงม่วน คือข้อความเชิงบวกต่อทุกชุมชนล้านนา และต่อประเทศไทยว่า “ท้องถิ่นไทยทำได้” เมื่อยึดหลักธรรมาภิบาล บริหารบนข้อมูล และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงคือ ความเชื่อมั่น และ คุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้นอย่างจับต้องได้

สำหรับ เชียงราย เมืองใหญ่ของล้านนาตอนบนที่กำลังก้าวไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวคุณภาพ โลจิสติกส์ชายแดน และโมเดลเมืองน่าอยู่—บทเรียนเชียงม่วนคือ เข็มทิศ ให้เดินสู่มาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด ผ่านความร่วมมือของเทศบาล–อบต.–ชุมชน–ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาในพื้นที่

สุดท้าย รางวัลที่เชียงม่วนรับในปี 2568 จะมีคุณค่ามากที่สุด หากมันจุดประกายให้ทุก อปท. ทำสิ่งธรรมดาให้ไม่ธรรมดา—เดินเอกสารให้เร็วขึ้นอีกนิด เปิดข้อมูลให้มากขึ้นอีกหน่อย ฟังประชาชนให้ลึกขึ้นอีกขั้น และตรวจสอบตนเองให้เข้มขึ้นอีกทุกวัน เพราะปลายทางของงานท้องถิ่น ไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่คือชีวิตของผู้คนที่ ปัดเป่าความทุกข์และเพิ่มความสุข” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงมหาดไทย / กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) / สำนักงาน ป.ป.ช. / สำนักงาน ป.ป.ท.
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี / คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายคว้า 4 รางวัล “เพชรพระนคร” ครอบคลุมวรรณศิลป์-หัตถกรรม ตอกย้ำเมืองศิลปิน

เชียงรายเชิดชูศิลปิน “เพชรพระนคร” ปี 2568 พลังสร้างสรรค์สี่สาขาผงาดเวทีชาติ

เชียงราย ,26 กันยายน 2568 –  บริเวณหอประชุมใหญ่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย บทพิสูจน์ของ “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่หยั่งรากในชุมชนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานในพิธีมอบ รางวัลเพชรพระนคร แก่ศิลปินและผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านวัฒนธรรมจากเชียงราย 4 ท่าน ครอบคลุมสี่สาขาหลักของมรดกภูมิปัญญา ตั้งแต่วรรณศิลป์ ดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ ไปจนถึงศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน โดยโครงการรางวัลนี้เป็นกิจกรรมเชิดชูเกียรติที่ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จัดต่อเนื่องถึง ครั้งที่ 7 ประจำปีพุทธศักราช 2568 และมีเกณฑ์การสรรหา-คัดเลือกที่ชัดเจน โปร่งใส ครอบคลุมอย่างน้อย 12 สาขา ของงานวัฒนธรรมร่วมสมัยและดั้งเดิม

จากเวทีจังหวัดสู่เวทีประเทศ

เวลา 09.00 น. เสียงประกาศเชิญผู้มีเกียรติเข้าสู่หอประชุมใหญ่ดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เจ้าหน้าที่วัฒนธรรมในพื้นที่ทำหน้าที่ประสานงานและอำนวยความสะดวก ผู้รับรางวัลพร้อมครอบครัวและครูช่างชุมชนทยอยเข้าที่นั่ง บรรยากาศยังคงความเรียบง่ายแต่ทรงความหมาย เพราะทุกคนตระหนักว่า “ใบประกาศเกียรติคุณ” บนเวทีคือจุดเริ่มของภารกิจใหม่—การถ่ายทอดองค์ความรู้กลับสู่ชุมชน โดยมีหน่วยงานรัฐระดับจังหวัดทำหน้าที่พี่เลี้ยงและเชื่อมโยงเครือข่ายต่อไป. ข้อมูลเชิงพิธีการ เวลา และสถานที่ ได้รับการสื่อสารทางการผ่านช่องทางของจังหวัดและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายอย่างชัดเจน

รางวัลเพชรพระนครกรอบสาขาที่ “ครอบคลุมทั้งหน้าฉากและหลังฉาก”

รางวัลเพชรพระนครตั้งต้นจากเจตนารมณ์ “ยกย่องผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม” ครอบคลุมทั้งระดับเยาวชนและประชาชนทั่วไป และแบ่งสาขาย่อยหลากหลาย เช่น ทัศนศิลป์ ดุริยางคศิลป์ วรรณศิลป์ ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน คหกรรมศิลป์ ศาสนาและขนบธรรมเนียม การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาท้องถิ่นและเศรษฐกิจพอเพียง บำเพ็ญประโยชน์และจิตอาสา กีฬาและนันทนาการ รวมถึงสาขาเกี่ยวเนื่องอื่นตามที่ประกาศในปีนั้น ๆ กรอบดังกล่าวสะท้อนวิสัยทัศน์ “ทั้งระบบ” ของงานวัฒนธรรม ที่เห็นคุณค่าทั้งผู้สร้างสรรค์หน้าฉากและผู้ปิดทองหลังพระในโครงสร้างชุมชน

รายชื่อผู้ได้รับการเชิดชูเกียรติจากเชียงรายปี 2568

  1. นายฉลอง พินิจสุวรรณ — สาขา วรรณศิลป์ (เหรียญทอง) ผู้สร้างรากฐานงานเขียนร่วมสมัยที่หยิบยกท้องถิ่นเป็นฐาน แล้วขยายสู่สาธารณะในวงกว้าง ชื่อของ “ฉลอง” เชื่อมโยงกับชีวประวัติด้านวรรณศิลป์และการทำงานด้านภาษาในพื้นที่ภาคเหนืออย่างยาวนาน
  2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ อินทนิเวศ — สาขา ดุริยางคศิลป์ (เหรียญทอง) เป็นแบบอย่างของการใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารวัฒนธรรม สร้างเวทีให้เยาวชนทดลอง-เรียนรู้ และประยุกต์องค์ความรู้ทางดนตรีกับชีวิตร่วมสมัย
  3. นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี — สาขา ทัศนศิลป์ (เหรียญทอง) สะท้อนศักยภาพ “เมืองศิลปิน” ของเชียงราย ผ่านผลงานที่เชื่อมแกลเลอรี ชุมชนศิลป์ และพื้นที่เรียนรู้เข้าด้วยกัน.
  4. นางสาวนิธี สุธรรมรักษ์ — สาขา ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน (เหรียญเงิน) ต้นแบบการอนุรักษ์และดัดแปลงภูมิปัญญางานช่างมือสู่ผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย เพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจและตัวตนวัฒนธรรมให้กับชุมชน.

หมายเหตุ: รายชื่อและสาขาดังกล่าวถูกสื่อสารยืนยันโดยหน่วยงานภาครัฐในระดับจังหวัดและหน่วยงานผู้จัดรางวัล โดยเฉพาะประกาศผลทางการของสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

จากความภาคภูมิใจสู่โจทย์ “ถ่ายทอด-ต่อยอด” ในพื้นที่

เมื่อเสียงปรบมือสุดท้ายจบลง โจทย์ที่เริ่มต้นทันทีคือ “จะถ่ายทอดอย่างไรให้ถึงมือคนรุ่นใหม่” บทเรียนจากเชียงรายชี้ว่า “การเชิดชู” จะงอกเงย เมื่อมี กลไกการส่งต่อความรู้ ที่เป็นรูปธรรม ได้แก่

  • บทบาทครูชุมชนศิลป์: ศิลปินผู้ได้รับรางวัลเข้าเยี่ยมโรงเรียน อบต. ศูนย์การเรียนรู้ จัดเวิร์กช็อปเชิงปฏิบัติการ สร้างแรงบันดาลใจที่ลงมือทำได้จริง
  • ฐานข้อมูลดิจิทัลผลงาน: รวบรวมหนังสือ เพลง งานจิตรกรรม ลวดลายหัตถกรรม และคลิปการสาธิตไว้ในแหล่งเปิด เพื่อให้นักเรียน-ครู-ผู้ประกอบการเข้าถึง
  • เส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: เชื่อมศูนย์ศิลป์ แหล่งหัตถกรรม ตลาดชุมชน และเวทีดนตรีท้องถิ่น ให้การท่องเที่ยวกลายเป็นรายได้ทางเลือกของชุมชน

มองเชิงนโยบาย นี่คือ Soft Power ฐานราก ที่จับต้องได้—เพราะหนึ่งรางวัล อาจเท่ากับหนึ่งโครงการใหม่ในหมู่บ้านหนึ่งแห่ง ถ้าร้อยรางวัลเชื่อมกัน จะเกิดเครือข่ายการเรียนรู้ทั้งจังหวัด

เชียงรายในภาพกว้างระบบนิเวศวัฒนธรรมที่เกื้อหนุนกัน

จุดแข็งของเชียงรายคือ การทำงานร่วมกันของสถาบันการศึกษา หน่วยงานวัฒนธรรม ผู้นำท้องถิ่น และภาคประชาสังคม การได้รับรางวัลทั้งสี่สาขาในปีนี้ ทำให้ห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ของ “ศิลปะ—ความรู้—เศรษฐกิจชุมชน” ครบถ้วน ตั้งแต่งานเขียน (สร้างความคิด) ดนตรี (ขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม) ทัศนศิลป์ (ยกระดับภาพลักษณ์) จนถึงหัตถกรรม

ทำไม “กรอบสาขา 12 หมวด” จึงสำคัญต่อมาตรฐานการคัดเลือก

กรอบสาขาที่ชัดเจนคือหลักประกันว่า รางวัลเน้น คุณค่าเชิงสาธารณะ มากกว่าความโด่งดังเฉพาะบุคคล การเปิดพื้นที่ตั้งแต่ ศิลป์ คหกรรม จิตอาสา จนถึงกีฬาและนันทนาการ แปลว่า งานวัฒนธรรมไม่ได้จำกัดเฉพาะ “เวที” หากครอบคลุม “วิถี” อันเป็นเหตุผลที่ชื่อของครูช่าง ผู้จัดการชุมชน หรือครูภูมิปัญญา สามารถปรากฏเคียงข้างศิลปินมืออาชีพได้อย่างภาคภูมิ ทั้งหมดนี้สะท้อนอยู่ในประกาศและคำอธิบายกิจกรรมของหน่วยงานผู้จัด

บทเรียนเชิงนโยบายจากพิธีมอบรางวัลปีนี้

  1. รัฐ-สถาบัน-ชุมชน ต้องทำงานแบบสามเหลี่ยม: จังหวัดช่วยอำนวยการ สถาบันอุดมศึกษากำกับมาตรฐาน และชุมชนเป็นเวทีทดลองและต่อยอด
  2. สร้างเส้นทางอาชีพด้านศิลปะอย่างจริงจัง: หลักสูตรสั้น คูปองทักษะ เวิร์กช็อป และคลินิกธุรกิจชุมชน จะเปลี่ยนรางวัลเป็น “รายได้”
  3. สื่อสารสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ: การเผยแพร่ผลและเกณฑ์ผ่านเพจ/เว็บทางการ ช่วยให้การคัดเลือก “ตรวจสอบได้” และชวนคนรุ่นใหม่เข้าร่วมมากขึ้น

 “ราก” ของศิลปินทำให้ “รางวัล” งอกงาม

ในบรรดาผู้รับรางวัล ชื่อของ ฉลอง พินิจสุวรรณ คือภาพสะท้อนว่าฐานรากการศึกษาและการทำงานยาวนานในพื้นที่ภาคเหนือ—ตั้งแต่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคมไปจนถึงบทบาทด้านภาษา—คือทุนทางสังคมที่สั่งสมแล้วผลิดอกบนเวทีประเทศ

รางวัลครั้งนี้บอกอะไรกับอนาคตเชียงราย

  • บอกว่า เมืองนี้มี “ระบบ” ไม่ใช่เพียง “ดาวเด่น” เมื่อสี่สาขาสำคัญถูกยกย่องพร้อมกัน แปลว่าระบบนิเวศวัฒนธรรมทำงานครบห่วงโซ่
  • บอกว่า ความภูมิใจต้องแปรเป็น “โครงการ” ทั้งในโรงเรียน ชุมชน และตลาด เพื่อให้วัฒนธรรมอยู่ได้ด้วยคุณค่าและมูลค่า
  • บอกว่า ความโปร่งใสของกระบวนการคัดเลือก (มีประกาศผลและเกณฑ์บนช่องทางทางการ) คือทุนความน่าเชื่อถือที่เติมให้รางวัลมีน้ำหนักและยืนระยะได้

พิธีมอบ รางวัลเพชรพระนคร ปี 2568 ที่เชียงรายไม่ใช่เพียงไฮไลต์ปลายปี แต่คือ “สัญญาณเริ่มต้น” ของการเดินทางบทใหม่ในพื้นที่—ซึ่งต้องการทั้งพลังสาธารณะและพลังหน่วยงาน หากเดินหน้าตามสามหลักการ “ถ่ายทอด-ต่อยอด-ตรวจสอบได้” รางวัลในวันนี้จะงอกเงยเป็นหลักสูตร เวที และรายได้ของชุมชนในวันพรุ่งนี้ และทำให้ Soft Power ฐานราก ของเชียงรายและล้านนามีน้ำหนักต่อเนื่องบนเวทีประเทศ

นายฉลอง พินิจสุวรรณ – รางวัลเพชรพระนคร สาขาวรรณศิลป์ ประเภทเหรียญทอง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ อินทนิเวศ – รางวัลเพชรพระนคร สาขาดุริยางคศิลป์ ประเภทเหรียญทอง
นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี – รางวัลเพชรพระนคร สาขาทัศนศิลป์ ประเภทเหรียญทอง
นางสาวนิธี สุธรรมรักษ์ – รางวัลเพชรพระนคร สาขาศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน ประเภทเหรียญเงิน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วันผู้สูงอายุ-ครอบครัวอบอุ่น เชียงรายชู “คุณค่า” มอบ 38 รางวัล

เชียงรายจัดยิ่งใหญ่ วันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว 2568

เชียงรายรวมพลังหนุนคุณค่าผู้สูงอายุ

เชียงราย,เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 – โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “คุณค่าผู้สูงวัย สานสายใยพลังครอบครัว” ณ โรงแรมลักษวรรณ รีสอร์ท อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงตัวแทนภาคีเครือข่ายจากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ส่งเสริมความรัก-อบอุ่น สร้างสังคมผู้สูงวัยที่มีคุณค่า

งานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่าและความสำคัญของผู้สูงอายุ รวมทั้งส่งเสริมการสร้างความรัก ความอบอุ่น และการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลในครอบครัว ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายในการยกระดับสถาบันครอบครัวไทยให้เข้มแข็งและเป็นที่พึ่งพาทางจิตใจของทุกคนในสังคม

กิจกรรมหลากหลาย สะท้อนภูมิปัญญาผู้สูงวัย

ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น การจัดบูธนิทรรศการคลังปัญญาผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์จากผู้สูงอายุ และนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาหัวข้อ “เคล็ดลับการดูแลสุขภาพผู้สูงวัย และการเอาใจใส่ของครอบครัว” ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ร่วมงานทุกกลุ่มอายุ

พิธีรดน้ำดำหัวและขอพรผู้สูงอายุ

อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญของงานคือ การรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้สูงอายุ เพื่อแสดงออกถึงความเคารพรักและความกตัญญูกตเวที โดยมีพระครูปิยวรรณพิพัฒน์ ดร. ประธานเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย เป็นผู้นำกล่าวสัมโมทนียกถาในหัวข้อ “คุณค่าผู้สูงวัย สานสายใยครอบครัว” เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุในครอบครัวและสังคม

มอบรางวัลเกียรติยศ เชิดชูบุคคลต้นแบบ

ในโอกาสนี้มีการมอบรางวัลเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลและหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและครอบครัว จำนวน 38 ราย ได้แก่ ผู้สูงอายุแบบอย่างดีเด่น ผู้สูงอายุดีเด่นของสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุดีเด่น ครอบครัวร่มเย็น บุคคลดีเด่นด้านการพัฒนาครอบครัว ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนที่มีผลงานโดดเด่น รวมถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนดีเด่น และบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนในจังหวัดเชียงราย

ผู้ว่าฯ ย้ำ ครอบครัวเข้มแข็งสู่สังคมยั่งยืน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล พร้อมเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของครอบครัวและผู้สูงวัย โดยกล่าวว่า “การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาสังคมให้ยั่งยืน ครอบครัวเป็นสถาบันหลักที่อบอุ่นและมั่นคง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสังคมในระยะยาว”

สถิติผู้สูงอายุของประเทศไทยและเชียงราย

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ทั้งสิ้นประมาณ 13.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด โดยจังหวัดเชียงรายมีผู้สูงอายุรวมกว่า 300,000 คน หรือร้อยละ 21 ของประชากรทั้งจังหวัด (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและความเข้มแข็งของครอบครัว ถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต่อการสร้างสังคมไทยที่มีความยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับทุกวัย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคุมไฟป่าดีขึ้น เตรียมมอบรางวัล “หมู่บ้านสีเขียว”

เชียงรายชนะศึกไฟป่า ลดจุดความร้อนกว่า 72% ปี 2568

เชียงรายตั้งเป้าสู้ไฟป่าหมอกควันอย่างจริงจัง

เชียงราย,23 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าจริงจังกับปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยกำหนดห้ามเผาเด็ดขาดในที่โล่ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 ผลลัพธ์ที่ได้คือจุดความร้อนลดลงกว่า 72% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างความพึงพอใจให้กับหน่วยงานและชุมชนในพื้นที่อย่างมาก

สถิติพื้นที่เผาไหม้ลดลงต่อเนื่อง

ในช่วงเดือนมกราคม 2568 พื้นที่เผาไหม้จังหวัดเชียงรายลดลงจากปี 2567 ถึง 6.57% โดยปีที่แล้วมีการเผาไหม้จำนวน 23,027 ไร่ ปีนี้ลดเหลือ 21,514 ไร่ เดือนกุมภาพันธ์พื้นที่เผาไหม้ลดลง 1.05% จาก 47,760 ไร่ เหลือ 47,260 ไร่ และเดือนมีนาคมลดลงอย่างชัดเจนถึง 65.77% จากเดิม 14,760 ไร่ เหลือเพียง 5,052 ไร่เท่านั้น

ประชุมวางแผนป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานประชุมติดตามสถานการณ์ไฟป่าครั้งที่ 7/2568 โดยมีตัวแทนจากทุกอำเภอเข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พร้อมรายงานสถานการณ์และผลดำเนินการป้องกันไฟป่าในพื้นที่อย่างละเอียด

อำเภอแม่สายไร้จุดความร้อนตลอดฤดู

จากรายงานของที่ประชุมพบว่า อำเภอแม่สายไม่มีจุดความร้อนเลยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงวันที่ 21 เมษายน 2568 แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมจากประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม ถือเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม

บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ล่าตัวผู้กระทำผิด

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจับกุมผู้ลักลอบเผาป่าในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงและอำเภอแม่ลาวได้ โดยดำเนินคดีตามกฎหมายทันที รองผู้ว่าฯ ย้ำชัดว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนเชื่อมโยงกับการลดปัญหาหมอกควันในอนาคต

มอบรางวัลพลเมืองดี สนับสนุนการมีส่วนร่วม

ในที่ประชุมมีการพิจารณามอบเงินรางวัลให้พลเมืองดี 2 ราย ที่แจ้งเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับการเผาป่า ถือเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่ของตนเอง

เตรียมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” สร้างแรงจูงใจ

จังหวัดเชียงรายเตรียมจัดกิจกรรมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” เพื่อยกย่องหมู่บ้านที่มีการจัดการไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพในระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ โดยหวังว่ารางวัลนี้จะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนมีแรงบันดาลใจในการดูแลพื้นที่ของตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดการเกิดไฟป่าในอนาคต

ปรับกลยุทธ์บริหารจัดการเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม

ในที่ประชุมยังมีการหารือถึงการปรับช่วงเวลาการบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากหมอกควันอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ประชาสัมพันธ์กฎหมาย สร้างความตระหนักรู้

หน่วยงานต่างๆ ได้เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์กฎหมายและบทลงโทษที่เกี่ยวข้องกับการเผาป่าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่ประชาชนทุกระดับ โดยเชื่อว่าความเข้าใจที่ชัดเจนจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน

สถิติสำคัญในการลดปัญหาไฟป่า

สถิติพื้นที่เผาไหม้ของจังหวัดเชียงรายตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2568 ลดลงเฉลี่ยถึง 24.46% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจุดความร้อนลดลงถึง 72.60% นับเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความสำเร็จของมาตรการต่างๆ ที่จังหวัดเชียงรายนำมาใช้อย่างจริงจังในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (รายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศและหมอกควันปี 2568)
  • สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (รายงานสถิติการเผาไหม้ปี 2567-2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคว้ารางวัลเมืองสีเขียวระดับประเทศ

เชียงรายคว้ารางวัลเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับดีเยี่ยม ก้าวสู่การเป็นเมืองน่าอยู่

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เทศบาลนครเชียงรายสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดอีกครั้ง หลังได้รับการประเมินผลให้เป็น “เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับดีเยี่ยม” ในการประเมินเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับประเทศ ประจำปี 2567 ผลการประเมินดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเทศบาลนครเชียงรายในการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความยั่งยืน

ความสำเร็จจากการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ

การที่เทศบาลนครเชียงรายได้รับการประเมินให้เป็นเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับดีเยี่ยมนั้น เกิดจากความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามกรอบความคิด “เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน” ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ เมืองอยู่ดี คนมีสุข สิ่งแวดล้อมยั่งยืน และเมืองแห่งการเรียนรู้และการบริหารจัดการที่ดี โดยเทศบาลนครเชียงรายได้ดำเนินการตามองค์ประกอบทั้ง 4 อย่างอย่างครอบคลุม

การประเมินที่เข้มข้นและรอบด้าน

กระบวนการประเมินของเทศบาลนครเชียงรายเป็นไปอย่างเข้มข้นและรอบด้าน โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้พิจารณาข้อมูลและเอกสารผลงานที่เทศบาลนครเชียงรายส่งเข้าประกวด รวมถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบผลงานจริง เช่น มหาวิทยาลัยวัยที่ 3 นครเชียงราย, บ่อบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครเชียงราย และชุมชนดอยสะเก็น ป่าใจเมืองนครเชียงราย ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมและสามารถนำไปเป็นแบบอย่างได้

เป้าหมายสู่การเป็นเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับประเทศ

การได้รับการประเมินระดับดีเยี่ยมในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของเทศบาลนครเชียงรายในการก้าวสู่การเป็นเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับประเทศ โดยเทศบาลนครเชียงรายจะนำผลการประเมินนี้ไปปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป เพื่อให้เชียงรายเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความยั่งยืนในระยะยาว

ความหมายของรางวัล

การได้รับรางวัล “เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนยอดเยี่ยม ระดับประเทศ ประจำปี 2567” จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพราชสุดาสยามบรมราชกุมารี นับเป็นเกียรติสูงสุดของเทศบาลนครเชียงราย และเป็นแรงบันดาลใจให้หน่วยงานอื่นๆ ในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

เสียงจากนายกเทศมนตรีนครเชียงราย

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนชาวเชียงราย ที่ร่วมกันสร้างสรรค์เมืองให้เป็นเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืน ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนและร่วมกันสร้างสรรค์เมืองเชียงรายให้เป็นเมืองที่น่าอยู่”

การเผยแพร่ผลการประเมิน

ผลการประเมินดังกล่าว จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 และจะได้รับการเผยแพร่ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองที่ยั่งยืน

บทสรุป

ความสำเร็จของเทศบาลนครเชียงรายในการได้รับการประเมินให้เป็นเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับดีเยี่ยม เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเมืองเชียงรายให้เป็นเมืองที่น่าอยู่และมีความยั่งยืนในระยะยาว การดำเนินงานตามหลักการของเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน จะช่วยให้เชียงรายเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE