Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ลำไยบินได้” เชียงรายจับมือเวียตเจ็ท แก้ปัญหาราคาตก-ผลผลิตล้นตลาด

ลำไยบินได้” เชียงรายผนึกกำลังเวียตเจ็ท แก้ราคาตก-ล้นตลาด ด้วยพลังขนส่งทางอากาศ

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – เชียงรายคิกออฟ “ลำไยบินได้” ปั้นโมเดลเชื่อมตลาดใต้ จังหวัดเชียงรายเปิดฉากโครงการ “ลำไยบินได้” อย่างเป็นทางการ โดยร่วมมือกับสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ ส่งตรงลำไยเกรดพรีเมียมจากภาคเหนือสู่ภูเก็ต หวังเพิ่มมูลค่าผลผลิต สร้างทางเลือกใหม่ให้เกษตรกร พร้อมแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ

การแถลงข่าว ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เผยว่า ความร่วมมือนี้เป็นกลไกเฉพาะหน้าเพื่อระบายผลผลิตลำไยคุณภาพ คัดเกรด AA+A บรรจุขนาด 5 กก./ตะกร้า ผ่านใต้ท้องเครื่องบินผู้โดยสาร มีกำหนดขนส่งระหว่างวันที่ 4-29 สิงหาคม 2568 คาดเป้าหมายรวมกว่า 24 ตัน หรือประมาณสัปดาห์ละ 6 ตัน

สนามบินแม่ฟ้าหลวงหนุนเต็มกำลัง เสริมโลจิสติกส์ผลไม้เชียงราย

น.ต.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ยืนยันว่า สนามบินมีศักยภาพรองรับการขนส่งสินค้าเกษตรได้ถึง 5,000 ตันต่อปี พร้อมจัดพื้นที่ ปรับระบบโลจิสติกส์ และเพิ่มความปลอดภัย เพื่อให้ลำไยถึงจุดหมายด้วยความสดใหม่และรวดเร็ว

ในขณะที่นายภาคภูมิ ผลพิสิษฐ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย มองว่า การกระจายสินค้าด้วยระบบขนส่งทางอากาศนี้ ช่วยเปิดตลาดใหม่และลดแรงกดดันจากตลาดเดิม พร้อมระบุว่าการส่งออกภายในประเทศแบบ point-to-point ถือเป็นทางเลือกสำคัญของเกษตรกรยุคใหม่

ลำไยล้นตลาด 1.69 ล้านตัน วิกฤตราคาต่ำสุดในรอบ 11 ปี

ข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายและศูนย์วิจัยกสิกรไทย สอดคล้องกันว่า ปี 2568 ลำไยในพื้นที่ภาคเหนือมีผลผลิตรวมสูงถึง 1.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 19% จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเชียงรายที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 64,419 ตัน เป็น 106,929 ตัน หรือพุ่งขึ้นกว่า 66% ทำให้ราคาตลาดเฉลี่ยตกต่ำเหลือเพียง 14 บาท/กิโลกรัม ต่ำสุดในรอบ 11 ปี

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย กล่าวเสริมว่า ความท้าทายนี้เกิดจากผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันในปริมาณมาก แต่ยังขาดระบบกระจายที่รวดเร็วและเชื่อมโยงตลาดได้ทันที

รัฐบาลอัดมาตรการด่วน เสริมทัพโครงการเชียงราย

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร รัฐบาลโดยนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผย 3 มาตรการคู่ขนานที่กำลังดำเนินการในช่วงเดือนสิงหาคม ได้แก่:

  • มาตรการช่วยเหลือด้านการตลาด: กำหนดราคาขั้นต่ำลำไยรูดร่วง (เกรด AA 13 บาท/กก., A 6 บาท/กก.) โดยสมาคมโรงอบลำไยภาคเหนือและกรมการค้าภายใน
  • เตรียมเสนอ ครม. พัฒนาสวนลำไยคุณภาพ: สนับสนุนค่าตัดแต่งและปัจจัยการผลิต รวมสูงสุด 14,000 บาท/ครัวเรือน
  • ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ย 0% แปรรูปผลผลิต: ร่วมมือกับ อ.ต.ก. และหน่วยงานต่างๆ กระจายผลผลิตลำไยผ่านกระทรวงศึกษาธิการ ยุติธรรม และไปรษณีย์ไทย

โมเดล “ลำไยบินได้” สร้างผลประโยชน์ให้ใคร?

การเปิดตัวโมเดลการขนส่งลำไยทางอากาศครั้งนี้ แม้เป็นมาตรการเฉพาะหน้า แต่สร้างผลกระทบในเชิงบวกอย่างชัดเจนต่อประชาชนหลายกลุ่ม ได้แก่:

  • เกษตรกร: ได้ราคาที่สูงขึ้น และไม่จำเป็นต้องเร่งเก็บเกี่ยวลำไยก่อนถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม
  • ผู้บริโภคในพื้นที่ปลายทาง: ได้รับลำไยสดคุณภาพดีในราคาที่เป็นธรรม
  • ผู้ประกอบการโลจิสติกส์และสนามบิน: มีโอกาสพัฒนาเส้นทางขนส่งเชิงพาณิชย์
  • เศรษฐกิจท้องถิ่น: เกิดการหมุนเวียนรายได้ กระตุ้นการจ้างงานและบริการที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสายการบิน ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรไทยที่สามารถต่อยอดไปสู่ผลไม้ชนิดอื่นในอนาคต

เชียงรายลุยโมเดลต้นแบบ ผลักดันผลไม้ไทยให้บินไกล

“ลำไยบินได้” คือการผสมผสานระหว่างการบริหารจัดการเชิงนโยบาย การสร้างระบบขนส่งที่คล่องตัว และการพัฒนาตลาดปลายทางอย่างยั่งยืน แม้จะเป็นโครงการทดลองในช่วงวิกฤต แต่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการวางแผนและบูรณาการระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม

หากสามารถต่อยอดให้ครอบคลุมทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่เพียงแค่ลำไย แต่รวมถึงผลผลิตอื่นของไทย โมเดลนี้อาจกลายเป็นโครงสร้างหลักของการขนส่งสินค้าเกษตรแห่งอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • หอการค้าจังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกท้องถิ่น เปิด “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

อบจ.เชียงรายผนึกกำลังท้องถิ่น ดัน “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ “นายกนก” ชี้ชัดพร้อมหนุนเต็มที่ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในช่วงเวลาวิกฤตที่ราคาผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของภาคเหนืออย่าง “ลำไย” และ “กระท้อน” ตกต่ำจนสร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของ “นายกนก” นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ไม่รอช้า เร่งเดินหน้าผนึกกำลังกับองค์กรปกครองท้องถิ่น จัดเวทีตลาดผลไม้เพื่อเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณการจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ประจำปี 2568 ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

การรวมพลังจากฐานรากเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

วันที่ 2 สิงหาคม 2568 เทศบาลตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย คึกคักเป็นพิเศษจากการจัดพิธีเปิดงานวันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก โดยมี นายกนก – นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยนายพิเศษ อาษา นายกเทศมนตรีตำบลห้วยสัก คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ. เจ้าหน้าที่ และประชาชนกว่า 500 คนมาร่วมงานอย่างคับคั่ง

งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดนัดผลไม้ แต่คือ “เวทีเชื่อมตรง” ระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภค ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรถูกกดราคา และรายได้ไม่เป็นธรรม นอกจากผลไม้สดแล้ว ยังมีสินค้าแปรรูปจากลำไย กระท้อน ขนมพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์ OTOP จากกลุ่มอาชีพในชุมชน มาร่วมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรท้องถิ่น

พร้อมสู้ทุกปัญหาเพื่อชาวไร่

ในพิธีเปิดงาน นายกนกเน้นย้ำว่า “อบจ.เชียงราย ยืนยันจะอยู่เคียงข้างเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณและประสานกับทุกหน่วยงาน เพื่อเปิดตลาดตรง ให้เกษตรกรได้ขายสินค้าในราคายุติธรรม สร้างรายได้มั่นคงให้กับครอบครัว สร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแกร่ง และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน”

นอกจากนั้น อบจ. ยังวางแผนต่อยอดตลาดผลไม้ในอนาคตให้สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพิ่มกิจกรรมสร้างสีสัน เช่น ประกวดผลไม้สวยงาม สาธิตการแปรรูป การประกวดอาหารท้องถิ่น สร้างเสน่ห์และคุณค่าที่แตกต่าง

วิกฤตราคาสินค้าเกษตรจุดเปลี่ยนสู่การสร้างความยั่งยืน

ในแต่ละปี เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวลำไยและกระท้อน ผลผลิตมักล้นตลาด เกษตรกรถูกกดราคา บางปีราคาต่ำกว่าทุน แต่การจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การบรรเทาเฉพาะหน้า แต่เป็นการ “ปักหมุด” ให้เกิดรูปแบบการตลาดใหม่ที่เน้นการขายตรงจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค หรือ “Direct to Consumer” โดยแท้จริง

โครงการนี้เป็นโมเดลการตลาดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง อบจ. และเทศบาล ต่อยอดแนวคิดพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ช่วยให้เกษตรกรกำหนดราคาขายได้เอง ส่งเสริมการตั้งกลุ่มอาชีพ/วิสาหกิจชุมชน ร่วมคิด ร่วมพัฒนา และสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเลือกซื้อผลผลิตในชุมชนเป็นอันดับแรก เกิดการกระจายรายได้ เพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตด้วยการแปรรูปเป็นของฝากหรือขนมขบเคี้ยว สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง

บูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-วัฒนธรรม

งาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ไม่ได้จำกัดเฉพาะเกษตรกรรม หากแต่บูรณาการสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ภายในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการสินค้าชุมชน Workshop การทำขนมพื้นบ้าน การท่องเที่ยวสวนผลไม้เชิงเกษตร เพื่อสร้างความหลากหลายดึงดูดนักท่องเที่ยว เพิ่มโอกาสต่อยอดเป็นเทศกาลประจำปีที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับพื้นที่ในระยะยาว

จุดแข็งที่สำคัญคือการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผน จัดเตรียมงาน ขายสินค้า ไปจนถึงกิจกรรมบนเวทีหลัก ช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ สร้างความผูกพันและภาคภูมิใจในชุมชนของตน

 “เชียงรายโมเดล” – อบจ.นำร่องตลาดตรง สู้ปัญหาเกษตรกรยุคใหม่

จากวิกฤตราคาผลผลิตตกต่ำสู่โอกาสพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงแนวคิดการบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ที่ไม่เพียงแต่อาศัยงบประมาณภาครัฐช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังกล้า “ลงมือปฏิบัติจริง” ดึงคนในชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท ผลักดันให้เกิดโมเดลการตลาดที่เป็นธรรม เชื่อมตรงเกษตรกร-ผู้บริโภค เสริมสร้างการแปรรูปเพิ่มมูลค่า เปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจระดับรากฐาน

โมเดลนี้ยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระจายอำนาจการตัดสินใจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากท้องถิ่น ช่วยลดช่องว่างทางรายได้และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว

 “นายกนก” นำทีมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างความยั่งยืนให้เชียงราย

การจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ปี 2568 คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ประชาชนมีงานทำ เศรษฐกิจชุมชนขยายตัว และเกิดต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สามารถต่อยอดในอนาคต

นี่คือบทพิสูจน์ถึงผู้นำท้องถิ่นที่ไม่เพียงแค่ “บริหารงบ” แต่ “เข้าใจหัวใจเกษตรกร” และกล้าขับเคลื่อนชุมชนให้ก้าวข้ามวิกฤตสู่โอกาสใหม่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลห้วยสัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ลำไยเชียงรายล้นตลาด ราคาดิ่งหนัก! รองนายกฯ อบจ.ลงพื้นที่ดอยลาน รับฟังปัญหาเกษตรกร

อบจ.เชียงรายเร่งแก้ “ลำไยล้นตลาด”! รองนายกฯ ลงพื้นที่ดอยลาน รับฟังปัญหาเกษตรกร พร้อมประสาน “ผู้ว่าฯ-รมว.เกษตรฯ” ด่วน

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – ลำไยเชียงรายราคาดิ่ง-ผลผลิตล้นตลาดรองนายกฯ อบจ. ลงพื้นที่ดอยลาน ร่วมหาทางออก วิกฤตเกษตรกร

สถานการณ์ราคาลำไยตกต่ำและผลผลิตล้นตลาดในจังหวัดเชียงรายปีนี้ สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตตำบลดอยลาน อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกลำไยสำคัญของภาคเหนือ เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ผลผลิตที่ล้นโรงอบจนไม่สามารถขายได้ กลายเป็นภาระสะสมในชีวิตและหนี้สิน

ในช่วงเช้าวันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้ นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย และนางสาวอริญชยา กายาไชย สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 6 ลงพื้นที่ตำบลดอยลาน เพื่อพบปะพูดคุยและรับฟังปัญหาโดยตรงจากกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการโรงอบในพื้นที่ รวมถึงรับฟังข้อมูลจากบริษัท ไทย หม่าน อี้ จำกัด ผู้ประกอบการโรงอบรายใหญ่ประจำตำบล เพื่อรวบรวมข้อมูลและหาแนวทางแก้ไขวิกฤตครั้งนี้

ภาพรวมปัญหา ผลผลิตล้น-ราคาตก-โรงอบรับไม่ไหว

จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูล พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ต่างประสบปัญหาลำไยสดล้นตลาด โรงอบไม่สามารถรับซื้อได้หมด เนื่องจากปริมาณผลผลิตปีนี้สูงเกินความต้องการของตลาด โดยราคาลำไยสดคุณภาพดี (เกรด AA) เฉลี่ยอยู่เพียง 8-10 บาท/กก. (ต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ย 15-16 บาท/กก.) ขณะที่ลำไยเกรดรอง (A, B, C) ราคาตกต่ำเหลือ 2-5 บาท/กก. และบางโรงอบถึงกับหยุดรับซื้อลำไยเกรดต่ำ ทำให้เกษตรกรจำนวนมากจำใจต้องปล่อยให้ลำไยเน่าเสียหรือแจกจ่ายฟรีให้ชุมชนโดยไม่ได้รายได้

“ปีนี้ลำไยเต็มสวนแต่ไม่มีที่ขาย โรงอบก็เต็ม บางเจ้ารับซื้อแบบจำกัดปริมาณ โรงร่อนรับได้น้อยมาก เกษตรกรขาดทุนต่อเนื่อง บางคนถึงขั้นต้องกู้เงินนอกระบบมาจุนเจือครอบครัว” ตัวแทนเกษตรกรเผย

ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังกระทบเศรษฐกิจฐานรากทั้งระบบ เนื่องจากเชียงรายถือเป็นจังหวัดปลูกลำไยรายใหญ่ อันดับ 3 ของประเทศ รองจากเชียงใหม่และลำพูน ผลผลิตที่ล้นตลาดเกินศักยภาพของระบบแปรรูปและตลาดรับซื้อ นำไปสู่ราคาดิ่งลงต่ำต่อเนื่อง

อบจ.เชียงรายเดินหน้าประสานทุกภาคส่วน เร่งช่วยเหลือเฉพาะหน้าและวางแนวทางยั่งยืน

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย เปิดเผยภายหลังการหารือว่า “อบจ.เชียงรายรับทราบความเดือดร้อนของเกษตรกรทุกคน จะไม่นิ่งนอนใจโดยเด็ดขาด เบื้องต้นได้ประสานโรงอบไทย หม่าน อี้ รับซื้อลำไยเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อช่วยระบายผลผลิตออกจากสวน ลดแรงกดดันในพื้นที่ พร้อมทั้งจะรวบรวมข้อเสนอแนะและปัญหาจากเกษตรกรทุกกลุ่ม นำไปรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และประสานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขทั้งระยะสั้นและระยะยาวโดยเร็วที่สุด”

วิกฤตลำไยเชียงราย บททดสอบใหญ่ “ระบบจัดการผลผลิตไทย”

ปัญหาลำไยล้นตลาดและราคาตกต่ำไม่ได้เกิดขึ้นเพียงปีนี้ แต่เป็นปัญหาซ้ำซากที่สะสมมานาน ข้อมูลกรมวิชาการเกษตร ระบุว่า ปี 2568 ปริมาณผลผลิตลำไยสดในภาคเหนือพุ่งสูงกว่าปีที่แล้วถึง 12% ขณะที่ตลาดส่งออกหลักอย่างจีนและเวียดนามต่างมีข้อจำกัดเรื่องนำเข้าและมีผลผลิตในประเทศเองมากขึ้น ทำให้พึ่งพิงตลาดในประเทศเป็นหลัก โรงอบในพื้นที่ไม่สามารถรับซื้อลำไยได้ทันกับผลผลิตที่หลั่งไหลออกมาพร้อมกัน

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา:

  • การรับฟังปัญหาและประสานงานรวดเร็ว: การที่ อบจ.เชียงราย ส่งรองนายกฯ ลงพื้นที่รับฟังเสียงประชาชนอย่างใกล้ชิด แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาจริงจัง ต่างจากการสื่อสารผ่านระบบราชการปกติที่อาจล่าช้าและห่างไกลข้อเท็จจริง
  • บทบาท “องค์กรปกครองท้องถิ่น” ในวิกฤต: การประสานงานเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่ผู้ว่าราชการจังหวัดและกระทรวงเกษตรฯ สะท้อนการขับเคลื่อนปัญหาขึ้นสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายได้ตรงจุด ไม่ใช่แค่ “ฟังแล้วจบ” ในระดับท้องถิ่น
  • แนวทางบรรเทาฉุกเฉิน: แม้การรับซื้อลำไยเพิ่มของโรงอบจะช่วยได้เพียงบางส่วนและชั่วคราว แต่หากรัฐเร่งสนับสนุนการกระจายตลาด ส่งเสริมการแปรรูป ผลักดันตลาดออนไลน์หรือส่งเสริมการส่งออกนอกฤดู น่าจะช่วยสร้างสมดุลให้กับอุปทานที่ล้นตลาดได้มากขึ้น

ข้อเสนอแนะสู่ความยั่งยืน:

  • ระบบข่าวกรองและบริหารจัดการผลผลิต: ควรวางระบบติดตามผลผลิตและคาดการณ์ปริมาณล่วงหน้าอย่างแม่นยำ เพื่อป้องกันภาวะล้นตลาดซ้ำซาก และผลักดันการวางแผนการผลิตแบบยั่งยืน
  • การเสริมศักยภาพแปรรูปและเพิ่มมูลค่า: ควรเร่งรัดสนับสนุนโรงงานแปรรูปขนาดเล็กในพื้นที่ กระตุ้นการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากลำไย เพิ่มโอกาสส่งออก และลดการพึ่งพาตลาดสดเพียงอย่างเดียว
  • ส่งเสริมความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน: ต้องสร้างความร่วมมือระหว่างเกษตรกร-โรงอบ-ผู้ส่งออก เพิ่มความเข้มแข็งและยืดหยุ่นให้ระบบรับมือวิกฤตได้ดีขึ้นในอนาคต

สรุป:

สถานการณ์ลำไยล้นตลาดที่เชียงรายในปีนี้ ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ระบบเกษตรกรรมไทยทุกระดับ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและเชิงโครงสร้าง เชียงรายจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสสร้างความแข็งแกร่งให้เกษตรกรในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ไทย หม่าน อี้ จำกัด
  • กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • รายงานข่าวสถานการณ์ผลผลิตลำไยภาคเหนือ (2568)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News