Categories
FEATURED NEWS

“สกสว. บพข. ททท. และ ATTA ผนึกกำลังวิจัย Market Foresight และ Thailand Tourism Carrying Capacity มุ่งสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก”

 

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม  2567 เวลา 09.00 – 12.00 น.  ที่ โรงแรม เอส 31 สุขุมวิทกรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA)  จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)  “การพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้วยงานวิจัยการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ทั้ง 4 หน่วยงานในเป้าหมายสำคัญที่จะร่วมมือกันสนับสนุนการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การตลาดภาคการท่องเที่ยวและบริการ ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างยั่งยืนบนฐานทรัพยากรของประเทศ และสอดคล้องตามแผนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 (ววน.) ในด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตามแนวทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ในด้านการท่องเที่ยวให้เป็นระบบเศรษฐกิจมูลค่าสูง มีความยั่งยืนและเพิ่มรายได้ของประเทศ ผ่านการทำงานและขับเคลื่อนร่วมกันตามบทบาทภารกิจของแต่ละหน่วยงาน โดยใช้กลไกการสนับสนุนงบประมาณวิจัยที่มีโจทย์ความต้องการของภาคเอกชน เพื่อให้เกิดผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลกระทบในวงกว้าง  โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธี ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 5 โรงแรม เอส 31 สุขุมวิท กรุงเทพมหานคร 30 พฤษภาคม 2567

 

ในโอกาสนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว.ได้มอบหมายให้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว.เป็นผู้แทนเข้าร่วม พร้อมกันนี้ ด้านของ บพข. รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์  ผู้อำนวยการ บพข. ได้มอบหมายให้ รองศาสตราจารย์ ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รองผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์วิจัย บพข.เป็นผู้แทน สำหรับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีนายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ในฐานะผู้แทนผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ ATTA มี นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภายใต้โครงการวิจัยของแผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ งบประมาณจากกองทุนส่งเสริม วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานในพิธี กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท มุ่งเน้นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว (Tourism Hub) พร้อมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวร่วมกับภาคเอกชน สมาคมแอตต้า รวมทั้งสมาคมอื่นๆ ซึ่งถือเป็นหัวจักรสำคัญของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทย           โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานในสังกัด พร้อมสนับสนุนเต็มกำลัง นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้แทนสมาคมต่างๆ เสนอประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทย      ทั้งการเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง การเพิ่มเที่ยวบิน การพิจารณาเรื่องวีซ่า การแต่งตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย รวมทั้ง การส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism for All) รองรับสังคมผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพชีวิต การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวกลุ่มฟื้นฟูสุขภาพ กลุ่มครอบครัว กลุ่มผู้พิการ ซึ่งถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ซึ่งการพัฒนานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยองค์ความรู้จากฐานงานวิจัยและพัฒนา เพื่อนำไปสู่การเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพสูงนี้ให้ได้รับความสะดวกสบายและปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากลตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยในปัจจุบันกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ดำเนินการพัฒนาอารยสถาปัตย์ (universal design) เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวสำหรับคนทุกคนในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน

 

ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. ในฐานะผู้แทนผู้อำนวยการ สกสว. เผยว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระหว่างปี พ.ศ. 2559-2562 สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละประมาณ 2.1 ถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 18 ของ GDP และรัฐบาลมีนโยบายเชื่อมโยงระหว่างการท่องเที่ยวกับซอฟต์พาเวอร์ ผ่านเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ เสน่ห์ไทย นำจุดแข็งของมรดกทางวัฒนธรรมมาเป็นจุดขายที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสผ่านประสบการณ์ตรง อาทิ ศิลปะการต่อสู้มวยไทย วัฒนธรรมอาหารไทย ผ้าไทย เทศกาลและโชว์ไทย เป็นต้น ความร่วมมือ (MOU) นี้จึงมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการวิจัย      การยกระดับและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นที่ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) ด้าน Demand : ภาพอนาคตการตลาด (Market Foresight) เพื่อปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยใช้ข้อมูลจาก Social Listening และ Foresight การทำงานในด้านนี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การเพิ่มรายได้และความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว 2) ด้าน Supply : ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว (Carrying Capacity) เพื่อลดปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมืองหลักในกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ และชลบุรี ด้วยการกระจายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองน่าเที่ยวอื่นๆ โดยนำเสนอข้อมูลผ่าน Dashboard เพื่อให้ภาคเอกชนมีเครื่องมือในการประเมินพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต การกระจายนักท่องเที่ยวจะช่วยลดความแออัดในเมืองหลัก เพิ่มความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่อื่น ๆ

 

สำหรับ รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รองผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์วิจัย (บพข.) กล่าวว่า บพข.ในฐานะหน่วยบริหารและจัดการทุนที่ดูแลงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มองว่าในระยะยาว ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับความร่วมมือสำคัญในครั้งนี้ คือ 1)ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว : การท่องเที่ยวของประเทศไทยจะมีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ 2)การเติบโตของเศรษฐกิจท้องถิ่น : เมืองและชุมชนที่ได้รับการกระจายนักท่องเที่ยวจะมีโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น และ 3)การเพิ่มความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว : นักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นจากการท่องเที่ยวในประเทศไทย นำไปสู่การเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยวที่กลับมาเที่ยวอีกครั้ง

 

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยวผู้แทน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  เผยว่า สำหรับการท่องเที่ยวแห่งประเทศ หรือ ททท.ในฐานะภาครัฐที่เป็นผู้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทยในการสร้างประสบการณ์ที่ทรงคุณค่าและมุ่งสู่ความยั่งยืน ความร่วมมือในนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับนโยบาย IGNITE Thailand ของภาครัฐที่มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

 

ด้าน นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวว่า ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะกลาง คือ ประการแรก การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งความร่วมมือของ 4 หน่วยงานสำคัญในครั้งนี้ จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทยมีความสามารถในการปรับตัวและแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านการตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของนักท่องเที่ยว ประการที่สอง การกระจายนักท่องเที่ยว : ลดความแออัดในเมืองหลักและเพิ่มโอกาสในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ทั่วประเทศ ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และประการสุดท้ายคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ : ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวมากขึ้น นำไปสู่การเพิ่มรายได้และการสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างยิ่ง

 

ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ระหว่างภาครัฐ ทั้ง สกสว. บพข. และ ททท. และ ATTA ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี ที่ว่า “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” เพราะภาคเอกชนผู้ที่มีเครื่องมือและข้อมูลที่สามารถช่วยในการวางแผนและปรับกลยุทธ์จะทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเติบโต ทั้งนี้สมาคมท่องเที่ยวอื่นๆ ก็จะสามารถได้รับข้อมูลและแนวทางปฏิบัติที่ดีจากความร่วมมือนี้ สามารถนำไปปรับใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสมาคมและสมาชิกให้มีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวและพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคต สามารถผลักดันการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ผอ.สกสว. ปิดโครงการ ลกส. รุ่นที่ 1 ยันการสนับสนุนสภาการสื่อมวลชนฯ

 
เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ที่โรงแรมรอยัลริเวอร์ การจัดอบรม โครงการ “เพิ่มองค์ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง : โลกาภิวัตน์ในกระบวนทัศน์ใหม่ของสื่อ” ได้จัดให้มีการนำเสนอโครงงานของผู้เข้ารับการอบรม และปิดการอบรมหลักสูตรโครงการดังกล่าว โดยดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ ประธานคณะกรรมการหลักสูตร กล่าวปัจฉิมนิเทศว่า ครั้งแรกที่หารือกันในที่ประชุมกรรมการสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เรื่องอยากจะให้ระดมพลคนสื่อมาเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นใช้คำว่าโลกาภิวัตน์ กรรมการทุกคนเห็นด้วยอย่างยิ่ง จนทำให้เกิดเป็นวันนี้ขึ้นมา

ดร.พิเชฐ กล่าวอีกว่า การนำคน 20-30 คนมาอยู่ด้วยกัน คงมีโอกาสไม่มากนัก ประกอบกับต้องขยายขอบเขตให้คนที่ไม่ได้เป็นสื่อเข้ามาอยู่ในวงด้วยจนเกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นคุณค่าที่จับต้องไม่ได้ แต่สำคัญยิ่ง นับเป็น Real Power ของพวกเราอย่างมาก เมื่อเรามีรุ่นแรก ก็น่าจะเป็นความคิดให้พวกเราช่วยกันมองอนาคตของสื่อที่จะทำอย่างไรให้เข้มแข็ง และขยายโอกาสไปให้กลุ่มอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย หัวข้อในอนาคตอาจเป็นเรื่องอื่นๆ เพราะตอนนี้เราอยู่ในโลกที่มีความหลากหลายอย่างมาก ศาสตร์เดียวเอาไม่อยู่ เราต้องเรียนรู้กันตลอดชีวิต เพราะปัจจุบันมีหลายเรื่องเกิดขึ้น ทั้ง Geopolitics ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทุกประเทศต้องหาจุดยืน สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันกัน สิ่งแวดล้อมก็เป็นเงื่อนที่สำคัญยิ่ง แต่การตกลงในกรอบความร่วมมือต่างๆ ของโลกกลับยังไม่เห็นผลอะไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเยอะ หรือเรื่องของเทคโนโลยี ไม่เรียนรู้ก็ไม่ได้ ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับลูกหลานในอนาคต จึงเป็นเรื่องของพวกเราต้องช่วยกันบอกสังคมให้ตระหนักรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเหล่านี้คือเรื่องของอนาคตจริงๆ

 

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่ทำให้รุ่น 1 เป็นจริงขึ้น ทุกคนล้วนบอกว่าสนุกสนานมีความสุข เพิ่มพูนองค์ความรู้ได้ดี นำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ ก็หวังว่าในอนาคตจะช่วยกันสื่ออะไรที่สำคัญให้สังคมทราบ เพิ่มเครือข่ายการทำงานและความร่วมมือแบบนี้ ให้เพิ่มมากขึ้นอีก

 ส่วนช่วงบ่ายมีการนำเสนอโครงงานกลุ่มของผู้เข้ารับการอบรม กลุ่มที่ 1 ศักยภาพผู้สูงอายุไทยที่ไม่มีวัน…เกษียณแก้โจทย์แรงงานไทย หยุดตีกรอบวัยทำงาน สร้างทางเลือกหลังเกษียณ กลุ่มที่ 2 โอกาสและการขับเคลื่อน SOFT POWER ผ่านอุตสาหกรรมบันเทิงไทย กลุ่มที่ 3 วิกฤตการเกิด เรื่องกำเนิด…ใครกำหนด?

กลุ่มที่ 4 PM 2.5 วิกฤติฝุ่นพิษ “ข้ามแดน” ปัญหาไร้ทางออก? และกลุ่มที่ 5 ผีน้อยส่งออก “Made in Thailand” ผลผลิตจากสังคมไทยไร้โอกาส ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มได้นำเสนอให้อาจารย์ที่ปรึกษาให้คำแนะนำ และปรับปรุงแก้ไขมาก่อนหน้านี้ โดยวันนี้กรรมการหลักสูตรและผู้ทรงคุณวุฒิร่วมให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วย

 รองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวปิดการอบรมว่า ในนามสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ สกสว. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติมาเป็นประธานปิดการอบรมโครงการ “เพิ่มองค์ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง: โลกาภิวัตน์ในกระบวนทัศน์ใหม่ของสื่อ” ซึ่งจัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติร่วมกับสกสว. ในวันนี้ 

ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า สกสว.เป็นองค์กรที่มุ่งยกระดับศักยภาพและขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ ววน. ของประเทศ เพื่อส่งมอบคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน รวมถึงผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว การสนับสนุนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติจัดหลักสูตรอบรมในครั้งนี้ จึงถือว่าสอดคล้องกับพันธกิจของ สกสว. ในการที่จะช่วยยกระดับศักยภาพของสังคมทุกภาคส่วนในการใช้ความรู้และนวัตกรรมร่วมขับเคลื่อนประเทศ  โดยที่สื่อมวลชนไทย ในฐานะที่ท่าน ที่มีหน้าที่สำคัญในการเป็นสื่อกลางให้ข้อมูลความรู้แก่สังคม  สามารถเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม โดยเฉพาะองค์ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและระเบียบโลก  สภาการสื่อมวลสามารถเป็นสื่อกลางให้กับสื่อมวลชนไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของสื่อมวลชนและบุคลากรในหน่วยงาน ในการรายงานและวิเคราะห์ข่าว ความเคลื่อนไหวในมุมต่าง ๆ ของระเบียบโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน และเป็นไปตามหลักจริยธรรมของสื่อมวลชน อีกทั้งเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสื่อมวลชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  

 

ผอ.สกสว. กล่าวต่อว่า ส่วนตัวชอบทำงานกับคนรุ่นใหม่ อนาคตของประเทศ ซึ่งทั้ง 5 หัวข้อเลือกมาเป็นประเด็นที่มีความสำคัญและมีความหมายกับประเทศ ดีใจที่ทุกคนได้มีโอกาสสืบค้นข้อมูล สื่อมวลชนกับนักวิจัยมีส่วนคล้ายๆ กัน คือ สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูล และการสื่อสาร ว่าสิ่งที่ได้จากข้อมูลคืออะไร แต่สิ่งที่ต่างกันมากๆ คือนักวิชาการอาจเข้าถึงยากกำลังพูดหรือเขียนอะไร แต่สื่อมวลชนมีทั้งศาสตร์และศิลป์น่าจะเป็นหน่วยงานที่สำคัญที่จะทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ตนเชื่อพลังของการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม ที่เมื่อก่อนเปลี่ยนโลก  สร้างแรงบันดาลใจได้ ยุคสมัยผ่านไปวรรณกรรมอาจอยู่เฉพาะคนบางกลุ่ม แต่สื่อมวลชน คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายกว่า แล้วสื่อมวลชนจะสื่อสารเรื่องอะไร กรณีแบบนี้สื่อมวลชนอาจยากกว่านักวิชาการ งานวิจัยนักวิชาการจบ 1 เรื่อง แต่การทำความเข้าใจกับสาธารณะ ต้องบูรณาการหลายเรื่อง ถึงแก้ปัญหาได้ จะเห็นภาพเชิงระบบเพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะและทางออกที่ดีกว่า สื่อมวลชนมีบทบาทช่วยได้มากในเรื่องนี้ ถ้าจะสร้างสังคมที่ดีกว่า คือการสร้างปัญญา การหาข้อเสนอหรือทางออก นักวิชาการกับสื่อจึงควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ในการนำข้อมูลที่น่าสนใจและข้อมูลเชิงลึกต่างๆ เสนอให้สาธารณะรับทราบ

 

ผอ.สกสว. กล่าวอีกว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้เข้ารับการอบรมทุกท่านจะได้นำความรู้และประสบการณ์อันมีคุณค่าไปใช้ในการรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน พร้อมกันนี้ขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลจากการรายงานผลงานกลุ่มทุกท่าน และหวังว่าจะมีการเผยแพร่ผลงานดังกล่าวต่อสาธารณชนหรือภาคนโยบาย เพื่อร่วมกันสร้างพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของประเทศในประเด็นที่ท้าทายภายใต้ระเบียบโลกใหม่ และหวังว่าสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติจะจัดการอบรมหลักสูตรที่เป็นประโยชน์เช่นนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง เราอาจจะมาช่วยกันวิเคราะห์สถานการณ์  วิเคราะห์ข้อมูลและเลือกหัวข้อสำหรับการจัดอบรมในครั้งต่อๆไป 

 

ผอ.สกสว. กล่าวว่า สกสว. เป็นหน่วยงานบริหารจัดการกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) มีหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุน ขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ของประเทศในทุกด้าน เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างสมดุลและยั่งยืน

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นโครงการนำร่องที่สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติตั้งใจจะเพิ่มองค์ความรู้ด้านโลกาภิวัตน์หรือความเปลี่ยนแปลงของโลกให้แก่สื่อมวลชนไทยและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การรายงานข่าวของสื่อมวลชนไทยมีความรอบด้านและครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่สะท้อนได้อย่างดีว่าผู้เข้ารับการอบรมได้รับความรู้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่คือ ผลงานที่ผู้เข้ารับการอบรมผลิตตามที่หลักสูตรมอบหมาย

“ต้องขอบคุณทาง สกสว.เป็นอย่างมากที่เข้าใจและให้ความสำคัญต่อโครงการนี้ เชื่อว่าการสนับสนุนจาก สกสว.จะเป็นเริ่มต้นของการร่วมงานที่เป็นรูปธรรมในการเสริมสร้างความรู้และศักยภาพของสื่อมวลชนไทย ซึ่งผลที่ตามมาคือ การที่สาธารณชนจะได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชนที่สมบูรณ์มากขึ้น” ประธานสภาการสื่อมวลชนฯกล่าว.

ซึ่งในการอบรมครั้งนี้ ทางนายกันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้เข้าร่วมฝึกอบรมแลกเปลี่ยนในโครงการครั้งนี้ด้วย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News