Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านผวาปลาแม่น้ำโขง หลังพบโลหะหนัก กปภ. เร่งตรวจน้ำดิบ

เชียงรายเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง หลังพบสารหนูปนเปื้อน ชาวบ้านหวั่นผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำนานาชาติและเส้นเลือดหลักของชุมชนในจังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญกับวิกฤตการปนเปื้อนสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู (Arsenic) ที่ตรวจพบในระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย-เชียงแสน ประกาศแผนเร่งด่วนในการตรวจสอบน้ำดิบจากแม่น้ำโขงที่ใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอเชียงแสนและเชียงของ หลังทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงพบสารหนูในระดับสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แสดงความกังวลอย่างหนัก โดยหลายคนไม่กล้าบริโภคปลาและกังวลต่อผลกระทบต่อการเกษตรจากตะกอนดินโคลนที่อาจปนเปื้อน

สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกในชุมชนท้องถิ่น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อหลายประเทศในลุ่มน้ำโขง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติกำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบและวางมาตรการแก้ไข เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในแม่น้ำโขง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำโขง

แม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในจังหวัดเชียงราย แม่น้ำโขงได้รับน้ำจากแม่น้ำสาขาหลายสาย เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งไหลมาจากรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พื้นที่เหล่านี้เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งทำเหมืองแร่ที่มีกิจกรรมต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ซึ่งอาจเป็นต้นตอของการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแหล่งน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง น้ำในแม่น้ำสายมีลักษณะขุ่นขาวและมันวาวเมื่อกระทบแสงแดด แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใสกว่าปกติ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายรายงานว่าระบบผลิตน้ำประปาไม่สามารถกรองน้ำให้ใสได้ตามปกติ โดยน้ำดิบมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลากของปี 2567 และสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 จากอิทธิพลของพายุยางิ ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล สร้างความตื่นตัวให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เพื่อหาคำตอบว่าสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปถึงแม่น้ำโขงหรือไม่

การตรวจพบสารหนูในแม่น้ำโขงและผลกระทบ

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำโดยอาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง รวม 9 จุด ตั้งแต่บริเวณหัวฝาย อำเภอแม่สาย ไปจนถึงเทศบาลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน ผลการตรวจเบื้องต้นโดยใช้ชุดตรวจ Intelligent Heavy Metal Quantification Kit (IQUAN) ซึ่งพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) ในทุกจุด โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า

ผลการตรวจในจุดต่างๆ มีดังนี้:

  • จุดที่ 1: แม่น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม-หัวฝาย อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 3: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 4: คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.18 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 5: แม่น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 6: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 7: แม่น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 8: แม่น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 9: แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร

การค้นพบสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นครั้งแรกในพื้นที่เชียงราย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ร้ายแรง เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้ในการประมง การเกษตร และการผลิตน้ำประปาในหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ที่บ้านแก่งทรายมูล อำเภอเชียงแสน รายงานว่าไม่กล้าบริโภคปลาจากแม่น้ำโขง หลังกรมประมงเก็บตัวอย่างปลาเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อนเมื่อปลายเดือนเมษายน 2568 ความกังวลนี้ยิ่งทวีคูณเมื่อชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายพบว่าดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่เจริญเติบโต

นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการ กปภ. สาขาแม่สาย-เชียงแสน ระบุว่า ทาง กปภ. มีแผนเก็บตัวอย่างน้ำดิบจากแม่น้ำโขงในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยจะเน้นตรวจสอบสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งจะดำเนินการถี่ขึ้นในช่วงหน้าแล้ง และปรับตามสถานการณ์ในฤดูน้ำหลาก เขายืนยันว่าระบบผลิตน้ำประปามีกระบวนการทางเคมีและการกรองที่สามารถกำจัดสารโลหะหนักได้ แต่การตรวจสอบน้ำดิบเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย

อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร กล่าวว่า “การพบสารหนูในแม่น้ำโขงไม่ใช่แค่ปัญหาของเชียงราย แต่เป็นปัญหาระดับภูมิภาค เพราะแม่น้ำโขงไหลผ่านหลายประเทศ สารหนูที่สะสมในปลาหรือพืชผลทางการเกษตรอาจส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว หากไม่มีการจัดการที่ต้นตอ”

มาตรการแก้ไขและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤตการปนเปื้อนในแม่น้ำโขง หน่วยงานต่างๆ ได้เริ่มดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ จะลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงภายในสัปดาห์นี้ ตามคำสั่งจากรองนายกรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ผลการตรวจจะใช้ในการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา
  2. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนน้ำไปยังฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก การเจรจานี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสารหนู
  3. การส่งเสริมการเฝ้าระวังโดยชุมชน: มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาเชียงราย ได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ลาหู่และไทใหญ่ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินและติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ข้อเสนอเชิงนโยบาย: อาจารย์ ดร.สืบสกุล เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำถาวรในจังหวัดเชียงราย เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจวิเคราะห์ รวมถึงสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีชุดตรวจคุณภาพน้ำราคาประหยัด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้หยุดกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำกก เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ และการจัดตั้งกลไกตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกันระหว่างไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อปกป้องระบบนิเวศและสุขภาพประชาชน

ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีมิติหลากหลาย ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

การพบสารหนูในแม่น้ำโขงบ่งชี้ถึงความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ สารหนูที่สะสมในดินและสัตว์น้ำอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า การจัดการปัญหานี้ต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในรัฐฉาน

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งและโรคผิวหนังหากสะสมในร่างกายในระยะยาว ชาวบ้านที่พึ่งพาแม่น้ำโขงในการประมงและการเกษตรมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ การตรวจสอบและแจ้งเตือนอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำนานาชาติ ปัญหาการปนเปื้อนสารหนูจึงไม่ใช่เรื่องของประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว การเจรจากับเมียนมาและประเทศอื่นๆ ในลุ่มน้ำโขงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความท้าทายอยู่ที่ความขัดแย้งทางการเมืองในเมียนมา ซึ่งอาจทำให้การควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่เป็นไปได้ยาก

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพ และยกระดับปัญหานี้สู่เวทีระหว่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและการสนับสนุนชุดตรวจราคาประหยัดจะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำของตนเอง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การตรวจสอบและปรับปรุงระบบน้ำประปาของ กปภ. เป็นมาตรการที่จำเป็น แต่การแก้ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงต้องเน้นที่การจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ชุมชน และนักวิชาการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องแหล่งน้ำและสุขภาพประชาชน

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตมีความปลอดภัย และการตรวจสอบน้ำดิบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันความเสี่ยง

  • ชุมชนท้องถิ่นและนักวิชาการ

ชาวบ้านและนักวิชาการกังวลว่าการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพและการเกษตร พวกเขาต้องการให้มีการจัดการที่ต้นตอ โดยเฉพาะการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ และการตรวจสอบที่โปร่งใสและเข้าถึงได้สำหรับชุมชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำโขง: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำโขง บริเวณเทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน ที่ระดับ 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร และสูงสุดที่สามเหลี่ยมทองคำที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร (เกินมาตรฐาน 19 เท่า)
    ที่มา: สถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานการตรวจสอบน้ำ, 2568
  2. ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสาย: ในปี 2568 ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสายสูงถึง 7,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลาก และ 1,000 NTU ในช่วงปกติ เทียบกับ 3,000-4,000 NTU ในปี 2567
    ที่มา: การประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่สาย-เชียงแสน, รายงานคุณภาพน้ำ, 2568
  3. ผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2567: น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ส่งผลให้มีตะกอนดินโคลนปนเปื้อนสารหนูในระดับที่อาจกระทบสัตว์หน้าดินใน 4 จาก 5 จุดที่ตรวจสอบ
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567
  4. การประมงในแม่น้ำโขง: ชุมชนในจังหวัดเชียงรายที่พึ่งพาการประมงในแม่น้ำโขงมีรายได้เฉลี่ย 500 ล้านบาทต่อปี แต่ลดลง 20% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  5. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในอำเภอแม่สายและเชียงแสนที่พึ่งพาแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 150,000 คน
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลประชากร, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: WHO < 0.01 mg/L

  • ค่าสารหนูสูงสุดที่พบ: 0.19 mg/L (สามเหลี่ยมทองคำ)

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • กรมทรัพยากรธรณี

  • กรมควบคุมมลพิษ

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1)

  • ข้อมูลตรวจน้ำประปาแม่สาย: กปภ.แม่สาย, เมษายน 2568 พบค่าสารหนู 0.014 mg/L

  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครูแดงแนะตั้งหน่วยเฉพาะกิจดูแล ช่วยให้สัญชาติไทย’ชาวไทลื้อเชียงราย’

 

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ได้นำสื่อมวลชนจากส่วนกลางกว่า 10 คนลงพื้นที่ชุมชนชาวไทลื้อบ้านร่มโพธิ์ทอง จังหวัดเชียงราย เพื่อขับเคลื่อนประเด็นผู้เฒ่าไร้สัญชาติภายหลังจากที่ผู้เฒ่ากลุ่มใหญ่ได้ร้องเรียนถึงความล้าช้าในกระบวนการแปลงสัญชาติเนื่องจากแต่ละคนตกอยู่ในสภาพเปราะบางเพราะต่างสูงวัย โดยมีสมาคมไทลื้อเชียงราย นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดเวทีให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนซึ่งมีชาวบ้านเชื้อสายไทลื้อประมาณ 300 คนเข้ารวม

นางเตือนใจ ดีเทศน์ หรือ “ครูแดง” กรรมการผู้ก่อตั้ง พชภ. และอดีตสมาชิกวุฒิสภาเชียงราย กล่าวว่าปัญหาที่ จ.เชียงราย คือ ผู้เฒ่าที่ยื่นคำร้องขอแปลงสัญชาติ ได้ส่งคำร้องที่คณะกรรมการฯ ระดับจังหวัดไปกรมการปกครองแล้ว จำนวนรวมกว่า 1,332 คำร้อง แต่ได้รับการแปลงสัญชาติเพียง 239 ราย ยังไม่ได้พิจารณาอีก 1,093 คำร้อง ก่อนหน้านี้การแปลงสัญชาติต้องมีเกณฑ์ต่างๆ แต่หลังจากการขับเคลื่อนแก้ปัญหาผู้เฒ่าไร้สัญชาติ จนปี 2563 ได้มีหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทย ให้ปรับปรุงแนวทางการประกอบการพิจารณาให้สัญชาติไทยแก่ชนกลุ่มน้อยโดยการแปลงสัญชาติตามมาตรา 10 แห่งพรบ.สัญชาติ พศ.2508 ปรับลดเกณฑ์ลงสำหรับผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป

“คุณสมบัติความเป็นพลเมืองดี เราได้ผลักดันจนยกเลิกเป็นให้ใช้พยานบุคคลที่น่าเชื่อถือ 3 คน ความรู้ภาษาไทย อ่านเขียนร้องเพลงชาติยกเลิกแล้ว ตอนนี้เหลือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ถิ่นที่อยู่ 5 ปี ก่อนแปลงสัญชาติ และ ทร.14 เคสที่มาพบวันนี้เป็นผู้เฒ่าเชื้อสายไทยลื้อ ที่ส่วนใหญ่อพยพมาจากสิบสองปันนาจีนตอนใต้ เชียงตุง ท่าขี้เหล็ก อยู่มามากกว่า 50 ปี การตรวจสอบระดับจังหวัดไปแล้ว 40 คน พบว่าผู้เฒ่าเสียชีวิตไปแล้วกว่า 10 คน กระบวนการล่าช้าทำให้เขาเสียสิทธิและผู้เฒ่าถือว่าเป็นบุคคลที่เปราะบางที่สุด ซึ่งเขาเป็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายของลูกหลานคนไทย ที่ร่วมสร้างบ้านแปลงเมือง อยู่มานานมีถิ่นฐานอยู่ที่นี่”นางเตือนใจกล่าว

นางเตือนใจกล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาความล่าช้า กรมการปกครองมีข้อเสนอให้ยกระดับความสำคัญของงานสัญชาติ และจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อดูแลเรื่องสถานะบุคคลหรือสัญชาติ ส่วนที่วุฒิสภาเสนอที่ตรงกับภาคประชาสังคมให้มีหน่วยงานเฉพาะเพื่อดูแลเรื่องสัญชาติ และยกระดับความสำคัญ เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพในแง่โครงสร้าง บุคลากร ความรู้ความเข้าใจและทรัพยากรสนับสนุน

นายแอ่น ลิวไชย นายกสมาคมชาวไทลื้อ จ.เชียงราย กล่าวว่า ชาวบ้านไทลื้อ อ.แม่สาย อ.แม่สรวย อ.แม่จัน อ.เวียงป่าเป้า ฯลฯ พี่น้องไทยลื้อได้ลงแรงทำมาหากิน ไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมายหรือเสื่อมเสีย

“เราขอความเมตตาจากรัฐบาลไทย เรามาอยู่ไทยมายาวนาน ลูกเต้าเราเป็นคนไทย เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นครู ฯลฯ แต่พ่อแม่ยังติดขัด ยังไม่ได้รับบัตรประชาชนไทย หากได้สัญชาติไทยได้เข้าระบบบัตรประชาชนก็จะยินดีมาก ผมได้คุยกับนายอำเภอที่เชียงของ และที่แม่สรวยนี้ เราไม่ได้ทำให้ท่านลำบากใจไม่ได้เอาคนมาสวมมาใส่ ทำตามกฎหมาย เราช่วยกันมีอะไรก็ช่วยกัน วันนี้ขอร้องขอความเมตตาเจ้านาย ขอท่านอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” นายแอ่น กล่าว

ด้านนายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ทำเรื่องขอสัญชาติผ่านอำเภอ 48 คน เสียชีวิต 5 ราย รวมแล้วมีผู้ทำเรื่อง 43 คน ได้รับสัญชาติ 11 คน และเหลืออีก 32 คนอยู่ระหว่างพิจารณา ขณะนี้ทางอำเภอกำลังจัดเตรียมเอกสาร 17 ราย ยื่นไปจังหวัดแล้ว 14 ราย โดยงานทะเบียนอำเภอมีเจ้าหน้าที่เพียง 2 คน แต่ดูแลประชาชนกว่า 70,000 คน อย่างไรก็ตามจะพยายามดำเนินการให้เร็วที่สุด

นายพรม พรชัย ชาวบ้านร่มโพธิ์ทอง อ.แม่สรวย กล่าวว่า คนที่ไร้สัญชาติไทยไม่มีบัตรประชาชนอย่างพวกตตนถ้าไม่มีเงินสดซื้อของไม่ได้เพราะไม่มีบัตรประชาชน แต่คนมีบัตรประชาชนไม่มีเงินก็เอาบัตรเซ็นได้

“ผมได้ยื่นขอแปลงสัญชาติตั้งแต่ปี 2560 จนปี 2563 เข้าไปสอบที่จังหวัดแล้ว ร้องเพลงชาติแล้ว แต่ผ่านมาเวลานี้ก็ยังไม่ได้รับการแปลงสัญชาติ ตอนนี้คนที่เคยไปขอแปลงสัญชาติตายไปแล้ว 10 คน ผมขอฝากเรื่องนี้ด้วย” นายพรม กล่าว

ขณะที่นายแสง ศรีวิชัย ชาวบ้านจาก อ.แม่จัน กล่าวว่า ได้ยื่นขอแปลงสัญชาติตั้งแต่ปี 2559 ร้องเพลงชาติที่ศาลากลางแล้วก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ขณะที่ลูกหลานได้เป็นคนไทยหมดทุกคน โดยคนเฒ่าที่ขอแปลงสัญชาติตายไปแล้วนับสิบคน เขาบอกว่าได้แน่นอน คือนอนตาย หรืออย่างไร

นายทูล วงศา ชาวบ้านจาก อ.แม่สาย กล่าวว่า ตนเองเข้ามาไทยตั้งแต่ปี 2510 แรกๆ ไม่รู้จักและไม่สนใจเรื่องบัตรประชาชน แต่ทำให้เกณฑ์ทหารไม่ได้ ตนได้เป็นทหารรับจ้างสู้กับคอมมิวนิสต์ ปี 2523-2525 เห็นทหารกองพล 93 เอาคนไปสู้รบจนได้สัญชาติ ก็อยากทำเช่นนั้นบ้าง ที่แม่สายมีไทลื้อ 27 หมู่บ้าน รวมกัน 1,000 กว่าครอบครัว สำรวจเมื่อปี 2545

“ปี 2559 อำเภอมีหนังสือแจ้งว่าผู้เฒ่าไร้สัญชาติ อายุ 65 ปีขึ้นไป และต่อมาแก้เป็น 60 ปี เราก็ไปยื่น ตอนนี้ได้ประมาณ 100 คนแรก ยังเหลืออีก 500 คน อยากให้ช่วยดูแลให้ระยะเวลาสั้นลง เพราะกระบวนการ 730 วันยาวนานมากและหลายคนก็รอไม่ไหว ขออำลา ที่แม่สายรอไม่ไหวเสียชีวิตไปมากกว่าสิบคน” นายทูล กล่าว

ในขณะที่นายตาน ชาวบ้านจาก อ.เมือง (ห้วยปลากั้ง) อายุ 73 ปี กล่าวว่า เข้ามาตั้งแต่ปี 2520 ยังถือบัตรเลข 6 อยากรู้ว่าหากจะไปเป็นสัญชาติไทยต้องทำอย่างไร จะขอได้หรือไม่

“เคยไปที่ศาลากลางปี 2557 ขอที่อำเภอเขาก็บอกว่ายังไม่อนุมัติ ปัจจุบันก็แก่กันแล้ว อยู่มานาน ลูกหลานได้เป็นคนไทย หลานเป็นทหารสองคน ไทลื้อ บัตรเลข 6 มีเยอะ ถามอำเภอก็บอกรอก่อน ขอเบอร์ไว้แต่ก็ไม่โทรมาบอกข่าวดี ขึ้นเครื่องบินหรือออกต่างจังหวัดต้องขอหนังสือเดินทาง หัวขาวแล้วยังต้องขอใบเดินทาง เจ้าหน้าที่เรียกตรวจออกต่างจังหวัด ถูกจับถูกปรับเป็นพันเป็นหมื่น” นายตาน กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ม.ราชภัฏเชียงราย ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม 4 องค์กรชาติพันธุ์

 

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ณ หอประชุมกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มร.ชร) อ.เมือง จ.เชียงราย มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ร่วมกับ สำนักศิลปะและวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จัดเวทีพลเมืองตื่นรู้ในการส่งเสริมสุขภาวะทางกายในชุมชนชาติพันธุ์  โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยิ่งศักดิ์ เพชรนิล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นประธาน และนางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการผู้ก่อตั้ง พชภ.  นางจุฑามาศ  ราชประสิทธิ์ ผู้จัดการโครงการสร้างเสริมสุขภาวะทางกายฯ พชภ.  ดร.อติเทพ วงศ์ทอง ผ.อ.สำนักศิลปะวัฒนธรรมร่วมเปิดงาน โดยมีนักเรียนจากโรงเรียนผู้ร่วมโครงการ และชุมชนชาวชาติพันธุ์ เข้าร่วมกว่า 400 คน 

ทั้งนี้สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มร.ชร.  พชภ. สมาคมลาหู่ในประเทศไทย  สมาคมไตลื้อจังหวัดเชียงราย และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอาชีพวิถีชนเผ่าต้นน้ำแม่ยาว ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อการทำงานแบบเบญจภาคีว่าด้วยการจัดกิจกรรม อนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสาน และเผยแพร่ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และกิจกรรมทางด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและด้านวิชาการ พร้อมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการประสานสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 5 องค์กร

ดร.อติเทพ วงศ์ทอง ผอ. สำนักศิลปะและวัฒนธรรม กล่าวว่า เป็นจุดเริ่มต้นการส่งเสริมศิลปะวัฒนะธรรมท้องถิ่น เนื่องจาก มร.ชร. เป็นมหาวิทยาลัยที่บริการวิชาการชุมชน ที่รับผิดชอบในเชียงราย สำนักศิลปะและวัฒนธรรมได้ร่วมกันสนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่น สุขภาวะทางกาย และวัฒนธรรม จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อกายและใจ ด้านอาหารกลุ่มชาติพันธุ์ การสร้างเครือข่าย สนับสนุนวิชาการที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ทุกชาติพันธุ์ในเชียงราย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยิ่งศักดิ์ เพชรนิล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายนับว่ามีทรัพยากร นิเวศน์วิถีชีวิตที่หลากหลาย เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล มีการปลูกพืชผักหลากหลาย มีเอกลักษณ์เฉพาะ ตัวทำให้มีการส่งเสริมกิจกรรมกาดกายดี นับเป็นนิมิตหมายที่ดีได้แสดงออกทางวัฒนธรรม มีผลต่อสุขภาวะทางกายด้วย ทั้งเพื่อพัฒนาองค์ความรู้สุขภาวะชุมชนชาติพันธุ์ ได้ใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพผ่านวัฒนธรรมและกิจกรรม การทำงานกันเป็นทีม เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน ทั้งบุคลกร การศึกษา และสังคม 

นางเตือนใจ  ดีเทศน์  กล่าวว่า จากที่ได้ชมการแสดงจะเห็นว่ามีออกกำลังกายทุกส่วน และต้องมีการซ้อมการทำงานเป็นหมู่คณะ ยังช่วยทำให้เด็กและเยาวชนไม่ซึมเศร้า สร้างความรักความสามัคคี  ทั้งเป็นการรวมกลุ่มสังคมครอบครัววัฒนธรรมหลายกลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์ทำกิจกรรมร่วมกัน มีส่วนที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติอยู่ เช่น การทำดาบจากไม้ไผ่ ชุดชาติพันธุ์ที่ทำจากผ้าฝ้าย ขนสัตว์ ลูกเดือยที่นำมาทำเป็นเครื่องประดับ  ทำให้รู้คุณค่าการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ ทำให้ตระหนักในธรรมชาติในความอุดมสมบูรณ์  

ทั้งนี้ภายในงานมีการจัดเสวนาหัวข้อพลเมืองตื่นรู้ในการส่งเสริมสุขภาวะทางกายในชุมชนชาติพันธุ์ และแนวทางหรือข้อคิดเห็นในการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในชุมชนชาติพันธุ์ โดยนายวิชัย  ภินะบรรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานทั่วไป โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง ต.เทอดไทย กล่าวว่า การจะขยับเรื่องสุขภาพเป็นบทบาทที่เราจะต้องทำร่วมกัน ภาครัฐที่มีองค์ความรู้ ซึ่งตัวชุมชนมีศักยภาพอยู่แล้ว รัฐต้องออกนโยบายมาให้เหมาะกับชุมชนนั้น ถ้าสิ่งแวดล้อมดี  ก็จะทำให้สุขภาพกายและจิตดี ในบ้าน โรงเรียน สภาพอากาศ เด็กจะออกกำลังกายได้ มีการซ้อมแผนการได้รับบาดเจ็บ ในสังคมที่บ้าน พ่อแม่ให้ความเชื่อมมั่นเอาใจใส่ สุดท้ายเด็กจะได้เป็นผู้ใหญ่สมบูรณ์ 

นายวุฒิพงษ์ สวรรคโชติ ประธานสมาคมลาหู่ในประเทศไทย กล่าวว่า ประชาชนมักทำงานหาเงินจนลืมสุขภาพ แต่สุดท้ายยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อให้ได้สุขภาพดีคืนมา คนชนบทบนดอยเมื่อก่อนไม่มีโรคประจำตัว เพราะปกติพวกทำไร่ ทำนา ทำสวน พอพลวัตทางสังคม เทคโนโลยี เข้ามาทำให้ทำงานน้อยลง ปัจจุบันมีคนไปรับยา ความดันเบาหวาน ไขมันพอกตับ เรากำลังให้ความสนใจ จากเดิมที่ปลูกผักส่งขาย ปัจจุบันปรากฎว่าเราชาวดอยรอรถเข้ามาขายในหมู่บ้าน ไม่ค่อยมีผักสวยครัวกันแล้ว เป็นสิ่งที่เราควรกลับมาพิจารณาปลูกผักกินเองเพื่อความปลอดภัยและได้สุขภาพกายที่ดีด้วย

นายตฤณธวัช  ธุระวร ผู้ประสานงานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มอาชีพวิถีชนเผ่าต้นน้ำแม่ยาว กล่าวว่า กายดี สุขภาพดี มีองค์ประกอบ วงแรก คือ อาหาร อากาศ ยารักษาโรค อยู่ในชีวิตเราทุกวัน ทุกวันนี้เราเจอปัญหาสุขภาพ การกินเป็นลำดับแรก อากาศที่เราหายใจ ปัจจุบันอากาศเสียมาก การใช้ยารักษาโรค การในนำธรรมชาติมาใช้รักษาโรค ถ้าเราใช้เป็น มีผลกระทบน้อยกว่าแผนปัจุบัน ส่วนวงที่สอง คือ ดิน น้ำ ป่า ปัจจุบันจะเห็นว่าดินอาบด้วยยาพิษ ส่งต่อไปที่อาหาร น้ำ เดิมบนดอยน้ำดื่มตักที่ไหนก็กินได้ ปัจจุบันต้นน้ำมีแต่สารเคมี มีผลกระทบต่ออาหาร อากาศ ป่าเป็นแหล่ง อาหาร น้ำ ยาสมุนไพร  ปัจจุบันเราตัดต้นไม้ มีเคมีมหาศาล ส่งผลต่ออาหาร อากาศ 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เป็นสัญชาติไทยอย่างเต็มตัว ชาติพันธุ์ 27 คน แปลงสัญชาติ

 

เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย คณะทำงานด้านสิทธิสถานะบุคคล มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) นำโดย นางเตือนใจ ดีเทศน์ (ครูแดง) กรรมการที่ปรึกษามูลนิธิฯ และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จ.เชียงราย ได้พาผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นผู้เฒ่ากลุ่มชาติพันธุ์อาข่า จากหมู่บ้านป่าคาสุขใจ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย จำนวน 6 คน กลุ่มชาติพันธุ์จีนยูนนานจากหมู่บ้านใหม่สันติ ต.แม่สลองนอก และบ้านห้วยไร่สามัคคี ต.แม่ฟ้าหลวง อีก 21 คน รวมจำนวน 27 คน ไปทำการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทยอย่างเต็มตัว

 

โดยแต่ละคนมีอายุมาก เช่น นายอายู แย่แบวกู่ อายุถึง 93 ปี เข้ามาในประเทศไทยในปี 2508 นางหมี่นะ เบเชอกู่ อายุ 80 ปี เข้ามาเมื่อปี 2509 ฯลฯ นอกจากนี้บางคนมีประวัติที่น่าสนใจ เช่น นายเล่าเอ้อ แซ่เว่ย อายุ 86 ปี เกิดในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน และเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยพร้อมกับทหารจีนคณะชาติกองพล 93 เมื่อ 48 ปีก่อน แต่ตกสำรวจไม่ได้รับสัญชาติไทย หลังสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งนายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่ฟ้าหลวง ได้ให้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการทำประจำตัวประชาชนสร้างความดีใจให้กับทุกคนอย่างมาก
นายอาเจอะ หม่อปอกู่ ผู้ใหญ่บ้านป่าคาสุขใจ กล่าวว่า ในหมู่บ้านยังมีผู้อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไปอีก 35 คนซึ่งได้ยื่นเรื่องให้ทางจังหวัดพิจารณาเรื่องสัญชาติเพิ่มเติม และยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาอีกหลายราย ซึ่งผู้เฒ่าเหล่านี้ถือว่าอาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน บางคนนานเกือบ 60 ปี แต่เนื่องจากอยู่ตามป่าเขาและสูงวัยจึงเดินทางไปไหนไม่สะดวกทำให้ไม่ได้รับสิทธิเหมือนคนไทย ดังนั้นการได้สัญชาติจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เช่น ได้เบี่้ยยังชีพผู้สูงอายุ บัตรคนพิการ มีสิทธิเลือกตั้ง เป็นต้น
 
 
ทางด้านนางเตือนใจ กล่าวว่า ผู้เฒ่ากลุ่มเหล่านี้ไม่ได้เกิดในประเทศไทยแต่อาศัยอยู่มานานแล้วซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้กำหนดว่าผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศเกิน 5 ปี และถือบัตรต่างด้าวและใบสำคัญที่อยู่ มีอาชีพมั่นคงพึ่งตัวเองได้ มีความรู้ภาษาไทย มีความประพฤติดีผ่านการตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน เช่น ตำรวจ ป.ป.ส.ฯลฯ สามารถขอแปลงสัญชาติไทยได้ กระทั่งยุคของ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา อดีต รมว.กระทรวงมหาดไทย ได้เล็งเห็นความสำคัญจึงยกเลิก 3 ข้อหลังออกและให้รู้ภาษาถิ่นส่วนความประพฤติก็มีผู้รับรอง จากนั้นให้ปลัดกระทรวงทำหนังสือเวียนไปทั่วประเทศทำให้ผู้เฒ่าเหล่านี้เได้ยื่นขอแปลงสัญชาติตามมาตรา 10 พ.ร.บ.สัญชาติฯ ส่วน จ.เชียงราย มีความร่วมมือเป็นอย่างดีกับภาคประชาสังคมจึงดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและถือเป็นกลุ่มกรณีศึกษาที่ได้รับสัญชาติไทย
 
 
น.ส.เตือนใจ กล่าวด้วยว่า ตนจึงได้ตามเรื่องโดยเข้าพบกับนายบรรจบ จันทรัตน์ รองอธิบดีกรมการปกครอง พร้อมแจ้งว่า ผู้เฒ่าเหล่านี้ได้มีการปฏิญานตนจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แล้วในดือน เม.ย.2566 และได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่าได้มีการพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทยได้แล้วเมื่อปี 2566 ทำให้เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา กรมการปกครองได้มีหนังสือถึง จ.เชียงราย มีผู้ได้รับสัญชาติไทยตามรายชื่อดังกล่าวในจังหวัด 45 คน ซึ่งใช้เวลาเพียง 7 วันก็มีการลดขั้นตอนและดำเนินการในครั้งนี้ดังกล่าว ทำให้แต่ละคนดีใจเพราะอยู่ในประเทศไทยนาน 30-60 ปี
 
 
โดยบางคนเป็นอดีตและครอบครัวของทหารจีนคณะชาติ จึงถือได้ว่า จ.เชียงราย มีการตั้งคณะทำงานที่มีประสิทธิภาพ ตนจึงคาดหวังว่านายอนุทิน ชาญวีระกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะให้ความสำคัญเพราะหากไม่ลดขั้นตอนเช่นนี้แต่ละรายจะใช้เวลามากกว่า 3 ปี จึงจะแล้วเสร็จ และตัวเลขเมื่อปี 2563 ก็พบมีผู้เฒ่าไร้สัญชาติทั่วประเทศมากถึงกว่า 110,000 คน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News