Categories
FEATURED NEWS WORLD PULSE

พลังสามัคคีลาบวน! 3,000 คนชุมนุมเรียกร้องความจริงคดีนักเรียนหญิง Zara

มาเลเซียช็อกทั้งประเทศ “Justice for Zara” จุดไฟยุติความรุนแรงในโรงเรียน—เสียงสามัคคีกว่า 3,000 คนที่ลาบวน กดดันรัฐคลี่คดีให้โปร่งใส

ลาบวน/โกตาคินาบาลู, 12 สิงหาคม 2568—เสียงตะโกน “Justice for Zara” ดังก้องลานจอดรถหน้า Labuan Food Court ตลอดบ่ายวันอาทิตย์ ผู้คนแต่งชุดดำแน่นพื้นที่ ท่ามกลางแดดจัดและป้ายผ้าข้อความ “Stop Bullying” โบกสะบัดเหนือศีรษะกว่า 3,000 คน งานนี้ไม่ได้แบ่งสีการเมือง เพราะแกนนำจากหลากพรรคขึ้นเวทีร่วมเรียกร้อง “ความจริง” และ “ความยุติธรรม” ให้ซาร่า ไกรีนา มหาธีร์ เด็กหญิงวัย 13 ปี จากซีปิตัง ที่เสียชีวิตหลังถูกพบหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำของโรงเรียนประจำศาสนาในปาปาร์ รัฐซาบาห์ เมื่อรุ่งสาง 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนสิ้นใจในโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ 1 วันถัดมา ความสูญเสียครั้งนี้จุดระเบิดสังคมให้ลุกขึ้นทวงความจริง และหยุดยั้งการรังแกในสถานศึกษาอย่างเด็ดขาด

ลาบวน (Labuan) คือที่ไหน

ลาบวน (Labuan) เป็นดินแดนสหพันธ์แห่งหนึ่งของประเทศมาเลเซีย 🇲🇾 ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็กทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียวในทะเลจีนใต้ ใกล้กับประเทศบรูไน

เกาะลาบวนมีชื่อเสียงในฐานะ ศูนย์กลางทางการเงินนอกชายฝั่ง (offshore financial centre) และเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงจากซากเรือจมหลายลำ ซึ่งเป็นซากเรือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และซากเรืออื่นๆ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักดำน้ำและนักท่องเที่ยวที่สนใจประวัติศาสตร์

ผู้จัดคือ “Kelab Wanita Sejahtera” โดยมีดาโต๊ะ โมห์ด ราฟี อาลี ฮัสซัน แกนนำจากพรรครัฐบาลร่วมขึ้นนำ พร้อมตัวแทนจาก PKR และ Warisan ร่วมวงปราศรัย เนื้อหากดดันให้รัฐ “ไม่ปล่อยให้ความรุนแรงต่อเด็กถูกมองข้ามอีกต่อไป” ภาพผู้คนในชุดดำหลากวัย สะท้อนพลังสาธารณะข้ามสายงานและฐานะทางสังคมอย่างเด่นชัด ขบวนการนี้จึงก้าวพ้นพรมแดนการเมือง กลายเป็น “วาระมนุษยธรรม” ของทั้งประเทศ

ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าคดีเดินหน้าอย่างเข้ม สำนักงานอัยการสูงสุดมาเลเซีย (AGC) สั่งขุดศพเพื่อนำมาชันสูตรอย่างเป็นทางการ หลังเกิดข้อกังขาหลายด้าน ต่อมามีการขุดศพเมื่อคืน 9 ส.ค. และเคลื่อนร่างถึงโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ I เวลาราว 22.30 น. เริ่มชันสูตรเช้าวันที่ 10 ส.ค. โดยทีมพยาธิแพทย์ 4 คน และที่ปรึกษานิติเวช ร่วมตรวจอย่างละเอียดนานกว่า 8 ชั่วโมง ภายใต้การสังเกตการณ์จากทนายครอบครัวและตำรวจ

อย่างไรก็ดี กระแสข่าวลือที่ลุกลามทางออนไลน์โดยเฉพาะ “ทฤษฎีเครื่องซักผ้า” ถูกทนายครอบครัวปฏิเสธชัด ว่าเป็นเพียงการคาดเดา ไม่ใช่ข้อมูลที่มารดาของผู้ตายให้ไว้ พร้อมขอให้ลบข้อมูลที่สร้างความเสียหาย และให้ผู้โพสต์นำรายละเอียดส่งตำรวจเพื่อเอาผิดตามกฎหมายไซเบอร์ของมาเลเซียต่อไป เพื่อไม่ให้การสืบสวนไขว้เขว.

Public outcry for justice in Zara's case - Opinion

เส้นเวลาเหตุสะเทือนใจจากร่องรอยก่อนตาย สู่แรงกดดันให้รัฐเร่งคลี่คดี

คืนเกิดเหตุ 16 ก.ค. เวลาตีสามถึงตีสี่ มีผู้พบเด็กหญิงหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำ ในพื้นที่หอพักโรงเรียนประจำศาสนาในปาปาร์ เธอถูกนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตวันที่ 17 ก.ค. รายงานเบื้องต้นสื่อท้องถิ่นระบุว่า ครอบครัวพบรอยช้ำขณะทำพิธีอาบน้ำศพ ก่อนตัดสินใจยื่นรายงานตำรวจ เพิ่มคำให้การ และขอให้มีการขุดศพเพื่อตรวจสอบใหม่ โดยเฉพาะเมื่อคลิปเสียงความยาว 44 วินาทีของบทสนทนาระหว่างแม่กับลูก สร้างข้อสงสัยต่อ “ทฤษฎีตกจากที่สูงโดยไม่ตั้งใจ” ที่เธอถูกบอกเล่าในตอนแรก.

วันที่ 2 ส.ค. ตำรวจซาบาห์ยื่นสำนวนสืบสวนเบื้องต้นต่อ AGC และเริ่มกระบวนการให้ความเห็นทางคดี ขณะที่ผู้ว่าการรัฐซาบาห์และผู้นำการเมืองระดับชาติ ต่างออกมาขอ “คลี่ทุกเงื่อนงำ ไม่ละเว้นผู้ใด” นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ยังย้ำไม่ให้ “การเมืองแทรกแซงการสืบสวน” และขอประชาชนหลีกเลี่ยงการคาดเดาทำลายพยานหลักฐาน.

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจกลาง Bukit Aman รับไม้คุมสอบสวนต่อ เพื่อให้คดีเดินอย่างเป็นระบบระดับชาติ สร้างมาตรฐานการทำงานเดียวกัน และป้องกันอิทธิพลนอกคดี กระบวนการนี้สะท้อนความตั้งใจของรัฐในการ “เอาจริง” กับความรุนแรงต่อเด็กและการกลั่นแกล้งในสถานศึกษา.

ความจริงต้องไปต่อ” เมื่อกระแสสังคมกดดันให้ระบบยุติธรรมโปร่งใส

มุมหนึ่ง กระแส “Justice for Zara” คือบทเรียนสำคัญของการขับเคลื่อนสังคมแบบสันติ ผู้คนมารวมตัวโดยสมัครใจ แต่งชุดดำเป็นสัญลักษณ์ ไร้ความรุนแรง เนื้อหาบนเวทีชัดเจนหยุดความรุนแรงต่อเด็ก สืบสวนอย่างโปร่งใส ไม่ปกป้องผู้กระทำผิดและข้ามเส้นแบ่งทางการเมืองอย่างน่าจับตา สื่อมาเลย์หลายฉบับรายงานเอกภาพในพื้นที่ พร้อมยืนยันตัวเลขผู้เข้าร่วมหลักพันตั้งแต่เช้าจรดบ่าย.

อีกมุมหนึ่ง พลังของข่าวลือบนโลกออนไลน์ก็ท้าทายความยุติธรรมไม่แพ้กัน การแชร์ข้อมูลคาดเดาอาจทำลายกระบวนการสืบสวน สร้างบาดแผลซ้ำให้ครอบครัวผู้ตาย และเปิดช่อง “อาชญากรรมไซเบอร์ทับซ้อนคดีหลัก” ทนายครอบครัวจึงประกาศให้ลบและหยุดเผยแพร่ทันที พร้อมเรียกผู้โพสต์เข้าให้ปากคำ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อปกป้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริง.

คลี่ปมเชิงระบบ เมื่อ “บูลลี่” ไม่ใช่เรื่องเล็ก และโรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ประเด็นที่สังคมมาเลเซียถกเถียงไม่ใช่แค่ “ใครผิด” หากแต่คือ “ระบบผิดตรงไหน” เพราะความรุนแรงในสถานศึกษาไม่ควรถูกจัดการด้วยคำขอโทษหรือคำมั่นว่าจะ “ดูแลให้ดี” เท่านั้น นักจิตวิทยาและนักนโยบายศึกษาย้ำว่า สถานศึกษาต้องสร้างวัฒนธรรมไม่ยอมรับการรังแก และมีช่องทางร้องเรียนที่เชื่อถือได้ สอดคล้องกับสัญญาณเชิงนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย ที่ยืนยัน “เปิดทางให้ตำรวจทำงานเต็มที่” และพร้อมทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันเหตุซ้ำ.

ในอีกด้าน ประเทศไทยเองกำลังขยับ “ยกระดับความปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัย” หลายสถาบันประกาศงดกิจกรรมรับน้องรุนแรง ล่าสุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ออกประกาศงดกิจกรรมรับน้องทุกชนิด ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย พร้อมขู่ลงโทษวินัยร้ายแรงหากฝ่าฝืน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนเทรนด์ภูมิภาคที่เดินหน้า “สังคมการศึกษาไร้ความรุนแรง” อย่างจริงจัง.

ประชาชนได้อะไรจากการยืนหยัดเรียกร้องความจริง

ประการแรก ประชาชนได้ “ความโปร่งใส” เป็นเดิมพันร่วมกัน การขุดศพพร้อมชันสูตรโดยทีมแพทย์นิติเวชหลายฝ่าย เป็นขั้นตอนมาตรฐานที่ยกระดับความน่าเชื่อถือของผลทางการแพทย์ และช่วยลดข้อสงสัยในสังคม เมื่อผลชันสูตรมีฐานวิชาการแข็งแรง การตัดสินใจทางคดีจะยืนอยู่บนข้อเท็จจริงมากกว่าความรู้สึก.

ประการที่สอง สังคมได้ “บทเรียนการรู้เท่าทันข้อมูลผิด” คำชี้แจงจากทนายครอบครัวเกี่ยวกับข่าวลือเครื่องซักผ้า เป็นตัวอย่างการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา และเน้นให้ร่วมมือกับตำรวจแทนการแชร์ซ้ำบนโซเชียล ความรับผิดชอบร่วมกันของผู้ใช้แพลตฟอร์ม คือเกราะคุ้มกันคดีเด็กที่บอบบางจาก “ความโกลาหลดิจิทัล”.

ประการที่สาม การรวมตัวอย่างสันติในลาบวนได้ “สร้างแรงกดดันเชิงบวก” ต่อระบบยุติธรรม พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ความรุนแรงต่อเด็กเป็นเส้นแดง” ที่สังคมไม่ยอมรับอีกต่อไป พลังข้ามพรรคการเมือง ยังทำให้ข้อเรียกร้อง “ปลอดการเมือง” และดึงประเด็นกลับสู่สิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.

ประการที่สี่ เหตุการณ์นี้สะท้อน “ความจำเป็นของแนวทางป้องกันต้นน้ำ” โรงเรียนและหอพักต้องมีกติกาชัดเจน ช่องร้องเรียนปลอดภัย ระบบคุมความเสี่ยง 24 ชั่วโมง และการอบรมครู–นักเรียนเรื่องการแทรกแซงเมื่อเห็นเหตุรุนแรง การป้องกันที่ดีช่วยลดโอกาสการเกิดเหตุสุดโต่ง ก่อนกลายเป็นคดีร้ายแรง. (อ้างอิงทิศทางนโยบายและคำยืนยันจากฝ่ายการศึกษามาเลเซียในคดีนี้).

Vigils across Sabah demand justice for Zara Qairina Borneo Post Online

จากลาบวนถึงห้องชันสูตร สิบคำถามชวนคิด สังคมจะเดินไปอย่างไร

  1. เหตุใดการชันสูตรแรกเริ่มจึงไม่เกิดขึ้นทันที?
  2.  ใครมีอำนาจสั่งให้คืนความจริงทางการแพทย์แก่ครอบครัวได้เร็วขึ้น?
  3.  ระบบดูแลนักเรียนประจำปลอดภัยพอหรือยัง?
  4. กล้องวงจรปิดในพื้นที่เสี่ยงครอบคลุมเพียงพอหรือไม่?
  5. ครู–ผู้ดูแลได้รับการอบรมรับมือเหตุฉุกเฉินแค่ไหน?
  6. ช่องร้องเรียนภายในโรงเรียนเชื่อถือได้เพียงใด?
  7. ารบูรณาการตำรวจ–อัยการ–สาธารณสุขในคดีเด็กทำได้ไวแค่ไหน?
  8. กฎหมายคุ้มครองเด็กและความผิดไซเบอร์ใช้รับมือข่าวลือได้จริงหรือ?
  9. สื่อและประชาชนควรยืนเส้นแบ่งจริยธรรมตรงไหนเมื่อรายงานคดีเยาวชน? และ
  10. จะยกระดับวัฒนธรรม “ไม่ยอมรับการรังแก” ให้เป็นกติกาสังคมได้อย่างไร?

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่แค่โจทย์ของมาเลเซีย แต่เป็นกระจกสะท้อนทั้งภูมิภาค รวมถึงไทย ที่ต้องจัดสมดุล “สิทธิเด็กเสรีภาพสื่อความยุติธรรม” ให้เดินไปด้วยกันอย่างมีหลักฐานรองรับ

เสียงจากรัฐ “จะไม่ให้ใครแทรกแซง” และ “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย”

หลังแรงกดดันเพิ่มสูง นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ย้ำว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มีการเมืองแทรกแซง และจะเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานตามขั้นตอน ทั้งยังเรียกร้องให้สังคมยึดข้อเท็จจริง ไม่ด่วนสรุปต่อหน้าสื่อหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ขณะเดียวกัน Bukit Aman รับช่วงสอบสวน เพื่อให้มาตรฐานการสืบสวนอยู่ในมือหน่วยกลาง ลดอิทธิพลและเพิ่มความเป็นเอกภาพ.

เมื่อบ้านและโรงเรียนต้องเปิดใจคุยกัน

ข้อมูลเชิงลึกจากคุณ นุชนาฎ สุขเกตุ เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและอดีตนักจิตวิทยา ซึ่งทำงานในโครงการป้องกันการรังแกกันในโรงเรียนของมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้ให้ภาพที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่งว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน สู่ห้องเรียน และระบบนิเวศของสถานศึกษาในที่สุด

สัญญาณเตือนภัยที่ผู้ปกครองต้องสังเกต

ผู้ปกครองคือคนแรกที่จะต้องรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกหลาน แต่ปัญหาคือเด็กจำนวนไม่น้อยมักจะเก็บงำความลับนี้ไว้คนเดียวด้วยความกลัว อับอาย หรือไม่รู้ว่าจะบอกใคร . คุณนุชนาฎได้ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองควรสังเกตอย่างละเอียด:

  • พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด: หากลูกที่เคยร่าเริงและมีความสุขกับการไปโรงเรียนกลับแสดงอาการไม่อยากไปโรงเรียน เก็บตัวเงียบ หรือซึมเศร้า นี่คือสัญญาณแรกที่ไม่อาจมองข้ามได้
  • ร่องรอยทางร่างกาย: รอยช้ำ บาดแผล หรือร่องรอยบาดเจ็บที่ไม่สามารถอธิบายที่มาได้อย่างสมเหตุสมผล ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจ
  • การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์: ลูกอาจมีอาการหงอยเหงา ไม่สดใส หรือแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อถูกพูดถึงเรื่องที่โรงเรียน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการถูกกลั่นแกล้ง

การวิเคราะห์ การสังเกตสัญญาณเหล่านี้ถือเป็น การแก้ไขที่ต้นทาง” ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปสู่ความเสียหายที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม การที่เด็กตัดสินใจบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้ปกครองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเพราะความรู้สึกไว้วางใจที่ผู้ปกครองได้สร้างขึ้นมาก่อนหน้า ซึ่งคุณนุชนาฎได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ การสื่อสารเชิง

บวก” โดยใช้คำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้ลูกเล่าเรื่องราวได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญที่สุดคือการ ซัพพอร์ตทางอารมณ์” โดยปราศจากอคติหรือการตัดสินใดๆ และให้กำลังใจว่าผู้ปกครองจะอยู่เคียงข้างเสมอ

กลไก ‘ผู้บริโภค’ และความรับผิดชอบของสถานศึกษา

ประเด็นสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้คือ การวิเคราะห์สถานะของนักเรียนและผู้ปกครองในฐานะ ผู้บริโภค” ของบริการทางการศึกษา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการยืนยันและสร้างบรรทัดฐานที่ชัดเจนในคดีความรุนแรงในโรงเรียนเอกชนเมื่อไม่นานมานี้ การที่ผู้ปกครองส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐหรือเอกชน ถือเป็น การทำสัญญาบริการ” ที่โรงเรียนในฐานะ “ผู้ประกอบธุรกิจ” มีหน้าที่ต้องให้บริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและปลอดภัย ไม่เพียงแค่เรื่องวิชาการ แต่ยังรวมถึงการดูแลความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจของนักเรียน หากโรงเรียนบกพร่องในการดูแลจนเกิดความเสียหายขึ้น ถือเป็นบริการที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่คาดหวังตามระเบียบที่ระบุไว้ ซึ่งผู้ปกครองในฐานะผู้บริโภคสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในการเรียกร้องค่าเสียหายได้

“การที่สถานศึกษาไม่ได้ให้ความคุ้มครองความปลอดภัยอย่างที่ผู้ปกครองคาดหวัง จึงเป็น ‘ความเสียหาย’ ที่นอกเหนือไปจากมาตรฐานที่คาดหวังจากบริการ ซึ่งต้องมีการตีความทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อบังคับใช้สิทธิของผู้บริโภคอย่างแท้จริง” คุณนุชนาฏ สุขเกตุ (นักพัฒนาครอบครัว และอดีตนักจิตวิทยา) กล่าว ซึ่งเป็นมุมมองที่อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ในรายงานของนักพัฒนาครอบครัว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลไกและสิทธิทางกฎหมายในการรับมือความรุนแรงในโรงเรียน

ไทยต้องทำอะไรวันนี้เชื่อมบทเรียนสู่การปฏิบัติในพื้นที่ของเรา

ประเด็นความปลอดภัยในสถานศึกษาไทยยังมีโจทย์ท้าทาย ตั้งแต่การยุติ “รับน้องรุนแรง” ไปจนถึงการสร้างระบบแจ้งเหตุที่ไวและไว้วางใจได้ ตัวอย่างของ มทร.ล้านนา เชียงราย ที่ประกาศงดกิจกรรมรับน้องทุกชนิด และบังคับใช้วินัยอย่างจริงจัง เป็นก้าวเล็กแต่สำคัญ ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยควรตั้ง “ศูนย์สวัสดิภาพนักศึกษา” คู่กับสายด่วนภายนอก เพื่อให้ผู้เสียหายมีตัวเลือกที่เป็นอิสระจากโครงสร้างอำนาจภายใน.

นอกจากนี้ โรงเรียนประจำและหอพักควรทบทวนมาตรการกลางคืน ปรับผังพื้นที่เสี่ยงให้ปลอดภัย เพิ่มกล้องและแสงสว่าง ติดตั้งปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉิน และฝึกซ้อมแผนรับมือทุกเทอม เพราะ “นาทีแรก” ของเหตุฉุกเฉินอาจชี้ชะตาชีวิตได้ จากนั้นต้องเปิดพื้นที่ให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งในคณะกรรมการสถานศึกษาและแผนเฝ้าระวังชุมชน

มองไปข้างหน้าให้ความยุติธรรมเดินบนข้อเท็จจริง พร้อมเยียวยาใจ

ท้ายที่สุด สังคมควรย้ำหลักการสำคัญสามประการ เคารพกระบวนการยุติธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยหลักฐาน ปกป้องศักดิ์ศรีผู้เสียชีวิตและครอบครัวจากการสรุปผิดพลาด และเปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังนโยบายในห้องเรียนและหอพักทุกแห่ง หากผลชันสูตรยืนยันข้อเท็จจริงใด ก็ต้องเดินหน้าดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ละเว้น ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญา ทางวินัย และทางสังคม

การเสียชีวิตของซาร่าไม่ควรจบลงที่ “ไว้อาลัย” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องกลายเป็นจุดเริ่มของข้อตกลงใหม่ในสังคมว่า “โรงเรียนต้องปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน” และ “ข่าวลือไม่มีที่ยืนเหนือความจริง”

ไทม์ไลน์ย่อคดี “Zara Qairina” (อ้างอิงรายงานสื่อมาเลเซีย)

  • 16 ก.ค. พบหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำโรงเรียนในปาปาร์ ช่วงตี 3–ตี 4 นำส่งโรงพยาบาล.
  • 17 ก.ค. เสียชีวิตที่โรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ I เมืองโกตาคินาบาลู.
  • ปลาย ก.ค.–ต้น ส.ค. ครอบครัวแจ้งความเพิ่มเติม ส่งคลิปเสียง และร้องขอขุดศพ; ตำรวจส่งสำนวนเบื้องต้นให้ AGC.
  • 9 ส.ค. ขุดศพในซีปิตัง เคลื่อนร่างไปโกตาคินาบาลูช่วงดึก.
  • 10 ส.ค. ชันสูตรโดยทีมแพทย์ 4 คน ใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมง ท่ามกลางการสังเกตการณ์.
  • 10 ส.ค. จัดชุมนุมใหญ่ “Justice for Zara” ที่ลาบวน ผู้ร่วมกว่า 3,000 คน แต่งชุดดำ.
  • สัปดาห์เดียวกัน Bukit Aman รับไม้ดูแลสืบสวนต่อ.

สรุปเชิงบรรณาธิการ

คดีความจากข่าวข้างต้นนี้ยังอยู่ในชั้นสืบสวน ผลชันสูตรและความเห็นทางคดียังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ การรายงานจึงยึดข้อเท็จจริงจากเอกสารและคำให้สัมภาษณ์ของหน่วยงานรัฐและทนายครอบครัว โดยหลีกเลี่ยงการคาดเดาที่อาจกระทบสิทธิ์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สาระสำคัญคือ การยุติความรุนแรงในโรงเรียน หรือวิธีการรับมือเมื่อลูกหลานในการปกครองถูกกลั่นแกล้ง การเผชิญความรุนแรงในสถานศึกษา รวมไปถึงบทบาทของผู้ปกครองและสถานศึกษาในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Malay Mail: รายงานชุมนุมลาบวนและบริบทคดี, 10 ส.ค. 2025. Malay Mail
  • The Star: รายงานจำนวนผู้ร่วมและคำปราศรัย, 10 ส.ค. 2025. Malay Mail
  • MalaysiaGazette / Astro Awani / The Sun: ภาพรวมผู้ร่วมชุมนุมและถ้อยแถลงข้ามพรรค.
  • Free Malaysia Today: Bukit Aman รับช่วงตรวจสอบคดี. Yahoo News Malaysia
  • Wikipedia สรุปเหตุการณ์และพยานหลักฐานตามแหล่งข่าวหลัก (ใช้เพื่อยืนยันลำดับเหตุ). The Star
  • Malay Mail: ถ้อยแถลงทนายครอบครัว ปฏิเสธข่าวลือ “เครื่องซักผ้า” และขอให้ลบข้อมูล. Newswav
  • The Star: รายงาน AGC สั่งขุดศพและขั้นตอนนิติเวช.
  • Malaysiakini: รายละเอียดชันสูตรและการสังเกตการณ์. Mothership
  • Free Malaysia Today: คำยืนยันของนายกฯ อันวาร์ ไม่ให้การเมืองแทรกแซงสืบสวน. The Star
  • Matichon / เพจทางการ RMUTL เชียงราย: ประกาศงดกิจกรรมรับน้องในไทย. มติชนออนไลน์Facebook
  • คุณนุชนาฏ สุขเกตุ (นักพัฒนาครอบครัว และอดีตนักจิตวิทยา)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AUTOMOTIVE

Nissan Kicks e-POWER หาดใหญ่สู่กัวลาลัมเปอร์

นิสสันเปิดประสบการณ์ขับสนุกข้ามพรมแดนแบบไร้กังวล กับ Nissan Kicks e-POWER
รถยนต์พลังไฟฟ้า 100% จากหาดใหญ่สู่กัวลาลัมเปอร์

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย (1 เมษายน 2568) – การเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถยนต์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เหล่านักท่องเที่ยวได้สัมผัสการท่องเที่ยวแบบเต็มอิ่ม โดยเฉพาะการขับข้ามพรมแดนที่เปิดประสบการณ์การเดินทางสู่โลกกว้างที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น ล่าสุด นิสสันได้จัดทริปสุดพิเศษแนะนำเส้นทางเดินทางข้ามพรมแดนจากหาดใหญ่ ประเทศไทย ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พร้อมทดสอบสมรรถนะของ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ รถยนต์พลังไฟฟ้า 100% ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะแหล่งผลิตรถยนต์นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ และส่งออกไปยังทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศมาเลเซียเป็นที่เรียบร้อย

ขับสนุกทุกเส้นทาง แถมไร้กังวลตลอดทริป

ทริปนี้ไม่ใช่แค่การขับรถเที่ยวทั่วๆ ไป นิสสันชวนเดินทางด้วย Nissan Kicks e-POWER 2nd Generation รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จากไทยไปมาเลเซีย ที่ให้ทั้งความตื่นเต้นเร้าใจจากอัตราเร่งที่ทรงพลัง แต่นุ่มนวล ออกตัวได้เร็ว แรงดั่งใจ ไร้กังวลจากการหาจุดชาร์จไฟฟ้าเพราะระบบ e-POWER ที่เป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของนิสสัน ช่วยเปลี่ยนน้ำมันเป็นไฟฟ้าได้โดยตรง ทำให้สามารถขับระยะไกลในทริปนี้ได้สบายกว่า 650 กิโลเมตร โดยให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้ท้าทายโดยใช้น้ำมันเพียงหนึ่งถังเท่านั้นตลอดการเดินทาง มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยและความสะดวกสบายครบครัน และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่อย่างใด แถมยังขับสนุกตลอดทางด้วยเส้นทางภูเขาที่มีความสวยงาม และจุดแวะเที่ยวเด็ดๆ มากมาย เหมาะสำหรับสายขับรถเที่ยว ที่ต้องการทั้งความสนุกในการขับขี่และความสะดวกสบาย

แชร์เส้นทาง Road Trip ไทย-มาเลเซีย พร้อมจุดเช็คอินสุดชิค

จุดเริ่มต้น: หาดใหญ่ เมืองคึกคักแห่งภาคใต้

เริ่มต้นความสนุกและเตรียมความพร้อมกันที่หาดใหญ่ สีสันแห่งภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นย่านการค้าที่คึกคักและยังเป็นแหล่งรวมอาหารชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นติ่มซำ หรือโรตี-ชาชัก ที่หลายคนต้องแวะลองเมื่อมาถึง

เมื่อพร้อมแล้วจึงมุ่งหน้าสู่เบตง ด้วยระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร โดยเส้นทางจากหาดใหญ่ไปเบตงถือเป็นการท้าทายความสามารถของคนขับด้วยเส้นทาง โค้งตัว S และถนนขึ้นลงเขา เต็มไปด้วยแนวต้นไม้เขียวขจีและเนินเขาสูงชันตลอดเส้นทาง ซึ่งสามารถขับขึ้นลงเขาได้อย่างมั่นใจ ด้วยการใช้งานเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ หรือ e-Pedal Step ของ Nissan Kicks e-POWER ที่ช่วยลดการใช้เบรกซ้ำๆ เมื่อต้องขับผ่านโค้งและเส้นทางคดเคี้ยว อีกทั้งความคล่องตัวของรถที่มีขนาดและรูปทรงเหมาะสม ทำให้การขับขี่ในสภาพถนนเช่นนี้สามารถทำได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้แรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้ายังทำให้เร่งแซงง่ายและขับขึ้นเขาได้สบายกว่าเดิม

จุดแวะพักไฮไลต์: สะพานโต๊ะกูแช ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แวะพักชมทัศนียภาพอันน่าทึ่งของทะเลสาบฮาลา-บาลา และ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ไฮไลต์ของเมืองชายแดนที่ไม่ควรพลาด

จากเบตง มุ่งสู่อิโปห์ ระยะทาง 250 กิโลเมตร

หลังจากผ่านชายแดนที่อำเภอเบตง ถนนจะแคบลง มีทางขึ้นลงเนินผ่านภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ยังคงเป็นทางเขาที่สวยงาม แต่อาจจะแปลกตาจากภูมิประเทศที่ต่างกันระหว่างไทยและมาเลเซีย โดยเฉพาะเมื่อผ่านโซนหุบเขา Lenggong Valley ในรัฐเประ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกยูเนสโกที่มีธรรมชาติสวยงามตระการตา โดยตลอดทั้งเส้นทางเพื่อนคู่ใจอย่างระบบ NissanConnect ที่ช่วยเชื่อมต่อแอพพลิเคชันนำทาง เปิดเพลงโปรดจากแอพสตรีมมิ่งเพลงชื่อดังได้อย่างลื่นไหล ทำให้การเดินทางไกลเป็นเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อ และ ที่ชาร์จไร้สาย ช่วยให้โทรศัพท์มีแบตเตอรี่พร้อมใช้งานตลอดเวลา โดยไม่ต้องกังวลเรื่องพกสายชาร์จ

จุดแวะพักไฮไลต์: แวะเติมคาเฟอีนด้วยกาแฟคุณภาพที่ร้านคาเฟ่ชื่อดังอย่าง White Coffee คาเฟ่ในตำนานแห่งเมืองอิโปห์ ที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อ 1 ใน 4 ของเอเชียที่เป็นสุดยอดด้านกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาแฟขาวสูตรต้นตำรับแสนอร่อย  นอกจากนี้บริเวณเมืองอิโปห์ยังมีสตรีทอาร์ตและตึกเก่าเมืองอิโปห์ ซึ่งอุดมไปด้วยสถาปัตยกรรมจากยุคอาณานิคม เหมาะมากสำหรับสายถ่ายรูป

อิโปห์ สู่ กัวลาลัมเปอร์ ระยทาง 250 กิโลเมตร

เข้าสู่การเดินทางวันสุดท้าย ซึ่งมุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย เส้นทางเริ่มจากการขับผ่านย่านเมืองเก่าของอิโปห์ ก่อนเข้าสู่เส้นทางหลวงที่ตรงยาว ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างขับขี่จะได้สัมผัสความทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

เมื่อเข้าใกล้กัวลาลัมเปอร์ เส้นทางเปลี่ยนจากทางหลวงสู่ถนนในเมืองใหญ่ที่คึกคักและเต็มไปด้วยการจราจรและด้วยเทคโนโลยี Nissan 360 Safety Shield ที่จัดเต็มมากับ Nissan Kicks e-POWER ช่วยให้การขับขี่ในเมืองใหญ่เป็นเรื่องง่ายและมั่นใจทุกเส้นทาง โดยเมื่อเข้าสู่เขตมหานครที่มีการจราจรหนาแน่น กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor) และ เทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection) ทำให้ควบคุมรถในพื้นที่แคบทำได้อย่างสะดวกง่ายดาย ขณะที่การเดินทางด้วยความเร็วบนถนนหลวง เทคโนโลยีความปลอดภัย อาทิ ระบบเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) ที่แจ้งเตือนผู้ขับขี่เมื่อมีรถอื่นเข้ามาในจุดที่มองไม่เห็น หรือระบบเตือนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning) ระบบเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Forward Emergency Braking) และอีกหลากหลายฟังก์ชันล้ำสมัย จะช่วยเสริมความมั่นใจในทุกพื้นที่ที่การจราจรต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

จุดแวะพักไฮไลต์:  ตึกแฝดเปโตรนาส แลนด์มาร์กสุดฮิปของกรุงกัวลาลัมเปอร์ จุดหมายปลายทางหลักทริปนี้ ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปเช็คอิน

เดินทางชิลๆ หมดห่วงเรื่องหาจุดชาร์จไฟ กับ Nissan Kicks e-POWER 2nd Generation

นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ให้ประสบการณ์การขับขี่ด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า 100% ที่มอบแรงบิดดี ขับสนุก และเงียบ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาจุดชาร์จไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยี e-POWER เจเนอเรชัน 2 ที่เปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้า ให้ฟีลขับสนุกแบบ EV โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก รุ่นใหม่นี้มาพร้อมแรงบิดที่ดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ เร่งแซงง่าย ขับขึ้นทางชันลื่นไหล และระบบขับขี่เงียบกว่าเดิม ทำให้การเดินทาง ผ่อนคลายและสนุกขึ้น นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี e-Pedal Step ที่ช่วยให้การควบคุมรถทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นหรือถนนขึ้นลงเขา โดยสามารถใช้ได้ในโหมดการขับขี่แบบ อีโค (Eco) และ แบบสปอร์ต (Sport)

บทสรุปว่าทำไมต้องลอง Road Trip ไทย-มาเลเซีย กับ Nissan Kicks e-POWER

  • Road Trip ขับสนุกเต็มที่ ด้วยเส้นทางที่หลากหลาย ทั้งเนินเขา ทางโค้งตัว S ไฮเวย์ และถนนในเมือง พร้อมวิวสวยตลอดทาง
  • เหมาะกับสายเที่ยว & รักษ์โลก ที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางที่ให้การขับขี่ที่เหนือชั้น แบบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 100% ไร้กังวลเรื่องการหาจุดชาร์จไฟ อีกทั้งประหยัดน้ำมันเชื้อเพลงที่พิสูจน์แล้วโดยการเดินทางกว่า 650 กิโลเมตรด้วยน้ำมันเพียงหนึ่งถัง
  • เทคโนโลยี e-POWER Gen 2 มอบประสบการณ์ขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ทั้งความเงียบ แรงบิด และการตอบสนองที่ฉับไว เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่ต้องกังวลกับการชาร์จไฟฟ้า
  • Nissan Kicks e-POWER เป็นรถยนต์คุณภาพ การันตีโดยได้รับรางวัล Car of the Year ปี 2025 สาขา Best Hybrid SUV under 1,300 cc

นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ เปิดตัวครั้งแรกในอาเซียนที่ประเทศไทยในปีพ.ศ. 2563 และนับตั้งแต่นั้นมาก็ได้ขยายไปยังตลาดรวม 6 แห่งในอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และล่าสุดคือ มาเลเซีย ถือเป็นการตอกย้ำความพยายามของนิสสันในการนำการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาสู่ตลาดต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาค

หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์การเดินทางแบบใหม่ที่ให้ทั้งความสนุกและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Nissan Kicks e-POWER อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา พร้อมพาคุณไปสนุกให้สุดในทุกการเดินทาง!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI AUTOMOTIVE

Tesla พับแผนตั้งโรงงาน ‘ไทย-มาเลย์-อินโด’ หลังไม่สามารถแข่งขันกับรถอีวีจากจีนได้

 

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2567 นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซียเปิดเผยว่า “เทสลา อิงค์” (Tesla) ได้ตัดสินใจยกเลิกแผนการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เนื่องจากความท้าทายจากการแข่งขันที่ดุเดือดจากประเทศจีนและสถานการณ์ที่บริษัทเผชิญอยู่

เว็บไซต์เดอะสเตรทไทม์สในสิงคโปร์รายงานว่า นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้กล่าวถึงเหตุผลที่เทสลาตัดสินใจเปลี่ยนแผน โดยระบุว่า ซาฟรุล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย ได้รับข้อมูลตรงจากแหล่งข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเทสลาว่า บริษัทไม่สามารถแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนได้

อันวาร์อธิบายว่า ซาฟรุลได้รับข้อมูลล่าสุดซึ่งแสดงถึงความเพลี่ยงพล้ำของเทสลาในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากรถอีวีที่ผลิตในจีน ซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้ นอกจากนี้ เขายังระบุว่า ข้อมูลที่ได้รับเป็นการรายงานโดยตรง ไม่ใช่จากสื่อ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ยังกล่าวด้วยว่าแผนการลงทุนในมาเลเซียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น และตอนนี้เทสลามีเพียงการตั้งสำนักงานขายและโชว์รูมในประเทศไทยและมาเลเซียเท่านั้น

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สำนักนายกรัฐมนตรีไทยได้เปิดเผยว่ามีการเจรจาเบื้องต้นกับเทสลาสำหรับการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยได้เสนอแผนการใช้พลังงานสีเขียว 100% ในโรงงานเพื่อดึงดูดการลงทุนจากเทสลา

ทางด้านซาฟรุล อาซิสได้ชี้แจงว่ากระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าเทสลาจะเปิดโรงงานในประเทศมาเลเซีย และเทสลาก็ไม่เคยประกาศแผนการตั้งโรงงานในประเทศนี้เช่นกัน

ซาฟรุลยังกล่าวถึงรายงานล่าสุดที่เทสลาพับแผนการลงทุนในอาเซียนว่าไม่ได้มาจากแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากเทสลา แต่เป็นข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้นจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีนสามารถเสนอราคาและเทคโนโลยีที่แข่งขันได้อย่างดุเดือด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของบริษัทต่างชาติในการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เว็บไซต์เดอะสเตรทไทม์สในสิงคโปร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘มาเลเซีย’ ประกาศแล้ว มกราคม 68 แพลตฟอร์มโซเชียลต้องขอใบอนุญาต

 

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้มีการประกาศกรอบการกำกับดูแลใหม่สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและการส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตทั้งหมดที่มีผู้ใช้ลงทะเบียนอย่างน้อย 8 ล้านคนในประเทศให้ปฏิบัติตามในวันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม โดยกรอบการกำกับดูแลใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีหน้า

คณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) ได้ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่าการบังคับใช้ใบอนุญาตประเภทใหม่จะส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มยอดนิยมเช่น Facebook, Instagram, WhatsApp, YouTube, TikTok และ Telegram โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กและครอบครัว

การประกาศกรอบการกำกับดูแลใหม่นี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงในมาเลเซีย องค์กรภาคประชาสังคมบางแห่งได้กล่าวว่ามาตรการนี้เป็นการกระทำที่มากเกินไปและเสี่ยงต่อการปิดกั้นเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ขณะที่ผู้สังเกตการณ์อินเทอร์เน็ตรายอื่นๆ กลับมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ทันท่วงทีเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยออนไลน์ในช่วงเวลาที่อาชญากรรมทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น

การเคลื่อนไหวของมาเลเซียในการเปิดตัวกรอบกฎระเบียบใหม่นี้ดูเหมือนจะสะท้อนถึงความพยายามของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียและสิงคโปร์ ที่มุ่งหวังจะปกป้องประชาชนจากการรับรู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทางออนไลน์

ในบริบทของประเทศไทย การกำกับดูแลแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง เนื่องจากมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บการพนันและสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ การแพร่กระจายของข่าวปลอมบนทางออนไลน์ยังเป็นปัญหาที่สำคัญ การกำกับดูแลที่เข้มงวดจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและความมั่นคงในสังคมออนไลน์ของไทย

กรอบการกำกับดูแลใหม่ที่มาเลเซียประกาศใช้นั้นสามารถเป็นต้นแบบในการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบในประเทศไทยให้ทันสมัยและตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรับปรุงกฎระเบียบนี้จะไม่เพียงแต่ช่วยลดอาชญากรรมทางไซเบอร์และป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ แต่ยังส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีความรับผิดชอบในหมู่เยาวชนและประชาชนทั่วไปอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY WORLD PULSE

ไทยเสียอันดับตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ ของอาเซียนให้ประเทศมาเลเซีย

 
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2024 นิกเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า มาเลเซียแซงหน้าไทยขึ้นเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซีย เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิภาคซึ่งได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในทวีปเอเชียใช้ห้ำหั่นกัน 

 

นิกเคอิเอเชียรวบรวมข้อมูลยอดขายที่เผยแพร่โดยกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม พบว่ายอดขายรถยนต์ในมาเลเซียซึ่งก่อนหน้านี้ครองอันดับ 3 ของอาเซียนมายาวนาน ได้แซงหน้ายอดขายในประเทศไทยแล้ว 3 ไตรมาสติดต่อกัน นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 

 

จากข้อมูลของสมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซีย (Malaysian Automotive Association) ยอดขายรถยนต์ในมาเลเซียในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 202,245 คัน เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) หลังจากที่มีทำยอดขายรวมในปี 2023 ได้ 799,731 คัน เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้าการยกเว้นภาษีรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมาเลเซีย เป็นแรงหนุนยอดขายรถยนต์ของแบรนด์ระดับชาติของมาเลเซีย อย่าง เปโรดัว (Perodua) และโปรตอน (Proton) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันอยู่ประมาณ 60%

 

การยกเว้นภาษีรถยนต์ของมาเลเซียเริ่มต้นในปี 2020 และแม้ว่ามาตรการนี้จะสิ้นสุดลงในช่วงกลางปี ​​2022 แต่ยอดจองรถยนต์ในช่วงปลอดภาษียังคงเพิ่มตัวเลขยอดขายในปี 2023 

 

“การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวในราคาที่แข่งขันได้สูง ช่วยกระตุ้นยอดขาย” สมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซียระบุในแถลงการณ์ 

 

ในทางตรงกันข้ามยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยซึ่งครองอันดับ 2 ของภูมิภาคมาอย่างยาวนานกลับตกต่ำลง ถึงขั้นที่ยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 25% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 

 

ยอดขายรถยนต์รายเดือนของประเทศไทยเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 เนื่องจากปัญหาสินเชื่อรถยนต์ที่ไม่ก่อรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้การปล่อยสินเชื่อรถยนต์เข้มงวดขึ้น บวกกับการบริโภคที่ซบเซาลงโดยท่ัวไปอย่างไรก็ตาม สัดส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน อีวีจีน 

 

ส่วนอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนยังขาดแรงผลักดัน ยอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 24% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคลังเลในการซื้อรถ

 

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Nikkei Asia

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

‘นักท่องเที่ยวจีน’ พลิกกลับอันดับ 1 เที่ยวไทย ด้วยจำนวน 1.7 ล้านคน

 

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุ สถิติ “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง 3 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 2567 พบว่ามีจำนวนสะสม 9,370,297 คน เพิ่มขึ้น 44% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 454,653 ล้านบาท

 

จำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

1. จีน 1,756,337 คน

2. มาเลเซีย 1,168,574 คน

3. รัสเซีย 622,813 คน

4. เกาหลีใต้ 558,873 คน

5. อินเดีย 472,952 คน

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (25-31 มี.ค.) มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 644,328 คน ลดลง 1.07% จากสัปดาห์ก่อนหน้า 6,990 คน หรือคิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยเฉลี่ยวันละ 92,047 คน

 

ขณะที่ 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 127,713 คน ลดลง 5.80% มาเลเซีย 62,419 คน เพิ่มขึ้น 5.03% รัสเซีย 40,276 คน ลดลง 8.10% อินเดีย 33,597 คน ลดลง 15.13% และสหราชอาณาจักร 33,089 คน เพิ่มขึ้น 44.08%

 

“นักท่องเที่ยวยุโรปและโอเชียเนียบางประเทศ โดยเฉพาะชาวสหราชอาณาจักรเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จากวันหยุดในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวสหราชอาณาจักรขยับขึ้นมาเป็นกลุ่มที่เดินทางเข้ามาเป็นอันดับ 5”

 

สัปดาห์ถัดไป (1-7 เม.ย.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว แต่ยังคงมีปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การลงนามยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีน ที่มีผลช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว เพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และกระตุ้นให้สายการบิน เพิ่มจำนวนเที่ยวบิน รวมทั้งการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางหรือวีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวอินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News