Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ APACPH 2025 ชู “สุขภาพชายแดน” รับความท้าทายยุค Disruptive World

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ “APACPH 2025” เวทีสาธารณสุขเอเชีย–แปซิฟิก ชูสุขภาพชายแดน–ความเสมอภาค รับโลกยุค Disruption

เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าของปลายฝนต้นหนาว ลมเหนือพัดปรับอุณหภูมิให้เมืองชายแดนเย็นลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันข่าวใหญ่ด้านสาธารณสุขก็พัดเข้าสู่ภาคเหนือเช่นกัน เมื่อ สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH) ประกาศยืนยันให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพจัด การประชุมวิชาการนานาชาติ APACPH Conference ครั้งที่ 56 ระหว่าง 4–7 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้หัวข้อหลัก “Public Health Challenges in a Disruptive World” หรือ ความท้าทายด้านสาธารณสุขในโลกที่มีการหยุดชะงัก”

การตัดสินใจดังกล่าวไม่เพียงย้ำ “สถานะความเป็นนานาชาติ” ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงซึ่งได้รับการจัดอันดับ International Outlook ในระดับแถวหน้าของประเทศเท่านั้น หากยังสะท้อนบทบาทใหม่ของ เชียงราย ที่กำลังถูกมองเป็น “จุดตัดนโยบายสาธารณสุขชายแดน” ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ท่ามกลางพลวัตใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก

“เราต้องนำเสียงจากแนวชายแดนเข้าสู่กระดานโลกให้ได้—ทั้งเรื่อง ความเสมอภาคทางสุขภาพของชนกลุ่มน้อย/ผู้ย้ายถิ่น/ผู้สูงอายุ, การเตรียมพร้อมต่อ โรคอุบัติใหม่–อุบัติซ้ำ, ไปจนถึงการบูรณาการ เทคโนโลยี–นโยบาย ในระบบสุขภาพ” สารจากคณะผู้จัด APACPH 2025 สะท้อนทิศทางยุทธศาสตร์ของงานปีนี้

ทำไม “เชียงราย” จึงเป็นสมรภูมิเสียงของภูมิภาค

เชียงรายตั้งอยู่บนทางเชื่อมของ อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประเด็นสุขภาพ ไม่รู้จักเส้นแบ่งเขตแดน ไม่ว่าจะโรคติดเชื้อที่เดินทางพร้อมการค้าและการย้ายถิ่น ปัจจัยแวดล้อม–อาชีวอนามัยจาก เศรษฐกิจข้ามแดน ไปจนถึงความเปราะบางเฉพาะบริบทของ แรงงานไร้เอกสาร–ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุในชนบท การย้ายเวทีจากเมืองหลวงสู่ชายแดน จึงเป็นการ “หันไมค์” ไปยังผู้ที่มักอยู่ชายขอบของวงเสวนา สถานะความเป็นนานาชาติของ มฟล. และระบบนิเวศของเครือข่ายวิจัยด้านสุขภาพในภาคเหนือ ทำให้เมืองนี้ไม่ใช่เพียง “สถานที่จัดงาน” แต่เป็น ห้องทดลองเชิงนโยบาย ที่พาผู้เข้าร่วมเห็นของจริง—ตั้งแต่ชุมชนข้ามพรมแดน ไปถึงคลัสเตอร์ธุรกิจ–โลจิสติกส์ที่สร้างเงื่อนไขอาชีวอนามัยรูปแบบใหม่ ธีมย่อยของปีนี้ชัดถ้อยชัดคำ—สุขภาพของกลุ่มพลัดถิ่น ชายแดน และชนกลุ่มน้อย (Diaspora, border, and minority health)”—สะท้อนการปรับโฟกัสจาก กำหนดบนใช้ล่าง” ไปสู่ หลักฐานจากพื้นที่–ดันขึ้นนโยบาย” ที่รับมือความซับซ้อนจริงของภูมิภาค

กรอบวิชาการ 6 กลุ่มหัวข้อ เชื่อม “เทคโนโลยี นโยบาย ความยืดหยุ่น”

โครงสร้างวิชาการของ APACPH 2025 ถูกออกแบบเป็น 6 กลุ่มแกน (Core Tracks) ที่ครอบคลุมทั้ง “วันนี้” และ “วันพรุ่งนี้” ของระบบสุขภาพ:

  1. อนาคตของสังคมและสุขภาพ (Future Society & Health)  โฟกัส AI, เวชสารสนเทศ, Telehealth, Precision/Personalized Medicine และ Smart Care—คำถามใหญ่อยู่ที่กรอบกำกับดูแล จริยธรรมข้อมูล และความพร้อมของรัฐ–พื้นที่
  2. นโยบายและระบบสุขภาพ (Health Policy & Systems)  จาก ความมั่นคงทางสุขภาพโลก และ การเตรียมพร้อมโรคระบาด ไปถึง การเงินการคลังสาธารณสุข และแบบจำลอง Precision Public Health ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
  3. สุขภาพสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย (Environmental & Occupational Health)  ผลพวง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, มลพิษเมือง, และที่สำคัญคือ สุขภาพแรงงาน Gig—เศรษฐกิจแพลตฟอร์มที่เติบโตเร็วในอาเซียน แต่แบนบางด้านหลักประกันสุขภาพและความปลอดภัย
  4. ชุมชนและความเสมอภาค (Community & Equity)  ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (SDoH), ความเสมอภาคทางเพศ, การคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง (ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุ–ผู้ย้ายถิ่น) และการป้องกันความรุนแรงในชุมชน
  5. การควบคุมโรคและการศึกษาด้านสุขภาพ (Disease Control & Health Education)  ภัยคุกคามระบาดวิทยา, NCDs, การบาดเจ็บ, สุขภาวะพฤติกรรม และ health literacy—แก่นของ “การป้องกัน” ที่ยังคงเป็นฐานของระบบสุขภาพยั่งยืน
  6. วงจรชีวิตและสุขภาพ (Life Cycle & Health)  จาก “ปฐมวัย–มารดา” ไปสู่ “สังคมสูงวัยโรคเรื้อรัง” ครอบคลุมโภชนาการ การออกกำลังกาย และบริการดูแลต่อเนื่อง

เมื่อนำ 6 กลุ่มมา “วางคู่กัน” จะเห็น ยุทธศาสตร์สามชั้น ชัดเจน เทค นโยบาย ต้องเดินคู่ (Future Society × Policy & Systems), สิ่งแวดล้อม อาชีพ ผูกกับ ความเสมอภาค (Environmental/Occupational × Community & Equity), และป้องกัน วงจรชีวิต เป็น รากฐานความยืดหยุ่น ของสังคมในระยะยาว (Disease Control × Life Cycle)

เส้นตายกระชั้นชิด โอกาส ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

แม้การจัดงานสะท้อนความพร้อมของเจ้าภาพด้านโลจิสติกส์ แต่ปีนี้ กำหนดการทางวิชาการค่อนข้างบีบอัด โดยเฉพาะสำหรับผู้เข้าร่วมต่างชาติ

  • กำหนดส่งบทคัดย่อ (Extended): ถึง 15 ตุลาคม 2568
  • แจ้งผลตอบรับบทคัดย่อ (Extended): 20 ตุลาคม 2568
  • วันประชุมหลัก: 4–7 พฤศจิกายน 2568
  • Early-bird Registration (Extended): ถึง 15 กันยายน 2568

ช่วงเวลา ระหว่างการแจ้งผล (20 ต.ค.) กับวันประชุม (4 พ.ย.) มีเพียงราว สองสัปดาห์ ซึ่งอาจ ไม่เพียงพอ สำหรับผู้ที่ต้องขอวีซ่า/อนุมัติค่าใช้จ่ายจากองค์กรหรือวางแผนการเดินทางที่ซับซ้อน คำแนะนำเชิงปฏิบัติของผู้สื่อข่าวคือ เร่งจัดการงบประมาณnอนุมัติภายใน–เอกสารเดินทางให้ยืดหยุ่น และเตรียมแผนสำรองล่วงหน้า

ด้านค่าลงทะเบียน โครงสร้างราคามีแรงจูงใจชำระล่วงหน้า ชัดเจน:

  • Early-bird (25 เม.ย.–15 ก.ย. 2568)  นักศึกษา 150 USD/4,500 บาท, สมาชิก 250 USD/5,500 บาท, บุคคลทั่วไป 300 USD/6,500 บาท
  • On-site (16 ก.ย.–15 ต.ค. 2568)  นักศึกษา 200 USD/5,000 บาท, สมาชิก 300 USD/6,000 บาท, บุคคลทั่วไป 350 USD/7,000 บาท
  • Pre-conference Workshop (4 พ.ย.)  ต่างชาติ 50 USD, ผู้เข้าร่วมในประเทศ 1,000 บาท

ราคายัง ไม่รวมค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงิน (บัตรเครดิต/ธนาคาร)

จากตัวเลขข้างต้น นักศึกษา เสียโอกาสสูงสุดหากพลาด Early-bird (ต่าง 50 USD) ขณะที่หน่วยงานรัฐ–มหาวิทยาลัยควรปิดงบ ก่อน 15 ก.ย. เพื่อบริหารต้นทุนรวมให้ดีที่สุด

 

โลจิสติกส์–การเดินทาง ไกลเมืองแต่ใกล้สนามบิน

สถานที่จัดประชุม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) อำเภอเมืองเชียงราย

  • ห่าง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ประมาณ 15 กม./20 นาที
  • ห่างตัวเมืองประมาณ 18 กม./20–30 นาที

ตัวเลือกการเดินทาง:

  • แท็กซี่สนามบิน/ศูนย์แท็กซี่เชียงราย
  • Grab (GrabCar/GrabTaxi/GrabRent) ให้บริการในเชียงราย
  • รถเช่า (Avis, Budget, Hertz, Chic Car Rent) มีเคาน์เตอร์ในสนามบิน

ที่พักที่คณะเจ้าภาพร่วมมือ:

  1. วนเวศน์ อินน์ (Wanawes Inn) — ที่พัก ในมหาวิทยาลัย เหมาะผู้ต้องการความสะดวกสูงสุด
  2. The Heritage Chiang Rai Hotel & Conventionสถานที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร (ECM) วันที่ 3 พ.ย. คาดเป็น ศูนย์กลางเครือข่าย ของผู้บริหาร/ตัวแทนสถาบัน
  3. The Phufa Waree Chiangrai Resort, The Riverie by Katathani, Kokotel Chiang Rai Airport Suites — ทางเลือกตามงบและทำเล (ใกล้สนามบิน/ใจกลางเมือง/รีสอร์ท)

ด้วยระยะของมหาวิทยาลัยที่ ค่อนข้างห่างจากตัวเมือง ผู้เข้าร่วมควร กันงบการเดินทางภายใน (เรียกรถ/เช่ารถ) และติดตาม ประกาศรถรับ–ส่งทางการ หากมีการยืนยันเพิ่มเติมจากผู้จัด

โครงสร้างโปรแกรม Plenary–Panel–Talk Concert–Workshop

กำหนดการโดยสังเขป (ตามกรอบที่ประกาศ):

  • 1 ก.ค. 2568 เผยแพร่โปรแกรมครั้งที่ 1
  • 3 พ.ย. 2568 Executive Committee Meeting (ECM) ที่ The Heritage
  • 4 พ.ย. 2568 (บ่าย)  ECN Pre-Workshop (14:00–17:00 น.) เปิดให้สมาชิก Early Career Network (ECN) และผู้รับรางวัล YITA เข้าร่วมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
  • 4–7 พ.ย. 2568 งานประชุมหลัก (วิทยากรปาฐกถา–เวทีเสวนา–การนำเสนอแบบปากเปล่า/โปสเตอร์–กิจกรรมเครือข่าย)

สาระสำคัญของการจัดโปรแกรมคือ “ความร่วมสมัย” ตั้งแต่ Plenary ที่ยก “โจทย์ใหญ่” ของภูมิภาค ไปถึง Panel ที่ ผู้นโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม นั่งโต๊ะเดียวกัน และ Talk Concert ที่ “แปลภาษาเทคนิค” ให้สาธารณะเข้าใจง่าย—ทั้งหมดภายใต้ ธีม Disruptive World ที่สะท้อนความจริงปัจจุบัน ไม่ใช่ภาพอนาคต

ประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องจับตา

  1. AI–Data Governance–Telehealth การยกระดับบริการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน หาก กรอบกำกับดูแล–จริยธรรม ยังไม่ชัด? การประชุมนี้อาจวาง หลักคิดร่วม ของภูมิภาค
  2. Gig Worker Health แพลตฟอร์มเศรษฐกิจเติบโตไว แต่ ความคุ้มครองแรงงาน/อาชีวอนามัย ตามไม่ทัน—นโยบายแบบใด “รับทุกฝ่าย” ได้จริง
  3. Border & Minority Health จาก การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ของแรงงานข้ามแดน ไปถึง บริการที่คำนึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม/ภาษา—เชียงรายอาจเป็น กรณีศึกษาจริง ที่ต่อยอดสู่ โมเดลข้ามพรมแดน
  4. Climate–Environment–NCDs ภูมิอากาศสุดขั้วและมลพิษเชื่อมโยงกับ NCDs/สุขภาพจิต อย่างไร—การออกแบบ นโยบายป้องกันเชิงระบบ คือคำตอบระยะยาว
  5. Resilience by Design ทุกกลุ่มหัวข้อย้ำ “การป้องกัน” และ “ความยืดหยุ่น”—เสียงส่วนใหญ่คาดหวังเอกสาร แนวปฏิบัติ (playbook) ที่องค์กรในประเทศต่าง ๆ นำไปใช้ได้จริง

เสียงสะท้อนจากเครือข่าย (Key Messages)

  • มฟล. เน้นบทบาท “มหาวิทยาลัยของภูมิภาค” ที่ เชื่อมศาสตร์–เชื่อมเมือง–เชื่อมชายแดน และเป็น พื้นที่กลาง ของงานนานาชาติด้านสุขภาพ
  • APACPH ตั้งธง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ผ่านหัวข้อ Community & Equity และ Border/Minority Health เพื่อปิดช่องว่างที่การประชุมในเมืองใหญ่ มักมองข้าม
  • เครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่ (ECN) ได้เวที Pre-Workshop สร้าง ผู้นำสาธารณสุขรุ่นต่อไป—สัญญาณของการลงทุนกับ ทุนมนุษย์ อย่างจริงจัง

สรุปสำหรับผู้วางแผนเข้าร่วม (Actionable Takeaways)

  • รีบปิด Early-bird (ถึง 15 ก.ย. 2568) ประหยัดงบชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา/หน่วยงานภาครัฐ–สถาบันการศึกษา
  • ส่งบทคัดย่อ (ถึง 15 ต.ค. 2568) และเผื่อเวลาเอกสาร ระยะห่าง แจ้งผล 20 ต.ค. ถึง เริ่มงาน 4 พ.ย. สั้น—เตรียม แผน A–B เรื่องตั๋ว/ที่พัก/วีซ่า
  • วางแนวหัวข้องานวิจัยให้ “เข้าแกน 6 กลุ่ม”  โอกาสได้รับการคัดเลือก/สปอตไลต์สูงขึ้น โดยเฉพาะประเด็น ชายแดน–ความเสมอภาค–แรงงาน Gig–ภูมิอากาศ–AI/Telehealth
  • จองที่พักตามกลยุทธ์การเดินทาง หากต้องการเครือข่าย–ประชุมผู้บริหาร เลือก The Heritage; หากเน้นความสะดวกฝั่งสถานที่ประชุม เลือก Wanawes Inn (ในมฟล.)
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักวิจัยรุ่นใหม่ ใช้สิทธิ ECN Pre-Workshop (4 พ.ย. 14:00–17:00 น.) ที่เปิดฟรีแก่สมาชิก ECN/YITA

 

APACPH 2025 @ เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียง “โลเคชันใหม่” ของงานประชุมใหญ่ แต่เป็นการ จัดวางคำถามใหม่ ให้สอดคล้องกับ ความจริงใหม่ ของภูมิภาค—ความเปราะบางตามแนวชายแดน แรงงานรูปแบบใหม่ เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ภูมิอากาศสุดขั้ว และคลื่นเทคโนโลยีที่ทั้งสร้างโอกาสและตั้งคำถามเชิงจริยธรรม

ในโลกที่ Disruption กลายเป็นสภาวะปกติ งานนี้จึงมีความหมายมากกว่าเวทีนำเสนอผลงาน—มันคือ พื้นที่กำกับทิศทาง ที่ผู้กำหนดนโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม จะทดลอง “ประกบ” เทคโนโลยี–หลักฐาน–ความยุติธรรมทางสังคม เข้าด้วยกัน เพื่อสร้าง ระบบสุขภาพที่ยืดหยุ่นและเท่าเทียม กว่าเดิม

เชียงราย—เมืองชายแดนที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าอยู่ไกล—วันนี้กลายเป็น ใจกลางของบทสนทนาเอเชีย–แปซิฟิก ว่าด้วยสุขภาพของผู้คนที่ ไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU
  • APACPH 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ทอสายบุญ” จุลกฐินไทลื้อ: อบจ.เชียงรายผนึก 5 ภาคี สร้างงาน-รายได้ชุมชนจากวัฒนธรรม

เชียงรายสานศรัทธาไทลื้อ “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ บ้านหาดบ้าย” ลงนาม MOU 5 ภาคี ดันท่องเที่ยวริมโขง สร้างงาน–รายได้ชุมชน

เชียงราย, 9 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นบนตลิ่งโขง แสงสีส้มแตะขอบน้ำสงบที่ ลานเวทีบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง ต.ริมโขง อ.เชียงของ ผู้คนในชุดไทลื้อสีคราม–ไพลสลับลวดลายกำลังจัดขบวน “แห่ขันโตก” ขณะที่วงกลองสะบัดชัยกระทบจังหวะต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ—ฉากเปิดของงานแถลงข่าวและเสวนา “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ บ้านหาดบ้าย” ซึ่งปีนี้ยกระดับสู่ MOU เครือข่าย 5 ภาคส่วน เพื่อเดินหน้าพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ภายใต้แคมเปญจังหวัด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. นำภาคีเครือข่ายร่วมลงนาม ได้แก่ นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ, รศ.มาลี หมวกกุล ประธานสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง และ นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย เพื่อวางกรอบความร่วมมือจาก “วัฒนธรรม–พื้นที่–คน” สู่ “เศรษฐกิจท้องถิ่น–รายได้ชุมชน–ภาพลักษณ์จังหวัด”

“เรายกให้งานจุลกฐินบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทองเป็นหนึ่งในปฏิทินท่องเที่ยวของจังหวัด สนับสนุนงบประมาณ 300,000 บาท เพื่อให้ชุมชนเดินต่อด้วยพลังของตนเองและเครือข่ายภาคี” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวระหว่างเสวนา

จุลกฐินไทลื้อ “ทอผ้าทันใจ” ศรัทธาที่แปรเป็นเศรษฐกิจชุมชน

หัวใจของงานคือ พิธีจุลกฐิน—ประเพณีโบราณที่ชาวไทลื้อรวมพลัง ทอผ้าทันใจ” ภายในคืนเดียวเพื่อถวายแต่เช้า “ทอ–ปั่น–ฟั่น–กรอ—เสร็จในราตรีเดียว” คือความหมายเชิงสัญลักษณ์ของ ความสามัคคีและแรงศรัทธา ซึ่งปีนี้กำหนดจัดจริง 25–26 ตุลาคม 2568 ณ วัดหาดบ้าย พร้อมจำลองกระบวนการครบขั้นตั้งแต่เก็บสำลีฝ้าย ปั่นเส้น ไปจนถึงทอผ้าและแห่ถวาย

“เรื่องเล่าของ ‘ผ้าทันใจ’ คือพลังร่วมมือของชุมชน เมื่อครั้งต้องการถวายผ้าแด่พระภิกษุในเช้าวันถัดมา—วันนี้เราสืบสานเพื่อให้ลูกหลานเห็นคุณค่าศรัทธาที่จับต้องได้” — นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย กล่าว

นอกจากพิธีกรรม งานยังเปิดเวทีการแสดงอัตลักษณ์ไทลื้อ เช่น ฟ้อนขับลื้อ, ขบวน แห่ขันโตก ต้อนรับแขก และการร่วมแสดงของทั้ง แม่บ้าน–เยาวชน–ผู้สูงอายุ เพื่อให้เห็น “ชุมชนหนึ่งเดียวต่างวัย” ที่ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมร่วมกัน

3 ทุนของบ้านหาดบ้ายวัฒนธรรม–พื้นที่–คน

เวทีเสวนาชี้ให้เห็น “ทุน” ของพื้นที่ที่พร้อมต่อยอดเป็นคุณค่าทางเศรษฐกิจ

  • ทุนวัฒนธรรม ภาษา การแต่งกาย ประเพณี และอาหารพื้นถิ่นที่ยังใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ ผ้าทอไทลื้อ ที่มีลายเฉพาะถิ่น และพิธี จุลกฐิน
  • ทุนพื้นที่ ภูมิประเทศริมโขง โอบล้อมด้วยภูเขา บรรยากาศไฮซีซันที่โดดเด่น เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–วัฒนธรรม
  • ทุนคน ความเข้มแข็งของชุมชน การรวมกลุ่มอาชีพ และความร่วมมือของผู้นำท้องถิ่นกับสถาบันการศึกษา

“ทุน 3 อย่างนี้—ถ้าเชื่อมกับการจัดการที่ดี จะกลายเป็น ‘เศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม’ ที่สร้างคุณภาพชีวิตให้คนในพื้นที่จริง” — นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ให้ความเห็น

มหาวิทยาลัยหนุนวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์ จากครัวชนบทสู่รางวัลระดับประเทศ

บทบาทของ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ไม่ได้หยุดอยู่ที่การถอดองค์ความรู้การทอผ้าไทลื้อเท่านั้น แต่ยังต่อยอด ห่วงโซ่อาหารพื้นถิ่น สู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และภาพลักษณ์ใหม่

  • น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้” คว้ารางวัลระดับประเทศจากเวที “ยกพลคนน้ำพริก (ไทยพีบีเอส)” ทั้ง รองชนะเลิศ และ ขวัญใจมหาชน—ตัวอย่างการนำเครื่องปรุงพื้นบ้านยกระดับสู่สากล
  • ชาดอกซ้อ (ดอกเส้า)” วิจัยพัฒนาให้ผลิต–จำหน่ายได้ตลอดปี พร้อม แพ็กเกจจิ้ง ที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชน เพิ่มมูลค่าเป็น “ของฝากริมโขง”

“สิบกว่าปีที่ทำงานร่วมพื้นที่ เราเห็นชัดว่าทุนคนคือจุดเริ่มต้น ทุกโครงการ—อาหาร ผ้า ศูนย์เรียนรู้—เกิดจากการที่ชุมชน ‘อยากทำ’ และ ‘ทำได้จริง’ มหาวิทยาลัยจึงทำหน้าที่ต่อยอดงานวิจัยและการตลาดให้ไปไกลขึ้น” — รศ.มาลี หมวกกุล กล่าวบนเวที

จากเวทีแถลงสู่เวทีขาย อาหาร–การแสดง–สินค้าชุมชนครบประสบการณ์

งานแถลงข่าวไม่เพียงนำเสนอสาระ แต่ “ลองรส–ลองชม–ลองช็อป” เพื่อสะท้อนประสบการณ์จริงของนักท่องเที่ยวในงานใหญ่ปลายเดือน เมนู ขันโตกไทลื้อ ที่เสิร์ฟบนเวที เช่น

  • แกงหางหวายอ่อน — วัตถุดิบพื้นบ้านหายาก ปรุงแบบดั้งเดิม
  • ลาบหมูล้านนา — อาหารมงคลของชาวเหนือ สื่อถึงการรวมคนในงานบุญ
  • น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้ — เมนูสร้างชื่อของชุมชน
  • ต้มจืดฟักเขียว — เมนูกลางสำหรับทุกวัย

บนลานทรายริมโขง แผงสินค้าชุมชนเรียงรายตั้งแต่ ผ้าซิ่นไทลื้อ–เสื้อพื้นถิ่น–ของทานพื้นบ้าน ไปจนถึงบูธงานวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์จากมหาวิทยาลัย ภาพนักเรียน โรงเรียนริมโขงวิทยา ขึ้นแสดง–ร่วมจัดนิทรรศการ ยังสะท้อน “คนรุ่นใหม่” ที่สืบต่ออัตลักษณ์บ้านเกิด

MOU 5 ภาคส่วน กลไกขับเคลื่อนระยะยาว

เอกสาร MOU ที่ลงนามร่วมกันระบุ เจตนารมณ์ร่วม 3 ประการ คือ

  1. ยกระดับงาน “จุลกฐินถิ่นไทลื้อโบราณ” เป็นงานวัฒนธรรมประจำปีที่ชุมชนเป็นเจ้าของ
  2. สนับสนุน โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว และ ระบบการสื่อสารสาธารณะ ให้เข้าถึงง่ายทั้งออนไลน์–ออฟไลน์
  3. ต่อยอด งานวิจัย–ผลิตภัณฑ์ชุมชน ให้ได้มาตรฐาน พร้อมช่องทางตลาด–โลจิสติกส์รองรับ

อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่หนุนงบประมาณและการตลาดเชิงภาพรวมจังหวัด, อำเภอเชียงของ และ อบต.ริมโขง บูรณาการภาคส่วนในพื้นที่, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วางฐานองค์ความรู้–มาตรฐานผลิตภัณฑ์–ศูนย์เรียนรู้, ส่วน ชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง ทำหน้าที่เจ้าภาพเนื้อแท้ของวัฒนธรรมและประสบการณ์นักท่องเที่ยว

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • 300,000 บาท งบสนับสนุนงานปีนี้จาก อบจ.เชียงราย เพื่อผลักดันสู่ปฏิทินท่องเที่ยวจังหวัด
  • 2 วัน (25–26 ต.ค. 2568)  โครงสร้างงาน—คืนแรก ทอผ้าทันใจ, เช้าวันถัดมา แห่ผ้าทอถวาย
  • 5 ภาคีร่วมลงนาม อบจ.เชียงราย, อำเภอเชียงของ, ม.ราชภัฏเชียงราย, อบต.ริมโขง, ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย
  • รางวัลระดับประเทศ 2 รางวัล  “น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้” จากเวทีไทยพีบีเอส (รองชนะเลิศ/ขวัญใจมหาชน) สะท้อนศักยภาพการยกระดับอาหารพื้นบ้าน
  • ระบบนิเวศคน 3 วัย แม่บ้าน–เยาวชน–ผู้สูงอายุ ร่วมเป็นผู้แสดง ผู้ผลิต และผู้ต้อนรับ สร้าง “บริการท่องเที่ยวที่เป็นเจ้าบ้านจริง”

เสียงจากพื้นที่ การมีส่วนร่วมคือคำตอบ

“เราจะรับนักท่องเที่ยวด้วยความเต็มใจ ด้วยวิถีไทลื้อและพหุชาติพันธุ์ใน ต.ริมโขง—งานนี้ระเบิดจากข้างในชุมชน หน่วยงานรัฐและมหาวิทยาลัยเข้ามาหนุนเสริม” — นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง

“เมื่อชุมชนมีความภูมิใจในทุนของตนเอง นักท่องเที่ยวก็จะได้ประสบการณ์แท้จริง—นี่คือเหตุผลที่เราพัฒนา ศูนย์เรียนรู้ และ คลังความรู้การทอผ้า ในโรงเรียน ให้การสืบสานเป็น ‘ทักษะอาชีพ’ ได้” — รศ.มาลี หมวกกุล

“การทอผ้าทันใจไม่ใช่โชว์ แต่คือชีวิต—เราอยากให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส ลงมือจริง และเข้าใจว่าทุกเส้นด้ายมีเรื่องเล่า” — นางสนอง จันต๊ะคาด

การสื่อสารร่วมสมัย จากเวทีริมโขงสู่ไลฟ์สดและคอนเทนต์ออนไลน์

เพื่อเข้าถึงคนเมือง–คนรุ่นใหม่ งานแถลงข่าวเปิด ไลฟ์สด ผ่านเพจหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชิญชวน ครีเอเตอร์ ทดลองเก็บคอนเทนต์ “ชุดไทลื้อ–ริมโขง–แสงอาทิตย์ตก” พร้อมแนะนำ แฮชแท็กการท่องเที่ยวชุมชน กระตุ้นการรับรู้แบบไวรัล ขณะเดียวกัน ชุมชนเตรียม ชุดข้อมูลนักท่องเที่ยว (การเดินทาง ที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหารพื้นถิ่น แหล่งซื้อผ้า) เพื่อให้การเดินทางในปลายเดือนเป็นไปอย่างราบรื่น

แผนงานก่อนถึงวันจริง ความพร้อมเชิงระบบ

หลังลงนาม MOU แต่ละฝ่ายเร่งดำเนินการตามบทบาท

  • ชุมชน: ฝึกซ้อมการแสดง สรุปเส้นทางเดินงาน จัดบูธผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และระบบอาสาสมัครต้อนรับ
  • อบต.ริมโขง: การจราจร–ความปลอดภัย–จุดบริการสาธารณะ
  • อำเภอเชียงของ: ประสานหน่วยงานความมั่นคงและสาธารณสุขในพื้นที่
  • อบจ.เชียงราย: ประชาสัมพันธ์ส่วนกลางและเชื่อมเครือข่ายท่องเที่ยวจังหวัด
  • มหาวิทยาลัย: นัดหมายสาธิตงานวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์ สื่อสารเรื่องมาตรฐาน คุณภาพ และเรื่องเล่าเบื้องหลังผลิตภัณฑ์

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง คือ รายได้หมุนเวียนในชุมชน ผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์–บริการท่องเที่ยว, การจ้างงานชั่วคราว–กึ่งถาวร ในกลุ่มแม่บ้าน/เยาวชน, และ การรับรู้แบรนด์ปลายทาง “เชียงของ–ริมโขง–ไทลื้อ” ที่เข้มแข็งขึ้นในตลาดนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

คำเชิญชวนสุดท้าย มาเห็น “ศรัทธาที่ทอได้” ด้วยตาคุณเอง

เมื่อแสงสุดท้ายลับขอบน้ำ ขบวนแห่ขันโตกสิ้นสุดลง ผู้ร่วมงานหันไปมองกี่ทอผ้าจำลองที่ตั้งเด่นริมเวที—เครื่องหมายว่าภารกิจใหญ่กำลังใกล้เข้ามา ใน คืนวันที่ 25 ตุลาคม ทุกบ้านจะร่วมแรง ทอผ้าทันใจ” และในเช้าถัดมา 26 ตุลาคม ผืนผ้าที่ทอด้วยแรงกาย–แรงใจ จะถูกแห่อย่างสง่างามเข้าสู่วัดหาดบ้าย

อบจ.เชียงราย ฝากข้อความถึงนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ  “มาเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานวัฒนธรรมไทลื้อ ลิ้มรสอาหารพื้นถิ่น ชมงานหัตถกรรมแท้ และช่วยกันกระจายรายได้สู่ชุมชนริมโขง” ความทรงจำจากทริปนี้อาจไม่ใช่เพียงภาพถ่ายยามอาทิตย์ตกบนโขง หากคือ เรื่องเล่าของผืนผ้าที่ทอขึ้นในคืนเดียว—ศรัทธาที่จับต้องได้ และเศรษฐกิจชุมชนที่เติบโตได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง (อบต.ริมโขง)
  • ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์)
  • โรงเรียนริมโขงวิทยา
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

จับตา! ขบวนการวีซ่านักเรียนจีนเทียม? ม.ดังปฏิเสธ อว. เร่งสอบ

กระทรวง อว. และ ตม. เข้มตรวจสอบขบวนการสวมวีซานักศึกษาจีนในเชียงรายและทั่วไทย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – จากกระแสข่าวที่สร้างความกังวลในสังคมเกี่ยวกับขบวนการออกวีซานักศึกษาให้กับชาวจีน โดยอาจมีการแฝงตัวเพื่อประกอบอาชีพผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ได้ออกมาชี้แจงและดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการศึกษาและป้องกันการใช้ช่องทางวีซานักศึกษาในทางมิชอบ

จุดเริ่มต้นการเปิดโปงขบวนการสวมวีซานักศึกษา

เรื่องราวเริ่มต้นจากโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “รู้ทันจีน” ซึ่งถูกเผยแพร่โดย THAI PBS โดยระบุถึงการโฆษณาแพ็กเกจต่อวีซานักศึกษาในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เชียงรายและแม่น้ำแคว โฆษณาดังกล่าวใช้ภาษาจีนและให้รายละเอียดเกี่ยวกับการขอวีซานักศึกษาทั้งประเภทปริญญาและหลักสูตรภาษาระยะสั้น โดยอ้างว่าสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเข้าเรียนจริง ราคาแพ็กเกจสูงสุดถึง 53,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีการระบุรายชื่อมหาวิทยาลัยที่ “ควรหลีกเลี่ยง” พร้อมเหตุผล เช่น “เข้าออกสนามบินถูกตรวจง่าย” หรือ “ต่อวีซายาก” ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจมีการดำเนินการที่ไม่โปร่งใสในระบบการศึกษาของไทย

การโพสต์ดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อมีการเชื่อมโยงกับกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน เปิดเผยข้อมูลว่า มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจออกวีซานักศึกษาให้ชาวจีนเพื่อสวมสิทธิทำงานเป็นวิศวกรในประเทศไทย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น กรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม

การตอบสนองจากสถานศึกษา

มหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ถูกพาดพิงถึง ได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวทันที มหาวิทยาลัยพายัพและมหาวิทยาลัยนอร์ท จังหวัดเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ผ่านเพจทางการว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกวีซานักศึกษาในลักษณะที่ผิดกฎหมาย และยืนยันว่าการรับนักศึกษาต่างชาติของทั้งสองสถาบันดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบของกระทรวง อว. อย่างเคร่งครัด

ด้านมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตเชียงใหม่ พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ชยาภินันโท เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักศึกษาจีนกว่า 500 คนลงทะเบียนในหลักสูตรภาษาไทยระยะสั้น 1 ปี ซึ่งได้รับอนุมัติจากสภาวิชาการและสภามหาวิทยาลัย โดยมีระยะเวลาเรียน 180 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยได้ยกเลิกวีซานักศึกษากว่า 50 คน เนื่องจากไม่เข้าเรียนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 80 ของเวลาเรียน โดยได้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้เพิกถอนสถานภาพนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว

พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ระบุเพิ่มเติมว่า “เราไม่เจาะจงรับเฉพาะนักศึกษาจีนหรือชาติใดชาติหนึ่ง ทุกคนที่มีคุณสมบัติสามารถลงเรียนกับเราได้ หลักสูตรของเราดำเนินการอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย”

ผศ.พระวิสิทธิ์ ฐิตวิสิทโธ ผู้อำนวยการส่วนสนับสนุนวิชาการ มจร. วิทยาเขตเชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า การคัดกรองวัตถุประสงค์ของนักศึกษาต่างชาติเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่สามารถรู้เจตนาที่แท้จริงของผู้สมัครได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่านักศึกษาไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เช่น ไม่เข้าเรียนตามกำหนด มหาวิทยาลัยจะดำเนินการตามกฎหมายทันที

การดำเนินการของหน่วยงานรัฐ

พล.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและพร้อมดำเนินการตามกฎหมาย หากพบว่านักศึกษาต่างชาติใช้วีซานักศึกษาเพื่อประกอบกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การอนุมัติวีซานักศึกษาจะพิจารณาจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ สถานศึกษาต้องจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และนักศึกษาต้องมีหลักฐานยืนยันการเข้าเรียนจริง หากพบว่านักศึกษาไม่เข้าเรียนหรือใช้สถานะนักศึกษาในทางมิชอบ วีซาจะถูกเพิกถอนทันที และดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเร่งตรวจสอบมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาจีนเข้าศึกษา โดยเฉพาะกรณีที่อาจเข้าข่าย “สวมวีซานักศึกษา” โดยเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 กระทรวง อว. ได้จัดการประชุมร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อกำหนดแนวทางตรวจสอบและติดตามนักศึกษาต่างชาติอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น นางสาวศุภมาสย้ำว่า หากพบสถานศึกษาใดมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลย จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ กระทรวง อว. ได้ออกหนังสือถึงวิทยาลัยสงฆ์ลำพูน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีทุนจีนถือหุ้นทั้ง 3 แห่ง ให้รายงานข้อมูลนักศึกษาจีนภายใน 1 สัปดาห์ รวมถึงจำนวนนักศึกษา สาขาที่เรียน ระยะเวลาเรียน และสถานะวีซานักศึกษา เพื่อใช้ในการตรวจสอบต่อไป

การสั่งการระดับนโยบาย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งทบทวนมาตรการวีซาฟรี เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โดยกลุ่มทุนสีเทาในการลักลอบเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมาย การทบทวนนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงนโยบายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย พร้อมทั้งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งคลี่คลายคดีตึก สตง. ถล่ม โดยตรวจสอบทั้งประเด็นมาตรฐานการก่อสร้างและการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายของคนต่างด้าว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวิโรจน์ระบุว่ามีการสวมวีซานักศึกษาเพื่อทำงานเป็นวิศวกรว่า “กรณีนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะวิศวกรต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม (กว.) หากเป็นนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาฝึกงาน จะไม่สามารถควบคุมงานหรือเซ็นรับรองเอกสารได้”

นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง สนับสนุนมุมมองนี้ โดยระบุว่า นักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาฝึกงานต้องขอวีซาฝึกงานและมีหนังสือรับรองจากมหาวิทยาลัย หากชาวต่างชาติควบคุมการก่อสร้างโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จะถือว่าผิดกฎหมายและมีโทษทั้งจำคุกและปรับ

การคลี่คลายปมและแนวทางแก้ไข

จากสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อคลี่คลายปัญหา โดยกระทรวง อว. และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำลังบูรณาการข้อมูลเพื่อตรวจสอบสถานะและพฤติกรรมของนักศึกษาต่างชาติอย่างละเอียด นอกจากนี้ กระทรวง อว. มีแผนจัดทำฐานข้อมูลกลางของนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ และทบทวนนโยบายการรับนักศึกษาต่างชาติให้รัดกุมยิ่งขึ้น

การยกเลิกวีซานักศึกษาที่ไม่เข้าเรียนตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ส่วนการหารือระหว่างกระทรวง อว. และ ตม. ในวันที่ 23 เมษายน 2568 ได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการตรวจสอบและป้องกันการใช้สถานะนักศึกษาในทางมิชอบ

การวิเคราะห์ ความท้าทายและโอกาส

ปัญหาการสวมวีซานักศึกษาสะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย โดยเฉพาะในบริบทของนโยบายวีซาฟรีที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวและการศึกษา แต่กลับถูกบางกลุ่มใช้เป็นช่องทางในการทำผิดกฎหมาย การคัดกรองเจตนาของนักศึกษาต่างชาติเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากสถานศึกษามักพิจารณาเพียงคุณสมบัติตามเอกสารเท่านั้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการตรวจจับเจตนาที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเป็นโอกาสให้ประเทศไทยยกระดับระบบการบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดทำฐานข้อมูลกลางและการประสานงานระหว่างหน่วยงานจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ การรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการศึกษาไทยในสายตานานาชาติยังเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่แท้จริง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ฝ่ายที่ 1 กังวลต่อการใช้ช่องโหว่วีซานักศึกษา
ประชาชนและนักการเมืองบางส่วน เช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร มองว่าการสวมวีซานักศึกษาเพื่อทำงานผิดกฎหมายเป็นปัญหาที่ร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่ออาจเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมก่อสร้างหรือกลุ่มทุนสีเทา การที่โฆษณาในโซเชียลมีเดียระบุถึงแพ็กเกจต่อวีซาโดยไม่ต้องเรียนจริง บ่งชี้ถึงความหละหลวมในระบบการตรวจสอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและภาพลักษณ์ของประเทศไทย

ฝ่ายที่ 2 มองว่าเป็นเรื่องที่ควบคุมได้
ในทางกลับกัน หน่วยงานอย่างกระทรวง อว., ตม., และสถานศึกษายืนยันว่า ระบบการรับนักศึกษาต่างชาติมีกฎระเบียบที่ชัดเจน และมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การยกเลิกวีซานักศึกษาที่ไม่เข้าเรียนและการปฏิเสธข้อกล่าวหาของมหาวิทยาลัยบางแห่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรักษามาตรฐาน นอกจากนี้ การที่วิศวกรต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทำให้กรณีสวมสิทธิทำงานเป็นวิศวกรไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย

ทัศนคติเป็นกลาง ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลที่สมควรพิจารณา ความกังวลของฝ่ายแรกสะท้อนถึงความจำเป็นในการป้องกันช่องโหว่ในระบบวีซาและการศึกษา ซึ่งอาจถูกใช้ในทางที่ผิดได้ ขณะที่ฝ่ายที่สองแสดงให้เห็นถึงกลไกการควบคุมที่มีอยู่และความพยายามในการแก้ไขปัญหา การแก้ไขสถานการณ์นี้ควรเน้นที่การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อลดความกังวลของประชาชน โดยไม่ตีตราว่านักศึกษาต่างชาติทุกคนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักศึกษาต่างชาติในไทย: สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รายงานว่า ในปี 2567 มีนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทยประมาณ 30,000 คน โดยร้อยละ 40 เป็นนักศึกษาจีน (ที่มา: รายงานการจัดการศึกษานานาชาติ, สกอ., 2567)
  2. การยกเลิกวีซานักศึกษา: สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า ในปี 2566 มีการยกเลิกวีซานักศึกษาต่างชาติทั่วประเทศ 1,200 ราย เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการศึกษา (ที่มา: รายงานประจำปี, สตม., 2566)
  3. นโยบายวีซาฟรี: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า นโยบายวีซาฟรีสำหรับนักท่องเที่ยวจีนในปี 2566 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศกว่า 3.5 ล้านคน (ที่มา: รายงานการท่องเที่ยว, 2566)
  4. การตรวจสอบสถานศึกษา: กระทรวง อว. ระบุว่า ในปี 2567 มีการตรวจสอบสถานศึกษาที่รับนักศึกษาต่างชาติ 150 แห่ง พบว่า 10 แห่งมีพฤติการณ์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ที่มา: รายงานการตรวจสอบ, กระทรวง อว., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • thaipbs
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเมืองสุขภาพ! ม.แม่ฟ้าหลวงร่วมพัฒนา สู่ต้นแบบแม่กำปอง

พช.เชียงราย ผนึกกำลังมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าโครงการ Chiang Rai Wellness City ผลักดันเชียงรายสู่เมืองแห่งสุขภาพ

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – มุ่งส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างต้นแบบชุมชนสุขภาวะยั่งยืน

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย (พช.เชียงราย) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดกิจกรรมภายใต้โครงการ พัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City)บ้านไร่กองขิง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน ทีมวิทยากรจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และผู้นำชุมชนจากอำเภอเมืองเชียงราย เข้าร่วม

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ พัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะ โดยนำแนวทางของ บ้านแม่กำปอง ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแนวทางในการพัฒนาเชียงราย ให้เป็นเมืองที่มีความสมดุลระหว่างวิถีชีวิตชุมชน วัฒนธรรม และการดูแลสุขภาพ

กิจกรรมสร้างสรรค์เชิงสุขภาพและวัฒนธรรม มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

ภายในงาน มีกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับสุขภาพและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ประชาชนบ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 11 ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมืองเชียงราย และประชาชนบ้านถ้ำผาตอง หมู่ที่ 6 ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ได้แก่

กิจกรรมเพ้นท์แก้วดินเผาโบราณ

  • สร้างสรรค์งานศิลปะบนเครื่องปั้นดินเผาตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน
  • ส่งเสริมให้ชุมชนสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว
  • กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

กิจกรรมทำลูกประคบสมุนไพร

  • ถ่ายทอดความรู้เรื่องสรรพคุณของสมุนไพรไทยในการบำบัดรักษาสุขภาพ
  • ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับชุมชนผ่านการแปรรูปสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ

กิจกรรมเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมสำหรับนักท่องเที่ยว

  • สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การนวดแผนไทย อาหารพื้นเมืองเพื่อสุขภาพ และโยคะสมาธิ
  • ผสมผสานวิถีชุมชนเข้ากับกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาวะ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่มีคุณค่าแก่ผู้มาเยือน
  • ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มองหาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

Chiang Rai Wellness City แนวคิดสู่การพัฒนาเมืองแห่งสุขภาพแบบยั่งยืน

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “Chiang Rai Wellness City” ซึ่งมุ่งเน้นให้เชียงรายเป็น เมืองแห่งสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยอาศัยจุดแข็งของพื้นที่ ได้แก่

  • ภูมิประเทศที่มีธรรมชาติสมบูรณ์
  • วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์
  • วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเหมาะกับการพักผ่อนฟื้นฟูสุขภาพ
  • ทรัพยากรสมุนไพรที่หลากหลาย สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการนี้ว่า

การพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพไม่ใช่เพียงแค่การส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่คือการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้คนในพื้นที่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราต้องการให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลสุขภาพในรูปแบบที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตล้านนา ควบคู่ไปกับการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตผ่านแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

เชียงรายมุ่งสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในระดับนานาชาติ

เชียงรายถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในการเป็น ศูนย์กลางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะในระดับนานาชาติ เนื่องจาก

  • เป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบจาก UNESCO
  • มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะแก่การฟื้นฟูสุขภาพ เช่น บ่อน้ำพุร้อน เชียงราย เทอราพี รีสอร์ท และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
  • เป็นศูนย์กลางการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรล้านนา
  • มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านสุขภาพและสมุนไพร

ทั้งนี้ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีแผนผลักดันเชียงรายให้เข้าสู่เครือข่ายเมืองสุขภาพระดับโลก (Global Wellness Cities) ในอนาคต

สรุปผลสำเร็จของโครงการ และแนวทางในอนาคต

  • กิจกรรมภายใต้โครงการ Chiang Rai Wellness City ได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้นำชุมชนอย่างกว้างขวาง
  • การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนผ่านผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจะเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพรท้องถิ่น
  • มีแผนต่อยอดความร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมสินค้าสุขภาพจากเชียงรายไปสู่ตลาดต่างประเทศ

โครงการนี้ถือเป็น จุดเริ่มต้นที่สำคัญ ในการทำให้เชียงรายกลายเป็น เมืองแห่งสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเชียงราย และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS NEWS UPDATE

ม.พะเยา แชมป์ 2 ปีติด ใช้หนี้คืน กยศ. ม.แม่ฟ้าหลวง เชียงราย อันดับ 7

 
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567  รองศาสตราจารย์ ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา มอบหมายให้ ดร.วุฒิชัย ไชยรินคำ รองอธิการบดีฝ่ายคุณภาพนิสิต เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยพะเยา เข้ารับมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีอัตราชำระหนี้ กยศ. ดีที่สุดอันดับ 1 ของประเทศต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณแก่สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา 25 แห่งและระดับอาชีวศึกษา 25 แห่ง ที่มีอัตราชำระหนี้ดีที่สุดของประเทศ เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ และสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินงานของสถานศึกษา โดยมีนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง และประธานกรรมการ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นผู้มอบรางวัล ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 ชั้น 4 กระทรวงการคลัง
 

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “จากการที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้จัดอันดับข้อมูลสถิติการชำระหนี้ของสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและระดับอาชีวศึกษาทั่วประเทศที่มีผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุน จึงได้จัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณแก่สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและระดับอาชีวศึกษาที่มีอัตราการชำระหนี้ดีที่สุด 25 อันดับแรกของประเทศ ประจำปี 2566 รวมจำนวนทั้งสิ้น 50 แห่ง เพื่อเป็นการยกย่องเชิดซูเกียรติ และสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินงานของสถานศึกษาที่เข้าร่วมการดำเนินงานกองทุน โดยสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีอัตราการชำระหนี้ดีที่สุดอันดับที่ 1 ได้แก่

มหาวิทยาลัยพะเยา และได้เรียงลำดับรายชื่อสถานศึกษา 25 อันดับ ดังนี้

1.มหาวิทยาลัยพะเยา

2. มหาวิทยาลัยศิลปากร

3.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร

4. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

5.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

6. มหาวิทยาลัยนเรศวร

7.มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 8. มหาวิทยาลัยมหิดล

9.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 10. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

11.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 12. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

13.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 14.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ

15.มหาวิทยาลัยบูรพา 16. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

17.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ 18. สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

19.สถบันเทคโนโลยีพระจอมกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 20. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก

21.มหาวิทยาลัยขอนแก่น 22. มหาวิทยาลัยทักษิณ

23.มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 24. มหาวิทยาลัยเทคนโลยีราชมงคลอีสาน

25.มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

 

สำหรับ สถานศึกษาระดับอาชีวศึกษา ที่มีอัตราการชำระหนี้ดีที่สุดอันดับที่ 1 ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคลำปาง และได้เรียงลำดับรายชื่อสถานศึกษา 25 อันดับ ดังนี้

1. วิทยาลัยเทคนิคลำปาง   

2. วิทยาลัยเทคนิคสว่างแดนดิน  

3. วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์   

4. วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม 

5. วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย         

6. วิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์

7. วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง  

8. วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย

9. วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร   

10. วิทยาลัยเทคนิคชุมแพ

11. วิทยาลัยเทคนิคนางรอง    

12. วิทยาลัยเทคนิคน่าน   

13. วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัย    

14. วิทยาลัยเทคนิคแพร่

15. วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์     

16. วิทยาลัยเทคนิคเลย 

17. วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี 

18. วิทยาลัยการอาชีพนวมินทราชินีมุกดาหาร 

19. วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์   

20. วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุโขทัย               

21. วิทยาลัยเทคนิคพิจิตร   

22. วิทยาลัยเทคนิคระยอง 

23. วิทยาลัยเทคนิคกำแพงเพชร  

24. วิทยาลัยเทคนิคอำนาจเจริญ 

25. วิทยาลัยเทคนิคพะเยา 

 

ทั้งนี้ มีสถานศึกษาที่เข้าร่วมดำเนินงานกับกองทุนทั่วประเทศกว่า 4,000 แห่ง ซึ่งสถานศึกษาทุกแห่งล้วนเป็นกำลังสำคัญในการสร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถ อีกทั้ง ยังช่วยปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่นักศึกษา ผู้กู้ยืมมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบในการชำระเงินคืนกองทุน เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้ผู้กู้ยืมรุ่นต่อไป โดยกองทุนคาดหวังให้สถานศึกษาทุกแห่งได้มีการรณรงค์ส่งเสริมในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องอันจะส่งผลให้กองทุนเป็นทุนหมุนเวียนที่ให้โอกาสทางการศึกษา เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์และสร้างอนาคตให้คนไทย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News