กมธ.ทรัพยากรน้ำฯ ติดตามมลพิษ “กก–สาย–รวก” น้ำผิวดินกกดีขึ้นแต่ตะกอนยังวิกฤต—เศรษฐกิจเสี่ยงสูญเกือบ 3.8 พันล้าน/ปี ท่ามกลางแรงกดดันเหมืองรัฐฉานเดินหน้าขยาย
เชียงราย, 31 ต.ค. 2568 — รายงานตรวจวัดรอบปลายกันยายนชี้น้ำผิวดินแม่น้ำกก “ผ่านเกณฑ์” แต่ตะกอนดินยังพบสารหนูเกินระดับเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน 9 จุด ขณะที่แม่น้ำสายยัง “อาการหนัก” ทั้งน้ำและตะกอน ส่วนแม่น้ำรวก–โขง น้ำผ่านเกณฑ์แต่ตะกอนยังน่าห่วง นักวิชาการเตือน “มลพิษในตะกอน” คือระเบิดเวลาที่อาจย้อนปนเปื้อนน้ำอีกระลอก ภาคเกษตร–ประมง–ท่องเที่ยวเสี่ยงเสียหายรวมปีละราว 3,786 ล้านบาท ขณะหน่วยงานสาธารณสุขเร่งเฝ้าระวัง 4 มาตรการ และ กมธ.ฯ สั่งทำแผนแก้ไขระยะสั้น–กลาง–ยาว ด้านมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่เผยภาพดาวเทียมชี้ เหมืองแรร์เอิร์ธ–ทอง ริมกกในรัฐฉานยังขยายตัวต่อเนื่อง ก่อนการประชุม MRC เดือนพฤศจิกายนนี้ที่เชียงราย
“น้ำเริ่มใส แต่ท้องน้ำยังป่วย”
การประชุมคณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เปิดเวทีให้หน่วยงานส่วนกลาง–ภูมิภาค–จังหวัด ร่วมอัปเดตสถานการณ์คุณภาพน้ำใน แม่น้ำกก–แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก และลำน้ำสาขา ภายหลังตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาพื้นที่ชายแดนเชียงราย–เชียงใหม่เผชิญวิกฤตน้ำขุ่นผิดปกติและผลตรวจสารโลหะหนัก “เกินเกณฑ์” หลายจุด กระทบตั้งแต่การอุปโภคบริโภคจนถึงการเพาะปลูกริมน้ำ
รายงานล่าสุดของ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ซึ่งเก็บตัวอย่างวันที่ 22–26 กันยายน 2568 ระบุว่า
- แม่น้ำกก: น้ำผิวดิน “เป็นไปตามมาตรฐาน” ทุกจุด แต่ ตะกอนดิน ยังพบสารหนูเกินระดับเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน 9 จุด
- แม่น้ำสาย: ยังน่ากังวล พบสารหนูในน้ำผิวดิน เกินมาตรฐานทุกจุด ที่ช่วง 0.015–0.017 มก./ล. และตะกอนดินเกินระดับปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน
- แม่น้ำรวก–แม่น้ำโขง: น้ำผิวดิน “ผ่านเกณฑ์” แต่ผลตรวจตะกอนดิน ทุกจุด ในแม่น้ำรวก และ 3 จุด ในแม่น้ำโขงยังเกินระดับปลอดภัย (แม่น้ำโขงพบช่วง 32–60 มก./กก.)
ข้อสังเกตสำคัญ จากการติดตามหลายรอบคือ “ตัวน้ำบนผิว” อาจฟื้นตัวเร็วเมื่อปริมาณฝน–การเจือจาง–การไหลเวียนดีขึ้น แต่มลพิษใน ตะกอนดิน คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ “ฝังลึก” และสามารถ resuspend หรือ เคลื่อนย้ายย้อนกลับขึ้นมาในคอลัมน์น้ำ เมื่อเกิดกระแสน้ำแรงหรือกิจกรรมรบกวนก้นแม่น้ำ (เช่น การขุดลอก–น้ำหลาก) ทำให้ความเสี่ยงต่อ สัตว์หน้าดิน–ห่วงโซ่อาหาร–การสะสมในสิ่งมีชีวิต ยังไม่สิ้นสุด
เศรษฐกิจชายแดนใต้แรงกดดัน เกือบ 3.8 พันล้าน/ปี เสี่ยงหายไปกับน้ำ
ตัวเลขคาดการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เผยแพร่โดย Rocket Media Lab และฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐด้านเกษตร สะท้อนผลกระทบ เป็นรูปธรรม ดังนี้
- ลุ่มน้ำกก: พื้นที่การเกษตรที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ 340,358.73 ไร่ ประเมินความเสียหายปีละราว 3,239,061,808.4 บาท หรือ 13% ของจีดีพีเฉพาะภาคเกษตรจังหวัดเชียงราย
- ลุ่มน้ำสาย–รวก: พื้นที่เกษตร 63,023.89 ไร่ ความเสียหายปีละประมาณ 547,100,952.5 บาท หรือ 2.19% ของจีดีพีเกษตรจังหวัด
เมื่อรวม สามลุ่มน้ำ ตัวเลขความเสียหายอาจแตะ 3,786,162,760.9 บาท/ปี โดย ข้าว คือพืชเศรษฐกิจที่เสี่ยงที่สุด (คิดเป็น 66.54% ของมูลค่าความเสียหายริมสาย–รวก) เพราะ พื้นที่นาข้าวส่วนใหญ่ติดแม่น้ำ และใช้น้ำแม่น้ำโดยตรงในการทำนาปรัง ยังไม่นับผลต่อ ประมง–เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งจังหวัดเชียงรายมีการจับสัตว์น้ำจืดปี 2567 ราว 1,417 ตัน มูลค่า 92.76 ล้านบาท และมี พื้นที่เพาะเลี้ยง 689.17 ไร่ รวม 284 ฟาร์ม ใน 5 ตำบลตามแนวสาย–รวก
นอกเหนือจากภาคเกษตร กิจกรรม ท่องเที่ยวริมน้ำ–ชุมชนตลาดชายแดน (เช่น อ.แม่สาย/ท่าตอน) ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล–ไฮซีซันที่น้ำคือ “ทรัพยากรภูมิทัศน์” และ “บริการสาธารณะธรรมชาติ” ของพื้นที่
สาธารณสุขเดิน 4 มาตรการ ตรวจ–คัดกรอง–สื่อสาร–บูรณาการ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.) รายงานการดำเนินการเฝ้าระวังสุขภาพ 4 มาตรการ ได้แก่
- อนามัยสิ่งแวดล้อม: เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดิน, น้ำประปา, พืชผัก, ปลา ตรวจวิเคราะห์ สารหนู–ตะกั่ว ทุกเดือน
- สุขภาพประชาชน: เฝ้าระวังอาการในชุมชน, คัดกรองเชิงรุก, สุ่ม ตรวจปัสสาวะ กลุ่มเสี่ยง
- การสื่อสารความเสี่ยง: แจ้งเตือนให้หลีกเลี่ยงใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรง และเฝ้าระวังอาการผิดปกติ
- บูรณาการภาคี: เชื่อมปฏิบัติการกับหน่วยงานน้ำ–เกษตร–ท้องถิ่น–ประมง
ผลตรวจเดือนเมษายน–ตุลาคม 2568 จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงรายต่อ น้ำอุปโภคบริโภค–น้ำดื่ม–ปลา–พืชผัก ระบุว่า “ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน” อย่างไรก็ดี พื้นที่ยังมีเสียงเรียกร้องให้ สื่อสารข้อมูลสุขภาพอย่างโปร่งใส และ เข้าใจง่าย โดยเฉพาะกรณีที่เคยมีการกล่าวถึง ปัสสาวะประชาชน 7 ราย เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งควรอธิบายบริบท–ระยะเวลา–การติดตามผลซ้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกหรือชะล่าใจ
โต๊ะนโยบายขยับ กมธ.ฯ สั่งทำแผน 3 ระยะ—หน่วยงานน้ำ–สิ่งแวดล้อม–ท้องถิ่น รายงานผลถี่ขึ้น
ในการประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีมติให้ทุกหน่วยงานจัดทำ สรุปปัญหา–อุปสรรค–ข้อเสนอ–แผนปฏิบัติ ระยะสั้น–กลาง–ยาว เสนอรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ด้าน สคพ.1 (เชียงใหม่) นำเสนอ 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ ภาพรวมคุณภาพน้ำ–มาตรฐานน้ำผิวดิน–ความร่วมมือการตรวจวัด–มาตรการแก้ไขตามกฎหมาย–อุปสรรคและข้อเสนอแนะ ขณะที่ กรมทรัพยากรน้ำ ตรวจประปาหมู่บ้านรอบลุ่มกก 45 แห่ง พบ 3 แห่ง คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน และเร่งจัดหาน้ำผิวดินใหม่ พร้อมเดินหน้า ระบบสูบ–กระจายน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ 5 โครงการ
ส่วน การประปาส่วนภูมิภาค เฝ้าระวังคุณภาพน้ำสาขาหลัก (เชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) เพิ่มความถี่การเก็บตัวอย่างต่อเดือน ขณะที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สสจ.–เกษตรจังหวัด–ประมงจังหวัด ตรวจน้ำประปาชุมชน–พืชผัก–ปลา อย่างต่อเนื่อง
ต้นน้ำรัฐฉาน เหมืองแรร์เอิร์ธ–ทอง “ขยายตัวต่อเนื่อง”
รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation) เมื่อ 28–30 ตุลาคม 2568 อ้างอิง ภาพดาวเทียมล่าสุด (14 ต.ค. 2568) ยืนยันการขยายตัวของ เหมืองแรร์เอิร์ธ 2 แห่ง และ เหมืองทอง ริมแม่น้ำกกในเมืองยอน รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ห่าง อ.ท่าตอน จ.เชียงใหม่ เพียง 30 กม. โดยเฉพาะ วิธีชะละลาย (in-situ leaching) ที่ใช้สารเคมีจำนวนมากฉีดเข้าเชิงเขา เสี่ยงต่อการ รั่วไหลลงแหล่งน้ำ และยากต่อการควบคุม
ภาพถ่ายเปรียบเทียบ พฤษภาคม vs ตุลาคม 2568 ชี้ชัดว่า บ่อแต่งแร่ ฝั่งตะวันตกของกกสร้างเสร็จและมีหลังคาคลุม ขณะฝั่งตะวันออกมี อาคารใหม่หลายหลัง และเห็น ของเหลวสีฟ้า ในบ่อแต่งต่อเนื่อง สอดคล้องกับการประเมินว่า “กิจกรรมแต่งแร่เพิ่มขึ้นอย่างมาก” พร้อมกันนี้ ภาคประชาชนลุ่มน้ำกกไทยได้สื่อสารกรณี สารหนู–แคดเมียม–ตะกั่ว ปนเปื้อน และย้ำผ่านถ้อยคำของภาคีว่า “แม่น้ำเพื่อชีวิต ไม่ใช่แม่น้ำเพื่อความตาย” เพื่อสะท้อนข้อเรียกร้องเชิงจริยธรรมและสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชนปลายน้ำ
เวที MRC เดือนพฤศจิกายน โอกาสยกระดับ “การทูตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน”
การประชุม MRC ที่จะจัดขึ้นที่เชียงรายในปลายพฤศจิกายน ถูกคาดหวังให้เป็น เวทีนโยบายระดับอนุภูมิภาค ที่ไทยควรใช้เพื่อ
- เสนอ กลไกแจ้งเตือนและแบ่งปันข้อมูลคุณภาพน้ำข้ามพรมแดนแบบใกล้เวลาจริง
- ผลักดัน มาตรฐานกิจกรรมเหมืองในลุ่มน้ำสาขาโขง และ ห่วงโซ่ตรวจสอบสารเคมี
- ตั้ง คณะทำงานร่วมไทย–เมียนมา–จีน บูรณาการ ภาพถ่ายดาวเทียม–ข้อมูลตรวจวัด–การสืบสวนเชิงต้นน้ำ พร้อม แผนลดความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์ (เช่น พื้นที่กักเก็บ/บ่อพักตะกอน–การกันชนพื้นที่เสี่ยง)
การเยือนพื้นที่ของ สมาชิกพรรคกรีน เยอรมนี ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนมิติความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการยกระดับ มาตรฐานการทำเหมืองอย่างรับผิดชอบ และ กรอบสินค้าสะอาด (clean supply chains) ในตลาดโลก
ข้อเสนอเชิงระบบ จาก “ตามแก้” สู่ “ป้องกันก่อนเกิด”
บนฐานข้อมูลและสถานการณ์ปัจจุบัน ข่าวนี้เสนอ “แพ็กมาตรการ” 5 ข้อเพื่อคลายปมระยะสั้น–ยาว
- แดชบอร์ดสาธารณะ: เปิดข้อมูล น้ำผิวดิน–ตะกอนดิน–โลหะหนัก รายจุด/รายสัปดาห์ พร้อม metadata วิธีเก็บ–ห้องแล็บ–ความเชื่อมั่น เพื่อให้ภาคประชาชน–เกษตร–ท้องถิ่นติดตามได้
- แผนจัดการตะกอนดิน: ศึกษาความเป็นไปได้ของ การกักเก็บ–การห่อหุ้ม (capping)–การขุดลอกแบบเลือกสรร โดยมี EIA/สุขภาพชุมชน กำกับ เพื่อไม่ให้ “การแก้ไข” กลายเป็น “การกวนตะกอน”
- โพรโทคอลสุขภาพชุมชน: เพิ่ม biomonitoring กลุ่มเสี่ยง (ตัวอย่างปัสสาวะ/เลือด) แบบสุ่มตัวอย่างซ้ำ พร้อม คัดกรองเชิงรุก และ เจ้าภาพสื่อสารเดียว ลดความกำกวมของคำว่า “ไม่เกินมาตรฐาน” โดยแนบค่าจริง–ช่วงเชื่อมั่น
- การทูตสิ่งแวดล้อม: ใช้เวที MRC และความร่วมมือทวิภาคี ผลักดัน มาตรการควบคุมสารเคมีเหมือง และ การตรวจสอบย้อนกลับ ร่วมกับผู้ซื้อแรร์เอิร์ธ–ทองในห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก
- มาตรการทางการค้าเชิงเป้าหมาย: พิจารณาแนวทางจำกัดการนำเข้าวัตถุดิบ/สินค้าที่โยงกับกิจกรรมทำลายลุ่มน้ำ (ตามแนวคิดยุติการนำเข้า “CTM” ที่ถูกเสนอ) ควบคู่ แรงจูงใจ สำหรับซัพพลายเออร์ที่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม
เสียงจากพื้นที่และการบริหารท้องถิ่น
ตลอดหลายเดือนของการเฝ้าระวัง จังหวัดเชียงรายร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพิ่มความถี่เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดินเดือนละ 2 ครั้ง หลายสาขา และร่วม สำรวจความเสียหาย–ค่าใช้จ่ายเฝ้าระวัง เพื่อวางงบประมาณปีถัดไป สะท้อนความตั้งใจ “เดินงานเชิงรุก” โดยไม่รอเฉพาะระดับส่วนกลาง ในเวทีหารือระดับจังหวัด ผู้แทนหน่วยงานน้ำ–สิ่งแวดล้อม–เกษตร–ประมง ยังรายงานอุปสรรค เช่น งบประมาณ–บุคลากร–การเข้าถึงพื้นที่ต้นน้ำข้ามแดน ซึ่งต้องอาศัย “กลไกกลาง” เชื่อมการทำงานต่อเนื่อง
ในขณะที่ภาคประชาชน–ภาคีลุ่มน้ำสื่อสารเสียงเดียวกันว่า “ต้องการข้อมูลที่เข้าใจง่าย–สม่ำเสมอ และตอบข้อกังวลเฉพาะหน้า” เช่น คำถามว่าพื้นที่ใดควรหลีกเลี่ยงใช้น้ำโดยตรง, พื้นที่ใดควรระวังการบริโภคปลา, คำแนะนำเฉพาะกลุ่มเปราะบาง (เด็ก–หญิงตั้งครรภ์–ผู้สูงอายุ) เพื่อให้ครัวเรือนตัดสินใจได้บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้
เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ฟ้าใส” กับ “ท้องน้ำป่วย”
ภาพรวม ณ ปลายตุลาคม 2568 คือ สัญญาณคลี่คลายบางส่วนของน้ำผิวดิน โดยเฉพาะแม่น้ำกกที่ “เข้าเกณฑ์” หลายจุด แต่ ท้องน้ำยังป่วย เพราะตะกอนดินที่สะสมโลหะหนัก เกินระดับปกป้องสัตว์หน้าดิน หลายจุดใน กก–สาย–รวก–โขง ความเสี่ยงนี้ไม่เพียงกระทบต่อ ระบบนิเวศ แต่ยังทบซ้อนสู่ เศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะ ข้าว–ประมง–ท่องเที่ยว ในจังหวัดชายแดน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ แรงกดดันจากต้นน้ำรัฐฉาน ที่ยังเห็นสัญญาณ “เหมืองขยาย” ชัดเจน
คำตอบเชิงนโยบายจึงไม่อาจหยุดที่ “ตรวจ–แจ้ง–แนะนำ” แต่ต้องยกระดับสู่ ระบบข้อมูลสาธารณะ–แผนจัดการตะกอน–การคุ้มครองสุขภาพ–การทูตสิ่งแวดล้อม–มาตรการการค้า ที่เสริมกันเป็นแพ็กเดียว และใช้เวที MRC ที่เชียงราย เป็นจุดเริ่มต่อรองเชิงหลักการเพื่อคุ้มครองลุ่มน้ำร่วมกันอย่างยั่งยืน
“แม่น้ำเพื่อชีวิต ไม่ใช่แม่น้ำเพื่อความตาย” — ประโยคจากเครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำกก อาจเป็นเข็มทิศเชิงคุณค่าที่เตือนให้ทุกฝ่าย “วัดความสำเร็จ” ไม่ใช่แค่จากค่าตัวเลขในห้องแล็บ แต่จาก ความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของผู้คนที่อยู่กับน้ำทุกวัน
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- คณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร
- สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
- กรมทรัพยากรน้ำ
- สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
- การประปาส่วนภูมิภาค (สาขาเชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ)
- สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- กรมประมง
- Rocket Media Lab
- มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation)


































