Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เวทีเชียงรายชำแหละวิกฤต “แรร์เอิร์ทข้ามพรมแดน” เตือนฟื้นฟูธรรมชาติกินเวลา 100 ปี

เวทีเชียงรายชำแหละวิกฤต “แรร์เอิร์ทข้ามพรมแดน” นักวิจัยคะฉิ่นเตือนฟื้นฟูธรรมชาติอาจกินเวลา 50–100 ปี แนะไทยเร่งตั้งการ์ด ตรวจน้ำ–คัดกรองแร่ และเปิดเจรจากลุ่มชาติพันธุ์

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 — ยามเย็นปลายฤดูฝน เม็ดฝนจางๆ เคล้าสายลมเหนือพัดผ่านลุ่มน้ำกก ผู้คนหลากวัยแน่นหอจัดแสดงของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย ศูนย์กลางศิลปะที่วันนี้กลายเป็น “เวทีนโยบายสาธารณะฉุกเฉิน” กับเสวนา จากคะฉิ่นถึงไทย: เหมืองแร่แรร์เอิร์ทกับผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม” ผู้ร่วมเสวนาครอบคลุมทั้งนักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมจากไทยและคะฉิ่น อาทิ นายธารา บัวคำศรี (Climate Connector), ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่), ดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์, ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง), Zung Ting และ Seng Li จาก Shaba Foundation (Kachin State)

แม้ชื่อเวทีจะเริ่มจาก “คะฉิ่น” ที่ดูห่างไกล แต่สารที่ส่งมาถึงชายแดนเหนือของไทยนั้นใกล้กว่าที่คิด—ใกล้เท่า สายน้ำเดียวกัน ที่ไหลจากสันเขาสูงลงสู่ แม่โขง–แม่กก–แม่รวก–แม่สาย ซึ่งบำรุงโลกทั้งการกินอยู่และเศรษฐกิจของเชียงราย

จุดตั้งต้นของสัญญาณเตือน “50–100 ปี” ไม่ใช่คำขู่ แต่คือเวลาฟื้นฟูระบบนิเวศ

ไฮไลท์ที่ทำให้ทั้งห้องเงียบงัน คือคำให้สัมภาษณ์ของ นาย Seng Li นักวิจัยชาวคะฉิ่นจาก Shaba Foundation ที่ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก การทำเหมืองแรร์เอิร์ท ในคะฉิ่นนั้น รุนแรงลึก ถึงขั้นที่ธรรมชาติอาจต้องใช้เวลา 50–100 ปี จึงจะฟื้นคืนสภาพใกล้เดิมได้ พร้อมเตือนว่า “หลายอย่างในคะฉิ่น สายเกินแก้ ไปแล้ว ไทยจึงต้อง ตื่นตัว ตั้งแต่วันนี้”

สารของเขาไม่ได้เป็นเพียง “เสียงจากต่างแดน” หากเป็นประสบการณ์ตรงจาก พื้นที่ต้นน้ำ ที่กำลังถูกไชทะลวงด้วยกระบวนการ ละลายชะแร่ในชั้นดิน (in-situ leaching) จนหน้าดินพรุน น้ำปนเปื้อน และภูเขากลายเป็นโพรง—ภาพที่สอดรับกับวิดีโอจากแรงงานเหมืองและภาพถ่ายดาวเทียมที่องค์กรสิทธิในรัฐฉานเผยแพร่เมื่อไม่นานนี้

ทำไมเรื่องคะฉิ่นจึง “ถึงเชียงราย” โยงสายธาร—โยงเศรษฐกิจ—โยงความมั่นคงมนุษย์

ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ขยายภาพให้เห็นความเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้: เหมืองแรร์เอิร์ทในรัฐฉาน–คะฉิ่นจำนวนหนึ่งตั้งอยู่ บนลำน้ำสาขา ที่ไหลลงทั้ง สาละวิน และ โขง ก่อนแผ่ผลสะเทือนถึง เชียงราย–เชียงของ–เชียงแสน แน่นอนว่าการปนเปื้อนที่ต้นน้ำ ไม่จำเป็นต้องรุนแรงทันที แต่การสะสมซ้ำซากในฤดูฝน—โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดฝนหนักต่อเนื่อง—อาจทำให้ ตะกอน–โลหะหนัก เดินทางลงสู่ปลายน้ำได้

แม้ปัจจุบัน ข้อมูลการปนเปื้อนเชิงวิทยาศาสตร์บนสาขาแม่น้ำต้นทาง ยังต้องเร่งตรวจสอบอย่างเป็นระบบ แต่ดร.สืบสกุลชี้ว่า งานร่วมกับ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) พบ โลหะหนักในลำน้ำโขง แล้วในบางช่วงเวลา อีกทั้งเวทียังหยิบยกประเด็น “แร่–สินแร่ที่นำเข้าจากเมียนมา” ซึ่งไทยควรมีมาตรการ คัดกรองสารปนเปื้อน และ ตรวจสอบที่มา (traceability) เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้ แร่สกปรก” หลุดเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมของประเทศ

เบื้องลึกเหมืองแรร์เอิร์ทคะฉิ่น–ฉาน เมื่อภูเขาถูกฉีดสารเคมี และระบบอำนาจอ่อนต่อทุน

Zung Ting นักสิ่งแวดล้อมคะฉิ่นที่ทำงานภาคสนามมากว่า 20 ปี เล่าถึงจุดเปลี่ยนว่า หลัง จีนปรับนโยบายควบคุมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายในประเทศ กิจการ “แรร์เอิร์ท” ส่วนหนึ่งจึง ย้ายฐาน มายังพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะหลัง รัฐประหารเมียนมา ปี 2564 กลไกกำกับดูแลอ่อนแรงลง ความเข้มข้นของการทำเหมือง พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคะฉิ่นคาดว่ามีเหมือง ราว 370 แห่ง หลายแห่งเป็น HREEs (แร่หายากหนัก) ที่มี มูลค่าและความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ สูง ใช้ผลิต แม่เหล็กถาวร–กังหันลม–อุปกรณ์ทหาร–อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง

ผลกระทบที่เห็นชัดและต่อเนื่อง ได้แก่

  • น้ำท่วม–ดินโคลนถล่ม ถี่ขึ้น เพราะโครงสร้างภูเขา “กลวงพรุน” จากการฉีดสารลงชั้นดิน
  • น้ำผิวดิน–น้ำใต้ดิน เปลี่ยนสีและคุณภาพ ชุมชน ขาดแคลนน้ำสะอาด บริโภค
  • ผู้คนเผชิญ โรคผิวหนัง และอาการผิดปกติทางสุขภาพเพิ่มขึ้น
  • ความมั่นคงทางอาหาร ถดถอย: จากเดิมที่ขายสมุนไพร–เครื่องเทศให้จีน กลับถูก ปิดรับซื้อ เมื่อกิจการเหมืองขยาย

ด้านโครงสร้างอำนาจ Seng Li ระบุว่า ปัจจุบันพื้นที่จำนวนมากอยู่ในการควบคุมของ KIO/KIA แต่ ธรรมาภิบาลเหมือง ยังอ่อน ทั้งกระบวนอนุญาตที่ ไม่โปร่งใส, การไม่ฟื้นฟูพื้นที่ หลังทำเหมือง, และข้อพิพาทแรงงานที่ เอนเอียงเข้าข้างทุน โดยเฉพาะทุนจีน เขาชี้ให้เห็น “ด้านสว่าง” เพียงเล็กน้อยว่า ช่องทางการเข้าถึงพื้นที่ของ นักวิชาการและสื่อ ยังพอเป็นไปได้—และควรถูกใช้เพื่อผลักดัน มาตรฐานสิ่งแวดล้อมขั้นต่ำ ที่วัดผลได้จริง

หลักฐานจากอวกาศ SHRF ชี้เหมือง 19 แห่งห่างโขง ~40 กม. ภายใต้ NDAA/เมืองลา เพิ่มพรวดใน 4 ปี

เสวนายังหยิบยกแถลงการณ์ล่าสุดของ Shan Human Rights Foundation (SHRF) ที่เผย ภาพถ่ายดาวเทียม (พ.ค. 2568) และวิดีโอจากแรงงานเหมือง ระบุการกระจายตัวของเหมืองแรร์เอิร์ท 19 แห่ง ในเขตควบคุมของ กองกำลังเมืองลา (NDAA) ใกล้ เมืองยอง ทางตะวันออกของรัฐฉาน ห่างแม่น้ำโขงเพียงราว 40 กิโลเมตร จากเดิมเมื่อ ต้นปี 2564 ตรวจพบบริเวณเดียวกัน เพียง 3 แห่ง (และทยอยร้าง) ปัจจุบันพบว่า 16 แห่งเดินเครื่อง และ อีก 3 แห่งกำลังก่อสร้าง ลักษณะเด่นคือ บ่อสกัดแร่เป็นวงแหวนซ้อน และ ท่อฉีดสารเคมี ลงเชิงเขา น้ำทิ้งจากเหมืองไหลผ่าน คลองน้ำนับ แม่น้ำโหลย (Lwe River) → แม่น้ำโขง ซึ่งหากประกอบกับฝนหนักต่อเนื่อง ก็ยิ่งเพิ่ม โอกาสพัดพาตะกอนปนเปื้อน ลงสู่ ระบบทางน้ำสายหลัก ได้

จากเวทีสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย “การ์ดไทย” ที่ทำได้ทันที

เสียงส่วนใหญ่ในเวทีสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า ไทยต้อง ยกระดับการเฝ้าระวังคุ้มกันความเสี่ยง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเร่งดำเนินการอย่างน้อย 4 แนวทางหลัก ดังนี้

  1. ตั้งเครือข่ายตรวจคุณภาพน้ำข้ามพรมแดนแบบต่อเนื่อง
    • กำหนด “จุดตรวจหลัก” บน แม่กก–แม่รวก–แม่สาย–แม่โขง ในเชียงราย (เช่น เชียงแสน–แม่สาย–แม่จัน) ตรวจ โลหะหนัก/สารหนู/ค่าความขุ่น เป็น รายสัปดาห์ ช่วงฤดูฝน และ รายเดือน ช่วงปกติ
    • แสดงผลผ่าน แดชบอร์ดสาธารณะ ให้ชุมชนประมง–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ประชาชนเข้าถึงแบบเรียลไทม์ สร้างความเชื่อมั่นด้วย ข้อมูลเปิด (open data)
  2. คัดกรอง “แร่–สินแร่” ขาเข้าที่ด่านเหนือ
    • เพิ่มขั้นตอน สุ่มตรวจสารปนเปื้อน ในสินแร่–วัตถุดิบที่ผ่านแดนเข้าสู่ไทย โดยเฉพาะสินค้าจำพวก หินดินทราย/ดินสกัด ที่เกี่ยวข้องกับวงจรผลิตแรร์เอิร์ท
    • จัดทำระบบ traceability ครอบคลุม ที่มา–เส้นทาง–ผู้ค้า และเชื่อม มาตรฐานสิ่งแวดล้อม–แรงงาน เพื่อกัน “แร่สกปรก” ออกจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมไทย
  3. เปิดโต๊ะคุยกับ “ผู้ควบคุมพื้นที่จริง” ควบคู่รัฐบาลกลางเมียนมา
    • นอกเหนือจากช่องทางทวิภาคีกับรัฐบาลทหารเมียนมา ไทยควร หารือทางเทคนิค กับกลุ่มที่ควบคุมพื้นที่เหมือง เช่น KIO/KIA, NDAA/เมืองลา, และเครือข่ายชาติพันธุ์อื่นๆ เพื่อกำหนด มาตรฐานสิ่งแวดล้อมขั้นต่ำ–ขั้นตอนตรวจร่วม–ช่องทางร้องเรียน ที่ทำงานได้จริงในพื้นที่
  4. ตั้งการ์ดสาธารณสุข–เตือนภัยชุมชน
    • เมื่อพบสัญญาณผิดปกติ (สี–กลิ่น–ค่าความขุ่นของน้ำ, ปลา/สัตว์น้ำตายผิดธรรมชาติ) ให้ แจ้งเตือน งดจับ–งดบริโภคสัตว์น้ำชั่วคราว พร้อมจัดชุดแพทย์ คัดกรองโรคผิวหนัง–ระบบทางเดินอาหาร ลงพื้นที่
    • สนับสนุน ชุดทดสอบชุมชน สำหรับแกนนำท้องถิ่น และจัด งบฟื้นรายได้ ให้กลุ่มประมง–ท่องเที่ยว หากจำเป็นต้องออกประกาศงดกิจกรรมชั่วคราว

เชียงรายต้องระวัง “ตรงไหน–อย่างไร” ใน 3 เดือนข้างหน้า

  • จุดเสี่ยงธรรมชาติ: คลอง–ลำห้วยที่รับน้ำจากแนวป่าชายแดนซึ่งไหลลง แม่กก–แม่รวก–แม่สาย รวมถึง ตอนบนของแม่โขง ในเขตเชียงแสน/เชียงของ
  • สัญญาณเตือนเร็ว: น้ำเปลี่ยนเป็น เขียวใสผิดธรรมชาติ/ขุ่นจัด, มี ตะกอน–ฟอง มากผิดปกติ, พบ ปลาลอยหัว/ตาย เป็นหย่อม
  • สื่อสารชุมชน: ใช้เครือข่าย ผู้ใหญ่บ้าน–เทศบาล–อปพร. ส่งสัญญาณผ่าน ไลน์กลุ่ม/เสียงตามสาย และป้ายเตือนริมน้ำแบบ เข้าใจง่าย
  • ผู้ประกอบการริมน้ำ: แพ–ล่องเรือ–ร้านอาหาร ควรติดตามคำแนะนำจาก สาธารณสุขจังหวัด–สำนักสิ่งแวดล้อมภาค อย่างใกล้ชิด พร้อม ประกาศความปลอดภัย–มาตรการเฝ้าระวัง ต่อผู้ใช้บริการอย่างโปร่งใส

มิติภูมิรัฐศาสตร์ของ “แร่อนาคต” พลังงานสะอาดกับราคาที่ธรรมชาติต้องจ่าย

บทสนทนาในเวทีสะท้อนความย้อนแย้งของโลกยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน: โลกต้องการ แม่เหล็กถาวร–กังหันลม–รถไฟฟ้า มากขึ้น จึงต้องใช้ HREEs มากขึ้น แต่กระบวนการผลิตที่ ไม่รับผิดชอบ กลับผลัก ต้นทุนสิ่งแวดล้อม ไปที่สันเขาและชุมชนชายแดน หากไม่มี มาตรฐานสากล–แรงกดดันผู้ซื้อ–กลไกตรวจสอบแหล่งที่มา ก็เสมือนโลกกำลังขับ “การเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ด้วย วัตถุดิบสีเทา

Seng Li เน้นว่า ประเทศผู้นำเข้า—ทั้งรัฐและเอกชน—ควร ตรวจสอบต้นทาง ให้ชัดเจนก่อนซื้อ โดยยึด เกณฑ์สิ่งแวดล้อม–สิทธิมนุษยชน ที่ตรวจได้จริง ขณะที่ฝั่งไทยควร ยืนอยู่บนข้อมูล ที่เก็บเอง ตรวจเอง และเปิดเผยเอง ไม่ใช่รอเพียงรายงานจากภายนอก

ให้ “เชียงราย” เป็นต้นแบบการป้องกันความเสี่ยงข้ามพรมแดนของลุ่มน้ำโขง

ความจริงจากเวทีเชียงรายบอกเรา 3 ประการ

  1. ความเสี่ยงเป็นจริงและเพิ่มขึ้น: หลักฐานภาพถ่ายดาวเทียม–ภาคสนามชี้ว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ท ขยายเร็ว ใกล้แนวแม่น้ำโขง
  2. ผลกระทบลึกและยืดเยื้อ: หากปล่อยให้ธรรมชาติพัง “50–100 ปี” จะไม่ใช่คำคาดคะเน แต่นาฬิกานับถอยหลังของ รุ่นลูก–รุ่นหลาน
  3. ทางออกอยู่ที่การลงมือทำอย่างเป็นระบบ: ตรวจน้ำต่อเนื่อง–คัดกรองแร่ขาเข้า–เจรจากับผู้ควบคุมพื้นที่จริง–สร้างระบบเตือนภัยชุมชน

เชียงราย—เมืองชายแดนที่เชื่อมโลกด้วยสายน้ำ—ไม่ต้องรอให้ “ปัญหาเดินทางมาถึงประตูบ้าน” จึงค่อยเริ่มตั้งการ์ด หากเราเริ่มวันนี้ เมืองศิลป์–เมืองท่องเที่ยว–เมืองเกษตรคุณภาพแห่งนี้จะกลายเป็น ต้นแบบการจัดการความเสี่ยงข้ามพรมแดน ของทั้งลุ่มน้ำโขงได้จริง ไม่ใช่เพียงในหนังสือรายงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เหนือรับมือฝน! รองนายกฯ ประเสริฐ สั่งเข้มคุณภาพน้ำ-กันอุทกภัย

รองนายกรัฐมนตรี “ประเสริฐ” ลงพื้นที่ภาคเหนือ สั่งการเข้มทุกหน่วย แก้ปัญหาคุณภาพน้ำ-ป้องกันอุทกภัย ชูแผนบูรณาการข้ามจังหวัดและประชาสัมพันธ์โปร่งใส

เชียงใหม่, 16 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำและภัยพิบัติในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ภายใต้ความห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันมาตรการทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชนในหลายจังหวัดสำคัญ โดยเฉพาะเชียงราย เชียงใหม่ และลำพูน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของลุ่มน้ำภาคเหนือ

การประชุมติดตามสถานการณ์ – ผนึกกำลังวางแผนรับมือแบบรอบด้าน

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง และมาตรการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งสาม ได้แก่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร (เชียงใหม่) นายชรินทร์ ทองสุข (เชียงราย) และนายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ (ลำพูน) ร่วมรายงานสถานการณ์และแนวทางปฏิบัติ ผ่านการประชุม ณ สำนักงานชลประทานที่ 1 จ.เชียงใหม่

ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่ ได้ร่วมกันนำเสนอผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ แนวทางการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่อาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม–กันยายน ขณะที่ จ.ลำพูน อาจเผชิญน้ำท่วมในเดือนตุลาคม

ข้อสั่งการของรัฐบาล – ย้ำ “โปร่งใส ตรวจสอบได้ ดูแลประชาชนถึงรากหญ้า”

นายประเสริฐฯ ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ระบุชัดว่ารัฐบาลตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสารหนูและโลหะหนักที่ตรวจพบในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงสั่งการให้กรมควบคุมมลพิษร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในจุดเสี่ยง เผยแพร่ข้อมูลผลตรวจวัดคุณภาพน้ำและความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และต้องมีระบบเตือนภัยด้านคุณภาพน้ำที่รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์

นอกจากนี้ ให้กรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างครอบคลุม โดยเน้นการคัดกรองโรคจากสารหนูและโลหะหนัก พร้อมติดตามผลในระยะยาว ส่วนการประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้จัดเตรียมน้ำดื่มสะอาดสำรอง วางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบคุณภาพดี และพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเสี่ยงอย่างยั่งยืน

กรมทรัพยากรน้ำได้รับมอบหมายให้เร่งสำรวจ ออกแบบจุดชะลอน้ำและฝายดักตะกอนตามแผนงานเดิม โดยให้รับฟังเสียงประชาชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน และพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินแห่งใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการ ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และหน่วยงานท้องถิ่นต้องเร่งประเมินและเยียวยาผลกระทบทั้งในภาคเกษตรและการท่องเที่ยว พร้อมแนะแนวทางปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพสำหรับผู้ได้รับผลกระทบ

รับมือฝนใหญ่–แผนป้องกันอุทกภัยเต็มพิกัด

สทนช. คาดการณ์ฤดูฝนปีนี้ พื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่และเชียงราย จะมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนกันยายน ขณะที่ลำพูนจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องถึงตุลาคม รองนายกรัฐมนตรีประเสริฐ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดโครงการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำปิง และการก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมจัดเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร และระบบสนับสนุนเผชิญเหตุให้ทันต่อสถานการณ์น้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน

พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดบูรณาการข้อมูลและเร่งประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำแก่ประชาชนในพื้นที่แบบโปร่งใส ทั่วถึงและทันเหตุการณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เร่งตรวจสอบและลงพื้นที่–ประชาชนต้องได้รับผลลัพธ์ชัดเจน

หลังเสร็จสิ้นการประชุม รองนายกฯ ได้นำคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำปิง บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อตรวจประเมินประสิทธิภาพของมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากชุมชนท้องถิ่นโดยตรง

วิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำและอุทกภัยในภาคเหนือแบบองค์รวม ด้วยการผนึกกำลังหลายหน่วยงาน ขับเคลื่อนการบูรณาการนโยบายและข้อมูลทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลาง การประชาสัมพันธ์ที่โปร่งใส และการรับฟังประชาชนในทุกมิติ จะเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นใจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News