Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

กมธ.ฯ ลุยเชียงราย แม่น้ำกก “น้ำใสแต่ท้องน้ำป่วย” พบสารหนูเกินเกณฑ์ในตะกอนดิน 9 จุด

กมธ.ทรัพยากรน้ำฯ ติดตามมลพิษ “กก–สาย–รวก” น้ำผิวดินกกดีขึ้นแต่ตะกอนยังวิกฤต—เศรษฐกิจเสี่ยงสูญเกือบ 3.8 พันล้าน/ปี ท่ามกลางแรงกดดันเหมืองรัฐฉานเดินหน้าขยาย

เชียงราย, 31 ต.ค. 2568 — รายงานตรวจวัดรอบปลายกันยายนชี้น้ำผิวดินแม่น้ำกก “ผ่านเกณฑ์” แต่ตะกอนดินยังพบสารหนูเกินระดับเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน 9 จุด ขณะที่แม่น้ำสายยัง “อาการหนัก” ทั้งน้ำและตะกอน ส่วนแม่น้ำรวก–โขง น้ำผ่านเกณฑ์แต่ตะกอนยังน่าห่วง นักวิชาการเตือน “มลพิษในตะกอน” คือระเบิดเวลาที่อาจย้อนปนเปื้อนน้ำอีกระลอก ภาคเกษตร–ประมง–ท่องเที่ยวเสี่ยงเสียหายรวมปีละราว 3,786 ล้านบาท ขณะหน่วยงานสาธารณสุขเร่งเฝ้าระวัง 4 มาตรการ และ กมธ.ฯ สั่งทำแผนแก้ไขระยะสั้น–กลาง–ยาว ด้านมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่เผยภาพดาวเทียมชี้ เหมืองแรร์เอิร์ธ–ทอง ริมกกในรัฐฉานยังขยายตัวต่อเนื่อง ก่อนการประชุม MRC เดือนพฤศจิกายนนี้ที่เชียงราย

 “น้ำเริ่มใส แต่ท้องน้ำยังป่วย”

การประชุมคณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เปิดเวทีให้หน่วยงานส่วนกลาง–ภูมิภาค–จังหวัด ร่วมอัปเดตสถานการณ์คุณภาพน้ำใน แม่น้ำกก–แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก และลำน้ำสาขา ภายหลังตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาพื้นที่ชายแดนเชียงราย–เชียงใหม่เผชิญวิกฤตน้ำขุ่นผิดปกติและผลตรวจสารโลหะหนัก “เกินเกณฑ์” หลายจุด กระทบตั้งแต่การอุปโภคบริโภคจนถึงการเพาะปลูกริมน้ำ

รายงานล่าสุดของ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ซึ่งเก็บตัวอย่างวันที่ 22–26 กันยายน 2568 ระบุว่า

  • แม่น้ำกก: น้ำผิวดิน “เป็นไปตามมาตรฐาน” ทุกจุด แต่ ตะกอนดิน ยังพบสารหนูเกินระดับเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน 9 จุด
  • แม่น้ำสาย: ยังน่ากังวล พบสารหนูในน้ำผิวดิน เกินมาตรฐานทุกจุด ที่ช่วง 0.015–0.017 มก./ล. และตะกอนดินเกินระดับปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน
  • แม่น้ำรวก–แม่น้ำโขง: น้ำผิวดิน “ผ่านเกณฑ์” แต่ผลตรวจตะกอนดิน ทุกจุด ในแม่น้ำรวก และ 3 จุด ในแม่น้ำโขงยังเกินระดับปลอดภัย (แม่น้ำโขงพบช่วง 32–60 มก./กก.)

ข้อสังเกตสำคัญ จากการติดตามหลายรอบคือ “ตัวน้ำบนผิว” อาจฟื้นตัวเร็วเมื่อปริมาณฝน–การเจือจาง–การไหลเวียนดีขึ้น แต่มลพิษใน ตะกอนดิน คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ “ฝังลึก” และสามารถ resuspend หรือ เคลื่อนย้ายย้อนกลับขึ้นมาในคอลัมน์น้ำ เมื่อเกิดกระแสน้ำแรงหรือกิจกรรมรบกวนก้นแม่น้ำ (เช่น การขุดลอก–น้ำหลาก) ทำให้ความเสี่ยงต่อ สัตว์หน้าดิน–ห่วงโซ่อาหาร–การสะสมในสิ่งมีชีวิต ยังไม่สิ้นสุด

เศรษฐกิจชายแดนใต้แรงกดดัน เกือบ 3.8 พันล้าน/ปี เสี่ยงหายไปกับน้ำ

ตัวเลขคาดการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เผยแพร่โดย Rocket Media Lab และฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐด้านเกษตร สะท้อนผลกระทบ เป็นรูปธรรม ดังนี้

  • ลุ่มน้ำกก: พื้นที่การเกษตรที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ 340,358.73 ไร่ ประเมินความเสียหายปีละราว 3,239,061,808.4 บาท หรือ 13% ของจีดีพีเฉพาะภาคเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • ลุ่มน้ำสาย–รวก: พื้นที่เกษตร 63,023.89 ไร่ ความเสียหายปีละประมาณ 547,100,952.5 บาท หรือ 2.19% ของจีดีพีเกษตรจังหวัด

เมื่อรวม สามลุ่มน้ำ ตัวเลขความเสียหายอาจแตะ 3,786,162,760.9 บาท/ปี โดย ข้าว คือพืชเศรษฐกิจที่เสี่ยงที่สุด (คิดเป็น 66.54% ของมูลค่าความเสียหายริมสาย–รวก) เพราะ พื้นที่นาข้าวส่วนใหญ่ติดแม่น้ำ และใช้น้ำแม่น้ำโดยตรงในการทำนาปรัง ยังไม่นับผลต่อ ประมง–เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งจังหวัดเชียงรายมีการจับสัตว์น้ำจืดปี 2567 ราว 1,417 ตัน มูลค่า 92.76 ล้านบาท และมี พื้นที่เพาะเลี้ยง 689.17 ไร่ รวม 284 ฟาร์ม ใน 5 ตำบลตามแนวสาย–รวก

นอกเหนือจากภาคเกษตร กิจกรรม ท่องเที่ยวริมน้ำ–ชุมชนตลาดชายแดน (เช่น อ.แม่สาย/ท่าตอน) ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล–ไฮซีซันที่น้ำคือ “ทรัพยากรภูมิทัศน์” และ “บริการสาธารณะธรรมชาติ” ของพื้นที่

สาธารณสุขเดิน 4 มาตรการ ตรวจ–คัดกรอง–สื่อสาร–บูรณาการ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.) รายงานการดำเนินการเฝ้าระวังสุขภาพ 4 มาตรการ ได้แก่

  1. อนามัยสิ่งแวดล้อม: เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดิน, น้ำประปา, พืชผัก, ปลา ตรวจวิเคราะห์ สารหนู–ตะกั่ว ทุกเดือน
  2. สุขภาพประชาชน: เฝ้าระวังอาการในชุมชน, คัดกรองเชิงรุก, สุ่ม ตรวจปัสสาวะ กลุ่มเสี่ยง
  3. การสื่อสารความเสี่ยง: แจ้งเตือนให้หลีกเลี่ยงใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรง และเฝ้าระวังอาการผิดปกติ
  4. บูรณาการภาคี: เชื่อมปฏิบัติการกับหน่วยงานน้ำ–เกษตร–ท้องถิ่น–ประมง

ผลตรวจเดือนเมษายน–ตุลาคม 2568 จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงรายต่อ น้ำอุปโภคบริโภค–น้ำดื่ม–ปลา–พืชผัก ระบุว่า “ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน” อย่างไรก็ดี พื้นที่ยังมีเสียงเรียกร้องให้ สื่อสารข้อมูลสุขภาพอย่างโปร่งใส และ เข้าใจง่าย โดยเฉพาะกรณีที่เคยมีการกล่าวถึง ปัสสาวะประชาชน 7 ราย เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งควรอธิบายบริบท–ระยะเวลา–การติดตามผลซ้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกหรือชะล่าใจ

โต๊ะนโยบายขยับ กมธ.ฯ สั่งทำแผน 3 ระยะ—หน่วยงานน้ำ–สิ่งแวดล้อม–ท้องถิ่น รายงานผลถี่ขึ้น

ในการประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีมติให้ทุกหน่วยงานจัดทำ สรุปปัญหา–อุปสรรค–ข้อเสนอ–แผนปฏิบัติ ระยะสั้น–กลาง–ยาว เสนอรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ด้าน สคพ.1 (เชียงใหม่) นำเสนอ 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ ภาพรวมคุณภาพน้ำ–มาตรฐานน้ำผิวดิน–ความร่วมมือการตรวจวัด–มาตรการแก้ไขตามกฎหมาย–อุปสรรคและข้อเสนอแนะ ขณะที่ กรมทรัพยากรน้ำ ตรวจประปาหมู่บ้านรอบลุ่มกก 45 แห่ง พบ 3 แห่ง คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน และเร่งจัดหาน้ำผิวดินใหม่ พร้อมเดินหน้า ระบบสูบ–กระจายน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ 5 โครงการ

ส่วน การประปาส่วนภูมิภาค เฝ้าระวังคุณภาพน้ำสาขาหลัก (เชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) เพิ่มความถี่การเก็บตัวอย่างต่อเดือน ขณะที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สสจ.–เกษตรจังหวัด–ประมงจังหวัด ตรวจน้ำประปาชุมชน–พืชผัก–ปลา อย่างต่อเนื่อง

ต้นน้ำรัฐฉาน เหมืองแรร์เอิร์ธ–ทอง “ขยายตัวต่อเนื่อง”

รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation) เมื่อ 28–30 ตุลาคม 2568 อ้างอิง ภาพดาวเทียมล่าสุด (14 ต.ค. 2568) ยืนยันการขยายตัวของ เหมืองแรร์เอิร์ธ 2 แห่ง และ เหมืองทอง ริมแม่น้ำกกในเมืองยอน รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ห่าง อ.ท่าตอน จ.เชียงใหม่ เพียง 30 กม. โดยเฉพาะ วิธีชะละลาย (in-situ leaching) ที่ใช้สารเคมีจำนวนมากฉีดเข้าเชิงเขา เสี่ยงต่อการ รั่วไหลลงแหล่งน้ำ และยากต่อการควบคุม

ภาพถ่ายเปรียบเทียบ พฤษภาคม vs ตุลาคม 2568 ชี้ชัดว่า บ่อแต่งแร่ ฝั่งตะวันตกของกกสร้างเสร็จและมีหลังคาคลุม ขณะฝั่งตะวันออกมี อาคารใหม่หลายหลัง และเห็น ของเหลวสีฟ้า ในบ่อแต่งต่อเนื่อง สอดคล้องกับการประเมินว่า “กิจกรรมแต่งแร่เพิ่มขึ้นอย่างมาก” พร้อมกันนี้ ภาคประชาชนลุ่มน้ำกกไทยได้สื่อสารกรณี สารหนู–แคดเมียม–ตะกั่ว ปนเปื้อน และย้ำผ่านถ้อยคำของภาคีว่า “แม่น้ำเพื่อชีวิต ไม่ใช่แม่น้ำเพื่อความตาย” เพื่อสะท้อนข้อเรียกร้องเชิงจริยธรรมและสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชนปลายน้ำ

เวที MRC เดือนพฤศจิกายน โอกาสยกระดับ “การทูตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน”

การประชุม MRC ที่จะจัดขึ้นที่เชียงรายในปลายพฤศจิกายน ถูกคาดหวังให้เป็น เวทีนโยบายระดับอนุภูมิภาค ที่ไทยควรใช้เพื่อ

  • เสนอ กลไกแจ้งเตือนและแบ่งปันข้อมูลคุณภาพน้ำข้ามพรมแดนแบบใกล้เวลาจริง
  • ผลักดัน มาตรฐานกิจกรรมเหมืองในลุ่มน้ำสาขาโขง และ ห่วงโซ่ตรวจสอบสารเคมี
  • ตั้ง คณะทำงานร่วมไทย–เมียนมา–จีน บูรณาการ ภาพถ่ายดาวเทียม–ข้อมูลตรวจวัด–การสืบสวนเชิงต้นน้ำ พร้อม แผนลดความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์ (เช่น พื้นที่กักเก็บ/บ่อพักตะกอน–การกันชนพื้นที่เสี่ยง)

การเยือนพื้นที่ของ สมาชิกพรรคกรีน เยอรมนี ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนมิติความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการยกระดับ มาตรฐานการทำเหมืองอย่างรับผิดชอบ และ กรอบสินค้าสะอาด (clean supply chains) ในตลาดโลก

ข้อเสนอเชิงระบบ จาก “ตามแก้” สู่ “ป้องกันก่อนเกิด”

บนฐานข้อมูลและสถานการณ์ปัจจุบัน ข่าวนี้เสนอ “แพ็กมาตรการ” 5 ข้อเพื่อคลายปมระยะสั้น–ยาว

  1. แดชบอร์ดสาธารณะ: เปิดข้อมูล น้ำผิวดิน–ตะกอนดิน–โลหะหนัก รายจุด/รายสัปดาห์ พร้อม metadata วิธีเก็บ–ห้องแล็บ–ความเชื่อมั่น เพื่อให้ภาคประชาชน–เกษตร–ท้องถิ่นติดตามได้
  2. แผนจัดการตะกอนดิน: ศึกษาความเป็นไปได้ของ การกักเก็บ–การห่อหุ้ม (capping)–การขุดลอกแบบเลือกสรร โดยมี EIA/สุขภาพชุมชน กำกับ เพื่อไม่ให้ “การแก้ไข” กลายเป็น “การกวนตะกอน”
  3. โพรโทคอลสุขภาพชุมชน: เพิ่ม biomonitoring กลุ่มเสี่ยง (ตัวอย่างปัสสาวะ/เลือด) แบบสุ่มตัวอย่างซ้ำ พร้อม คัดกรองเชิงรุก และ เจ้าภาพสื่อสารเดียว ลดความกำกวมของคำว่า “ไม่เกินมาตรฐาน” โดยแนบค่าจริง–ช่วงเชื่อมั่น
  4. การทูตสิ่งแวดล้อม: ใช้เวที MRC และความร่วมมือทวิภาคี ผลักดัน มาตรการควบคุมสารเคมีเหมือง และ การตรวจสอบย้อนกลับ ร่วมกับผู้ซื้อแรร์เอิร์ธ–ทองในห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก
  5. มาตรการทางการค้าเชิงเป้าหมาย: พิจารณาแนวทางจำกัดการนำเข้าวัตถุดิบ/สินค้าที่โยงกับกิจกรรมทำลายลุ่มน้ำ (ตามแนวคิดยุติการนำเข้า “CTM” ที่ถูกเสนอ) ควบคู่ แรงจูงใจ สำหรับซัพพลายเออร์ที่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

เสียงจากพื้นที่และการบริหารท้องถิ่น

ตลอดหลายเดือนของการเฝ้าระวัง จังหวัดเชียงรายร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพิ่มความถี่เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดินเดือนละ 2 ครั้ง หลายสาขา และร่วม สำรวจความเสียหาย–ค่าใช้จ่ายเฝ้าระวัง เพื่อวางงบประมาณปีถัดไป สะท้อนความตั้งใจ “เดินงานเชิงรุก” โดยไม่รอเฉพาะระดับส่วนกลาง ในเวทีหารือระดับจังหวัด ผู้แทนหน่วยงานน้ำ–สิ่งแวดล้อม–เกษตร–ประมง ยังรายงานอุปสรรค เช่น งบประมาณ–บุคลากร–การเข้าถึงพื้นที่ต้นน้ำข้ามแดน ซึ่งต้องอาศัย “กลไกกลาง” เชื่อมการทำงานต่อเนื่อง

ในขณะที่ภาคประชาชน–ภาคีลุ่มน้ำสื่อสารเสียงเดียวกันว่า “ต้องการข้อมูลที่เข้าใจง่าย–สม่ำเสมอ และตอบข้อกังวลเฉพาะหน้า” เช่น คำถามว่าพื้นที่ใดควรหลีกเลี่ยงใช้น้ำโดยตรง, พื้นที่ใดควรระวังการบริโภคปลา, คำแนะนำเฉพาะกลุ่มเปราะบาง (เด็ก–หญิงตั้งครรภ์–ผู้สูงอายุ) เพื่อให้ครัวเรือนตัดสินใจได้บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้

เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ฟ้าใส” กับ “ท้องน้ำป่วย”

ภาพรวม ณ ปลายตุลาคม 2568 คือ สัญญาณคลี่คลายบางส่วนของน้ำผิวดิน โดยเฉพาะแม่น้ำกกที่ “เข้าเกณฑ์” หลายจุด แต่ ท้องน้ำยังป่วย เพราะตะกอนดินที่สะสมโลหะหนัก เกินระดับปกป้องสัตว์หน้าดิน หลายจุดใน กก–สาย–รวก–โขง ความเสี่ยงนี้ไม่เพียงกระทบต่อ ระบบนิเวศ แต่ยังทบซ้อนสู่ เศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะ ข้าว–ประมง–ท่องเที่ยว ในจังหวัดชายแดน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ แรงกดดันจากต้นน้ำรัฐฉาน ที่ยังเห็นสัญญาณ “เหมืองขยาย” ชัดเจน

คำตอบเชิงนโยบายจึงไม่อาจหยุดที่ “ตรวจ–แจ้ง–แนะนำ” แต่ต้องยกระดับสู่ ระบบข้อมูลสาธารณะ–แผนจัดการตะกอน–การคุ้มครองสุขภาพ–การทูตสิ่งแวดล้อม–มาตรการการค้า ที่เสริมกันเป็นแพ็กเดียว และใช้เวที MRC ที่เชียงราย เป็นจุดเริ่มต่อรองเชิงหลักการเพื่อคุ้มครองลุ่มน้ำร่วมกันอย่างยั่งยืน

“แม่น้ำเพื่อชีวิต ไม่ใช่แม่น้ำเพื่อความตาย” — ประโยคจากเครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำกก อาจเป็นเข็มทิศเชิงคุณค่าที่เตือนให้ทุกฝ่าย “วัดความสำเร็จ” ไม่ใช่แค่จากค่าตัวเลขในห้องแล็บ แต่จาก ความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของผู้คนที่อยู่กับน้ำทุกวัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาค (สาขาเชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ)
  • สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมประมง
  • Rocket Media Lab
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ไทยเจ้าภาพ MRC เชียงราย วิกฤติมลพิษข้ามแดนจากเหมืองเมียนมา และข้อกังวล MOU แร่หายากสหรัฐ

เชียงรายปลายปี เวทีนโยบายแม่น้ำโขง หรือจุดเริ่มต้นของข้อเรียกร้องใหม่

เชียงราย, 27 ตุลาคม 2568 — ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมักถูกพูดถึงในฐานะ “เหนือสุดแดนสยาม” จะกลายเป็นพื้นที่ทางการเมืองเชิงทรัพยากร เมื่อประเทศไทยในฐานะประธานคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เตรียมเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรี MRC ครั้งที่ 32 และการประชุมระหว่างคณะมนตรี MRC กับหุ้นส่วนการพัฒนา (Development Partners) ครั้งที่ 30 ในวันที่ 25–27 พฤศจิกายน 2568

เวทีดังกล่าวถือเป็นกลไกความร่วมมือระดับรัฐบาลของประเทศลุ่มน้ำโขง ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ภายใต้เป้าหมายร่วมคือการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิกและประชาชนลุ่มน้ำโขง

แต่ปีนี้ บรรยากาศการประชุมไม่ได้ถูกจับตาเพียงในกรอบ “การจัดการน้ำร่วมกัน” เท่านั้น เพราะประเด็นสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำชายแดน ปัญหาความโปร่งใสในการบริหารจัดการเขื่อนบนลุ่มน้ำโขงตอนบน และการเร่งเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทาน “แร่ธาตุสำคัญ” ระดับโลก ล้วนถูกหยิบขึ้นมาตั้งคำถามว่าควรต้องกลายเป็นวาระเชิงนโยบาย ไม่ใช่เพียงการรายงานเชิงเทคนิค

ไทยยืนยันกรอบหารือ ปฏิญญากรุงเทพ และแผนกลยุทธ์ MRC 2026–2030

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะมนตรี MRC เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ครั้งที่ 2/2568 เพื่อเตรียมท่าทีของไทยในเวทีเชียงรายปลายเดือนพฤศจิกายน

สาระสำคัญจากการประชุม คือ การเห็นชอบกรอบการหารือสองประเด็นหลัก ได้แก่

  1. ร่าง “ปฏิญญากรุงเทพ” (Bangkok Declaration) ซึ่งจะถูกเสนอเป็นผลลัพธ์ทางการเมืองของการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 5
  2. แผนกลยุทธ์ MRC ค.ศ. 2026–2030 ซึ่งจะเป็นกรอบทิศทางการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกในช่วงห้าปีข้างหน้า ต่อเนื่องจาก “ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 และแผนยุทธศาสตร์ MRC 2021–2025” ซึ่งวางหลักการสมดุลระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับการรักษาสุขภาวะของระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขง

ประเด็นเชิงโครงสร้างที่ไทยตั้งใจผลัก คือ ระบบความร่วมมือด้านข้อมูล โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลการบริหารจัดการเขื่อนในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งถูกมองว่าเป็น “หัวใจของการเตือนภัยล่วงหน้า” ต่อสถานการณ์น้ำหลาก น้ำแล้ง และการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำฉับพลันในพื้นที่ท้ายน้ำ

หน่วยงานไทยเน้นว่า การปล่อยน้ำหรือกักน้ำจากเขื่อนในสายน้ำหลักและสาขาของแม่น้ำโขง ส่งผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตประมงพื้นบ้าน นาข้าวริมโขง ที่อยู่อาศัยริมน้ำ และความปลอดภัยของชุมชนลุ่มน้ำกก-สาย-โขงฝั่งไทย โดยเฉพาะเมื่อสภาพภูมิอากาศมีความผันผวนรุนแรงขึ้น และรูปแบบฝน-แล้งไม่สอดคล้องกับฤดูกาลแบบดั้งเดิม

สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) รวบรวมบทเรียนการทำงานระยะที่ 1 ของโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลการบริหารจัดการเขื่อน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2565 และกำลังออกแบบระยะที่ 2 ให้มีระบบพยากรณ์น้ำที่แม่นยำขึ้น แจ้งเตือนเร็วขึ้น และสื่อสารถึงระดับชุมชนท้ายน้ำได้ทันก่อนเกิดผลกระทบจริง

กรอบเหล่านี้สะท้อนเป้าหมายของ MRC ในการเป็นเวทีกลางระหว่างรัฐสมาชิก เพื่อร่วมกันจัดการ “แม่น้ำโขงในฐานะทรัพยากรร่วม” มากกว่าจะมองแม่น้ำโขงเป็นทรัพยากรของประเทศใดประเทศหนึ่ง

ประเด็นเร่งด่วนที่ประชาชนผลักขึ้นโต๊ะ สารพิษจากเหมืองแร่รัฐฉาน และความเสี่ยง “อ่างเก็บน้ำพิษ”

แม้กรอบวาระอย่างเป็นทางการจะครอบคลุมความร่วมมือด้านข้อมูลและยุทธศาสตร์การบริหารจัดการลุ่มน้ำ แต่ภาคประชาสังคมและนักวิชาการในพื้นที่ภาคเหนือของไทยย้ำว่า ยังมีประเด็นหนึ่งที่ “ไม่ควรปล่อยให้เป็นเพียงรายงานสถานการณ์” นั่นคือการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำชายแดน ซึ่งมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับวิถีชีวิตและสุขภาพของคนไทยริมโขง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยในที่ประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยว่า ขณะนี้ไทยติดตามสถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงอย่างใกล้ชิด หลังตรวจพบการปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในบางจุดฝั่งไทย โดยเชื่อมโยงกับกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉานของเมียนมา

สารมลพิษดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงปัญหาคุณภาพน้ำเชิงกายภาพ แต่เชื่อมโยงกับคำถามด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยอาหาร เนื่องจากแม่น้ำเหล่านี้เป็นทั้งแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคและแหล่งปลาธรรมชาติของชุมชนชายแดนตอนเหนือของไทย

สทนช. ระบุว่า ไทยได้ประสานไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) เพื่อให้เกิดการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับเมียนมา และได้ผลักดันให้มี “การติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกัน” หรือ Joint Water Quality Monitoring (JWQM) ในระดับภูมิภาค โดยมีผู้แทนจากเมียนมาเข้าร่วม เพื่อวางระบบการวัด การเก็บตัวอย่าง และการประเมินผลกระทบอย่างเป็นทางการร่วมกัน ไม่ใช่เพียงการร้องเรียนแบบทวิภาคีระหว่างไทย–เมียนมา

อย่างไรก็ตาม แม้เมียนมาจะอยู่ในขั้นพิจารณาบันทึกแนวคิด (concept note) เพื่อนำไปสู่การเก็บข้อมูลร่วมในอนาคต ความคืบหน้ายังเป็นไปอย่างช้า ขณะที่ประชาชนริมลุ่มน้ำกก–สาย–โขงในไทยยังคงอาศัยน้ำและปลาในระบบนิเวศเดียวกันทุกวัน

ในจุดนี้ เครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers and Rights) นำโดย น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ แสดงจุดยืนชัดเจนว่า ประเด็นมลพิษโลหะหนักต้องถูกยกขึ้นเป็น “วาระทางการ” บนโต๊ะ MRC ที่เชียงราย มิใช่เพียงบันทึกท้ายห้อง เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์เชิงเทคนิคอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตประจำวันของชุมชนชายแดนไทย

เธอยังเชื่อมโยงปัญหาน้ำปนเปื้อนกับโครงการเขื่อนปากแบงในแม่น้ำโขงตอนบน โดยเตือนว่า หากเดินหน้าเขื่อนตามกรอบเวลาเดิม การเปลี่ยนสภาพแม่น้ำโขงจากแม่น้ำไหลเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ อาจทำให้สารโลหะหนักและมลพิษอื่น ๆ จากต้นน้ำฝั่งเมียนมาซึ่งหลุดจากกิจกรรมเหมืองแร่นอกระบบ ไม่ได้ไหลผ่านไป แต่จะตกตะกอนและสะสมอยู่ในร่างน้ำเขื่อน รวมถึงพื้นที่ท้ายน้ำฝั่งไทย เช่น อำเภอเวียงแก่น เชียงของ และเชียงแสน

คำเตือนที่ถูกใช้คือ ภาพของ “อ่างเก็บน้ำพิษ” ซึ่งหมายถึงแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่กักทั้งน้ำและมลพิษไว้หน้าบ้านของคนไทยชายแดน

ข้อเสนอจากฝ่ายภาคประชาชนจึงประกอบด้วยสองเงื่อนไขหลัก

  1. ไทยควรผลักให้มีการหารือร่วมกับเมียนมาอย่างเป็นทางการในกรอบ MRC ต่อการจัดการต้นตอของมลพิษจากเหมืองแร่ ไม่ใช่เพียงเก็บตัวอย่างปลายน้ำ
  2. ไทยควรเสนอให้ชะลอการเดินหน้าเขื่อนปากแบง จนกว่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนว่าคุณภาพน้ำในร่างน้ำที่จะถูกกักเก็บและระบายออกสู่ท้ายน้ำปลอดภัยต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

มุมมองนี้เชื่อมโยงความมั่นคงน้ำ ความมั่นคงอาหาร และความมั่นคงด้านสุขภาพสาธารณะเข้าด้วยกันอย่างชัดเจน

จากน้ำสู่แร่ ทำไมปัญหาแม่น้ำโขงถูกดึงโยงเข้ากับ MOU แร่ธาตุสำคัญไทย–สหรัฐฯ

ในห้วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลไทยกำลังจัดท่าทีสำหรับการประชุม MRC ที่เชียงราย ฝ่ายการเมืองและนักวิชาการระดับภูมิภาคได้ออกมาแสดงความกังวลต่อบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน” ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ระหว่างการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย

รัฐบาลไทยให้เหตุผลว่า MOU ฉบับนี้จะช่วยยกระดับประเทศไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์โลก โดยเฉพาะแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) และแร่หายาก (Rare Earth Elements: REE) ซึ่งเป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีสะอาด เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ระบบป้องกันประเทศ และชิ้นส่วนแม่เหล็กถาวรในอุตสาหกรรมอวกาศและดาวเทียม

นอกจากนี้ ฝ่ายบริหารย้ำว่า MOU ฉบับนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงกรอบความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเทคนิค การวิเคราะห์ศักยภาพแหล่งแร่ การสนับสนุนการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากร โดยไทยคาดหวังว่าจะต่อยอดเป็นโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และห่วงโซ่อุตสาหกรรมสะอาดในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก คือข้อกังวลเรื่อง “อธิปไตยเหนือทรัพยากรใต้ดิน” เพราะตามคำอธิบายของ ส.ส.ฝ่ายค้านในพื้นที่ภาคเหนือ ข้อตกลงระบุให้สหรัฐฯ มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลเชิงพิกัดของแหล่งแร่หายากในไทยก่อน และหากพบศักยภาพ ไทยต้องแจ้งสหรัฐฯ โดยเร็วที่สุด พร้อมเปิดช่องโอกาสการลงทุนก่อนผู้เล่นรายอื่น นอกจากนี้ ในการอำนวยความสะดวกด้านการอนุญาตโครงการลงทุน ยังมีถ้อยคำที่ถูกมองได้ว่าอาจ “เร่งกระบวนการอนุมัติให้คล่องตัวมากขึ้น” ในการสำรวจและพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนสหรัฐฯ

ข้อกังวลนี้ชี้ให้เห็นปัญหาสองชั้น

  • ไทยกำลังยอมให้ต่างชาติเข้าถึงข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ของทรัพยากรสำคัญ ขณะที่กฎหมายและระบบกำกับการทำเหมืองที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศยังไม่มีความพร้อม
  • เรากำลังพูดถึงแหล่งแร่ที่หลายส่วนอาจเกี่ยวข้องกับพื้นที่ต้นน้ำของลุ่มน้ำชายแดนไทย–เมียนมา ซึ่งปัจจุบันถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นต้นตอของการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงฝั่งไทย

นี่คือจุดที่ปัญหาน้ำ และปัญหาแร่ มาบรรจบกันโดยตรง แรร์เอิร์ธไม่ได้เป็นเพียง “โอกาสทางเศรษฐกิจแห่งอนาคต” แต่กำลังถูกมองว่าเป็น “ต้นทางของวิกฤตสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน” ของชุมชนลุ่มน้ำชายแดน

 “Critical Minerals” กับสมรภูมิมหาอำนาจ ไทยอยู่ตรงไหนในเกมนี้

ในระดับโลก “Critical Minerals” (แร่ธาตุสำคัญ) คือกลุ่มแร่เชิงยุทธศาสตร์ซึ่งหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ระบุว่าเป็นทรัพยากรที่จำเป็นต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีสะอาด การผลิตพลังงานทางเลือก ไปจนถึงยุทโธปกรณ์ทางทหาร โดยกลุ่มแร่หายาก (Rare Earth Elements – REE) ซึ่งประกอบด้วยธาตุโลหะ 17 ชนิด ได้แก่ แลนทาไนด์ทั้ง 15 ชนิด ร่วมกับสแกนเดียมและอิตเทรียม จัดเป็นหัวใจของระบบแม่เหล็กถาวร มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม เซนเซอร์ทางทหาร และชิปขั้นสูง

จีนยังครองบทบาทเหนือห่วงโซ่แร่หายากโลก ทั้งด้านเหมืองแร่ ตลอดจนการแยกถลุงและการกลั่น ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความซับซ้อนสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด โดยข้อมูลสาธารณะในปี 2024–2025 ระบุว่าจีนผลิตแร่หายากดิบเกือบร้อยละ 70 ของโลก และควบคุมกระบวนการแปรรูปและกลั่นมากกว่าร้อยละ 90 ในหลายกลุ่มธาตุหายาก โดยเฉพาะกลุ่มธาตุหนัก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญต่ออุตสาหกรรมป้องกันประเทศและยานยนต์ไฟฟ้า

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จีนได้เข้มงวดการควบคุมการส่งออกธาตุหายากและเทคโนโลยีการแปรรูปมากขึ้น โดยอ้างเหตุผลความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมออกมาตรการควบคุมใบอนุญาตการส่งออก รวมถึงจำกัดการถ่ายทอดความรู้เชิงเทคนิคเกี่ยวกับการสกัดและการผลิตแม่เหล็กถาวรจากแร่หายากให้กับต่างชาติ. แนวทางดังกล่าวถูกวิเคราะห์ว่าเป็นเครื่องมือกดดันทางการค้าและการเมืองต่อสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร โดยเฉพาะเมื่อแรร์เอิร์ธเป็นปัจจัยผลิตสำคัญของยุทโธปกรณ์สมัยใหม่

สหรัฐฯ จึงเร่งสร้างเครือข่ายคู่ค้าที่สามารถผลิตหรืออย่างน้อยมีศักยภาพเข้าถึงและรวบรวมแร่ธาตุสำคัญได้โดยไม่ต้องพึ่งจีนเต็มรูปแบบ โดยไทยถูกจัดวางในบทบาท “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่กึ่งกลางทั้งตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ขยายตัว และแหล่งวัตถุดิบจากเมียนมาและประเทศเพื่อนบ้าน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไทยไม่ใช่แค่ประเทศที่ “มีแร่” แต่กำลังถูกมองว่าเป็นจุดเชื่อมระหว่างแหล่งวัตถุดิบ upstream (แหล่งเหมืองในเมียนมาและตามแนวตะเข็บชายแดน) กับตลาดปลายน้ำ downstream (ผู้ผลิตเทคโนโลยีสะอาดและอุตสาหกรรมขั้นสูงที่สหรัฐฯ ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขัน)

คำถามที่ยังค้างคา ใครได้ ใครเสีย จาก MOU

ฝ่ายการเมืองฝ่ายค้าน เช่น นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า “ประเทศไทยได้อะไร” เมื่อในทางปฏิบัติ ประเทศอาจต้องเปิดข้อมูลเชิงพื้นที่ของแหล่งแร่หายาก ให้สิทธิการเข้าถึงโครงการก่อนผู้เล่นรายอื่น และอำนวยความสะดวกด้านการอนุญาตทางกฎหมายให้กับผู้ลงทุนสหรัฐฯ ในขณะที่ผลประโยชน์ที่ไทยได้รับ ถูกอธิบายกว้าง ๆ ว่าเป็น “โอกาสทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมสะอาด และการถ่ายทอดเทคโนโลยี”

เขายังตั้งข้อสังเกตว่า ภายในประเทศยังไม่มีกรอบกฎหมายเฉพาะด้านแร่หายากหรือแร่ธาตุสำคัญที่จะกำหนดเรื่องความปลอดภัยสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชนชายแดน การแบ่งผลประโยชน์ และการตรวจสอบย้อนกลับของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain traceability) ว่าแร่ที่ไหลเข้ามาในประเทศมีที่มาถูกต้องหรือเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่

ประเด็น “การตรวจสอบย้อนกลับ” สำคัญอย่างยิ่ง เพราะในปัจจุบัน แร่ในกลุ่ม Critical Minerals (CTM) ที่เข้าสู่ชายแดนไทย–เมียนมา ไม่ได้มีเพียงการนำเข้าอย่างเป็นทางการ แต่ยังมีการคาดการณ์ว่ามีการนำเข้าแบบไม่เป็นทางการจำนวนมาก ซึ่งหมายความว่า ตัวเลขทางการของกรมศุลกากรอาจเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปริมาณแร่ที่เคลื่อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยจริง ๆ

ในเชิงโครงสร้าง นักวิชาการเตือนว่า หากไทยยอมรับบทบาท “ทางผ่านแร่” หรือ “ฐานแปรรูปเบื้องต้น” เพื่อป้อนให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมสะอาดระดับโลก แต่ไม่ยกระดับมาตรการสิ่งแวดล้อม มาตรฐานความปลอดภัยของชุมชน และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ไทยอาจไม่ต่างอะไรจาก “จุดยอมรับความเสี่ยง” ที่ต้องรับภาระมลพิษ ขณะที่มูลค่าเพิ่มขั้นสูงและอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจกลับไปอยู่ในมือตลาดปลายทาง

 

มิติสิ่งแวดล้อม บทเรียนจากเหมืองแรร์เอิร์ธโลก

ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ในระดับสากลสะท้อนตรงกันว่า การทำเหมืองและการสกัดแร่หายากเป็นกิจกรรมที่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมสูงมาก ทั้งการขุดหน้าดิน การชะล้างด้วยสารเคมี และการแยกสกัดจนได้ธาตุเป้าหมายบริสุทธิ์ โดยในบางรูปแบบจะอัดสารเคมีอย่างแอมโมเนียมซัลเฟตลงในชั้นดินหรือหินเพื่อชะละลายโลหะ ก่อนจะสูบน้ำปนสารละลายขึ้นมาผ่านกระบวนการแยกซ้ำหลายรอบ

งานศึกษานานาชาติที่ถูกอ้างถึงอย่างแพร่หลาย เช่น รายงานของ Yale Environment 360 และการทบทวนโดย Harvard International Review ระบุว่า การผลิตแร่หายาก 1 ตัน สามารถปล่อยมลพิษรูปแบบต่าง ๆ ปริมาณสูงมาก ได้แก่ “ฝุ่นโลหะประมาณ 13 กิโลกรัม, ก๊าซของเสีย 9,600–12,000 ลูกบาศก์เมตร, น้ำเสียราว 75 ลูกบาศก์เมตร และกากของเสียกัมมันตรังสีประมาณ 1 ตัน” ซึ่งหมายความว่าหากพื้นที่ขุดไม่มีระบบควบคุมมลพิษ น้ำเสียเหล่านี้จะไหลลงสู่แม่น้ำหรือน้ำใต้ดิน ก่อให้เกิดการปนเปื้อนโลหะหนักและสารกัมมันตรังสีในระบบนิเวศ และส่งผลต่อสุขภาพของชุมชนในระยะยาว

จีนเป็นตัวอย่างที่ถูกหยิบยกบ่อยที่สุดในเวทีสิ่งแวดล้อมโลก เนื่องจากพื้นที่ทำเหมืองแร่หายากจำนวนมากในจีน โดยเฉพาะทางตอนใต้ เคยเผชิญการทำเหมืองผิดกฎหมายหรือกึ่งถูกกฎหมายเป็นเวลายาวนาน ส่งผลให้ดิน น้ำ และอากาศปนเปื้อนในระดับที่บางชุมชนไม่สามารถกลับไปทำเกษตรหรือใช้น้ำผิวดินได้อย่างปลอดภัย จนรัฐบาลจีนต้องเข้มงวดมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และในช่วงหลังได้ประกาศควบคุมการส่งออกและการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการสกัดแร่หายาก โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและการปกป้องสิ่งแวดล้อม

บทเรียนนี้ถูกนักวิชาการสิ่งแวดล้อมในไทยหยิบมาเตือนเช่นกัน โดยชี้ว่าหากไทยจะเดินหน้าสู่การเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุตสาหกรรมแร่หายากและแร่ธาตุสำคัญ จำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์สิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่ ขั้นตอนสำรวจ การขุด การจัดการหางแร่ การบำบัดน้ำเสีย การควบคุมฝุ่นโลหะหนักและสารกัมมันตรังสี ตลอดจนการฟื้นฟูพื้นที่หลังเหมือง ไม่ใช่เพียง “เงื่อนไขรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) บนกระดาษ” แต่ต้องครอบคลุมถึงผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และการเปิดให้ชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิร่วมตัดสินใจ

แนวคิด “การยอมรับทางสังคม” (social license to operate) จึงเริ่มถูกพูดถึงในบริบทไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ตอนบน ซึ่งถูกระบุว่ามีการพบแหล่งศักยภาพของธาตุในกลุ่มแร่หายากกระจายตัวอยู่หลายพื้นที่ แม้ยังไม่เข้าสู่การทำเหมืองเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ

ช่องว่างเชิงกฎหมาย ใครควบคุม ใครรับผิดชอบ

ประเด็นหนึ่งที่สะท้อนชัดจากเสียงวิจารณ์ คือ ประเทศไทยยังไม่มี “กฎหมายเฉพาะด้านแร่หายาก/แร่ธาตุสำคัญ” ที่ผสานมิติสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชน ความมั่นคง และการแบ่งปันผลประโยชน์ ขณะที่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 แม้กำหนดขั้นตอนการอนุญาตสำรวจและทำเหมือง แต่ยังไม่พอสำหรับประเด็นใหม่ของศตวรรษที่ 21 เช่น การตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (supply chain traceability) หรือมาตรฐาน “แร่สะอาด” ที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเงื่อนไขทางการค้าสำคัญในสหรัฐฯ และยุโรปอยู่แล้ว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ไทยกำลังพิจารณาเปิดทางคู่วิเทศเพื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแร่ยุทธศาสตร์ระดับโลก ในช่วงเวลาที่ระบบคุ้มครองภายในประเทศยังไม่สมบูรณ์ เมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงว่าปลายน้ำของกระบวนการสกัดแร่หายากมีความเสี่ยงปนเปื้อนโลหะหนักและกัมมันตรังสีสูง ยิ่งทำให้คำถามด้านความเป็นธรรมต่อชุมชนชายแดนและชุมชนท้องถิ่นทวีความสำคัญ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมทั้งนักการเมืองฝ่ายค้านและนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมต่างเสนอให้รัฐบาล “ชะลอการเปิดเหมืองแร่หายากในประเทศ” จนกว่าจะมีการจัดทำกรอบกฎหมายลูก มาตรการสิ่งแวดล้อม และระบบตรวจสอบสิทธิมนุษยชนที่ชัดเจน

เสียงจากพื้นที่ ภาระที่คนชายแดนไม่ได้เป็นผู้ก่อ

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายปกป้องแม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง ตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ปัจจุบันกำลังผลักให้ประชาชนในลุ่มน้ำกก-สาย-โขงของไทยต้อง “รับภาระสองชั้น” คือ

  • ชั้นแรก รับมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในเมียนมา ทั้งโลหะหนักและสารพิษที่ปนเปื้อนสู่แม่น้ำต้นน้ำซึ่งไหลเข้าสู่เขตไทย
  • ชั้นที่สอง ต้องถูกคาดหวังให้ยอมรับบทบาทพื้นที่ชายแดนในฐานะส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลก ภายใต้กรอบความร่วมมือไทย–สหรัฐฯ ที่ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนเรื่องกลไกปกป้องสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชน และสุขภาพ

เขาเสนอให้รัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ต้องเปิดเผยแผนดำเนินการของ MOU อย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ พร้อมทั้งยุติการนำเข้าแร่ CTM จากเมียนมาชั่วคราว และเปิดเผยที่ตั้งเหมืองที่เป็นต้นทางของแร่นำเข้า เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างมลพิษในแม่น้ำฝั่งไทยกับการทำเหมืองต้นน้ำ

ข้อเสนอนี้มุ่งวาง “การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน” เป็นเงื่อนไขตั้งต้น ไม่ใช่ผลพวงที่ต้องมารับภายหลัง

ถ้อยคำที่ถูกใช้สะท้อนมุมมองเชิงสิทธิอย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่เพียงการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่คือการแบ่งปันความเสี่ยงระหว่างรัฐกับประชาชน

จุดตัดก่อนถึงเชียงราย คำถามสุดท้ายสู่โต๊ะ MRC

เมื่อมองภาพรวม การประชุมคณะมนตรี MRC ที่เชียงรายในวันที่ 25–27 พฤศจิกายน 2568 จึงมีเดิมพันสูงกว่าที่ตัวชื่อการประชุมบอกไว้

ไทยจะสามารถผลักดันให้ปัญหามลพิษโลหะหนักจากเหมืองแร่ในเมียนมา ซึ่งกำลังไหลลงสู่ลุ่มน้ำกก–สาย–โขงและกระทบประชาชนไทยชายแดนภาคเหนือ กลายเป็นวาระหารือเชิงนโยบายระดับภูมิภาคได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่เพียงรายงานสถานการณ์ในวาระอื่น และไทยจะยกประเด็น “ความเสี่ยงอ่างเก็บน้ำพิษ” จากการเดินหน้าเขื่อนปากแบงในแม่น้ำโขงตอนบน ขึ้นสู่โต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการได้หรือไม่ โดยชี้ว่าประเด็นนี้ไม่ใช่แค่โครงสร้างพลังงาน แต่คือความปลอดภัยของน้ำที่ชุมชนชายแดนต้องใช้ทุกวัน ส่วนไทยจะสามารถเชื่อม “MOU แร่ธาตุสำคัญ” ที่ลงนามกับสหรัฐฯ ให้สอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงได้อย่างไร โดยเฉพาะในมิติสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน การเปิดเผยข้อมูลแหล่งแร่ และการมีส่วนร่วมของประชาชนท้องถิ่น ก่อนจะเร่งวางประเทศไทยไว้ในฐานะจุดเชื่อมของห่วงโซ่อุปทานแร่ระดับโลก

และสี่ คือ รัฐบาลไทยพร้อมหรือยังที่จะยอมรับว่า ความมั่นคงด้านน้ำ ความมั่นคงด้านพลังงาน และความมั่นคงด้านแร่ธาตุสำคัญทางยุทธศาสตร์ ไม่ได้เป็นคนละวาระอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องเดียวกันในสายตาของชุมชนลุ่มน้ำโขง ซึ่งใช้แม่น้ำเพื่อดื่ม กิน ทำมาหากิน และยังต้องอยู่กับผลพวงจากการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐไปอีกหลายสิบปี

การประชุมเชียงรายปลายเดือนพฤศจิกายนจึงไม่ใช่เพียงพิธีการ หากเป็นบททดสอบว่าประเทศไทยจะเจรจาในนามของรัฐเพียงอย่างเดียว หรือเจรจาในนามของประชาชนลุ่มน้ำกก–สาย–โขงด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Mekong River Commission (MRC) Secretariat: สำหรับข้อมูลการประชุมและ JWQM
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.): สำหรับรายงานสถานการณ์น้ำและการประสานกับเมียนมา
  • Stimson Center: สำหรับข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมาและแผนที่ลุ่มน้ำ
  • Mongabay, Al Jazeera, New York Times, NPR, DW: สำหรับรายงานมลพิษและสถิติผลกระทบ
  • Business & Human Rights Resource Centre และ International Crisis Group: สำหรับข้อมูลเขื่อนปากแบง
  • U.S. Department of State และ White House Fact Sheet: สำหรับรายละเอียด MOU ไทย-สหรัฐ
  • มูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers and Rights): สำหรับคำสัมภาษณ์ นส.เพียรพร ดีเทศน์
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง: สำหรับคำสัมภาษณ์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร
  • ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย: สำหรับคำสัมภาษณ์ ดร.สนธิ คชวัฒน์
  • พรรคประชาชน: สำหรับคำสัมภาษณ์ นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

วิกฤตแม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคามมูลค่า 1.3 พันล้านบาท

วิกฤตการณ์ข้ามพรมแดน แม่น้ำกก-โขงปนเปื้อนพิษเหมืองแร่หายากเมียนมา ภัยคุกคาม 1.3 พันล้านบาท และคำถามถึงความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทานโลก

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 –  ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ที่ขับเคลื่อนด้วย ‘แร่หายาก’ (Rare Earth Minerals) ซึ่งเป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์สำคัญ ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การเร่งรัดการทำเหมืองแร่หายากอย่างขาดการควบคุมดูแลในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของประเทศเมียนมา ได้ส่งผลให้แม่น้ำสายหลักของชาติ อาทิ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ปนเปื้อนด้วยสารพิษและโลหะหนักในระดับอันตราย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยแล้วกว่า 1.3 พันล้านบาท (40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และนำมาซึ่งความกังวลอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงทางสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารของชุมชนปลายน้ำในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม

รายงานข่าวเชิงลึกฉบับนี้ จะพาไปสำรวจถึงความรุนแรงของวิกฤตการณ์ที่กำลังคุกคามชีวิตและระบบนิเวศในอนุภูมิภาค พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงแรงกดดันจากภาคประชาชนต่อรัฐบาลไทยที่ยังคง “ไร้ความคืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

การขยายตัวของภัยพิบัติที่พุ่งสูง 513 แหล่งเหมืองที่คุกคามลุ่มน้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัย Stimson Center ซึ่งเป็นคลังสมองที่ไม่แสวงหาผลกำไร เผยให้เห็นภาพความรุนแรงของการขยายตัวของการทำเหมืองแร่หายากในเมียนมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมระบุว่า ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการค้นพบ แหล่งเหมืองแร่หายากมากถึง 513 แห่ง กระจายตัวอยู่ในลุ่มน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำอิรวดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 เพียงปีเดียว มีการประเมินว่ามีแหล่งเหมืองใหม่เปิดเพิ่มขึ้นถึง 40 แห่ง ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อย่างมาก และสะท้อนถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนข้ามพรมแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การขยายตัวของเหมืองแร่เหล่านี้มีปัจจัยหลักมาจากความต้องการแร่หายากของโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นของรัฐบาลจีนต่อเหมืองภายในประเทศ ทำให้เมียนมาซึ่งอยู่ภายใต้ภาวะความขัดแย้งและการกำกับดูแลที่หย่อนยานนับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564 กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างในห่วงโซ่อุปทานของจีน

ต้นทุนที่มองไม่เห็น ของเสียพิษ 2,000 ตันต่อแร่ 1 ตัน

กระบวนการสกัดแร่หายากในรัฐฉานและรัฐกะฉิ่นของเมียนมานั้น ส่วนใหญ่ใช้วิธีที่เรียกว่า การชะล้างเฉพาะที่ (in-situ leaching) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำแฟรกกิง (fracking) คือการฉีดสารละลายเคมีเข้มข้นลงไปใต้ดินผ่านบ่อชะล้าง เพื่อละลายแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในดินให้กลายเป็นสารละลายแล้วจึงสูบขึ้นมาเก็บไว้

กระบวนการนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงอย่างไม่อาจยอมรับได้

  • มีรายงานที่น่าตกใจว่า การสกัดแร่หายากทุก 1 ตัน จะก่อให้เกิดของเสียที่เป็นพิษโดยเฉลี่ย 2,000 ตัน ซึ่งรวมถึงน้ำเสียที่เป็นกรดประมาณ 200 ลูกบาศก์เมตร (ราว 53,000 แกลลอน) หรือ 75 ลูกบาศก์เมตร (เกือบ 20,000 แกลลอน) และกากของเสียที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีได้ถึง 1–1.4 ตัน
  • เมื่อการทำเหมืองในภูเขาลูกหนึ่งเสร็จสิ้นลงในระยะเวลาประมาณสามปี บ่อเก็บน้ำเสียที่เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายเหล่านี้ก็จะถูกทอดทิ้งไว้ ในช่วงฤดูมรสุม ปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำเสียล้นออกจากบ่อและไหลเข้าสู่ลำธารและแม่น้ำสายหลักในบริเวณด้านล่าง มลพิษเหล่านี้จึงถูกพัดพาข้ามพรมแดนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
  • สารพิษที่ถูกตรวจพบ ได้แก่ สารหนู (Arsenic), ไซยาไนด์ (Cyanide), ปรอท (Mercury), ตะกั่ว (Lead), แคดเมียม (Cadmium) และโลหะหนักอื่น ๆ

นายไบรอัน ไอยเลอร์ (Brian Eyler) ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Stimson Center ผู้ทำการวิจัยเรื่องนี้ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงอันตรายของการปนเปื้อนในพื้นที่ภาคเหนือของไทยว่า “โคลนเหนียว ๆ ที่ท่วมพื้นที่บางส่วนของภาคเหนือของไทยหลังฝนตกหนัก คือสิ่งแรกที่ทีมของผมพบว่ามีการปนเปื้อนในแม่น้ำกก” และเสริมว่า แม่น้ำสายมีระดับมลพิษที่รุนแรงที่สุดเมื่อเทียบกับแม่น้ำกก

แผลพุพองและปลาตาย ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพในเชียงราย

ผลกระทบทางนิเวศวิทยาจากเหมืองเมียนมาได้แปรเปลี่ยนเป็นวิกฤตสาธารณสุขและความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงในชุมชนไทย

วิกฤตน้ำอุปโภคบริโภค ชุมชนในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาเพื่อการบริโภคและใช้ในครัวเรือน การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวอย่างลึกซึ้งให้กับประชาชน อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจจากการตรวจสอบน้ำเมื่อช่วงต้นปี 2568 ว่า ผลการทดสอบพบว่ามีการปนเปื้อนของ สารหนูในระดับที่เกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดตามกฎหมายในทุกจุดที่เก็บตัวอย่าง โดยบางจุดเกินกว่าค่ามาตรฐานถึง 19 เท่า แม้ว่าภายหลังโรงงานผลิตน้ำประปาในเชียงรายหลายแห่งจะต้องหันไปใช้น้ำจากแหล่งน้ำภายในประเทศที่สะอาดกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงแม่น้ำกก แต่ชุมชนที่ไม่ได้อยู่ในเขตประปาหลักยังคงต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเพื่อดื่ม ล้าง และว่ายน้ำ ซึ่งนำไปสู่รายงานการเกิด ผื่นคันตามผิวหนัง รวมถึงมีรายงาน ปลาตาย และปลาในแม่น้ำกกมีบาดแผลตามผิวหนัง

ภัยเงียบต่อสุขภาพระยะยาว ดร. สืบสกุล ยังได้เน้นย้ำถึงประเด็นที่ทางการอาจมองข้าม นั่นคือ การสะสมของสารพิษในร่างกายมนุษย์ “ทางการไทยยึดตามค่าสูงสุดที่อนุญาตให้มีสารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ ในน้ำได้ หากค่าต่ำกว่าก็ถือว่าปลอดภัย แต่สารหนู ปรอท และตะกั่ว สามารถสะสมในร่างกายและในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคมะเร็งและโรคอันตรายอื่น ๆ ได้”

การทำลายฐานเศรษฐกิจท้องถิ่น มลพิษได้สร้างผลกระทบอย่างตรงไปตรงมาต่อเสาหลักทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ

  • อุตสาหกรรมการประมง นายเดช นวลใส (Det Nuansai) ชาวประมงวัย 57 ปีในบ้านปากอิง ริมแม่น้ำโขง กล่าวด้วยความท้อแท้ว่า “ผมอาจจะพูดได้ว่า ‘ผมเคยขายปลาของเขา’ ปลาแม่น้ำโขงเคยเป็นปลาที่คนต้องการมากที่สุดและแพงที่สุด แต่ ไม่มีใครอยากซื้อปลาจากแม่น้ำสายนี้อีกแล้ว ทุกคนกลัวว่าปลาจะเต็มไปด้วยสารหนูและสารเคมี”
  • ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร สารเคมีได้ไหลเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมกว่า 100,000 ไร่ในจังหวัดเชียงราย ที่ทำการเกษตรโดยใช้น้ำจากแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก มีความกังวลว่าโลหะหนักจะปนเปื้อนในผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะ ข้าวนาปี ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนนี้
  • ผลกระทบต่อการส่งออก ญี่ปุ่นได้ดำเนินการสั่งห้ามนำเข้า ถั่วแระญี่ปุ่น (Edamame) ที่มาจากพื้นที่นี้เนื่องจากพบการปนเปื้อนสารเคมี และ พริกแดง ก็กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกห้ามนำเข้าเช่นกัน

ภาครัฐกับความนิ่งเฉย เสียงเรียกร้อง 10 ข้อที่ยังไร้การตอบสนอง

ท่ามกลางวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้น ภาคประชาชนโดยการนำของ เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง ได้ก้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่รัฐบาลยังคงตอบสนองต่อปัญหาอย่างล่าช้าและขาดการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่ได้รับทราบปัญหาอย่างเป็นทางการแล้ว

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล และรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยมีเนื้อหาสำคัญคือการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความนิ่งเฉย” และ “ความไม่คืบหน้า” ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

ไทม์ไลน์คำสัญญาที่ยังไม่เป็นจริง

เครือข่ายประชาชนฯ ได้ส่งข้อเสนอ 10 ข้อให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการภายใน 4 เดือน ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2568

  1. วันที่ 9 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหา พร้อมรับปากว่าจะจัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกกในการผลิตน้ำประปา
  2. วันที่ 11 ตุลาคม 2568 ร.อ. ธรรมนัส พรมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่าจะเจรจากับผู้ประกอบการเหมืองในรัฐฉาน และจะนำประเด็นนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน (21 ตุลาคม 2568) อาจารย์สืบสกุลชี้ว่ายังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังไม่มีการดำเนินการตรวจสอบสารโลหะหนักในผลผลิตข้าวนาปีกว่า 100,000 ไร่ ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญก่อนการเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้ การตรวจสอบสารปนเปื้อนของหน่วยงานรัฐยังจำกัดวงแคบเกินไป โดยครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย ทั้งที่ปัญหาแผ่ขยายไปยังจังหวัดเชียงใหม่ด้วย

ข้อเรียกร้องเชิงยุทธศาสตร์ หยุดนำเข้าแร่และเปิดโต๊ะเจรจาจีน

ในบรรดาข้อเสนอ 10 ข้อของภาคประชาชน มีประเด็นเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

  1. ยุติการนำเข้าแร่จากเมียนมา (ข้อ 5) เครือข่ายประชาชนเรียกร้องให้ ยุติการนำเข้าแร่ทุกชนิดจากเมียนมา จนกว่าผู้นำเข้าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าแร่ดังกล่าวไม่ได้มาจากเหมืองที่ก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำ ข้อเรียกร้องนี้มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น เมื่อรายงานจากสำนักงานศุลกากรภาค 3 เผยตัวเลขที่น่าฉงนว่า ในปี 2568 เอกชนไทยกว่า 40 ราย ได้นำเข้าสินแร่ผ่านด่านชายแดนภาคเหนือ 4 จังหวัด รวมมูลค่าสูงถึง 9,825.92 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 กว่า 7,714.31 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลกลางเมียนมาอ้างว่าไม่เคยอนุญาตให้มีการส่งออกแร่ในรัฐฉานเลย คำถามคือ แร่มูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นล้านบาทนี้มาจากเหมืองที่ก่อมลพิษข้ามพรมแดนหรือไม่ และผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องแสดงแหล่งกำเนิดที่ชัดเจน
  2. เจรจาระดับภูมิภาค (ข้อ 8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทย เปิดเวทีเจรจาอย่างเป็นทางการกับประเทศเมียนมาและจีน เพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศตระหนักและรับผิดชอบต่อมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศไทย

“ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน” เพื่อกดดันมหาอำนาจโลก

นักวิชาการหลายฝ่ายต่างชี้ตรงกันว่า กุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้อยู่ที่ ประเทศจีน เนื่องจากจีนครอบงำตลาดแร่หายากของโลกอย่างเบ็ดเสร็จ โดยเป็นผู้สกัดแร่แรร์เอิร์ธร้อยละ 60 และเป็นผู้แปรรูปหรือกลั่นแร่ขั้นสุดท้ายถึง ร้อยละ 87 ของปริมาณแรร์เอิร์ธทั่วโลก

มีการเสนอแนะให้รัฐบาลไทยใช้ ยุทธศาสตร์ย้อนรอยห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Traceability) เพื่อใช้เวทีการเจรจาระดับภูมิภาค เช่น การประชุมผู้นำความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Leaders’ Meeting) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ปลายปี 2568 นี้ ในการกดดันจีนให้ตรวจสอบความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานแร่หายากในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

แม้จีนจะปฏิเสธการเกี่ยวข้องโดยตรงในพื้นที่เหมืองที่ไร้การควบคุมของเมียนมา แต่ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์คือ แร่แรร์เอิร์ธจำนวนมหาศาลที่ถูกขุดจากเมียนมานั้น จำเป็นต้องถูกส่งกลับไปกลั่นขั้นสุดท้ายในประเทศจีน เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ยังไม่มีศักยภาพทางเทคนิคในการแปรรูปแร่ให้กลายเป็นออกไซด์ที่พร้อมใช้งานได้

ความพยายามของจีนในการกุมอำนาจในห่วงโซ่อุปทานนี้ถูกตอกย้ำด้วยการที่จีนประกาศห้ามการส่งออกเทคโนโลยีที่ใช้ในการแปรรูปแร่เหล่านี้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 การใช้ยุทธศาสตร์ที่แข็งกร้าวของไทยในการเรียกร้องให้จีนรับผิดชอบในฐานะผู้ครอบงำตลาด (concentration risk) จึงเป็นแนวทางเดียวที่จะปกป้องสิทธิของประชาชนในการมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี

บทสรุปและความเร่งด่วน

วิกฤตมลพิษเหมืองแร่หายากในเมียนมามิใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่เป็นโจทย์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ซึ่งตอกย้ำถึง “ด้านมืด” ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่โลกต้องพึ่งพา การทำเหมืองแบบไร้การควบคุมได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของรัฐกะฉิ่นให้กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปากท้องและสุขภาพของประชาชนในไทย

นางสาวเพียรพร ดีเทศ (ป้าใฝ่) ผู้อำนวยการองค์กรแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) ได้เตือนว่า สารโลหะหนักที่ปนเปื้อนในระบบนิเวศนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปี ในการย่อยสลายโดยธรรมชาติ หากรัฐบาลไทยยังคงประวิงเวลาในการดำเนินการตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ การตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมกว่าแสนไร่ และการเปิดเวทีเจรจาอย่างจริงจังกับเมียนมาและจีน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นต้นทุนที่สังคมไทยต้องแบกรับไปอีกหลายชั่วอายุคน และเป็นการยอมจำนนต่อภัยพิบัติข้ามพรมแดนที่คุกคามชีวิตคนหลายล้านคนในลุ่มน้ำโขง

การป้องกันการปนเปื้อนเพิ่มเติมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเหนือกว่าการแก้ไขเยียวยา โดยมีหลักฐานชวนคิดถึงความรุนแรงของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ เช่น โรงงานแปรรูปในเมืองเป่าโถวของจีน ที่สร้างมลพิษสะสมมาหลายสิบปี จนเกิดทะเลสาบตะกอนพิษขนาดใหญ่ และส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคทางเดินหายใจ บทเรียนเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นที่ไทยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเร่งด่วนที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Stimson Center
  • Mongabay
  • อาจารย์ ดร. สืบสกุล กิจนุกร
  •  เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง
  • สำนักงานศุลกากรภาค 3
  • United States Geological Survey (USGS)
  • องค์กร River & Rights (Pianporn Deetes)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตโขง! ชาวประมงหาปลาได้แต่ขายไม่ได้ วุฒิสภาชี้เร่งหาแม่งาน

เงาทมิฬใต้สายน้ำโขง เมื่อ ‘สร้อยมุกแห่งเอเชีย’ กลายเป็น ‘กับดักพิษ’ ข้ามแดน

เชียงราย, 20 กันยายน 2568 – สะเทือนใจ! ชาวประมงโขงเดือดร้อน ‘หาปลาได้แต่ขายไม่ได้’ ส่องภัยเขื่อนปากแบงเสี่ยงกลายเป็นอ่างกักพิษยักษ์ วุฒิสภาชี้วิกฤตข้ามพรมแดนต้องมี ‘แม่งาน’ ชาติแก้ปัญหาเร่งด่วน

ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้โลกเชื่อมต่อกันได้ในชั่วพริบตา แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อมต่อกันโดยไม่ได้รับเชิญก็คือ “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่กำลังคุกคามวิถีชีวิตของประชาชนไทยอย่างเงียบเสียงแต่รุนแรง

เมื่อสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นที่พึ่งของมหาอำนาจในอดีตและแหล่งอาหารของล้านชีวิตในปัจจุบัน กลับกลายเป็นตัวนำพาความตายและโรคภัยไข้เจ็บ แม่น้ำโขงและลูกน้ำกกที่เคยเป็น “สร้อยมุกแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” วันนี้หน้าตาเหมือนหนังสยองขวัญมากกว่าเรื่องเล่าในตำนาน

ล่าสุด วันที่ 20 กันยายน 2568 คณะกรรมการวุฒิสภาได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตนี้ ซึ่งเผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจทั้งในระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับภูมิภาค

สุสานน้ำ” ที่เคยเป็นสวรรค์ชาวประมง

นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานกรรมการธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา พร้อมด้วย น.ส.มณีรัฐ เขมะวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา และคณะทำงาน ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เมื่อเวลา 15.30 น. ในวันเดียวกัน

การพบปะในครั้งนี้มีชาวบ้านกว่า 20 คนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งสะท้อนความจริงที่เจ็บปวดเกี่ยวกับชุมชนที่เคยมีชีวิตติดแน่นกับแม่น้ำมาร่วมศตวรรษ

ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชนชาวประมงริมโขงเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ชาวบ้านบอกกับคณะกรรมการว่า ทุกวันนี้พวกเขายังคงสามารถลงเรือออกไปหาปลาในแม่น้ำได้เหมือนเดิม ปลายืนยังคงมี แต่ “ขายไม่ได้” เพราะไม่มีใครในท้องถิ่นกล้าซื้อปลาจากแหล่งน้ำที่ทุกคนรู้ดีว่าปนเปื้อนสารพิษ

สถานการณ์ประหลาดนี้ทำให้เรือประมงจำนวนมากต้องจอดเทียบท่าเป็นเวลานาน ชาวประมงหลายครอบครัวสูญเสียรายได้หลักที่พึ่งพาได้มาตลอดชีวิต ในขณะเดียวกัน ครอบครัวบางส่วนที่มีฐานะยากจนมากก็ต้องยอมเสี่ยงภัย โดยการนำปลาที่จับได้ไปขายให้กับพ่อค้าจากสปป.ลาวที่ยังคงเต็มใจซื้อ

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ดูแปลกประหลาดและสับสนยิ่งขึ้น คือการประชาสัมพันธ์จากหน่วยงานราชการจังหวัดที่เคยระบุว่า “ปลาในแม่น้ำสามารถนำไปประกอบอาหารได้ แต่ห้ามใช้น้ำในแม่น้ำ” ข้อความดังกล่าวสร้างความสับสนและลดความเชื่อมั่นของชาวบ้านต่อข้อมูลจากภาครัฐอย่างรุนแรง

การค้นหาต้นตอ เส้นทางสารพิษจากเมียนมา

ความจริงที่ชาวบ้านและหน่วยงานไทยต้องเผชิญคือ ต้นเหตุของปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงไม่ได้เกิดขึ้นในดินแดนไทย แต่มาจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในเขตต้นน้ำของประเทศเมียนมา

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ได้ให้ข้อมูลสำคัญแก่คณะกรรมการวุฒิสภาว่า การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเป็นทางการเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม่น้ำโขงบริเวณชายแดนไทย-ลาวมีการปนเปื้อนของสารหนู (อาร์เซนิก) และตัวอย่างน้ำที่เก็บได้ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมาพบความขุ่นผิดปกติและโลหะหนักที่มีความเข้มข้นสูง โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนของมลพิษจากการทำเหมืองแร่ต้นน้ำในรัฐฉานของเมียนมา

ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของกิจกรรมการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา ซึ่งตัวอย่างที่เก็บได้ใกล้ชายแดนเมียนมามากที่สุดแสดงระดับโลหะหนักสูงสุดและยืนยันว่าแหล่งปนเปื้อนมาจากต้นน้ำในรัฐฉาน

ตั้งแต่การรัฐประหารทหารในเมียนมาปี 2564 เหมืองแร่จำนวนมากได้เปิดขึ้นเพื่อทำเหมืองโลหะหายากที่ใช้ในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ของเสียเคมีไหลเข้าสู่ไทยโดยไม่ผ่านการกรอง ทำให้เกิดปัญหาผิวหนังและอาการเจ็บป่วยต่างๆ

สถิติที่น่าตกใจคือ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ประชาชนประมาณ 1,500 คนได้รวมตัวกันที่จังหวัดเชียงรายเพื่อเรียกร้องให้ปิดเหมืองผิดกฎหมายในเมียนมา ผู้ประท้วงได้ส่งจดหมายไปยังนายกรัฐมนตรีไทย ประธานาธิบดีจีน หัวหน้าคณะรัฐประหารเมียนมา และหัวหน้ากลุ่มติดอาวุธที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังกิจกรรมการทำเหมือง

เขื่อนปากแบง อ่างกักเก็บพิษแห่งอนาคต?

หากว่าปัญหามลพิษจากการทำเหมืองในเมียนมายังไม่เพียงพอ ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้คือ โครงการก่อสร้าง “เขื่อนปากแบง” ในแขวงอุดมไซ สปป.ลาว ที่อาจจะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคมนี้

เขื่อนปากแบงเป็นโครงการพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายหลักในดินแดนทางเหนือของลาว โครงการ run-of-river นี้มีกำลังการผลิต 912 เมกะวัตต์ และผลิตพลังงานเฉลี่ยปีละ 4,775 กิกะวัตต์ชั่วโมง ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 90 กิโลเมตร เขื่อนจะมีความสูงสูงสุด 64 เมตรและความยาวสันเขื่อน 896.70 เมตร

น.ส.เพียรพร ได้เตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการนี้ว่า หากมีการก่อสร้างเขื่อนแล้วเสร็จ เขื่อนปากแบงอาจกลายเป็น “อ่างกักเก็บสารพิษขนาดใหญ่” เนื่องจากจะทำให้สารปนเปื้อนที่ไหลมาจากต้นน้ำตกตะกอนและสะสมอยู่ในอ่างเก็บน้ำ กลายเป็นกับดักสารพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในวงกว้างกว่าเดิม

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า เขื่อนปากแบงคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2572 ในขณะที่เขื่อนหลวงพระบางคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2570

ตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เขื่อนปากแบงจะส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านทั้งหมด 26 หมู่บ้านใน 3 จังหวัด โดย 17 หมู่บ้านอยู่ในจังหวัดบ่อแก้ว ครอบครัวทั้งหมด 923 ครอบครัว หรือประมาณ 4,700 คนจะต้องย้ายถิ่นฐาน

น.ส.เพียรพรได้ยื่นหนังสือคัดค้านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขอให้พิจารณาชะลอการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากโครงการนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่อาจประเมินค่าความเสียหายไม่ได้ในอนาคต

วิกฤตการจัดการ เมื่อปัญหาใหญ่ไร้ “แม่งาน”

นายภานุวัฒน์ ศรีสุข ตัวแทนภาคประชาชนจากเชียงแสนได้ให้มุมมองที่สำคัญแก่คณะกรรมการวุฒิสภาว่า ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่เป็น “ปัญหาความมั่นคงชายแดน” ที่มีระดับความสำคัญไม่แพ้กับปัญหาความไม่สงบในภาคอีสานหรือภาคใต้

ปัญหาสำคัญที่นายภานุวัฒน์ชี้ให้เห็นคือ ความล้มเหลวในการจัดการระบบราชการที่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาเป็น “แม่งาน” ในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล คณะทำงานที่เคยตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาอาจจะถูกยุบไปพร้อมกับรัฐบาลชุดเก่า ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ข้อเรียกร้องของนายภานุวัฒน์จึงมุ่งไปที่การขอให้ “รัฐบาลใหม่” ยกระดับปัญหานี้ให้เป็นวาระเร่งด่วนระดับชาติ โดยขอให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับประชาชนชายแดนเข้ามากำกับดูแลอย่างจริงจัง และแต่งตั้ง “แม่งาน” ที่มีอำนาจและศักยภาพในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาดและยั่งยืน

มิติระหว่างประเทศ เมื่อปัญหาใหญ่กว่าที่คิด

ปัญหามลพิษในแม่น้ำโขงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับไทยเท่านั้น การตรวจพบสารหนูตามแนวชายแดนลาว-เมียนมา ยิ่งบ่งชี้ถึงแหล่งมลพิษข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อระบบแม่น้ำทั้งหมด คณะกรรมการแม่น้ำโขง (MRC) กำลังประสานงานกับหน่วยงานชาติต่างๆ เพื่อเสริมสร้างการติดตามตรวจสอบร่วมกันและการแบ่งปันข้อมูลในประเทศที่ได้รับผลกระทบ

ข้อมูลจากการประมงมากเกินไป การขุดทรายอย่างหนัก และมลพิษจากพลาสติกได้เพิ่มความเครียดให้กับแม่น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้นำมาซึ่งภัยแล้งที่ยาวนานและรุนแรงขึ้น รวมถึงน้ำท่วมที่คาดการณ์ไม่ได้ ระบบการประมงที่เคยพึ่งพาได้ เช่น อวนไดของกัมพูชา ปัจจุบันล้มเหลวในบางปี

บทบาทวุฒิสภา สู่การขับเคลื่อนระดับนโยบาย

การลงพื้นที่ของคณะกรรมการวุฒิสภาในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญหาในระดับชุมชนกำลังถูกยกระดับขึ้นสู่การพิจารณาในระดับนโยบายชาติ ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทหลักของวุฒิสภาในการเป็นตัวแทนของประชาชนในการตรวจสอบและผลักดันการแก้ไขปัญหา

จากข้อมูลที่คณะกรรมการวุฒิสภาได้รับจากชาวบ้าน ผู้เชี่ยวชาญ และตัวแทนภาคประชาชน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนตามกลไกของคณะกรรมการเพื่อให้ปัญหาที่ซับซ้อนนี้ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

การดำเนินการจะต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ตั้งแต่การปราบปรามการลักลอบนำเข้าสารเคมีและอุปกรณ์ทำเหมืองแร่หายากที่ชายแดน (ซึ่งมีรายงานว่ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ อ.เวียงแหง และ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่) ไปจนถึงการยกระดับการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการทำเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ และการพิจารณาผลกระทบจากโครงการเขื่อนในแม่น้ำโขง

ผลกระทับในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ปลาตัวเดียว

ปัญหาที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงและลูกน้ำกกไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะกับชาวประมงเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่หลายมิติ ได้แก่:

  • มิติเศรษฐกิจ: การสูญเสียรายได้จากการประมง การท่องเที่ยวลดลง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนโดยรวม
  • มิติสุขภาพ: ความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน และการใช้น้ำที่ไม่ปลอดภัย
  • มิติสังคม: การสูญเสียวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างชุมชน
  • มิติสิ่งแวดล้อม: ความเสียหายต่อระบบนิเวศแม่น้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ
  • มิติความมั่นคง: ปัญหาความตึงเครียดระหว่างประเทศและความไม่มั่นคงของชุมชนชายแดน

สู่อนาคตที่ยั่งยืน

การต่อสู้กับวิกฤตมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงจึงไม่ใช่เพียงการหาทางออกให้กับชาวประมงในวันนี้ แต่เป็นการวางรากฐานที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม อาชีพ และสุขภาพของประชาชนในภูมิภาคนี้อย่างยั่งยืนในอนาคต

คำถามสำคัญที่ต้องได้รับการตอบในไม่ช้าคือ รัฐบาลไทยจะสามารถกำหนด “แม่งาน” ที่มีประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหานี้ได้หรือไม่ และจะสามารถผลักดันให้เกิดการร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นอย่างไร

เสียงของชาวบ้านสบกกที่ได้รับการรับฟังโดยวุฒิสภาในวันที่ 20 กันยายนนี้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางยาวไกลที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้ การประสบความสำเร็จในภารกิจนี้จะไม่ใช่เพียงชัยชนะของคนไทยเท่านั้น แต่จะเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 21

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Al Jazeera – “Dangerous Mekong River pollution blamed on lawless mining in Myanmar”, August 2, 2025
  • Laotian Times – “Toxic Arsenic Contamination Spreads from Northern Thailand into the Mekong River”, June 12, 2025
  • Al Jazeera – “Satellite images show surge in rare earth mining in rebel-held Myanmar”, August 7,
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เวทีเชียงรายชำแหละวิกฤต “แรร์เอิร์ทข้ามพรมแดน” เตือนฟื้นฟูธรรมชาติกินเวลา 100 ปี

เวทีเชียงรายชำแหละวิกฤต “แรร์เอิร์ทข้ามพรมแดน” นักวิจัยคะฉิ่นเตือนฟื้นฟูธรรมชาติอาจกินเวลา 50–100 ปี แนะไทยเร่งตั้งการ์ด ตรวจน้ำ–คัดกรองแร่ และเปิดเจรจากลุ่มชาติพันธุ์

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 — ยามเย็นปลายฤดูฝน เม็ดฝนจางๆ เคล้าสายลมเหนือพัดผ่านลุ่มน้ำกก ผู้คนหลากวัยแน่นหอจัดแสดงของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย ศูนย์กลางศิลปะที่วันนี้กลายเป็น “เวทีนโยบายสาธารณะฉุกเฉิน” กับเสวนา จากคะฉิ่นถึงไทย: เหมืองแร่แรร์เอิร์ทกับผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม” ผู้ร่วมเสวนาครอบคลุมทั้งนักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมจากไทยและคะฉิ่น อาทิ นายธารา บัวคำศรี (Climate Connector), ผศ.ดร.นัทมน คงเจริญ (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่), ดร.สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์, ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง), Zung Ting และ Seng Li จาก Shaba Foundation (Kachin State)

แม้ชื่อเวทีจะเริ่มจาก “คะฉิ่น” ที่ดูห่างไกล แต่สารที่ส่งมาถึงชายแดนเหนือของไทยนั้นใกล้กว่าที่คิด—ใกล้เท่า สายน้ำเดียวกัน ที่ไหลจากสันเขาสูงลงสู่ แม่โขง–แม่กก–แม่รวก–แม่สาย ซึ่งบำรุงโลกทั้งการกินอยู่และเศรษฐกิจของเชียงราย

จุดตั้งต้นของสัญญาณเตือน “50–100 ปี” ไม่ใช่คำขู่ แต่คือเวลาฟื้นฟูระบบนิเวศ

ไฮไลท์ที่ทำให้ทั้งห้องเงียบงัน คือคำให้สัมภาษณ์ของ นาย Seng Li นักวิจัยชาวคะฉิ่นจาก Shaba Foundation ที่ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจาก การทำเหมืองแรร์เอิร์ท ในคะฉิ่นนั้น รุนแรงลึก ถึงขั้นที่ธรรมชาติอาจต้องใช้เวลา 50–100 ปี จึงจะฟื้นคืนสภาพใกล้เดิมได้ พร้อมเตือนว่า “หลายอย่างในคะฉิ่น สายเกินแก้ ไปแล้ว ไทยจึงต้อง ตื่นตัว ตั้งแต่วันนี้”

สารของเขาไม่ได้เป็นเพียง “เสียงจากต่างแดน” หากเป็นประสบการณ์ตรงจาก พื้นที่ต้นน้ำ ที่กำลังถูกไชทะลวงด้วยกระบวนการ ละลายชะแร่ในชั้นดิน (in-situ leaching) จนหน้าดินพรุน น้ำปนเปื้อน และภูเขากลายเป็นโพรง—ภาพที่สอดรับกับวิดีโอจากแรงงานเหมืองและภาพถ่ายดาวเทียมที่องค์กรสิทธิในรัฐฉานเผยแพร่เมื่อไม่นานนี้

ทำไมเรื่องคะฉิ่นจึง “ถึงเชียงราย” โยงสายธาร—โยงเศรษฐกิจ—โยงความมั่นคงมนุษย์

ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ขยายภาพให้เห็นความเชื่อมโยงทางภูมิศาสตร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้: เหมืองแรร์เอิร์ทในรัฐฉาน–คะฉิ่นจำนวนหนึ่งตั้งอยู่ บนลำน้ำสาขา ที่ไหลลงทั้ง สาละวิน และ โขง ก่อนแผ่ผลสะเทือนถึง เชียงราย–เชียงของ–เชียงแสน แน่นอนว่าการปนเปื้อนที่ต้นน้ำ ไม่จำเป็นต้องรุนแรงทันที แต่การสะสมซ้ำซากในฤดูฝน—โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดฝนหนักต่อเนื่อง—อาจทำให้ ตะกอน–โลหะหนัก เดินทางลงสู่ปลายน้ำได้

แม้ปัจจุบัน ข้อมูลการปนเปื้อนเชิงวิทยาศาสตร์บนสาขาแม่น้ำต้นทาง ยังต้องเร่งตรวจสอบอย่างเป็นระบบ แต่ดร.สืบสกุลชี้ว่า งานร่วมกับ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) พบ โลหะหนักในลำน้ำโขง แล้วในบางช่วงเวลา อีกทั้งเวทียังหยิบยกประเด็น “แร่–สินแร่ที่นำเข้าจากเมียนมา” ซึ่งไทยควรมีมาตรการ คัดกรองสารปนเปื้อน และ ตรวจสอบที่มา (traceability) เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้ แร่สกปรก” หลุดเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมของประเทศ

เบื้องลึกเหมืองแรร์เอิร์ทคะฉิ่น–ฉาน เมื่อภูเขาถูกฉีดสารเคมี และระบบอำนาจอ่อนต่อทุน

Zung Ting นักสิ่งแวดล้อมคะฉิ่นที่ทำงานภาคสนามมากว่า 20 ปี เล่าถึงจุดเปลี่ยนว่า หลัง จีนปรับนโยบายควบคุมผลกระทบสิ่งแวดล้อม ภายในประเทศ กิจการ “แรร์เอิร์ท” ส่วนหนึ่งจึง ย้ายฐาน มายังพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะหลัง รัฐประหารเมียนมา ปี 2564 กลไกกำกับดูแลอ่อนแรงลง ความเข้มข้นของการทำเหมือง พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคะฉิ่นคาดว่ามีเหมือง ราว 370 แห่ง หลายแห่งเป็น HREEs (แร่หายากหนัก) ที่มี มูลค่าและความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ สูง ใช้ผลิต แม่เหล็กถาวร–กังหันลม–อุปกรณ์ทหาร–อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง

ผลกระทบที่เห็นชัดและต่อเนื่อง ได้แก่

  • น้ำท่วม–ดินโคลนถล่ม ถี่ขึ้น เพราะโครงสร้างภูเขา “กลวงพรุน” จากการฉีดสารลงชั้นดิน
  • น้ำผิวดิน–น้ำใต้ดิน เปลี่ยนสีและคุณภาพ ชุมชน ขาดแคลนน้ำสะอาด บริโภค
  • ผู้คนเผชิญ โรคผิวหนัง และอาการผิดปกติทางสุขภาพเพิ่มขึ้น
  • ความมั่นคงทางอาหาร ถดถอย: จากเดิมที่ขายสมุนไพร–เครื่องเทศให้จีน กลับถูก ปิดรับซื้อ เมื่อกิจการเหมืองขยาย

ด้านโครงสร้างอำนาจ Seng Li ระบุว่า ปัจจุบันพื้นที่จำนวนมากอยู่ในการควบคุมของ KIO/KIA แต่ ธรรมาภิบาลเหมือง ยังอ่อน ทั้งกระบวนอนุญาตที่ ไม่โปร่งใส, การไม่ฟื้นฟูพื้นที่ หลังทำเหมือง, และข้อพิพาทแรงงานที่ เอนเอียงเข้าข้างทุน โดยเฉพาะทุนจีน เขาชี้ให้เห็น “ด้านสว่าง” เพียงเล็กน้อยว่า ช่องทางการเข้าถึงพื้นที่ของ นักวิชาการและสื่อ ยังพอเป็นไปได้—และควรถูกใช้เพื่อผลักดัน มาตรฐานสิ่งแวดล้อมขั้นต่ำ ที่วัดผลได้จริง

หลักฐานจากอวกาศ SHRF ชี้เหมือง 19 แห่งห่างโขง ~40 กม. ภายใต้ NDAA/เมืองลา เพิ่มพรวดใน 4 ปี

เสวนายังหยิบยกแถลงการณ์ล่าสุดของ Shan Human Rights Foundation (SHRF) ที่เผย ภาพถ่ายดาวเทียม (พ.ค. 2568) และวิดีโอจากแรงงานเหมือง ระบุการกระจายตัวของเหมืองแรร์เอิร์ท 19 แห่ง ในเขตควบคุมของ กองกำลังเมืองลา (NDAA) ใกล้ เมืองยอง ทางตะวันออกของรัฐฉาน ห่างแม่น้ำโขงเพียงราว 40 กิโลเมตร จากเดิมเมื่อ ต้นปี 2564 ตรวจพบบริเวณเดียวกัน เพียง 3 แห่ง (และทยอยร้าง) ปัจจุบันพบว่า 16 แห่งเดินเครื่อง และ อีก 3 แห่งกำลังก่อสร้าง ลักษณะเด่นคือ บ่อสกัดแร่เป็นวงแหวนซ้อน และ ท่อฉีดสารเคมี ลงเชิงเขา น้ำทิ้งจากเหมืองไหลผ่าน คลองน้ำนับ แม่น้ำโหลย (Lwe River) → แม่น้ำโขง ซึ่งหากประกอบกับฝนหนักต่อเนื่อง ก็ยิ่งเพิ่ม โอกาสพัดพาตะกอนปนเปื้อน ลงสู่ ระบบทางน้ำสายหลัก ได้

จากเวทีสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย “การ์ดไทย” ที่ทำได้ทันที

เสียงส่วนใหญ่ในเวทีสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า ไทยต้อง ยกระดับการเฝ้าระวังคุ้มกันความเสี่ยง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเร่งดำเนินการอย่างน้อย 4 แนวทางหลัก ดังนี้

  1. ตั้งเครือข่ายตรวจคุณภาพน้ำข้ามพรมแดนแบบต่อเนื่อง
    • กำหนด “จุดตรวจหลัก” บน แม่กก–แม่รวก–แม่สาย–แม่โขง ในเชียงราย (เช่น เชียงแสน–แม่สาย–แม่จัน) ตรวจ โลหะหนัก/สารหนู/ค่าความขุ่น เป็น รายสัปดาห์ ช่วงฤดูฝน และ รายเดือน ช่วงปกติ
    • แสดงผลผ่าน แดชบอร์ดสาธารณะ ให้ชุมชนประมง–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ประชาชนเข้าถึงแบบเรียลไทม์ สร้างความเชื่อมั่นด้วย ข้อมูลเปิด (open data)
  2. คัดกรอง “แร่–สินแร่” ขาเข้าที่ด่านเหนือ
    • เพิ่มขั้นตอน สุ่มตรวจสารปนเปื้อน ในสินแร่–วัตถุดิบที่ผ่านแดนเข้าสู่ไทย โดยเฉพาะสินค้าจำพวก หินดินทราย/ดินสกัด ที่เกี่ยวข้องกับวงจรผลิตแรร์เอิร์ท
    • จัดทำระบบ traceability ครอบคลุม ที่มา–เส้นทาง–ผู้ค้า และเชื่อม มาตรฐานสิ่งแวดล้อม–แรงงาน เพื่อกัน “แร่สกปรก” ออกจากห่วงโซ่อุตสาหกรรมไทย
  3. เปิดโต๊ะคุยกับ “ผู้ควบคุมพื้นที่จริง” ควบคู่รัฐบาลกลางเมียนมา
    • นอกเหนือจากช่องทางทวิภาคีกับรัฐบาลทหารเมียนมา ไทยควร หารือทางเทคนิค กับกลุ่มที่ควบคุมพื้นที่เหมือง เช่น KIO/KIA, NDAA/เมืองลา, และเครือข่ายชาติพันธุ์อื่นๆ เพื่อกำหนด มาตรฐานสิ่งแวดล้อมขั้นต่ำ–ขั้นตอนตรวจร่วม–ช่องทางร้องเรียน ที่ทำงานได้จริงในพื้นที่
  4. ตั้งการ์ดสาธารณสุข–เตือนภัยชุมชน
    • เมื่อพบสัญญาณผิดปกติ (สี–กลิ่น–ค่าความขุ่นของน้ำ, ปลา/สัตว์น้ำตายผิดธรรมชาติ) ให้ แจ้งเตือน งดจับ–งดบริโภคสัตว์น้ำชั่วคราว พร้อมจัดชุดแพทย์ คัดกรองโรคผิวหนัง–ระบบทางเดินอาหาร ลงพื้นที่
    • สนับสนุน ชุดทดสอบชุมชน สำหรับแกนนำท้องถิ่น และจัด งบฟื้นรายได้ ให้กลุ่มประมง–ท่องเที่ยว หากจำเป็นต้องออกประกาศงดกิจกรรมชั่วคราว

เชียงรายต้องระวัง “ตรงไหน–อย่างไร” ใน 3 เดือนข้างหน้า

  • จุดเสี่ยงธรรมชาติ: คลอง–ลำห้วยที่รับน้ำจากแนวป่าชายแดนซึ่งไหลลง แม่กก–แม่รวก–แม่สาย รวมถึง ตอนบนของแม่โขง ในเขตเชียงแสน/เชียงของ
  • สัญญาณเตือนเร็ว: น้ำเปลี่ยนเป็น เขียวใสผิดธรรมชาติ/ขุ่นจัด, มี ตะกอน–ฟอง มากผิดปกติ, พบ ปลาลอยหัว/ตาย เป็นหย่อม
  • สื่อสารชุมชน: ใช้เครือข่าย ผู้ใหญ่บ้าน–เทศบาล–อปพร. ส่งสัญญาณผ่าน ไลน์กลุ่ม/เสียงตามสาย และป้ายเตือนริมน้ำแบบ เข้าใจง่าย
  • ผู้ประกอบการริมน้ำ: แพ–ล่องเรือ–ร้านอาหาร ควรติดตามคำแนะนำจาก สาธารณสุขจังหวัด–สำนักสิ่งแวดล้อมภาค อย่างใกล้ชิด พร้อม ประกาศความปลอดภัย–มาตรการเฝ้าระวัง ต่อผู้ใช้บริการอย่างโปร่งใส

มิติภูมิรัฐศาสตร์ของ “แร่อนาคต” พลังงานสะอาดกับราคาที่ธรรมชาติต้องจ่าย

บทสนทนาในเวทีสะท้อนความย้อนแย้งของโลกยุคเปลี่ยนผ่านพลังงาน: โลกต้องการ แม่เหล็กถาวร–กังหันลม–รถไฟฟ้า มากขึ้น จึงต้องใช้ HREEs มากขึ้น แต่กระบวนการผลิตที่ ไม่รับผิดชอบ กลับผลัก ต้นทุนสิ่งแวดล้อม ไปที่สันเขาและชุมชนชายแดน หากไม่มี มาตรฐานสากล–แรงกดดันผู้ซื้อ–กลไกตรวจสอบแหล่งที่มา ก็เสมือนโลกกำลังขับ “การเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ด้วย วัตถุดิบสีเทา

Seng Li เน้นว่า ประเทศผู้นำเข้า—ทั้งรัฐและเอกชน—ควร ตรวจสอบต้นทาง ให้ชัดเจนก่อนซื้อ โดยยึด เกณฑ์สิ่งแวดล้อม–สิทธิมนุษยชน ที่ตรวจได้จริง ขณะที่ฝั่งไทยควร ยืนอยู่บนข้อมูล ที่เก็บเอง ตรวจเอง และเปิดเผยเอง ไม่ใช่รอเพียงรายงานจากภายนอก

ให้ “เชียงราย” เป็นต้นแบบการป้องกันความเสี่ยงข้ามพรมแดนของลุ่มน้ำโขง

ความจริงจากเวทีเชียงรายบอกเรา 3 ประการ

  1. ความเสี่ยงเป็นจริงและเพิ่มขึ้น: หลักฐานภาพถ่ายดาวเทียม–ภาคสนามชี้ว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ท ขยายเร็ว ใกล้แนวแม่น้ำโขง
  2. ผลกระทบลึกและยืดเยื้อ: หากปล่อยให้ธรรมชาติพัง “50–100 ปี” จะไม่ใช่คำคาดคะเน แต่นาฬิกานับถอยหลังของ รุ่นลูก–รุ่นหลาน
  3. ทางออกอยู่ที่การลงมือทำอย่างเป็นระบบ: ตรวจน้ำต่อเนื่อง–คัดกรองแร่ขาเข้า–เจรจากับผู้ควบคุมพื้นที่จริง–สร้างระบบเตือนภัยชุมชน

เชียงราย—เมืองชายแดนที่เชื่อมโลกด้วยสายน้ำ—ไม่ต้องรอให้ “ปัญหาเดินทางมาถึงประตูบ้าน” จึงค่อยเริ่มตั้งการ์ด หากเราเริ่มวันนี้ เมืองศิลป์–เมืองท่องเที่ยว–เมืองเกษตรคุณภาพแห่งนี้จะกลายเป็น ต้นแบบการจัดการความเสี่ยงข้ามพรมแดน ของทั้งลุ่มน้ำโขงได้จริง ไม่ใช่เพียงในหนังสือรายงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เหนือรับมือฝน! รองนายกฯ ประเสริฐ สั่งเข้มคุณภาพน้ำ-กันอุทกภัย

รองนายกรัฐมนตรี “ประเสริฐ” ลงพื้นที่ภาคเหนือ สั่งการเข้มทุกหน่วย แก้ปัญหาคุณภาพน้ำ-ป้องกันอุทกภัย ชูแผนบูรณาการข้ามจังหวัดและประชาสัมพันธ์โปร่งใส

เชียงใหม่, 16 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำและภัยพิบัติในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ภายใต้ความห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันมาตรการทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชนในหลายจังหวัดสำคัญ โดยเฉพาะเชียงราย เชียงใหม่ และลำพูน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของลุ่มน้ำภาคเหนือ

การประชุมติดตามสถานการณ์ – ผนึกกำลังวางแผนรับมือแบบรอบด้าน

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง และมาตรการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งสาม ได้แก่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร (เชียงใหม่) นายชรินทร์ ทองสุข (เชียงราย) และนายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ (ลำพูน) ร่วมรายงานสถานการณ์และแนวทางปฏิบัติ ผ่านการประชุม ณ สำนักงานชลประทานที่ 1 จ.เชียงใหม่

ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่ ได้ร่วมกันนำเสนอผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ แนวทางการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่อาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม–กันยายน ขณะที่ จ.ลำพูน อาจเผชิญน้ำท่วมในเดือนตุลาคม

ข้อสั่งการของรัฐบาล – ย้ำ “โปร่งใส ตรวจสอบได้ ดูแลประชาชนถึงรากหญ้า”

นายประเสริฐฯ ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ระบุชัดว่ารัฐบาลตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสารหนูและโลหะหนักที่ตรวจพบในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงสั่งการให้กรมควบคุมมลพิษร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในจุดเสี่ยง เผยแพร่ข้อมูลผลตรวจวัดคุณภาพน้ำและความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และต้องมีระบบเตือนภัยด้านคุณภาพน้ำที่รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์

นอกจากนี้ ให้กรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างครอบคลุม โดยเน้นการคัดกรองโรคจากสารหนูและโลหะหนัก พร้อมติดตามผลในระยะยาว ส่วนการประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้จัดเตรียมน้ำดื่มสะอาดสำรอง วางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบคุณภาพดี และพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเสี่ยงอย่างยั่งยืน

กรมทรัพยากรน้ำได้รับมอบหมายให้เร่งสำรวจ ออกแบบจุดชะลอน้ำและฝายดักตะกอนตามแผนงานเดิม โดยให้รับฟังเสียงประชาชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน และพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินแห่งใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการ ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และหน่วยงานท้องถิ่นต้องเร่งประเมินและเยียวยาผลกระทบทั้งในภาคเกษตรและการท่องเที่ยว พร้อมแนะแนวทางปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพสำหรับผู้ได้รับผลกระทบ

รับมือฝนใหญ่–แผนป้องกันอุทกภัยเต็มพิกัด

สทนช. คาดการณ์ฤดูฝนปีนี้ พื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่และเชียงราย จะมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนกันยายน ขณะที่ลำพูนจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องถึงตุลาคม รองนายกรัฐมนตรีประเสริฐ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดโครงการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำปิง และการก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมจัดเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร และระบบสนับสนุนเผชิญเหตุให้ทันต่อสถานการณ์น้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน

พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดบูรณาการข้อมูลและเร่งประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำแก่ประชาชนในพื้นที่แบบโปร่งใส ทั่วถึงและทันเหตุการณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เร่งตรวจสอบและลงพื้นที่–ประชาชนต้องได้รับผลลัพธ์ชัดเจน

หลังเสร็จสิ้นการประชุม รองนายกฯ ได้นำคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำปิง บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อตรวจประเมินประสิทธิภาพของมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากชุมชนท้องถิ่นโดยตรง

วิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำและอุทกภัยในภาคเหนือแบบองค์รวม ด้วยการผนึกกำลังหลายหน่วยงาน ขับเคลื่อนการบูรณาการนโยบายและข้อมูลทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลาง การประชาสัมพันธ์ที่โปร่งใส และการรับฟังประชาชนในทุกมิติ จะเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นใจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News