Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ครบรอบ 107 ปี จัดพิธีศักการะ เสริมสิริมงคล

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย ครบรอบ 107 ปี สะท้อนบทบาทสำคัญของกองทัพบกในพื้นที่ภาคเหนือ

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วย และรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติของการก่อตั้งหน่วย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มีนาคม 2568 โดยได้จัดพิธีล่วงหน้าในวันที่ 21 มีนาคม 2568 ณ พื้นที่ต่าง ๆ ภายในและโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย โดยมี พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

พิธีในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงคุณงามความดีของเหล่าทหารกล้าที่ได้อุทิศตนรับใช้ชาติ รวมถึงการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยและกำลังพลในสังกัด สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกองทัพกับประชาชนในพื้นที่

พิธีกรรมสำคัญตามลำดับเวลาสะท้อนรากฐานทางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์

พิธีในช่วงเช้าของวันที่ 21 มีนาคม 2568 ประกอบด้วยลำดับพิธีกรรมที่มีความหมายลึกซึ้งทางวัฒนธรรมและจิตใจ ดังนี้

  • เวลา 07.09 น. พิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ดอยเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของทหารและชาวเชียงราย
  • เวลา 08.00 น. พิธีบวงสรวง พ่อขุนเม็งรายมหาราช ณ พระตำหนักพ่อขุนเม็งรายฯ เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงราย
  • เวลา 08.29 น. พิธีบวงสรวง พระญามังรายมหาราช ณ หน้า บก.มทบ.37 เพื่อรำลึกถึงผู้นำผู้สร้างความมั่นคงให้แก่ดินแดนล้านนา
  • เวลา 10.09 น. พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน และเจริญพระพุทธมนต์ ณ อาคารอเนกประสงค์ มทบ.37 โดยมี พล.ท.ศุภอักษร สังประกุล เป็นประธานในพิธีทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียสละชีวิตในการปกป้องแผ่นดินไทย

พิธีเหล่านี้สะท้อนถึงความเคารพต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของสถาบันทหารบกในการดำรงความมั่นคงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจแก่สังคม

การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน

พิธีดังกล่าวได้รับเกียรติจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน อดีตผู้บังคับบัญชา หน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย สมาคมสื่อมวลชน และตัวแทนชุมชนโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ มทบ.37 ในฐานะองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่เคารพจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

การรวมตัวของผู้แทนจากหลายภาคส่วนในพิธีแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกองทัพบกกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งนับเป็นรากฐานที่มั่นคงของระบบความมั่นคงในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชายแดนและภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ

บทบาทของ มทบ.37 ในการสร้างความมั่นคงและสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น

มณฑลทหารบกที่ 37 ถือเป็นหนึ่งในหน่วยทหารสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีเขตรับผิดชอบหลักอยู่ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ

ภารกิจของ มทบ.37 ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการป้องกันประเทศ หากแต่รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤต การสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุข การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ และการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น การปลูกป่า สร้างฝายชะลอน้ำ การสนับสนุนการศึกษาผ่านโครงการจิตอาสา รวมถึงการร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ความเห็นเชิงกลาง: ความเชื่อมั่นและความคาดหวัง

ฝ่ายที่สนับสนุน บทบาทของ มทบ.37 มองว่ากองทัพบกโดยเฉพาะในระดับภูมิภาคมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพ ความสงบ และการพัฒนาท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีความเปราะบางทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ กองทัพสามารถเข้าไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงมีทรัพยากรบุคคลที่มีวินัยและสามารถปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์วิกฤตได้ดี

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่มีข้อกังวล ก็ได้แสดงความเห็นว่าบางกรณีการดำเนินงานของกองทัพอาจทับซ้อนกับหน้าที่ของหน่วยงานพลเรือน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาท้องถิ่น หรือโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้กองทัพเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานของกองทัพเป็นไปตามความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

ความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการถ่วงดุลอำนาจ การมีส่วนร่วม และการตรวจสอบซึ่งเป็นหลักธรรมาภิบาลที่ควรนำมาใช้ในการบริหารงานของทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรด้านความมั่นคงด้วย

สถิติและข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • มณฑลทหารบกที่ 37 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2461 และในปี พ.ศ. 2568 มีอายุครบรอบ 107 ปี
    ที่มา: กองทัพบกไทย, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก, รายงานประวัติการสถาปนาหน่วย
  • จังหวัดเชียงรายมีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านรวมระยะทางกว่า 283 กิโลเมตร
    ที่มา: กรมแผนที่ทหาร, รายงานเขตแดนประเทศไทย พ.ศ. 2566
  • กำลังพลในสังกัด มทบ.37 ณ ปีงบประมาณ 2567 มีประมาณ 1,200 นาย
    ที่มา: กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, รายงานสถานะกำลังพลประจำปี พ.ศ. 2567
  • โครงการจิตอาสาของ มทบ.37 ที่ดำเนินการต่อเนื่องในปี 2567 มีมากกว่า 50 โครงการครอบคลุม 9 อำเภอในเชียงราย
    ที่มา: ฝ่ายกิจการพลเรือน มทบ.37, รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37), กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, กรมแผนที่ทหาร, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 รับรองคุณภาพ รพ.ค่ายเม็งรายฯ ก้าวสู่มาตรฐานสากล

คุณภาพเยี่ยม! รพ.ค่ายเม็งรายฯ รับรองมาตรฐาน HA ปี 2568

กรุงเทพฯ, 18 มีนาคม 2568 – โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชเข้ารับรองคุณภาพสถานพยาบาลในงานประชุม HA National Forum ครั้งที่ 25 นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ HA National Forum ครั้งที่ 25 ของ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. พร้อมทั้งมอบประกาศนียบัตรการรับรองคุณภาพให้แก่สถานพยาบาลที่ผ่านการรับรอง 446 แห่ง และกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Building Quality and Safety Culture for the Future Sustainability” (สร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อความยั่งยืนในอนาคต)

ในเวลา 14.00 น. พ.อ.โกสินทร์ ชัยชำนาญ และ ตัวแทนทีมนำคุณภาพของโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ได้เข้ารับประกาศนียบัตรรับรองคุณภาพสถานพยาบาลประจำปี 2568 จาก นายเดชอิศม์ ขาวทอง และเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมทางวิชาการระดับประเทศภายใต้ธีม “Building Quality & Safety Culture for the Future Sustainability” โดยบรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

การเปลี่ยนแปลงของระบบสาธารณสุขและความสำคัญของมาตรฐาน HA

นายเดชอิศม์ ขาวทอง กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย อาทิ:

  • การเพิ่มขึ้นของประชากรและภาวะสังคมสูงวัย
  • จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น
  • ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลต่อระบบบริการสุขภาพ

จากปัจจัยเหล่านี้ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุขต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ และสามารถพัฒนาระบบสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคตได้

การรับรองมาตรฐาน HA และความสำคัญต่อระบบสุขภาพไทย

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อว่า ขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานคุณภาพ HA ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก The International Society for Quality in Health Care External Evaluation Association (ISQuaEEA) ตลอดจนมาตรฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น:

  • มาตรฐานระบบสุขภาพระดับอำเภอ
  • มาตรฐานศูนย์บริการสาธารณสุข
  • มาตรฐานสถานพยาบาลปฐมภูมิ

มาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูงสุด

สาระสำคัญของการประชุม HA National Forum ครั้งที่ 25

พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า การประชุมวิชาการในปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 21 มีนาคม 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อ:

  • สร้างการเรียนรู้และแรงบันดาลใจในการพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาล
  • เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์
  • ส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพในสถานพยาบาลทั่วประเทศ

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย:

  • การนำเสนอผลงานวิชาการจากสถานพยาบาลกว่า 900 เรื่อง โดยคัดเลือก 21 ผลงานเด่น แบ่งเป็น โปสเตอร์ 18 เรื่อง และ งานวิจัย 3 เรื่อง
  • การประชุมออนไลน์ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์จากทุกพื้นที่ได้เข้าร่วมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม และผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทย

มีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขจากหลายสาขาวิชาชีพเข้าร่วมกว่า 7,500 คน ได้แก่: แพทย์ ,ทันตแพทย์ ,พยาบาล,เภสัชกร ,นักกายภาพบำบัด, นักเทคนิคการแพทย์ ,นักรังสีการแพทย์,เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากทั้งภาครัฐและเอกชน

รวมถึงองค์กรวิชาชีพและภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดันคุณภาพสถานพยาบาลให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพสถานพยาบาลในประเทศไทย

ข้อมูลจาก สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) ปี 2567 ระบุว่า:

  • มีโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐาน HA จำนวน 1,243 แห่งทั่วประเทศ
  • มีสถานพยาบาลปฐมภูมิและศูนย์บริการสาธารณสุขที่ผ่านการรับรองกว่า 3,000 แห่ง
  • ร้อยละ 85 ของโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองมีอัตราการลดอุบัติการณ์ของความคลาดเคลื่อนทางการแพทย์ (Medical Errors) ลงอย่างมีนัยสำคัญ

สรุป

โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช (มทบ.37) ได้รับการรับรองคุณภาพสถานพยาบาลประจำปี 2568 ในงานประชุม HA National Forum ครั้งที่ 25 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่ส่งเสริมมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยของระบบบริการสุขภาพไทย การประชุมครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้สถานพยาบาลทั่วประเทศแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อพัฒนาโรงพยาบาลให้มีมาตรฐานสูงขึ้น นำไปสู่การสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.), 2567 ,ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงราย ช่วยเก็บข้าวโพด ลดรายจ่ายให้ประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกิจกรรมช่วยประชาชนเก็บข้าวโพด ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้

ทหารจิตอาสาเข้าช่วยเหลือเกษตรกรเชียงแสน

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน จัดกิจกรรม “ช่วยด้วยใจ ลดรายจ่าย สร้างรายได้” ด้วยการช่วยประชาชนเก็บข้าวโพดเพื่อใช้ทำอาหารสัตว์และเพื่อจำหน่าย ณ บ้านไร่ หมู่ 7 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ซึ่งนำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมกำลังพล เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือ ลดต้นทุนแรงงาน

หนึ่งในผู้ได้รับการช่วยเหลือคือ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง อายุ 73 ปี เจ้าของไร่ข้าวโพดพื้นที่กว่า 20 ไร่ ซึ่งทหารเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน และช่วยสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน กิจกรรมนี้ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนในพื้นที่

มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 15 คน ซึ่งต่างร่วมมือกันทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อสนับสนุนชุมชน

รณรงค์ลดปัญหาหมอกควันและไฟป่า

นอกจากการช่วยเก็บข้าวโพดแล้ว หน่วยทหารยังได้ ประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ให้กับประชาชน โดยให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” ซึ่งกำหนดห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อลดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่

แนวทางการลดปัญหาหมอกควันที่เผยแพร่ให้ประชาชน ได้แก่:

  • การไม่เผาขยะ ตอซังข้าว ข้าวโพด หญ้าแห้ง วัชพืช กิ่งไม้
  • การทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง
  • การทำแนวกันไฟในพื้นที่เพื่อลดการเกิดไฟป่า

ชุมชนซาบซึ้งในความช่วยเหลือของทหาร

ครอบครัวของ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง และชาวบ้านในพื้นที่ได้กล่าวขอบคุณทหารที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นที่พึ่งพาในทุกโอกาส การปฏิบัติงานครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดในตำบลแม่เงิน: กว่า 5,000 ไร่
  • อัตราการเผาทำลายวัชพืชในเชียงรายก่อนมีมาตรการควบคุม: มากกว่า 70%
  • ค่า PM 2.5 เฉลี่ยในช่วงเดือนมีนาคม 2567: สูงถึง 150 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • ค่า PM 2.5 หลังเริ่มมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา” ในปี 2567: ลดลงกว่า 35%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 / สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารสร้างฝายชะลอน้ำ เชียงรายยั่งยืน ตามรอยพ่อหลวง

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลสร้างฝายชะลอน้ำ เสริมความยั่งยืนให้ชุมชน

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 นำกำลังพลลงพื้นที่สร้างฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร ณ สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนและเสริมสร้างความสมดุลทางธรรมชาติ

ปฏิบัติการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แนวคิด “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” กำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ได้ร่วมแรงร่วมใจทำงานร่วมกับหัวหน้าสถานีพัฒนาการเกษตร เจ้าหน้าที่ และคนงานในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย โดยการสร้างฝายดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและป่าไม้

ลักษณะของฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร

ฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวรที่จัดสร้างในครั้งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวัสดุตามธรรมชาติและวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้มีความคงทน แข็งแรง และสามารถดูแลรักษาได้ง่าย เหมาะสมกับพื้นที่ต้นน้ำที่มีลักษณะคดเคี้ยวและลาดชันสูง โดยฝายจะช่วยชะลอการไหลของน้ำ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน และกักเก็บน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนตลอดทั้งปี

ประโยชน์ของฝายชะลอน้ำ

  • ชะลอความเร็วของน้ำ ลดความรุนแรงของน้ำหลากในฤดูฝน
  • แก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยช่วยกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง
  • ดักตะกอนหน้าดิน ลดการชะล้างดินจากต้นน้ำ
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ ช่วยให้ระบบนิเวศฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
  • เสริมสร้างความมั่นคงทางน้ำ ให้กับเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ

ปฏิบัติการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

การดำเนินโครงการนี้ยังเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แสดงถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและฝายชะลอน้ำ

  • จากข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำ พบว่าประเทศไทยมีการสร้างฝายชะลอน้ำไปแล้วกว่า 100,000 ฝาย ทั่วประเทศ
  • ฝายชะลอน้ำสามารถช่วยกักเก็บน้ำได้เฉลี่ย 50-100 ลูกบาศก์เมตร ต่อฝาย ขึ้นอยู่กับขนาดและพื้นที่
  • การสร้างฝายในพื้นที่ป่าต้นน้ำช่วยลดความเร็วของน้ำไหลลงได้ถึง 30-50% เมื่อเทียบกับพื้นที่ไม่มีฝาย
  • ชุมชนที่มีฝายชะลอน้ำสามารถลดปัญหาภัยแล้งได้มากถึง 40% จากสถิติของกรมชลประทาน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำของมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยบริหารจัดการน้ำ เพิ่มความมั่นคงทางน้ำ และส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไป นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสู้ภัยแล้ง! ทหารนำทีมช่วย ประชาชนขาดน้ำ

มทบ.37 เปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ปี 2568

บูรณาการช่วยเหลือประชาชน แก้ปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นระบบ

เชียงราย, 6 มีนาคม 2568 – ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 (ศบภ.มทบ.37) เปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี 2568 โดยมี พันเอก ไพโรจน์ ยะวิญชาญ รอง ผอ.ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37/รอง ผบ.ศบภ.มทบ.37 เป็นประธานในพิธี ณ สนามหน้าร้อย มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย

ระดมกำลังหลายภาคส่วน รับมือภัยแล้งปีนี้

การดำเนินโครงการในครั้งนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น

ผลกระทบจากภัยแล้งและแนวทางช่วยเหลือ

พันเอก ไพโรจน์ ยะวิญชาญ ระบุว่า สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้มีความรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนและปริมาณน้ำฝนลดลง ส่งผลให้หลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลเขตชลประทานและพื้นที่สูง การดำเนินโครงการในปีนี้จึงมีมาตรการเร่งด่วน ได้แก่:

  • การแจกจ่ายน้ำ ให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
  • การจัดตั้งจุดจ่ายน้ำ ในพื้นที่ที่ขาดแคลน
  • การสนับสนุนยานพาหนะและยุทโธปกรณ์ เพื่อขนส่งน้ำไปยังพื้นที่ทุรกันดาร

ดำเนินการต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือประชาชน

จากข้อมูลของ ศบภ.มทบ.37 ในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการแจกจ่ายน้ำให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งไปแล้วกว่า 95,000 ลิตร ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในหลายพื้นที่ โครงการในปี 2568 จะยังคงเน้นการช่วยเหลือที่รวดเร็วและทั่วถึง พร้อมกับการวางแผนระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับมือกับภัยแล้งในอนาคต

สถิติภัยแล้งในประเทศไทยและแนวโน้มอนาคต

ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2567 ปริมาณน้ำฝนลดลงจากค่าเฉลี่ยถึง 20% ส่งผลให้หลายพื้นที่มีระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำต่ำกว่าค่ามาตรฐาน การคาดการณ์ในปี 2568 ชี้ว่า ภัยแล้งอาจทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง

โครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” จึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ช่วยบรรเทาผลกระทบและสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ประชาชนสามารถรับมือกับภัยแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหาร-ป่าไม้เชียงราย ร่วมทำแนวกันไฟ ลด PM 2.5

มณฑลทหารบกที่ 37 บูรณาการร่วมทุกภาคส่วน ทำแนวกันไฟป้องกันไฟป่าในพื้นที่เชียงราย

ปฏิบัติการเชิงรุก ลดปัญหาหมอกควันและไฟป่า

เชียงราย, 3 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมมือกับ เจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย จัดกำลังพลดำเนินโครงการ ทำแนวกันไฟ ป้องกันไฟป่า” ณ สถานีพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกันไฟป่า ลดหมอกควัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เป็นปัญหาสำคัญในช่วงฤดูแล้ง

ประกาศมาตรการเข้มงวด ห้ามเผา 92 วัน ลดปัญหาหมอกควัน

จังหวัดเชียงรายได้ออกมาตรการ ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิดโดยเด็ดขาด” เป็นเวลา 92 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อควบคุมการเกิดไฟป่าและลดปัญหาหมอกควันในพื้นที่ โดยกำหนดให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันสร้างแนวป้องกันไฟป่า และรณรงค์ให้ประชาชนงดเว้นการเผาในที่โล่งทุกประเภท

ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและภาคประชาชน

การดำเนินโครงการในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย:

  • มณฑลทหารบกที่ 37 โดยมี ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดปฏิบัติงานประสานการคุ้มครองป้องกันชุมชน สถานีพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง นำกำลังพลจิตอาสาเข้าร่วม
  • สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย
  • ชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนที่ 313 กองกำลังผาเมือง
  • ศูนย์ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าเชียงราย
  • เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแม่เงิน
  • ปลัดอำเภอ หัวหน้ากลุ่มงานความมั่นคง อำเภอเชียงแสน
  • ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนบ้านธารทอง หมู่ 11

แนวป้องกันไฟป่าและมาตรการเพิ่มเติม

ในครั้งนี้ ทีมปฏิบัติการได้ร่วมกันสร้างแนวป้องกันไฟป่าขนาด 4 – 6 เมตร ความยาว ประมาณ 3 – 4 กิโลเมตร บริเวณพื้นที่ป่าทึบที่มีภูเขาสูงชัน และพื้นที่แนวเขตชายป่าที่ติดกับพื้นที่เกษตรของประชาชน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากการลักลอบเผาป่าเพื่อการเกษตร หรือการเผาเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการ ประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่งดเผาทุกชนิด พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างถูกวิธี เช่น การทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง แทนการเผา การแยกขยะ และ การเก็บกิ่งไม้ใบไม้เพื่อใช้ประโยชน์แทนการเผา เพื่อช่วยลดการเกิดไฟป่าในระยะยาว

ความสำคัญของแนวกันไฟในการป้องกันปัญหาหมอกควัน

แนวกันไฟเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันไฟป่าที่อาจลุกลามจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ช่วยลดความเสียหายต่อ ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และสุขภาพของประชาชน จากปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือของไทยในทุกปี

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่เห็นด้วยกับมาตรการห้ามเผาและทำแนวกันไฟ

  • เห็นว่าการดำเนินมาตรการห้ามเผาและการทำแนวกันไฟเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดปัญหาหมอกควันและป้องกันการเกิดไฟป่า
  • การเข้มงวดเรื่องการเผาเป็นแนวทางที่ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 และช่วยปกป้องสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
  • การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยทำให้มาตรการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ

ฝ่ายที่กังวลเกี่ยวกับมาตรการห้ามเผา

  • กังวลว่าการห้ามเผาโดยไม่มีมาตรการสนับสนุนทางเลือกที่เพียงพอ อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตร
  • การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเกินไป อาจส่งผลให้ประชาชนบางส่วนไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสะดวก
  • มาตรการเหล่านี้ต้องควบคู่ไปกับการให้ความรู้และการสนับสนุนทางเลือกที่เหมาะสมให้กับประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม:

  • จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ป่ารวมกว่า 4.7 ล้านไร่ คิดเป็น 67.4% ของพื้นที่จังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องได้รับการปกป้องจากไฟป่า
  • อัตราการเกิดไฟป่าในภาคเหนือในช่วงฤดูแล้งสูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2567 มี จุดความร้อน (Hotspots) กว่า 5,000 จุดทั่วภาคเหนือ โดย เชียงรายติดอันดับ 1 ใน 5 จังหวัดที่มีจุดความร้อนมากที่สุด
  • ค่า PM 2.5 ในภาคเหนือของไทยในช่วงฤดูแล้งมักเกินค่ามาตรฐานของ WHO ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
  • มาตรการห้ามเผา 92 วันของจังหวัดเชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดปัญหาหมอกควันและไฟป่าของรัฐบาล ที่มีการดำเนินการต่อเนื่องมาแล้วหลายปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมควบคุมมลพิษ/ กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงรายจิตอาสา บริจาคโลหิต 70 ล้านซีซี

มณฑลทหารบกที่ 37 นำกำลังพลจิตอาสาร่วมบริจาคโลหิต ในโครงการ “70 พรรษา 70 ล้านซีซี” เฉลิมพระเกียรติฯ

เชียงราย, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 นำกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในโครงการ “70 พรรษา 70 ล้านซีซี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ครบ 70 พรรษา 2 เมษายน 2568 โดยมีประชาชนและเจ้าหน้าที่ร่วมบริจาคโลหิตเป็นจำนวนมาก ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

จิตอาสาทหารบก ร่วมบรรเทาวิกฤตขาดแคลนโลหิต

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือของมณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมกำลังพลจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ซึ่งได้ร่วมมือกับ กิ่งกาชาดอำเภอเชียงแสน จัดกิจกรรมนี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมการบริจาคโลหิต และสนับสนุนคลังโลหิตให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด และผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องใช้โลหิตอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของ สภากาชาดไทย ปัจจุบันประเทศไทยยังคงประสบปัญหาการขาดแคลนโลหิต โดยเฉพาะกลุ่ม หมู่เลือดหายาก ซึ่งมีความจำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยหนัก การบริจาคโลหิตในโครงการนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมโลหิตให้ได้ 70 ล้านซีซี ทั่วประเทศ ตลอดปี 2568 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ และสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง

ความสำคัญของการบริจาคโลหิต

โลหิตถือเป็น ของขวัญแห่งชีวิต” ที่ไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ และจำเป็นต้องรับบริจาคจากประชาชนเท่านั้น โดยเฉลี่ยร่างกายมนุษย์มีโลหิตประมาณ 4.5-6 ลิตร และสามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน โดยที่ร่างกายสามารถสร้างโลหิตใหม่มาทดแทนได้ภายในเวลาไม่กี่วัน

การบริจาคโลหิตช่วยให้ร่างกายได้สร้างเซลล์โลหิตใหม่ ส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริจาค และยังเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นอีกด้วย ทั้งนี้ การบริจาคโลหิตในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่ช่วยสร้างคลังโลหิตสำรองให้กับ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โรงพยาบาลอำเภอเชียงแสน และโรงพยาบาลอื่นๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีความต้องการใช้โลหิตอย่างต่อเนื่อง

ประชาชนตอบรับเข้าร่วมบริจาคอย่างคับคั่ง

บรรยากาศการบริจาคโลหิตเป็นไปอย่างคึกคัก มีเจ้าหน้าที่จาก โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และทีมแพทย์จากสภากาชาดไทยให้คำแนะนำและดูแลประชาชนที่มาร่วมบริจาคอย่างใกล้ชิด โดยมีประชาชนเข้าร่วมบริจาคโลหิต กว่า 250 คน ซึ่งสามารถรวบรวมโลหิตได้มากกว่า 120,000 ซีซี ในวันเดียว

หนึ่งในผู้บริจาคโลหิต นางสาววิภาดา ชุ่มเย็น อายุ 32 ปี ชาวเชียงแสน กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ว่า
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้บริจาคโลหิต และรู้สึกภูมิใจมากที่ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการเลือด ฉันหวังว่าโลหิตที่ฉันบริจาคไปจะสามารถช่วยต่อชีวิตให้ใครสักคนได้”

ขณะที่ พันตรีสุชาติ นามวงศ์ หนึ่งในกำลังพลจิตอาสาที่เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า
ในฐานะทหาร เรามีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนทุกด้าน การบริจาคโลหิตก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่เราสามารถทำเพื่อสังคมได้ ผมขอเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมบริจาคโลหิต เพราะแค่ 1 ถุงเลือด ก็อาจช่วยชีวิตคนได้ถึง 3 คน”

แนวทางขยายโครงการบริจาคโลหิตต่อเนื่อง

หลังจากกิจกรรมในครั้งนี้ มณฑลทหารบกที่ 37 มีแผนที่จะร่วมมือกับ สภากาชาดไทย และ โรงพยาบาลในเครือข่าย เพื่อจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรณรงค์ให้ประชาชนบริจาคโลหิตเป็นประจำ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนโลหิตในโรงพยาบาล โดยมีเป้าหมายให้สามารถจัดหาปริมาณโลหิตให้เพียงพอสำหรับการรักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการบริจาคโลหิต

  • ประเทศไทย ต้องการโลหิตประมาณ 2.1 ล้านยูนิตต่อปี แต่มีปริมาณโลหิตที่ได้รับบริจาคเพียง 1.6 ล้านยูนิตต่อปี ทำให้ขาดแคลนอยู่ประมาณ 500,000 ยูนิตต่อปี
  • สภากาชาดไทยระบุว่า ประชาชนที่บริจาคโลหิตประจำมีเพียง 1.5% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่องค์การอนามัยโลกแนะนำที่ 3-5%
  • ในปี 2567 การบริจาคโลหิตทั่วประเทศลดลง ประมาณ 10% เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนและสถานการณ์โรคระบาด
  • ผู้ที่สามารถบริจาคโลหิตได้ต้องมีอายุระหว่าง 17-70 ปี น้ำหนักตัวมากกว่า 45 กิโลกรัม และมีสุขภาพแข็งแรง

สรุป

กิจกรรมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ช่วยเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองให้กับโรงพยาบาลและช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการเลือดฉุกเฉิน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งกำลังพลจิตอาสา หน่วยงานราชการ ประชาชน และภาคเอกชน เป็นตัวอย่างของการทำความดีเพื่อสังคมอย่างแท้จริง

มณฑลทหารบกที่ 37 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตเพื่อเป็น ผู้ให้แห่งชีวิต” และสร้างบุญกุศลร่วมกัน โดยสามารถบริจาคโลหิตได้ที่ โรงพยาบาลสภากาชาดไทย หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โทร. 1664 หรือเว็บไซต์ www.redcross.or.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกที่ 37 เข้มงวดป้องกันไฟป่า-หมอกควันในพื้นที่

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดชุดลาดตระเวนและประชาสัมพันธ์งดเผา ป้องกันปัญหาหมอกควันในเชียงราย

เชียงราย,10 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังชุดปฏิบัติการลาดตระเวน 3 ชุด ลงพื้นที่ในอำเภอแม่จันและอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องปรามการเผาป่า และประชาสัมพันธ์มาตรการงดเผาในที่โล่งของจังหวัดเชียงราย พร้อมให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5

การลาดตระเวนและประชาสัมพันธ์เชิงรุก

ชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทั้ง 3 ชุด ได้กระจายกำลังลงพื้นที่ในหมู่ที่ 13 และ 15 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน และหมู่ที่ 1 ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการลาดตระเวนในพื้นที่ป่า และพื้นที่เกษตรกรรมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการลักลอบเผาป่า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้พบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของไฟป่าและหมอกควัน รวมถึงประชาสัมพันธ์มาตรการงดเผาในที่โล่งของจังหวัดเชียงราย

มาตรการงดเผาในที่โล่งของจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศมาตรการงดเผาในที่โล่ง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ประจำปี 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ตั้งแต่บัดนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568: ห้ามเผาในที่โล่ง ยกเว้นกรณีที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อควบคุมปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยง
  • ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568: ห้ามเผาในที่โล่งทุกกรณีโดยเด็ดขาด

ความมุ่งมั่นของมณฑลทหารบกที่ 37 ในการแก้ไขปัญหาหมอกควัน

มณฑลทหารบกที่ 37 ยังคงเดินหน้าลาดตระเวนและสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันลดปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศในพื้นที่ โดย พล.ต. [ชื่อและยศ] ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ได้กล่าวว่า “ปัญหาหมอกควันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย กองทัพบกจึงมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มที่”

ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 37 เห็นว่า การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน จะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนทุกคน จึงขอความร่วมมือประชาชนในการงดเผาในที่โล่ง และแจ้งเบาะแสการลักลอบเผาป่าให้กับเจ้าหน้าที่

อนาคตของการแก้ไขปัญหาหมอกควันในเชียงราย

มณฑลทหารบกที่ 37 เชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะทำให้ปัญหาหมอกควันในจังหวัดเชียงรายลดลง และประชาชนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

“จากใจคนใต้ ถึงใจพี่น้องคนเหนือ” ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 เวลา 13.00 น. ที่อาคารปฏิบัติการไปรษณีย์เชียงราย โครงการ “จากใจคนใต้ ถึงใจพี่น้องคนเหนือ” ได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วนของชุมชนเขตเทศบาลเมืองคอหงส์ / นครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในการส่งมอบสิ่งของบริจาคเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยความร่วมมือจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) นำโดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์เชียงราย และกำลังพลจาก มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ร่วมกันรับของบริจาคเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

การบริจาคที่เริ่มต้นจากใจคนใต้

โครงการนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 31 สิงหาคม 2567 โดยความร่วมมือของหลายหน่วยงานในจังหวัดสงขลา เช่น สมาคมชุมชนสร้างสรรค์, สมาคมชาวเหนืออีสานจังหวัดสงขลา, ศูนย์การค้าไดอาน่าคอมเพล็กซ์ , เคแอนด์เคชุปเปอร์สโตร์ , สงขลาโฟกัส, นครเชียงรายนิวส์ , พะเยาน่าอยู่ ,ไปรษณีย์เขต9 , มูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้, โดยเป็นการเปิดโอกาสให้พี่น้องชาวใต้ร่วมบริจาคสิ่งของ ข้าวสาร อาหารแห้ง และสิ่งของจำเป็นต่างๆ การบริจาคครั้งนี้ไม่รับเงินบริจาค เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งของที่ได้รับจะส่งตรงไปยังผู้ที่ต้องการในทันที จุดรับบริจาคตั้งอยู่ที่ เคแอนด์เค ชุปเปอร์สโตร์ ถนนนวลแก้ว และ ลานจอดรถหน้าห้างไดอาน่า ถนนศรีภูวนารถ มีการรับบริจาคตั้งแต่เวลา 08.00 น. จนถึง 20.00 น.

การตอบรับจากชุมชนในสงขลาเป็นอย่างดี พี่น้องคนใต้ต่างนำสิ่งของมาร่วมบริจาคกันอย่างล้นหลาม ซึ่งของบริจาคเหล่านี้ได้ถูกจัดส่งมายังเชียงราย เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำอิง ซึ่งได้รับผลกระทบหนักจากน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนที่ทับถมในหลายหมู่บ้าน

สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงราย

ในช่วงต้นเดือนกันยายน 2567 หลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย เช่น อำเภอเทิง, อำเภอพญาเม็งราย, อำเภอขุนตาล, และ อำเภอเชียงของ ยังคงมีน้ำท่วมสูง แม้ระดับน้ำจะลดลงวันละประมาณ 10-15 เซนติเมตร แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังการมาของมวลน้ำรอบใหม่ที่คาดว่าจะถูกปล่อยมาจากกว๊านพะเยา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำอิง มวลน้ำดังกล่าวอาจจะทำให้สถานการณ์กลับมารุนแรงอีกครั้งในไม่ช้า

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำอิง ทางจังหวัดเชียงรายได้จัดการแจกถุงยังชีพและตั้งโรงครัวพระราชทานในหลายพื้นที่ พร้อมทั้งทำความสะอาดบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วม กรมชลประทานเองก็เร่งระบายน้ำจากแม่น้ำอิงลงสู่แม่น้ำโขงอย่างรวดเร็ว เพื่อคลี่คลายปัญหาที่ชาวบ้านประสบอยู่

การรับมอบสิ่งของบริจาคในเชียงราย

ทางด้านเชียงราย สิ่งของบริจาคจากโครงการ “จากใจคนใต้ ถึงใจพี่น้องคนเหนือ” ได้ถูกส่งมอบของบริจาคมายังทางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย เป็นผู้รับมอบสิ่งของและจัดสรรไปยังพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน

นอกจากทางส่วนกลางจังหวัดเชียงรายแล้ว ยังได้รับสิ่งเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง มอบให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมีนายกนก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย เป็นผู้ดูแลการรับมอบ นอกจากนี้ นางวรินทร ยานะนวล หัวหน้าฝ่ายสงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ประสบภัย กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมไปถึงนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย และเจ้าหน้าที่การกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ร่วมกันประสานงานเพื่อส่งมอบของบริจาคไปยังพื้นที่ประสบภัยที่ยังต้องการความช่วยเหลือ

การร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วน

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงานและภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์เชียงราย และกำลังพลจาก มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งการแจกจ่ายถุงยังชีพ การจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน และการประสานงานกับกรมชลประทานในการเร่งระบายน้ำเพื่อลดระดับน้ำท่วมในพื้นที่

การตอบสนองต่อวิกฤตน้ำท่วมในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของคนไทยจากทุกภูมิภาค พี่น้องคนใต้ที่ร่วมบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยเหลือพี่น้องภาคเหนือ และหน่วยงานต่างๆ ที่ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ โครงการ “จากใจคนใต้ ถึงใจพี่น้องคนเหนือ” นับเป็นตัวอย่างที่ดีของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยในการเผชิญกับภัยพิบัติ

ขอขอบคุณพี่น้องคนใต้

ทางสำนักข่าว นครเชียงรายนิวส์ ในฐานะสื่อท้องถื่นในการประสานงานโครงการ ขอขอบคุณพี่น้องชาวใต้ที่ได้ร่วมบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยเหลือพี่น้องภาคเหนือในครั้งนี้ โดยหวังว่าความร่วมมือเช่นนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยทั่วประเทศร่วมแรงร่วมใจกันในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามวิกฤต

โครงการ “จากใจคนใต้ ถึงใจพี่น้องคนเหนือ” จึงแสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยในการเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นจากภาคใต้หรือภาคเหนือ ล้วนมีส่วนช่วยให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ในภาวะที่ประเทศต้องเผชิญกับภัยพิบัติ ความสามัคคีจะทำให้เราสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างเข้มแข็ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

มทบ.37 เชียงรายเปิดโครงการ“ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง”

 

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2567 ที่สนามฝึกหน้ากองร้อยมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พันเอก รัตนสิทธิ์ แจ่มรัตนกุล รองเสนาธิการ มณฑลทหารบกที่ 37 เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี 2567 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยมีเครือข่ายหน่วยงานด้านบรรเทาสาธารณภัยในจังหวัดเชียงรายบูรณาการการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย เทศบาลนครเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย

 

พันเอก รัตนสิทธิ์ แจ่มรัตนกุล รองเสนาธิการ มณฑลทหารบกที่ 37 กล่าวว่า “ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมกับภาคส่วนราชการในพื้นที่ ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น จึงได้บูรณาการทรัพยากรและศักยภาพของแต่ละหน่วยงาน เพื่อเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน กองทัพบกได้มีนโยบายให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ตลอดจนมุ่งหวังในการแก้ไขปัญหา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และลดผลกระทบอันเกิดจากสถานการณ์ภัยแล้งให้กับพี่น้องประชาชน”
 
 
ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี 2567 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ได้มีการปล่อยแถวพาหนะรถยนต์บรรเทาสาธารณภัย อุปกรณ์ เครื่องมือบรรเทาสาธารณภัย กำลังพล เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาคีเครือข่ายศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 เป็นการแสดงออกถึงซึ่งความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้ง และประสบสาธารณภัยต่างๆในพื้นที่จังหวัดเชียงรายต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News