Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พลเอก ณัฐพล ตรวจเชียงราย! แนวกันน้ำแม่สายคืบ 93% พร้อมรับมือฝน

เชียงรายรับมือภัยพิบัติ! รัฐเร่งเดินหน้าแนวป้องกันน้ำหลากแม่สาย-แม่น้ำกก

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ติดตามการดำเนินงานโครงการป้องกันและลดผลกระทบจากดินโคลนถล่มและน้ำหลาก โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย ซึ่งประสบอุทกภัยใหญ่ในปี 2567

ประชาชนในพื้นที่ชุมชนถ้ำผาจม, บ้านไม้ลุงขน และเกาะลอย ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมแสดงความขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่เร่งสร้างแนวป้องกันแบบกึ่งถาวร เพื่อรองรับฤดูฝนปีนี้

แนวกันน้ำกึ่งถาวรแม่สาย คืบหน้าแล้ว 93.63%

พลเอก ณัฐพล ได้ตรวจสอบความคืบหน้าโครงการเสริมพนังป้องกันน้ำหลากบริเวณแม่น้ำสาย ระยะทางกว่า 2.3 กิโลเมตร ครอบคลุม 6 ชุมชน เขตแม่สาย โดยใช้โครงสร้างแบบผสมผสานระหว่างแนวกันน้ำเดิมและวัสดุก่อสร้างเสริมแรง

โครงการดังกล่าวคืบหน้าแล้วกว่า 93% และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์กลางเดือนกรกฎาคมนี้

ขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย เดินหน้าเต็มกำลัง 32 กิโลเมตร

อีกภารกิจหลักของกองทัพคือการขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย ตั้งแต่บ้านสบสาย ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ไปจนถึงบ้านวังลาว ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางกว่า 32 กิโลเมตร

แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ช่วง ได้แก่

  • กองทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบช่วงต้นทาง 14 กิโลเมตร
  • กรมการทหารช่างรับผิดชอบอีก 18 กิโลเมตร

ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วกว่า 81.67% คาดว่าจะเสร็จภายในวันที่ 21 กรกฎาคม

ตรวจแม่น้ำกก ชื่นชมความสำเร็จขุดลอกแล้วเสร็จ 100%

จากแม่สาย พลเอก ณัฐพล เดินทางต่อไปยังหาดเชียงราย อำเภอเมือง เพื่อตรวจโครงการขุดลอกแม่น้ำกก ซึ่งมีเป้าหมายลดความเสี่ยงน้ำท่วมและส่งเสริมภูมิทัศน์ท่องเที่ยว

งานขุดลอกดำเนินการแล้วเสร็จครบ 4 จุด รวมปริมาณดินขุดกว่า 189,108 ลูกบาศก์เมตร ใช้งบประมาณกว่า 12.1 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 55 วัน

ห่วงพื้นที่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ยังไม่ได้รับการจัดการ

แม้แม่น้ำกกจะขุดลอกแล้วเสร็จ แต่รัฐมนตรีช่วยฯ ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับจุดต้นน้ำและปลายน้ำที่ยังไม่มีการดำเนินการ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในภาพรวม

จึงได้สั่งการให้ประสานงานกับกระทรวงเกษตรและกระทรวงคมนาคม เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานในจุดที่ยังขาดการพัฒนา

รัฐเดินหน้าเตรียมรับมือฝนเดือนกันยายน

พลเอก ณัฐพล เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนรับมือฤดูฝน โดยเฉพาะเดือนกันยายนซึ่งคาดว่าอาจมีฝนตกหนักอีกครั้ง โดยร่วมมือระหว่างมณฑลทหารบกที่ 37 กับจังหวัดเชียงราย เพื่อบริหารจัดการและเตรียมแผนเผชิญเหตุอย่างมีระบบ

ยุทธศาสตร์เชิงรุกสู้ภัยธรรมชาติ

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การตรวจงาน แต่เป็นสัญญาณสำคัญของรัฐบาลต่อการบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

  1. ยกระดับมาตรการฉุกเฉินสู่โครงการระยะยาว

โครงการแนวกันน้ำแบบกึ่งถาวรถือเป็นระยะเร่งด่วน ในขณะที่แนวกันน้ำถาวรจะเริ่มก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2572 เพื่อสร้างความมั่นคงระยะยาว

  1. บูรณาการภาครัฐ-ท้องถิ่น-ทหาร

การทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพ, หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35, กรมการทหารช่าง และจังหวัดเชียงราย แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้น และประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว

  1. ความพร้อมของแผนสำรอง

แม้จะมีแผนหลักครบถ้วน แต่รัฐยังต้องวางแผนสำรอง และมีระบบเตือนภัยที่ทันสมัย เพื่อรับมือภัยธรรมชาติที่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ความมั่นใจของประชาชนขึ้นอยู่กับ “การลงมือทำ”

การลงพื้นที่ของ พลเอก ณัฐพล ไม่เพียงแต่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความจริงจังของภาครัฐ ที่ต้องการให้ทุกโครงการเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

ด้วยความคืบหน้าที่ชัดเจนของแต่ละโครงการ ชาวเชียงรายจึงเริ่มรู้สึกมั่นใจว่าจะสามารถผ่านพ้นฤดูฝนปีนี้ไปได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงกลาโหม
  • กรมการทหารช่าง
  • กองทัพภาคที่ 3
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กระทรวงคมนาคม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อุโมงค์ดอยหลวงเจาะทะลุฉลุย! เร็วกว่ากำหนด 19 เดือน ความหวังใหม่เชื่อมโลก

แสงแรกแห่งล้านนา” อุโมงค์ดอยหลวงทะลุฉลุย! รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ความหวังใหม่เชื่อมไทย-ลาว-จีน

เชียงราย, 8 กรกฎาคม 2568 – “ทะลุแล้ว…อีกหนึ่งความก้าวหน้า อีกขั้นของความสำเร็จ” เสียงแห่งความยินดีดังกึกก้องที่อุโมงค์ดอยหลวง จังหวัดเชียงราย หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เมื่อการเจาะทะลุ (Breakthrough) อุโมงค์ขนาดมหึมาได้สำเร็จก่อนกำหนดถึง 19 เดือน ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะทางวิศวกรรม แต่คือแสงแห่งความหวังที่จะฉายส่องอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือของไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

อุโมงค์ดอยหลวง สัญลักษณ์แห่งศักยภาพไทย ก้าวข้ามความท้าทายทางธรณีวิทยา

อุโมงค์ดอยหลวง ซึ่งมีความยาว 3,400 เมตร เป็นหนึ่งในสี่อุโมงค์หลักของโครงการรถไฟทางคู่สายเหนือเส้นใหม่นี้ การก่อสร้างถือเป็นงานวิศวกรรมที่มีความซับซ้อนสูง เนื่องจากภูมิประเทศและธรณีวิทยาบริเวณดังกล่าวเป็น หินภูเขาไฟและดินเหนียว ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคนิคขั้นสูงอย่าง Drill & Blast (เจาะและระเบิด) ร่วมกับการขุดด้วยเครื่องจักร (Excavator)

เดิมที การขุดเจาะและงานคอนกรีตภายในอุโมงค์ถูกประมาณการว่าจะใช้เวลาถึง 40 เดือน (3 ปี 4 เดือน) ทว่าด้วยศักยภาพของทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญชาวไทย รวมถึงการบริหารจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้งานนี้สำเร็จได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ถึง 19 เดือน ณ เดือนมิถุนายน 2568 ความคืบหน้าโดยรวมของงานก่อสร้างอุโมงค์ดอยหลวงอยู่ที่ประมาณ 54% ซึ่งเร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ 7%

“การเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงได้เร็วกว่ากำหนดถึง 19 เดือน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของบุคลากรไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจกต์” นายอธิรัฐ กะตังค์ หัวหน้าโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กล่าว “นี่คือสัญญาณที่ดีว่าโครงการจะสามารถเปิดให้บริการได้ตามกำหนดการในปี 2571 เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคเหนือสู่ประตูการค้ากับลาวและจีน”

นอกจากนี้ โครงการยังให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและมาตรฐานสากล โดยมีการเสริมกำแพงโครงเหล็กและผนังคอนกรีต ติดตั้งแผ่นกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม รวมถึงระบบระบายน้ำที่ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกอุโมงค์ มีการศึกษาแนวการไหลของน้ำเพื่อรองรับน้ำป่าในฤดูฝนอย่างละเอียด และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ยังมีการจัดสร้าง ทางเชื่อมฉุกเฉิน (Cross Passages) จำนวน 14 จุด สำหรับการอพยพตามมาตรฐานสากลในทุกๆ ระยะ 240 เมตร

ความคืบหน้าภาพรวมแม้มีอุปสรรคแต่เดินหน้าไม่หยุด

จากข้อมูลล่าสุด (ณ เดือนมกราคม 2568) โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งมีระยะทางรวม 323.1 กิโลเมตร และมูลค่าโครงการรวมกว่า 1.28 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากงบประมาณอนุมัติเบื้องต้น 85,845 ล้านบาท ในปี 2561) มีความคืบหน้าโดยรวมกว่า 25% แม้ว่า ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 กรมการขนส่งทางราง (ขร.) จะรายงานว่าภาพรวมโครงการยังล่าช้ากว่าแผนประมาณ 3.7% แต่ความสำเร็จในการเจาะอุโมงค์ดอยหลวงที่รวดเร็วกว่ากำหนดมาก แสดงให้เห็นถึงการเร่งรัดในงานโครงสร้างสำคัญที่มีความซับซ้อนสูง

สำหรับงานโครงสร้างสำคัญอื่นๆ:

  • อุโมงค์แม่กา (พะเยา): ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีความคืบหน้าประมาณ 17.8% และมีการจัดซ้อมแผนกรณีอุโมงค์ถล่มเพื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน
  • งานระบบราง: คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2569 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2571
  • สะพานและทางยกระดับ/ทางลอด: มีการนำเทคโนโลยีอย่าง Curved Precast Reinforced Concrete Railway Arch Culverts (BEBO) มาใช้ เพื่อความแข็งแรงและลดระยะเวลาการก่อสร้าง

ปมร้อนเวนคืนที่ดินโจทย์ใหญ่ที่ต้องคลี่คลาย

แม้การก่อสร้างจะคืบหน้าไปมาก แต่โครงการยังคงเผชิญกับประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การเวนคืนที่ดิน ซึ่งคืบหน้าไปกว่า 80% แล้ว แต่ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคที่ต้องมีการประชุมหารือเพื่อแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาหลักคือ ข้อร้องเรียนจากชาวบ้านเกี่ยวกับการประเมินค่าชดเชยที่ไม่เป็นธรรม โดยมีการเปรียบเทียบกับราคาการเวนคืนของกรมทางหลวงและโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการคิดราคา นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังได้ลงพื้นที่ประกาศเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์อสังหาริมทรัพย์ก่อนการเวนคืนในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่พอใจและความขัดแย้งในชุมชนได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ท้องถิ่น ให้ความเห็นว่า “การแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินที่เหลืออยู่ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากชุมชนในระยะยาว หากปัญหานี้ยังคงอยู่ อาจนำไปสู่ความล่าช้าในบางพื้นที่ ความท้าทายทางกฎหมาย และอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของโครงการ แม้ว่าการก่อสร้างทางกายภาพจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วในส่วนอื่นๆ ก็ตาม”

แสงสว่างทางเศรษฐกิจโอกาสมหาศาลสู่ล้านนาและภูมิภาค

โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ไม่ใช่แค่เส้นทางคมนาคม แต่คือ กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาคเหนือตอนบน ด้วยประโยชน์และโอกาสที่หลากหลาย

  • กระตุ้นการค้าชายแดนและโลจิสติกส์ เส้นทางนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงการค้าระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ จากไทยไปยัง สปป.ลาว, เมียนมา, และจีนตอนใต้ ผ่าน ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ ซึ่งเชื่อมต่อกับเส้นทางถนน R3A (เชียงของ-โม่ฮาน-คุนหมิง) และรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรของไทย
  • ฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามตลอดเส้นทาง รถไฟจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้าถึงภาคเหนือตอนบนได้สะดวกสบายขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิมและสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เกิดรายได้และการจ้างงานในท้องถิ่น
  • ลดต้นทุนและเพิ่มขีดแข่งขัน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้าระยะไกล ทำให้สินค้าไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาด E-commerce ขนาดใหญ่ของจีนได้ง่ายขึ้น
  • สร้างงานและกระจายรายได้ การก่อสร้างและการดำเนินงานโครงการจะสร้างงานและกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอย่างมหาศาล
  • โลจิสติกส์สีเขียว การขนส่งทางรางช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบการขนส่งอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนถึง 6 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เชิงกลยุทธ์ปูทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

เพื่อให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และสร้างประโยชน์สูงสุด รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องดำเนินงานเชิงรุกในหลายด้าน:

  1. เร่งรัดและแก้ไขปัญหาการก่อสร้าง วิเคราะห์ความล่าช้าเชิงลึกในแต่ละสัญญา และพิจารณากลไกแรงจูงใจหรือบทลงโทษผู้รับจ้าง เพื่อกระตุ้นให้งานเดินหน้าตามแผน รวมถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ
  2. จัดการปัญหาเวนคืนที่ดินอย่างเป็นธรรม จัดตั้งช่องทางการสื่อสารที่โปร่งใสกับชุมชน ทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินค่าชดเชยให้สอดคล้องกับราคาตลาด และจัดทำแผนการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับผู้ได้รับผลกระทบอย่างครอบคลุม
  3. พัฒนาระบบป้องกันภัยธรรมชาติที่ยั่งยืน เร่งนำมาตรฐานระบบระบายน้ำและมาตรการลดความเสี่ยงภัยในระบบรางไปปฏิบัติใช้ ติดตั้งระบบ “DRT Alert” เพื่อแจ้งเตือนภัยพิบัติ และจัดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ
  4. ส่งเสริมการเชื่อมโยงโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเสริม เช่น ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ (Dry Port) ผลักดันการเจรจาและประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลในห่วงโซ่อุปทาน
  5. เตรียมความพร้อมของภาคส่วนในพื้นที่ หน่วยงานท้องถิ่นควรจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟ ส่งเสริมการท่องเที่ยวรอง พัฒนาทักษะแรงงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นในการปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ความสำเร็จของการเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงเป็นเพียง “แสงแรก” ที่ส่องนำทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองของภาคเหนือ การสานต่อโครงการให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมกับการแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอย่างเป็นธรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงไทยสู่เวทีโลกได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • ธนารักษ์พื้นที่เชียงราย
  • TEAM GROUP
  • ผู้รับจ้างโครงการ: กิจการร่วมค้า ไอทีดี-เนาวรัตน์, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 2, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง MOU ยกระดับจัดการสาธารณภัย สร้างความปลอดภัยยั่งยืน

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง! ลงนาม MOU บูรณาการการจัดการสาธารณภัย ยกระดับความปลอดภัยให้ชาวเชียงราย

ก้าวย่างใหม่ของระบบป้องกันภัยพิบัติในเชียงราย

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – ในบรรยากาศของวันฝนพรำที่แฝงไว้ด้วยความหวัง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้เกิดปรากฏการณ์สำคัญที่สั่นสะเทือนวงการบริหารท้องถิ่น นั่นคือ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการบูรณาการการบริหารจัดการสาธารณภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในวันนี้ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่คือการเริ่มต้นของยุคใหม่ในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า “เชียงรายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

จากโต๊ะประชุมสู่ความร่วมมือในภาคสนาม

จุดเริ่มต้นของ MOU ฉบับนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการและฝึกซ้อม Table-Top Exercise (TTX) เพื่อจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินและเสริมสร้างทักษะการรับมือภัยพิบัติ โดยมีผู้เข้าร่วมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การแลกเปลี่ยนความรู้ การจำลองสถานการณ์ และการฝึกตัดสินใจภายใต้ความกดดัน ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าความร่วมมือแบบบูรณาการคือหัวใจสำคัญ

บรรยากาศของการประชุม TTX เปรียบเสมือน “สนามซ้อมรบ” ให้ทุกหน่วยงานได้ทดสอบความพร้อมและประสานงานจริง ตั้งแต่การเตรียมแผน การระดมทรัพยากร ไปจนถึงการตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ประสบการณ์ที่ได้ถูกนำมาต่อยอดเป็น MOU ฉบับประวัติศาสตร์ในวันนี้

ทีมเชียงราย” บนเส้นทางความปลอดภัย

การลงนาม MOU ฉบับนี้ เป็นการรวมตัวของพันธมิตรหลักในระบบการบริหารสาธารณภัยของจังหวัดเชียงราย ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ. 37)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)

การหลอมรวมศักยภาพและทรัพยากรจากทุกหน่วยงาน ทำให้ระบบป้องกันภัยพิบัติของจังหวัดมีความแข็งแกร่งรอบด้าน ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมเชิงรุก การเฝ้าระวัง การสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังเกิดภัย

อบจ.เชียงราย แกนกลางของระบบความปลอดภัย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เน้นย้ำบทบาทขององค์กรว่า “อบจ.เชียงราย คือศูนย์กลางประสานงานและขับเคลื่อนการบูรณาการทรัพยากรเพื่อประชาชน” โดยเป้าหมายคือการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนเชียงรายมีภูมิคุ้มกันภัยพิบัติทุกรูปแบบ ผ่านการสนับสนุนบุคลากร อุปกรณ์ และการฝึกอบรมต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

นายก อบจ.เชียงราย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การจัดการภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องของ ‘หน่วยใดหน่วยหนึ่ง’ แต่เป็นภารกิจของ ‘ทุกคน’ ที่ต้องทำงานเป็นทีมอย่างแท้จริง”

มิติของความร่วมมือบูรณาการสู่มาตรฐานระดับชาติ

สาระสำคัญของ MOU ฉบับนี้ ครอบคลุมมิติหลัก ดังนี้

  1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลและบทเรียน
    การแบ่งปันข้อมูลสภาพอากาศ แนวโน้มภัยพิบัติ และประสบการณ์รับมือในอดีต จะทำให้ทุกฝ่ายวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
  2. การสนับสนุนกำลังพลและเครื่องมือ
    บูรณาการบุคลากร ยานพาหนะ อุปกรณ์กู้ภัย และเครื่องมือสื่อสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  3. การพัฒนาศักยภาพบุคลากร
    จัดฝึกอบรม สัมมนา และฝึกซ้อมร่วมกันเป็นประจำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยมีทักษะและความเชี่ยวชาญที่ทันต่อเหตุการณ์
  4. กลไกการประสานงาน
    สร้างระบบประสานงานและการตัดสินใจที่รวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อน และทำให้การตอบสนองต่อภัยพิบัติมีประสิทธิภาพสูงสุด

ผลลัพธ์ของความร่วมมือจะทำให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบ ลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

วิเคราะห์ผลลัพธ์และก้าวต่อไป

การลงนาม MOU ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ สู่การบริหารจัดการที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลที่คาดหวังในระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่

  • ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย: ระบบเตือนภัยและแผนรับมือภัยพิบัติจะมีความชัดเจน รวดเร็ว และเทียบเท่ามาตรฐานสากล
  • สร้างความมั่นใจให้ประชาชน: ประชาชนเชียงรายจะใช้ชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้น ทราบวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติและได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
  • พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น: การอบรมและฝึกซ้อมร่วมกันจะเสริมสร้างความรู้ความสามารถให้เจ้าหน้าที่ในทุกระดับ
  • ลดผลกระทบและความสูญเสีย: การประสานงานที่ดีจะช่วยลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ต้นแบบความร่วมมือ: เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบในการจัดการสาธารณภัยของประเทศ

ในอนาคต เราจะได้เห็นโครงการอบรมร่วม การพัฒนาเทคโนโลยีเตือนภัยอัจฉริยะ และแผนเผชิญเหตุใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายปลอดภัย มั่นใจ สู่อนาคตที่เข้มแข็ง

“เชียงรายจะเป็นจังหวัดที่ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจ ปลอดภัยจากภัยพิบัติ และพร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์” คือวิสัยทัศน์ใหม่ที่เกิดจากความร่วมมือในวันนี้

การลงนาม MOU ไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นการเริ่มต้นของระบบความปลอดภัยที่บูรณาการอย่างแท้จริง “เชียงรายโมเดล” กำลังถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่น ๆ ได้เรียนรู้และนำไปปรับใช้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • รายงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 จัด Open House ทหารใหม่

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกิจกรรม “เปิดบ้านทหารใหม่ Open House” เชื่อมสายใยครอบครัว – ทหาร – สังคม เสริมศักยภาพกองทัพแห่งอนาคต

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จังหวัดเชียงราย เปิดบ้านต้อนรับครอบครัวทหารใหม่ในกิจกรรม “เปิดบ้านทหารใหม่ Open House” เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ณ สนามฝึกหน้ากองร้อย มทบ.37 โดยมี พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการ มทบ.37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมเป็นเจ้าภาพ ถ่ายทอดความอบอุ่น ความภาคภูมิใจ และการมีส่วนร่วมของครอบครัวในเส้นทางของชายชาติทหาร

 

เปิดบ้านครั้งนี้ไม่ใช่แค่พิธี แต่คือการ “สื่อสารใจ” ระหว่างครอบครัวกับกองทัพ

ภายใต้แนวนโยบายของผู้บัญชาการทหารบกที่มุ่งให้กองทัพเป็นที่พึ่งของประชาชนและยึดโยงกับสังคม “กิจกรรมเปิดบ้านทหารใหม่” จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ แต่คือพื้นที่ที่เปิดให้ครอบครัวของทหารใหม่ ได้มาสัมผัสชีวิตและวิถีของกองทัพด้วยสายตาตนเอง

เนื่องในโอกาสวันเสร็จสิ้นการฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 1/2568 การเปิดบ้านครั้งนี้ไม่เพียงต้อนรับครอบครัวและญาติพี่น้องของทหารใหม่ แต่ยังต้อนรับประชาชนทั่วไปให้เข้ามามีส่วนร่วมกับบทบาทของกองทัพบกในสังคมผ่านกิจกรรมหลากหลายที่ผสานทั้งความรู้ ความสนุก และการเรียนรู้ด้านทหารอย่างรอบด้าน

 

โชว์ศักยภาพทหารใหม่ – ผสมผสานมิติฝึกวินัยและความเป็นคน

บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างคึกคัก โดยเริ่มจากการนำเสนอผลการฝึกของทหารใหม่ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่น ความอดทน และระเบียบวินัย ผ่านการแสดง 3 ชุดหลัก ได้แก่

  • การยิงปืนฉับพลัน
  • การแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  • การร้องเพลงประสานเสียง “เพื่อผืนดินไทย”

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงของหมวดดุริยางค์มณฑลทหารบกที่ 37 การสาธิตยุทโธปกรณ์ การแสดงของชุด Robocop และทหารสารวัตรที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ของทหารในทุกสถานการณ์

 

สานสัมพันธ์ครอบครัว – เปิดมุมมองใหม่สู่ “ชีวิตทหาร”

สิ่งที่โดดเด่นในงานนี้ คือกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ครอบครัวได้ร่วมเยี่ยมชมหน่วยงานต่าง ๆ เช่น โครงการทหารพันธุ์ดี นิทรรศการวิถีชีวิตและวิชาชีพของทหารใหม่ เช่น การซ่อมจักรยานยนต์ งานช่าง การเกษตร ตลอดจนบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมาคมแม่บ้านทหารบกฯ

นอกจากนี้ยังมีบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช และครัวสนามที่เปิดให้ครอบครัวร่วมรับประทานอาหารกับบุตรหลานทหารใหม่ สะท้อนถึงความเอาใจใส่ในมิติด้านสุขภาพและสังคมที่กองทัพบกได้เตรียมไว้

 

ปลายทางไม่ใช่แค่การฝึกสำเร็จ แต่คือการเติบโตเป็น “พลเมืองดีของชาติ”

เสียงสะท้อนจากผู้ปกครองจำนวนมากให้ความเห็นตรงกันว่า บุตรหลานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ โดยเฉพาะการมีระเบียบวินัย ความอดทน การรู้จักกตัญญู และการเสียสละเพื่อส่วนรวม

หนึ่งในผู้ปกครองกล่าวว่า “สิ่งที่ลูกชายได้จากกองทัพ ไม่ใช่แค่กล้ามแขนหรือความแข็งแรง แต่คือความเป็นผู้ใหญ่ รู้หน้าที่ รู้คุณพ่อแม่ และมองชีวิตด้วยมุมใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้น”

 

กองทัพไทยในศตวรรษที่ 21 – ทหารกับบทบาทใหม่ในสังคมประชาธิปไตย

กิจกรรม “Open House” ครั้งนี้ สะท้อนทิศทางใหม่ของกองทัพไทยที่ต้องการลดช่องว่างระหว่างหน่วยทหารกับประชาชน และเน้นการมีส่วนร่วมกับสังคมอย่างเป็นระบบ ผ่านการเปิดบ้าน พัฒนาโครงการร่วมกับชุมชน และสร้างภาพลักษณ์ของกองทัพที่ยึดโยงกับสันติภาพ ความมั่นคง และมนุษยธรรม

จากงานที่ดูเหมือนเล็กในพื้นที่หนึ่งของเชียงราย กลับมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาแนวคิดกองทัพไทยให้ “รับใช้ประชาชน” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองประชาสัมพันธ์ มณฑลทหารบกที่ 37
  • สมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา มทบ.37
  • โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 มอบกายอุปกรณ์เสริมทหารผ่านศึกเชียงราย

มทบ.37 ส่งมอบกายอุปกรณ์เสริมและเทียม แก่ทหารผ่านศึกพิการเชียงราย-พะเยา เสริมคุณภาพชีวิตด้วยบริการทางการแพทย์ครบวงจร

เชียงราย, 4 กรกฎาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เดินหน้าเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีให้กับทหารผ่านศึกพิการในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพะเยา ผ่านภารกิจ “มอบกายอุปกรณ์เสริมและเทียม” ที่ศาลาอเนกประสงค์ สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย โดยมีพลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการ มทบ.37 ในฐานะหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย เป็นประธานในพิธีครั้งนี้

ภายในงานได้รับเกียรติจาก แพทย์หญิงจิตติมา ปรีชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และ นางมณธิยา กำจาย รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากกองออร์โธปิดิกส์และกายอุปกรณ์โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ร่วมลงพื้นที่ปฏิบัติหน้าที่ภาคสนาม จัดตั้งหน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่อให้บริการตรวจประเมินและจัดทำกายอุปกรณ์เสริมและเทียมแก่ทหารผ่านศึกอย่างครบวงจร

เดินหน้านโยบาย “เข้าถึง-ทั่วถึง-อุ่นใจ” สู่ทหารผ่านศึกทุกพื้นที่

ภารกิจในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสำคัญจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ที่เน้นการดูแลแบบเชิงรุก โดยนำหน่วยแพทย์ หน่วยทันตกรรม หน่วยกายภาพบำบัด และหน่วยจัดทำกายอุปกรณ์เคลื่อนที่ ออกให้บริการถึงท้องถิ่น เพื่อให้ทหารผ่านศึกและครอบครัวในพื้นที่ห่างไกลได้รับการดูแลสุขภาพอย่างทั่วถึงทั้งการตรวจรักษาโรคทั่วไป โรคกระดูกและข้อ บริการทันตกรรม ตลอดจนการให้ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ช่วยเหลือความพิการและฟื้นฟูสมรรถภาพ

ในการให้บริการครั้งนี้ มีทหารผ่านศึกและครอบครัวเข้ารับบริการทั้งสิ้น 83 ราย แบ่งเป็นผู้ที่มารับคำปรึกษาและประเมินด้านกายอุปกรณ์เสริมและเทียม 16 ราย และผู้ที่ได้รับการสงเคราะห์กายอุปกรณ์แล้ว 67 ราย โดยอุปกรณ์ที่มอบให้ในครั้งนี้มีทั้งขาเทียมใต้เข่าแบบแกนในใช้กับฝ่าเท้าวิจัย S-pace จำนวน 5 ข้าง, ขาเทียมใต้เข่าแบบแกนใน 25 ข้าง, ขาเทียมเหนือเข่าแบบแกนใน 6 ข้าง, รถเข็นสำหรับผู้พิการ 9 คัน รวมถึงอุปกรณ์เสริมและเครื่องช่วยความพิการอื่น ๆ ที่จำเป็นเฉพาะบุคคล

กำลังใจ–ความห่วงใย” ที่ส่งถึงคนกล้า

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ กล่าวในพิธีว่า “ทหารผ่านศึกทุกคน คือผู้เสียสละที่ควรได้รับการดูแลอย่างสมศักดิ์ศรี กายอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ส่งมอบในวันนี้ไม่ใช่แค่เครื่องมือทางกายภาพ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของกำลังใจและความห่วงใยจากกองทัพ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก และองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราตั้งใจให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระและเข้มแข็งในสังคม”

การแพทย์ครบวงจรถึงพื้นที่ – ฟื้นฟูสุขภาพ-จิตใจ-สังคม

กิจกรรมครั้งนี้ตอกย้ำพันธกิจขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกและโรงพยาบาลทหารผ่านศึกที่พร้อมลงพื้นที่ทำงานร่วมกับชุมชน โดยเน้นการฟื้นฟูทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ด้วยการให้ความรู้ในการดูแลตนเอง การฝึกกายภาพบำบัด การประเมินความต้องการเฉพาะด้าน รวมถึงการให้คำแนะนำด้านสิทธิประโยชน์เพื่อเข้าถึงการรักษาและความช่วยเหลือต่อเนื่อง

ผู้รับกายอุปกรณ์ในวันนี้ต่างแสดงความซาบซึ้งในน้ำใจและความห่วงใยจากทุกภาคส่วน มีเสียงสะท้อนจากครอบครัวทหารผ่านศึกหลายรายว่า อุปกรณ์ที่ได้รับช่วยให้ผู้พิการสามารถกลับมาเคลื่อนไหวและมีชีวิตที่มั่นใจอีกครั้ง

วิเคราะห์ความสำคัญ–การขยายผลในอนาคต

การจัดกิจกรรมมอบกายอุปกรณ์และบริการทางการแพทย์เชิงรุกในพื้นที่ห่างไกล ไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตทหารผ่านศึก แต่ยังสะท้อนถึงการขับเคลื่อนนโยบายรัฐในการสร้างสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตลอดจนเป็นต้นแบบความร่วมมือข้ามหน่วยงานทั้งด้านสาธารณสุข สังคมสงเคราะห์ และชุมชนในพื้นที่

อนาคต การดำเนินโครงการในลักษณะนี้จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ตามจำนวนผู้พิการสูงวัยและทหารผ่านศึกที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ทั้งในมิติการรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการคืนคุณภาพชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย

  • โรงพยาบาลทหารผ่านศึก

  • องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย เร่งช่วยน้ำท่วม

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย ติดตามการแก้ไขน้ำท่วมและให้กำลังใจผู้ประสบภัย

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่จากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่กลางดึกวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่หน่วยงานทุกภาคส่วนระดมกำลังติดตั้งแนวป้องกันน้ำและสูบน้ำออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน แม้ว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในบางจุด แต่คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยายังระบุถึงฝนตกชุกที่อาจยืดเยื้อจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ทำให้ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างต่อเนื่อง

ฝนที่ไม่หยุดและสายน้ำที่ล้นตลิ่ง

ในค่ำคืนของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเมื่อเสียงฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย เมฆฝนหนาที่ยังคงปกคลุมพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำแม่สาย รวมถึงเขตชายแดนฝั่งเมียนมา ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนที่มีความคึกคัก

ความรุนแรงของน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ถนนหลายสายถูกตัดขาด บ้านเรือนของประชาชนถูกน้ำซัดจนทรัพย์สินเสียหาย และระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านไม้ลุงขน และบริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ต้องเผชิญกับน้ำที่ไหลเชี่ยวและโคลนตมที่ทับถมในบ้านเรือน ความหวาดกลัวและความสูญเสียเริ่มครอบงำชุมชน โดยเฉพาะเมื่อหลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสาย ในช่วงฤดูมรสุมของปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เคยประสบภัยน้ำท่วมรุนแรงมาแล้ว ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของแนวป้องกันน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำและความท้าทายจากน้ำที่ไหลมาจากฝั่งเมียนมาเป็นประเด็นที่ทั้งชุมชนและหน่วยงานรัฐต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง

การระดมกำลังและการลงพื้นที่ของผู้ว่าฯ

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมทวีความรุนแรง นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไม่รอช้าที่จะลงพื้นที่เพื่อติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่และให้กำลังใจประชาชน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดวิกฤตที่น้ำล้นพนังกั้นน้ำ ผู้ว่าฯ ได้ตรวจสอบการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่เร่งเสริมแนวป้องกันน้ำด้วยกระสอบทรายและติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ พร้อมสอบถามความต้องการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างตรงจุด

นายชรินทร์ เปิดเผยว่า แนวผนังกั้นน้ำเดิมที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การป้องกันน้ำท่วมไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ ส่งผลให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่สองจุดสำคัญ ได้แก่ บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถปิดกั้นน้ำที่จุดสะพานมิตรภาพได้สำเร็จ ขณะที่จุดที่สองบริเวณสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนกำลังเร่งดำเนินการ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ชุมชนได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในพื้นที่ที่น้ำเริ่มลดลง เช่น ชุมชนบางส่วนในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมกับอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนในการทำความสะอาดบ้านเรือน โดยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม บริเวณตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญ ยังคงมีน้ำท่วมขังในระดับสูง หน่วยงานต่างๆ จึงเตรียมติดตั้งแนวกระสอบทรายแบบ Big Bag และเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากจุดวิกฤต โดยเฉพาะที่สวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนและตลาดสายลมจอย

นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนว่าภาคเหนือตอนบน รวมถึงจังหวัดเชียงราย จะยังคงมีฝนตกชุกต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ผู้ว่าฯ จึงขอให้ประชาชนยกของขึ้นที่สูง ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น อำเภอแม่สายได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยมีที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายเป็นจุดรองรับผู้ประสบภัย พร้อมจัดเตรียมที่พักชั่วคราวและจุดจอดรถเพื่ออำนวยความสะดวก

ในด้านโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมถาวร กรมการทหารช่างกำลังดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้า 27% หากโครงการนี้แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนในแม่สายจากอุทกภัยในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินต่อเนื่องเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและประเด็นสารปนเปื้อนในน้ำ โดยเฉพาะในแม่น้ำสาย ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน

เกี่ยวกับคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่แม่สาย การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายได้ตรวจสอบและยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตสามารถใช้อุปโภคและบริโภคได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการดื่มหรือสัมผัสน้ำโดยตรงจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำสาย จนกว่าสถานการณ์จะปลอดภัย และควรระมัดระวังการสัมผัสน้ำท่วมขังที่อาจปนเปื้อนสารเคมีหรือเชื้อโรค

ความหวังท่ามกลางสายฝน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเริ่มแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลงในบางพื้นที่ หลังจากเครื่องสูบน้ำและแนวกระสอบทรายช่วยควบคุมการไหลของน้ำได้ดีขึ้น ชุมชนที่น้ำลดลง เช่น บริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 เริ่มมีการเคลียร์พื้นที่และฟื้นฟูบ้านเรือน โดยมีอาสาสมัครและทหารจากมณฑลทหารบกที่ 37 เข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่

ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่จัดตั้งขึ้นในพื้นที่ช่วยให้การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ลดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ และทำให้ทรัพยากรถูกจัดสรรไปยังจุดที่ต้องการมากที่สุด ผู้ประสบภัยที่อพยพไปยังที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายได้รับการดูแลด้านอาหาร ที่พัก และการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่น้ำท่วมขัง เช่น ตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน การเร่งระบายน้ำและฟื้นฟูพื้นที่นี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนที่อาจตกต่อเนื่องยังเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องจับตา โดยหน่วยงานในพื้นที่มีการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น

ในระยะยาว การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำถาวรโดยกรมการทหารช่างจะเป็นความหวังของชุมชนในการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อบริหารจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการ รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนแม่สาย

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและการระดมทรัพยากรจากหน่วยงานต่างๆ ช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ทันท่วงที
  2. ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การทำงานร่วมกันของมณฑลทหารบกที่ 37 กรมการทหารช่าง การประปาส่วนภูมิภาค และเทศบาลตำบลแม่สาย สร้างความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติ
  3. การสนับสนุนชุมชน การจัดตั้งศูนย์อำนวยการและที่พักชั่วคราวช่วยให้ผู้ประสบภัยได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำจังหวัดและการให้กำลังใจประชาชนช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำที่ไม่สมบูรณ์ แนวผนังกั้นน้ำที่ยังไม่แล้วเสร็จเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในครั้งนี้
  2. ความเสี่ยงจากฝนต่อเนื่อง คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนตกชุกจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
  3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจชายแดนในระยะสั้น
  4. สารปนเปื้อนในน้ำ ความกังวลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในน้ำท่วมขังและแม่น้ำสายยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เร่งรัดการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ เพิ่มงบประมาณและกำลังคนเพื่อให้โครงการแนวป้องกันน้ำถาวรแล้วเสร็จโดยเร็ว
  • พัฒนาระบบเตือนภัยและติดตามสภาพอากาศ ใช้เทคโนโลยี เช่น เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำและแอปพลิเคชันแจ้งเตือน เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวล่วงหน้า
  • ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอยและให้การสนับสนุนด้านการเงิน
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายและน้ำท่วมขัง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

  1. จำนวนผู้ประสบภัยในอำเภอแม่สาย
    • น้ำท่วมในปี 2567 ส่งผลกระทบต่อประชากรในอำเภอแม่สายกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในชุมชนลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอย
    • แหล่งอ้างอิง หอการค้าจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจชายแดน.
  3. การใช้ทรัพยากรในการจัดการน้ำท่วม
    • ในปี 2567 หน่วยงานในภาคเหนือใช้กระสอบทรายกว่า 100,000 ใบและเครื่องสูบน้ำ 50 ชุดในการจัดการน้ำท่วม
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมการทหารช่าง
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คึกคัก ทหารใหม่ มทบ.37 เริ่มฝึก “ผบ.” ให้โอวาทสร้างขวัญ

มทบ.37 เปิดฝึกทหารใหม่! พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เน้นย้ำดูแลเข้ม

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. ณ สนามฝึกของหน่วยฝึกทหารใหม่ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกทหารใหม่ รุ่นปี 2568 ผลัดที่ 1 อย่างเป็นทางการ โดยมีผู้บังคับบัญชา หน่วยฝึกทหารใหม่ เจ้าหน้าที่ ผู้ฝึกสอน และญาติของทหารใหม่เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและตื่นเต้นของทั้งผู้รับการฝึกและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

จุดเริ่มต้นของความมุ่งมั่น การเตรียมพลในยุคใหม่ของกองทัพบก

การฝึกทหารใหม่รุ่นปี 2568 ผลัดที่ 1 ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของกองทัพบกในการสร้างกำลังพลที่มีคุณภาพ โดยมุ่งเน้นให้การฝึกฝนทั้งด้านระเบียบวินัย ความเข้มแข็งทางร่างกาย จิตใจ และจิตสำนึกในหน้าที่ของการเป็นทหารที่ดี พลตรี จักรวีร์ ได้เน้นย้ำในคำกล่าวให้โอวาทต่อเจ้าหน้าที่และผู้ฝึกสอนทุกนายให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบสูงสุด พร้อมดูแลน้องทหารใหม่เสมือนญาติพี่น้อง

“น้องคนเล็กของกองทัพบกเหล่านี้ คืออนาคตของกองทัพ พวกเขาจะเป็นผู้สืบทอดภารกิจในการปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราทุกคนต้องช่วยกันบ่มเพาะและฝึกฝนพวกเขาให้มีระเบียบวินัย ความรู้ ความสามารถ และความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง” พลตรีจักรวีร์กล่าวในพิธี

ธงประจำหน่วยฝึก สัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิและความภาคภูมิใจ

ภายในพิธี พลตรีจักรวีร์ยังได้ทำพิธีมอบธงประจำหน่วยฝึกทหารใหม่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิของหน่วย และปลุกขวัญกำลังใจแก่ทหารใหม่ทุกนาย ธงประจำหน่วยฝึกเป็นเครื่องหมายของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความภาคภูมิใจในสังกัด และเป็นแรงผลักดันให้ทหารใหม่มุ่งมั่นในการฝึกอย่างเต็มศักยภาพ

การรับธงประจำหน่วยจึงไม่ใช่แค่พิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการยืนยันว่าทหารใหม่ได้ก้าวเข้าสู่การเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกองทัพอย่างแท้จริง และจะได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่ทั้งทางร่างกายและจิตใจตามหลักสูตรที่กำหนดโดยกองทัพบก

แนวทางการฝึก สร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง ทั้งกาย ใจ และคุณธรรม

หลักสูตรการฝึกทหารใหม่ของกองทัพบกในปัจจุบัน ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะการฝึกยุทธวิธีหรือทักษะทางทหารเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการฝึกระเบียบวินัยพื้นฐาน การอบรมคุณธรรมจริยธรรม การส่งเสริมให้เป็นพลเมืองดีของประเทศ รวมถึงการปลูกฝังจิตสำนึกในการรับใช้สังคม

ทั้งนี้ หน่วยฝึกทหารใหม่ มทบ.37 ได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและทรัพยากรอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอาหารที่มีคุณภาพ สถานที่พักที่ปลอดภัย และระบบสุขภาพที่ครบถ้วน เพื่อให้ทหารใหม่สามารถเข้ารับการฝึกได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยตลอดระยะเวลาการฝึก

ความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน

ผบ.มทบ.37 ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกทหารใหม่ว่า ต้องมีความพร้อมในการดูแล เอาใจใส่ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องทหารใหม่ รวมถึงการประสานงานกับภาคประชาชนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การฝึกเป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างประโยชน์ต่อชุมชนโดยรอบค่ายทหารอีกด้วย

“ทหารใหม่เหล่านี้จะเป็นตัวแทนของกองทัพบกในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ หากได้รับการดูแล ฝึกฝน และสนับสนุนอย่างเหมาะสม เขาจะเติบโตเป็นทหารที่มีคุณภาพ สมตามความคาดหวังของกองทัพบก” พลตรีจักรวีร์กล่าวเพิ่มเติม

เส้นทางจากพลเรือนสู่ทหาร การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของชีวิต

การเกณฑ์ทหารและเข้าสู่การฝึกถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตชายไทยหลายคน จากพลเรือนธรรมดาที่เคยอยู่ในสังคมทั่วไป ต้องปรับตัวสู่การเป็นกำลังพลของชาติ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของการฝึก ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ความท้าทาย และการปรับตัวสูงสุด

มทบ.37 ได้เตรียมกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ภายในหน่วย เช่น กิจกรรมสันทนาการ กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ และการสื่อสารระหว่างครูฝึกกับผู้รับการฝึก เพื่อให้ทหารใหม่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ลดความเครียด และเพิ่มกำลังใจในการใช้ชีวิตในค่าย

ยกระดับมาตรฐานการฝึกทหารใหม่ให้ทันสมัย

ภายใต้การบริหารของ ผบ.มทบ.37 การฝึกทหารใหม่ได้รับการวางแผนอย่างมีระบบ โดยใช้การประเมินผลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณควบคู่กัน ทั้งการวัดผลด้านร่างกาย จิตใจ ระเบียบวินัย และความรู้พื้นฐานด้านการทหาร รวมถึงการประเมินความพึงพอใจของทหารใหม่ต่อระบบการฝึก เพื่อให้สามารถปรับปรุงหลักสูตรและแนวทางให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

อีกทั้งยังเตรียมแนวทางส่งเสริมทักษะด้านอาชีพหลังปลดประจำการ เพื่อให้ทหารใหม่สามารถนำทักษะที่ได้รับไปใช้ในชีวิตจริง ไม่ว่าจะเข้าสู่ตลาดแรงงานหรือกลับไปพัฒนาอาชีพในครอบครัว

ความสำคัญของการฝึกทหารใหม่ในยุคสมัยใหม่

ในยุคที่สังคมเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การฝึกทหารใหม่ไม่ใช่เพียงการเตรียมพลเพื่อความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเยาวชนชายให้เติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ

การฝึกที่มีระบบ ดูแลเอาใจใส่ และมีเป้าหมายที่ชัดเจน จึงเป็นหัวใจของการพัฒนาทหารใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมยุคใหม่ ซึ่งกองทัพบก โดยเฉพาะ มทบ.37 ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในเป้าหมายดังกล่าวผ่านพิธีเปิดและแนวทางการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการฝึกทหารใหม่ รุ่นปี 2568 ผลัดที่ 1

  • จำนวนทหารใหม่เข้ารับการฝึกที่ มทบ.37: ประมาณ 650 นาย
  • หน่วยฝึกที่เข้าร่วม: หน่วยฝึกทหารใหม่ มทบ.37
  • ระยะเวลาการฝึก: 10 สัปดาห์ (พฤษภาคม–กรกฎาคม 2568)
  • จำนวนผู้ฝึกสอนและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง: กว่า 120 นาย
  • กิจกรรมการฝึก: การฝึกบุคคลท่ามือเปล่า, การยิงปืนพื้นฐาน, การใช้ชีวิตในสนาม, การฝึกทักษะภาวะผู้นำ
  • ประชากรชายไทยเกณฑ์ทหารทั่วประเทศ ปี 2568: ประมาณ 92,000 คน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมยุทธศึกษาทหารบก
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ส่งมอบหน้าที่ มทบ.37 ‘พล.ต.บุญญฤทธิ์’ ส่งต่อ ‘พล.ต.จักรวีร์’

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการ ย้ำความต่อเนื่องของภารกิจเพื่อประชาชนและความมั่นคงของชาติ

พิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

เชียงราย – วันที่ 4 เมษายน 2568 ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ได้จัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการระหว่าง พลตรี บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ซึ่งพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 และพลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการคนใหม่ โดยมีพิธีการครบถ้วนตามแบบธรรมเนียมทหาร

พิธีเริ่มต้นด้วยการประกอบพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหน่วย ได้แก่ พระมหาจักรพรรดิธรรมราชา พระพุทธมารวิชัยไตรรัตนาธิคุณ และพระบรมราชานุสาวรีย์พญามังรายมหาราช ณ ลานหน้าบก.มทบ.37 รวมถึงศาลพระภูมิเจ้าที่ ณ ดอยเจดีย์ เพื่อความเป็นสิริมงคล

พิธีมอบการบังคับบัญชาอย่างสมเกียรติ

ภายหลังพิธีสักการะ เป็นพิธีลงนามเอกสารรับ-ส่งหน้าที่ ณ ห้องประชุมพญามังราย และพิธีมอบการบังคับบัญชาที่ลานหน้ากองบัญชาการ โดยมีนายทหารระดับสูง ข้าราชการ ลูกจ้าง และกำลังพลในสังกัดเข้าร่วมเป็นสักขีพยานจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างสง่างาม แสดงถึงระเบียบวินัย ความสามัคคี และการเปลี่ยนผ่านอย่างราบรื่นของหน่วยทหาร

คำกล่าวอำลาอย่างอบอุ่นของผู้บัญชาการคนเดิม

พลตรี บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ได้กล่าวแสดงความรู้สึกในการอำลาตำแหน่งว่า “เป็นเกียรติสูงสุดที่ได้มีโอกาสรับราชการในมณฑลทหารบกที่ 37 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง ทั้งกายและใจ เพื่อให้หน่วยมีศักยภาพสูงสุดในการปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคง การสนับสนุนพัฒนาประเทศ หรือการเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ผมเชื่อมั่นว่าผู้บัญชาการคนใหม่จะนำพาหน่วยไปสู่ความก้าวหน้าที่ยิ่งกว่าเดิม”

ผบ.มทบ.37 คนใหม่มุ่งพัฒนาและรับมือบริบทความมั่นคงยุคใหม่

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการคนใหม่ ได้แสดงเจตนารมณ์ในการรับหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น โดยระบุว่า จะสานต่อภารกิจของมณฑลทหารบกที่ 37 อย่างเต็มกำลัง พร้อมปรับบทบาทของหน่วยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบทด้านความมั่นคง และเน้นการพัฒนาศักยภาพกำลังพลทุกระดับ ให้สามารถปฏิบัติภารกิจทั้งในภาวะปกติและวิกฤตได้อย่างเข้มแข็ง มีความพร้อมในทุกด้าน

มณฑลทหารบกที่ 37 กับบทบาทสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ

มทบ.37 เป็นหน่วยทหารในสังกัดกองทัพบก ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบในเขตจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง โดยมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย การสนับสนุนการปฏิบัติการร่วมกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง และองค์กรภาคประชาชน รวมถึงการเข้าช่วยเหลือประชาชนในยามเกิดภัยธรรมชาติและสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ

ที่ผ่านมา มทบ.37 มีภารกิจสนับสนุนด้านการแพทย์ฉุกเฉิน การอพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงการช่วยเหลือในสถานการณ์หมอกควันไฟป่าในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นปัญหาซ้ำซากในช่วงต้นปีของทุกปี

ความเห็นจากทั้งสองมุมมอง สะท้อนความคาดหวังที่แตกต่าง

จากฝั่ง ผู้สนับสนุนภารกิจทหาร เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บัญชาการเป็นสิ่งจำเป็นตามวาระ และควรมองเป็นโอกาสในการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติงานให้ทันยุคทันเหตุการณ์ โดยเฉพาะในยุคที่ภัยคุกคามมีความหลากหลายทั้งรูปแบบและเทคโนโลยี พร้อมทั้งเสนอให้ มทบ.37 เพิ่มความร่วมมือกับชุมชนในการแก้ไขปัญหาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

ขณะที่ ฝั่งภาคประชาชนบางส่วน มองว่า ควรมีการเปิดเผยแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนเข้าใจบทบาทของทหารในยุคสมัยใหม่มากขึ้น และแนะนำให้หน่วยงานของกองทัพมีส่วนร่วมในการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เช่น การฝึกอาชีพให้กับประชาชน และการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ขาดแคลน

ข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มบทบาทและความสัมพันธ์กับประชาชน

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงเสนอว่า มณฑลทหารบกที่ 37 ควรขยายบทบาทสู่การเป็น “หน่วยทหารของประชาชนอย่างแท้จริง” โดยเน้นการพัฒนาเชิงรุก สร้างพันธมิตรกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อเสริมความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

การจัดอบรมเยาวชนเพื่อเสริมสร้างคุณธรรม ความมีวินัย และการปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติควรได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มเยาวชน แต่ยังเสริมสร้าง “กำลังสำรอง” ทางสังคมให้กับประเทศในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกองทัพบก ระบุว่า มีการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลประจำปี เฉลี่ย 500 ตำแหน่งต่อปี
  • จังหวัดเชียงราย มีหน่วยงานทหารประจำการ 7 หน่วยหลัก ซึ่งรวมถึง มณฑลทหารบกที่ 37 (ที่มา: ศูนย์ข้อมูลภูมิภาค กองทัพบก)
  • ผลสำรวจโดยสถาบันพระปกเกล้า ปี 2567 พบว่า ร้อยละ 76.2 ของประชาชน เห็นว่าทหารมีบทบาทในการพัฒนาชุมชนที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
  • อัตราความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของทหารในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน สูงถึง ร้อยละ 82.5 (ที่มา: ศูนย์วิจัยความคิดเห็นสาธารณะ ม.เชียงใหม่)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทัพบก
  • ศูนย์ข้อมูลภูมิภาค กองทัพบก
  • สถาบันพระปกเกล้า
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • มณฑลทหารบกที่ 37 จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ครบรอบ 107 ปี จัดพิธีศักการะ เสริมสิริมงคล

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย ครบรอบ 107 ปี สะท้อนบทบาทสำคัญของกองทัพบกในพื้นที่ภาคเหนือ

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วย และรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติของการก่อตั้งหน่วย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มีนาคม 2568 โดยได้จัดพิธีล่วงหน้าในวันที่ 21 มีนาคม 2568 ณ พื้นที่ต่าง ๆ ภายในและโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย โดยมี พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

พิธีในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงคุณงามความดีของเหล่าทหารกล้าที่ได้อุทิศตนรับใช้ชาติ รวมถึงการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยและกำลังพลในสังกัด สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกองทัพกับประชาชนในพื้นที่

พิธีกรรมสำคัญตามลำดับเวลาสะท้อนรากฐานทางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์

พิธีในช่วงเช้าของวันที่ 21 มีนาคม 2568 ประกอบด้วยลำดับพิธีกรรมที่มีความหมายลึกซึ้งทางวัฒนธรรมและจิตใจ ดังนี้

  • เวลา 07.09 น. พิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ดอยเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของทหารและชาวเชียงราย
  • เวลา 08.00 น. พิธีบวงสรวง พ่อขุนเม็งรายมหาราช ณ พระตำหนักพ่อขุนเม็งรายฯ เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงราย
  • เวลา 08.29 น. พิธีบวงสรวง พระญามังรายมหาราช ณ หน้า บก.มทบ.37 เพื่อรำลึกถึงผู้นำผู้สร้างความมั่นคงให้แก่ดินแดนล้านนา
  • เวลา 10.09 น. พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน และเจริญพระพุทธมนต์ ณ อาคารอเนกประสงค์ มทบ.37 โดยมี พล.ท.ศุภอักษร สังประกุล เป็นประธานในพิธีทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียสละชีวิตในการปกป้องแผ่นดินไทย

พิธีเหล่านี้สะท้อนถึงความเคารพต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของสถาบันทหารบกในการดำรงความมั่นคงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจแก่สังคม

การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน

พิธีดังกล่าวได้รับเกียรติจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน อดีตผู้บังคับบัญชา หน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย สมาคมสื่อมวลชน และตัวแทนชุมชนโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ มทบ.37 ในฐานะองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่เคารพจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

การรวมตัวของผู้แทนจากหลายภาคส่วนในพิธีแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกองทัพบกกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งนับเป็นรากฐานที่มั่นคงของระบบความมั่นคงในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชายแดนและภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ

บทบาทของ มทบ.37 ในการสร้างความมั่นคงและสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น

มณฑลทหารบกที่ 37 ถือเป็นหนึ่งในหน่วยทหารสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีเขตรับผิดชอบหลักอยู่ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ

ภารกิจของ มทบ.37 ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการป้องกันประเทศ หากแต่รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤต การสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุข การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ และการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น การปลูกป่า สร้างฝายชะลอน้ำ การสนับสนุนการศึกษาผ่านโครงการจิตอาสา รวมถึงการร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ความเห็นเชิงกลาง: ความเชื่อมั่นและความคาดหวัง

ฝ่ายที่สนับสนุน บทบาทของ มทบ.37 มองว่ากองทัพบกโดยเฉพาะในระดับภูมิภาคมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพ ความสงบ และการพัฒนาท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีความเปราะบางทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ กองทัพสามารถเข้าไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงมีทรัพยากรบุคคลที่มีวินัยและสามารถปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์วิกฤตได้ดี

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่มีข้อกังวล ก็ได้แสดงความเห็นว่าบางกรณีการดำเนินงานของกองทัพอาจทับซ้อนกับหน้าที่ของหน่วยงานพลเรือน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาท้องถิ่น หรือโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้กองทัพเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานของกองทัพเป็นไปตามความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

ความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการถ่วงดุลอำนาจ การมีส่วนร่วม และการตรวจสอบซึ่งเป็นหลักธรรมาภิบาลที่ควรนำมาใช้ในการบริหารงานของทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรด้านความมั่นคงด้วย

สถิติและข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • มณฑลทหารบกที่ 37 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2461 และในปี พ.ศ. 2568 มีอายุครบรอบ 107 ปี
    ที่มา: กองทัพบกไทย, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก, รายงานประวัติการสถาปนาหน่วย
  • จังหวัดเชียงรายมีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านรวมระยะทางกว่า 283 กิโลเมตร
    ที่มา: กรมแผนที่ทหาร, รายงานเขตแดนประเทศไทย พ.ศ. 2566
  • กำลังพลในสังกัด มทบ.37 ณ ปีงบประมาณ 2567 มีประมาณ 1,200 นาย
    ที่มา: กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, รายงานสถานะกำลังพลประจำปี พ.ศ. 2567
  • โครงการจิตอาสาของ มทบ.37 ที่ดำเนินการต่อเนื่องในปี 2567 มีมากกว่า 50 โครงการครอบคลุม 9 อำเภอในเชียงราย
    ที่มา: ฝ่ายกิจการพลเรือน มทบ.37, รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37), กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, กรมแผนที่ทหาร, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 รับรองคุณภาพ รพ.ค่ายเม็งรายฯ ก้าวสู่มาตรฐานสากล

คุณภาพเยี่ยม! รพ.ค่ายเม็งรายฯ รับรองมาตรฐาน HA ปี 2568

กรุงเทพฯ, 18 มีนาคม 2568 – โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชเข้ารับรองคุณภาพสถานพยาบาลในงานประชุม HA National Forum ครั้งที่ 25 นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ HA National Forum ครั้งที่ 25 ของ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. พร้อมทั้งมอบประกาศนียบัตรการรับรองคุณภาพให้แก่สถานพยาบาลที่ผ่านการรับรอง 446 แห่ง และกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Building Quality and Safety Culture for the Future Sustainability” (สร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อความยั่งยืนในอนาคต)

ในเวลา 14.00 น. พ.อ.โกสินทร์ ชัยชำนาญ และ ตัวแทนทีมนำคุณภาพของโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ได้เข้ารับประกาศนียบัตรรับรองคุณภาพสถานพยาบาลประจำปี 2568 จาก นายเดชอิศม์ ขาวทอง และเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมทางวิชาการระดับประเทศภายใต้ธีม “Building Quality & Safety Culture for the Future Sustainability” โดยบรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

การเปลี่ยนแปลงของระบบสาธารณสุขและความสำคัญของมาตรฐาน HA

นายเดชอิศม์ ขาวทอง กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย อาทิ:

  • การเพิ่มขึ้นของประชากรและภาวะสังคมสูงวัย
  • จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น
  • ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลต่อระบบบริการสุขภาพ

จากปัจจัยเหล่านี้ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุขต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ และสามารถพัฒนาระบบสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคตได้

การรับรองมาตรฐาน HA และความสำคัญต่อระบบสุขภาพไทย

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อว่า ขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับสถานพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานคุณภาพ HA ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก The International Society for Quality in Health Care External Evaluation Association (ISQuaEEA) ตลอดจนมาตรฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น:

  • มาตรฐานระบบสุขภาพระดับอำเภอ
  • มาตรฐานศูนย์บริการสาธารณสุข
  • มาตรฐานสถานพยาบาลปฐมภูมิ

มาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูงสุด

สาระสำคัญของการประชุม HA National Forum ครั้งที่ 25

พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า การประชุมวิชาการในปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 21 มีนาคม 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อ:

  • สร้างการเรียนรู้และแรงบันดาลใจในการพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาล
  • เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์
  • ส่งเสริมวัฒนธรรมคุณภาพในสถานพยาบาลทั่วประเทศ

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย:

  • การนำเสนอผลงานวิชาการจากสถานพยาบาลกว่า 900 เรื่อง โดยคัดเลือก 21 ผลงานเด่น แบ่งเป็น โปสเตอร์ 18 เรื่อง และ งานวิจัย 3 เรื่อง
  • การประชุมออนไลน์ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรทางการแพทย์จากทุกพื้นที่ได้เข้าร่วมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม และผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทย

มีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขจากหลายสาขาวิชาชีพเข้าร่วมกว่า 7,500 คน ได้แก่: แพทย์ ,ทันตแพทย์ ,พยาบาล,เภสัชกร ,นักกายภาพบำบัด, นักเทคนิคการแพทย์ ,นักรังสีการแพทย์,เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากทั้งภาครัฐและเอกชน

รวมถึงองค์กรวิชาชีพและภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดันคุณภาพสถานพยาบาลให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพสถานพยาบาลในประเทศไทย

ข้อมูลจาก สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) ปี 2567 ระบุว่า:

  • มีโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐาน HA จำนวน 1,243 แห่งทั่วประเทศ
  • มีสถานพยาบาลปฐมภูมิและศูนย์บริการสาธารณสุขที่ผ่านการรับรองกว่า 3,000 แห่ง
  • ร้อยละ 85 ของโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองมีอัตราการลดอุบัติการณ์ของความคลาดเคลื่อนทางการแพทย์ (Medical Errors) ลงอย่างมีนัยสำคัญ

สรุป

โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช (มทบ.37) ได้รับการรับรองคุณภาพสถานพยาบาลประจำปี 2568 ในงานประชุม HA National Forum ครั้งที่ 25 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่ส่งเสริมมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยของระบบบริการสุขภาพไทย การประชุมครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้สถานพยาบาลทั่วประเทศแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อพัฒนาโรงพยาบาลให้มีมาตรฐานสูงขึ้น นำไปสู่การสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.), 2567 ,ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE