Categories
ENVIRONMENT

ภูเขาน้ำแข็ง A23a สลายตัว สัญญาณเตือนจากขั้วโลกถึงวิกฤตโลกร้อน

สัญญาณเตือนจากขั้วโลก “A23a” ยักษ์น้ำแข็งที่กำลังสลายตัว—เงื่อนปมภูมิอากาศโลกร้อนและบทเรียนเชิงระบบจากแอนตาร์กติกา

  • ข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้: A23a เป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่แยกตัวจากแนวน้ำแข็ง Filchner–Ronne เมื่อปี 1986 จมติดอยู่กับพื้นทะเลเวดเดลนานหลายทศวรรษ ก่อนหลุดลอยและเริ่ม “เดินทาง” ตามกระแสน้ำในช่วงปี 2023–2024 มุ่งสู่เส้นทาง “Iceberg Alley” ผ่านเกาะเซาท์จอร์เจีย และมีแนวโน้มแตกตัว/หดตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ตามภาพถ่ายดาวเทียมและรายงานของหน่วยงานวิทยาศาสตร์ชั้นนำ (BAS, NASA)
  • สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เห็นร่วมกัน: การแยกตัวและสลายตัวของภูเขาน้ำแข็งเป็น “ธรรมชาติ” ของขั้วโลก แต่ อัตรา/ความถี่ ของปรากฏการณ์น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่หลุดและละลายเร็วขึ้นสัมพันธ์กับภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะ “มหาสมุทรที่อุ่นขึ้น” ซึ่งกัดเซาะฐานแนวน้ำแข็ง (ice shelves) และทำให้ระบบเปราะบางยิ่งขึ้น
  • แกนวิทยาศาสตร์ที่ต้องเข้าใจ: การละลายของ “แนวน้ำแข็งที่ลอยน้ำ” ไม่ยกน้ำทะเลขึ้นโดยตรง แต่แนวน้ำแข็งทำหน้าที่ หนุน-พยุง” (buttress) ธารน้ำแข็งบนแผ่นดิน หากแนวน้ำแข็งแตก/หายไป ธารน้ำแข็งบนบกจะไหลลงทะเลเร็วขึ้นและ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทางอ้อม ซึ่งคือจุดเชื่อมโยงจากภูเขาน้ำแข็งสู่ความเสี่ยงชายฝั่งโลก
  • สิ่งที่ยังต้องติดตาม: ผลกระทบต่อเคมี/อุณหภูมิ/ความเค็มของน้ำและห่วงโซ่อาหารทะเลแอตแลนติกใต้ เมื่อยักษ์น้ำแข็งปล่อย “น้ำจืดเย็น” ปริมาณมหาศาลลงสู่ทะเลในเวลาสั้น ๆ และการตอบสนองของสภาพอากาศท้องถิ่นรอบเกาะเซาท์จอร์เจีย—หัวเรื่องที่ทีมเรือสำรวจของ BAS ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอยู่ในช่วงปี 2024–2025

ปลายทางของ “ยักษ์น้ำแข็ง” และจิ๊กซอว์ภูมิอากาศโลก

ทวีปแอนตาร์กติกา, 11 กันยายน 2568 – ยามที่ลมขั้วโลกพัดปะทะคลื่นแอตแลนติกใต้ แผ่นน้ำแข็งสีขาวนวลขนาดใหญ่เท่ามหานครค่อย ๆ แยกตัวเป็นริ้วเล็ก ราวกับเรือไม้โบราณที่ชะลอคอนเสิร์ตสุดท้ายก่อนลาจาก—นั่นคือภาพปิดฉากของ A23a หนึ่งในภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยติดตาม บันทึกชีวิตของมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1986 เมื่อหลุดจากแนวน้ำแข็ง Filchner–Ronne แล้วจมติดพื้นทะเลเวดเดลอยู่นานกว่า 30 ปี กระทั่งหลุดลอยออกสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากรอบแอนตาร์กติกาในทศวรรษที่ผ่านมา และทยอย “ผอมลง” อย่างเห็นได้ชัดเมื่อเคลื่อนผ่านเกาะเซาท์จอร์เจีย—ประตูสู่คอคอดน้ำแข็งชื่อ Iceberg Alley เส้นทางสุดท้ายก่อนแตกสลายเป็นเศษเสี้ยวที่ระบบติดตามดาวเทียมเริ่มนับยากขึ้นทุกที

เส้นทางชีวิต A23a จากยักษ์ติดก้นทะเลสู่ก้อนน้ำแข็งร่อนเร่

  • ค.ศ. 1986–ทศวรรษ 2010s: A23a แยกจากหิ้ง Filchner–Ronne แล้ว “ติด” พื้นทะเลลึกในเวดเดลซีอยู่นานหลายสิบปี เพราะหนาและใหญ่เกินกว่าจะลอยอิสระ จนถูกขนานนามว่าราชินีที่เงียบงันของเวดเดลซีในยุคหนึ่ง
  • ค.ศ. 2023–2024: เมื่อขนาด/ความหนาลดลงและสภาพแวดล้อมทะเลเปลี่ยน มันหลุดออกจากจุดยึดและไหลตามกระแสน้ำ Antarctic Circumpolar Current สู่ “Iceberg Alley” ใกล้เกาะเซาท์จอร์เจีย ภาพถ่ายจากดาวเทียมและรายงานภาคสนามยืนยันเสถียรภาพที่ลดลงและแนวโน้มการแตกตัวของแผ่นน้ำแข็งส่วนขอบ
  • ค.ศ. 2025: ขณะเคลื่อนผ่านเซาท์จอร์เจีย แผ่นน้ำแข็งหดตัวและแตกชิ้นหลายครั้ง พื้นที่ลดเหลือราวระดับ “มหานครใหญ่” เท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงเริ่มติดตามที่เคยกินพื้นที่หลายพันตารางกิโลเมตร เหตุการณ์ปีนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพธรรมชาติ หากเป็น “ข้อความ” ที่ชัดจากขั้วโลกถึงมนุษยชาติว่า สมการน้ำแข็ง–มหาสมุทร–ภูมิอากาศ กำลังปรับสมดุลครั้งใหญ่

ธรรมชาติ + เร่งปฏิกิริยาจากโลกร้อน เพราะเหตุใดยักษ์น้ำแข็งจึง ‘เปราะ’ ขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่า การเกิด–ดับของภูเขาน้ำแข็งเป็นวงจรตามธรรมชาติ แต่คำถามสำคัญในศตวรรษที่ 21 คือ “เร็วขึ้นหรือถี่ขึ้นกว่าปกติหรือไม่” หลักฐานหลายชุดชี้ว่ามหาสมุทรรอบแอนตาร์กติกาอุ่นขึ้นในหลายโซน กระทบ “ท้อง” ของแนวน้ำแข็ง (basal melt) ทำให้หิ้งน้ำแข็งที่ลอยน้ำบางลงและแตกง่ายขึ้น เมื่อ “เบรก” ตามธรรมชาติอ่อนแรง ธารน้ำแข็งบนแผ่นดินก็ไหลลงทะเลเร็วยิ่งขึ้นในระยะยาว นี่คือกลไกที่เชื่อมการเปลี่ยนแปลงของแนวน้ำแข็งกับ ระดับน้ำทะเลโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อเท็จจริงสำคัญ: การละลายของแนวน้ำแข็ง (ซึ่งลอยอยู่แล้ว) ไม่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นโดยตรง แต่ การสูญเสียแนวน้ำแข็ง ทำให้ธารน้ำแข็งบนบก “เสียที่ค้ำยัน” และเร่งวิ่งสู่ทะเล—ส่งผลต่อระดับน้ำทะเลในระยะถัดไป นี่คือเหตุผลที่ชุมชนวิทยาศาสตร์เฝ้าดู A23a อย่างใกล้ชิด เพราะมันสะท้อน “สุขภาพ” ของระบบน้ำแข็ง–มหาสมุทรในวงกว้าง ไม่ใช่เพียงชะตากรรมของก้อนน้ำแข็งก้อนเดียว

ผลกระทบลูกโซ่จากความเค็ม–อุณหภูมิของน้ำ สู่ห่วงโซ่อาหารทะเล

การแตกตัวของภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์เท่ากับการปล่อย “น้ำจืดเย็น” ปริมาณมหาศาลลงทะเลในช่วงเวลาสั้น ๆ ย่อมปรับสมดุล ความเค็ม–ความหนาแน่น–อุณหภูมิ ของน้ำในบริเวณทางผ่าน อาจกระทบตั้งแต่แพลงก์ตอน—ฐานห่วงโซ่อาหาร—ไปจนถึงสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และรูปแบบไหลเวียนท้องถิ่น นักวิจัยจาก เรือ RRS Sir David Attenborough ของ BAS ลงพื้นที่แถบเซาท์จอร์เจียเก็บตัวอย่างน้ำ/ชีวภาพเพื่อประเมินผลกระทบจริง—ชิ้นส่วนหลักของภาพใหญ่ที่ห้องทดลองทั่วโลกกำลังต่อจิ๊กซอว์ร่วมกัน

ทำไม “Iceberg Alley” จึงเป็นฉากสุดท้ายของยักษ์น้ำแข็ง

เส้นทาง Iceberg Alley เป็นเหมือน “คลองส่งน้ำแข็ง” ธรรมชาติ—ภูเขาน้ำแข็งที่หลุดจากแผ่นดินน้ำแข็งแอนตาร์กติกามักถูกกระแส Antarctic Circumpolar Current พาไปสู่แนวนี้ ก่อนจะชน/แตก/ละลาย ระหว่างผ่านหมู่เกาะและน้ำอุ่นขึ้นของแอตแลนติกใต้ A23a จึงเดินตามชะตาเดียวกับยักษ์รุ่นพี่อย่าง A68 (แตกละเอียดในปี 2021) และ A76 (ปี 2023) ที่จบลงในตรอกเดียวกัน แม้ขนาด/รูปร่างแตกต่าง แต่วิถีทางกายภาพคล้ายกันอย่างน่าทึ่ง—บทเรียนประจำทางของน้ำแข็งยักษ์จากขั้วโลก

ประเด็นเชิงวิทยาศาสตร์–นโยบายจากขั้วโลกถึงชายฝั่งเอเชีย

  1. ระดับน้ำทะเล: ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ไกล
    แม้ A23a จะละลายอยู่ไกลโพ้น แต่ระบบโลกเชื่อมโยงกันผ่านมหาสมุทรเส้นเดียว การเปลี่ยนแปลงของแนวน้ำแข็ง–ธารน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาคือหนึ่งในตัวแปรสำคัญของระดับน้ำทะเลระยะยาว รายงานวิชาการและฐานข้อมูลของ NASA/NSIDC อธิบายตรงกันว่า หากแนวน้ำแข็งเปราะลง ธารน้ำแข็งบนบกหลายสายในแอนตาร์กติกาตะวันตกย่อมมีโอกาสไหลเร็วขึ้น—ผลสะสมแปลความได้เป็น “เซนติเมตร–ทศวรรษ” ของระดับน้ำทะเลในศตวรรษนี้ ซึ่งสะท้อนโดยตรงถึงความเสี่ยงค่อยเป็นค่อยไปของเมืองชายฝั่งทั่วโลก รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  2. ข้อมูล–ดาวเทียม–เรือสำรวจ: ทำไม “การสังเกต” คือเกราะชั้นแรก
    กรณี A23a แสดงให้เห็นบทบาทของภาพถ่ายดาวเทียม (เช่น ภาพจาก NASA Earth Observatory) ในการติดตามพื้นที่/ความหนา/การแตกร้าวของน้ำแข็งแบบเกือบเรียลไทม์ ควบคู่กับการเก็บตัวอย่างภาคสนามจากเรือวิจัย (เช่น RRS Sir David Attenborough) เพื่อไขกลไกทางสมุทรศาสตร์/ชีววิทยาที่ภาพถ่ายมองไม่เห็น สิ่งนี้สำคัญต่อการ “ปรับปรุงแบบจำลอง” ให้น่าเชื่อถือขึ้น—เป็นพื้นฐานต่อการตัดสินใจด้านนโยบายในระดับประเทศ–ภูมิภาค
  3. ความรู้ความเข้าใจของสาธารณะ: แยกแยะ “ธรรมชาติ” กับ “ภาวะโลกร้อนเร่งกระบวนการ”
    การแตกของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในศตวรรษที่อุณหภูมิโลกและมหาสมุทรสูงขึ้น การเกิดซ้ำ/การละลายเร็วขึ้นของน้ำแข็งที่หลุดแล้ว “สื่อสาร” ข้อเท็จจริงว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงในแบบที่ระบบนิเวศคุ้นเคยน้อยลง—ข้อเท็จจริงที่ BAS, NASA และหน่วยงานวิทยาศาสตร์ต่างชี้มาต่อเนื่อง และย้ำว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเป็น “ยาแก้เหตุ” เพียงชนิดเดียวที่มีอยู่ในมือมนุษย์ตอนนี้

คำถามที่สังคมควรถาม

  • เราจะวัดความเสี่ยงอย่างไร เมื่อ “การสูญเสียแนวน้ำแข็ง” วันนี้อาจแปลเป็นระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในอีกหลายทศวรรษ—นานพอจะทำให้ผู้กำหนดนโยบายหลายรุ่นชะล่าใจ แต่สั้นเกินไปสำหรับเมืองชายฝั่งที่จะเตรียมการรับมือแบบค่อยเป็นค่อยไป
  • เราจะลงทุนในข้อมูล/ระบบเตือนภัยเพียงพอหรือยัง ทั้งดาวเทียม (ความละเอียด–ความถี่), เรือสำรวจ, ทุ่นสำรวจน้ำลึก, และศักยภาพสถาบันวิจัยท้องถิ่น เพื่อให้ข้อเท็จจริงไม่ล่าช้าจน “ตามหลัง” การเปลี่ยนแปลง
  • เราจะทำอย่างไรกับความไม่แน่นอน ในแบบจำลอง เมื่อระบบน้ำแข็ง–มหาสมุทรมีปฏิสัมพันธ์ซับซ้อน—คำตอบหนึ่งคือ “เพิ่มการสังเกต–ลดความไม่รู้” เพื่อให้การคาดการณ์ระดับน้ำทะเลและนโยบายปรับตัวมีฐานวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรงขึ้น

เมื่อยักษ์ล้มหาย—โลกฝากจดหมายถึงเรา

การสลายตัวของ A23a ไม่ใช่เพียงฉากธรรมชาติ หากคือ จดหมายเตือน” จากขั้วโลกถึงสังคมมนุษย์ ว่ามหาสมุทรที่อุ่นขึ้นกำลังรื้อฟื้นสมดุลใหม่กับน้ำแข็งที่เราเคยคิดว่า “นิ่ง” การรับมือจึงต้องพ้นไปจากการจ้อง “ก้อนน้ำแข็ง” ก้อนใดก้อนหนึ่ง หากต้องมองระบบทั้งหมด—แนวน้ำแข็งที่หนุนธารน้ำแข็ง, มหาสมุทรที่เก็บความร้อน, ห่วงโซ่ชีวภาพที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลง และเมืองชายฝั่งที่เป็นแนวหน้าในการรับแรงกระแทก
ดังนั้น นอกเหนือจากการเฝ้าติดตามอย่างเป็นระบบ สิ่งที่เราต้องการคือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลและการปรับตัว, และ การสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่ซื่อสัตย์และเข้าใจง่าย—เพื่อให้สังคมตัดสินใจบนความจริง ไม่ใช่ความกลัวหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อน ยักษ์น้ำแข็งอาจแหลกสลาย แต่ข้อความจากมันชัดเจน—เวลาของการผัดวันประกันพรุ่งหมดแล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • British Antarctic Survey (BAS)
  • British Antarctic Survey (Newsroom)
  • NASA Earth Observatory
  • NASA Earth Observatory
  • NSIDC (National Snow & Ice Data Center)
  • NOAA Climate
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

UN เตือนโลกรับมือภาวะโลกร้อนยังไม่พอ

โลกยังห่างไกลจากการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเหมาะสม – UN

องค์การสหประชาชาติระบุว่าความพยายามทั่วโลกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นยังห่างไกลจากความสำเร็จ ข้อมูลใหม่เผยให้เห็นว่าก๊าซเรือนกระจกกำลังสะสมในชั้นบรรยากาศในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แผนการลดการปล่อยคาร์บอนที่มีอยู่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีผลกระทบที่สำคัญในการลดมลพิษภายในปี 2030 ส่งผลให้ความพยายามในการรักษาอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้อยู่ในสภาวะที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

อัตราการสะสมก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

รายงานใหม่จากองค์การสหประชาชาติชี้ว่า ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศได้เพิ่มขึ้นกว่า 11% ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2023 ซึ่งมีการสะสมในระดับที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาใด ๆ ในอดีต นักวิจัยยังแสดงความกังวลว่าป่ากำลังสูญเสียความสามารถในการดูดซับคาร์บอน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นในระดับที่เป็นประวัติการณ์

แผนการลดคาร์บอนของประเทศต่าง ๆ ยังไม่เพียงพอ

องค์กร UN Climate Change หน่วยงานของสหประชาชาติที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหานี้ ได้วิเคราะห์แผนการลดการปล่อยคาร์บอนที่ได้รับจากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก ซึ่งแผนเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยคาร์บอนจะลดลงเพียง 2.6% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งห่างไกลจากการลดลงที่จำเป็น 43% ภายในสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อให้โลกสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ไซมอน สตีล เลขาธิการบริหารของ UN Climate Change กล่าวถึงรายงานนี้ว่า “ผลการวิจัยในรายงานนี้น่าตกใจแต่ก็ไม่เกินความคาดหมาย แผนการด้านภูมิอากาศของประเทศต่าง ๆ ในปัจจุบันยังไม่ถึงระดับที่เพียงพอในการหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ที่จะทำลายเศรษฐกิจและสร้างความเสียหายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก”

ความคาดหวังในแผนใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น

องค์การสหประชาชาติคาดหวังว่าประเทศต่าง ๆ จะนำเสนอแผนใหม่ที่มีความเข้มข้นมากขึ้นภายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ซึ่งการหารือเพื่อเพิ่มความมุ่งมั่นในความพยายามเหล่านี้จะเป็นประเด็นสำคัญเมื่อผู้นำโลกมาร่วมประชุมในงานการประชุมสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 29 (COP29) ที่จะจัดขึ้นในอาเซอร์ไบจานในเดือนหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การสหประชาชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมืองโดเก็นสร้างเมืองลอยน้ำต่อต้านน้ำทะเลสูงที่ญี่ปุ่น

เมืองโดเก็นของญี่ปุ่นสร้างเมืองลอยน้ำต่อต้านระดับน้ำทะเลสูง

ภาวะโลกร้อนและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น

ภาวะโลกร้อนทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล ส่งผลกระทบต่อชุมชนชายฝั่งทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 จะมีผู้คนเกือบ 300 ล้านคนที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งต้องเผชิญกับน้ำท่วมทุกปี

แผนสร้างเมืองลอยน้ำในเมืองโดเก็น

เมืองโดเก็นในญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการสร้างเมืองลอยน้ำที่ทันสมัย เมืองนี้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ไมล์ (1.58 กม.) และเส้นรอบวงประมาณ 2.5 ไมล์ (4 กม.) รูปร่างวงกลมช่วยปกป้องผู้อยู่อาศัยจากคลื่นสึนามิ

การออกแบบและโครงสร้างของเมืองลอยน้ำ

เมืองลอยน้ำของโดเก็นมีการออกแบบเป็นสองชั้น ชั้นบนสุดเป็นเมืองทางทะเลที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ส่วนชั้นที่สองเป็นศูนย์ข้อมูลที่ระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลสำหรับการบริหารจัดการเมือง การดูแลสุขภาพ และการค้นพบยา เมืองนี้สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยได้ 10,000 คนและนักท่องเที่ยวสูงสุด 40,000 คนในเวลาเดียวกัน

สิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีการเกษตร

เมืองลอยน้ำจะประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตอาหาร โรงเรียน โรงพยาบาล พื้นที่กีฬา สำนักงาน และสวนสาธารณะ เทคโนโลยีการเกษตรรูปแบบใหม่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสามารถผลิตอาหารได้มากถึง 7,000 ตันต่อปีโดยใช้น้ำทะเล นอกจากนี้ยังมีการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพที่ทันสมัยสำหรับทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว

 
แผนอันทะเยอทะยานสำหรับอนาคต

แผนการสร้างเมืองโดเก็นยังรวมถึงพื้นที่สำหรับการปล่อยและลงจอดจรวดเพื่อการท่องเที่ยวในอวกาศ นักออกแบบโครงการตั้งเป้าหมายในการสร้างเมืองให้เสร็จสิ้นภายในปี 2030 แม้ว่ารายละเอียดสำคัญเช่นที่ตั้งและค่าใช้จ่ายยังไม่ได้รับการเปิดเผย

โครงการเมืองลอยน้ำอื่นๆ ทั่วโลก

เมืองโดเก็นไม่ใช่เมืองลอยน้ำแห่งเดียวที่กำลังดำเนินการอยู่ ในปี 2022 เมืองปูซานของเกาหลีใต้ได้เปิดเผยแผนสำหรับมหานครทางทะเลที่ยั่งยืน ซึ่งสามารถรองรับคนได้ถึง 100,000 คน แม้ว่าโครงการเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นแนวคิด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในการสร้างเมืองลอยน้ำที่สามารถพึ่งพาตนเองได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ชุมชน Schoonship ในเนเธอร์แลนด์เป็นโมเดลที่ดี

เนเธอร์แลนด์เป็นแหล่งรวมชุมชนลอยน้ำที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ปี 2021 ชุมชน Schoonship ประกอบด้วยบ้าน 46 หลังในแปลงน้ำ 30 แปลง และเป็นที่อยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยประมาณ 100 คน แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่เป็นโมเดลที่มีแนวโน้มดีในการสร้างเมืองลอยน้ำที่สามารถพึ่งพาตนเองได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อนาคตของเมืองลอยน้ำ

การสร้างเมืองลอยน้ำเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการรับมือกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เมืองโดเก็นและโครงการอื่นๆ ทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : N-Ark.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News