Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสู้ภัยแล้ง! ทหารนำทีมช่วย ประชาชนขาดน้ำ

มทบ.37 เปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ปี 2568

บูรณาการช่วยเหลือประชาชน แก้ปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นระบบ

เชียงราย, 6 มีนาคม 2568 – ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 (ศบภ.มทบ.37) เปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี 2568 โดยมี พันเอก ไพโรจน์ ยะวิญชาญ รอง ผอ.ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37/รอง ผบ.ศบภ.มทบ.37 เป็นประธานในพิธี ณ สนามหน้าร้อย มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย

ระดมกำลังหลายภาคส่วน รับมือภัยแล้งปีนี้

การดำเนินโครงการในครั้งนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น

ผลกระทบจากภัยแล้งและแนวทางช่วยเหลือ

พันเอก ไพโรจน์ ยะวิญชาญ ระบุว่า สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้มีความรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนและปริมาณน้ำฝนลดลง ส่งผลให้หลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลเขตชลประทานและพื้นที่สูง การดำเนินโครงการในปีนี้จึงมีมาตรการเร่งด่วน ได้แก่:

  • การแจกจ่ายน้ำ ให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
  • การจัดตั้งจุดจ่ายน้ำ ในพื้นที่ที่ขาดแคลน
  • การสนับสนุนยานพาหนะและยุทโธปกรณ์ เพื่อขนส่งน้ำไปยังพื้นที่ทุรกันดาร

ดำเนินการต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือประชาชน

จากข้อมูลของ ศบภ.มทบ.37 ในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการแจกจ่ายน้ำให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งไปแล้วกว่า 95,000 ลิตร ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในหลายพื้นที่ โครงการในปี 2568 จะยังคงเน้นการช่วยเหลือที่รวดเร็วและทั่วถึง พร้อมกับการวางแผนระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับมือกับภัยแล้งในอนาคต

สถิติภัยแล้งในประเทศไทยและแนวโน้มอนาคต

ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2567 ปริมาณน้ำฝนลดลงจากค่าเฉลี่ยถึง 20% ส่งผลให้หลายพื้นที่มีระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำต่ำกว่าค่ามาตรฐาน การคาดการณ์ในปี 2568 ชี้ว่า ภัยแล้งอาจทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง

โครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” จึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ช่วยบรรเทาผลกระทบและสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ประชาชนสามารถรับมือกับภัยแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายห่วงใย! ผู้ว่าฯ เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวไฟไหม้บ้าน

ผู้ว่าฯ เชียงราย เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้ประสบภัยไฟไหม้บ้านทั้งหลัง มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ให้กำลังใจครอบครัวผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้านทั้งหลังในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้บ้านและทรัพย์สินได้รับความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

เหตุการณ์ไฟไหม้และผลกระทบต่อครอบครัวผู้ประสบภัย

ไฟไหม้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ชุมชนสันโค้งหลวง ซอย 5 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยต้นเพลิงมาจากบ้านของ ส.อ.บุญศรี อายุ 88 ปี ซึ่งถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง ส่งผลให้ทรัพย์สินภายในบ้านมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ถูกเผาทำลายทั้งหมด

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลนครเชียงรายได้รับแจ้งเหตุและระดมกำลังเข้าควบคุมเพลิงโดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง จึงสามารถดับไฟได้สำเร็จ เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านและครอบครัวต้องสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด

ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจและมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจแก่ครอบครัวผู้ประสบภัย พร้อมทั้งนำสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมอบให้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

ผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายและทุกภาคส่วน พร้อมให้ความช่วยเหลือ และฟื้นฟูจิตใจของผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเน้นย้ำถึงความร่วมมือของชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ส.อ.บุญศรี ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้โดยเร็ว

“นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้า แต่สิ่งที่เราทำได้คือร่วมมือกันเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และทำให้ครอบครัวของ ส.อ.บุญศรี ได้รับการฟื้นฟูทั้งทางกายและใจ” นายชรินทร์กล่าว

เทศบาลนครเชียงรายเร่งประสานความช่วยเหลือเพิ่มเติม

ด้าน เทศบาลนครเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่าง การประเมินความเสียหาย และเตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม เบื้องต้นได้จัดหาสถานที่พักชั่วคราวสำหรับครอบครัว ส.อ.บุญศรี และกำลังพิจารณาแนวทางการสนับสนุนเงินเยียวยา

นอกจากนี้ หน่วยงานภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป สามารถร่วมบริจาคช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัย ผ่านกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยของจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะนำเงินไปใช้ในการฟื้นฟูที่อยู่อาศัยและความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สถิติไฟไหม้ในจังหวัดเชียงราย ปี 2567: เกิดเหตุไฟไหม้ทั้งสิ้น 58 ครั้ง (ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย)
  • มูลค่าความเสียหายจากเหตุไฟไหม้เฉลี่ยต่อปีในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 120 ล้านบาท (ที่มา: เทศบาลนครเชียงราย)
  • ระยะเวลาเฉลี่ยในการควบคุมเพลิงของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงในพื้นที่เชียงราย: 90-120 นาที (ที่มา: หน่วยกู้ภัยเชียงราย)
  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ในเชียงราย ปี 2567: 85 ครัวเรือน (ที่มา: สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย)

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย ขอให้ประชาชน เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าในช่วงฤดูแล้ง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ และหากพบเห็นเหตุการณ์ไฟไหม้สามารถแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 199 ตลอด 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพภาค 3 พัฒนาแหล่งน้ำ! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ป่าแดด

แม่ทัพภาค 3 ลุยป่าแดด! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม สร้างความมั่นคง

เชียงราย, 25 กุมภาพันธ์ 2568 – แม่ทัพภาคที่ 3 ลงพื้นที่ติดตามโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน อ.ป่าแดด

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้า “โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ” ณ พื้นที่สาธารณะประโยชน์ หลงช้างตาย อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างกองทัพบกและมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตามแนวคิดที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วม โดยคำนึงถึงลักษณะภูมิสังคมและความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่

ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร

โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 และได้แสดงผลสำเร็จที่ชัดเจนในการลดปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือของไทย ซึ่งในอดีตเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมและการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง การดำเนินงานเน้นการพัฒนาระบบน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มักสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร

ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ

สำหรับปีงบประมาณ 2567 กองทัพภาคที่ 3 ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 9 โครงการ, จังหวัดพะเยา 4 โครงการ, จังหวัดลำพูน 2 โครงการ, จังหวัดขอนแก่น 6 โครงการ และจังหวัดชัยภูมิ 10 โครงการ รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ การดำเนินงานเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 และมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2568 โดยมีการขุดดินทั้งหมด 3,058,018 ลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้ประชาชน 18,436 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตรกรรม 1,507,515 ไร่ ได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม โครงการนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ แต่ยังเพิ่มความมั่นคงในชีวิตและรายได้ให้แก่ชุมชนเกษตรกรในระยะยาว

หน่วยทหารช่าง

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ตรวจสอบการทำงานของหน่วยทหารช่าง ซึ่งกองทัพภาคที่ 3 ได้มอบหมายให้หน่วยต่าง ๆ เข้าร่วมปฏิบัติงาน ประกอบด้วย กองพลพัฒนาที่ 3, กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 302 กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 และกองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 หน่วยเหล่านี้ได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าปรับปรุงแหล่งน้ำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามกำหนดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

การตอบรับอย่างดีจากชุมชน

นอกจากการติดตามความคืบหน้าโครงการแล้ว พลโท กิตติพงษ์ ยังได้มอบถุงยังชีพที่มีเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน พร้อมมอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนในชุมชน เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในท้องถิ่น อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมและให้กำลังใจแก่กำลังพลจากหน่วยทหารที่จัดตั้งจุดบริการเคลื่อนที่ในพื้นที่ โดยมีทั้งการซ่อมรถยนต์, เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง, บริการตัดผม และการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชน


ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต

อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญปัญหาการจัดการน้ำมาอย่างยาวนาน เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มสลับกับเนินเขา และมีแม่น้ำพุงไหลผ่าน ซึ่งในอดีตมักเกิดน้ำท่วมในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาน้ำในการเพาะปลูกพืชผล เช่น ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วลิสง และลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของพื้นที่


มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานราก

การดำเนินงานของกองทัพภาคที่ 3 และมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ประชาชนในเขตชนบท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่นและการเกษตรอย่างทั่วถึง

ในระหว่างการลงพื้นที่ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลและรักษาแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว พร้อมทั้งยืนยันว่ากองทัพบกจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่มักถูกละเลยจากการพัฒนาในอดีต

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำฝนและความถี่ของภัยพิบัติในประเทศไทย โดยการฟื้นฟูแหล่งน้ำจะช่วยเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝน และกระจายน้ำไปยังพื้นที่เกษตรในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ปี 2567 พบว่า พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเฉลี่ย 20-30% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอำเภอป่าแดดที่มีประชากรราว 6,494 คน (ข้อมูลจากเทศบาลตำบลป่าแดด ปี 2561) และพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก
  • ข้อมูลจากมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ระบุว่า โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำตั้งแต่ปี 2559 ได้ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บทั่วประเทศกว่า 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลดีต่อครัวเรือนกว่า 500,000 ครัวเรือน (ที่มา: รายงานประจำปี 2566 มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พายุพัดถล่ม เวียงเชียงรุ้ง บ้านเรือนเสียหาย 130 หลัง

อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เร่งสำรวจความเสียหายและช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัย หลังพายุฝนถล่มกว่า 130 หลังคาเรือน

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน เร่งฟื้นฟูความเสียหาย

วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 08.30 น. นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย นำทีมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายจากพายุฝนที่พัดถล่มเมื่อคืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนในหลายพื้นที่ของอำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยเฉพาะ ตำบลป่าซางและตำบลทุ่งก่อ

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ มี ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) นายกองค์การบริหารส่วนตำบลป่าซาง เจ้าหน้าที่กองช่าง สมาชิกสภาจังหวัดเชียงรายในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขตเชียงของ ร่วมลงพื้นที่เพื่อสำรวจและประเมินความเสียหาย รวมถึงให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด

จากรายงานเบื้องต้น พบว่ามีบ้านเรือนได้รับความเสียหายรวมกว่า 130 หลังคาเรือน แบ่งเป็น

  • ตำบลทุ่งก่อ
    • หมู่ที่ 2 จำนวน 6 หลัง
    • หมู่ที่ 3 จำนวน 1 หลัง
  • ตำบลป่าซาง
    • หมู่ที่ 8 จำนวน 112 หลัง
    • หมู่ที่ 12 จำนวน 4 หลัง
    • หมู่ที่ 13 จำนวน 3 หลัง
    • หมู่ที่ 14 จำนวน 4 หลัง

เร่งฟื้นฟูบ้านเรือนประชาชน แจกจ่ายวัสดุก่อสร้างช่วยเหลือผู้เดือดร้อน

ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน เวลา 17.00 น. นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ มอบหมายให้นายพัฒนเศรษฐ์ เหมืองหม้อ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ประสานความร่วมมือกับ องค์การบริหารส่วนตำบลป่าซาง กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ดำเนินการ แจกจ่ายกระเบื้องมุงหลังคาให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากพายุในพื้นที่หมู่ที่ 5 หมู่ที่ 8 และหมู่ที่ 14 ตำบลป่าซาง รวมทั้งสิ้น 140 หลังคาเรือน

นายพัฒนเศรษฐ์ เปิดเผยว่า การให้ความช่วยเหลือครั้งนี้เป็นการดำเนินการเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนสามารถซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกัน ทางอำเภอเวียงเชียงรุ้งกำลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์เพิ่มเติม รวมถึงเตรียมจัดกำลังเจ้าหน้าที่และจิตอาสาเข้าช่วยเหลือการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

“ตอนนี้เราได้ลงพื้นที่สำรวจครบถ้วนแล้ว และกำลังดำเนินการแจกจ่ายวัสดุซ่อมแซมบ้านเรือนให้แก่ผู้ประสบภัย ในส่วนของบ้านที่เสียหายหนัก จะมีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าช่วยเหลือในระยะยาว” นายพัฒนเศรษฐ์ กล่าว

สภาพอากาศยังน่ากังวล ทางการเตือนประชาชนเฝ้าระวังพายุรอบใหม่

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า พื้นที่ภาคเหนือตอนบน รวมถึงจังหวัดเชียงราย ยังคงมีแนวโน้มเผชิญพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อบ้านเรือนประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนในพื้นที่สูง

ทางด้าน กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ตั้งแต่วันที่ 25-28 กุมภาพันธ์ 2568 จะมีแนวปะทะของมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน เคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้มีฝนตกหนักบางพื้นที่ และอาจเกิดลมกระโชกแรง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน

ทางจังหวัดเชียงราย ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับพายุฤดูร้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อีก

แผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะยาว

นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง เปิดเผยว่า อำเภอมีแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะยาว โดยประสานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และภาคเอกชน เพื่อระดมทรัพยากรในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

มาตรการหลักที่กำลังดำเนินการ ได้แก่

  • การสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม เพื่อประเมินจำนวนครัวเรือนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
  • การแจกจ่ายวัสดุก่อสร้างเพิ่มเติม เช่น ไม้ฝา กระเบื้องมุงหลังคา และอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน
  • การสนับสนุนด้านการเงินแก่ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ผ่านกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย
  • การจัดเตรียมแผนรับมือภัยพิบัติในอนาคต โดยร่วมมือกับหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

พายุผ่านไป แต่กำลังใจยังอยู่” – ชาวเวียงเชียงรุ้งร่วมมือฟื้นฟูบ้านเรือน

แม้ว่าพายุจะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนกว่า 130 หลังคาเรือน แต่ประชาชนในพื้นที่ยังคงมีกำลังใจดี และพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐในการฟื้นฟูบ้านเรือนของตนเอง

นายมนตรี แซ่ลิ้ม ชาวบ้านตำบลป่าซาง หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบจากพายุ กล่าวว่า แม้บ้านของตนจะได้รับความเสียหายบางส่วน แต่ยังรู้สึกดีใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากทางอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว

“เมื่อคืนพายุแรงมากครับ หลังคาบ้านปลิวไปเกือบครึ่ง แต่วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็รีบเข้ามาสำรวจและเอากระเบื้องมาให้ ช่วยกันคนละไม้ละมือ ซ่อมแซมกันไป ก็คงจะกลับมาอยู่ได้ในเร็วๆ นี้” นายมนตรี กล่าว

สรุปสถานการณ์โดยรวม

  • บ้านเรือนเสียหายกว่า 130 หลังคาเรือน ในตำบลป่าซางและตำบลทุ่งก่อ
  • เจ้าหน้าที่เร่งแจกจ่ายวัสดุก่อสร้างให้ผู้ได้รับผลกระทบ
  • เตือนประชาชนเฝ้าระวังพายุรอบใหม่ ในช่วง 25-28 กุมภาพันธ์
  • แผนช่วยเหลือในระยะยาวมุ่งเน้นการฟื้นฟูบ้านเรือน และสนับสนุนกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เจ้าหน้าที่จะยังคงเดินหน้าฟื้นฟูและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่า ชุมชนในอำเภอเวียงเชียงรุ้งจะกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เตือน ‘เชียงราย’ 2-3 วันนี้ อากาศแปรปรวน พายุฝนฟ้าคะนอง

ปภ.ช. เตือนอากาศแปรปรวน 2-3 วันนี้ ภาคใต้ฝนตกหนัก – กทม. ฝุ่นสูง

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) แจ้งเตือนสภาพอากาศแปรปรวนทั่วประเทศในช่วง 2-3 วันนี้ โดยเฉพาะภาคใต้ที่มีฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ค่าฝุ่นละออง PM2.5 สูงขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนที่สถานการณ์จะดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 24-26 กุมภาพันธ์

สถานการณ์อากาศและมลพิษ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาปภ.ช. เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เกิดเหตุไฟไหม้ป่าที่แหลมกระทิง จ.ภูเก็ต กินพื้นที่กว่า 10 ไร่ เจ้าหน้าที่ระดมกำลังควบคุมเพลิงจนสามารถดับได้ในเช้าวันนี้ พร้อมเตือนให้ทุกพื้นที่เฝ้าระวังไฟป่าและดำเนินการดับไฟให้เร็วที่สุด

กรมควบคุมมลพิษรายงานว่า คุณภาพอากาศในบางพื้นที่แย่ลงเมื่อเทียบกับวันก่อน โดยพบค่าฝุ่น PM2.5 ในระดับสีส้มในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง เช่น สิงห์บุรี และอ่างทอง ขณะที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด สถานการณ์ดีขึ้น ไม่มีพื้นที่สีแดง แต่ยังมีจังหวัดสีส้ม ได้แก่ ลำปาง, พิษณุโลก, น่าน, เชียงราย และตาก

คาดการณ์ฝุ่น PM2.5 และอากาศแปรปรวน

  • วันที่ 21-23 กุมภาพันธ์: ภาคกลางและกรุงเทพฯ จะมีค่าฝุ่นสูงขึ้น
  • วันที่ 24-26 กุมภาพันธ์: ลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดเข้ามา ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น
  • วันที่ 27-28 กุมภาพันธ์: มีโอกาสที่ค่าฝุ่นจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

จุดความร้อนและปัญหาไฟป่า

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จิสด้า) รายงานพบจุดความร้อน 264 จุดในประเทศไทย ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคอีสาน ขณะที่เมียนมา พบจุดความร้อนสูงสุดถึง 1,898 จุด รองลงมาคือ กัมพูชา ไทยอยู่ในอันดับที่ 4 โดยจังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุด ได้แก่:

  • ชัยภูมิ 47 จุด
  • ตาก 21 จุด
  • นครราชสีมา 18 จุด
  • ลพบุรี 15 จุด

กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือนอากาศแปรปรวน

  • ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีความชื้นสูงและอาจมีฝนตกบางพื้นที่
  • ภาคเหนือตอนล่างและภาคใต้มีฝนตก แต่ไม่สามารถลดระดับฝุ่นละอองได้มากนัก
  • วันที่ 23-25 กุมภาพันธ์ ต้องเฝ้าระวังพายุฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักใน ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
  • อ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ประชาชนริมฝั่งระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือขนาดเล็กในช่วงเวลาดังกล่าว

สรุป: เตือนอากาศแปรปรวน ฝุ่นสูง-ฝนตกหนัก ต้องเฝ้าระวัง

ปภ.ช. ขอให้ประชาชนติดตามพยากรณ์อากาศและปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงฝนตกหนักและค่าฝุ่นสูง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยในช่วงสัปดาห์นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

พะเยาคุมไฟป่าสำเร็จ เร่งหาสาเหตุ มทบ.34 แจงยิงปืนไม่เกี่ยว

พะเยาดับไฟป่าบ่อสิบสองแล้ว ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจ

พะเยา, 17 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้ว่าฯ พะเยา ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้บ่อสิบสอง ยืนยันสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว ด้าน มทบ.34 ปฏิเสธข้อกล่าวหา ซ้อมยิงปืนใหญ่ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

ผู้ว่าฯ พะเยาตรวจสอบไฟป่า บ่อสิบสอง

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 15.00 น. นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา พร้อมด้วย นายนิกร ยะกะจาย นายอำเภอเมืองพะเยา, นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เพื่อตรวจสอบจุดเกิดไฟไหม้และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่เข้าควบคุมสถานการณ์

นายถวิล จันธิยศ ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้พะเยา กรมป่าไม้ รายงานว่า ไฟป่าดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเปลวเพลิงได้ลุกไหม้เข้าพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง เจ้าหน้าที่จึงเร่งเข้าไปดับไฟและทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันการลุกลาม โดยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เบื้องต้นพบว่า พื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองได้รับความเสียหายประมาณ 5 ไร่

ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง และป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้ผู้นำท้องที่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ เพื่อลดความขัดแย้งและป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

มณฑลทหารบกที่ 34 ชี้แจงข้อเท็จจริง ไม่ใช่สาเหตุไฟป่า

มณฑลทหารบกที่ 34 (มทบ.34) ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ไฟป่าบ่อสิบสองเกิดจากการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ของทหาร ซึ่งทำให้เกิดไฟไหม้ลุกลามเป็นวงกว้างเสียหายกว่า 500 ไร่ โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

แถลงการณ์ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 หน่วย ป.4 พัน.17 ได้ดำเนินการฝึกยิงปืนใหญ่ที่ บ้านเกษตรพัฒนา โดยใช้พื้นที่เป้าหมายที่ เขาบ้านร่องปอ ก่อนการฝึก หน่วยงานทหารได้เข้าพบชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 7 และ 14 ตำบลดงเจน พร้อมร่วมประชุมและรณรงค์ป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

ต่อมาในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดไฟป่าลุกลามบริเวณใกล้เคียงกับจุดฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ อย่างไรก็ตาม มทบ.34 ยืนยันว่า กระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ในการฝึกซ้อมไม่มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดไฟป่า อีกทั้งหลังเกิดเหตุ ทางมณฑลทหารบกที่ 34 ได้จัดกำลังพลเข้าร่วมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการควบคุมเพลิงทันที

ทหารและเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่าง ๆ สนธิกำลังดับไฟป่า

ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสอง กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 17 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 4 ได้จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทานและชุดควบคุมไฟป่า เข้าสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมเพลิง โดยได้มีการเดินเท้าเข้าไปในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลามเพิ่มเติม

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.30 น. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สนธิกำลังกันเข้าไปดับไฟป่าในพื้นที่ ป่าหินบ่อสิบสอง ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา โดยทำการ สร้างแนวกันไฟ และปฏิบัติการควบคุมเพลิงจนสามารถดับไฟได้ทั้งหมด

เพจอย่างเป็นทางการของ มณฑลทหารบกที่ 34 ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ไฟป่าที่ลุกลามเกิดขึ้นในพื้นที่ป่านันทนาการบ่อสิบสองจริง แต่พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมีเพียง 5 ไร่ ไม่ใช่ 500 ไร่ตามที่เป็นข่าว ขณะที่พื้นที่ที่เหลือซึ่งได้รับผลกระทบเป็น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยบงและป่าห้วยเคียน โดยทางทหารได้เข้าร่วมสนับสนุนกำลังพลเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์

ผู้ว่าฯ พะเยาลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ ยืนยันไฟป่าดับสนิทแล้ว

ล่าสุด นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้นำคณะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุไฟป่า พร้อมรายงานว่าสถานการณ์ กลับสู่ภาวะปกติ และเจ้าหน้าที่สามารถ ดับไฟป่าได้ทั้งหมดแล้ว

ผู้ว่าฯ พะเยา กล่าวเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินมาตรการเฝ้าระวังไฟป่าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมเตรียมมาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืน

สรุป

เหตุไฟป่าในพื้นที่ ป่านันทนาการบ่อสิบสอง จังหวัดพะเยา ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมเรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่เสียหาย 5 ไร่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 34 ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่เป็นสาเหตุของไฟป่า พร้อมส่งกำลังพลเข้าช่วยดับเพลิงจนสถานการณ์คลี่คลาย

ขณะนี้จังหวัดพะเยาอยู่ระหว่างการ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังไฟป่า และขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการเผาในพื้นที่ เพื่อป้องกันปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

คุมไฟป่าห้วยบงใต้ นายอำเภอพานลงพื้นที่ สั่งเฝ้าระวังเข้ม

ดับไฟป่าห้วยบงใต้! เชียงรายเร่งป้องกันไฟป่าต่อเนื่อง

เชียงราย, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พบจุดความร้อนบริเวณบ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยขณะนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ขณะที่นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และสั่งการให้ผู้นำชุมชนประชาสัมพันธ์และตรวจตราอย่างเข้มงวด ห้ามประชาชนเข้าไปในเขตอุทยานเพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าซ้ำ

พบจุดความร้อนจากดาวเทียมและมาตรการเข้าควบคุมไฟป่า

ศูนย์เฝ้าระวังไฟป่ารายงานว่า จุดความร้อน (Hotspot) ถูกตรวจพบผ่านดาวเทียม Suomi NPP (ระบบ VIIRS) เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 02.26 น. โดยพบ 2 จุดในพื้นที่บ้านห้วยบงใต้ หมู่ 9 ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเจ้าหน้าที่จาก สถานีควบคุมไฟป่าแม่ปืม นำโดยนายสรายุทธ แก้วเสน หัวหน้าสถานี ได้ระดมกำลังพลจำนวน 8 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก จุดเฝ้าระวัง มป.11ก จำนวน 3 นาย ลงพื้นที่เพื่อดำเนินการควบคุมเพลิง และสามารถดับไฟได้สำเร็จภายในเวลา 11.30 น.

ความเสียหายและผลกระทบ

จากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า มีความเสียหายโดยประมาณ 70 ไร่ โดยสาเหตุของไฟป่ายังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เบื้องต้นคาดว่าอาจเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ หรือสภาพอากาศแห้งแล้งที่ทำให้เชื้อไฟสะสมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุที่แน่ชัด

นายอำเภอพานลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และกำชับมาตรการป้องกัน

เวลา 12.00 น. นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้เดินทางไปยังจุดเฝ้าระวังบ้านห้วยบงใต้เพื่อติดตามสถานการณ์ และสั่งการให้ผู้นำชุมชน ทั้ง ผู้ใหญ่บ้าน 2 หมู่บ้าน ในพื้นที่ทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงอันตรายของไฟป่า รวมถึงกำชับไม่ให้มีการเผาป่า หรือบุกรุกพื้นที่ป่าอนุรักษ์

นายสุรเชษฐ์ยังเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายปกครองท้องที่ อบต.ทานตะวัน และ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในแนวทางการป้องกันไฟป่า พร้อมมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

มาตรการระยะยาวป้องกันไฟป่า

นายอำเภอพานกล่าวว่า ไฟป่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากในช่วงฤดูแล้ง และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน รัฐบาลจึงมีมาตรการป้องกันและรับมือกับไฟป่าอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการดำเนินงานใน 3 แนวทางหลัก ได้แก่

  1. มาตรการเฝ้าระวังและแจ้งเตือน – ใช้ระบบดาวเทียมติดตามจุดความร้อนแบบเรียลไทม์ และเพิ่มจุดตรวจตราภาคพื้นดิน
  2. มาตรการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของชุมชน – ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของไฟป่า และส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการป้องกัน
  3. มาตรการบังคับใช้กฎหมาย – ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดที่เป็นต้นเหตุของไฟป่า

ผลกระทบและการตอบสนองของชุมชน

ไฟป่าที่เกิดขึ้นครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคุณภาพอากาศและระบบนิเวศของป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ปืม อย่างไรก็ตาม การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันเวลา ขณะเดียวกัน ชาวบ้านในพื้นที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการช่วยสอดส่องดูแล และแจ้งเบาะแสหากพบเหตุผิดปกติ

สรุป

ไฟป่าบริเวณบ้านห้วยบงใต้ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ซึ่งถูกตรวจพบเมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการควบคุมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง ความเสียหายโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 70 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนสาเหตุ นายอำเภอพานลงพื้นที่กำชับให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาไฟป่า รวมถึงบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานป้องกันไฟป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายพร้อมรับมือภัยพิบัติ ด้วยโครงการเตรียมความพร้อม

เชียงรายเตรียมความพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติ

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศูนย์การเรียนรู้ด้านสาธารณภัย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมโครงการเตรียมความพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเพื่อรับสถานการณ์ภัยพิบัติ ของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย และภาคีเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือและบรรเทาภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องมือที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อให้การปฏิบัติงานสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในกรณีเกิดภัยพิบัติ โดยมีเจ้าหน้าที่จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 รวมถึงภาคีเครือข่ายจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้

ในพิธีเปิดงาน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือและบุคลากรในการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น โดยกล่าวว่า “ศูนย์ปภ.เขต 15 และภาคีเครือข่ายต่างๆ ได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที หากเกิดภัยพิบัติขึ้นในพื้นที่”

กิจกรรมที่จัดขึ้นในวันนี้ประกอบด้วยการตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน การตรวจความพร้อมของเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงการสาธิตการใช้งานเครื่องมือและยานพาหนะที่ใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยมีการสาธิตการใช้งานเครื่องจักรกลในการขนย้ายสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยและการนำยานพาหนะที่เหมาะสมมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

การเตรียมความพร้อมในครั้งนี้ยังมีการฝึกซ้อมและสาธิตการปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่เกิดภัยพิบัติจริง เช่น การใช้เครื่องมือในการดับไฟ การใช้ยานพาหนะเพื่อขนย้ายผู้บาดเจ็บ การให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการน้ำท่วมและการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ

จากการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมทั้งในด้านบุคลากรและเครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งจะสามารถรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาทักษะและความสามารถของบุคลากรในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

สำหรับกิจกรรมในอนาคตทางศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงรายยังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความพร้อมในด้านต่างๆ และจะร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในทุกระดับเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้จังหวัดเชียงรายพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ประชาชนในจังหวัดเชียงรายอย่างยั่งยืน

สรุปข่าว

จังหวัดเชียงรายเปิดกิจกรรมเตรียมความพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัย เพื่อรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติในปี 2568 โดยมุ่งเน้นการฝึกซ้อมและตรวจความพร้อมของเครื่องมือ และบุคลากรที่มีทักษะสูง พร้อมร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่างๆ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ปลัด มท. ชี้น้ำท่วมพะเยาลด เตรียม Big Cleaning เตือนอย่าชะล่าใจ

 

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยกล่าวว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (16 ก.ย. 67) ที่จังหวัดพะเยา บริเวณมหาวิทยาลัยพะเยา ได้เกิดน้ำป่าไหลหลากจากฝนตกหนัก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่โดยรอบ ซึ่งนายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้ลงพื้นที่บัญชาการเหตุการณ์ร่วมกับนายอำเภอเมืองพะเยา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้โทรศัพท์รายงานทุกระยะ ทั้งนี้ ได้มีการระดมสรรพกำลัง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองท้องถิ่น อส. อปพร. ไปช่วยตั้งแต่ 05.00 น. กระทั่งเมื่อเช้าก่อน 10.00 น. ได้ยกหูโทรศัพท์สอบถามท่านผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ซึ่งยังอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ทำให้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ฝนจำนวนมากตกอยู่บริเวณพื้นที่ป่าจังหวัดลำปางเขตติดต่อจังหวัดพะเยา แต่เนื่องจากอยู่บนพื้นที่สูงกว่า จึงกลายเป็นน้ำป่าไหลลงมาท่วมขัง เพราะจริง ๆ แล้วบริเวณพื้นที่มหาวิทยาลัยพะเยาไม่เคยมีน้ำท่วมเพราะอยู่ที่สูง แต่คราวนี้น้ำมันไหลมาจากที่สูงกว่า แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว และผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาจะระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนไป Big Cleaning ทันทีต่อไป

“ในขณะเดียวกันทางจังหวัดเชียงราย จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดนครพนม และจังหวัดพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นมากจนเข้าใกล้ที่จะไว้วางใจได้ แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ยังมีระดับน้ำสูงอยู่อย่างใกล้ชิด เพราะถ้าบังเกิดฝนฟ้าตกลงมาหนักอีก อาจส่งผลให้เกิดสถานการณ์ซ้ำ อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้ กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่าปริมาณฝนไม่มาก จะเป็นฝนที่ตกตามฤดูกาลปกติ แต่ก็อาจจะมีฝนที่เกิดจากการก่อตัวของกลุ่มเมฆที่เราไม่คาดคิดได้ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้ระแวดระวังป้องกันด้วยการยกเครื่องใช้ไฟฟ้า ยกข้าวของที่จำเป็น รวมถึงเอกสารสำคัญขึ้นที่สูงได้ก็จะเป็นการเตรียมการที่ดี และที่สำคัญ ขอให้เชื่อการแจ้งเหตุของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ อปพร. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถ้าแจ้งเตือนอย่างไรขอให้เชื่อกัน และขอย้ำว่า กันไว้ดีกว่าแก้ พอฝนเริ่มตกก็อย่าชะล่าใจว่ารอให้มันหนักกว่านี้แล้วถึงจะยก” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้น
 
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ดีในเชิงระบบ เป็นที่น่าดีใจที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รับบัญชาจากท่านแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และท่านอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการที่จะเพิ่มการแก้ไขในจุดอ่อนของการป้องกันสถานการณ์ภัย คือ “การเตือนภัยด้วยการทำระบบ Cell Broadcast” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการส่งข้อความไปยังผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหลายรายในพื้นที่ที่กำหนดพร้อมกันได้อย่างทั่วถึงเป็นรายบุคคล เพราะตอนนี้เรายังใช้ลักษณะเตือนภัยแบบภาพรวมด้วยการใช้คนออกวิทยุกระจายเสียง ออกหอกระจายข่าว หรือใช้คนวิ่งไปบอก ซึ่งมันไม่ทันการณ์ โดยแต่เดิมตามแผนระบบดังกล่าวจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2568 
 
แต่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายว่าต้องทำให้เร็วที่สุดก่อนแผน ซึ่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สายงานโทรคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ในการขอความร่วมมือผู้ให้บริการเครือข่าย AIS True และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ร่วมกันดำเนินการส่งข้อความแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าผ่านโทรศัพท์มือถือ (SMS) ทั้งการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า 12-24 ชั่วโมง และการแจ้งเตือนภัยแบบฉุกเฉิน 6 -12 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับข้อมูลการแจ้งเตือนภัยและสามารถเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างทันท่วงทีและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
 
“ถึงอย่างไรเสีย ตอนนี้สังคมต้องคุยกันให้ชัดว่าที่ทำอยู่นี้มันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนหรือการแก้ปัญหาที่จะเกิดประโยชน์ในระยะยาว เราต้องเอาจริงเอาจังกับการเพิ่มจำนวนต้นไม้ เพิ่มจำนวนป่าไม้ให้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะพื้นที่ที่ประสบปัญหารุนแรงส่วนใหญ่จะอยู่พื้นที่ที่อยู่ติดกับเชิงเขา เพราะตอนนี้ภูเขาในทุกภูมิภาคของไทยเราต้องยอมรับสภาพว่า “ต้นไม้ยืนต้นมันหายไปเยอะ” ถูกแปลงจากป่าที่อุดมสมบูรณ์กลายเป็นสวนยาง เป็นไร่ข้าวโพดก็เยอะ เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเอาภัยอันตรายที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องกระตุ้น ทำให้คนในสังคมช่วยกันให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูป่าไม้ให้มากขึ้นอย่างจริงจัง และอย่างได้ผลจริง ไม่ใช่ว่าระดมกันไปปลูกแล้วก็ทิ้ง ต้นที่ปลูกไว้ก็จะตาย” นายสุทธิพงษ์ กล่าวเน้นย้ำ
 
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนในการแก้ไขปัญหาเชิงภูมิประเทศพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 ในขณะลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน ท่านชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ได้จัดทำเอกสารเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในการที่จะนำข้อมูลแต่ละพื้นที่ ทั้งแม่สายและพื้นที่ต่าง ๆ ไปปรับปรุงในเชิงระบบ ซึ่งเมื่อวานนี้ได้เห็นข่าวที่เป็นผลต่อเนื่องหลังจากท่านนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่แม่สาย ก็คือ ท่านมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
 
ได้ประสานงานไปที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในการนำข้อเสนอแนะของนายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย นายอำเภอแม่สาย และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายไปสู่การปฏิบัติโดยทันที เพราะว่าน้ำที่แม่สายต้นทางมาจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และแม่น้ำแม่สายเป็นแม่น้ำระหว่างสองประเทศ แสดงให้เห็นว่าบัญชาของท่านนายกรัฐมนตรีจะนำไปสู่การตั้งโต๊ะนั่งคุยกันว่าประเทศไทยจะช่วยเมียนมาได้อย่างไร ร่วมกันได้อย่างไร และจะพัฒนาพื้นที่ฝั่งไทยตรงเขตแดนระหว่างประเทศได้อย่างไร
 
นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า สำหรับประเด็นการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยในด้านการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ท่านนายกรัฐมนตรีก็เน้นย้ำให้ช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและเพิ่มเติม top up เข้าไป เพราะตามระเบียบราชการช่วยได้น้อย และช่วงสายวันนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 3,045.519 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 
 
ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีจ่ายเงินที่ ครม. กำหนด โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะเป็นหน่วยรับงบประมาณและดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ซึ่งทางธนาคารจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัยที่มีสิทธิโดยตรงผ่านระบบพร้อมเพย์ต่อไป นอกจากนี้ เมื่อวานนี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้นำเสนอเรื่องการบรรเทาความเดือดร้อนค่าไฟและค่าน้ำ 
 
ซึ่งที่ประชุมก็ได้เห็นชอบที่จะช่วยเหลือและเยียวยา และในส่วนข้อเสนออื่น ๆ ท่านนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกพื้นที่ให้นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงต่อนายกรัฐมนตรีเลยว่า ปัญหานี้จะแก้อย่างไร มีแนวทางข้อแนะนำจากพื้นที่อย่างไรให้เสนอมา ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะทำให้การแก้ปัญหาตรงจุด เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องด้วยการใช้แนวทาง Bottom Up แล้วท่านนายกรัฐมนตรีก็จะช่วยสนับสนุนในลักษณะ Top Down ระดมกำลังของทุกกระทรวงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News