Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐบาลคุมเข้ม! ตั้งคณะทำงานพิเศษจัดการสารพิษแม่น้ำกก ขจัดความกังวล

นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างใกล้ชิด สั่งหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนเร่งดูแลความปลอดภัยประชาชน-ตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจ

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกซึ่งเป็นสายธารหลักเชื่อมต่อระหว่างเมียนมากับภาคเหนือของไทยเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ สถานการณ์นี้นำมาซึ่งความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารบางชนิดที่อาจมากับกระแสน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำของแม่น้ำสายสำคัญดังกล่าว

ล่าสุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ส่วนตัว ยืนยันว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนทุกเรื่อง
“ดิฉันขอยืนยันว่ารัฐบาลติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เรารวบรวมข้อมูลจากรายงานของทุกภาคส่วนทั้งในไทยและเมียนมา รวมถึงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA และการลงพื้นที่จริงของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับกองทัพ เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” นายกรัฐมนตรีระบุ

ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ-เดินหน้าเจรจาระดับทวิภาคีและพหุภาคี

ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาความมั่นคงแห่งชาติ และเหล่าทัพ เพื่อวางแผนรับมือในทุกมิติ พร้อมแต่งตั้ง “คณะทำงานด้านเทคนิค” นำโดยรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง โดยมี GISTDA กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรฯ และกองทัพ ร่วมเป็นคณะกรรมการหลัก

หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการเร่งประเมินสถานการณ์สารปนเปื้อน และเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงด้านน้ำสะอาดของประชาชน และการขับเคลื่อนการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เพื่อสร้างมาตรการรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีระบุว่า “กระบวนการเจรจาอาจใช้เวลา แต่เราต้องรีบแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนในระยะสั้นควบคู่กันไป”

ลงพื้นที่ตรวจสอบ-ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานเฉพาะกิจ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และรับมือสถานการณ์อย่างรัดกุม เบื้องต้นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มงวด ทั้งการสุ่มตรวจสารปนเปื้อน ตลอดจนการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนรองรับสถานการณ์หากมวลน้ำจากฝนตกหนักในเมียนมาไหลเข้ามาเพิ่มเติม โดยพิจารณาการสร้างฝายหรือเขื่อนดักตะกอนในระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการลดการแพร่กระจายของสารปนเปื้อนและควบคุมคุณภาพน้ำในอนาคต

ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยน้ำประปา-แจกเครื่องกรองน้ำครัวเรือน

แม้จะมีความเสี่ยงจากน้ำดิบในลำน้ำกก แต่รัฐบาลยืนยันว่ามาตรการด้านสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนจะต้องเข้มงวดสูงสุด น้ำประปาทั้งจากการประปาภูมิภาคและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
รวมถึงการกระจายเครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) ระดับครัวเรือนไปยังพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง ขณะที่ในพื้นที่ห่างไกล การประปาได้เตรียมจุดจ่ายน้ำประปาเคลื่อนที่และติดตั้งแทงค์สำรองน้ำ เพื่อรับประกันว่าประชาชนจะไม่ขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า “ประชาชนจะต้องได้รับความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยในสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกคน”

การบริหารจัดการวิกฤตการณ์และแนวโน้มข้ามพรมแดน

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงที่มีความเชื่อมโยงทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การรับมือในระยะสั้นผ่านศูนย์เฝ้าระวัง และการจัดการน้ำสะอาดนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน ขณะเดียวกัน การดำเนินงานในระยะยาว เช่น การเจรจาระหว่างประเทศและการพัฒนามาตรการโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

กรณีแม่น้ำกกนี้จึงนับเป็นบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและรักษาความมั่นคงของสิ่งแวดล้อมไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ.เชียงราย ลุยน้ำท่วมแม่สาย

อบจ.เชียงรายเร่งลงพื้นที่รับมืออุทกภัยแม่สาย น้ำสายล้นตลิ่งท่วมชุมชนบ้านปิยะพร

เชียงราย, 30 พฤษภาคม 2568 – จากอิทธิพลของฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดหลายวัน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดภาวะน้ำล้นตลิ่งและไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนบ้านปิยะพร ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ทำให้ประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังในบริเวณบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) พร้อมด้วยคณะทำงาน ประกอบด้วย นายเสน่ห์ ปัญญาดี ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่บ้านปิยะพรอย่างเร่งด่วนเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเบื้องต้น

กระสอบทราย-กำลังใจ แผนช่วยเหลือด่วนจาก อบจ.เชียงราย

อบจ.เชียงราย ได้ดำเนินการจัดส่งกระสอบทรายให้แก่ประชาชนที่ประสบภัย เพื่อนำไปวางกั้นน้ำบริเวณบ้านพักอาศัยและจุดเสี่ยงของหมู่บ้าน ทั้งยังให้กำลังใจเจ้าหน้าที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และอาสาสมัครที่ร่วมลงพื้นที่อย่างไม่ย่อท้อในการควบคุมสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้

การบูรณาการระหว่างหน่วยงานในพื้นที่

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจาก ร.ต.อ.เด่นวุฒิ จันต๊ะขัติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะช้าง พร้อมด้วยผู้นำท้องถิ่น ซึ่งร่วมกันประเมินสถานการณ์น้ำร่วมกับ อบจ.เชียงราย และหารือแนวทางการรับมือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ภัยพิบัติอย่างมีแผนรองรับ

นายก อบจ.เชียงราย ยืนยันว่า อบจ.เชียงรายพร้อมบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างทันท่วงที ลดความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยให้ได้มากที่สุด

ความเสี่ยงซ้ำซ้อนจากภูมิประเทศและภาวะโลกร้อน

พื้นที่อำเภอแม่สายถือเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากของจังหวัดเชียงราย เนื่องจากมีลักษณะภูมิประเทศติดแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่รับน้ำจากฝั่งประเทศเมียนมาและลุ่มน้ำฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงราย เมื่อฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องหรือเกิดฝนตกในฝั่งเมียนมา ก็มีโอกาสสูงที่ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและล้นตลิ่งดังเช่นครั้งนี้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้ปริมาณฝนในภาคเหนือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-10% ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา และอาจกระทบต่อแผนบริหารจัดการน้ำในระดับท้องถิ่นที่ยังขาดระบบระบายน้ำถาวรในบางพื้นที่

ความเชื่อมโยงเชิงพื้นที่และผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

นอกจากบ้านปิยะพร ยังมีพื้นที่ใกล้เคียง เช่น บ้านป่าซาง บ้านเกาะช้าง ที่เริ่มมีรายงานน้ำล้นตลิ่งเบื้องต้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรมโดยเฉพาะสวนข้าวโพดและไร่ชาในเขตอำเภอแม่สายตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัด

อบจ.เชียงราย ได้เตรียมประสานงานกับสำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เพื่อจัดเก็บข้อมูลความเสียหายด้านเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ พร้อมจัดทำรายงานนำเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยเพื่อของบประมาณเยียวยาต่อไป

แนวโน้มอุทกภัยต้องใช้ ‘ระบบจัดการ’ ไม่ใช่เพียง ‘การบรรเทา’

แม้การลงพื้นที่อย่างเร่งด่วนของ อบจ.เชียงราย จะช่วยบรรเทาผลกระทบในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการลงทุนด้านระบบป้องกันน้ำท่วมถาวร เช่น การขุดลอกคูคลอง การสร้างเขื่อนป้องกันริมแม่น้ำ และการพัฒนาระบบระบายน้ำในชุมชน

ในระยะยาว จังหวัดเชียงรายจำเป็นต้องเร่งทำแผนป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติแบบองค์รวม พร้อมปรับปรุงระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) ให้ทันสมัย เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสามารถเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในอำเภอแม่สายช่วงวันที่ 25-29 พฤษภาคม 2568: 137 มม. (ที่มา: ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ)
  • ระดับน้ำแม่น้ำสายวันที่ 30 พ.ค. 2568 สูงกว่าระดับตลิ่ง 0.7 เมตร (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ)
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซากใน อ.แม่สาย: 5 ตำบล 18 หมู่บ้าน (ที่มา: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย)
  • ความเสียหายเบื้องต้น: บ้านเรือน 46 หลังได้รับผลกระทบ, พื้นที่เกษตรกว่า 130 ไร่ (ที่มา: อบจ.เชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ป่อเต็กตึ๊งทุ่ม 511 ล้าน ช่วยเหลือ-รักษา-สร้างชีวิต

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเปิดผลงานปี 2567 ทุ่มงบ 511 ล้าน ช่วยเหลือประชาชนกว่า 1.4 แสนราย เตรียมเปิดศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาวภายในปีนี้

กรุงเทพฯ – 26 พฤษภาคม 2568 ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมคณะกรรมการมูลนิธิ แถลงผลงานประจำปี 2567 โดยระบุว่า มูลนิธิฯ ยังคงยึดมั่นในปณิธาน “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ตลอดระยะเวลา 115 ปีของการดำเนินงาน โดยในปีนี้ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 511 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ 501 ล้านบาท

สามภารกิจหลัก ครอบคลุมการช่วยเหลือทุกมิติ

นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ เปิดเผยว่า งบประมาณกว่า 511 ล้านบาท ถูกจัดสรรเพื่อภารกิจ 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. การช่วยชีวิต: มูลนิธิฯ มีทีมบรรเทาสาธารณภัย อาสากู้ภัย และทีมฌาปนกิจ ซึ่งออกปฏิบัติงานทั่วประเทศ โดยมีสายด่วน 1418 และแอปพลิเคชันรองรับการแจ้งเหตุฉุกเฉิน สถิติปี 2567 มีผู้ขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วนมากถึง 140,000 สาย พร้อมให้การช่วยเหลือด้านนิติเวช และรับฝากฝังศพไร้ญาติ ณ สุสานจังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้งบรวมกว่า 166 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ได้รับการช่วยเหลือกว่า 491,905 ราย
  2. การรักษาชีวิต: มูลนิธิฯ ให้บริการแพทย์สงเคราะห์ชุมชนในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และพื้นที่ห่างไกล สนับสนุนอุปกรณ์การแพทย์แก่โรงพยาบาลขาดแคลน รวมถึงร่วมมือกับโรงพยาบาลหัวเฉียวและคลินิกแพทย์แผนจีนหัวเฉียว โดยใช้งบประมาณกว่า 38.4 ล้านบาท
  3. การสร้างชีวิต: ดำเนินโครงการเพื่อการศึกษา การส่งเสริมอาชีพ และคุณภาพชีวิตกว่า 10 โครงการ เช่น โครงการทุนการศึกษา อบรมวิชาชีพ และสนับสนุนชุมชน งบรวมกว่า 278 ล้านบาท มีผู้ได้รับการสงเคราะห์รวม 956,645 ราย

ผลงานด้านการแพทย์ การศึกษา และศาสนา

แพทย์หญิงมนนภา ขุนณรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลหัวเฉียว เปิดเผยถึงโครงการช่วยเหลือ 7 โครงการ รวมงบกว่า 29 ล้านบาท โดย 3 โครงการหลัก ได้แก่ การช่วยผู้ป่วยฟอกไต (12 ล้านบาท) การใช้รถ X-Ray Digital Mobile (7.4 ล้านบาท) และโครงการค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยยากไร้ (2 ล้านบาท)

ขณะที่นายอรัญ เอี่ยมสุรีย์ ผู้อำนวยการคลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว เผยว่า คลินิกให้บริการผู้ป่วยรวมกว่า 325,720 รายในปี 2567 ผ่านโครงการหลากหลาย เช่น โครงการสงเคราะห์โรคหลอดเลือดสมอง การแจกสมุนไพร และกิจกรรมสาธารณสุขเชิงรุก

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กล่าวถึง 4 มิติเด่น ได้แก่ 1. หลักสูตรใหม่ 3 หลักสูตร 2. รายวิชาบ่มเพาะจิตอาสา 3. งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อชุมชน 4. โครงการบริการสังคม 40 โครงการ งบรวมกว่า 30 ล้านบาท

ก่อสร้างศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาว คืบหน้าเกือบสมบูรณ์

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ระบุว่า ศาลเจ้าไต้ฮงกงหยกขาว ที่ตั้งอยู่ภายในสวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มีความคืบหน้าโดยรวมแล้วกว่า 96.25% งานโครงสร้างอาคารเสร็จแล้ว 100% และตกแต่งประติมากรรมจีนกว่า 90% โดยคาดว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะได้ภายในปี 2568

เมื่อวันที่ 19 มกราคม และ 19 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิฯ จัดพิธีเบิกเนตรและพุทธาภิเษกศาลเจ้า โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคณะสงฆ์จีนนิกายกว่า 15 รูปเจริญพุทธมนต์ เป็นศูนย์รวมพลังศรัทธาและแลนด์มาร์กใหม่ด้านศาสนาและวัฒนธรรม

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งใช้งบประมาณรวมปี 2567: 511 ล้านบาท
  • ผู้ได้รับการช่วยเหลือรวม: 1,774,270 ราย
  • งบด้านช่วยชีวิต: 166 ล้านบาท (491,905 ราย)
  • งบด้านรักษาชีวิต: 38.4 ล้านบาท
  • งบด้านสร้างชีวิต: 278 ล้านบาท (956,645 ราย)
  • โทรศัพท์สายด่วน 1418: กว่า 140,000 สาย
  • ผู้ป่วยที่รับบริการจากคลินิกแพทย์แผนจีนหัวเฉียว: 325,720 ราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
  • โรงพยาบาลหัวเฉียว
  • มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์มูลนิธิฯ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กอ.รมน.เชียงราย เตรียมแผนป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

กอ.รมน.เชียงราย จับมือท้องถิ่นเตรียมรับมืออุทกภัยแม่สาย งวดที่ 2 ประจำปี 2568 เดินหน้าวางแผนบูรณาการร่วมทุกภาคส่วน

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จังหวัดเชียงราย โดย พันโทนิรุธ ณ ลำปาง รองหัวหน้ากลุ่มงานประสานความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอแม่สาย เร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย งวดที่ 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อรับมือสถานการณ์อุทกภัยในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

จากปัญหาซ้ำซากสู่แนวทางรับมือ: การลงพื้นที่ร่วมภาคีเครือข่าย

เมื่อเวลา 09.30 น. ของวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 กอ.รมน.เชียงราย ลงพื้นที่พบปะประสานการปฏิบัติร่วมกับนายวรรณศิลป์ จีระกาศ ปลัดเทศบาล ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย เพื่อติดตามสถานการณ์และความคืบหน้าในการเตรียมรับมืออุทกภัยในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้ครอบคลุมการตรวจสอบสภาพคลองภายในชุมชน บริเวณบ้านหัวฝาย ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน โดยมีการตรวจความคืบหน้าการขุดลอกและทำผนังกันน้ำที่ดำเนินการโดยทหารช่าง รวมถึงการวางแนวทางในการขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำและเร่งรัดการเตรียมระบบแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สรุปข้อเสนอและแนวทางแก้ไขปัญหาจากเวทีหารือ

การหารือร่วมระหว่าง กอ.รมน.และเทศบาลตำบลแม่สายได้ข้อสรุปเบื้องต้น ดังนี้:

  1. เทศบาลตำบลแม่สายดำเนินการขุดลอกท่อและคลองภายในชุมชนแล้วจำนวน 4 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา
  2. ปัญหาหลักคือเมื่อตกฝนหนัก มวลน้ำและทรายจากพื้นที่สูงไหลเข้าสู่ทางระบายน้ำ ทำให้เกิดการอุดตันอย่างรวดเร็ว
  3. เทศบาลยังประสบปัญหาด้านงบประมาณในการดูแลรักษาและขุดลอกระบบระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง
  4. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางระบายน้ำได้รับการมอบหมายให้ทหารช่างดำเนินการ โดยเทศบาลจะเป็นผู้ประสานงานกับชาวบ้าน
  5. ตลาดสายลมจอย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ มีการเช่าพื้นที่ล่วงหน้าในระยะยาว 4-5 ปี โดยแม่ค้ายืนยันไม่ขอย้ายออกและยอมรับความเสี่ยงกรณีเกิดอุทกภัยโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาล
  6. เทศบาลมีแผนการแจ้งเตือนและอพยพประชาชนอย่างเป็นระบบหากเกิดเหตุอุทกภัยฉับพลัน
  7. ประชาชนในพื้นที่มีความตื่นตัวและให้ความร่วมมือกับทางราชการเป็นอย่างดี
  8. เทศบาลแม่สายได้ขอประสานกับ กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย เพื่อแจ้งหน่วยงานอื่น ๆ ได้แก่ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จว.ชร.), หน่วยทหาร, ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย เพื่อจัดทำแผนรับมืออุทกภัยและซักซ้อมการอพยพให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งหมด

วิเคราะห์ภาพรวมและผลกระทบเชิงระบบ

จากการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.เชียงราย พบว่าปัญหาอุทกภัยในพื้นที่แม่สายเป็นปัญหาซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากแนวเทือกเขาด้านตะวันตกของอำเภอ ซึ่งทำให้เกิดน้ำหลากรุนแรงและรวดเร็ว

แนวทางที่ได้รับการเสนอจากนักวิชาการท้องถิ่นประกอบด้วยการพัฒนาระบบ Early Warning System (EWS) โดยอาศัยเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำฝนและน้ำหลาก รวมถึงการสร้างฝายชะลอน้ำและบ่อพักน้ำในชุมชน เพื่อแบ่งเบาภาระของระบบระบายน้ำหลัก

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากรายงานของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า อำเภอแม่สายมีเหตุอุทกภัยเกิดขึ้น 6 ครั้ง มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 3,100 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรเสียหายมากกว่า 1,800 ไร่
  • รายงานจากเทศบาลตำบลแม่สาย ปี 2567 พบว่าในช่วงฤดูฝน มีการขุดลอกท่อระบายน้ำเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง แต่ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นทุกปี
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ปี 2568 ภาคเหนือจะมีฝนตกสูงกว่าค่าเฉลี่ย 15% โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์พยากรณ์อากาศภาคเหนือ กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เตรียมพร้อม เชียงรายวางแผน สู้ภัยพิบัติ “น้ำท่วม” ไม่ประมาท

เชียงรายประชุมวางแผนรับมือภัยพิบัติ เน้นเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง-ซ้อมรับมือ-สื่อสารชัดเจนก่อนวิกฤติ

เชียงราย, 14 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเชิงรุกประชุมวางแผนบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันความสูญเสียจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมุ่งเน้นการจัดทำแผนเผชิญเหตุล่วงหน้า การซักซ้อมแผนในพื้นที่เปราะบาง และการสื่อสารเตือนภัยแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและทั่วถึง

ผู้ว่าฯ นำทีมประชุมกำหนดทิศทางรับมือภัยพิบัติ

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการจัดการภัยพิบัติของจังหวัด โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางเชิงปฏิบัติที่ชัดเจนในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะอุทกภัย ซึ่งเป็นปัญหาที่จังหวัดเชียงรายเผชิญหน้าในรอบหลายปีที่ผ่านมา

จัดทำแผนเผชิญเหตุครอบคลุมทุกระดับ

ที่ประชุมมีมติให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคความมั่นคง และภาคประชาชน ต้องร่วมมือกันจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัยอย่างละเอียด โดยเน้นระดับพื้นที่ให้ครอบคลุมตั้งแต่ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงระดับจังหวัด

ในแผนดังกล่าว แบ่งพื้นที่เป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. พื้นที่เปราะบาง ที่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิดน้ำท่วม เช่น โรงพยาบาล ศูนย์สุขภาพ หมู่บ้านชุมชนแออัด และเส้นทางคมนาคมสายหลัก
  2. พื้นที่รองรับน้ำ ที่อาจต้องถูกใช้เป็นที่รองรับกรณีเกิดภาวะวิกฤติ เช่น ที่ราบลุ่ม ชุมชนใกล้แหล่งน้ำ หรือพื้นที่โล่งกลางเมือง ซึ่งจะต้องมีแผนรองรับกรณีอพยพ การจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ระบบสนับสนุนด้านสุขภาพและอาหาร ตลอดจนการประสานงานข้ามหน่วยงานให้พร้อมใช้งานทันที

ฝึกซ้อมแผนให้พร้อมใช้จริง ไม่ต้องรอภัยพิบัติมาก่อน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำว่า “แผนจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่มีการฝึกซ้อม” ดังนั้นจึงมีมติให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุในพื้นที่เปราะบางเป็นประจำ โดยไม่จำเป็นต้องรอการฝึกขนาดใหญ่ของจังหวัด

การฝึกซ้อมควรครอบคลุมทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับชุมชนหรือหมู่บ้านที่มีความเสี่ยง ไปจนถึงการซ้อมแผนในระดับตำบล อำเภอ และศูนย์บัญชาการจังหวัด เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับเจ้าหน้าที่ ประชาชน และอาสาสมัครในพื้นที่

ระบบเตือนภัยต้องเป็นข้อมูลเรียลไทม์ เข้าใจง่าย เข้าถึงได้

อีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบยกในการประชุมครั้งนี้ คือ “ระบบเตือนภัย” โดยมีข้อเสนอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันติดตามข้อมูลจากสถานีตรวจวัดน้ำฝนและระดับน้ำท่าทั้งแบบอัตโนมัติและแบบตรวจสอบด้วยคน (manual)

ข้อมูลทั้งหมดต้องถูกรวบรวมและแสดงผลแบบ REAL-TIME พร้อมมีการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ การแจ้งเตือนผ่านเสียงตามสาย หอกระจายข่าว หรือข้อความ SMS รวมถึงการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยไม่ใช้ศัพท์ทางเทคนิคมากเกินไป เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามได้ทันท่วงที

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงต้นแบบฝึกซ้อมแผน

เพื่อเป็นต้นแบบของการดำเนินการฝึกซ้อมแผนป้องกันภัยพิบัติ ที่ประชุมมีมติให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดการฝึกซ้อมในวันที่ 9 มิถุนายน 2568 โดยใช้แผนเผชิญเหตุที่วางร่วมกับหน่วยงานรัฐ พร้อมทดสอบระบบเตือนภัย การอพยพ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการประสานงานในสถานการณ์วิกฤติอย่างครบวงจร

การฝึกซ้อมครั้งนี้จะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานอื่น ๆ มาร่วมสังเกตการณ์และศึกษาแนวทางการจัดการ เพื่อขยายผลสู่ชุมชนและพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงราย

บทสรุปและแนวทางต่อยอด

แนวทางทั้งหมดที่ประชุมเห็นชอบในครั้งนี้ เป็นการกำหนดรากฐานของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการ ซึ่งไม่เพียงป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่ยังเป็นต้นแบบที่สามารถขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ได้

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า “เราไม่สามารถหยุดฝนได้ แต่เราสามารถหยุดความสูญเสียได้ หากเรามีแผนที่ดีและซ้อมจนเกิดความพร้อมสูงสุด”

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย: 22 อำเภอ 94 ตำบล (ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • จำนวนประชากรในพื้นที่เสี่ยงระดับสูง: ประมาณ 285,000 คน (ข้อมูล: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • จำนวนสถานีตรวจวัดน้ำและฝนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย: รวม 137 สถานี (อ้างอิง: กรมชลประทาน, 2566)
  • พื้นที่รองรับน้ำตามแผนจัดการน้ำท่วม: มากกว่า 45 จุดในระดับตำบล (ที่มา: แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567)

ข่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดเชียงรายในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการป้องกันล่วงหน้า ซ้อมเพื่อความพร้อม และสื่อสารให้ชัดเจน ซึ่งหากสามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ย่อมช่วยลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567
  • กรมชลประทาน, 2566
  • แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ จ.เชียงราย, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สสน. หนุน อบจ.เชียงราย! วางแผนรับมือน้ำท่วม-ภัยแล้งแบบมืออาชีพ

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เข้าหารือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำแบบรอบด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน-ระหว่าง-หลังเกิดภัยพิบัติ

การหารือระดับจังหวัดสู่การวางรากฐานระบบจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 7 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องรับรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดประชุมหารือสำคัญระหว่างผู้แทนจาก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กับ คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิด และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัยพิบัติ

การประชุมครั้งนี้มี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานให้การต้อนรับพร้อมด้วย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายกฯ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านภัยพิบัติ เข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้โดยละเอียดกับคณะจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกและระบบภูมิสารสนเทศที่แม่นยำสำหรับการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่

PDOSS กลไกสำคัญสู่การบริหารภัยพิบัติแบบเบ็ดเสร็จ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรได้กล่าวถึงนโยบายหลักขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายที่ให้ความสำคัญกับการใช้ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster One Stop Service: PDOSS) ซึ่งเป็นระบบที่นำมาใช้ในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ

PDOSS ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านภัยพิบัติและสาธารณภัยทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์
  • การจัดการเครือข่ายน้ำและการระบายน้ำ
  • การบริหารไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
  • การแจ้งเหตุและรับเรื่องร้องเรียนภัยพิบัติแบบจุดเดียว
  • ระบบเยียวยาผู้ประสบภัยแบบเบ็ดเสร็จ

ระบบดังกล่าวช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัย และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย

แผนบริหารจัดการน้ำกลยุทธ์ตั้งรับภัยพิบัติยุคใหม่

หนึ่งในหัวข้อหลักที่ถูกหยิบยกในการหารือครั้งนี้ คือการบริหารจัดการน้ำเชิงป้องกัน ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการลดความรุนแรงของผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม หรือภัยแล้ง

การวางแผนล่วงหน้าครอบคลุมตั้งแต่

  • การวิเคราะห์แหล่งน้ำต้นทุน
  • การก่อสร้างเขื่อน ฝาย และอ่างเก็บน้ำ
  • การจัดการเส้นทางระบายน้ำในเขตเมืองและชนบท
  • การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการใช้ระบบ แบบจำลองน้ำหลาก (Flood Simulation) ร่วมกับแบบจำลองภูมิอากาศ เพื่อให้สามารถเตือนภัยล่วงหน้าและจัดการพื้นที่เสี่ยงได้ล่วงหน้า 3 – 7 วัน

การสร้างความร่วมมือระดับนโยบายและภาคปฏิบัติ

ตัวแทนจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนองค์ความรู้ ฐานข้อมูล และระบบเทคโนโลยีสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำในระดับท้องถิ่น โดยเน้นการส่งเสริมการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และการเชื่อมโยงข้อมูลกับแผนปฏิบัติการระดับจังหวัด

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐระดับชาติ ระดับจังหวัด และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการจัดการอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความสำคัญของการเตรียมพร้อมในทุกระดับ

การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัยพิบัติ ไม่เพียงเป็นภารกิจของหน่วยงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่งการจัดทำ แผนรับมือภัยพิบัติรายตำบลและรายหมู่บ้าน กำลังถูกขยายผลอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งตนเองเบื้องต้น ก่อนการเข้าช่วยเหลือจากหน่วยงานหลัก

ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้ผลักดันโครงการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำแบบเรียลไทม์ (Real-time water level sensors) ในพื้นที่เสี่ยง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจแบบทันสถานการณ์ และการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวโน้มและทิศทางอนาคต

จากข้อมูลด้านการบริหารน้ำและภัยพิบัติของจังหวัดเชียงราย พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่จังหวัดเชียงรายเผชิญกับภัยธรรมชาติต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูฝนและฤดูแล้งที่แปรปรวนอย่างรุนแรงจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีแนวโน้มของ ความถี่ของน้ำท่วมฉับพลันเพิ่มขึ้น 12% และ อัตราฝนเฉลี่ยต่อปีสูงขึ้นกว่า 20% จากค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี

ข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้สะท้อนความจำเป็นในการเร่งพัฒนาระบบจัดการน้ำให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะการปรับตัวเชิงโครงสร้างและการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาท้องถิ่นและแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายประสบเหตุอุทกภัย รวม 9 ครั้ง กระจายทุกอำเภอหลัก
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติในปีเดียวสูงถึง 3,200 ล้านบาท
  • พื้นที่ที่อยู่ในโซนเสี่ยงน้ำท่วมตามแผนที่ GIS ของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน 147 หมู่บ้าน
  • อัตราฝนเฉลี่ยในฤดูฝนปี 2567 อยู่ที่ 1,698 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 17%
    (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ, สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน), สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

สรุป

การหารือระหว่างสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย ไม่เพียงเสริมสร้างการป้องกันภัยพิบัติอย่างยั่งยืน แต่ยังช่วยส่งเสริมความมั่นคงของชีวิตประชาชนในพื้นที่ ผ่านความร่วมมือระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครม.ทุ่มงบหลักล้านบาท เตือนภัยดินถล่ม น้ำป่าเชียงราย

ครม.อนุมัติ 370 ล้านบาท เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 370,390,200 บาท เพื่อดำเนินโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเน้นพื้นที่เสี่ยงระดับสูงในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย

แนวโน้มธรณีพิบัติภัยในประเทศไทย

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยเผชิญกับภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน สถิติย้อนหลัง 5 ปี (2563-2567) พบว่า มีเหตุการณ์ดินถล่มเฉลี่ยปีละ 110–130 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 270 ราย และบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก โดยพื้นที่เสี่ยงภัยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภูเขาและพื้นที่ลาดชันของภาคเหนือและภาคใต้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและพายุในหลายพื้นที่ โดยในปี 2567 กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ประเทศไทยมีจำนวนวันที่ฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยถึง 27%

สาระสำคัญของโครงการระบบเตือนภัยดินถล่ม

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในการเฝ้าระวังภัยพิบัติ โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้

  1. ติดตั้งระบบตรวจจับมวลดินเคลื่อนตัวและน้ำป่า 120 สถานี

วงเงิน 310,840,000 บาท สำหรับการติดตั้งเครื่องมือในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับสูงและสูงมาก โดยเครื่องมือจะสามารถตรวจจับความชื้นในดิน การเคลื่อนตัวของชั้นดิน และสัญญาณการทรุดตัว เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์กลางเฝ้าระวัง

  1. พัฒนาระบบสารสนเทศดิจิทัลธรณีพิบัติภัย

วงเงิน 40,351,000 บาท เพื่อจัดทำระบบฐานข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัยในรูปแบบออนไลน์ ครอบคลุมข้อมูลพิกัด ระบบพยากรณ์ ภาพถ่ายดาวเทียม และผลวิเคราะห์ทางธรณีวิทยา เพื่อให้ประชาชน หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส

  1. สร้างเครือข่ายภาคีความร่วมมือในพื้นที่เสี่ยง

วงเงิน 19,199,200 บาท เพื่ออบรมและเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร อสม. และภาคประชาชน ให้มีทักษะในการประเมินความเสี่ยง การอพยพ และการแจ้งเตือน

พื้นที่ดำเนินโครงการครอบคลุม 17 จังหวัดหลัก

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการ 17 จังหวัด ได้แก่

  • ภาคเหนือ: เชียงราย, เชียงใหม่, ตาก, แม่ฮ่องสอน, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์, เพชรบูรณ์
  • ภาคใต้: ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ระนอง, พังงา, กระบี่, ภูเก็ต

โดยการดำเนินการจะใช้ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่เมษายน 2568 ถึงมีนาคม 2569 โดยคาดว่าหลังจากติดตั้งและทดสอบระบบเสร็จจะสามารถใช้งานได้จริงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2569

การเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับประเทศ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเน้นระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบองค์รวม สนับสนุนการตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัด ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (EOC) และหน่วยงานภาคสนาม ให้สามารถเตรียมความพร้อม อพยพ และช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  • ลดอัตราการเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่เป้าหมายลงไม่น้อยกว่า 60%
  • คาดว่าประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบเตือนภัยนี้
  • เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 300 แห่งทั่วประเทศ
  • ลดค่าเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงกว่า 800 ล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เตือนภัยไว ส่งตรงมือถือ True

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เต็มรูปแบบ ย้ำประสิทธิภาพสูง หวังยกระดับระบบเตือนภัยไทยเทียบมาตรฐานโลก

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเร่งเดินหน้าระบบ Cell Broadcast ร่วมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 ค่ายหลัก

กรุงเทพมหานคร – วันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง และผู้แทนจาก กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ร่วมทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยด้วย Cell Broadcast (CBS) ผ่านเครือข่าย True อย่างเป็นทางการ

การทดสอบดังกล่าวเป็นการจำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ต้องการความเร่งด่วนในการแจ้งเตือนประชาชนให้ได้รับข้อมูลโดยเร็วที่สุด ซึ่งจากการทดสอบ พบว่า CBS สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่ได้อย่างทันที ทั้งระบบ iOS และ Android โดยไม่ต้องพึ่งพาสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันเพิ่มเติม

Cell Broadcast คืออะไร ทำไมจึงสำคัญยิ่งในยุคภัยพิบัติถี่ขึ้น

Cell Broadcast คือระบบส่งข้อความเตือนภัยแบบกระจายสัญญาณผ่านเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่เป้าหมายพร้อมกันในทันที ข้อดีสำคัญ ได้แก่:

  • แจ้งเตือนแม้โทรศัพท์อยู่ในโหมดเงียบ
  • ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
  • ไม่ต้องลงแอปพลิเคชัน
  • ส่งข้อความได้พร้อมกันแบบไม่จำกัดจำนวน
  • เจาะจงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแม่นยำ

ซึ่งระบบนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสียหายจากภัยพิบัติ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม สึนามิ พายุ หรือแม้แต่การก่อการร้าย

ความร่วมมือ 3 ค่ายมือถือใหญ่ ผลักดันระบบ CBS ให้ครอบคลุม

หลังการประชุมร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ราย ได้แก่ AIS, True, และ NT ได้มีข้อตกลงในหลักการร่วมกันเพื่อเดินหน้าพัฒนาระบบ CBS ให้สามารถใช้งานได้จริงในระดับประเทศ โดยขณะนี้ ทุกค่ายได้ติดตั้งระบบ CBC (Cell Broadcast Center) แล้วเสร็จ เหลือเพียงหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะ CBE (Cell Broadcast Entity) ซึ่ง ปภ. อยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบขั้นสุดท้าย

ผลการทดสอบล่าสุด ยืนยันระบบพร้อมใช้งานจริง

นายภาสกร ระบุว่า การทดสอบในวันนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบ CBS อย่างชัดเจน และถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีแจ้งเตือนภัยที่ทั่วโลกยอมรับมาใช้ ซึ่งหากระบบสามารถดำเนินการครบทั้ง CBC และ CBE ได้อย่างสมบูรณ์ ไทยจะสามารถเปิดใช้งาน CBS ทั่วประเทศได้ในเร็ววัน

นอกจากนี้ ปภ. ยังวางแผนจัดทำ แนวปฏิบัติ (SOP) สำหรับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกันในการส่งข้อความแจ้งเตือนภัย และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพเมื่อเกิดเหตุจริง

SMS vs Cell Broadcast ทำไมไทยต้องเปลี่ยน?

แม้ปัจจุบันประเทศไทยยังคงใช้ SMS เป็นหลักในการแจ้งเตือนภัย แต่ SMS มีข้อจำกัดชัดเจนหลายประการ เช่น:

  • ส่งได้ช้า เพราะต้องส่งทีละหมายเลข
  • มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณการส่งพร้อมกัน
  • ไม่มีเสียงเตือนพิเศษ
  • ต้องอาศัยฐานข้อมูลผู้ใช้งาน

ในขณะที่ CBS สามารถทำงานได้ทันทีในระดับ “Broadcast” ทำให้ผู้ใช้ในพื้นที่เสี่ยงได้รับการแจ้งเตือนพร้อมกันแบบเรียลไทม์

ตัวอย่างต่างประเทศ ญี่ปุ่น-สหภาพยุโรป ประสบความสำเร็จจาก CBS

  • ญี่ปุ่น ใช้ระบบ J-Alert ซึ่งส่งข้อความผ่าน CBS ไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่ภัยพิบัติ พร้อมเสียงเตือนพิเศษ มีการใช้งานอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2550
  • เนเธอร์แลนด์ ใช้ระบบ NL-Alert สำหรับแจ้งเตือนน้ำท่วมฉับพลัน
  • ฝรั่งเศส ใช้ระบบ FR-Alert แจ้งเตือนการก่อการร้ายหรือภัยสาธารณะ

ทุกประเทศระบุว่า CBS ช่วยลดความตื่นตระหนก และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของประชาชนได้อย่างชัดเจน

ทัศนคติจากสองมุมมอง เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์หรือยังไม่ครอบคลุม?

ฝ่ายสนับสนุน CBS เห็นว่า เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนี้ ใช้งานง่าย ไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชัน และสามารถแจ้งเตือนแบบเจาะจงพื้นที่ ช่วยลดความสูญเสียได้จริง และเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบเตือนภัยของไทยได้อย่างพลิกโฉม

ขณะที่ฝ่ายกังวล ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ CBS จะดีเยี่ยม แต่ยังมีช่องว่าง เช่น ประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เด็ก ผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล หรือผู้ที่ไม่ชำนาญเทคโนโลยี อาจไม่ได้รับแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที จึงเสนอให้รัฐผสาน CBS กับระบบแจ้งเตือนแบบเดิม เช่น วิทยุ ลำโพงชุมชน หรือทีวี เพื่อความครอบคลุมสูงสุด

ทางออก “Multi-Channel Alert System” ผสานหลายช่องทางสู่ระบบเตือนภัยแบบยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญจาก United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR) แนะนำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรใช้ ระบบแจ้งเตือนหลายช่องทาง (Multi-Channel Alert System) เพื่อครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม เช่น:

  • Cell Broadcast สำหรับมือถือ
  • ลำโพงประกาศสาธารณะในชุมชน
  • SMS สำหรับสำรองข้อมูล
  • วิทยุชุมชนและโทรทัศน์

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 92 ของประชากรไทย มีโทรศัพท์มือถือ (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • ประเทศที่ใช้งาน Cell Broadcast อย่างเป็นทางการ: ญี่ปุ่น, เนเธอร์แลนด์, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ (ที่มา: UNDRR, 2567)
  • ไทยมีแผนเปิดใช้งาน Cell Broadcast ทั่วประเทศภายใน ไตรมาส 3 ปี 2568 (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
  • เหตุแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบถึงไทยจากประเทศเพื่อนบ้าน มีเฉลี่ยปีละ 2–3 ครั้ง (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • กสทช.
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • UNDRR
  • ITU
  • Japan Meteorological Agency
  • European Commission
  • Dutch Government
  • Cabinet Office of Japan
  • สำนักสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กู้ภัยนานาชาติถอนกำลัง! สตง.ถล่ม แล้ว USAR คืออะไรทำไมต้องช่วยไทย

ทีมกู้ภัยนานาชาติ USAR ถอนกำลังจากเหตุตึก สตง. ถล่ม พร้อมอธิบายบทบาทและความสำคัญของ USAR

ประเทศไทย, 5 เมษายน 2568 – ทีมกู้ภัยนานาชาติจากประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย Urban Search and Rescue (USAR) ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 17:20 น. หลังจากปฏิบัติภารกิจค้นหาและกู้ชีพนานกว่า 1 สัปดาห์ ร่วมกับทีมกู้ภัยไทย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกมาระบุว่า การถอนกำลังครั้งนี้เป็นไปตามหลักสากล และไม่ส่งผลกระทบต่อภารกิจที่เหลือ พร้อมแสดงเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาทีมกู้ภัยไทยให้ก้าวสู่ระดับ “Heavy” ในอนาคต เพื่อยกระดับศักยภาพการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทย

ความเป็นมาของเหตุการณ์และการเข้ามาของทีม USAR

เหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่มเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 อันเป็นผลจากแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบถึงกรุงเทพมหานคร อาคารสูง 30 ชั้นแห่งนี้พังทลายลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก ทีมกู้ภัยไทยจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง หน่วยทหาร และอาสาสมัคร รีบเข้าพื้นที่ทันทีเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตและให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของสถานการณ์ ด้วยโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่และความเสียหายที่รุนแรง ทำให้กรุงเทพมหานครตัดสินใจประสานขอความช่วยเหลือจากทีมกู้ภัยนานาชาติในเครือข่าย USAR

ทีมจากอิสราเอล ซึ่งได้รับการรับรองในระดับ “Heavy” เดินทางถึงประเทศไทยในวันที่ 29 มีนาคม 2568 ภายใน 48 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายที่รวดเร็วตามมาตรฐานสากล และเริ่มปฏิบัติภารกิจทันที โดยมีเป้าหมายหลักในการค้นหาผู้รอดชีวิตและกู้ร่างผู้เสียชีวิตจากซากอาคาร ภารกิจนี้ใช้ระยะเวลา 7 วันตามกรอบการปฏิบัติงานระยะแรก (Search and Rescue) ก่อนที่ทีมจะถอนกำลังเพื่อไปปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ทั่วโลก

นายชัชชาติ กล่าวในพิธีส่งทีมว่า “ทีมจากอิสราเอลเข้ามาด้วยความเชี่ยวชาญสูง ช่วยเหลือเราในช่วงเวลาวิกฤต และก่อนถอนกำลัง เขาได้มอบข้อมูลสำคัญทั้งหมดให้ทีมไทยแล้ว ผมขอขอบคุณในความทุ่มเทของพวกเขา และหวังว่าเราจะนำประสบการณ์นี้ไปพัฒนาทีมกู้ภัยของเราให้ดีขึ้น”

USAR คืออะไร ความหมายและที่มา

Urban Search and Rescue (USAR) หรือการค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง เป็นกระบวนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในอาคารถล่ม ซึ่งมักเกิดจากภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว พายุไซโคลน การระเบิด หรือเหตุการณ์ที่มนุษย์ก่อขึ้น เช่น การก่อการร้าย USAR อยู่ภายใต้การกำกับของ International Search and Rescue Advisory Group (INSARAG) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA)

INSARAG ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) หลังจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเม็กซิโกซิตี้ (2528) และอาร์เมเนีย (2531) ซึ่งเผยให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนามาตรฐานและการประสานงานสำหรับทีมกู้ภัยนานาชาติ แนวคิดนี้เริ่มต้นจากทีม USAR ระหว่างประเทศที่เข้าไปช่วยเหลือในเหตุการณ์ดังกล่าว และนำไปสู่การจัดตั้ง INSARAG เพื่อกำหนดกรอบการปฏิบัติงานที่เป็นสากล ภารกิจหลักของ USAR คือการช่วยชีวิตผู้ประสบภัยในระยะแรกหลังเกิดเหตุ (Search and Rescue) และสนับสนุนการฟื้นฟูในระยะต่อมา (Recovery) โดยทีม USAR มีบทบาทสำคัญในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทั่วโลก

การดำเนินงานของ INSARAG ได้รับการรับรองจากมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ 57/150 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2545 เรื่อง “การเสริมสร้างประสิทธิผลและการประสานงานของความช่วยเหลือในการค้นหาและกู้ภัยในเมืองระหว่างประเทศ” ซึ่งเรียกร้องให้ทุกประเทศอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง อุปกรณ์ และความปลอดภัยสำหรับทีม USAR เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การแบ่งระดับของทีม USAR

ทีม USAR แบ่งออกเป็น 3 ระดับตามศักยภาพและขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน ดังนี้:

  1. Light Team (ทีมขนาดเบา)
    • เป็นทีมปฏิบัติการระดับชุมชน
    • เหมาะกับเหตุการณ์ที่มีความเสียหายไม่รุนแรง เช่น อาคารถล่มขนาดเล็กหรือโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน
    • เน้นการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเล็กน้อยหรือผู้ที่ถูกซากทับไม่หนักมาก
    • มีข้อจำกัดในด้านบุคลากรและอุปกรณ์ ไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ใหญ่ได้
  2. Medium Team (ทีมขนาดกลาง)
    • มีความสามารถในการยกและเคลื่อนย้ายวัตถุหนักทุกรูปแบบ
    • ปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัย 1 แห่งได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง นานกว่า 7 วัน
    • เหมาะกับเหตุการณ์ที่มีความเสียหายปานกลาง เช่น อาคารขนาดกลางถล่ม
    • มีบุคลากรและอุปกรณ์มากกว่า Light Team แต่ยังจำกัดในแง่การทำงานหลายจุดพร้อมกัน
  3. Heavy Team (ทีมขนาดหนัก)
    • มีความสามารถในการปฏิบัติงานในหลายพื้นที่พร้อมกัน ตลอด 24 ชั่วโมง นานกว่า 10 วัน
    • สามารถเคลื่อนย้ายเข้าพื้นที่ภัยพิบัติทั่วโลกได้ภายใน 78 ชั่วโมง
    • เหมาะกับภัยพิบัติขนาดใหญ่ เช่น แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงหรือตึกสูงถล่ม
    • มีความพร้อมทั้งบุคลากร อุปกรณ์ และการประสานงานข้ามชาติ

ทีมจากอิสราเอลที่เข้ามาช่วยเหลือในเหตุตึก สตง. ถล่ม เป็นทีมระดับ Heavy ซึ่งมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น และอิสราเอล ที่ได้รับการรับรองในระดับนี้ การรับรองนี้มาจากกระบวนการ INSARAG External Classification (IEC) ซึ่งเป็นการประเมินสมัครใจที่เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เพื่อรับรองประสิทธิภาพและมาตรฐานการปฏิบัติงาน

โครงสร้างและองค์ประกอบของทีม USAR

ทีม USAR ระดับ Medium และ Heavy ประกอบด้วย 5 หน่วยงานหลักที่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ:

  1. Management (การจัดการ)
    • รับผิดชอบการสั่งการและประสานงานทั้งในและนอกพื้นที่
    • วางแผนและติดตามความคืบหน้าของภารกิจ
    • มีผู้ประสานงานด้านสื่อและรายงาน เพื่อให้ข้อมูลแก่หน่วยงานท้องถิ่นและสาธารณชน
    • ประเมินสถานการณ์และวิเคราะห์ความเสี่ยง รวมถึงดูแลความปลอดภัยของทีม
  2. Search (การค้นหา)
    • ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น อุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณชีพ กล้องถ่ายภาพความร้อน และเครื่องมือฟังเสียง
    • มีการใช้สุนัขค้นหาที่ผ่านการฝึกมาเป็นพิเศษ เพื่อตรวจจับผู้รอดชีวิต
    • ประเมินวัตถุอันตรายในพื้นที่ เช่น สารเคมีหรือโครงสร้างที่อาจถล่มซ้ำ
  3. Rescue (การกู้ภัย)
    • ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่มีทักษะหลากหลาย เช่น การตัดคอนกรีต การทำลายโครงสร้าง การค้ำยัน และการใช้เชือกกู้ภัย
    • ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากซากปรักหักพังอย่างปลอดภัย
    • ต้องทำงานร่วมกับวิศวกรเพื่อป้องกันอันตรายจากโครงสร้างที่ไม่มั่นคง
  4. Medical (การแพทย์)
    • ให้การรักษาฉุกเฉินแก่ผู้ประสบภัยที่พบในซากอาคาร
    • ดูแลสุขภาพของสมาชิกทีมกู้ภัยและสุนัขค้นหา
    • ทำงานภายใต้การอนุญาตจากหน่วยงานสาธารณสุขของประเทศนั้น ๆ
  5. Logistics (การส่งกำลังบำรุง)
    • จัดการฐานปฏิบัติการ (Base of Operations – BoO) เพื่อเป็นศูนย์กลางการทำงาน
    • ดูแลการขนส่งอุปกรณ์ การสื่อสาร และการบริหารจัดการทรัพยากร
    • ประสานงานข้ามพรมแดน เช่น การผ่านด่านศุลกากรหรือการขออนุญาตใช้น่านฟ้า

ในกรณีของทีม Heavy เช่น ทีมจากอิสราเอล ยังมีวิศวกรโครงสร้างและทีมกฎหมายร่วมด้วย เพื่อวิเคราะห์ความมั่นคงของอาคารและประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นในด้านข้อกฎหมายและการบริหารจัดการ

ขั้นตอนการปฏิบัติงานของ USAR

ตามแนวทางของ INSARAG การปฏิบัติงานของทีม USAR แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนที่ชัดเจน:

  1. Preparedness (การเตรียมความพร้อม)
    • เป็นช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ โดยทีมจะทบทวนบทเรียนจากภารกิจที่ผ่านมา
    • พัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติ ฝึกอบรมบุคลากร และวางแผนรับมือภัยพิบัติในอนาคต
    • รวมถึงการเตรียมอุปกรณ์และทรัพยากรให้พร้อมตลอดเวลา
  2. Mobilisation (การเตรียมตัวออกปฏิบัติงาน)
    • เริ่มทันทีหลังเกิดภัยพิบัติ โดยทีมจะเตรียมบุคลากรและอุปกรณ์เพื่อเคลื่อนย้ายสู่พื้นที่
    • ทีม Heavy ต้องถึงจุดเกิดเหตุภายใน 78 ชั่วโมง ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล
  3. Operations (การปฏิบัติงาน)
    • ปฏิบัติในพื้นที่จริง ตั้งแต่การรายงานตัวต่อหน่วยงานท้องถิ่น การค้นหา และการช่วยเหลือ
    • ทีมจะทำงานตามคำสั่งของผู้อำนวยการท้องถิ่น และหยุดเมื่อภารกิจระยะแรกเสร็จสิ้น
  4. Demobilisation (การถอนกำลัง)
    • ถอนกำลังออกจากพื้นที่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นหรือได้รับคำสั่งให้ยุติ
    • ในกรณีตึก สตง. ถล่ม ทีมอิสราเอลถอนกำลังหลังครบ 7 วันตามกรอบระยะแรก
  5. Post-Mission (การรายงานผล)
    • จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงาน และจัดประชุมถอดบทเรียน
    • นำข้อมูลไปพัฒนาการปฏิบัติในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ขั้นตอนเหล่านี้ช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยทีม Heavy อย่างอิสราเอลสามารถดำเนินการได้ครบทุกขั้นตอนอย่างมืออาชีพ

ระบบเครื่องหมาย INSARAG

หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ทีม USAR ใช้คือระบบเครื่องหมาย INSARAG (INSARAG Marking System) ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารข้อมูลระหว่างทีมกู้ภัย โดยไม่ต้องพูดคุยกันโดยตรง ระบบนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก:

  1. Worksite Marking (การทำเครื่องหมายพื้นที่ปฏิบัติงาน)
    • ใช้ระบุขอบเขตและสถานะของพื้นที่ เช่น ยังค้นหาอยู่ เสร็จสิ้นแล้ว หรือมีอันตราย
    • ช่วยให้ทีมอื่น ๆ เข้าใจสถานการณ์และวางแผนการทำงานต่อ
  2. Victim Marking (การทำเครื่องหมายผู้ประสบภัย)
    • ระบุตำแหน่งและสภาพของผู้ประสบภัย เช่น รอดชีวิต รอการช่วยเหลือ หรือเสียชีวิต
    • ใช้สัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย เช่น วงกลมหรือกากบาท เพื่อบ่งบอกสถานะ
  3. Rapid Clearance Marking และ Cordon Markings
    • Rapid Clearance Marking ใช้สำหรับแจ้งว่าได้เคลียร์พื้นที่แล้ว
    • Cordon Markings เป็นการกั้นเขตอันตราย เพื่อป้องกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป

ระบบเครื่องหมายนี้ถูกนำมาใช้ในเหตุตึก สตง. ถล่ม โดยทีมอิสราเอลใช้สัญลักษณ์ตามมาตรฐาน INSARAG 2015 เพื่อส่งต่อข้อมูลให้ทีมไทย ทำให้การทำงานต่อเนื่องไม่มีสะดุด

บทบาทของ USAR ในเหตุตึก สตง. ถล่ม

ทีมจากอิสราเอลเข้ามาด้วยความเชี่ยวชาญในการกู้ภัยใต้ซากตึกถล่ม ซึ่งนายชัชชาติระบุว่า “เหตุนี้ซับซ้อนมาก เขาบอกว่าไม่เคยเจอตึกสูง 30 ชั้นถล่มแบบนี้มาก่อน” เมื่อมาถึงวันแรก ทีมสามารถระบุจุดพิกัดสัญญาณชีพได้ทันที ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมและโครงสร้างอาคาร รวมถึงแนะนำการใช้เครื่องจักรหนักอย่างระมัดระวัง โดยต้องมีวิศวกรควบคุมเพื่อป้องกันการถล่มซ้ำ

ตลอด 7 วัน ทีมอิสราเอลทำงานร่วมกับทีมไทยอย่างใกล้ชิด โดยมีการประชุมทุกคืนเพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผนการทำงานในวันถัดไป ก่อนถอนกำลัง ทีมได้ถ่ายทอดข้อมูลสำคัญ เช่น จุดที่ยังต้องสำรวจ และเทคนิคการปฏิบัติงานให้ทีมไทย เพื่อให้การดำเนินการต่อไปเป็นไปอย่างราบรื่น

นายชัชชาติกล่าวว่า “ทุกคืนเราคุยกัน เขาบอกทุกวันว่าจะทำอะไร บริเวณไหน ยังไง การถอนกำลังครั้งนี้ไม่กระทบแน่นอน เพราะเรามีข้อมูลครบแล้ว”

การถอนกำลังและแผนงานต่อไป

การถอนกำลังของทีมอิสราเอลเกิดขึ้นหลังครบ 7 วัน ซึ่งเป็นกรอบเวลามาตรฐานสำหรับภารกิจระยะแรกของทีม Heavy ตามหลัก INSARAG ที่มุ่งเน้นการช่วยชีวิตในช่วงวิกฤต หลังจากนี้ ทีมไทยจะเข้าสู่ระยะฟื้นฟู (Recovery) โดยใช้เครื่องจักรหนัก เช่น รถเครนและเครื่องตัดคอนกรีต ร่วมกับบุคลากร เพื่อเคลียร์ซากอาคารและกู้ร่างผู้เสียชีวิตที่ยังติดค้างอยู่

นายชัชชาติยืนยันว่า “หลังจากนี้เราจะลุยเต็มที่ ใช้เครื่องจักรหนักสลับกับคน เพื่อเร่งเคลียร์พื้นที่ให้เร็วที่สุด โดยมีวิศวกรดูแลความปลอดภัยตลอด”

แผนพัฒนาทีมกู้ภัยไทย

นายชัชชาติแสดงความหวังว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับทีมกู้ภัยไทยสู่ระดับ Heavy โดยทีมอิสราเอลให้คำแนะนำว่า ไทยมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว แต่ต้องพัฒนาด้านการฝึกอบรม การใช้เครื่องมือหนัก และการประสานงานกับวิศวกรโครงสร้างให้เข้มข้นขึ้น

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีทีม USAR ที่ได้รับการรับรองในระดับ Medium เช่น ทีมจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและหน่วยงานทหาร แต่ยังไม่มีทีมในระดับ Heavy การก้าวสู่ระดับสูงสุดต้องมีการลงทุนในอุปกรณ์ เช่น เครื่องตรวจจับสัญญาณชีพและเครื่องตัดไฮดรอลิก รวมถึงการฝึกบุคลากรตามมาตรฐาน INSARAG

“ทีมนานาชาติชื่นชมว่าเรามาถูกทาง ถ้าเราพัฒนาต่อไปได้ วันหนึ่งทีมไทยก็จะไปช่วยประเทศอื่นได้เหมือนกัน” นายชัชชาติกล่าว

USAR กับการรับมือภัยพิบัติในอนาคต

การเข้ามาของทีม USAR ในเหตุตึก สตง. ถล่ม แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีทีมกู้ภัยที่ได้มาตรฐานสากลในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงจากภัยพิบัติทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม และพายุ การพัฒนาทีม Heavy จะช่วยลดการพึ่งพาทีมนานาชาติ และเพิ่มขีดความสามารถในการช่วยเหลือทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ การถ่ายทอดความรู้จากทีมอิสราเอล เช่น การใช้ระบบเครื่องหมาย INSARAG และเทคนิคการกู้ภัย จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างทีม USAR ที่แข็งแกร่งของไทยในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ทีม USAR ทั่วโลก: INSARAG รายงานว่า ปัจจุบันมีทีม USAR ที่ได้รับการรับรอง 58 ทีมทั่วโลก โดย 16 ทีมอยู่ในระดับ Heavy (ที่มา: INSARAG Annual Report, 2023)
  2. เหตุอาคารถล่มในไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า ในรอบ 10 ปี (2558-2567) ไทยมีเหตุอาคารถล่มจากภัยธรรมชาติและมนุษย์สร้าง 42 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 178 ราย (ที่มา: รายงานภัยพิบัติประจำปี, ปภ., 2567)
  3. แผ่นดินไหวที่กระทบไทย: กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ในรอบ 5 ปี (2563-2567) ไทยได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้าน 8 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อ 28 มีนาคม 2568 รุนแรงที่สุด (ที่มา: รายงานธรณีพิบัติภัย, 2567)
  4. การฝึกอบรมกู้ภัยในไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุว่า ในปี 2567 มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานสากล 2,500 คน แต่ยังไม่ครอบคลุมระดับ Heavy (ที่มา: รายงานการพัฒนาบุคลากร, ปภ., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรุงเทพมหานคร
  • INSARAG
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ปภ.รายงานผลกระทบแผ่นดินไหว เร่งช่วยเหลือทั่วประเทศ

ปภ. รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แผ่นดินไหวและการให้ความช่วยเหลือประชาชน ย้ำทุกหน่วยงานร่วมเป็นกลไกการทำงานภายใต้ บกปภ.ช. เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ประเทศไทย, 29 มีนาคม 2568 – กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา ขนาด 8.2 แมกนิจูด ลึก 10 กิโลเมตร ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ประชาชนใน 57 จังหวัดสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ และเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายครั้ง

สรุปสถานการณ์และพื้นที่ได้รับผลกระทบ

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า แผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย ผู้บาดเจ็บ 9 ราย และผู้สูญหาย 101 ราย โดยในปัจจุบันได้มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินในจังหวัดปทุมธานี แพร่ และกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

ในส่วนของอาคารและสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ เช่น

  • เชียงใหม่: อาคารคอนโดมิเนียม ศุภาลัย มอนเต้ 1 และ 2 และดวงตะวันคอนโดมิเนียมได้รับความเสียหายอย่างหนัก วัดสันทรายต้นกอกและวัดน้ำล้อมเกิดรอยร้าวในโครงสร้างเจดีย์และวิหาร
  • เชียงราย: หลังคาอาคารวัฒนธรรมวัดท่าข้ามศรีดอนชัยพังถล่ม และมีเหตุคานถล่มในจุดก่อสร้างทางรถไฟที่อำเภอป่าแดด
  • กรุงเทพมหานคร: อาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเขตจตุจักรถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายหลายราย
  • ลำพูน: ซุ้มประตูวัดพาณิชน์สิทธิการามและหอระฆังวัดดอนตองได้รับความเสียหาย รวมถึงบ้านเรือนประชาชนในหลายพื้นที่

การให้ความช่วยเหลือและมาตรการเร่งด่วน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่ออำนวยการในการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหาย รวมถึงให้การเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ ปภ. ได้ส่งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) พร้อมอุปกรณ์ค้นหาสัญญาณชีพเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร และร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ

ความคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ

ฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชนได้แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ดังกล่าวอย่างหลากหลาย

  • ฝ่ายสนับสนุน: เห็นว่าการตอบสนองของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
  • ฝ่ายกังวล: มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารเก่าและโครงสร้างพื้นฐานที่อาจไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนเกิดเหตุ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบและซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหายโดยเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า แผ่นดินไหวที่มีขนาด 8.2 แมกนิจูดครั้งนี้ ถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูงสุดในรอบ 100 ปีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • มีรายงานอาฟเตอร์ช็อกมากกว่า 56 ครั้งในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังแผ่นดินไหว
  • กรุงเทพมหานครได้รับแรงสั่นสะเทือนถึงระดับ 4 ตามมาตราริกเตอร์ ทำให้เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงในหลายอาคารสูง

ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสายด่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โทร. 1784 หรือแจ้งผ่านไลน์ไอดี @1784DDPM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักข่าวรอยเตอร์
  • สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News