Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครม.ทุ่มงบหลักล้านบาท เตือนภัยดินถล่ม น้ำป่าเชียงราย

ครม.อนุมัติ 370 ล้านบาท เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 370,390,200 บาท เพื่อดำเนินโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเน้นพื้นที่เสี่ยงระดับสูงในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย

แนวโน้มธรณีพิบัติภัยในประเทศไทย

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยเผชิญกับภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน สถิติย้อนหลัง 5 ปี (2563-2567) พบว่า มีเหตุการณ์ดินถล่มเฉลี่ยปีละ 110–130 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 270 ราย และบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก โดยพื้นที่เสี่ยงภัยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภูเขาและพื้นที่ลาดชันของภาคเหนือและภาคใต้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและพายุในหลายพื้นที่ โดยในปี 2567 กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ประเทศไทยมีจำนวนวันที่ฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยถึง 27%

สาระสำคัญของโครงการระบบเตือนภัยดินถล่ม

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในการเฝ้าระวังภัยพิบัติ โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้

  1. ติดตั้งระบบตรวจจับมวลดินเคลื่อนตัวและน้ำป่า 120 สถานี

วงเงิน 310,840,000 บาท สำหรับการติดตั้งเครื่องมือในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับสูงและสูงมาก โดยเครื่องมือจะสามารถตรวจจับความชื้นในดิน การเคลื่อนตัวของชั้นดิน และสัญญาณการทรุดตัว เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์กลางเฝ้าระวัง

  1. พัฒนาระบบสารสนเทศดิจิทัลธรณีพิบัติภัย

วงเงิน 40,351,000 บาท เพื่อจัดทำระบบฐานข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัยในรูปแบบออนไลน์ ครอบคลุมข้อมูลพิกัด ระบบพยากรณ์ ภาพถ่ายดาวเทียม และผลวิเคราะห์ทางธรณีวิทยา เพื่อให้ประชาชน หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส

  1. สร้างเครือข่ายภาคีความร่วมมือในพื้นที่เสี่ยง

วงเงิน 19,199,200 บาท เพื่ออบรมและเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร อสม. และภาคประชาชน ให้มีทักษะในการประเมินความเสี่ยง การอพยพ และการแจ้งเตือน

พื้นที่ดำเนินโครงการครอบคลุม 17 จังหวัดหลัก

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการ 17 จังหวัด ได้แก่

  • ภาคเหนือ: เชียงราย, เชียงใหม่, ตาก, แม่ฮ่องสอน, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์, เพชรบูรณ์
  • ภาคใต้: ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ระนอง, พังงา, กระบี่, ภูเก็ต

โดยการดำเนินการจะใช้ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่เมษายน 2568 ถึงมีนาคม 2569 โดยคาดว่าหลังจากติดตั้งและทดสอบระบบเสร็จจะสามารถใช้งานได้จริงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2569

การเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับประเทศ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเน้นระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบองค์รวม สนับสนุนการตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัด ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (EOC) และหน่วยงานภาคสนาม ให้สามารถเตรียมความพร้อม อพยพ และช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  • ลดอัตราการเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่เป้าหมายลงไม่น้อยกว่า 60%
  • คาดว่าประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบเตือนภัยนี้
  • เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 300 แห่งทั่วประเทศ
  • ลดค่าเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงกว่า 800 ล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เตือนภัยไว ส่งตรงมือถือ True

ปภ. ทดสอบ Cell Broadcast เต็มรูปแบบ ย้ำประสิทธิภาพสูง หวังยกระดับระบบเตือนภัยไทยเทียบมาตรฐานโลก

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเร่งเดินหน้าระบบ Cell Broadcast ร่วมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 ค่ายหลัก

กรุงเทพมหานคร – วันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ (BNIC) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง และผู้แทนจาก กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ร่วมทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยด้วย Cell Broadcast (CBS) ผ่านเครือข่าย True อย่างเป็นทางการ

การทดสอบดังกล่าวเป็นการจำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ต้องการความเร่งด่วนในการแจ้งเตือนประชาชนให้ได้รับข้อมูลโดยเร็วที่สุด ซึ่งจากการทดสอบ พบว่า CBS สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่ได้อย่างทันที ทั้งระบบ iOS และ Android โดยไม่ต้องพึ่งพาสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันเพิ่มเติม

Cell Broadcast คืออะไร ทำไมจึงสำคัญยิ่งในยุคภัยพิบัติถี่ขึ้น

Cell Broadcast คือระบบส่งข้อความเตือนภัยแบบกระจายสัญญาณผ่านเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่เป้าหมายพร้อมกันในทันที ข้อดีสำคัญ ได้แก่:

  • แจ้งเตือนแม้โทรศัพท์อยู่ในโหมดเงียบ
  • ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
  • ไม่ต้องลงแอปพลิเคชัน
  • ส่งข้อความได้พร้อมกันแบบไม่จำกัดจำนวน
  • เจาะจงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างแม่นยำ

ซึ่งระบบนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสียหายจากภัยพิบัติ ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม สึนามิ พายุ หรือแม้แต่การก่อการร้าย

ความร่วมมือ 3 ค่ายมือถือใหญ่ ผลักดันระบบ CBS ให้ครอบคลุม

หลังการประชุมร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 ราย ได้แก่ AIS, True, และ NT ได้มีข้อตกลงในหลักการร่วมกันเพื่อเดินหน้าพัฒนาระบบ CBS ให้สามารถใช้งานได้จริงในระดับประเทศ โดยขณะนี้ ทุกค่ายได้ติดตั้งระบบ CBC (Cell Broadcast Center) แล้วเสร็จ เหลือเพียงหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะ CBE (Cell Broadcast Entity) ซึ่ง ปภ. อยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบขั้นสุดท้าย

ผลการทดสอบล่าสุด ยืนยันระบบพร้อมใช้งานจริง

นายภาสกร ระบุว่า การทดสอบในวันนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบ CBS อย่างชัดเจน และถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการนำเทคโนโลยีแจ้งเตือนภัยที่ทั่วโลกยอมรับมาใช้ ซึ่งหากระบบสามารถดำเนินการครบทั้ง CBC และ CBE ได้อย่างสมบูรณ์ ไทยจะสามารถเปิดใช้งาน CBS ทั่วประเทศได้ในเร็ววัน

นอกจากนี้ ปภ. ยังวางแผนจัดทำ แนวปฏิบัติ (SOP) สำหรับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกันในการส่งข้อความแจ้งเตือนภัย และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพเมื่อเกิดเหตุจริง

SMS vs Cell Broadcast ทำไมไทยต้องเปลี่ยน?

แม้ปัจจุบันประเทศไทยยังคงใช้ SMS เป็นหลักในการแจ้งเตือนภัย แต่ SMS มีข้อจำกัดชัดเจนหลายประการ เช่น:

  • ส่งได้ช้า เพราะต้องส่งทีละหมายเลข
  • มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณการส่งพร้อมกัน
  • ไม่มีเสียงเตือนพิเศษ
  • ต้องอาศัยฐานข้อมูลผู้ใช้งาน

ในขณะที่ CBS สามารถทำงานได้ทันทีในระดับ “Broadcast” ทำให้ผู้ใช้ในพื้นที่เสี่ยงได้รับการแจ้งเตือนพร้อมกันแบบเรียลไทม์

ตัวอย่างต่างประเทศ ญี่ปุ่น-สหภาพยุโรป ประสบความสำเร็จจาก CBS

  • ญี่ปุ่น ใช้ระบบ J-Alert ซึ่งส่งข้อความผ่าน CBS ไปยังมือถือทุกเครื่องในพื้นที่ภัยพิบัติ พร้อมเสียงเตือนพิเศษ มีการใช้งานอย่างแพร่หลายตั้งแต่ปี 2550
  • เนเธอร์แลนด์ ใช้ระบบ NL-Alert สำหรับแจ้งเตือนน้ำท่วมฉับพลัน
  • ฝรั่งเศส ใช้ระบบ FR-Alert แจ้งเตือนการก่อการร้ายหรือภัยสาธารณะ

ทุกประเทศระบุว่า CBS ช่วยลดความตื่นตระหนก และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของประชาชนได้อย่างชัดเจน

ทัศนคติจากสองมุมมอง เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์หรือยังไม่ครอบคลุม?

ฝ่ายสนับสนุน CBS เห็นว่า เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนี้ ใช้งานง่าย ไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชัน และสามารถแจ้งเตือนแบบเจาะจงพื้นที่ ช่วยลดความสูญเสียได้จริง และเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบเตือนภัยของไทยได้อย่างพลิกโฉม

ขณะที่ฝ่ายกังวล ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ CBS จะดีเยี่ยม แต่ยังมีช่องว่าง เช่น ประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เด็ก ผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล หรือผู้ที่ไม่ชำนาญเทคโนโลยี อาจไม่ได้รับแจ้งเตือนอย่างทันท่วงที จึงเสนอให้รัฐผสาน CBS กับระบบแจ้งเตือนแบบเดิม เช่น วิทยุ ลำโพงชุมชน หรือทีวี เพื่อความครอบคลุมสูงสุด

ทางออก “Multi-Channel Alert System” ผสานหลายช่องทางสู่ระบบเตือนภัยแบบยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญจาก United Nations Office for Disaster Risk Reduction (UNDRR) แนะนำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรใช้ ระบบแจ้งเตือนหลายช่องทาง (Multi-Channel Alert System) เพื่อครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม เช่น:

  • Cell Broadcast สำหรับมือถือ
  • ลำโพงประกาศสาธารณะในชุมชน
  • SMS สำหรับสำรองข้อมูล
  • วิทยุชุมชนและโทรทัศน์

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ปัจจุบัน กว่าร้อยละ 92 ของประชากรไทย มีโทรศัพท์มือถือ (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)
  • ประเทศที่ใช้งาน Cell Broadcast อย่างเป็นทางการ: ญี่ปุ่น, เนเธอร์แลนด์, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ (ที่มา: UNDRR, 2567)
  • ไทยมีแผนเปิดใช้งาน Cell Broadcast ทั่วประเทศภายใน ไตรมาส 3 ปี 2568 (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
  • เหตุแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบถึงไทยจากประเทศเพื่อนบ้าน มีเฉลี่ยปีละ 2–3 ครั้ง (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • กสทช.
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • UNDRR
  • ITU
  • Japan Meteorological Agency
  • European Commission
  • Dutch Government
  • Cabinet Office of Japan
  • สำนักสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กู้ภัยนานาชาติถอนกำลัง! สตง.ถล่ม แล้ว USAR คืออะไรทำไมต้องช่วยไทย

ทีมกู้ภัยนานาชาติ USAR ถอนกำลังจากเหตุตึก สตง. ถล่ม พร้อมอธิบายบทบาทและความสำคัญของ USAR

ประเทศไทย, 5 เมษายน 2568 – ทีมกู้ภัยนานาชาติจากประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย Urban Search and Rescue (USAR) ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 เวลา 17:20 น. หลังจากปฏิบัติภารกิจค้นหาและกู้ชีพนานกว่า 1 สัปดาห์ ร่วมกับทีมกู้ภัยไทย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ออกมาระบุว่า การถอนกำลังครั้งนี้เป็นไปตามหลักสากล และไม่ส่งผลกระทบต่อภารกิจที่เหลือ พร้อมแสดงเจตนารมณ์ที่จะพัฒนาทีมกู้ภัยไทยให้ก้าวสู่ระดับ “Heavy” ในอนาคต เพื่อยกระดับศักยภาพการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทย

ความเป็นมาของเหตุการณ์และการเข้ามาของทีม USAR

เหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่มเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 อันเป็นผลจากแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบถึงกรุงเทพมหานคร อาคารสูง 30 ชั้นแห่งนี้พังทลายลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก ทีมกู้ภัยไทยจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง หน่วยทหาร และอาสาสมัคร รีบเข้าพื้นที่ทันทีเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตและให้ความช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของสถานการณ์ ด้วยโครงสร้างอาคารขนาดใหญ่และความเสียหายที่รุนแรง ทำให้กรุงเทพมหานครตัดสินใจประสานขอความช่วยเหลือจากทีมกู้ภัยนานาชาติในเครือข่าย USAR

ทีมจากอิสราเอล ซึ่งได้รับการรับรองในระดับ “Heavy” เดินทางถึงประเทศไทยในวันที่ 29 มีนาคม 2568 ภายใน 48 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายที่รวดเร็วตามมาตรฐานสากล และเริ่มปฏิบัติภารกิจทันที โดยมีเป้าหมายหลักในการค้นหาผู้รอดชีวิตและกู้ร่างผู้เสียชีวิตจากซากอาคาร ภารกิจนี้ใช้ระยะเวลา 7 วันตามกรอบการปฏิบัติงานระยะแรก (Search and Rescue) ก่อนที่ทีมจะถอนกำลังเพื่อไปปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ทั่วโลก

นายชัชชาติ กล่าวในพิธีส่งทีมว่า “ทีมจากอิสราเอลเข้ามาด้วยความเชี่ยวชาญสูง ช่วยเหลือเราในช่วงเวลาวิกฤต และก่อนถอนกำลัง เขาได้มอบข้อมูลสำคัญทั้งหมดให้ทีมไทยแล้ว ผมขอขอบคุณในความทุ่มเทของพวกเขา และหวังว่าเราจะนำประสบการณ์นี้ไปพัฒนาทีมกู้ภัยของเราให้ดีขึ้น”

USAR คืออะไร ความหมายและที่มา

Urban Search and Rescue (USAR) หรือการค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง เป็นกระบวนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในอาคารถล่ม ซึ่งมักเกิดจากภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว พายุไซโคลน การระเบิด หรือเหตุการณ์ที่มนุษย์ก่อขึ้น เช่น การก่อการร้าย USAR อยู่ภายใต้การกำกับของ International Search and Rescue Advisory Group (INSARAG) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA)

INSARAG ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) หลังจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเม็กซิโกซิตี้ (2528) และอาร์เมเนีย (2531) ซึ่งเผยให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนามาตรฐานและการประสานงานสำหรับทีมกู้ภัยนานาชาติ แนวคิดนี้เริ่มต้นจากทีม USAR ระหว่างประเทศที่เข้าไปช่วยเหลือในเหตุการณ์ดังกล่าว และนำไปสู่การจัดตั้ง INSARAG เพื่อกำหนดกรอบการปฏิบัติงานที่เป็นสากล ภารกิจหลักของ USAR คือการช่วยชีวิตผู้ประสบภัยในระยะแรกหลังเกิดเหตุ (Search and Rescue) และสนับสนุนการฟื้นฟูในระยะต่อมา (Recovery) โดยทีม USAR มีบทบาทสำคัญในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทั่วโลก

การดำเนินงานของ INSARAG ได้รับการรับรองจากมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ 57/150 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2545 เรื่อง “การเสริมสร้างประสิทธิผลและการประสานงานของความช่วยเหลือในการค้นหาและกู้ภัยในเมืองระหว่างประเทศ” ซึ่งเรียกร้องให้ทุกประเทศอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง อุปกรณ์ และความปลอดภัยสำหรับทีม USAR เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การแบ่งระดับของทีม USAR

ทีม USAR แบ่งออกเป็น 3 ระดับตามศักยภาพและขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน ดังนี้:

  1. Light Team (ทีมขนาดเบา)
    • เป็นทีมปฏิบัติการระดับชุมชน
    • เหมาะกับเหตุการณ์ที่มีความเสียหายไม่รุนแรง เช่น อาคารถล่มขนาดเล็กหรือโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน
    • เน้นการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเล็กน้อยหรือผู้ที่ถูกซากทับไม่หนักมาก
    • มีข้อจำกัดในด้านบุคลากรและอุปกรณ์ ไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ใหญ่ได้
  2. Medium Team (ทีมขนาดกลาง)
    • มีความสามารถในการยกและเคลื่อนย้ายวัตถุหนักทุกรูปแบบ
    • ปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัย 1 แห่งได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง นานกว่า 7 วัน
    • เหมาะกับเหตุการณ์ที่มีความเสียหายปานกลาง เช่น อาคารขนาดกลางถล่ม
    • มีบุคลากรและอุปกรณ์มากกว่า Light Team แต่ยังจำกัดในแง่การทำงานหลายจุดพร้อมกัน
  3. Heavy Team (ทีมขนาดหนัก)
    • มีความสามารถในการปฏิบัติงานในหลายพื้นที่พร้อมกัน ตลอด 24 ชั่วโมง นานกว่า 10 วัน
    • สามารถเคลื่อนย้ายเข้าพื้นที่ภัยพิบัติทั่วโลกได้ภายใน 78 ชั่วโมง
    • เหมาะกับภัยพิบัติขนาดใหญ่ เช่น แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงหรือตึกสูงถล่ม
    • มีความพร้อมทั้งบุคลากร อุปกรณ์ และการประสานงานข้ามชาติ

ทีมจากอิสราเอลที่เข้ามาช่วยเหลือในเหตุตึก สตง. ถล่ม เป็นทีมระดับ Heavy ซึ่งมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น และอิสราเอล ที่ได้รับการรับรองในระดับนี้ การรับรองนี้มาจากกระบวนการ INSARAG External Classification (IEC) ซึ่งเป็นการประเมินสมัครใจที่เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เพื่อรับรองประสิทธิภาพและมาตรฐานการปฏิบัติงาน

โครงสร้างและองค์ประกอบของทีม USAR

ทีม USAR ระดับ Medium และ Heavy ประกอบด้วย 5 หน่วยงานหลักที่ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ:

  1. Management (การจัดการ)
    • รับผิดชอบการสั่งการและประสานงานทั้งในและนอกพื้นที่
    • วางแผนและติดตามความคืบหน้าของภารกิจ
    • มีผู้ประสานงานด้านสื่อและรายงาน เพื่อให้ข้อมูลแก่หน่วยงานท้องถิ่นและสาธารณชน
    • ประเมินสถานการณ์และวิเคราะห์ความเสี่ยง รวมถึงดูแลความปลอดภัยของทีม
  2. Search (การค้นหา)
    • ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น อุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณชีพ กล้องถ่ายภาพความร้อน และเครื่องมือฟังเสียง
    • มีการใช้สุนัขค้นหาที่ผ่านการฝึกมาเป็นพิเศษ เพื่อตรวจจับผู้รอดชีวิต
    • ประเมินวัตถุอันตรายในพื้นที่ เช่น สารเคมีหรือโครงสร้างที่อาจถล่มซ้ำ
  3. Rescue (การกู้ภัย)
    • ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่มีทักษะหลากหลาย เช่น การตัดคอนกรีต การทำลายโครงสร้าง การค้ำยัน และการใช้เชือกกู้ภัย
    • ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากซากปรักหักพังอย่างปลอดภัย
    • ต้องทำงานร่วมกับวิศวกรเพื่อป้องกันอันตรายจากโครงสร้างที่ไม่มั่นคง
  4. Medical (การแพทย์)
    • ให้การรักษาฉุกเฉินแก่ผู้ประสบภัยที่พบในซากอาคาร
    • ดูแลสุขภาพของสมาชิกทีมกู้ภัยและสุนัขค้นหา
    • ทำงานภายใต้การอนุญาตจากหน่วยงานสาธารณสุขของประเทศนั้น ๆ
  5. Logistics (การส่งกำลังบำรุง)
    • จัดการฐานปฏิบัติการ (Base of Operations – BoO) เพื่อเป็นศูนย์กลางการทำงาน
    • ดูแลการขนส่งอุปกรณ์ การสื่อสาร และการบริหารจัดการทรัพยากร
    • ประสานงานข้ามพรมแดน เช่น การผ่านด่านศุลกากรหรือการขออนุญาตใช้น่านฟ้า

ในกรณีของทีม Heavy เช่น ทีมจากอิสราเอล ยังมีวิศวกรโครงสร้างและทีมกฎหมายร่วมด้วย เพื่อวิเคราะห์ความมั่นคงของอาคารและประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นในด้านข้อกฎหมายและการบริหารจัดการ

ขั้นตอนการปฏิบัติงานของ USAR

ตามแนวทางของ INSARAG การปฏิบัติงานของทีม USAR แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนที่ชัดเจน:

  1. Preparedness (การเตรียมความพร้อม)
    • เป็นช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ โดยทีมจะทบทวนบทเรียนจากภารกิจที่ผ่านมา
    • พัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติ ฝึกอบรมบุคลากร และวางแผนรับมือภัยพิบัติในอนาคต
    • รวมถึงการเตรียมอุปกรณ์และทรัพยากรให้พร้อมตลอดเวลา
  2. Mobilisation (การเตรียมตัวออกปฏิบัติงาน)
    • เริ่มทันทีหลังเกิดภัยพิบัติ โดยทีมจะเตรียมบุคลากรและอุปกรณ์เพื่อเคลื่อนย้ายสู่พื้นที่
    • ทีม Heavy ต้องถึงจุดเกิดเหตุภายใน 78 ชั่วโมง ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล
  3. Operations (การปฏิบัติงาน)
    • ปฏิบัติในพื้นที่จริง ตั้งแต่การรายงานตัวต่อหน่วยงานท้องถิ่น การค้นหา และการช่วยเหลือ
    • ทีมจะทำงานตามคำสั่งของผู้อำนวยการท้องถิ่น และหยุดเมื่อภารกิจระยะแรกเสร็จสิ้น
  4. Demobilisation (การถอนกำลัง)
    • ถอนกำลังออกจากพื้นที่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นหรือได้รับคำสั่งให้ยุติ
    • ในกรณีตึก สตง. ถล่ม ทีมอิสราเอลถอนกำลังหลังครบ 7 วันตามกรอบระยะแรก
  5. Post-Mission (การรายงานผล)
    • จัดทำรายงานผลการปฏิบัติงาน และจัดประชุมถอดบทเรียน
    • นำข้อมูลไปพัฒนาการปฏิบัติในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ขั้นตอนเหล่านี้ช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยทีม Heavy อย่างอิสราเอลสามารถดำเนินการได้ครบทุกขั้นตอนอย่างมืออาชีพ

ระบบเครื่องหมาย INSARAG

หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ทีม USAR ใช้คือระบบเครื่องหมาย INSARAG (INSARAG Marking System) ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารข้อมูลระหว่างทีมกู้ภัย โดยไม่ต้องพูดคุยกันโดยตรง ระบบนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก:

  1. Worksite Marking (การทำเครื่องหมายพื้นที่ปฏิบัติงาน)
    • ใช้ระบุขอบเขตและสถานะของพื้นที่ เช่น ยังค้นหาอยู่ เสร็จสิ้นแล้ว หรือมีอันตราย
    • ช่วยให้ทีมอื่น ๆ เข้าใจสถานการณ์และวางแผนการทำงานต่อ
  2. Victim Marking (การทำเครื่องหมายผู้ประสบภัย)
    • ระบุตำแหน่งและสภาพของผู้ประสบภัย เช่น รอดชีวิต รอการช่วยเหลือ หรือเสียชีวิต
    • ใช้สัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย เช่น วงกลมหรือกากบาท เพื่อบ่งบอกสถานะ
  3. Rapid Clearance Marking และ Cordon Markings
    • Rapid Clearance Marking ใช้สำหรับแจ้งว่าได้เคลียร์พื้นที่แล้ว
    • Cordon Markings เป็นการกั้นเขตอันตราย เพื่อป้องกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป

ระบบเครื่องหมายนี้ถูกนำมาใช้ในเหตุตึก สตง. ถล่ม โดยทีมอิสราเอลใช้สัญลักษณ์ตามมาตรฐาน INSARAG 2015 เพื่อส่งต่อข้อมูลให้ทีมไทย ทำให้การทำงานต่อเนื่องไม่มีสะดุด

บทบาทของ USAR ในเหตุตึก สตง. ถล่ม

ทีมจากอิสราเอลเข้ามาด้วยความเชี่ยวชาญในการกู้ภัยใต้ซากตึกถล่ม ซึ่งนายชัชชาติระบุว่า “เหตุนี้ซับซ้อนมาก เขาบอกว่าไม่เคยเจอตึกสูง 30 ชั้นถล่มแบบนี้มาก่อน” เมื่อมาถึงวันแรก ทีมสามารถระบุจุดพิกัดสัญญาณชีพได้ทันที ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมและโครงสร้างอาคาร รวมถึงแนะนำการใช้เครื่องจักรหนักอย่างระมัดระวัง โดยต้องมีวิศวกรควบคุมเพื่อป้องกันการถล่มซ้ำ

ตลอด 7 วัน ทีมอิสราเอลทำงานร่วมกับทีมไทยอย่างใกล้ชิด โดยมีการประชุมทุกคืนเพื่อประเมินสถานการณ์และวางแผนการทำงานในวันถัดไป ก่อนถอนกำลัง ทีมได้ถ่ายทอดข้อมูลสำคัญ เช่น จุดที่ยังต้องสำรวจ และเทคนิคการปฏิบัติงานให้ทีมไทย เพื่อให้การดำเนินการต่อไปเป็นไปอย่างราบรื่น

นายชัชชาติกล่าวว่า “ทุกคืนเราคุยกัน เขาบอกทุกวันว่าจะทำอะไร บริเวณไหน ยังไง การถอนกำลังครั้งนี้ไม่กระทบแน่นอน เพราะเรามีข้อมูลครบแล้ว”

การถอนกำลังและแผนงานต่อไป

การถอนกำลังของทีมอิสราเอลเกิดขึ้นหลังครบ 7 วัน ซึ่งเป็นกรอบเวลามาตรฐานสำหรับภารกิจระยะแรกของทีม Heavy ตามหลัก INSARAG ที่มุ่งเน้นการช่วยชีวิตในช่วงวิกฤต หลังจากนี้ ทีมไทยจะเข้าสู่ระยะฟื้นฟู (Recovery) โดยใช้เครื่องจักรหนัก เช่น รถเครนและเครื่องตัดคอนกรีต ร่วมกับบุคลากร เพื่อเคลียร์ซากอาคารและกู้ร่างผู้เสียชีวิตที่ยังติดค้างอยู่

นายชัชชาติยืนยันว่า “หลังจากนี้เราจะลุยเต็มที่ ใช้เครื่องจักรหนักสลับกับคน เพื่อเร่งเคลียร์พื้นที่ให้เร็วที่สุด โดยมีวิศวกรดูแลความปลอดภัยตลอด”

แผนพัฒนาทีมกู้ภัยไทย

นายชัชชาติแสดงความหวังว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับทีมกู้ภัยไทยสู่ระดับ Heavy โดยทีมอิสราเอลให้คำแนะนำว่า ไทยมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว แต่ต้องพัฒนาด้านการฝึกอบรม การใช้เครื่องมือหนัก และการประสานงานกับวิศวกรโครงสร้างให้เข้มข้นขึ้น

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีทีม USAR ที่ได้รับการรับรองในระดับ Medium เช่น ทีมจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและหน่วยงานทหาร แต่ยังไม่มีทีมในระดับ Heavy การก้าวสู่ระดับสูงสุดต้องมีการลงทุนในอุปกรณ์ เช่น เครื่องตรวจจับสัญญาณชีพและเครื่องตัดไฮดรอลิก รวมถึงการฝึกบุคลากรตามมาตรฐาน INSARAG

“ทีมนานาชาติชื่นชมว่าเรามาถูกทาง ถ้าเราพัฒนาต่อไปได้ วันหนึ่งทีมไทยก็จะไปช่วยประเทศอื่นได้เหมือนกัน” นายชัชชาติกล่าว

USAR กับการรับมือภัยพิบัติในอนาคต

การเข้ามาของทีม USAR ในเหตุตึก สตง. ถล่ม แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีทีมกู้ภัยที่ได้มาตรฐานสากลในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงจากภัยพิบัติทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม และพายุ การพัฒนาทีม Heavy จะช่วยลดการพึ่งพาทีมนานาชาติ และเพิ่มขีดความสามารถในการช่วยเหลือทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ การถ่ายทอดความรู้จากทีมอิสราเอล เช่น การใช้ระบบเครื่องหมาย INSARAG และเทคนิคการกู้ภัย จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างทีม USAR ที่แข็งแกร่งของไทยในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ทีม USAR ทั่วโลก: INSARAG รายงานว่า ปัจจุบันมีทีม USAR ที่ได้รับการรับรอง 58 ทีมทั่วโลก โดย 16 ทีมอยู่ในระดับ Heavy (ที่มา: INSARAG Annual Report, 2023)
  2. เหตุอาคารถล่มในไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า ในรอบ 10 ปี (2558-2567) ไทยมีเหตุอาคารถล่มจากภัยธรรมชาติและมนุษย์สร้าง 42 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 178 ราย (ที่มา: รายงานภัยพิบัติประจำปี, ปภ., 2567)
  3. แผ่นดินไหวที่กระทบไทย: กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ในรอบ 5 ปี (2563-2567) ไทยได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้าน 8 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อ 28 มีนาคม 2568 รุนแรงที่สุด (ที่มา: รายงานธรณีพิบัติภัย, 2567)
  4. การฝึกอบรมกู้ภัยในไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระบุว่า ในปี 2567 มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานสากล 2,500 คน แต่ยังไม่ครอบคลุมระดับ Heavy (ที่มา: รายงานการพัฒนาบุคลากร, ปภ., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรุงเทพมหานคร
  • INSARAG
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ปภ.รายงานผลกระทบแผ่นดินไหว เร่งช่วยเหลือทั่วประเทศ

ปภ. รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แผ่นดินไหวและการให้ความช่วยเหลือประชาชน ย้ำทุกหน่วยงานร่วมเป็นกลไกการทำงานภายใต้ บกปภ.ช. เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ประเทศไทย, 29 มีนาคม 2568 – กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา ขนาด 8.2 แมกนิจูด ลึก 10 กิโลเมตร ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ประชาชนใน 57 จังหวัดสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ และเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายครั้ง

สรุปสถานการณ์และพื้นที่ได้รับผลกระทบ

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า แผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย ผู้บาดเจ็บ 9 ราย และผู้สูญหาย 101 ราย โดยในปัจจุบันได้มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินในจังหวัดปทุมธานี แพร่ และกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

ในส่วนของอาคารและสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ เช่น

  • เชียงใหม่: อาคารคอนโดมิเนียม ศุภาลัย มอนเต้ 1 และ 2 และดวงตะวันคอนโดมิเนียมได้รับความเสียหายอย่างหนัก วัดสันทรายต้นกอกและวัดน้ำล้อมเกิดรอยร้าวในโครงสร้างเจดีย์และวิหาร
  • เชียงราย: หลังคาอาคารวัฒนธรรมวัดท่าข้ามศรีดอนชัยพังถล่ม และมีเหตุคานถล่มในจุดก่อสร้างทางรถไฟที่อำเภอป่าแดด
  • กรุงเทพมหานคร: อาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเขตจตุจักรถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายหลายราย
  • ลำพูน: ซุ้มประตูวัดพาณิชน์สิทธิการามและหอระฆังวัดดอนตองได้รับความเสียหาย รวมถึงบ้านเรือนประชาชนในหลายพื้นที่

การให้ความช่วยเหลือและมาตรการเร่งด่วน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่ออำนวยการในการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหาย รวมถึงให้การเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ ปภ. ได้ส่งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) พร้อมอุปกรณ์ค้นหาสัญญาณชีพเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร และร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ

ความคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ

ฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชนได้แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ดังกล่าวอย่างหลากหลาย

  • ฝ่ายสนับสนุน: เห็นว่าการตอบสนองของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
  • ฝ่ายกังวล: มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารเก่าและโครงสร้างพื้นฐานที่อาจไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนเกิดเหตุ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบและซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหายโดยเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า แผ่นดินไหวที่มีขนาด 8.2 แมกนิจูดครั้งนี้ ถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูงสุดในรอบ 100 ปีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • มีรายงานอาฟเตอร์ช็อกมากกว่า 56 ครั้งในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังแผ่นดินไหว
  • กรุงเทพมหานครได้รับแรงสั่นสะเทือนถึงระดับ 4 ตามมาตราริกเตอร์ ทำให้เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงในหลายอาคารสูง

ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสายด่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โทร. 1784 หรือแจ้งผ่านไลน์ไอดี @1784DDPM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักข่าวรอยเตอร์
  • สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาวิปโยค แผ่นดินไหว 8.2 แรงสุดรอบศตวรรษ

สรุปเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในเมียนมา แรงสั่นสะเทือนที่สุดในรอบ 100 ปี

เมียนมา,29 มีนาคม 2568 – เมื่อเวลา 13.21 น. ของวันที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในประเทศเมียนมา ซึ่งถือเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ของประเทศ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งในเมียนมาและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงส่งแรงสั่นสะเทือนถึง เวียดนาม และ ประเทศไทย จนทำให้อาคารในกรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างน้อย 1 แห่ง

ศูนย์กลางและข้อมูลทางเทคนิค

กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยรายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้มีขนาด 8.2 และมีความลึกประมาณ 10 กิโลเมตร ขณะที่ สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) ระบุว่ามีขนาด 7.7 และความลึก 16 กิโลเมตร โดยศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ทาง ตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองสกาย (Sagaing) ใกล้กับ เมืองมัณฑะเลย์ (Mandalay) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเมียนมา

ผลกระทบและความเสียหาย

  • สะพานเอวา (Ava Bridge) ข้ามแม่น้ำอิระวดีในเมืองมัณฑะเลย์ พังถล่มลงมาบางส่วน ซึ่งเป็นภาพที่ได้รับการยืนยันจากสำนักข่าวรอยเตอร์ผ่านการตรวจสอบทางภูมิศาสตร์
  • วัดในเมืองมัณฑะเลย์ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยมีพระสงฆ์หลายรูปที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่
  • กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของเมียนมา มีอาคารหลายแห่งได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะเพดานที่พังถล่มลงมา ทำให้เจ้าหน้าที่และประชาชนต้องอพยพออกจากอาคารอย่างเร่งด่วน
  • เมืองตองอู วัด Wailuwun พังถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย โดย 5 ราย เป็นเด็กไร้บ้าน และยังมีเด็กอีกกว่า 20 คน ที่อาจติดอยู่ในอาคารเรียนที่ถล่มลงมา

มาตรการรับมือและการประกาศภาวะฉุกเฉิน

กองทัพเมียนมา ได้ประกาศ ภาวะฉุกเฉิน ในหลายภูมิภาค พร้อมแถลงการณ์ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram ว่าจะเร่งดำเนินการสอบสวนสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: เห็นว่าการประกาศภาวะฉุกเฉินและการเร่งดำเนินการช่วยเหลือเป็นการตอบสนองที่รวดเร็วและจำเป็นในสถานการณ์วิกฤต ขณะเดียวกัน การประกาศใช้มาตรการกู้ภัยโดยทันทีถือเป็นการลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม
  • ฝ่ายกังวล: ตั้งข้อสังเกตว่าการเข้าถึงข้อมูลที่จำกัดจากทางการเมียนมา และการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวดหลังการรัฐประหาร อาจทำให้การรายงานข้อมูลไม่ครบถ้วนและขาดความโปร่งใส ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ขนาดแผ่นดินไหว: 8.2 แมกนิจูด (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)
  • ขนาดแผ่นดินไหวจาก USGS: 7.7 แมกนิจูด และลึก 16 กิโลเมตร (ที่มา: USGS)
  • ผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวในตองอู: 6 ราย (ที่มา: Save The Trees Foundation)
  • เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาในอดีต: มากกว่า 6 ครั้ง ขนาด 7.0 ขึ้นไป ระหว่างปี 1930 – 1956 (ที่มา: USGS)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : apnews 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แผ่นดินไหวเมียนมา เชียงรายระทึก 3 อำเภอเสียหาย

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย ติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหว พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

เชียงราย,28 มีนาคม 2568 – กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานสถานการณ์และผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เวลา 13.20 น. โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ในจังหวัดเชียงราย 3 อำเภอ 3 ตำบล ได้แก่ อำเภอเชียงของ อำเภอป่าแดด และอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งดำเนินการสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลือเป็นการด่วน

ความเสียหายที่เกิดขึ้น

  1. อำเภอเชียงของ:
    • วัดท่าข้ามศรีดอนชัย หมู่ที่ 7 ตำบลศรีดอนชัย ได้รับความเสียหายบริเวณ หลังคาอาคารวัฒนธรรม ซึ่งพังถล่มลงมาเนื่องจากโครงหลังคาที่เป็นไม้เก่ารองรับน้ำหนักไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
  2. อำเภอป่าแดด:
    • เกิดเหตุ คานคอนกรีตถล่ม บริเวณจุดก่อสร้างทางรถไฟ บ้านโป่งศรีนคร หมู่ที่ 11 ตำบลโรงช้าง โดยคานคอนกรีตขนาดใหญ่ จำนวน 20 ท่อน น้ำหนักประมาณ 10 ตันต่อท่อน พังลงมาทับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมทั้งหมด 7 คัน ได้แก่ รถสิบล้อ 2 คัน รถกระบะ 3 คัน รถเก๋ง 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
  3. อำเภอเมืองเชียงราย:
    • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ทำให้ ผนังอาคารบางส่วนเกิดรอยร้าว แต่โครงสร้างหลักยังคงปลอดภัย ไม่มีรายงานความเสียหายต่อเครื่องมือแพทย์หรือผู้ป่วย โรงพยาบาลยังคงเปิดให้บริการตามปกติ

การให้ความช่วยเหลือและมาตรการเบื้องต้น

ภายหลังจากเกิดเหตุ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์ พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการดังนี้:

  • สำรวจความเสียหายอย่างละเอียด โดยประสานงานกับสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย รวมถึงหน่วยงานด้านวิศวกรรม เพื่อประเมินโครงสร้างอาคารในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
  • จัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในแต่ละอำเภอเพื่อดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง
  • ตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาล วัด และโครงการก่อสร้างต่าง ๆ อย่างละเอียด

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: ผู้ที่สนับสนุนการดำเนินงานของจังหวัดเชียงรายชื่นชมในความรวดเร็วของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถเข้าพื้นที่และเริ่มการช่วยเหลือได้อย่างทันเวลา รวมถึงการประเมินความปลอดภัยของอาคารสำคัญอย่างเร่งด่วน
  • ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายมีความกังวลเกี่ยวกับโครงสร้างอาคารในพื้นที่เสี่ยงที่อาจไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดในอดีต โดยเสนอให้มีการเพิ่มมาตรการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในพื้นที่ที่อยู่ใกล้รอยเลื่อนแผ่นดินไหว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ขนาดแผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางในเมียนมา: 7.7 แมกนิจูด (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)
  • จำนวนอาคารที่ได้รับความเสียหายในจังหวัดเชียงราย: 3 แห่ง (วัด โรงพยาบาล และจุดก่อสร้าง) (ที่มา: กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)
  • การเกิดแผ่นดินไหวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2568: มากกว่า 20 ครั้ง (ที่มา: ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสู้ภัยแล้ง! ทหารนำทีมช่วย ประชาชนขาดน้ำ

มทบ.37 เปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ปี 2568

บูรณาการช่วยเหลือประชาชน แก้ปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นระบบ

เชียงราย, 6 มีนาคม 2568 – ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 (ศบภ.มทบ.37) เปิดโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี 2568 โดยมี พันเอก ไพโรจน์ ยะวิญชาญ รอง ผอ.ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37/รอง ผบ.ศบภ.มทบ.37 เป็นประธานในพิธี ณ สนามหน้าร้อย มทบ.37 ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย

ระดมกำลังหลายภาคส่วน รับมือภัยแล้งปีนี้

การดำเนินโครงการในครั้งนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น

ผลกระทบจากภัยแล้งและแนวทางช่วยเหลือ

พันเอก ไพโรจน์ ยะวิญชาญ ระบุว่า สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้มีความรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนและปริมาณน้ำฝนลดลง ส่งผลให้หลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลเขตชลประทานและพื้นที่สูง การดำเนินโครงการในปีนี้จึงมีมาตรการเร่งด่วน ได้แก่:

  • การแจกจ่ายน้ำ ให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
  • การจัดตั้งจุดจ่ายน้ำ ในพื้นที่ที่ขาดแคลน
  • การสนับสนุนยานพาหนะและยุทโธปกรณ์ เพื่อขนส่งน้ำไปยังพื้นที่ทุรกันดาร

ดำเนินการต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือประชาชน

จากข้อมูลของ ศบภ.มทบ.37 ในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการแจกจ่ายน้ำให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งไปแล้วกว่า 95,000 ลิตร ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในหลายพื้นที่ โครงการในปี 2568 จะยังคงเน้นการช่วยเหลือที่รวดเร็วและทั่วถึง พร้อมกับการวางแผนระยะยาวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับมือกับภัยแล้งในอนาคต

สถิติภัยแล้งในประเทศไทยและแนวโน้มอนาคต

ตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2567 ปริมาณน้ำฝนลดลงจากค่าเฉลี่ยถึง 20% ส่งผลให้หลายพื้นที่มีระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำต่ำกว่าค่ามาตรฐาน การคาดการณ์ในปี 2568 ชี้ว่า ภัยแล้งอาจทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง

โครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” จึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ช่วยบรรเทาผลกระทบและสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ประชาชนสามารถรับมือกับภัยแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายห่วงใย! ผู้ว่าฯ เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวไฟไหม้บ้าน

ผู้ว่าฯ เชียงราย เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้ประสบภัยไฟไหม้บ้านทั้งหลัง มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ให้กำลังใจครอบครัวผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้านทั้งหลังในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้บ้านและทรัพย์สินได้รับความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

เหตุการณ์ไฟไหม้และผลกระทบต่อครอบครัวผู้ประสบภัย

ไฟไหม้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ชุมชนสันโค้งหลวง ซอย 5 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยต้นเพลิงมาจากบ้านของ ส.อ.บุญศรี อายุ 88 ปี ซึ่งถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง ส่งผลให้ทรัพย์สินภายในบ้านมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ถูกเผาทำลายทั้งหมด

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลนครเชียงรายได้รับแจ้งเหตุและระดมกำลังเข้าควบคุมเพลิงโดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง จึงสามารถดับไฟได้สำเร็จ เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านและครอบครัวต้องสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด

ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจและมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจแก่ครอบครัวผู้ประสบภัย พร้อมทั้งนำสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมอบให้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

ผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายและทุกภาคส่วน พร้อมให้ความช่วยเหลือ และฟื้นฟูจิตใจของผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเน้นย้ำถึงความร่วมมือของชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ส.อ.บุญศรี ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้โดยเร็ว

“นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้า แต่สิ่งที่เราทำได้คือร่วมมือกันเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และทำให้ครอบครัวของ ส.อ.บุญศรี ได้รับการฟื้นฟูทั้งทางกายและใจ” นายชรินทร์กล่าว

เทศบาลนครเชียงรายเร่งประสานความช่วยเหลือเพิ่มเติม

ด้าน เทศบาลนครเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่าง การประเมินความเสียหาย และเตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม เบื้องต้นได้จัดหาสถานที่พักชั่วคราวสำหรับครอบครัว ส.อ.บุญศรี และกำลังพิจารณาแนวทางการสนับสนุนเงินเยียวยา

นอกจากนี้ หน่วยงานภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป สามารถร่วมบริจาคช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัย ผ่านกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยของจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะนำเงินไปใช้ในการฟื้นฟูที่อยู่อาศัยและความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สถิติไฟไหม้ในจังหวัดเชียงราย ปี 2567: เกิดเหตุไฟไหม้ทั้งสิ้น 58 ครั้ง (ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย)
  • มูลค่าความเสียหายจากเหตุไฟไหม้เฉลี่ยต่อปีในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 120 ล้านบาท (ที่มา: เทศบาลนครเชียงราย)
  • ระยะเวลาเฉลี่ยในการควบคุมเพลิงของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงในพื้นที่เชียงราย: 90-120 นาที (ที่มา: หน่วยกู้ภัยเชียงราย)
  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ในเชียงราย ปี 2567: 85 ครัวเรือน (ที่มา: สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย)

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย ขอให้ประชาชน เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าในช่วงฤดูแล้ง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ และหากพบเห็นเหตุการณ์ไฟไหม้สามารถแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 199 ตลอด 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพภาค 3 พัฒนาแหล่งน้ำ! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ป่าแดด

แม่ทัพภาค 3 ลุยป่าแดด! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม สร้างความมั่นคง

เชียงราย, 25 กุมภาพันธ์ 2568 – แม่ทัพภาคที่ 3 ลงพื้นที่ติดตามโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน อ.ป่าแดด

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้า “โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ” ณ พื้นที่สาธารณะประโยชน์ หลงช้างตาย อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างกองทัพบกและมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตามแนวคิดที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วม โดยคำนึงถึงลักษณะภูมิสังคมและความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่

ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร

โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 และได้แสดงผลสำเร็จที่ชัดเจนในการลดปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือของไทย ซึ่งในอดีตเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมและการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง การดำเนินงานเน้นการพัฒนาระบบน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มักสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร

ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ

สำหรับปีงบประมาณ 2567 กองทัพภาคที่ 3 ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 9 โครงการ, จังหวัดพะเยา 4 โครงการ, จังหวัดลำพูน 2 โครงการ, จังหวัดขอนแก่น 6 โครงการ และจังหวัดชัยภูมิ 10 โครงการ รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ การดำเนินงานเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 และมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2568 โดยมีการขุดดินทั้งหมด 3,058,018 ลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้ประชาชน 18,436 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตรกรรม 1,507,515 ไร่ ได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม โครงการนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ แต่ยังเพิ่มความมั่นคงในชีวิตและรายได้ให้แก่ชุมชนเกษตรกรในระยะยาว

หน่วยทหารช่าง

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ตรวจสอบการทำงานของหน่วยทหารช่าง ซึ่งกองทัพภาคที่ 3 ได้มอบหมายให้หน่วยต่าง ๆ เข้าร่วมปฏิบัติงาน ประกอบด้วย กองพลพัฒนาที่ 3, กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 302 กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 และกองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 หน่วยเหล่านี้ได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าปรับปรุงแหล่งน้ำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามกำหนดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

การตอบรับอย่างดีจากชุมชน

นอกจากการติดตามความคืบหน้าโครงการแล้ว พลโท กิตติพงษ์ ยังได้มอบถุงยังชีพที่มีเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน พร้อมมอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนในชุมชน เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในท้องถิ่น อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมและให้กำลังใจแก่กำลังพลจากหน่วยทหารที่จัดตั้งจุดบริการเคลื่อนที่ในพื้นที่ โดยมีทั้งการซ่อมรถยนต์, เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง, บริการตัดผม และการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชน


ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต

อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญปัญหาการจัดการน้ำมาอย่างยาวนาน เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มสลับกับเนินเขา และมีแม่น้ำพุงไหลผ่าน ซึ่งในอดีตมักเกิดน้ำท่วมในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาน้ำในการเพาะปลูกพืชผล เช่น ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วลิสง และลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของพื้นที่


มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานราก

การดำเนินงานของกองทัพภาคที่ 3 และมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ประชาชนในเขตชนบท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่นและการเกษตรอย่างทั่วถึง

ในระหว่างการลงพื้นที่ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลและรักษาแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว พร้อมทั้งยืนยันว่ากองทัพบกจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่มักถูกละเลยจากการพัฒนาในอดีต

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำฝนและความถี่ของภัยพิบัติในประเทศไทย โดยการฟื้นฟูแหล่งน้ำจะช่วยเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝน และกระจายน้ำไปยังพื้นที่เกษตรในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ปี 2567 พบว่า พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเฉลี่ย 20-30% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอำเภอป่าแดดที่มีประชากรราว 6,494 คน (ข้อมูลจากเทศบาลตำบลป่าแดด ปี 2561) และพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก
  • ข้อมูลจากมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ระบุว่า โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำตั้งแต่ปี 2559 ได้ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บทั่วประเทศกว่า 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลดีต่อครัวเรือนกว่า 500,000 ครัวเรือน (ที่มา: รายงานประจำปี 2566 มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พายุพัดถล่ม เวียงเชียงรุ้ง บ้านเรือนเสียหาย 130 หลัง

อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เร่งสำรวจความเสียหายและช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัย หลังพายุฝนถล่มกว่า 130 หลังคาเรือน

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน เร่งฟื้นฟูความเสียหาย

วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 08.30 น. นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย นำทีมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายจากพายุฝนที่พัดถล่มเมื่อคืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนในหลายพื้นที่ของอำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยเฉพาะ ตำบลป่าซางและตำบลทุ่งก่อ

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ มี ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) นายกองค์การบริหารส่วนตำบลป่าซาง เจ้าหน้าที่กองช่าง สมาชิกสภาจังหวัดเชียงรายในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขตเชียงของ ร่วมลงพื้นที่เพื่อสำรวจและประเมินความเสียหาย รวมถึงให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด

จากรายงานเบื้องต้น พบว่ามีบ้านเรือนได้รับความเสียหายรวมกว่า 130 หลังคาเรือน แบ่งเป็น

  • ตำบลทุ่งก่อ
    • หมู่ที่ 2 จำนวน 6 หลัง
    • หมู่ที่ 3 จำนวน 1 หลัง
  • ตำบลป่าซาง
    • หมู่ที่ 8 จำนวน 112 หลัง
    • หมู่ที่ 12 จำนวน 4 หลัง
    • หมู่ที่ 13 จำนวน 3 หลัง
    • หมู่ที่ 14 จำนวน 4 หลัง

เร่งฟื้นฟูบ้านเรือนประชาชน แจกจ่ายวัสดุก่อสร้างช่วยเหลือผู้เดือดร้อน

ในช่วงเย็นของวันเดียวกัน เวลา 17.00 น. นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ มอบหมายให้นายพัฒนเศรษฐ์ เหมืองหม้อ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ประสานความร่วมมือกับ องค์การบริหารส่วนตำบลป่าซาง กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ดำเนินการ แจกจ่ายกระเบื้องมุงหลังคาให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากพายุในพื้นที่หมู่ที่ 5 หมู่ที่ 8 และหมู่ที่ 14 ตำบลป่าซาง รวมทั้งสิ้น 140 หลังคาเรือน

นายพัฒนเศรษฐ์ เปิดเผยว่า การให้ความช่วยเหลือครั้งนี้เป็นการดำเนินการเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนสามารถซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกัน ทางอำเภอเวียงเชียงรุ้งกำลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์เพิ่มเติม รวมถึงเตรียมจัดกำลังเจ้าหน้าที่และจิตอาสาเข้าช่วยเหลือการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก

“ตอนนี้เราได้ลงพื้นที่สำรวจครบถ้วนแล้ว และกำลังดำเนินการแจกจ่ายวัสดุซ่อมแซมบ้านเรือนให้แก่ผู้ประสบภัย ในส่วนของบ้านที่เสียหายหนัก จะมีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าช่วยเหลือในระยะยาว” นายพัฒนเศรษฐ์ กล่าว

สภาพอากาศยังน่ากังวล ทางการเตือนประชาชนเฝ้าระวังพายุรอบใหม่

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า พื้นที่ภาคเหนือตอนบน รวมถึงจังหวัดเชียงราย ยังคงมีแนวโน้มเผชิญพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อบ้านเรือนประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนในพื้นที่สูง

ทางด้าน กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ตั้งแต่วันที่ 25-28 กุมภาพันธ์ 2568 จะมีแนวปะทะของมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน เคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้มีฝนตกหนักบางพื้นที่ และอาจเกิดลมกระโชกแรง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน

ทางจังหวัดเชียงราย ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับพายุฤดูร้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อีก

แผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะยาว

นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง เปิดเผยว่า อำเภอมีแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะยาว โดยประสานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และภาคเอกชน เพื่อระดมทรัพยากรในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

มาตรการหลักที่กำลังดำเนินการ ได้แก่

  • การสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม เพื่อประเมินจำนวนครัวเรือนที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
  • การแจกจ่ายวัสดุก่อสร้างเพิ่มเติม เช่น ไม้ฝา กระเบื้องมุงหลังคา และอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน
  • การสนับสนุนด้านการเงินแก่ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ผ่านกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย
  • การจัดเตรียมแผนรับมือภัยพิบัติในอนาคต โดยร่วมมือกับหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

พายุผ่านไป แต่กำลังใจยังอยู่” – ชาวเวียงเชียงรุ้งร่วมมือฟื้นฟูบ้านเรือน

แม้ว่าพายุจะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนกว่า 130 หลังคาเรือน แต่ประชาชนในพื้นที่ยังคงมีกำลังใจดี และพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐในการฟื้นฟูบ้านเรือนของตนเอง

นายมนตรี แซ่ลิ้ม ชาวบ้านตำบลป่าซาง หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบจากพายุ กล่าวว่า แม้บ้านของตนจะได้รับความเสียหายบางส่วน แต่ยังรู้สึกดีใจที่ได้รับความช่วยเหลือจากทางอำเภอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว

“เมื่อคืนพายุแรงมากครับ หลังคาบ้านปลิวไปเกือบครึ่ง แต่วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็รีบเข้ามาสำรวจและเอากระเบื้องมาให้ ช่วยกันคนละไม้ละมือ ซ่อมแซมกันไป ก็คงจะกลับมาอยู่ได้ในเร็วๆ นี้” นายมนตรี กล่าว

สรุปสถานการณ์โดยรวม

  • บ้านเรือนเสียหายกว่า 130 หลังคาเรือน ในตำบลป่าซางและตำบลทุ่งก่อ
  • เจ้าหน้าที่เร่งแจกจ่ายวัสดุก่อสร้างให้ผู้ได้รับผลกระทบ
  • เตือนประชาชนเฝ้าระวังพายุรอบใหม่ ในช่วง 25-28 กุมภาพันธ์
  • แผนช่วยเหลือในระยะยาวมุ่งเน้นการฟื้นฟูบ้านเรือน และสนับสนุนกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย

เจ้าหน้าที่จะยังคงเดินหน้าฟื้นฟูและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่า ชุมชนในอำเภอเวียงเชียงรุ้งจะกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News