Categories
ECONOMY

โกลเดนวีคดันยอดจีนพุ่ง! ตั๋วกลับปักกิ่งดีด 400% โจทย์ใหญ่เชียงรายคือ “ประสบการณ์ปลายทาง”

พร้อมรับนักท่องเที่ยวจีนหรือยัง? “โกลเดนวีค” ดันยอดผู้มาเยือนพุ่ง—ตั๋วกลับปักกิ่งดีด 400% สะท้อนพลังดีมานด์ แต่โจทย์สำคัญคือ “ประสบการณ์ปลายทาง”

เชียงราย, 6 ตุลาคม 2568 — ช่วงเวลา 9 วันของ “โกลเดนวีคจีน” (28 ก.ย.–6 ต.ค.) ปีนี้ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวไทยคึกคักเป็นพิเศษ เที่ยวบินจากเมืองหลัก–เมืองรองของจีนทะยอยลงจอดแน่นทุกสนามบินหลัก ขณะที่ตัวเลขรายงานจากสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุชัดว่าอัตราผู้โดยสารเฉลี่ยพุ่งแตะ 99% และจำนวนผู้เดินทางชาวจีน “ต่อวัน” ขยับจากราว 11,000 คนไปใกล้ 24,000 คน/วัน ก่อนทรงตัวเหนือ 22,000 คน/วัน ณ วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ในสัปดาห์เดียว (26 ก.ย.–2 ต.ค.) นักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 586,942 คน ในจำนวนนี้ ชาวจีน 123,752 คน หรือ 21% ของทั้งหมดยืนยันการกลับมาของตลาดจีนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน “สัญญาณแรง” อีกด้านคือราคาตั๋วขากลับเส้นทาง กรุงเทพฯ–ปักกิ่ง ที่ดีดขึ้นกว่า 400% ไปแตะ 4,000–5,800 หยวน ในช่วง 7–9 ต.ค. สะท้อนดีมานด์เร่งตัวกว่าปกติหลายเท่าและที่นั่งกลับ “แทบเต็ม” แทบทุกสายการบิน (China Eastern, Hainan Airlines, Air China รวมถึง Vietjet) ซึ่งสื่อไทยหลายสำนักรายงานอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์นี้

คำถามใหญ่ที่ผุดขึ้นทันทีสำหรับเมืองท่องเที่ยวที่มีอัตลักษณ์เข้มข้นอย่าง เชียงราย คือ “เรา พร้อม แค่ไหนในการเปลี่ยน ปริมาณ ให้เป็น คุณภาพ”—พร้อมแค่ไหนที่จะทำให้คลื่นนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมา “ซ้ำเที่ยว–นานวัน–ใช้จ่ายคุ้มค่า” แทนที่จะเป็นเพียงตัวเลขผ่านเข้า–ออกสนามบิน

 

โอกาสทางเศรษฐกิจที่ “เห็น–จับต้องได้”

  • ตัวเลขดีมานด์ โกลเดนวีคปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศเฉลี่ยวันละเกือบ 2 หมื่นปลาย ที่นั่งเที่ยวบินกลับ “แน่น” จนราคาดีด 4 เท่า ในบางวัน หลังวันหยุดยาว—a classic supply–demand shock ที่ชี้ว่าความต้องการมาเที่ยวไทยยังแข็งแรง (และ พร้อมจ่าย หากประสบการณ์คุ้มค่า)
  • การกระจายรายได้ โรงแรม ร้านอาหาร ผู้ประกอบการทัวร์ สายการบิน ได้อานิสงส์ตรง ๆ โดยสื่อเศรษฐกิจประเมินเทรนด์ “คึกคัก” และการฟื้นตัวที่เห็นชัดในหลายเมืองหลัก–รอง ซึ่งเป็นสัญญาณให้จังหวัดนอกหัวเมืองใหญ่ “เร่งคว้าโอกาส” ขณะดีมานด์ยังพุ่ง

เชียงรายในฐานะ เมืองศิลป์ริมโขง ศูนย์กลางวัฒนธรรมล้านนา–ชนเผ่า–กาแฟ–ชา” มีทุนทางการท่องเที่ยวชัดเจน ทั้งแลนด์มาร์กเชิงศิลปะ (วัดร่องขุ่น/วัดร่องเสือเต้น/บ้านดำ) ธรรมชาติ (ดอยตุง–แม่สลอง–สามเหลี่ยมทองคำ) และไลฟ์สไตล์ (คาเฟ่สเปเชียลตี้–ไร่ชา–งานคราฟต์) ที่ตรงรสนิยม “ประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม+ภาพถ่ายสวย+อาหารเครื่องดื่มมีเรื่องเล่า” ของนักท่องเที่ยวยุคหลังโควิดโดยเฉพาะกลุ่ม FIT (เดินทางอิสระ) รุ่นใหม่จากจีนแผ่นดินใหญ่

 

พุ่งแรง” แต่ “พร้อมจริง” หรือยัง 5 มุมวิจารณ์ความพร้อมเชียงราย

แม้คลื่นนักท่องเที่ยวจีนจะเป็นข่าวดี แต่การแปลงโอกาสให้เป็น คุณภาพการเติบโต ต้องตอบคำถามความพร้อมเชิงระบบ ดังนี้

1) การเข้าถึงปลายทาง (Accessibility)

  • เที่ยวบิน–การเชื่อมต่อ ขณะกรุงเทพฯ–ภูเก็ต–เชียงใหม่ คือสามหัวรถจักรหลักของนักท่องเที่ยวจีน การดึง “ไฟลต์ตรง” สู่เชียงรายอาจยังจำกัดตามฤดูกาลและดีมานด์ (ขึ้นกับสายการบินจีน/ไทย) ช่วงพีกจึงเป็นหน้าต่างเวลาทองสำหรับภาคเอกชน–สมาคมท่องเที่ยวในพื้นที่ในการ หารือจับคู่เส้นทางเช่าเหมาลำ/ตามฤดูกาล พร้อมแพ็กเกจร่วมกับผู้ให้บริการภาคพื้น (ที่พัก–รถเช่า–แหล่งท่องเที่ยว) ให้สายการบินเห็นภาพรายได้สุทธิชัดเจน
  • เชื่อมต่อบก หากนักท่องเที่ยวลงเชียงใหม่แล้วต่อรถขึ้นเชียงราย สิ่งที่ต้องทำคือ ปรับมาตรฐานรถ–คนขับ–ไกด์ และจุดแวะพักให้ “ปลอดภัย สะอาด มีภาษา” เพราะความรู้สึก “ปลอดภัย–ไว้ใจได้” คือจุดตัดสินใจกลับมาซ้ำเที่ยวของตลาดจีน

2) ที่พัก–บริการ (Hospitality & Inventory)

  • โกลเดนวีคทำให้ ห้องพีก–ห้องสวย ในเมืองท่องเที่ยวถูกจองแน่นเร็ว ราคาขยับขึ้นตามดีมานด์—เชียงรายควรบริหาร สมดุลราคา–คุณค่า (value for money) ให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดภาพ “แพงฉับพลัน” เพราะความยั่งยืนของตลาดอยู่ที่ อัตราการกลับมาใหม่ มิใช่ “ขายแพงครั้งเดียวแล้วหาย”
  • โฮมสเตย์/ที่พักชุมชน/โฮเทลสไตล์บูทีคที่เล่าเรื่องชุมชน–กาแฟ–ชา ควร มาตรฐานด้านความสะอาดและความปลอดภัย ตลอดจน ช่องทางชำระเงินดิจิทัล เป็นมิตรกับผู้ใช้จีน (QR/อีวอลเล็ตสากล/บัตร) เพื่อปิดจุดปวดเวลาเช็คอิน–เช็คเอาต์

3) ภาษา–ไกด์–สื่อสาร (Language & Content)

  • ประสบการณ์ดี ๆ ในเชียงรายจำนวนมาก “ขายได้ด้วยการเล่าเรื่อง” ตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์ศิลป์ ไปจนถึง คาเฟ่สเปเชียลตี้ และ สวนชา/ไร่กาแฟ หากมี เมนู–ป้าย–โบรชัวร์ภาษาจีนกลาง/อังกฤษ ที่ถูกต้อง อ่านง่าย มี คิวอาร์โค้ดสแกนอ่านรีวิว/คอนเทนต์ จะเพิ่ม conversion จาก “มาเช็กอิน” เป็น “ใช้เวลา–ใช้จ่าย”
  • มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ที่มีความรู้วัฒนธรรมชนเผ่า–ศิลปะ–อาหารพื้นถิ่น จะยกระดับมูลค่าใช้จ่ายต่อหัว ทัวร์ชา/กาแฟ (cupping–hand drip) เวิร์กช็อปศิลป์/งานคราฟต์–ทอผ้า–ย้อมคราม–เครื่องเงิน ฯลฯ

4) ความปลอดภัย–ความเชื่อมั่น (Safety & Trust)

  • รายงานข่าวระดับประเทศชี้ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาแรงปีนี้ ได้แก่ “เสถียรภาพการเมือง” และ “ปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติในอาเซียน” ทำให้สื่อจีนรายงานภาพบวก—ไทยเป็นจุดหมาย “ปลอดภัย–บริการดี–เป็นมิตร” ซึ่งเป็นฐานที่เชียงรายต้องรักษาให้มั่น ด้วยมาตรการพื้นที่ กล้องวงจรปิด–ไฟส่องสว่าง–รถตำรวจท่องเที่ยว/อาสา และ ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหลายภาษา ในย่านท่องเที่ยวหลัก

5) ประสบการณ์ที่ “ใช่” สำหรับชาวจีน (China-fit Experiences)

จากพฤติกรรมผู้เดินทางจีนยุคใหม่ (โดยเฉพาะ Gen Z–มิลเลนเนียล) จุดขายที่สอดคล้องกับเชียงราย ได้แก่

  • เส้นทางศิลป์+คาเฟ่สเปเชียลตี้+โลคัลคราฟต์ เดย์ทริป “วัด–งานศิลป์–เวิร์กช็อป–คาเฟ่” พร้อมเซ็ตภาพถ่าย (photo spots)
  • ชา–กาแฟ–ฟาร์มทัวร์ ดอยตุง–แม่สลอง–ม้ง–อาข่า เชื่อมการ “ชิม–ช้อป–ชง” พร้อมคิตของฝากจับต้องได้ (กาแฟ/ชา/ขนมพื้นถิ่นพร้อมแพ็กจิ้ง)
  • กินท้องถิ่นอย่างเข้าใจ เมนูเล่าเรื่อง “แกงฮังเล–น้ำพริกหนุ่ม–แกงแค–ข้าวซอย” เป็นภาษาจีน พร้อม ตัวเลือกเผ็ดระดับ–ฮาลาล–วีแกน เพราะกรุ๊ปเพื่อน/ครอบครัวจีนมีความหลากหลายสูง
  • เทศกาล–แลนด์สเคปไฟฤดูหนาว หากจังหวัดและเอกชนร่วมกันต่อยอดกิจกรรมฤดูหนาว (ลอยกระทง–ไฟประดับ–งานคริสต์มาส–ปีใหม่) ให้เกิด ธีมเดียวกันทั้งเมือง จะสร้างแรงดึงดูด “อยู่ยาวขึ้น–กลับมาอีกปีหน้า”

 

ด้านสว่าง–ด้านท้าทาย ข้อเท็จจริง 6 ประการที่ผู้ประกอบการเชียงรายควรรู้

  1. ดีมานด์จีน “กลับมาแรง” จริงตามข่าว
    ตัวเลขรายสัปดาห์ 26 ก.ย.–2 ต.ค. 2568 ชาวจีนเข้าไทย 123,752 คน (21% ของต่างชาติทั้งหมด 586,942 คน) และรายวันขยับแตะ เกือบ 24,000 คน ก่อนทรงตัวเหนือ 22,000 คน ณ 2 ต.ค.—นี่ไม่ใช่ “สัญญาณลวง” แต่คือแรงซื้อที่ต้องรับมือด้วยสินค้า–บริการคุณภาพ
  2. ภาคการบิน “อัดแน่น” จนราคาขากลับดีด 400%
    เส้นกรุงเทพฯ–ปักกิ่งช่วง 7–9 ต.ค. ขึ้นไป 4,000–5,800 หยวน จากเดิม 1,500–2,000 หยวน ขณะที่นั่งกลับ “เกือบเต็มทุกไฟลต์”—แปลว่าความพร้อมของ “ปลายทาง” ต้องรองรับ แรงกระแทกของจำนวน โดยไม่ลดทอนคุณภาพ Mgr Online
  3. โอกาสของเมืองรอง
    รายงานเศรษฐกิจชี้นักท่องเที่ยวจีน เริ่มกระจายตัว นอกเมืองหลักมากขึ้น การจัดแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย” หรือ “เชียงราย–ลาว/พม่า (ชายแดนท่องเที่ยว)” ที่สื่อสารชัด จะดึงทริปให้อยู่ภาคเหนือ 2–4 คืน แทน 1–2 คืน เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป pptvhd36.com
  4. ภาพลักษณ์ความปลอดภัยสำคัญกว่าราคา
    การสื่อสาร proactive ด้านความปลอดภัย–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (เบอร์ติดต่อ/จุดช่วยเหลือ/แผนที่จีน/คิวอาร์) ในช่องทาง WeChat–红书 (RED)–抖音 (Douyin) ของผู้ประกอบการและหน่วยงานท้องถิ่น มีผลต่อการ “ตัดสินใจ–บอกต่อ” แรงกว่าการลดราคา
  5. คุณภาพบริการคือจุดคัดแยก
    ในเมื่อ “ที่นั่งบินกลับ” ยังเป็นคอขวดเป็นระยะ นักท่องเที่ยวพร้อม “เลือกจ่ายแพงขึ้น” ถ้าเชื่อว่าประสบการณ์คุ้ม—จุดนี้เชียงรายได้เปรียบด้วยสินค้าท้องถิ่นมีเรื่องเล่า หาก มาตรฐานบริการ–ภาษา–การชำระเงิน ไหลลื่น
  6. Data-driven & Co-op Marketing
    ผู้ประกอบการรายย่อยควรจับมือเป็น คลัสเตอร์ (ที่พัก–ร้านอาหาร–คาเฟ่–ชุมชน–รถเช่า–มัคคุเทศก์) ทำแพ็กเกจรวม + เก็บ รีวิวจีนคุณภาพ เพื่อดันอันดับค้นหาแพลตฟอร์มยอดนิยม (Trip.com/Fliggy/RED/Douyin) ให้เกิด ความน่าเชื่อถือร่วม มากกว่าทำเดี่ยว ๆ

 

กลยุทธ์ “พร้อมรับ–พร้อมรุก” สำหรับเชียงราย (เช็กลิสต์ทำได้ทันที)

ระยะสั้น (1–3 เดือน นับจากโกลเดนวีค)

  • ภาษา–เมนู–ป้าย–คิวอาร์จีน ให้ครบในย่านท่องเที่ยวหลัก (วัดร่องขุ่น/ร่องเสือเต้น/ไนท์บาซาร์/ถนนคนเดิน/ไร่ชา–กาแฟ)
  • FAST-TRACK Service Mind จุดจอด–จุดรับส่งทัวร์, ห้องน้ำสะอาด, มุมพัก นทท., จุดถ่ายรูป—จัดให้ชัดและ “เป็นมิตรกับคิว”
  • ชุดประสบการณ์รวดเร็ว (2–3 ชม.) สำหรับนักท่องเที่ยวผ่านเมือง เช่น “ศิลป์–กาแฟ–ของฝาก” พร้อมบัตรส่วนลดกลับมาพักคืนหน้า

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • Seasonal Charter/ไฟลต์พิเศษจีน–เชียงราย จับคู่สายการบิน + ผู้ประกอบการพื้นที่ ทำแพ็กข้ามเมือง “เชียงใหม่–เชียงราย” 3D2N/4D3N
  • เทศกาลฤดูหนาวธีมเดียวทั้งเมือง ประสานเทศบาล–เอกชน–แหล่งท่องเที่ยว ต่อยอดไฟประดับ–อีเวนต์ศิลป์–ดนตรี–ชิมชา/กาแฟ
  • มาตรฐานโฮมสเตย์/คอมมูนิตี้–จีนเฟรนด์ลี่ (ภาษา–ความสะอาด–อีเพย์เมนต์) พร้อมคอร์สสั้นสำหรับผู้ประกอบการ

ระยะยาว (มากกว่า 12 เดือน)

  • สร้างซิกเนเจอร์ระดับภูมิภาค “เชียงราย เมืองศิลป์–ชา–กาแฟของอาเซียน” เชื่อม Soft Power อาหารเหนือ–งานคราฟต์–คาเฟ่วิวไร่ชา
  • ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวดิจิทัลหลายภาษา (รวมภาษาจีน) ที่อัปเดตรายสัปดาห์ อีเวนต์, สภาพอากาศ, มลพิษ, งานเทศกาล, การเดินทาง
  • พัฒนาเครือข่ายมัคคุเทศก์ท้องถิ่นรุ่นใหม่ เน้นเล่าเรื่องชนเผ่า–ศิลป์–ธรรมชาติอย่างเข้าใจบริบทจีน (มารยาท–ศาสนา–การถ่ายภาพในวัด)

 

มุมมองเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยว “ราคาแพง” ไม่ใช่ปัญหา ถ้า “คุณค่า” ชัด

ราคาตั๋วขากลับที่พุ่ง 400% ทำให้บางคนกังวลว่าอาจ “ปิดประตู” นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มประหยัดในอนาคต แต่งานวิจัยท่องเที่ยวจำนวนมากชี้ไปในทางเดียวกันว่า—ปัจจัยตัดสินใจหลัก ของนักท่องเที่ยวคุณภาพไม่ใช่ “ราคาตั๋วอย่างเดียว” หากคือ ประสบการณ์ปลายทาง” ที่คุ้มค่าเวลา–เงิน–ภาพจำ โดยเฉพาะตลาดจีนยุคใหม่ที่แสวงหา ความหมาย มากกว่า “ช้อป–เช็กอิน” แบบเดิม

ดังนั้น หากเชียงราย ยกระดับคุณค่าประสบการณ์ ให้เด่นชัด (ศิลป์–วัฒนธรรม–ชา/กาแฟ–ชุมชน–ธรรมชาติ) พร้อม บริการลื่นไหล (ภาษา–ชำระเงิน–ความปลอดภัย) ความยืดหยุ่นด้านราคาจะสูงขึ้น นักท่องเที่ยว พร้อมยอมรับค่าเดินทางที่สูงขึ้นเป็นครั้งคราว และยังวางแผน “กลับมา–แนะนำเพื่อน” ซึ่งสร้าง มูลค่าอายุลูกค้า (LTV) สูงกว่าการหวังปริมาณระยะสั้น

 

ก่อนไฮซีซันเหนือจะเริ่มเต็มตัว

  1. ข้อมูลรวมศูนย์ นักท่องเที่ยวจีนต้องการข้อมูลที่ อัปเดต–เชื่อถือได้–หลายภาษา (เวลาเปิด–ปิด, กฎการแต่งกายวัด, วิธีไป–จอดรถ, งานเทศกาล) การรวมข้อมูลไว้ใน เว็บ/ไลน์/WeChat/QR เดียว ของจังหวัดจะลดคำถามซ้ำ–ลดประสบการณ์สะดุด
  2. มาตรฐานทัวร์–รถ–คนขับ ป้องกันข่าวลบ/อุบัติเหตุ—สร้าง ไวท์ลิสต์ ผู้ให้บริการผ่านอบรม พร้อมสติกเกอร์รับรองชัดเจน
  3. ฝุ่นควัน–สภาพอากาศ สื่อสารเชิงรุกเรื่อง ช่วงเวลาที่เหมาะเที่ยว–มุมชมวิว–กิจกรรมในร่ม และพยากรณ์รายสัปดาห์ เพื่อบริหารความคาดหวัง
  4. ของแท้–ราคายุติธรรม สินค้าชุมชน–ของฝากต้อง มาตรฐานราคา ชัด ลดช่องว่างการต่อราคาแรง เพื่อความสบายใจและความรู้สึก “แฟร์”

 

ให้ “ผังเมืองท่องเที่ยว” ตอบว่าเชียงรายพร้อมหรือยัง

ตัวเลข โกลเดนวีคปีนี้บอกเราว่า จีนกลับมาแล้ว—แรงและกว้างกว่าที่คาด อัตราผู้โดยสารเฉลี่ยแตะ 99% และจำนวนผู้เดินทางจีน แตะ 24,000 คน/วัน ในบางวัน ขณะที่ราคาตั๋วกลับ ดีด 4 เท่า เป็นภาพสะท้อนดีมานด์ชัดเจน ทว่า ความพร้อมจริง ของเชียงรายวัดกันที่ “ประสบการณ์ปลายทาง” ตั้งแต่ จุดลงสนามบิน–การเดินทาง–ภาษา–เมนู–ความปลอดภัย–กิจกรรม–เทศกาล ไปจนถึง คุณภาพที่พักและบริการ

หากเชียงรายทำให้ เส้นทางศิลป์–ชา–กาแฟ–ชุมชน กลายเป็น ประสบการณ์ที่เล่าเรื่องได้หลายภาษา เชื่อมด้วย บริการที่ลื่นไหล และ เทศกาลฤดูหนาว ที่ทั้งเมืองร่วมมือกันขับเคลื่อน—คำตอบเรื่องความพร้อม จะชัดเจนเองจาก รีวิว–การกลับมาเยือน–ค่าใช้จ่ายต่อทริป ที่สูงขึ้นอย่างยั่งยืน

ท้ายที่สุด ผู้อ่านในฐานะ “ผู้มีส่วนร่วม” ก็มีบทบาท—เลือก–รีวิว–สนับสนุนบริการที่ซื่อสัตย์และคุณภาพ เพื่อส่งสัญญาณให้ตลาดขยับไปสู่มาตรฐานที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน

คำถามชวนคิด เมื่อราคาตั๋วกลับปักกิ่งสามารถดีดขึ้น 400% ได้ในช่วงพีก—สิ่งที่เชียงรายควรเร่งทำ ไม่ใช่กังวลเรื่อง “แพง–ถูก” แต่คือการทำให้ทุก “หยวน” ที่นักท่องเที่ยวจ่าย ซื้อเวลาและความทรงจำที่คุ้มค่า จนอยากกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

รายงาน Booking.com ชี้ 88% คนไทยเลือกเมืองเพราะอาหาร เชียงรายต้องเร่งยกระดับครัวที่พัก

เชียงรายไม่ควรรอ “Food Culture” คือโอกาสทอง—เมื่ออาหารกลายเป็นเหตุผลหลักของการเดินทาง และที่พักต้องเป็น “ครัวหลังที่สอง”

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าในเมืองเหนือที่อากาศเย็นจัด อ่างน้ำชาอุ่น ๆ กับไอน้ำที่ลอยขึ้นจากหม้อนึ่งข้าวจี่ริมตลาดชุมชน อาจเป็นภาพคุ้นตาของคนเชียงราย แต่สำหรับนักเดินทางยุคใหม่ ภาพเหล่านี้คือ “จุดหมาย” ไม่ใช่เพียง “รายละเอียด” ระหว่างทาง รายงานล่าสุดของ Booking.com ระบุชัดว่า “อาหาร” กำลังผันตัวจาก “องค์ประกอบของทริป” มาเป็น หัวใจของการตัดสินใจเดินทาง—แนวโน้มที่เปลี่ยนเกมท่องเที่ยวปี 2568 และวางเชียงรายไว้บนจุดตัดของโอกาสครั้งใหญ่

รายงาน ‘Taste of Home Asia Pacific’ ระบุว่า ผู้เดินทางในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก ถึง 97% ปรับพฤติกรรมการกินและการทำอาหารระหว่างทริป ขณะที่นักเดินทางชาวไทย 88% ยอมรับว่า “เลือกจุดหมายปลายทาง เพียงเพราะต้องการไปเยือนร้านอาหารโดยเฉพาะ” นั่นหมายความว่าแผนที่การท่องเที่ยวไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเช็กลิสต์แลนด์มาร์กอีกต่อไป ทว่า รสชาติ–วัตถุดิบ–เรื่องราวท้องถิ่น กลายเป็นพิกัดนำทางรูปแบบใหม่ และจังหวัดที่มี “ความหลากหลายทางอาหาร” อย่างเชียงราย ย่อมมีข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่หาได้ยาก

“ช่วงเวลาแห่งการรับประทานอาหาร ไม่ได้เป็นเพียงมื้ออาหารอีกต่อไป แต่คือโอกาสในการเชื่อมต่อ เรียนรู้วัฒนธรรม และสร้างความทรงจำที่ยั่งยืน บ้านพักตากอากาศจึงกำลังขึ้นมาเป็นตัวเลือกหลัก เพราะให้ทั้งอิสระและความเป็นส่วนตัวในการทำอาหารร่วมกัน” — บรานาวัน อรุลโจธี, Area Manager, Booking.com (อ้างอิงรายงาน Taste of Home Asia Pacific)

จาก “ร้านอร่อย” สู่ “ครัวหลังที่สอง” ที่พักต้องตอบโจทย์สายกิน

ข้อมูลเดียวกันยังสะท้อนพฤติกรรมใหม่ที่ชัดเจน นักเดินทางชาวไทยให้ความนิยม บ้านพักตากอากาศแบบส่วนตัว (32%) เป็นอันดับ 2 รองจากบ้านพักริมทะเล (57%) โดยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ “ต้องมี” คือ เครื่องครัวครบ (73%), อุปกรณ์ทำอาหารกลางแจ้ง เช่น เตาย่าง/หมูกระทะ (62%), และ พื้นที่รับประทานอาหารกลางแจ้งพร้อมวิว (62%) เหตุผลไม่ซับซ้อน—ผู้เดินทางอยาก “ทำอาหารเองได้” (45%) สลับกับ “ออกไปกินร้านดัง” (31%) และอยาก เข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่น ง่ายขึ้น (34%)

แปลเป็นภาษาเชียงราย วิลล่าที่มองเห็นไร่ชา/ไร่กาแฟ บนดอยแม่สลองหรือเทือกดอยยาว–ผาหม่น ซึ่งจัดวางครัวจริงจัง มีเตาถ่านทำ บาร์บีคิว/หมูกระทะ (เมนูยอดนิยมของคนไทย 48%) พร้อมระเบียงกว้างให้ จิบชาอัสสัม หรือ ชิมกาแฟอาราบิก้า จากสวนหลังบ้าน—ทั้งหมดนี้คือ “แพ็กเกจความทรงจำ” ที่ดึงดูดใจมากกว่าห้องพักสวย ๆ ที่มีเพียงเตาไมโครเวฟ

เชียงรายได้เปรียบอะไร ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร (Food Culture) ที่ “กินได้จริง”

เชียงรายคือทางแยกของชาติพันธุ์และวัฒนธรรมอาหาร—ไทลื้อ, ไทใหญ่, จีนยูนนาน, อาข่า, ลาหู่—ซึ่งถ่ายทอดผ่านวัตถุดิบพื้นบ้านและกรรมวิธีที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดแข็งนี้ยิ่งชัดเมื่อสอดรับกับความต้องการของนักเดินทางที่ “อยากสัมผัสท้องถิ่นแท้” มากขึ้น

ตัวอย่างการต่อยอดเชิงประสบการณ์ ที่สอดคล้องกับเทรนด์

  • ทัวร์ตลาดเช้า + ครัวชุมชน เริ่มวันด้วยการคัดวัตถุดิบพื้นถิ่น—ผักกูด, เห็ดป่า, ปลาน้ำโขง—ก่อนขึ้นวิลล่าทำเมนู น้ำพริกหนุ่ม, แกงฮังเล หรือ “เมนูซิกเนเจอร์” อย่าง แกงแคไก่เมือง ที่เพิ่งได้รับการเชิดชูเป็นอาหารถิ่นเด่น
  • อาหารจีนยูนนานบนดอยแม่สลอง เรียนรู้การทำ ขาหมูหมั่นโถว, ชิมชาอัสสัมแบบพิธีชา พร้อมเรื่องเล่าประวัติชุมชนจีนคณะชาติ
  • ครัวชนเผ่าอาข่า สำรวจสมุนไพรจากป่า เรียนรู้การปรุง เนื้อย่างเครื่องเทศพื้นถิ่น และพิธีกรรมความเชื่อเรื่องอาหาร—กิจกรรมที่ยากจะพบในเมืองใหญ่
  • ฟาร์มทูเทเบิล x ไร่กาแฟ เก็บกาแฟ เชอร์รี–สี–ตาก–คั่ว ลองจับคู่ (pairing) ของหวานพื้นบ้านกับกาแฟดริป

ทั้งหมดนี้คือ “เรื่องเล่า” ที่กินได้จริง และสอดคล้องกับทิวทัศน์ภูเขา–สายหมอกของเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นหลังชั้นดีของ มื้อพิเศษกลางแจ้ง” ที่นักท่องเที่ยวยุคใหม่กำลังตามหา

จากครัวบ้านเกิดสู่ครัวบ้านพัก—เหตุผลที่ทริปอาหารติดอันดับ

Booking.com ชี้ว่าคนรุ่นใหม่เริ่ม ทำอาหารเอง มากขึ้นระหว่างทริป โดย Gen Z ทำตามสูตรครอบครัวบ่อยที่สุด (25%) มากกว่า Millennials (19%), Gen X (21%) และ Boomers (18%) ขณะเดียวกัน นักเดินทางไทยกว่า 54% “กินร้านท้องถิ่นเป็นประจำ” เมื่อไปต่างประเทศ สะท้อนว่า ทำเองบ้าง–ออกไปชิมบ้าง” กำลังเป็นรูปแบบมาตรฐานของทริปยุคใหม่

เชียงรายจึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะ—เมืองที่ อาหารร้านท้องถิ่นเข้มข้น แต่ก็ ปรับตัวให้คนทำกินกันเองได้ง่าย จากตลาดสดในเขตเมือง–อำเภอ ไปจนถึง โฮมสเตย์–บ้านพักตากอากาศ ที่จัดสรรครัวและลานย่างครบชุด อาหารจึงไม่ใช่เพียง “สถานที่ไปกิน” แต่เป็น กิจกรรมร่วมกัน” ที่ใส่ความทรงจำของครอบครัวลงไปได้ทุกมื้อ

มองเชิงเศรษฐกิจ Food Culture เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่กระจายรายได้

หากมองจากห่วงโซ่อุปทาน การยกระดับ “Food Culture x ที่พัก” ไม่ได้สร้างรายได้เฉพาะที่พักและร้านอาหาร แต่ยัง กระจายไปถึงเกษตรกร–ชุมชน–ผู้ผลิตวัตถุดิบ โดยตรง

  • วัตถุดิบท้องถิ่น ผักป่า, สมุนไพร, ปลาแม่น้ำ, ชา–กาแฟ—ทั้งหมดกลับมามีมูลค่าเพิ่มเมื่อเชื่อมกับประสบการณ์
  • บริการสนับสนุน ไกด์ชุมชน, ครูสอนทำอาหาร, เชฟท้องถิ่น, รถรับ–ส่งตลาดเช้า
  • ของฝากเชิงวัฒนธรรม เครื่องเทศบด, ชุดวัตถุดิบทำแกงแค (Cooking Kit), ใบชา–เมล็ดกาแฟคั่ว, เครื่องจักสานสำหรับครัวเรือน

เมื่อที่พักทำหน้าที่เป็น “จุดรองรับกิจกรรมอาหาร” รายรับจึงกระจายออกไปมากกว่าการท่องเที่ยวแบบเช็คอินถ่ายรูปอย่างเดียว ที่สำคัญ ฤดูกาลมีผลน้อยลง เพราะครัว–ตลาด–วัตถุดิบ–เรื่องราว อยู่ได้ตลอดทั้งปี สอดคล้องกับเป้าหมาย “ท่องเที่ยวทั้งปี มีดีทั้งอำเภอ” ที่หลายจังหวัดกำลังมุ่งหน้า

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ เชียงรายควรขยับอย่างไร “ตอนนี้”

เพื่อเปลี่ยนโอกาสเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เชียงรายควรเดินหน้าอย่างบูรณาการและเป็นกลางทางการค้า ดังนี้

1) จัดทำ “มาตรฐานที่พักนักชิม (Gastronomy-Ready Stays)”

อบจ.เชียงราย ร่วมกับหน่วยงานท่องเที่ยวจังหวัดและเครือข่ายผู้ประกอบการ กำหนด มาตรฐานขั้นต่ำด้านครัว สำหรับโฮมสเตย์/บ้านพักตากอากาศ ได้แก่

  • ชุดครัวพื้นฐานครบ (เตา–เตาอบ–เครื่องครัว–ภาชนะสำหรับกลุ่ม) และอุปกรณ์ทำอาหารกลางแจ้งที่ปลอดภัย
  • คู่มือ แหล่งวัตถุดิบรอบตัว” ระบุพิกัดตลาดเช้า/ตลาดชุมชน–ร้านเครื่องเทศ–ไร่ชา–ไร่กาแฟในรัศมี 10–20 กม.
  • แนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม (ขยะอินทรีย์–การคัดแยก–การใช้ภาชนะซ้ำ) เพื่อให้การทำอาหารเป็นมิตรกับพื้นที่

2) เปิด “Local Food Experience Pass” เชื่อมที่พัก–ตลาด–ครัวชุมชน

สร้างแพ็กเกจประสบการณ์ร่วมกับชมรมแม่ครัวชุมชน/เชฟท้องถิ่น เช่น

  • Market & Cook with Local พาเข้าตลาดเช้า–คัดวัตถุดิบ–กลับไปทำกับข้าวที่ที่พัก
  • Tea & Yunnan Table พิธีชาพร้อมทำอาหารยูนนานบนดอย
  • Akha Forest Pantry เดินสำรวจพืชสมุนไพร–ทำอาหารชนเผ่า
    ออกแบบให้จองง่ายผ่านพาร์ตเนอร์ OTA และสื่อสารเป็น คอนเทนต์กลาง ระดับจังหวัด

3) ใช้ “แกงแคไก่เมือง” เป็น Soft Power Menu

หลังเมนูนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอาหารถิ่น—ควร ยกระดับเป็นสัญลักษณ์ ของจังหวัด จัดทำ Cooking Kit (สมุนไพร–เครื่องแกง–คู่มือภาษาไทย/อังกฤษ) ในโรงแรม–วิลล่าที่ร่วมโครงการ พร้อมคิวอาร์โค้ดเชื่อม “คลิปสั้นสอนทำ” โดยครูครัวชุมชน เพิ่มรายได้ปลายน้ำจากชุดวัตถุดิบและเวิร์กช็อป

4) คุ้มครองความแท้ (Authenticity) และความปลอดภัยอาหาร

  • จัดทำ คลังสูตรมาตรฐาน สำหรับเมนูหลัก (เหนือ–ยูนนาน–ชนเผ่า) ที่เคารพต้นตำรับ ลด “เมนูแฟนตาซี” ที่คลาดเคลื่อนจนเสียความเชื่อถือ
  • ยกระดับ สุขอนามัย–โภชนาการ–การแพ้อาหาร ในกิจกรรมทำอาหาร ให้ได้มาตรฐานสากล รองรับตลาดครอบครัวและนักท่องเที่ยวระยะยาว

5) สื่อสารภาพลักษณ์ “ครัวบนภูเขา–ครัวกลางหมอก”

พัฒนาแนวสื่อสารร่วมระดับจังหวัด ให้ภาพ การทำอาหารกลางแจ้ง ท่ามกลางภูมิทัศน์ธรรมชาติเป็นแอ่งอารมณ์หลัก (emotional anchor) โดยหลีกเลี่ยงการตลาดที่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยว แต่ย้ำ คุณภาพ–ความยั่งยืน–รายได้ถึงชุมชน

ใครควรเป็นแม่งาน?

ด้วยลักษณะข้ามมิติ (วัฒนธรรม–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจชุมชน) การขับเคลื่อน “Food Culture x ที่พัก” ควรอยู่ในกรอบ บูรณาการ ระหว่าง

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – วางกรอบมาตรฐานที่พักนักชิม สนับสนุนเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนย่อย (ครัว–ลานย่างปลอดภัย)
  • สำนักงานพาณิชย์/เกษตรจังหวัด – เชื่อมแหล่งวัตถุดิบ ปรับบรรจุภัณฑ์ Cooking Kit ที่ได้มาตรฐาน
  • สำนักงานวัฒนธรรม–ท่องเที่ยวจังหวัด – คัดเลือก/อบรมเชฟท้องถิ่น–ครูครัวชุมชน และพัฒนาคอนเทนต์สองภาษา
  • ภาคเอกชน/เครือข่ายที่พัก – ลงทุนปรับครัว–พื้นที่ และร่วมออกแบบแพ็กเกจประสบการณ์
  • สถาบันการศึกษาในพื้นที่ – สนับสนุนงานวิจัยเมนูพื้นถิ่น–โภชนาการ–ความปลอดภัยอาหาร

ทำไม “ตอนนี้” ไม่ใช่ “วันหน้า”

หนึ่ง—หน้าต่างโอกาส เปิดกว้าง เพราะรายงานระดับภูมิภาคชี้ชัดว่าปี 2568 การท่องเที่ยวเชิงอาหารจะมาแรง และ บ้านพักตากอากาศ คือโครงสร้างรองรับหลัก
สอง—เชียงรายมี ทุนวัฒนธรรมอาหารพร้อมใช้ ทั้งเหนือ–ยูนนาน–ชนเผ่า ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นประสบการณ์โดยไม่ต้องสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่
สาม—การพึ่งพา “ฤดูหนาว” เพียงฤดูเดียวไม่ยั่งยืน ขณะที่อาหาร–ตลาด–ครัว–ไร่ชา/กาแฟ คือ กิจกรรม 365 วัน ที่เสริมเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง

หากลงมือวันนี้ เชียงรายจะไม่เพียง “ตามเทรนด์” แต่จะ กำหนดมาตรฐาน ให้จังหวัดท่องเที่ยวอื่น ๆ เห็นภาพว่า “อาหาร” สามารถยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวได้อย่างไร—โดยเคารพอัตลักษณ์ท้องถิ่นและกระจายรายได้จริง

เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ

การค้นพบเชิงตลาด ประเด็นที่ผู้ประกอบการควรหยิบไปเล่าให้สื่อ/นักท่องเที่ยว ได้แก่

  • ที่พักของเรา = ครัวหลังที่สอง” โชว์รายการครัว–อุปกรณ์–พื้นที่ย่าง–มุมกินข้าวกลางแจ้ง
  • พิกัดวัตถุดิบรอบตัว” แผนที่ตลาดเช้า/ฟาร์ม/ไร่ชา–กาแฟ และการจองกิจกรรมเชื่อมชุมชน
  • เมนูเล่าเรื่อง” ตั้งแต่แกงแคไก่เมืองถึงอาหารยูนนาน พร้อมคู่มือย่อสองภาษา
  • ยั่งยืนและปลอดภัย” นโยบายขยะอินทรีย์–การใช้น้ำ–สุขอนามัยอาหาร

เชียงรายไม่ควรรอ

สนามท่องเที่ยวปี 2568 ไม่ได้แข่งขันกันที่จำนวนห้าง ร้าน หรือโรงแรมหรู แต่แข่งขันกันที่ ความหมายของประสบการณ์”—และอาหารคือภาษากลางที่เล่าเรื่องได้ดีที่สุด เชียงรายมีทุกส่วนประกอบในมือแล้ว ทั้งวัตถุดิบหลากหลาย วัฒนธรรมอาหารที่ลึกและจริง วิวธรรมชาติที่ซัพพอร์ตมื้อพิเศษนอกบ้าน และฐานที่พักตากอากาศที่กำลังโต สิ่งที่ต้องทำคือ เชื่อมจิ๊กซอว์ ให้เป็นแพ็กเกจเดียวกัน—จากตลาดเช้าถึงครัววิลล่า จากเรื่องเล่าบนโต๊ะอาหารถึงรายได้ในชุมชน

ในวันที่นักเดินทาง 97% ปรับพฤติกรรมการกิน–ทำอาหารระหว่างทริป และ 88% ของคนไทย “เลือกเมืองเพราะอยากไปกินร้านนั้นร้านนี้” เชียงรายไม่ควรรอให้โอกาสผ่านไป—ถึงเวลาเปลี่ยน “ครัวบ้านเรา” ให้เป็น “ครัวของโลก” ที่ใคร ๆ ก็อยากเดินทางมาชิม มาทำ และมาจดจำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Booking.com – รายงาน ‘Taste of Home Asia Pacific’ (2025 Travel & Food Trends)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

Grocegry โตสวนทางเศรษฐกิจ! คนเชียงรายเปลี่ยนพฤติกรรม ซื้อถี่-คุมงบ-เน้นสุขภาพ

คนไทยรัดเข็มขัด หยิบตะหลิวแทนเมนู เชียงรายกำลัง “เข้าเทรนด์” ทำอาหารเอง-ซื้อรายวัน ตลาด Grocery โตสวนเศรษฐกิจ

ประเทศไทย, 1 ตุลาคม 2568 — เช้าวันจันทร์ที่ตลาดชุมชนย่านในเมือง รถมอเตอร์ไซค์จอดเรียงหน้าแผงผักจนแน่น กะหล่ำปลีหัวใหญ่ ผักกาดขาวสดฉ่ำ และเนื้อหมูส่วนสันในถูกหยิบกวาดลงตะกร้าทีละน้อยแต่ถี่ขึ้น แม่บ้านวัยทำงานบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ช่วงนี้ตั้งใจซื้อของสดทุกสองวัน จะได้ไม่ทิ้ง ลดค่าใช้จ่ายด้วย” ภาพเล็ก ๆ แบบนี้สะท้อน “สัญญาณใหม่” ที่สอดคล้องกับอินไซต์ระดับประเทศคนไทยหันมาทำอาหารเอง และ เปลี่ยนมาซื้อรายวัน มากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

ซึ่งเชียงรายกำลังเจอเทรนด์ “ทำอาหารเอง–ซื้อรายวัน” แบบเดียวกับประเทศ และมี “แรงส่ง” มากกว่าหลายพื้นที่จากฐานวิถีชุมชน–ธรรมชาติ–สุขภาพ ผู้ชนะจะเป็นครัวเรือนที่รู้จักวางแผนเมนู–คุมงบ–คุมคุณภาพ, ผู้ค้าปลีกที่ยืดหยุ่นด้วย SKU เล็ก–Omnichannel–มาตรฐานปลอดภัย และภาครัฐท้องถิ่นที่ทำให้ ข้อมูล–สุขอนามัย–โลจิสติกส์ เดินพร้อมกัน หากเชียงราย ผนวก Grocery เข้ากับ “เมืองแห่งสุขภาพ” ได้จริง เมืองจะไม่เพียงแค่ “รับเทรนด์” แต่จะ “ยกระดับคุณภาพชีวิตรายครัวเรือน” ให้จับต้องได้ในจานข้าวทุกมื้อของคนเชียงราย

รายงานของ The 1 Insight (ศูนย์ข้อมูลพฤติกรรมสมาชิก The 1) ระบุชัดว่า สินค้ากลุ่ม Grocery ขยายตัวทั้ง “ปริมาณ” และ “ความถี่” เพราะผู้บริโภคเลือกทำอาหารเองแทนการรับประทานนอกบ้าน สินค้าหมวด วัตถุดิบทำอาหาร (Cooking Ingredients) โตแรงเป็นพิเศษเติบโตถึง 2 เท่า ในปีล่าสุด ขณะที่ “รูปแบบการซื้อ” ก็ขยับจากช็อปใหญ่ปลายสัปดาห์ มาเป็น ซื้อรายวัน–รายสองวัน” ในวันธรรมดา เพื่อควบคุมงบและลดของเสีย ส่วนที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ ต่างจังหวัดโตแรงกว่ากรุงเทพฯ โดย การใช้จ่ายต่อครั้งในต่างจังหวัดโตเร็วกว่าในเมืองถึงราว 2 เท่า สะท้อนว่า “หัวเมือง” กลายเป็นสมรภูมิเศรษฐกิจของตลาด Grocery แบบเงียบ ๆ แต่ทรงพลัง

คำถามจึงโยนกลับมาที่เชียงรายเมืองชายแดนที่ตั้งเป้าเป็น “เมืองแห่งสุขภาพ–เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์” เราเจอเทรนด์นี้เต็ม ๆ แล้วหรือยัง และควรรับมืออย่างไรเพื่อให้ครัวเรือน–ผู้ประกอบการ–เกษตรกร ได้ประโยชน์สูงสุด

ภาพใหญ่ของพฤติกรรมใหม่ ทุกเจเนอเรชันลงครัว แต่คนละสไตล์

The 1 Insight แยกภาพผู้บริโภคได้อย่างน่าสนใจ และเมื่อฉายลงสังคมเชียงรายที่มีทั้งครัวเรือนเกษตร, วัยทำงานกลับถิ่น, นักศึกษา และผู้สูงวัย จะเห็นว่า “ทุกกลุ่มพร้อมเข้าครัว” แต่ด้วยเหตุผลต่างกัน

  • กลุ่มขับเคลื่อนหลัก (Gen X และ Millennial Family) ใช้จ่ายสูงสุดในหมวด Grocery รายการยอดนิยมคือ เนื้อสัตว์–ผักสด–เครื่องปรุงพื้นฐาน สอดคล้องครัวเรือนมีลูกเล็ก/ผู้สูงวัยอาศัยรวมกัน ทำให้ “ทำอาหารเอง” เป็นกิจวัตรเพื่อตอบทั้ง สุขภาพ–รสชาติ–ความหลากหลาย
  • กลุ่มใช้จ่ายต่อคนสูงสุด (Silver Spenders) แม้จำนวนไม่มาก แต่ จ่ายต่อหัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึงราว 3 เท่า เน้น วัตถุดิบคุณภาพสูง–ออร์แกนิก ตรงกับโครงสร้างประชากรเชียงรายที่มีสัดส่วนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น และความสนใจด้าน อาหารปลอดภัย–สุขภาวะ
  • กลุ่มเร่งรีบ (Gen Y/Gen Z เมือง–มหาวิทยาลัย) ผสม “ทำง่ายที่บ้าน” กับ สินค้าสะดวกทาน เช่น โยเกิร์ต อาหารแช่แข็ง ขนมปัง พร้อมเครื่องดื่มโปรตีน/นมทางเลือกเป็น สุขภาพแบบทันใจ

บทสรุปเชิงพฤติกรรม ภาพรวม ไม่ใช่แค่ประหยัด แต่เป็น ลงทุนในคุณภาพชีวิต” ผ่านการคุมวัตถุดิบและโภชนาการด้วยตนเอง ขณะที่รูปแบบการซื้อที่ ถี่กว่า แต่ต่อครั้งน้อยลง กลายเป็นสมการใหม่ที่ค้าปลีก–ซัพพลายเชนต้องปรับตัว

ทำไมต่างจังหวัด (อย่างเชียงราย) โตไวกว่า 4 ปัจจัยโครงสร้างที่ผลักดัน

  1. โครงสร้างครัวเรือนและพื้นที่อยู่อาศัย
    บ้านเดี่ยว–ทาวน์เฮาส์ในเชียงรายเอื้อต่อ “ครัวจริงจัง” มากกว่าอยู่คอนโดพื้นที่จำกัดในเมืองใหญ่ การปรุงอาหารเองจึงสะดวกและคุ้มกว่า
  2. เครือข่ายตลาดสด–สินค้าเกษตรชุมชน
    เชียงรายมี ตลาดเช้าตามชุมชน–กลุ่มวิสาหกิจเกษตร ที่เข้าถึงง่าย ทำให้วัตถุดิบสดคุณภาพดีถูกนำเสนอได้ทุกวัน ตรงกับ “โมเดลซื้อรายวัน”
  3. วิถีสุขภาพ–เมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)
    จังหวัดผลักดันเรื่องสุขภาวะ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และอาหารปลอดภัย จิตสำนึกสุขภาพ สูงขึ้น วัตถุดิบดีมีทางเลือกมากขึ้น จึงเกิด “ดีมานด์บวก”
  4. อีคอมเมิร์ซ–เดลิเวอรีที่เข้าถึง
    บริการจัดส่งจากซูเปอร์มาร์เก็ต–ร้านโชห่วย–มินิมาร์ทยุคใหม่ ช่วย “ลดต้นทุนเวลา” สำหรับคนทำงาน/ครอบครัวเลี้ยงลูก ชี้ว่า Omnichannel เป็นบทใหม่ของต่างจังหวัดแล้ว

ผลรวมทั้งสี่ข้อ ทำให้เชียงราย อยู่ในตำแหน่งที่รับเทรนด์ได้เร็ว ยิ่งเมื่อประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคต้องจัดลำดับความสำคัญค่าใช้จ่าย การซื้อถี่ขึ้นในพื้นที่จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

สัญญาณที่เห็นได้ภาคสนาม (บนกรอบความเป็นกลาง)

แม้ยังไม่มีการประกาศตัวเลขทางการรายจังหวัดอย่างละเอียด แต่จาก โครงสร้างตลาด–บริการที่เกิดขึ้นจริง สามารถระบุ “สัญญาณปลายทาง” ที่สอดคล้องกับอินไซต์ระดับประเทศ ได้แก่

  • ยอดสั่งเดลิเวอรีวัตถุดิบ/ของสดช่วงเย็น–หัวค่ำ เพิ่มขึ้นในย่านที่พักอาศัย/แหล่งงาน (แรงส่งจากแคมเปญสะสมแต้ม/ส่งฟรี)
  • ยอดขายวัตถุดิบเบสิก เช่น ไข่ไก่ เนื้อหมูส่วนยอดนิยม ผักใบเขียว สมุนไพรพื้นฐาน (ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด) และ เครื่องปรุง “พรีเมียมขนาดเล็ก” สำหรับทำเมนูสุขภาพที่บ้าน
  • สินค้ากลุ่ม Ready-to-cook / Ready-to-heat เช่น อกไก่ปรุงรส, ข้าวโพด/ผักแช่แข็งพอร์ชันเล็ก, น้ำซุปเข้มข้นหมุนเวียนลอตไวขึ้น เพราะตอบโจทย์ ทำเอง ครึ่งหนึ่ง” ของคนเมืองเร่งรีบ
  • ตลาดชุมชนช่วงวันธรรมดา คึกคักขึ้น โดยเฉพาะเช้า/เย็น สอดคล้องแนวโน้ม ซื้อวันธรรมดา แทนซื้อรวบปลายสัปดาห์”

ทั้งหมดนี้สอดรับกับชุดข้อมูลของ The 1 Insight เรื่อง ซื้อรายวัน” และ “ต่างจังหวัดโตแรง” ซึ่งชี้ทิศทางชัดว่า เชียงรายกำลังเดินบนเส้นเดียวกับประเทศ

โอกาส–ความเสี่ยง–สิ่งที่เชียงรายควรทำ “ตอนนี้เลย”

1) โอกาสของครัวเรือน “กินดี–คุมงบ–ปลอดภัย”

  • สร้าง เมนูสั้น 7 วัน ที่ใช้วัตถุดิบทับซ้อน ลด Food Waste และประหยัดค่าเดินทาง
  • ใช้ ช่องทางเดลิเวอรี เฉพาะรายการหนัก/เน่าเสียง่าย (นม–เนื้อแช่เย็น) ลดทริปซื้อถี่โดยไม่เพิ่มต้นทุนเวลา
  • เลือก ตรารับรอง/มาตรฐานสุขอนามัย ของตลาด–ซูเปอร์–ร้านชำ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะครัวเรือนผู้สูงวัย/เด็กเล็ก

2) โอกาสของผู้ประกอบการค้าปลีก–เกษตร–แปรรูป “แพ็กเล็ก–หมุนไว–แต้มต่อสุขภาพ”

  • ปรับสินค้าเป็น พอร์ชันเล็ก–ขนาดทดลอง (SKU เล็ก) สำหรับลูกค้าที่ซื้อถี่และคุมงบ
  • เพิ่มไลน์ วัตถุดิบ–เซ็ตทำอาหารสุขภาพ (โปรตีนสูง/ไขมันดี/โซเดียมต่ำ) พร้อมสูตรทำง่าย 15–20 นาที
  • ทำ Omnichannel จริงจัง ร้านหน้าบ้าน + แอป/แชต + เดลิเวอรีภายใน 2 ชม. โดยเชื่อม คะแนนสมาชิก/แคมเปญสะสมแต้ม (ตัวอย่างความร่วมมือระดับประเทศอย่าง Tops x GrabMart ชี้ให้เห็นรูปแบบการเพิ่มความคุ้มค่าให้ลูกค้า)
  • ลงทุน โคลด์เชนต้นน้ำ–ปลายน้ำ (ตู้แช่/รถห้องเย็นขนาดเล็ก) และ มาตรฐานสุขอนามัย สร้างความต่างให้ต่างจังหวัดจับต้อง “คุณภาพระดับเมืองใหญ่”

3) โอกาสเชิงนโยบายเมือง “Wellness x Grocery = สุขภาพระดับครัวเรือน”

  • ผนวกแนวคิด Wellness City เข้ากับ พาณิชย์ชุมชน โครงการ “ครัวสุขภาพเชียงราย” ส่งเสริม ผัก–โปรตีนท้องถิ่น–สมุนไพรล้านนา พร้อมป้ายโภชนาการเข้าใจง่าย
  • พัฒนาระบบ ข้อมูลค้าปลีก–ตลาดสดระดับจังหวัด (Dashboard เปิดเผยรายเดือน เช่น สินค้าขายดี 10 อันดับ วัตถุดิบขาด–ล้น) เพื่อให้ผู้ประกอบการ วางสต็อกตรงดีมานด์ ลดทิ้งของ ลดราคาเหวี่ยง
  • ดัน เทศกาลกินดี–ทำกับข้าวที่บ้าน ช่วง “ไหล่ฤดู” (หน้าฝน/ปลายฝน) เพื่อกระจายรายได้และดึงนักท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ (เรียนทำอาหาร–เยี่ยมแปลงเกษตร–คาเฟ่สุขภาพ)

 “เช็กลิสต์ร้านดัง” สู่ “เมนูบ้านที่อร่อยและคุ้มกว่า”

“เมื่อก่อนเลิกงานก็ชวนกันกินข้าวนอกบ้าน สัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง เดี๋ยวนี้ทำกับข้าวเองสัก 3 วัน ที่เหลือค่อยสั่งกลับบ้าน” พ่อวัยทำงานย่านรอบเมืองเล่าให้ฟัง ในมือถือของเขามีลิสต์ส่วนผสมพื้นฐาน อกไก่ 500 กรัม, เห็ด 1 แพ็ก, ผักใบเขียว 2 ชนิด, ไข่ 10 ฟอง และโยเกิร์ต เซ็ตพื้นฐานที่อยู่ได้ 3–4 มื้อ ต้นทุนต่อจานลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับการกินนอกบ้าน “ประหยัดขึ้น แต่ก็ได้คุณภาพอย่างที่อยากกิน” เขาว่า

ถัดจากนั้นไม่กี่ซอย คุณยายวัย 65 ปี หยิบผักออร์แกนิกและปลานิลจากบ่อชุมชนลงตะกร้า “หมอว่าให้ลดเค็มเพิ่มผัก” เธอเล่าว่าเลือกซื้อ พอร์ชันเล็ก แต่ ซื้อบ่อย เพื่อคงความสด “กินเท่าที่พออิ่ม ไม่ต้องเหลือทิ้ง”

เรื่องเล่าเล็ก ๆ เหล่านี้ คือชีวิตจริงของ “เทรนด์ใหญ่” ที่กำลังเคลื่อน ทำอาหารเอง, ซื้อรายวัน, เลือกสุขภาพ และเชียงรายก็กำลังเดินตามโค้งเส้นนี้อย่างสอดคล้อง

มองข้ามช็อต เชียงรายจะ “ชนะ” เทรนด์นี้ได้อย่างไรใน 12 เดือนข้างหน้า

  1. แพ็กเกจ “ครัวสุขภาพเชียงราย”
    รวมชุดวัตถุดิบพื้นฐาน + สูตร 7 วัน + คูปองส่วนลดเดลิเวอรี/รับแต้มสมาชิก ร่วมมือซูเปอร์มาร์เก็ต–ตลาดชุมชน–เกษตรกรท้องถิ่น
  2. ตรารับรอง “สะอาด–ปลอดภัย–ยั่งยืน” สำหรับตลาด–ร้านชำ
    สร้างความมั่นใจให้ผู้สูงวัย/ครอบครัว พร้อมอบรมสุขอนามัย–การจัดการโคลด์เชน การติดฉลากโภชนาการเข้าใจง่าย
  3. Open Data ค้าปลีก–อาหารปลอดภัยของจังหวัด
    ฐานข้อมูลราคากลาง–สินค้าขายดี แหล่งผลิตที่ตรวจสอบได้ เพื่อช่วยผู้ประกอบการ คุมสต็อก และช่วยผู้บริโภค คุมงบ ได้ด้วยข้อมูล
  4. ต่อยอดท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ (Learning Tourism)
    คอร์สสั้น “จากแปลงถึงจาน” เยี่ยมเกษตรกร–เรียนทำอาหารล้านนาสุขภาพ–กาแฟ/ชาเชียงราย รับเทรนด์ผู้สูงวัย–ครอบครัว–กลุ่มสนใจสุขภาพ
  5. ทางเท้าปลอดภัย แสงสว่าง–มุมพักคอยเดลิเวอรี
    รายละเอียดเล็ก ๆ แต่สำคัญในเมือง/หน้าตลาด รองรับพฤติกรรม “ซื้อถี่ รับของเร็ว” โดยเฉพาะช่วงเย็น–หัวค่ำ

ความเสี่ยงต้องระวัง ราคาเหวี่ยง ของเสีย–ความปลอดภัยอาหาร

  • ราคาเหวี่ยงช่วงสั้น เมื่อดีมานด์รายวันเพิ่ม หากสต็อกต้นน้ำ กลางน้ำไม่ยืดหยุ่น อาจเกิด “ดีดราคา” ชั่วคราว ทางออกคือ ข้อมูลล่วงหน้า–การกระจายสต็อก และ พอร์ชันย่อย
  • ของเสียจากซื้อถี่แต่เกินใช้ ต้องมี ความรู้จัดการวัตถุดิบ (เก็บยังไงให้สด, แปรรูปยังไงให้ยืดอายุ) สื่อสารผ่านโรงพยาบาล สาธารณสุข–ห้าง ตลาด
  • ความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) คุม โคลด์เชน–พื้นที่เตรียมอาหาร คุณภาพน้ำแข็ง การขนส่ง ให้เข้มมาตรฐานเดียวกันในตลาด โชห่วย รถพ่วงข้าง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The 1 Insight (กลุ่มเซ็นทรัล)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / เครือข่าย Wellness City (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, โรงพยาบาลในจังหวัด)
  • จังหวัดเชียงราย/กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
  • หน่วยงานมาตรฐานอาหารและสุขอนามัยระดับชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

Gen Z หนักสุด ใช้เวลา 12 ชั่วโมงต่อวัน! วิกฤตจอสมาร์ตโฟน-ความโหยหาสังคมยุค 90

วิกฤตจอสมาร์ตโฟน ผลสำรวจชี้คนใช้เวลา 88 วันต่อปีจ้องหน้าจอ สะท้อนความเหงาและความโหยหาวิถีสังคมแบบยุค 90

25 กันยายน 2568 – ลองนึกภาพถ้าคุณตื่นขึ้นมาด้วยเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ดังไม่ขาดสาย ขณะที่มือยังง่วงงุน คุณคว้ามันขึ้นมากดดูข้อความจากเพื่อนในกลุ่มแชท สไลด์นิ้วผ่านฟีดข่าวสารที่ไหลทะลัก แล้วกว่าจะวางลง ก็ล่วงเลยไปเกือบชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นคือการเดินทางไปทำงาน ท่ามกลางรถติดยาวเหยียด คุณเลื่อนดูวิดีโอสั้นๆ เพื่อฆ่าเวลา จนกระทั่งถึงออฟฟิศ ที่ซึ่งอีเมลและการประชุมออนไลน์รอคอยอยู่ และเมื่อค่ำคืนมาเยือน คุณนั่งลงกับมื้อเย็นคนเดียว แต่สายตายังคงจับจ้องที่หน้าจอ รอคอยไลก์และคอมเมนต์จากโพสต์ล่าสุด

นี่ไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นภาพสะท้อนชีวิตประจำวันของผู้คนนับล้านทั่วโลกในยุคดิจิทัลที่เรากำลังเผชิญอยู่ ผลสำรวจระดับโลกฉบับล่าสุดที่เพิ่งเผยแพร่ ได้เปิดม่านให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจ: โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ทั่วโลกใช้เวลาไปกับการจ้องหน้าจอสมาร์ตโฟนมากถึง 5 ชั่วโมง 48 นาทีต่อวัน ซึ่งหากบวกรวมทั้งปี จะเท่ากับการสูญเสียเวลาไปถึง 88 วัน หรือเกือบหนึ่งในสี่ของปีทั้งปีไปกับการเลื่อนนิ้วบนหน้าจอเพียงอย่างเดียว ตัวเลขนี้ไม่ได้มาจากการคาดเดา แต่มาจากการศึกษาที่ครอบคลุมผู้ใหญ่ 17,000 คน จาก 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สเปน เวียดนาม แอฟริกาใต้ บราซิล เยอรมนี อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีบริษัท Heineken เป็นผู้สนับสนุนหลัก และ OnePoll บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำเป็นผู้ดำเนินการสำรวจ

ผลสำรวจนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

ตัวเลข 88 วันนี้ ไม่ใช่แค่ตัวเลขแห้งๆ แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยที่กำลังสั่นสะเทือนรากฐานของสังคมมนุษย์ มันชวนให้เราคิด: ถ้าเราเสียเวลาเกือบสามเดือนต่อปีไปกับการจ้องหน้าจอ แล้วเวลาที่เหลือสำหรับการสนทนาหน้าต่อหน้า การเดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือแม้แต่การนั่งมองท้องฟ้ากับครอบครัวล่ะ? ผลสำรวจนี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แต่ยังขุดลึกเข้าไปในปมปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสะดวกสบายของเทคโนโลยี—ความเหงาที่เพิ่มพูน ความกดดันที่มองไม่เห็น และความโหยหาอดีตที่เคยเรียบง่ายกว่า

เพื่อให้เข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรามาเริ่มต้นจากจุดกำเนิดของเรื่องราวนี้กันเถอะ ทุกอย่างเริ่มต้นจากความตั้งใจของ Heineken ที่ต้องการสำรวจ “ความสุขที่แท้จริง” ในยุคที่โลกถูกเชื่อมโยงด้วยหน้าจอมากเกินไป บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์นี้ ซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 160 ปีในการส่งเสริมการสังสรรค์แบบ “IRL” (In Real Life) หรือการพบปะในชีวิตจริง ได้ร่วมมือกับ OnePoll เพื่อเก็บข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2568 ผลที่ได้ไม่เพียงยืนยันแนวโน้มที่เราคุ้นเคย แต่ยังเผยให้เห็นถึงความรุนแรงของมัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับสมาร์ตโฟนเป็นเพื่อนสนิท

มาดูตัวเลขหลักกันก่อน: เวลาเฉลี่ย 5 ชั่วโมง 48 นาทีต่อวัน หรือประมาณ 127,020 นาทีต่อปี นี้ สามารถแยกย่อยได้เป็นกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่การเช็คโซเชียลมีเดีย การดูวิดีโอสตรีมมิง ไปจนถึงการตอบแชทที่ไม่เคยสิ้นสุด สถิติเหล่านี้ชวนให้เราหยุดนิ่งและไตร่ตรอง—นี่คือเวลาที่เราสูญเสียไปโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าจริงๆ? ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาสังคมหลายคนมองว่านี่คือ “Screen Time Paradox” หรือภาวะย้อนแย้งของเวลาหน้าจอ ที่เทคโนโลยีที่ควรเชื่อมโยงเรากลับทำให้เราห่างเหินจากกันมากขึ้น

คนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคต

หากเจาะลึกไปยังกลุ่ม Gen Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2538-2547) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้สมาร์ตโฟนมากที่สุด พวกเขามีเวลาหน้าจอเฉลี่ยสูงกว่า 6 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 1 ใน 10 ของกลุ่มนี้—or 10%—ยอมรับว่าติดโทรศัพท์หนักหน่วง จนใช้เวลานานถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นแนวโน้มที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ลองคิดดูสิครับ ถ้าคนรุ่นใหม่ที่ควรจะเป็นพลังขับเคลื่อนอนาคต กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับโลกเสมือน แล้วการพัฒนาทักษะทางสังคมและความสัมพันธ์จริงๆ จะเหลือที่ว่างให้หรือไม่?

ผลสำรวจยังเผยว่า ผู้ใหญ่ 3 ใน 5—or 59%—ยอมรับว่าการใช้เวลากับโทรศัพท์เพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากกระแสการแจ้งเตือนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดย 60% รู้สึกว่าข้อความและน็อติฟิเคชันไหลเวียน “คงที่ตลอดเวลา” ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่ง—or 47%—อธิบายตัวเองว่าเป็นคน “ออนไลน์ตลอดเวลา” สถิติเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนพฤติกรรม แต่ยังชี้ถึงความกดดันที่ซ่อนอยู่ ตัวอย่างเช่น ผู้ใหญ่ 52% รู้สึก “ท่วมท้น” จากแรงกดดันที่ต้องอัปเดตโซเชียลมีเดียให้ทัน ไม่ว่าจะเป็นการไลก์โพสต์เพื่อน การรีโพสต์ข่าวสาร หรือแม้แต่การตอบคอมเมนต์ที่ไม่คาดคิด

พบว่าการใช้เวลากับการสังสรรค์ในชีวิตจริงลดลงถึง 35%

จากตรงนี้ เรามาเข้าสู่ปมหลักของเรื่องราว—ความย้อนแย้งที่ทำให้หัวใจของข่าวนี้เต้นแรง: ยิ่งเชื่อมต่อกันทางออนไลน์มากเท่าไหร่ เรากลับยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น ผู้ตอบแบบสอบถามถึง 62% ยอมรับว่ารู้สึก “เหงาเป็นบางครั้ง” แม้จะมีแอปพลิเคชันสำหรับแชทและวิดีโอคอลมากมายก็ตาม มันเหมือนกับการนั่งในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ไม่มีใครมองตากันจริงๆ สถิติจาก Statista บริษัทวิจัยข้อมูลระดับโลก ซึ่ง Heineken อ้างอิงในรายงาน ยังเสริมน้ำหนักให้กับประเด็นนี้ โดยพบว่าการใช้เวลากับการสังสรรค์ในชีวิตจริงลดลงถึง 35% ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เวลาบนโทรศัพท์เพิ่มขึ้นกว่า 54% นับตั้งแต่การเปิดตัวแพลตฟอร์มอย่าง Instagram ในปี 2010 และ Snapchat ในปี 2011

นี่คือจุดที่เรื่องราวเริ่มเข้มข้นขึ้น ลองนึกถึงคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่มักพูดถึง “Social Battery” หรือ “แบตเตอรี่ทางสังคม” ซึ่งหมายถึงพลังงานที่เรามีสำหรับการโต้ตอบกับผู้อื่น ผลสำรวจพบว่าผู้ใหญ่กว่าครึ่งหนึ่ง—or 51%—รู้สึกว่าแบตเตอรี่นี้หมดลงอย่างรวดเร็วหลังจากใช้เวลาพูดคุยออนไลน์มากเกินไป และตัวเลขนี้พุ่งสูงถึง 62% ในกลุ่ม Gen Z มันชวนให้เราคิดถึงภาพเด็กวัยรุ่นที่นั่งรวมกลุ่มกันในห้อง แต่ละคนก้มหน้ากดโทรศัพท์ โดยไม่พูดคุยกันสักคำ—นี่คือความเหงาในยุคที่ “เชื่อมต่อ” มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์

18% ยอมรับว่าถึงขั้นคิดไม่ออกว่าจะนัดเจอใคร

แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงด้วยความมืดมนเท่านั้น มันมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์—ความโหยหาอดีตที่กำลังกลายเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ผู้ใหญ่ถึง 64% ยอมรับว่าพวกเขารู้สึก “คิดถึง” ยุค 90 สมัยที่ผู้คนนัดเจอกันที่ร้านกาแฟโดยไม่ต้องเช็คอินบนเฟซบุ๊ก สมัยที่การสนทนาเกิดขึ้นแบบตัวต่อตัว ไม่ใช่ผ่านอิโมจิและสติ๊กเกอร์ นี่คือประโยคที่กระตุ้นอารมณ์จากรายงาน: “เรากำลังสูญเสียช่วงเวลาที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เพื่อแลกกับภาพลวงตาของการเชื่อมโยง” มันทำให้ผู้อ่านอย่างคุณ—ที่สนใจข่าวเชิงลึกเพื่อนำไปใช้ในชีวิตหรือการทำงาน—ต้องหยุดและไตร่ตรอง: คุณเคยเลื่อนการนัดหมายกับเพื่อนเพราะ “เหนื่อยจากออนไลน์” หรือไม่? ผลสำรวจตอบว่า 32% ของผู้คนเคยทำแบบนั้น และ 18% ยอมรับว่าถึงขั้นคิดไม่ออกว่าจะนัดเจอใคร

เพื่อคลี่คลายปมนี้ เราต้องมองไปยังตัวอย่างจริงจากต่างประเทศที่กำลังกลายเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหา มาดูกรณีศึกษาจากญี่ปุ่นกันครับ ซึ่งเป็นประเทศที่เทคโนโลยีล้ำสมัยแต่ก็เผชิญปัญหาเดียวกันนี้อย่างหนัก เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สภาเทศบาลเมืองโทโยอาเกะ (Toyoake) ในจังหวัดไอจิ ได้ผ่านร่างเทศบัญญัติที่เป็นประเด็นร้อนระดับชาติ โดยแนะนำให้ประชาชนทุกวัยจำกัดการใช้สมาร์ตโฟน เครื่องเล่นเกม วิดีโอคอนโซล และอุปกรณ์ดิจิทัลอื่นๆ ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน นอกเหนือจากเวลาทำงานและการเรียน แม้จะไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน แต่กฎหมายนี้ถือเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่น และมีกำหนดบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางร่างกายและจิตใจ

เทศบัญญัตินี้ไม่ได้เกิดจากอากาศธาตุ แต่มาจากความกังวลที่สะสมมานานเกี่ยวกับผลกระทบของการสัมผัสเทคโนโลยีเกินพอดี เช่น การนอนไม่หลับและการลดลงของปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ข้อกำหนดหลักคือ เด็กประถมต้องงดใช้สมาร์ตโฟนหลัง 21:00 น. และเด็กมัธยมต้นขึ้นไปงดหลัง 22:00 น. โดยให้เหตุผลชัดเจนว่า “การนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทางร่างกายและจิตใจของเด็กทุกคนอายุต่ำกว่า 18 ปี” นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ผู้ปกครองกำหนดกฎครัวเรือนสำหรับการใช้อุปกรณ์ และเทศบาลจะตั้งระบบให้คำปรึกษาแก่พ่อแม่ที่ต้องการความช่วยเหลือ

นายกเทศมนตรีมาซาฟุมิ โคคิ (Masafumi Kouki) ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Kyodo News ว่า “การกำหนดเวลาจำกัด 2 ชั่วโมงต่อวันนี้ มีพื้นฐานมาจากแนวทางการนอนหลับที่ดีของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น ซึ่งคำนวณจากเวลาการใช้งานเฉลี่ยในวันธรรมดา หากเกินกว่านี้ อาจนำไปสู่ภาวะอดนอนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม” คำกล่าวนี้ไม่เพียงยืนยันถึงความเป็นมืออาชีพของมาตรการ แต่ยังชูประเด็นเด่นว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นวาระระดับนโยบายที่รัฐบาลท้องถิ่นต้องรับผิดชอบ

กรณีของโทโยอาเกะนี้ เป็นจุดเปลี่ยนที่คลี่คลายปมในระดับปฏิบัติการ มันแสดงให้เห็นว่าประเทศที่เคยถูกมองว่า “ติดเทคโนโลยี” สามารถหันหลังให้กับหน้าจอได้ หากมีผู้นำที่กล้าลุกขึ้นกระทำการ แม้จะเป็นเพียงคำแนะนำ แต่ก็จุดประกายให้ชุมชนอื่นๆ ในญี่ปุ่นและทั่วโลกเริ่มถกเถียงกันมากขึ้น ในประเทศไทยเอง เราก็เห็นแนวโน้มคล้ายกัน เช่น การรณรงค์ลดเวลาหน้าจอในโรงเรียน หรือแคมเปญจากกระทรวงสาธารณสุขที่เตือนถึงผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเยาวชน แต่ยังขาดมาตรการเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนเท่านี้

ฟีดโซเชียลมีเดียจะว่างเปล่า

และที่น่าติดตามยิ่งกว่าคือ การตอบสนองจากภาคเอกชนที่กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการคลี่คลาย Heineken ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสำรวจ แต่ได้เปิดตัวแคมเปญระดับโลกเพื่อส่งเสริมการสังสรรค์แบบ IRL โดยร่วมมือกับศิลปินดังอย่าง Joe Jonas และอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ เช่น Dude with Sign, Lil Cherry และ Paul Olima แคมเปญนี้ใช้มุกตลกในการจินตนาการว่า “ถ้าทุกคนออกไปสนุก IRL แล้ว ฟีดโซเชียลมีเดียจะว่างเปล่า” เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนวางโทรศัพท์ลงและหันมาพบปะกันจริงๆ มันต่อยอดจากแคมเปญก่อนหน้าอย่าง “The Boring Phone” และ “Forgotten Beers” ที่ส่งเสริมการดื่มและสนทนาแบบออฟไลน์ รวมถึงการลงทุนกว่า 39 ล้านปอนด์ในการฟื้นฟูผับเก่า 62 แห่งในสหราชอาณาจักร

ถ้าเราใช้เวลา 88 วันต่อปีกับหน้าจอ แล้วอีก 277 วันที่เหลือ

สัญญาณเชิงบวกจากผลสำรวจยังมีอีกมาก: ถึง 79% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าพวกเขาดูโทรศัพท์น้อยลงเมื่ออยู่กับเพื่อนในชีวิตจริง และเกือบหนึ่งในสี่—or 25%—เคยพยายามนัดเจอเพื่อนเพื่อลดเวลาหน้าจอ นี่คือจุดที่เรื่องราวของเรามาถึงการคลี่คลาย—ไม่ใช่การต่อต้านเทคโนโลยีทั้งหมด แต่เป็นการสร้างสมดุลที่ยั่งยืน มันชวนให้เราคิด: ถ้าเราใช้เวลา 88 วันต่อปีกับหน้าจอ แล้วอีก 277 วันที่เหลือ เราจะใช้มันอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด?

ในท้ายที่สุด วิกฤตนี้ชี้ให้เห็นถึงบทเรียนสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน การสร้างความตระหนักรู้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ผ่านการรณรงค์และการศึกษา ควรเป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นคือการพัฒนานโยบายพื้นที่ปลอดจอ เช่น สวนสาธารณะหรือศูนย์ชุมชนที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นปฏิสัมพันธ์จริงๆ และสุดท้าย ภาคธุรกิจอย่าง Heineken สามารถเป็นพันธมิตร โดยสนับสนุนกิจกรรมที่เน้น IRL เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์

เรื่องราวของ “88 วันที่สูญเสีย” นี้ ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการตื่นตัว หากเราลุกขึ้นมาทำตามสัญญาณเหล่านี้ สังคมของเราจะกลับมาสดชื่นและเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง—ไม่ใช่ผ่านสายเคเบิล แต่ผ่านรอยยิ้มและการสัมผัสที่อบอุ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Heineken Global Report on Screen Time and Socializing, 2025 (สนับสนุนและเผยแพร่โดย The HEINEKEN Company, ดำเนินการสำรวจโดย OnePoll)
  • Statista Global Research on Socializing Trends, 2024-2025 (วิเคราะห์ข้อมูลเสริมโดย Statista GmbH)
  • Kyodo News: “Toyoake City Passes Ordinance Limiting Smartphone Use” (สัมภาษณ์นายกเทศมนตรี Masafumi Kouki, เผยแพร่ 23 กันยายน 2568)
  • Ministry of Health, Labour and Welfare, Japan: Healthy Sleep Guidelines, 2024
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

อีคอมเมิร์ซไทยยืน 1 อาเซียน คนไทยแชมป์โลกช้อปออนไลน์ ธุรกิจเชียงรายท้าทาย

อีคอมเมิร์ซไทยยืน 1 อาเซียน โตสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัว คนไทยครองแชมป์ซื้อของออนไลน์มากที่สุดของโลก คาดในปี 2573 ตลาดโต 2 ล้านล้านบาท

เชียงราย, 11 กันยายน 2568 – ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก แต่ภาคอีคอมเมิร์ซกลับเติบโตอย่างแข็งแกร่งสวนกระแส โดยสถิติล่าสุดเผยให้เห็นว่า คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์สูงที่สุดในโลก ส่งผลให้ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านบาทในปี 2567 และเติบโตถึง 21.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอาเซียนอย่างมีนัยสำคัญ

น.ส.วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า “คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์ต่อสัปดาห์สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วน 68.2% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 56.1% อย่างชัดเจน” ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่หันมายอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลในชีวิตประจำวันมากขึ้น

การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการที่เอื้อต่อการขยายตัว ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ง่ายขึ้น และที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นหลังสถานการณ์โรคระบาด ทำให้การซื้อสินค้าออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตใหม่

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เน้นความคุ้มค่าและแบรนด์เชื่อถือได้

ความสำเร็จของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยไม่ได้มาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนการซื้อเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างชัดเจน น.ส.วาริสฐา ชี้ให้เห็นว่า “นักช้อปออนไลน์ไม่ได้ลดจำนวนการซื้อลง แต่เปลี่ยนพฤติกรรมไปเน้นการซื้อสินค้าที่มีความคุ้มค่าและมาจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น”

แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนจากตัวเลขการใช้คูปองส่วนลด โดยในช่วงแคมเปญต่างๆ พบว่ากว่า 50% ของคำสั่งซื้อมีการใช้คูปองส่วนลดหลายตัวพร้อมกัน ทั้งคูปองส่งฟรีและคูปองส่วนลดประเภทอื่นๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความชาญฉลาดในการเลือกซื้อของผู้บริโภคที่ต้องการได้สินค้าคุณภาพในราคาที่เหมาะสม

ตัวเลขจากแพลตฟอร์ม LazMall ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำ ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันแนวโน้มนี้ เมื่อยอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นกว่า 22% ตั้งแต่ต้นปี 2568 และยอดใช้จ่ายต่อครั้งผ่าน LazMall เพิ่มขึ้นเป็นครั้งละ 1,000 บาท ในขณะที่ยอดใช้จ่ายต่อครั้งบนแพลตฟอร์มทั้งหมดในช่วงแคมเปญเพิ่มขึ้นถึง 15% ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคไม่เพียงแต่ซื้อสินค้ามากขึ้น แต่ยังยินดีจ่ายเงินในราคาที่สูงขึ้นเพื่อได้สินค้าคุณภาพจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้

อีคอมเมิร์ซไทยสู่เป้าหมาย 2 ล้านล้านบาทในปี 2573

ด้วยอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่ง ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะสามารถเติบโตแตะ 2 ล้านล้านบาทภายในปี 2573 ซึ่งหมายถึงการขยายตัวเกือบสองเท่าจากปัจจุบัน การเติบโตดังกล่าวจะส่งผลให้ยอดขายสินค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซในปี 2568 คิดเป็น 1 ใน 4 ของตลาดค้าปลีกไทยทั้งหมด

ความสำเร็จของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยยังได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างของตลาดที่เอื้ออำนวย โดย 67% ของมูลค่าทั้งหมดเป็นการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลส ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น และผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น

ผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิน กรณีศึกษาจังหวัดเชียงราย

การเติบโตของอีคอมเมิร์ซไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะในพื้นที่เมืองใหญ่เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญและมีธุรกิจร้านค้าหน้าร้านจำนวนมาก

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2568 จังหวัดเชียงรายมีการจดทะเบียนธุรกิจใหม่จำนวน 241 ราย ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่เพียงแห่งเดียว ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตทางเศรษฐกิจที่คึกคักในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของภาคการท่องเที่ยวเชียงราย ซึ่งสร้างรายได้เกือบ 2.6 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2568 และได้รับตำแหน่งเมืองรองด้านการท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศ ก็มาพร้อมกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร

ข้อมูลระดับประเทศแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของธุรกิจที่มีการจดทะเบียนใหม่สูงสุด โดยมีจำนวนถึง 1,832 รายในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2568 แต่ในขณะเดียวกัน ธุรกิจประเภทนี้ก็ติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของธุรกิจที่มีการเลิกกิจการสูงสุดเช่นกัน โดยมีจำนวน 276 ราย

ร้านค้าเชียงรายเผชิญหน้าการปรับตัวครั้งสำคัญ

การเติบโตของอีคอมเมิร์ซส่งผลให้ร้านค้าหน้าร้านในเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการรักษาฐานลูกค้าและแข่งขันกับช่องทางออนไลน์ที่มีความสะดวกสบายและราคาแข่งขันได้สูง ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์และหาจุดแข็งที่ไม่สามารถทดแทนด้วยการซื้อขายออนไลน์ได้

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ร้านค้าในเชียงรายพิจารณาปรับตัวในสามด้านหลัก ได้แก่ การสร้างความน่าเชื่อถือบนออนไลน์ผ่านการผสานช่องทางขายแบบออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุน และการสร้างประสบการณ์หน้าร้านที่ไม่เหมือนใครซึ่งหาไม่ได้จากการซื้อขายออนไลน์

การสร้างประสบการณ์หน้าร้านที่มีคุณค่าถือเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันกับช่องทางออนไลน์ ร้านค้าควรเป็นมากกว่าแค่จุดขาย แต่เป็นสถานที่ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากออนไลน์ เช่น การนำเสนอเรื่องราวของสินค้า การจัดเวิร์กช็อป หรือการให้คำปรึกษาเชิงลึก ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและสร้างความภักดีในระยะยาว

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าการเติบโตของอีคอมเมิร์ซจะสร้างความท้าทายต่อธุรกิจแบบดั้งเดิม แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวได้ทัน ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า อัตราส่วนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ต่อการเลิกกิจการในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 7:1 ซึ่งดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่มีอัตราส่วน 4:1

ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ถึงสุขภาพโดยรวมของระบบเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตและแข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน สำหรับจังหวัดเชียงราย การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังคงเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการดึงดูดการลงทุนและการท่องเที่ยวต่อไป

ในขณะเดียวกัน แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของทุนจดทะเบียนแม้ว่าจำนวนธุรกิจใหม่จะลดลงเล็กน้อย สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนในปัจจุบันมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจขนาดใหญ่และใช้เงินทุนสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่มีการแข่งขันสูงและต้องการความมั่นคงในระยะยาว

ร้านค้าเชียงรายเผชิญหน้าความท้าทายใหม่ จากกระแสดิจิทัลที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค

ปรากฏการณ์การเติบโตของอีคอมเมิร์ซไทยท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แสดงให้เห็นถึงพลังของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าภาคการค้าปลีกของประเทศ การที่คนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์สูงที่สุดในโลกไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการยอมรับเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับธุรกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างเชียงราย การปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น ผู้ประกอบการที่สามารถผสานจุดแข็งของหน้าร้านกับความสะดวกสบายของช่องทางออนไลน์ จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัล

เป้าหมาย 2 ล้านล้านบาทของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2573 ไม่เพียงแต่เป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการบริโภคและการค้าขาย ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากทุกภาคส่วน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • น.ส.วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (Department of Business Development – DBD) กระทรวงพาณิชย์
  • รายงานการวิเคราะห์ภาวะการจดทะเบียนธุรกิจในจังหวัดเชียงราย ปี พ.ศ. 2568
  • ข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • DBD DataWarehouse+ ฐานข้อมูลธุรกิจกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

E-commerce ไทย Gen Z ขับเคลื่อนตลาด

Gen Z พลิกเกมตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2568 คอนเทนต์-ความคุ้มค่า-ไลฟ์สไตล์ คือคำตอบ

ประเทศไทย, 30 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่แข่งขันกันดุเดือดในโลกออนไลน์ รายงาน Thailand E-Commerce Trends 2025 คาดการณ์ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยในปี 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.07 ล้านล้านบาท สะท้อนโอกาสทางเศรษฐกิจที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะการเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภค Gen Z ซึ่งมีสัดส่วนประชากรกว่า 20% ของประเทศ และเป็นกลุ่มผู้ใช้ดิจิทัลที่มีพฤติกรรมและแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจเฉพาะตัว

พฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z คอนเทนต์สั้นกระชับ-อินฟลูเอนเซอร์น่าเชื่อถือ-แพลตฟอร์มต้องหลากหลาย

บริษัท Kantar (คันทาร์) เผยผลวิจัยล่าสุดในหัวข้อ “From Watching to Buying: Why Gen Z Are Embracing Content-Driven Shopping” ซึ่งศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค Gen Z อายุระหว่าง 18-24 ปี ในประเทศไทย ชี้ให้เห็นแนวโน้มสำคัญของการเลือกซื้อสินค้าในยุคที่ “คอนเทนต์” คือหัวใจหลัก

ผู้บริโภค Gen Z นิยมคอนเทนต์วิดีโอสั้นแนวตั้ง (Vertical Short Video) ถึง 71% ตามมาด้วยวิดีโอยาว เช่น Vlog หรือคลิปรีวิวสินค้าลึก ๆ ถึง 56% โดยแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการเสพคอนเทนต์คือ YouTube (78%) TikTok Instagram และ Facebook ตามลำดับ

นอกจากนี้ 97% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่า “ครีเอเตอร์ที่น่าเชื่อถือ” มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างมาก โดยเน้นการรีวิวจากผู้ที่ใช้สินค้าจริง พร้อมการให้ข้อมูลลึกและตรงไปตรงมา

ไลฟ์สไตล์คืออัตลักษณ์ สินค้าต้อง ‘ใช่ฉัน’ ถึงจะขายได้

พฤติกรรมการซื้อของกลุ่ม Gen Z แสดงออกถึงการเลือกสินค้าที่สะท้อนอัตลักษณ์ของตนเอง สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเอง อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่นผู้หญิง ความงาม และเครื่องประดับแฟชั่น

กลุ่มผู้บริโภคหญิงแสดงความสนใจในสินค้าได้หลากหลายมากกว่าเพศชาย ขณะที่ผู้ชาย Gen Z ให้ความสนใจกับสินค้าแฟชั่นผู้ชาย และอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์

ช่องทางในการค้นหาข้อมูลและตัดสินใจซื้อสินค้า เรียงลำดับจาก Shopee เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย TikTok Shop และ Lazada ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรม ‘เสิร์ชก่อนซื้อ’ และเชื่อมโยงกับคอนเทนต์ที่พวกเขาเห็นบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ

คุ้มค่ามาก่อนราคาถูก ‘ส่งฟรี’ คือคำตอบสุดท้ายของ Gen Z

แม้เศรษฐกิจจะยังท้าทาย แต่ Gen Z ไม่ได้เลือกซื้อของเพราะ ‘ถูก’ อย่างเดียว 40% ระบุว่า ‘ส่งฟรี’ คือปัจจัยหลักในการตัดสินใจ รองลงมาคือ โปรโมชั่นที่น่าสนใจ (29%) และส่วนลดที่คุ้มค่า (28%)

พฤติกรรมนี้สะท้อนว่า นักการตลาดต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์และคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ ไม่ใช่แค่แข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว

แพลตฟอร์มยอดนิยมของ Gen Z  Shopee ครองอันดับหนึ่ง

ในแง่ของการจับจ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซ พบว่า Shopee ได้รับความนิยมสูงสุดจาก Gen Z คิดเป็น 52% ตามด้วย Lazada (22%) TikTok (16%) และ Facebook (8%) โดยปัจจัยที่ทำให้ Shopee ครองใจผู้ใช้คือ UX/UI ที่ใช้งานง่าย ระบบขนส่งที่เชื่อถือได้ และโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

ความคุ้มค่า + คอนเทนต์ + ครีเอเตอร์ = สูตรสำเร็จบนโลกออนไลน์

ผลวิจัยฉบับนี้ชี้ชัดว่า หากแบรนด์และนักการตลาดต้องการเข้าถึง Gen Z ได้อย่างแท้จริง ต้องปรับวิธีคิดจาก ‘ขายของ’ เป็น ‘สร้างประสบการณ์’ โดยคำนึงถึงจุดตัดระหว่างแพลตฟอร์ม คอนเทนต์ อินฟลูเอนเซอร์ และความคุ้มค่าอย่างสมดุล

แบรนด์ไม่ควรมองว่า Gen Z เป็นเพียงกลุ่มวัยรุ่นที่จ่ายน้อย แต่ต้องเข้าใจว่าพวกเขาคือผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีพลังต่อรองสูง และหากสามารถสร้าง Brand Loyalty ได้ ก็จะเกิดความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว

เชียงรายกับโอกาสในอีคอมเมิร์ซภูมิภาค

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและสื่อออนไลน์เติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีร้านค้าออนไลน์และกลุ่มครีเอเตอร์ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15% ตามข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย (2567)

ความสามารถในการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในเชียงราย โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยและนักค้าขายอิสระ ช่วยผลักดันให้เชียงรายกลายเป็นศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซระดับภูมิภาคตอนบนของประเทศ นักการตลาดจึงควรพิจารณาขยายแคมเปญเจาะกลุ่ม Gen Z ในภูมิภาคควบคู่กับเมืองใหญ่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2568: 1.07 ล้านล้านบาท (ที่มา: Thailand E-Commerce Trends 2025)
  • กลุ่ม Gen Z คิดเป็น 20% ของประชากรไทย (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ)
  • แพลตฟอร์มวิดีโอที่ Gen Z นิยม: YouTube (78%), TikTok, Instagram, Facebook (ที่มา: Kantar)
  • ปัจจัยกระตุ้นการซื้อสูงสุด: ส่งฟรี (40%), โปรโมชั่น (29%), ส่วนลดคุ้มค่า (28%)
  • แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยม: Shopee (52%), Lazada (22%), TikTok (16%), Facebook (8%)
  • การเติบโตของร้านค้าออนไลน์ในเชียงราย: เฉลี่ย 15% ต่อปี (ที่มา: สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงาน “From Watching to Buying” โดย Kantar (25 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 2568)
  • รายงาน Thailand E-Commerce Trends 2025
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE