Categories
TRAVEL

สวนนงนุชยกระดับ! เปิดอาณาจักรพุทธศิลป์รวมองค์แทนพระพุทธเจ้าจากทั่วโลก

สวนนงนุชพัทยาเปิด “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้พุทธศิลป์นานาชาติ” รวมองค์แทนพระพุทธเจ้า หวังปลูกฝังความรู้และศรัทธาให้เยาวชน

พัทยา, 15 กันยายน 2568 — สวนนงนุชพัทยาเดินหน้าวิสัยทัศน์ “อาณาจักรแห่งแหล่งเรียนรู้ครบวงจร” เปิดพื้นที่การเรียนรู้ด้านพระพุทธศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดสร้างและรวบรวม “องค์แทนพระพุทธเจ้า” จากหลากหลายประเทศ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้ทำความเข้าใจความงดงามของพุทธศิลป์ในบริบทวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันยังย้ำบทบาทสวนนงนุชในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาเคียงข้างสวนพฤกษศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และสวนสัตว์ปูนปั้น ซึ่งเป็น 5 เสาหลักของแผนพัฒนาเชิงเนื้อหาที่วางไว้

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ยกเหตุผลสำคัญว่า โครงการนี้ตั้งใจ “ทำให้เด็กๆ เข้าถึงพระพุทธศาสนาในรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย และเห็นความงามของพุทธศิลป์จากนานาชาติ” ด้วยความเชื่อว่าการเห็นของจริงในบริบทย่อส่วน จะช่วย “ปลูกฝังความรัก ความศรัทธา และความเข้าใจหลักคำสอนที่ถูกต้อง” ตั้งแต่วัยเยาว์ และติดตัวไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต (อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารที่สอดคล้องกับข่าวเผยแพร่ล่าสุดของสวนนงนุชพัทยาและสื่อท้องถิ่น)

จาก “สวนสวย” สู่ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” โครงเรื่องที่สวนนงนุชอยากเล่า

เรื่องราวเริ่มที่คำถามง่ายๆ ว่า “เราจะทำให้พระพุทธศาสนาน่าสนใจสำหรับเด็กและคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร” คำตอบของสวนนงนุชคือการยก “โลกของพุทธศิลป์” มาไว้ในพื้นที่เดียว ให้ผู้ชมเดินผ่านเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ รูปทรง และสุนทรียะ จากหลากหลายภูมิภาค แล้วเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างด้วยสายตาตนเอง

แนวคิดนี้สอดรับกับทิศทางการเป็น “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้ครบวงจร” ของสวนนงนุช ซึ่งมี 5 ด้านหลัก ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสัตว์ปูนปั้น ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และพระพุทธศาสนา โดยด้านสุดท้ายถูกต่อยอดให้ชัดเจนขึ้นผ่าน “องค์แทนพระพุทธเจ้า” ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องเรียนภาคสนามกลางแจ้ง ผู้ชมจึงไม่ได้เพียง “ดู” หากแต่ “เชื่อมโยง” ข้อมูลศิลปะ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์วัฒนธรรมเข้าด้วยกัน (ข้อมูลทิศทางจากเว็บไซต์สวนนงนุชและบทความแนะนำพิพิธภัณฑ์พุทธคุโณปการ)

ความคืบหน้าโครงการ 5 องค์แล้วเสร็จ และ 11 องค์อยู่ระหว่างดำเนินการ

สวนนงนุชระบุว่า ขณะนี้ได้จัดสร้างองค์แทนพระพุทธเจ้าจากนานาชาติแล้ว 5 องค์ ได้แก่

  • พระโพธิสัตว์กวนอิม
  • พระศรีอริยเมตไตรย (อ้างอิงแรงบันดาลใจจากวัดในเกาหลีใต้)
  • พระสังกัจจายน์
  • พระพุทธรูป “เลจุน เซจาร์” จากเมียนมา
  • พระพุทธรูป “ไดบุตสึ” จากญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังมี 11 องค์ อยู่ระหว่างทำงาน ซึ่ง 3 องค์ แรกที่แล้วเสร็จและทยอยเปิดให้ชม ได้แก่ พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน), พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) และ พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน—ในฐานะองค์แทน/การระลึกถึง) รายละเอียดดังกล่าวยืนยันในข่าวเผยแพร่ของสื่อไทยท้องถิ่นและเว็บไซต์ข่าวเชิงสาธารณะ ซึ่งระบุวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็ก เยาวชน และนักท่องเที่ยวเข้าถึงความหลากหลายของพุทธศิลป์โลกในพื้นที่เดียว

“เมื่อได้เห็นความงดงามของพุทธศิลป์จากหลายประเทศ เด็กๆ จะเกิดความรู้สึกชอบ เมื่อเติบโตขึ้นมาจึงเกิดความรักและความศรัทธาในหลักคำสอนที่ถูกต้อง” — นายกัมพล ตันสัจจา (อ้างอิงตามเนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์)

ทำไมต้อง “องค์แทน” บทเรียนเชิงบริบทและการเทียบเคียง

การจัดสร้าง “องค์แทน” มิได้เป็นเพียงการจำลองรูปเคารพ หากคือการ “ย่อโลก” ของคติ ความเชื่อ และรูปแบบศิลป์ที่สะท้อนรากวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาคให้มาอยู่ในระยะสายตาเดียวกัน เด็กและผู้ชมจึงสามารถเทียบเคียง “ภาษาศิลป์” ได้โดยตรง ว่าทำไมพระพุทธรูปจากญี่ปุ่นจึงหนักแน่นเรียบง่าย เหตุใดพระโพธิสัตว์ในจีนจึงอ่อนช้อย และเหตุใดรูปเคารพจากหิมาลัยจึงเต็มไปด้วยรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์ เมื่อมองผ่านเลนส์นี้ “องค์แทน” กลายเป็นตำราเรียนที่เดินเข้าไปอ่านได้

เปิดเลนส์ดู 3 สัญลักษณ์สำคัญ ภูฐาน–ทิเบต–อัฟกานิสถาน

1) พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน) — ความศรัทธาที่โอบล้อมเมืองหลวง

Great Buddha Dordenma ตั้งอยู่บนเนินเขาในทิมพู สร้างด้วย สำริดปิดทอง สูงราว 54 เมตร ก่อสร้างระหว่างปี 2006–2015 ภายในบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กกว่า หนึ่งแสนองค์ ตามคติศรัทธา การมีอยู่ขององค์พระซึ่งมองเห็นได้เด่นชัดราวคุ้มครองเมืองทั้งเมือง จึงมีนัยทั้งเชิงสัญลักษณ์และทัศนภูมิประเทศที่น่าสนใจต่อการเรียนรู้ด้านภูมิสถาปัตยกรรมศาสนา

2) พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) — ศูนย์กลางศรัทธาที่โยกย้ายมิได้

Jowo Shakyamuni ประดิษฐานในวัดโจกัง เมืองลาซา และถูกยกย่องว่าเป็น “พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของทิเบต” ความสำคัญอยู่ที่บทบาททางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของทิเบต มากกว่าขนาดหรือวัสดุ การศึกษาองค์นี้ช่วยเปิดมุมมองว่า “คุณค่าทางศาสนา” อาจวัดจากความทรงจำร่วมของสังคม และบทบาททางพิธีกรรม มิใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก

3) พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน) — อนุสรณ์แห่งการคุ้มครองมรดกโลก

พระพุทธรูปยักษ์สององค์ที่หน้าผาหุบเขาบามิยันถูกทำลายเมื่อปี 2001 จนเหลือเพียง “โพรงว่าง” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์เตือนใจโลกให้ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกของยูเนสโก ในชื่อ Cultural Landscape and Archaeological Remains of the Bamiyan Valley การสร้าง “องค์แทนเพื่อระลึกถึง” จึงมีนัยเชิงการศึกษา ว่าความสูญเสียทางวัฒนธรรมส่งผลอย่างไร และโลกเรียนรู้อะไรจากบทเรียนนี้

สวนนงนุชในฐานะ “สะพาน” เชื่อมศิลป์–ศรัทธา–สังคม

เมื่อองค์แทนจากภูมิภาคต่างๆ มาวางอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผู้ชมจะเห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งแช่แข็ง หากสัมพันธ์กับภูมิอากาศ วัสดุท้องถิ่น ประวัติศาสตร์การเมือง ศาสนาท้องถิ่น และการตีความคำสอน ทั้งหมดนี้ทำให้ “ศิลป์” กลายเป็น “กระจก” สะท้อนสังคม และทำให้ “ศรัทธา” กลายเป็น “บทสนทนา” ระหว่างคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างสง่างาม

สำหรับการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา โครงการนี้เพิ่ม “ชั้นความหมาย” ให้การมาเยือนพัทยาและชลบุรี ซึ่งเดิมเป็นจุดหมายพักผ่อนตามธรรมชาติและวัฒนธรรมร่วมสมัย ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ให้ครู นักเรียน มหาวิทยาลัย และชมรมศิลปะ เข้ามาใช้พื้นที่เรียนรู้แบบ hands-on โดยผูกเรื่องกับรายวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ สังคมศึกษา และพลเมืองโลก

มาตรฐานการเล่าเรื่องและความอ่อนน้อมต่อศาสนา

สวนนงนุชตระหนักถึง “ความอ่อนไหวทางศาสนา” จึงวางกรอบการสื่อสารเชิงความรู้ควบคู่มารยาทการเยี่ยมชม เช่น การแต่งกายสุภาพ การเว้นระยะเหมาะสม การไม่ปีนป่ายหรือสัมผัสองค์แทนโดยไม่จำเป็น รวมถึงการจัดป้ายความรู้สองภาษา เพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจที่มา ความหมาย และบริบทของแต่ละองค์อย่างเคารพ ซึ่งแนวปฏิบัติทำนองนี้ปรากฏในเอกสารแนะนำเชิงนิทรรศการของสวนนงนุชที่เน้นบทบาท “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” และ “ห้องเรียนกลางแจ้ง”

ความต่อเนื่องของภารกิจ “ปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์”

ใจกลางของโครงการคือคำว่า “เข้าถึงง่าย” เด็กจำนวนมากรู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลสำคัญทางศาสนา แต่ยังไม่รู้ว่า “พุทธศิลป์” ในแต่ละประเทศต่างกันอย่างไร การได้เห็นองค์แทนจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เมียนมา ภูฐาน ทิเบต ไปจนถึงอนุสรณ์แห่งบามิยันในอัฟกานิสถาน จะช่วยกระตุ้นให้ตั้งคำถามและค้นคว้า เช่น ทำไมกวนอิมจึงมีบุคลิกอ่อนโยน ทำไมไดบุตสึจึงเน้นความสุขุมมั่นคง หรือทำไมโจโวจึงเป็น “หัวใจของทิเบต” คำถามเหล่านี้คือเชื้อเพลิงของการเรียนรู้ระยะยาว

“เราต้องการให้เด็กรู้สึกชอบก่อน แล้วความรักและความศรัทธาที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจจะตามมาเอง” — นายกัมพล ตันสัจจา กล่าวในทิศทางเดียวกับข่าวเผยแพร่

อนาคตข้างหน้า จากองค์แทน สู่เครือข่ายการเรียนรู้ระดับภูมิภาค

เมื่อองค์แทนชุดแรกทยอยเปิดครบ สวนนงนุชมีแนวโน้มจะขยายกิจกรรมประกอบผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ เช่น เวิร์กช็อปนำชมเชิงลึก การบรรยายสั้นสำหรับครอบครัว เสวนาเชิงวิชาการกับมหาวิทยาลัย และการพัฒนา guidebook ขนาดพกพา เพื่อช่วยครูและนักเรียนเตรียมตัวก่อนมาเยือน หากเกิดขึ้นจริง พื้นที่นี้จะค่อยๆ กลายเป็น “โหนดความรู้” เชื่อมโยงโรงเรียน ชุมชน และนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าหากัน

ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ องค์แทนยังเปิดโอกาสต่อยอดสู่งานออกแบบของที่ระลึกเชิงความรู้ คอนเทนต์ดิจิทัลแบบสั้น และสื่ออินเทอร์แอ็กทีฟที่เล่าความหมายของรูปทรงและสัญลักษณ์ ซึ่งจะทำให้เด็กและผู้ใหญ่ “เรียนรู้ซ้ำ” ได้แม้กลับถึงบ้านแล้ว โดยไม่ลดทอนความเคารพต่อศาสนา

มองผ่านเลนส์เมืองท่องเที่ยว พัทยาที่ซับซ้อนกว่าเดิม

พัทยาในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติอาจถูกมองด้วยภาพจำจำกัด โครงการแบบนี้ช่วย “ปรับโทน” เมืองให้ลุ่มลึกขึ้น เพิ่มมิติการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสอดรับพฤติกรรมผู้เดินทางรุ่นใหม่ที่แสวงประสบการณ์มีความหมาย การมีแลนด์มาร์กเชิงการศึกษาในพื้นที่สวนระดับโลกอย่างสวนนงนุช ซึ่งเดิมโดดเด่นด้านภูมิสถาปัตยกรรมและคอลเลกชันพืช ก็ยิ่งทำให้พัทยาเป็นปลายทางที่ครบเครื่องขึ้น (ข้อมูลภาพรวมแหล่งท่องเที่ยวจากบทความแนะนำการท่องเที่ยวพัทยาที่กล่าวถึงบทบาทสวนนงนุช)

องค์แทนที่ “แทน” ได้มากกว่ารูปเคารพ

โครงการ “องค์แทนพระพุทธเจ้านานาชาติ” ของสวนนงนุชพัทยาไม่ใช่แค่การจัดวางรูปเคารพให้คนมาถ่ายรูป หากเป็น “บทเรียนมีชีวิต” ที่วางอยู่กลางเมืองท่องเที่ยว เพื่อให้เด็ก เยาวชน และผู้มาเยือนเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเคารพ เข้าใจ และเท่าทันโลก

ภาพใหญ่ของเรื่องนี้ คือการใช้ “พุทธศิลป์” เป็นภาษากลางเชื่อมประวัติศาสตร์ ศรัทธา และสังคม จากภูฐานและทิเบตถึงอัฟกานิสถาน จากจีนและญี่ปุ่นถึงเกาหลีและเมียนมา แล้วนำทั้งหมดมาบอกเล่าที่พัทยา เมืองที่กำลังสร้างบทใหม่ของการท่องเที่ยวคุณภาพ เมื่อโครงการเดินหน้าครบถ้วน พื้นที่แห่งนี้จะยืนอยู่ได้ด้วยความรู้ ความอ่อนน้อม และบทสนทนา ซึ่งคือหัวใจของคำว่า “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วัดเชตวันวางศิลาฤกษ์ สร้างมหาวิหารล้านนา

เชียงรายประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างมหาวิหารวัดเชตวัน สืบสานพุทธศิลป์ล้านนาให้รุ่งเรือง

เชียงราย, 19 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายร่วมกับพุทธศาสนิกชน จัดพิธีวางศิลาฤกษ์สร้างมหาวิหาร ณ วัดเชตวัน ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่สะท้อนถึงความศรัทธาและความร่วมมือของชุมชนในการธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรมล้านนา โดยมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธากว่า 500 คน เข้าร่วมในพิธีอย่างพร้อมเพรียง

เวลา 09.00 น. พิธีเริ่มต้นขึ้นอย่างสง่างาม ณ บริเวณลานหน้าวัดเชตวัน โดยมีพระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมพระเถรานุเถระจากวัดต่าง ๆ ทั่วเชียงรายประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญชัยมงคลคาถา

ศรัทธาธรรมหล่อหลอมใจ สู่ศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งล้านนา

ในโอกาสนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้เกียรติเป็นประธานฝ่ายฆราวาส จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ร่วมกับนางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับมอบหมายจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้เข้าร่วมงานดังกล่าว

พิธีดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศอันเปี่ยมด้วยพลังศรัทธา มีแขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ร่วมกันสวดมนต์ เจริญภาวนา และร่วมลงนามถวายความตั้งใจสนับสนุนการสร้างมหาวิหารให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

มหาวิหารวัดเชตวัน ศูนย์กลางแห่งธรรมและศิลปวัฒนธรรมล้านนา

การก่อสร้างมหาวิหารแห่งนี้ ได้รับการออกแบบตามสถาปัตยกรรมล้านนาแท้ โดยมีขนาดความกว้าง 25 เมตร ยาว 48 เมตร และสูง 34 เมตร ภายในจะประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญและเป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาและการเรียนรู้พระธรรมคำสอน

ตามข้อมูลจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย ระบุว่า วัดเชตวันเป็นวัดเก่าแก่ที่มีบทบาทสำคัญต่อชุมชน โดยเฉพาะในเขตเมืองเก่าเชียงราย การสร้างมหาวิหารในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางศาสนา แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมล้านนาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

งบประมาณจากศรัทธาประชาชน พลังแห่งการมีส่วนร่วม

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณเบื้องต้นจากแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ทั้งในรูปแบบเงินบริจาค วัสดุก่อสร้าง และแรงงานจิตอาสา โดยมีการวางแผนระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการวัดและภาคีภาคประชาสังคมในพื้นที่

ในพิธีครั้งนี้ ยังได้เปิดรับบริจาคผ่านกิจกรรม “สร้างบุญร่วมใจ สร้างวิหารล้านนา” ซึ่งในวันแรกสามารถรวบรวมเงินบริจาคได้กว่า 2.3 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวก วัดเชตวันในบริบทเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิเคราะห์ว่า การก่อสร้างมหาวิหารจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดปี ทั้งยังเสริมสร้างกิจกรรมของชุมชน เช่น งานบุญ งานประเพณีท้องถิ่น และกิจกรรมเยาวชน

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่าโครงการนี้จะสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับชุมชนโดยรอบวัดเฉลี่ยปีละกว่า 12 ล้านบาท เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีวัดทั้งหมด 1,512 แห่ง โดยในปี 2567 มีวัดที่ได้รับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่จำนวน 32 แห่ง
  • รายงานจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย พบว่า ในปี 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมเฉลี่ย 1.6 ล้านคน/ปี คิดเป็นร้อยละ 28 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดของจังหวัด
  • การก่อสร้างมหาวิหารในเขตเมืองเชียงราย มีเพียง 3 แห่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยวัดเชตวันถือเป็นแห่งแรกในรอบ 7 ปีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นไปตามแนวสถาปัตยกรรมล้านนาแท้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

โครงการกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา พุทธศักราช 2567

 
เมื่อวันพุธที่ 22 มิถุนายน 2567 ตั้งแต่เวลา 06.30 น. ณ วัดพระแก้ว พระอารามหลวง ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย  พระรัตนมุนี (ปุณณมี วิสารโท, ผศ.ดร.) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีฝ่ายสงฆ์ดำเนินงานโครงการกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชา พุทธศักราช 2567 โดยมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส

 

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ คณะสงฆ์วัดพระแก้ว พระอารามหลวง พร้อมด้วยคณะศรัทธาและพุทธศาสนิกชน เพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย การมีส่วนร่วมกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในมิติศาสนา บำเพ็ญบุญกุศล เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปใช้ในชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง สังคม และประเทศชาติ ซึ่งมีกิจกรรมสำคัญ ดังนี้

  1. การทำวัตรเช้า สวดมนต์ไหว้พระรัตนตรัย
  2. พิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันวิสาขบูชา พุทธศักราช 2567
  3. การแสดงธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ โดย พระครูสุธีสุตสุนทร (สมพงษ์ สิริมงฺคโล) ดร. เจ้าอาวาสวัดพระแก้ว พระอารามหลวง เรื่อง ความสำคัญของวันวิสาขบูชา “ประสูต ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระโคตมพุทธเจ้า)
  4. การถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์
  5. กิจกรรมปฏิบัติธรรม และรักษาศีล
  6. การเจริญจิตภาวนา และแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

  นอกจากนี้จะประกอบพิธีเวียนเทียน เนื่องในวันวิสาขบูชา พุทธศักราช 2567 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป    

 

ในการนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางพรทิวา ขันธมาลา ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม นายพิพัฒน์ สุ่มมาตย์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการนายสุพจน์ ทนทาน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ นายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ นางสาวสุทธิดา ตราชื่นต้อง นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ นายสานุพงศ์ สันทราย นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ นายสุพจน์ กันติ๊บ นักวิชาการวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมดำเนินการจัดกิจกรรมตามโครงการฯ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การจัดงาน รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมโครงการฯ

 

 ความสำคัญของวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง “เป็นวันพระพุทธเจ้า” เนื่องจากเป็นวันที่เจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากออกผนวชแล้ว ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง วันนี้ จึงให้พวกเราบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ โดยเฉพาะ ทานบารมี เราได้ใส่บาตร ตามรอยนางวิสาขา อนาธิกบัณฑเศรษฐี สร้างบารมีให้เกิดบุญกุศลขึ้นกับตนเอง ๆ พระองค์ทรงรู้แจ้งเห็นจริง ในสิ่งที่ทำให้ชีวิตมนุษย์เป็นทุก เกิดความเดือดร้อน 3 ประการ คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง โดยให้สร้างบารมี และกำจัดความทุกข์นี้ด้วย “ปัญญา” พระองค์ทรงเทศนาสั่งสอนปัญจวัคคี ด้วยธรรมจักรกัปวัฒนสูตร ในวันวันมาฆบูชา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทำให้อัญญาโกณฑัณญะ บรรลุธรรม พระองค์ท่านใช้เวลาเผยแผ่ธรรมะ ถึง 45 ปี 84,000 คำสอน ย่อลงมาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดความเข้าใจในชีวิต นั่นคือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นั่นเอง       

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

MOU บริการวิชาการทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2567 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมวิทยาลัยสงฆ์เชียงราย ศาลากลางจังหวัดหลังเดิม (ดอยจำปี) อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จัดพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการบริการวิชาการทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ระหว่างวิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย โดยมี พระพุทธิญาณมุนี ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์เชียงราย, นายโสไกร  ใจหมั้น ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย และนายพิสันต์  จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายผู้แทน ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU)ฯ ในที่ประชุมคณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย สมัยสามัญ ครั้งที่ 2/2567 ระดับเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ กองงานเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย และเลขานุการ

 

 

    บันทึกความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการบริการวิชาการทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม มีวัตถุประสงค๋เพื่อร่วมกันพัฒนาวิชาการ การทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม, เพื่อร่วมมือกันจัดทำกิจกรรมวิชาการพระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่และศิลปวัฒนธรรม และเพื่อแลกเปลี่ยนด้านการศึกษา การวิจัยทางพระพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม รวมทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 7 เมษายน 2572

 

 

     ในการนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางพรทิวา  ขันธมาลา ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม เป็นผู้แทนร่วมพิธีลงนาม เและนางสาวสุพิชชา  ชุ่มมะโน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ เป็นพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU)ฯ ดังกล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ไทยเป็นเจ้าภาพ “วิสาขบูชาโลก” ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา

 

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2567 ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้ากราบ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก (ICDV) และประธานสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ (IABU) และหารือการเตรียมจัดงานวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2567 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ

 

พระพรหมบัณฑิต  เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ในวันนี้ได้ร่วมกันสรุปกำหนดการการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก และการจัดประชุมวิสาขบูชาโลกนานาชาติ “ในหัวข้อเอกภาพของการทำงานร่วมกัน” ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติในการให้เป็นเจ้าภาพในปีนี้ (2567) โดยมีกำหนดจัดในระหว่างวันที่ 19 – 20 พฤษภาคมนี้  และมีการหารือกันเนื่องในโอกาสที่ปีนี้เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้มีกำหนดเชิญผู้นำทางศาสนา และพุทธศาสนิกชนจากนานาประเทศมาเข้าร่วมงานถึง 73 ประเทศ

 

โดยจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ การเจริญพระพุทธมนต์  และกิจกรรมถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากรัฐบาล ในการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ รวมถึงงบประมาณสนับสนุน

 

ด้าน ดร.พวงเพ็ชร กล่าวว่า ในนามของรัฐบาล น้อมรับการทำงานให้พระพุทธศาสนาและรับใช้มหาเถรสมาคมอย่างเต็มที่ ในฐานะที่ตนกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาเเห่งชาติและกรมประชาสัมพันธ์ จะประสานการจัดงานให้ประสบผลสำเร็จ และสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่เพื่อให้การจัดงานวิสาขบูชาโลก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ออกสู่สายตาคนทั้งโลกอย่างยิ่งใหญ่  ให้ทั่วโลกได้เห็นว่าประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา ประกอบกับปีนี้เป็นปีมหามงคลของปวงชนชาวไทย

 

เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี ต้อนรับคณะผู้เข้าร่วมงานวิสาขบูชาโลก และเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา ร่วมสืบสานและน้อมนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News