Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผลไม่เป็นทางการชี้ “เพื่อไทย” นำขาดในการเลือกตั้งซ่อมเชียงราย เขต 7

วิเคราะห์ข้อเท็จจริงและประเด็นชี้ขาด

  • เหตุแห่งการเลือกตั้งซ่อม: เก้าอี้ ส.ส.เชียงราย เขต 7 ว่างลงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน พ้นสมาชิกภาพ และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญจากกรณีเกี่ยวกับการใช้งบประมาณ ส่งผลให้ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 14 กันยายน 2568
  • เขตเลือกตั้งและจำนวนผู้มีสิทธิ: เขต 7 ครอบคลุม 5 อำเภอ 21 ตำบล รวม 285 หน่วยเลือกตั้ง โดยมีข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ถูกอ้างถึง 2 ชุด (125,283 คน และ 133,960 คน) ซึ่งมาจากรายงานต่างช่วงเวลาและต่างสำนักข่าว ชุดที่ 133,960 คนปรากฏในสื่อสาธารณะเช้าวันเลือกตั้ง ขณะที่ชุด 125,283 คนปรากฏในรายงานภาคค่ำที่แนบสถิติการนับคะแนนร้อยละ 94.74%—ในข่าวนี้จึงระบุทั้งสองชุดพร้อมที่มาเพื่อความโปร่งใส
  • ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ (เมื่อเวลา ~19.45 น. วันที่ 14 ก.ย. 2568): ผู้สมัครหมายเลข 1 นายสง่า พรมเมือง พรรคเพื่อไทย ได้ 43,229 คะแนน นำผู้สมัครหมายเลข 2 นายสุทัศน์ ยาละ พรรคประชาชน ที่ได้ 18,252 คะแนน ข้อมูลดังกล่าวปรากฏในหลายสำนักข่าว โดยบางสำนักระบุเป็นผลหลังนับแล้ว 270 จาก 285 หน่วย (คิดเป็น 94.74%) และมีสถิติประกอบทั้งจำนวนบัตรดี บัตรเสีย และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน.
  • บรรยากาศและการกำกับดูแล: เลขาธิการ กกต. นายแสวง บุญมี ลงพื้นที่ตรวจการเลือกตั้ง ตั้งแต่ช่วงเช้าและให้สัมภาษณ์ว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คาดรู้ผลอย่างไม่เป็นทางการราว 21.00 น. ซึ่งสอดคล้องกับรายงานข่าวเชิงพื้นที่หลายสำนัก

เชียงรายชี้ขาด “ซ่อมเขต 7” — เพื่อไทยนำขาดในผลไม่เป็นทางการ สะท้อนสมรภูมิภาคเหนือก่อนศึกใหญ่

สรุปวันลงคะแนน-ไทม์ไลน์การนับคะแนน-สัญญาณทางการเมืองที่ต้องจับตา

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — เข็มนาฬิกาแตะ 19.45 น. บนกระดานรายงานผลนับคะแนนที่ศูนย์รวมคะแนนอำเภอแม่จัน ตัวเลข “43,229” ปรากฏเคียงชื่อ นายสง่า พรมเมือง ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ขณะที่ชื่อ นายสุทัศน์ ยาละ พรรคประชาชน หมายเลข 2 ปรากฏตัวเลข “18,252” ช่องว่างที่กว้างขึ้นตามจังหวะการส่งรายงานจาก 270 หน่วยเลือกตั้งแรก (ในจำนวนทั้งหมด 285 หน่วย) ทำให้ค่ำคืนนี้ภาพรวมผลคะแนน อย่างไม่เป็นทางการ ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน: เก้าอี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเชียงราย เขต 7 มีแนวโน้มจะกลับไปอยู่ในมือเพื่อไทยอีกครั้ง หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากการตรวจทานอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา

จุดเริ่ม—เหตุแห่ง “ซ่อม” และเส้นทางสู่วันลงคะแนน

สมรภูมิซ่อมครั้งนี้เกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. และถูกตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ประเด็นสำคัญอยู่ที่คำวินิจฉัยเกี่ยวกับการมีส่วนได้ส่วนเสียในการใช้งบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวกลายเป็นหมุดหมายใหม่ที่สังคมการเมืองไทยต้องจดจำ และเป็นเหตุให้ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมในวันนี้

เขตเลือกตั้งที่ 7 ของเชียงรายครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอ 21 ตำบล ได้แก่ อำเภอเชียงแสน (6 ตำบล), อำเภอเวียงแก่น (4 ตำบล), อำเภอดอยหลวง (3 ตำบล), อำเภอเชียงของ (6 ตำบล เฉพาะบางตำบล) และอำเภอแม่จัน (2 ตำบล คือ จันจว้าและจันจว้าใต้) มี 285 หน่วยเลือกตั้ง ขณะที่จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีการอ้างถึง สองชุดข้อมูล ในช่วงวันเลือกตั้ง—เช้าและบ่ายแก่ ๆ มีรายงาน 133,960 คน; ส่วนรายงานภาคค่ำของบางสำนักข่าวอ้าง 125,283 คน ซึ่งเป็นฐานคำนวณอัตราการมาใช้สิทธิที่ 59.24% (74,221 คน) ในรอบ 94.74% ของหน่วยที่รายงานผลเข้ามาแล้ว ทั้งนี้ความแตกต่างของฐานข้อมูลเกิดจาก “ช่วงเวลา” และ “แหล่งข้อมูล” ที่ใช้รายงาน ซึ่งต้องรอ กกต.ประกาศรับรองอีกครั้งเพื่อยืนยันตัวเลขสุดท้าย

นายสง่า พรมเมือง (หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย)
นายสุทัศน์ ยาละ (หมายเลข 2 พรรคประชาชน)

วันจริง—ผู้มีสิทธิ์ทยอยใช้สิทธิ์ บรรยากาศเรียบร้อย

ตั้งแต่เช้าตรู่บรรยากาศหน้าหน่วยเลือกตั้งหลายจุดในอำเภอเชียงแสน–เชียงของ–เวียงแก่น–ดอยหลวง–แม่จันเป็นไปอย่างคึกคัก เลขาธิการ กกต. นายแสวง บุญมี พร้อมผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้ง ย้ำภาพรวม “เรียบร้อย” และประเมินว่า จะทราบผลอย่างไม่เป็นทางการได้ตั้งแต่เวลาประมาณ 21.00 น. สะท้อนความพร้อมของกลไกนับคะแนน ณ พื้นที่จริง

คำยืนยันเรื่องความเรียบร้อยสอดคล้องกับรายงานจากหลายสำนักข่าวในช่วงบ่าย–ค่ำ ทั้งในเชิงบรรยากาศและการคาดการณ์อัตราการมาใช้สิทธิ์ที่เดิมประเมินกันไว้ “ราว 65%” ก่อนปิดหีบเวลา 17.00 น. แม้ท้ายที่สุดตัวเลขที่ปรากฏบนกระดานรายงานผลช่วงรอบค่ำ (เมื่อนับได้ 94.74%) จะสะท้อนการมาใช้สิทธิ์ 59.24% ตามฐานข้อมูลที่รายงาน ณ เวลานั้น

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง—คะแนนนำ, บัตรดี–เสีย, และ “ไม่ประสงค์ลงคะแนน”

เมื่อนาฬิกาเคลื่อนไปถึง 19.45 น. รายงานผลไม่เป็นทางการชี้ว่า นายสง่า พรมเมือง (หมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย) ได้ 43,229 คะแนน ขณะที่ นายสุทัศน์ ยาละ (หมายเลข 2 พรรคประชาชน) ได้ 18,252 คะแนน ส่วนองค์รวมการลงคะแนนในรอบเดียวกันสะท้อนว่า

  • ผู้มาใช้สิทธิ: 74,221 คน (ฐานคำนวณ 59.24% ของผู้มีสิทธิ 125,283 คนตามรายงานชุดค่ำ)
  • บัตรดี: 61,481 ใบ (คิดเป็นร้อยละ 82.84 ของผู้มาใช้สิทธิในรอบรายงาน)
  • บัตรเสีย: 2,854 ใบ (ร้อยละ 3.85)
  • บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน: 9,886 ใบ (ร้อยละ 13.32)

ภาพรวมนี้สะท้อนพฤติกรรมผู้ใช้สิทธิ์ใน “สนามซ่อม” ที่อัตรา ไม่ประสงค์ลงคะแนน ยังคงเป็นตัวแปรที่ไม่ควรมองข้าม เกือบ “หนึ่งในเจ็ด” ของผู้มาใช้สิทธิ์ และสะท้อนท่าทีของประชาชนส่วนหนึ่งที่ต้องการส่งสัญญาณทางการเมืองด้วยการมาใช้สิทธิ์แต่ “ไม่เลือกรายชื่อผู้สมัคร” ใด ๆ

จากหีบถึงกระดาน—ไทม์ไลน์การนับคะแนน

หลังปิดหีบเวลา 17.00 น. การนับคะแนนเริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานเป็นระยะจากสื่อหลายสำนักว่า เพื่อไทยนำ ทิ้งห่าง “พรรคประชาชน” ตั้งแต่ช่วงนับผ่าน 40–60% และคงระยะห่างเรื่อยมา ก่อนกระทั่ง เวลา 19.45 น. หลายสำนักพร้อมใจกันรายงานตัวเลข “นำห่าง” ในรอบ 270 หน่วยจาก 285 หน่วย (94.74%). ไทม์ไลน์นี้ช่วยให้เห็นภาพว่า “แนวโน้ม” เริ่มนิ่งตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ

สัญญะทางการเมือง—อะไรสะท้อนผ่าน “เชียงราย เขต 7”

  1. พลังฐานเสียงเดิมของเพื่อไทยในภาคเหนือ: แม้ภูมิทัศน์การเมืองระดับชาติผันผวน แต่สนามซ่อมที่เชียงรายยังสะท้อนฐานสนับสนุนเดิมของเพื่อไทยค่อนข้างชัดเจน เมื่อนำตัวเลขคะแนน 43,229 ต่อ 18,252 มาพิจารณา—ส่วนต่างระดับ “หลายหมื่นเสียง” คือสัญญะว่าการแข่งขันในพื้นที่เหนือยังไม่เปลี่ยนขั้วง่าย ๆ อย่างน้อยในเขตนี้
  2. บทเรียน “จำนวนกับคุณภาพ” ของการมีส่วนร่วม: ตัวเลข ไม่ประสงค์ลงคะแนน 9,886 ใบ และ บัตรเสีย 2,854 ใบ ในสนามที่ผู้สมัครมีเพียงสองคน ชี้ให้เห็นความสำคัญของ “การสื่อสารนโยบายที่จับต้องได้” และ “ความคาดหวังต่อการทำงานระยะสั้น” ของผู้แทนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ต่อจากนี้ เนื่องจากวาระสภาปัจจุบันอาจอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในระดับชาติ ขณะที่พื้นที่ยังต้องการการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
  3. ความพร้อมของระบบเลือกตั้งและความน่าเชื่อถือของกระบวนการ: ภาพรวม “เรียบร้อย–โปร่งใส” จากการลงพื้นที่ของเลขาธิการ กกต. และผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงเป้าหมายการรายงานผลตั้งแต่เวลา 21.00 น. ตอกย้ำความพยายามของหน่วยงานจัดการเลือกตั้งในการบริหารความคาดหวังของสาธารณะ—ปัจจัยนี้มีผลต่อ “ทุนความเชื่อมั่น” ของระบบการเมืองโดยรวม

เสียงจากหน่วยงานกำกับยืนยันความเรียบร้อยและไทม์ไลน์ประกาศ

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ให้ข้อมูลต่อสื่อในวันเดียวกันว่า “โดยภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย” และคาดว่าจะทราบผล “อย่างไม่เป็นทางการ” ได้ในเวลาค่ำของวันเดียวกัน พร้อมกล่าวขอบคุณคณะทำงานและประชาชนที่ให้ความร่วมมือ ส่งผลให้การลงคะแนนและนับคะแนนดำเนินไปตามกรอบเวลา ทั้งนี้ยังเปิดช่องทางรับร้องเรียนหากพบความผิดปกติ เพื่อเข้าสู่กระบวนการไต่สวนก่อนการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ

มุมเศรษฐกิจสังคมของ “สนามซ่อม”

แม้เป็นการเลือกตั้งซ่อมในหนึ่งเขตเลือกตั้ง แต่ผลที่ออกมามีนัยสำคัญต่อการจัดสรรทรัพยากรในระดับพื้นที่ช่วงที่เหลือของวาระสภา ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องสานต่อโจทย์เร่งด่วนของเขตพรมแดนที่พึ่งพิงการค้าชายแดน การเกษตร และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์–วัฒนธรรม (เชียงแสน–เชียงของ–เวียงแก่น) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงเศรษฐกิจล้านนา–ลุ่มน้ำโขง นี่คือเหตุผลที่ “เสียงในสภา” แม้เพียงหนึ่งเก้าอี้ก็มีผลต่อการชงโครงการและการติดตามงบประมาณให้ถึงพื้นที่จริง

ตัวเลข “ผู้มาใช้สิทธิ” ที่ชวนคิด

การคาดการณ์ช่วงเช้าโดยผู้เกี่ยวข้องบางส่วนประเมินการมาใช้สิทธิไว้ที่ “ราว 65%” แต่รายงานภาคค่ำในรอบการนับ 94.74% สะท้อนการมาใช้สิทธิที่ 59.24% (ฐาน 125,283 คน) หากเทียบกับจำนวนผู้มีสิทธิอีกรายงานหนึ่งซึ่งระบุ 133,960 คน ใน 285 หน่วยเลือกตั้ง จะเห็นว่า “ฐานข้อมูล” ที่ใช้คำนวณมีผลต่อการตีความคึกคักของบรรยากาศ อย่างไรก็ดี ตัวเลขสุดท้ายที่จะยุติข้อถกเถียงคือประกาศรับรองของ กกต. ซึ่งโดยกระบวนการต้องตรวจสอบเอกสารจากทุกหน่วยเลือกตั้งให้ครบถ้วนก่อนประกาศผลอย่างเป็นทางการ

ช่วงหาเสียงโค้งสุดท้ายเดิมพันของสองพรรค

แม้จะเป็นสนามที่ผู้สมัครเพียงสองคน แต่ความหมายนอกเหนือจากคะแนนคือ “แบรนด์การเมือง” ที่ทั้งสองพรรคพยายามสื่อสาร—ฝ่ายหนึ่งเน้น “ความต่อเนื่องของงานพื้นที่” ฝ่ายหนึ่งชู “ความหวังทางเลือกใหม่” และทั้งสองฝ่ายต่างระดมทีมลงพื้นที่เข้าถึงตลาดชุมชน–ถนนสายหลักเพื่อเร่งการรับรู้ในช่วงสุดท้ายก่อนปิดหีบ ภาพการลงพื้นที่ของแกนนำและผู้สมัครถูกบันทึกในหลายสื่อท้องถิ่น–สื่อกระแสหลักตลอดทั้งวัน (รายละเอียดกิจกรรมรายจุดอาจแตกต่างตามพื้นที่และช่วงเวลา) ก่อนที่ค่ำวันเดียวกันผลไม่เป็นทางการจะฉายภาพชัดถึงทิศทางของคะแนน.

ก้าวต่อไปเส้นทางสู่ “ประกาศรับรอง”

ตามกระบวนการหลังปิดการนับคะแนน ศูนย์รวมคะแนนจะรวบรวมเอกสาร–หลักฐานจากทุกหน่วยเพื่อส่งต่อไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตและจังหวัด ทำการตรวจสอบความถูกต้องก่อนเคลื่อนสู่ขั้นตอนการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการของ กกต. ระหว่างนี้หากมีผู้สมัครหรือผู้มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องเรียน กกต.จะพิจารณาไต่สวนตามพยานหลักฐาน ซึ่งอาจกระทบต่อระยะเวลาการประกาศรับรอง ทั้งนี้จากคำให้สัมภาษณ์ของเลขาธิการ กกต. ในช่วงค่ำยืนยันว่าบรรยากาศ “ไม่มีเรื่องร้องเรียนสำคัญ” และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยในภาพรวม.

 Key Takeaways

  • ผลคะแนนไม่เป็นทางการ ณ ประมาณ 19.45 น. ระบุว่า นายสง่า พรมเมือง (เพื่อไทย) นำชัดเจนที่ 43,229 คะแนน เหนือ นายสุทัศน์ ยาละ (พรรคประชาชน) ที่ 18,252 คะแนน หลังนับ 270/285 หน่วย (94.74%)
  • บัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน สูงเกือบ หนึ่งในเจ็ด ของผู้มาใช้สิทธิ (9,886 ใบ) สะท้อน “สัญญาณเฉพาะ” ของผู้ใช้สิทธิในสนามซ่อม
  • การบริหารความคาดหวัง ของหน่วยงานกำกับ: กกต.ลงพื้นที่ตั้งแต่เช้า ระบุภาพรวมเรียบร้อย และคาดรู้ผลไม่เป็นทางการช่วง 21.00 น. ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
  • ข้อพึงระวังด้านข้อมูล: ฐานข้อมูล “จำนวนผู้มีสิทธิ” มี 2 ชุดจากต่างช่วงเวลา (125,283 และ 133,960) จึงควรรอประกาศรับรองอย่างเป็นทางการเพื่อยุติความคลาดเคลื่อน.

แม้เป็นการเลือกตั้งซ่อมช่วงปลายวาระ แต่ผู้แทนที่ได้คะแนนมากสุดในคืนนี้จะต้องทำงานต่อทันทีในประเด็น “เร่งด่วน–จับต้องได้” ของพื้นที่ชายแดน เช่น สภาพคล่องเกษตรกรฤดูกาลใหม่, โลจิสติกส์ชายแดน–ด่านพรมแดนเชียงของ–สามเหลี่ยมทองคำ, การท่องเที่ยวประวัติศาสตร์–วัฒนธรรม และการบริหารจัดการภัยพิบัติช่วงฝนปลายฤดู ประชาชนควรติดตาม คำมั่น–ข้อเสนอเชิงนโยบายเฉพาะพื้นที่ ที่ผู้ชนะหาเสียงไว้ พร้อมภาคประชาสังคม–ท้องถิ่นร่วมตรวจสอบการผลักดันในสภาให้เกิดผลจริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ปิดดีลการเมืองใหม่! “อนุทิน” นายกฯ คนที่ 32 ด้วยเสียงสนับสนุน 311 เสียง

อนุทิน ชาญวีรกูล” คว้าเก้าอี้นายกฯ คนที่ 32 ด้วย 311 เสียง—ดีลการเมืองใหม่เปิดทางแก้รัฐธรรมนูญและยุบสภาในกรอบเวลาเร่งด่วน

บทวิเคราะห์เบื้องต้น

กรุงเทพฯ , 5 ก.ย. 2568 –  การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยในวันนี้สะท้อนจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างทางการเมืองอย่างชัดเจน 1) ตัวเลข 311 เสียง บ่งชี้การรวมตัวของหลายพรรคที่ข้ามสมการแบ่งขั้วเดิม และเปิด “พื้นที่ปฏิบัติการ” ให้รัฐบาลชุดใหม่เดินตามเงื่อนไขทางการเมืองเฉพาะกิจ 2) เงื่อนไขจากพรรคประชาชนว่าด้วยกรอบเวลาเพื่อยุบสภาและเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้วาระหลักของรัฐบาลกลายเป็น “รัฐบาลเปลี่ยนผ่านเชิงสถาบัน” มากกว่ารัฐบาลนโยบายแบบวาระยาว 3) คะแนนเสียงข้างมากที่ชัดเจนช่วยคลี่คลายสุญญากาศการเมืองหลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่ก็วางรัฐบาลไว้บนสนามที่ต้องบริหาร “เวลา ความคาดหวัง และความไว้วางใจ” พร้อมกัน โดยมีเดดไลน์ทางการเมืองเป็นตัวกำกับผลลัพธ์สุดท้ายของประเทศใน 4–6 เดือนข้างหน้า (ตามเงื่อนไขที่ถูกสื่อรายงานอย่างกว้างขวาง)

ฉากเปิดในสภาเลื่อนวาระ-ปูทางลงมติประวัติศาสตร์

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษเริ่มเวลาเช้า โดยวาระสำคัญคือการเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 หลังเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่างลงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 29 ส.ค. 2568 ที่ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 พ้นตำแหน่ง บรรยากาศในห้องประชุมเริ่มตึงตั้งแต่ญัตติ “เลื่อนวาระโหวตนายกรัฐมนตรีขึ้นมาพิจารณาก่อน” ถูกหยิบยก ซึ่งที่ประชุมลงมติ “เห็นชอบ” 313 ต่อ 142 เสียง ปูทางสู่การลงคะแนนชี้ขาดช่วงบ่าย สะท้อนฉันทามติว่าประเทศต้องมีรัฐบาลใหม่โดยเร็วเพื่อลดความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายสาธารณะ

คู่ชิงผู้นำ “อนุทิน” ปะทะ “ชัยเกษม” และแรงกดดันด้านจริยธรรม-ความเหมาะสม

เมื่อเข้าสู่วาระเสนอชื่อ นายไชยชนก ชิดชอบ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคเพื่อไทยเสนอ “นายชัยเกษม นิติสิริ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นคู่ชิง การอภิปรายคุณสมบัติและความเหมาะสมของทั้งสองฝ่ายดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีการย้ำประเด็นมาตรฐานจริยธรรม ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการนำพาประเทศฝ่าความผันผวน ทั้งในสภาและพื้นที่สื่อสาธารณะ สะท้อนเดิมพันทางความชอบธรรมที่สูงเป็นพิเศษต่อผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ในสถานการณ์เปราะบางนี้

สัญญาทางการเมืองรูปแบบใหม่ เงื่อนไขของ “พรรคประชาชน”

จุดหักเหสำคัญอยู่ที่บทบาท “พรรคประชาชน” ซึ่งประกาศสนับสนุน “อนุทิน” ด้วยกรอบเงื่อนไขเพื่อเร่งแก้รัฐธรรมนูญและยุบสภาภายในกรอบเวลาที่กำหนด โดยสาระสำคัญคือการผลักดันกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่าน “สภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง” และยืนยันบทบาทฝ่ายค้านต่อไปเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ข้อตกลงดังกล่าวถือเป็นดีลทางการเมืองที่ “จำกัดวาระและภารกิจ” ของรัฐบาลอย่างชัดเจน และสะท้อนยุทธศาสตร์ “โหวตเพื่อยุบสภา” ซึ่งสื่อทั้งในและต่างประเทศจับตาอย่างใกล้ชิดในฐานะต้นแบบการใช้เสียงข้างมากเพื่อเปิดประตูสู่การปฏิรูปเชิงสถาบัน มากกว่าจะเป็นการตั้งรัฐบาลบริหารแบบเต็มวาระ

ผลลงมติ 311 เสียง—สัญญาณคลี่คลายสุญญากาศและเริ่มนับถอยหลัง

เวลาเย็นของวันเดียวกัน ผลลงมติเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้ 311 เสียง เหนือกว่าคะแนน 152 เสียงของ “ชัยเกษม นิติสิริ” อย่างชัดเจน ตัวเลขดังกล่าวเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ และมากกว่าคะแนนขั้นต่ำ 247 เสียงที่ต้องการ ส่งผลให้ประมุขฝ่ายบริหารคนใหม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอน ขณะเดียวกัน ช่องทางสื่อสารของหน่วยงานสาธารณะและสื่อหลักรายงานสอดคล้องกันถึงผลรวมคะแนน รวมถึงการยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยลงคะแนนสนับสนุนทั้งพรรค ยกเว้นหัวหน้าพรรคที่งดออกเสียงตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ถูกเสนอชื่อ

คำกล่าวหลังได้รับเลือก “เวลามีไม่มาก ต้องทำงานให้คุ้มค่าที่สุด”

หลังทราบผล “นายอนุทิน” กล่าวกับสื่อมวลชนถึงความตั้งใจเดินหน้าทำงานทันที พร้อมย้ำว่าจะใช้ทุกวันอย่างคุ้มค่าในกรอบเวลาที่จำกัด และเดินหน้าจัดทำคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ข้อความนี้สอดรับกับสถานะ “รัฐบาลเปลี่ยนผ่าน” ที่ต้องบริหารงานคู่ขนานกับการผลักดันวาระเชิงสถาบันให้เป็นรูปธรรม โดยมีเส้นตายทางการเมืองรออยู่ข้างหน้า ทั้งในมิติยุบสภาและการริเริ่มกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ตามกลไกที่กฎหมายกำหนด

บริบทแวดล้อม ผลสะเทือนต่อภูมิทัศน์ “ตระกูลการเมือง” และแรงสั่นสะเทือนเชิงสัญลักษณ์

สื่อสากลจำนวนมากเชื่อมโยงผลการลงมติครั้งนี้กับความเปลี่ยนแปลงของ “ภูมิทัศน์อำนาจ” โดยเฉพาะบทบาทของเครือข่ายการเมืองที่เคยกำหนดทิศทางมาตลอดสองทศวรรษ กระแสข่าวการเดินทางออกนอกประเทศของ “นายทักษิณ ชินวัตร” ก่อนหน้าการลงมติไม่นานยิ่งเพิ่มมิติทางสัญลักษณ์ต่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว แม้รายละเอียดจะยังต้องติดตาม แต่ก็เป็นฉากหลังที่ทำให้ “รัฐบาลอนุทิน” ต้องเผชิญกับความคาดหวัง-ข้อกังขา พร้อมกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย

นัยต่อเศรษฐกิจ-การต่างประเทศ เวลาจำกัด งานล้นมือ

แม้รัฐบาลใหม่จะถูกกำหนดภารกิจหลักด้าน “ปฏิรูปเชิงสถาบัน” แต่ภาคเศรษฐกิจและการต่างประเทศไม่อาจรอได้ การท่องเที่ยว การส่งออก และความเชื่อมั่นตลาดทุนต้องการสัญญาณนโยบายที่ต่อเนื่อง ขณะที่ประเด็นความมั่นคงชายแดนและความร่วมมือเศรษฐกิจระดับภูมิภาคยังเป็นโจทย์ท้าทาย หากรัฐบาลสามารถสื่อสาร “แผนงาน 120 วัน” ที่ชัดเจนทั้งด้านปากท้องและโรดแมปการเมือง ควบคู่กลไกตรวจสอบ-ถ่วงดุลที่โปร่งใส จะช่วยลดเบี้ยความเสี่ยงและพยุงความคาดหวังของภาคส่วนต่าง ๆ ในระยะสั้นได้มาก โดยมีจุดตัดสินอยู่ที่ “ความไว้วางใจ” และ “การส่งมอบผลลัพธ์ทันเวลา” ซึ่งตลาดและประชาชนจับตาอย่างเข้มข้น

สถิติและจุดสังเกตสำคัญของวันลงมติ

  • คะแนนเสียงเห็นชอบ “อนุทิน” 311 เสียง มากกว่าเกณฑ์ 247 เสียงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ “ชัยเกษม” ได้ 152 เสียง สร้างระยะห่างชัดเจนต่อฉันทามติในสภา
  • ก่อนหน้านั้น สภาลงมติ “เลื่อนวาระโหวตนายกรัฐมนตรี” ขึ้นมาพิจารณาก่อน 313 ต่อ 142 เสียง ช่วยเร่งขั้นตอนให้ประเทศมีรัฐบาลใหม่ได้ภายในวันเดียวกัน ลดความยืดเยื้อทางการเมืองที่อาจกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะสั้น
  • ช่องทางสาธารณะของสื่อสาธารณะและสำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลตรงกัน ทั้งจำนวนเสียงและกรอบบริบทของดีลทางการเมืองที่โยงสู่เงื่อนไขยุบสภาและโรดแมปการแก้รัฐธรรมนูญ

กรอบเวลา 4–6 เดือน โจทย์กำกับการเมืองไทยระยะสั้น

การสนับสนุนจากพรรคประชาชนมาพร้อม “เงื่อนไขเวลา” ซึ่งสื่อรายงานอย่างกว้างขวางว่าเกี่ยวข้องกับการยุบสภาหลังแถลงนโยบายภายในกรอบเวลาที่กำหนด พร้อมการเดินหน้ากระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้กลไก ส.ส.ร. เงื่อนไขดังกล่าวเปลี่ยน “ธรรมชาติของรัฐบาล” ให้เป็นรูปแบบเปลี่ยนผ่านที่มีเส้นตายเชิงนิติบัญญัติชัดเจน นั่นหมายถึงทุกวันนับจากนี้มีต้นทุนโอกาสสูง จึงต้องกำหนด “แผนสั้น-กลาง” ที่วัดผลได้จริง ทั้งด้านการคลายกังวลเศรษฐกิจประชาชนและกรอบขั้นตอนปฏิรูปที่สังคมตรวจสอบได้

ความเสี่ยงและโอกาส บริหารสมดุล 3 มิติ

  1. ความชอบธรรม: รัฐบาลต้องเดินตามกติกาและสื่อสารอย่างโปร่งใส ชี้แจงเหตุผล-ขั้นตอนยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนเข้าใจ ลดข้อครหา-ควันหลงทางการเมือง
  2. ประสิทธิภาพเชิงนโยบาย: แม้เป็นรัฐบาลเปลี่ยนผ่าน แต่ “ความเดือดร้อนเร่งด่วน” ต้องได้รับการบรรเทา เช่น ค่าครองชีพ แรงกระทบผู้ประกอบการท่องเที่ยว-ส่งออก เพื่อคงความเชื่อมั่นระยะสั้นของเศรษฐกิจมหภาค
  3. การประสานกับฝ่ายค้าน: การยืนยันเป็นฝ่ายค้านของพรรคประชาชนช่วยคงกลไกตรวจสอบ แต่รัฐบาลต้องรักษาช่องทางเจรจาทางเทคนิคในเรื่องกฎหมายลูกและกระบวนการ ส.ส.ร. เพื่อไม่ให้โรดแมปสะดุดจากความขัดแย้งขั้นตอน

จุดคลี่คลายปม ทางออกสู่การเลือกตั้งใหม่ที่ “ชัด-เร็ว-ชอบธรรม”

สัญญาประชาคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่าง “รัฐบาล-สภา-สังคม” ในห้วงเวลานี้คือ การทำให้ “การเปลี่ยนผ่าน” มีเสถียรภาพพอสมควร และไม่ทำให้ประเทศหลุดจากรางปฏิรูปที่สังคมเรียกร้อง หากรัฐบาลสามารถแสดงความคืบหน้าเชิงขั้นตอน เช่น กำหนดกรอบเวลาชัดเจนสำหรับการแถลงนโยบาย การยื่นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และการชี้แจงสาธารณะเรื่อง “วันยุบสภาโดยประมาณ” อย่างโปร่งใส จะช่วยปิดดีเบตเรื่องความไม่จริงใจ และแปความคาดหวังสังคมให้เป็น “การให้โอกาส” ในการตัดสินผลงานตามที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น

การที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 เสียง คือการปิดฉากสุญญากาศการเมืองและเปิดฉาก “รัฐบาลเปลี่ยนผ่านเชิงสถาบัน” ที่มีภารกิจหลักสองประการคือ 1) พยุงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจและประคับประคองนโยบายปากท้องในระยะสั้น และ 2) เดินหน้าโรดแมปยุบสภา-แก้รัฐธรรมนูญตามเงื่อนไขที่สังคมจับตา ด้วยเส้นตายทางการเมืองที่กระชับ ขณะที่ฉากหลังระดับโครงสร้างสะท้อนการปรับสมดุลเครือข่ายอำนาจเดิมอย่างมีนัยสำคัญ สุดท้าย ดัชนีตัดสินผลลัพธ์ของช่วงเวลา 4–6 เดือนข้างหน้าจะไม่ใช่ “วาทกรรม” หากแต่เป็น “การส่งมอบ” ขั้นตอนที่จับต้องได้และตรวจสอบได้—นั่นคือบทพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและความหวังของสังคมต่อการเมืองที่เดินหน้าได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Reuters, “Thailand’s Anutin Charnvirakul elected PM by parliament” (Bangkok, Sept 5, 2025)
  • Bangkok Post, “Anutin confirmed as Thailand’s new prime minister”
  • Thai PBS,
  • Al Jazeera
  • Thai PBS World, “Making sense of People’s Party’s conditions for Anutin”
  • AP
  • Xinhua, “Thailand’s parliament elects Anutin Charnvirakul as new PM”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ก้าวสู่สนามรบ! ศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เชียงราย เขต 7 ระหว่างเพื่อไทยและพรรคประชาชน

วิเคราะห์เจาะลึก “ศึกเลือกตั้งซ่อมเชียงราย เขต 7” จุดชี้วัดแนวโน้มการเมืองไทยระหว่าง “อำนาจรัฐ” กับ “การเปลี่ยนแปลง”

เชียงราย – การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 7 จังหวัดเชียงราย ในวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2568 ไม่ใช่แค่การเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างลงเท่านั้น หากแต่เป็น “สนามทดสอบอารมณ์ทางการเมือง” ของภาคเหนือ และเป็นเครื่องชี้วัดว่าประชาชนจะเลือกพลังของรัฐบาลที่ดำรงตำแหน่ง หรือโอกาสของแนวคิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสภาไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศนี้ด้วย โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งยืนยันวันหย่อนบัตรและกำหนดช่วงรับสมัครไว้ชัดเจนแล้ว ระหว่าง 13–17 สิงหาคม และลงคะแนนจริง 14 กันยายน เวลา 08.00–17.00 น. ตามประกาศอย่างเป็นทางการของ กกต. และสื่อกระแสหลักหลายสำนักที่รายงานตรงกัน

จุดเริ่มต้นของศึก เก้าอี้ที่ว่างจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

เก้าอี้ ส.ส. เขต 7 ว่างลงภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี จากกรณีเกี่ยวข้องกับการเสนอและแปรญัตติงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อันเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เหตุการณ์นี้สั่นสะเทือนสมดุลการเมือง และเปิดฉากศึกเลือกตั้งซ่อมในทันทีตามกลไกกฎหมายของไทย

จัดทำเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2568 หมายเหตุ : เนื้อหาที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูลที่ได้รวบรวมมาเท่านั้น ไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้ายที่สามารถตัดสินความจริงทั้งหมดได้ ทางทีมงานจึงขอให้ท่านผู้อ่านใช้ วิจารณญาณอย่างรอบคอบ และพิจารณาข้อมูลจากหลายมิติเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

สนามจริงอยู่ตรงไหนแผนที่การเมืองของ “เขต 7”

กกต. ระบุขอบเขตของ “เขต 7” ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอชายแดนและลุ่มน้ำโขง ได้แก่ อำเภอแม่จัน (เฉพาะ ต.จันจว้า และ ต.จันจว้าใต้), อำเภอเชียงแสน, อำเภอดอยหลวง, อำเภอเชียงของ (เฉพาะ ต.ครึ่ง, ต.ศรีดอนชัย, ต.ริมโขง, ต.เวียง, ต.สถาน และ ต.ห้วยซ้อ) และอำเภอเวียงแก่น ข้อมูลนี้สะท้อนภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ทั้งเมืองชายแดน เกษตรกรรม และการค้าชายแดน ที่จะมีน้ำหนักต่อประเด็นหาเสียงของผู้สมัครทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน

ผู้ท้าชิงตัวจริง“สง่า พรมเมือง” ปะทะ “สุทัศน์ ยาละ”

สมรภูมิครั้งนี้มีผู้สมัครเด่นสองคนที่ประกาศตัวชัดเจนแล้ว การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นการปะทะกันของสองแนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีผู้สมัครทั้งสองเป็นตัวแทนของกระแสความคิดหลักสองขั้วในสังคม

  • สง่า พรมเมือง (พรรคเพื่อไทย) อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขตเชียงแสน เปิดตัวรับสมัครและจับสลากได้หมายเลข 1 ตามรายงานภาคสนามของสื่อการเมืองรายวัน พร้อมฐานสนับสนุนจากแกนนำพรรคส่วนกลาง จุดขายสำคัญคือ “สายตรงรัฐบาล” ที่ประสานนโยบายและงบประมาณสาธารณะลงพื้นที่ได้รวดเร็ว ข้อมูลเปิดตัวและประวัติการทำงานถูกเผยแพร่ต่อเนื่องโดยสื่อกระแสหลักหลายสำนักในช่วงเปิดรับสมัคร

 

  • สุทัศน์ ยาละ (พรรคประชาชน) นักธุรกิจรุ่นใหม่จากเชียงรายหมายเลข 2 เจ้าของกิจการท่องเที่ยวและเครื่องดื่มในอดีต เคยมีบทบาทด้านที่ปรึกษางานเมืองท้องถิ่น พรรคประชาชนประกาศ “เคาะชื่อ” ส่งลงสนามเพื่อต่อกรกับพรรคใหญ่ เน้นภาพลักษณ์ความเปลี่ยนแปลง โปร่งใส และวิธีการเมืองแบบใหม่ที่เชื่อมตรงกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ สื่อระดับชาติรายงานการตัดสินใจส่ง “สุทัศน์” อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบันทึกการยื่นสมัครที่อำเภอเชียงแสนด้วย

ตัวเลขที่สะท้อนอดีตภาพรวมผลเลือกตั้งปี 2566 ในเชียงราย

เมื่อมองย้อนกลับไปในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ทั้งจังหวัดเชียงรายมีผู้มาใช้สิทธิสูงกว่า 77% ขณะที่การจัดสรรที่นั่งแบบแบ่งเขตตกเป็นของพรรคเพื่อไทย 4 เขต และพรรคก้าวไกล 3 เขต ค่าสัดส่วนคะแนนรวมทั้งจังหวัดของสองพรรคใหญ่สะท้อนการแข่งขันที่สูสีและพลิกผันได้ในหลายเขต ตัวเลขดังกล่าวช่วยให้เห็น “พื้นฐาน” ที่ผู้สมัครต้องคำนวณยุทธศาสตร์หาเสียงในสนามซ่อมครั้งนี้อย่างละเอียดรอบคอบ

เสียงประชาชนในพื้นที่กำลังถามอะไร

เมื่อโฟกัสลงพื้นที่ “เขต 7” จะพบโจทย์ร่วมของชุมชนชายแดนหลายประการ ได้แก่ รายได้เกษตรกรจากพืชเศรษฐกิจ เสถียรภาพราคาสินค้า การค้าชายแดนกับ สปป.ลาว และเมียนมา โครงสร้างพื้นฐานถนนและสะพาน รวมถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ภูเขาและลุ่มน้ำโขง ประเด็นเหล่านี้แม้ไม่ใช่ชุดนโยบายใหม่ทั้งหมด แต่เป็น “ความคาดหวังเดิมที่ต้องแก้ให้เห็นผล” ผู้สมัครจึงต้องตอบด้วยโรดแมปที่จับต้องได้ ไม่ใช่คำมั่นลอยๆ เท่านั้น

คำถามที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเริ่มขบคิดคือ

  • เลือก “ผู้แทนรัฐบาล” เพื่อเร่งเครื่องแก้ปัญหาปากท้องและโครงสร้างพื้นฐานทันทีหรือไม่
  • หรือเลือก “ตัวแทนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการเมืองในระยะยาว

คำถามสองชุดนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องชั่งน้ำหนักทางการเมืองของเขตชายแดนภาคเหนือในห้วงเวลาที่ซับซ้อน

ยุทธศาสตร์ที่ปะทะกัน “ฝากรัฐ” vs “การเปลี่ยนแปลง”

พรรคเพื่อไทย เดินเกมตามจุดแข็งดั้งเดิมของพรรคใหญ่ คือเครือข่ายท้องถิ่น เน็ตเวิร์กนักการเมืองฐานราก และศักยภาพการเป็นรัฐบาลกลางที่เชื่อมงบประมาณและนโยบายสาธารณะลงพื้นที่ได้รวดเร็ว รายงานข่าวชี้ว่าทีมยุทธศาสตร์ส่วนกลางเริ่มจัดทัพลงพื้นที่แล้ว เพื่อหนุนการรณรงค์ของผู้สมัครอย่างเป็นระบบตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

พรรคประชาชน วางตัวเป็น “ทางเลือกใหม่” ใช้กลยุทธ์สื่อสารตรงกับประชาชนในพื้นที่ ผสานแพลตฟอร์มออนไลน์และการพบปะขนาดย่อม สร้างมาตรวัดผลตอบรับแบบเรียลไทม์ พรรคประกาศชัดว่าจะเสนอวิธีทำงานสภาที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดโยงกับข้อมูลสาธารณะให้มากที่สุด เพื่อจับฐานคนรุ่นใหม่และผู้ที่ผิดหวังกับการเมืองแบบเดิม ซึ่งสอดรับกับกระแสข่าวเปิดตัวผู้สมัครที่สื่อระดับชาติและท้องถิ่นนำเสนอในสัปดาห์นี้

โครงเรื่องทางการเมืองที่ “เขต 7” ต้องแบก

สนามซ่อมครั้งนี้มีหลังฉากเป็นคำวินิจฉัยระดับประเทศที่ลากเส้น “มาตรฐานจริยธรรมงบประมาณ” อย่างชัดเจน กรณีของอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทำให้สังคมตั้งคำถามเรื่องการใช้งบสาธารณะเพื่อสร้างความนิยมในพื้นที่ เมื่อมาตรฐานถูกย้ำด้วยเสียงข้างมากของศาล 6 ต่อ 3 ผลทางการเมืองย่อมกว้างไกลกว่าเขตเดียว และสะเทือนภาพลักษณ์ของพรรคแกนนำรัฐบาลในเชิงสัญลักษณ์ด้วยตามการวิเคราะห์ของสื่อการเมืองหลายสำนัก

ดังนั้น “เขต 7” จึงเป็นเวทีที่พรรคเพื่อไทยต้องแสดงให้เห็นว่า ฐานเสียงเดิมยังเหนียวแน่น และประชาชนยังไว้ใจให้พรรคขับเคลื่อนนโยบายระดับพื้นที่ต่อไป ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนต้องพิสูจน์ว่าความไม่พอใจทางการเมืองสามารถแปลงเป็น “คะแนนจริง” ได้ในฐานที่มั่นของฝ่ายรัฐบาล

กระดานคะแนนเริ่มขยับไทม์ไลน์สำคัญที่ต้องรู้

  • 8 ส.ค. 2568 กกต. เคาะวันเลือกตั้งซ่อม และกำหนดช่วงรับสมัคร 13–17 ส.ค. สถานที่รับสมัครที่อำเภอเชียงแสน รายละเอียดประกาศเผยแพร่ในหลายสื่อและหน้าเว็บไซต์ข่าวของ กกต.
  • 13–16 ส.ค. 2568 ผู้สมัครทยอยยื่นเอกสาร วันแรกมีผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ส่วนวันที่ 16 ส.ค. พรรคประชาชนยื่นสมัครอย่างเป็นทางการ สะท้อนการเข้าสู่โหมดหาเสียงเต็มรูปแบบของทุกฝ่าย
  • 14 ก.ย. 2568 วันลงคะแนนจริง ตั้งแต่ 08.00–17.00 น. หน่วยเลือกตั้งกระจายตามชุมชนในพื้นที่เขตชายแดนและริมโขง ผู้มีสิทธิเตรียมหลักฐานตามกฎหมายไปใช้สิทธิให้ครบถ้วน

บทเรียนจากสถิติ ทำไม “อัตราไปใช้สิทธิ” จึงชี้ขาด

ข้อมูลปี 2566 ระบุว่าจังหวัดเชียงรายมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่า 77% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศ หากเขตชายแดนที่มีการเดินทางยากลำบากอย่าง “เขต 7” รักษาอัตรานี้ไว้ได้ ผลจะสะท้อนเจตจำนงประชาชนอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน โครงสร้างผู้มีสิทธิวัยทำงานและเกษตรกรที่พึ่งพาราคาพืชผล จะเป็นตัวกำหนดจุดชนะเชิงยุทธศาสตร์ของผู้สมัครแต่ละฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการเลือกตั้งซ่อมมักชี้วัดด้วย “การเคลื่อนพลของฐาน” มากกว่ากระแสลมบนเพียงอย่างเดียว

มุมมองเชิงนโยบายประเด็นที่ควรถูกถามบนเวทีหาเสียง

  1. รายได้และราคาสินค้าเกษตร
    ผู้สมัครควรเสนอแผนรองรับราคาพืชหลักที่ผันผวน รวมทั้งมาตรการตลาดนำการผลิต และการเชื่อมตลาดชายแดนให้ได้ผลจริง
  2. โลจิสติกส์ชายแดนและด่านการค้า
    พื้นที่ริมโขงและชายแดนต้องการถนนและสะพานที่ปลอดภัย และด่านที่ทันสมัย แผนเร่งรัดงบลงทุนจึงต้องชัดเจนและตรวจสอบได้
  3. ความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตชุมชน
    ชุมชนภูเขาและชายแดนต้องการสาธารณสุขเข้าถึงง่าย เช่น เครือข่าย รพ.สต. และระบบส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ นโยบายต้องเชื่อมกับงบประมาณจริง
  4. ธรรมาภิบาลงบประมาณ
    หลังคำวินิจฉัยศาลเรื่องการใช้งบประมาณ ผู้สมัครทุกคนต้องชี้แจง “มาตรการกันซ้ำ” อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า งบสาธารณะจะไม่ถูกใช้เพื่อผลทางการเมืองอีก

เหตุผลเชิงกลยุทธ์อะไรคือ “ตัวแปรชี้ผล” ในสนามซ่อม

  • เครือข่ายท้องถิ่น จะยังเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะเขต 7 มีชุมชนกระจายตัวกว้าง การลงพื้นที่เชิงลึกของทีมอาสาและผู้สนับสนุนระดับหมู่บ้านเป็นตัวเร่งคะแนน
  • การสื่อสารออนไลน์ จะเพิ่มน้ำหนักกว่ายุคก่อน โดยเฉพาะในเมืองชายแดนและกลุ่มทำงานเอกชนที่ใช้มือถือเป็นหลัก
  • กิจกรรมพบประชาชนขนาดเล็ก ให้ผลดีกับผู้สมัครหน้าใหม่ เพราะสร้างความเชื่อใจและคำบอกต่อได้รวดเร็ว
  • การวางภาพ “ผู้แทนรัฐบาล” ของพรรคเพื่อไทย ต้องคู่กับคำตอบเรื่องธรรมาภิบาล เพื่อคลายความกังวลจากคดีการใช้งบประมาณที่ผ่านมา
  • การวางภาพ “ทางเลือกใหม่” ของพรรคประชาชน ต้องจับประเด็นปากท้องอย่างจริงจัง ไม่ใช่เสนอแต่กรอบอุดมการณ์เท่านั้น

เส้นทางสู่วันเลือกตั้งบริบทที่ต้องเก็บตกรายวัน

ในเชิงข่าว กกต. รายงานความพร้อมด้านงานจัดการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับประเทศและระดับจังหวัด รวมถึงการย้ำปฏิทินและขั้นตอนร้องเรียนผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อให้การหย่อนบัตรเป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม ข่าวเครือข่ายสื่อหลักระบุสอดคล้องกันถึงจำนวนผู้สมัครในแต่ละวัน และการขยับของทีมยุทธศาสตร์พรรคใหญ่ ซึ่งสะท้อนความเข้มข้นที่จะพุ่งขึ้นต่อเนื่องจนถึงวันโค้งสุดท้าย

 “เชียงราย เขต 7” เป็นมากกว่าการทดแทนเก้าอี้

การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นบททดสอบว่า ประชาชนให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์เร่งด่วนจากพลังรัฐบาล” หรือ “มาตรฐานใหม่ของการเมืองไทย” ที่ยกระดับกลไกถ่วงดุลและความโปร่งใส ผลลัพธ์ที่ออกมาจะส่งสัญญาณถึงทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน หากพรรคเพื่อไทยชนะ จะยืนยันพลังฝ่ายรัฐบาลในฐานที่มั่นเดิม และเพิ่มทุนทางการเมืองสำหรับขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศ แต่หากพรรคประชาชนคว้าชัย จะเป็นสัญลักษณ์ว่าพื้นที่ดั้งเดิมพร้อมเปิดทางให้ความเปลี่ยนแปลง และบังคับให้พรรคใหญ่ต้องปรับยุทธศาสตร์สู้ศึกใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน “เขต 7” จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวันที่ 14 กันยายนนี้ เสียงของท่านจะบอกประเทศว่าควรเดินไปทิศทางใด ระหว่างการบริหารเชิงประสิทธิภาพที่ต่อยอดได้ทันที กับการปฏิรูปมาตรฐานการเมืองที่ยั่งยืนในระยะยาว—และคำตอบนั้นจะสะท้อนผ่านบัตรเลือกตั้งใบเดียวของทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
  • พรรคเพื่อไทย
  • พรรคประชาชน
  • คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ทักษิณชี้ผลโพล “อาจคลาดเคลื่อน” หลังปราศรัยเชียงใหม่-เชียงราย

ศูนย์นิด้าโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน “ทักษิณปราศรัยเชียงใหม่ เชียงราย ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งหรือไม่?”

เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “ทักษิณปราศรัยเชียงใหม่ เชียงราย…แล้วเราควรตัดสินใจอย่างไร” ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 7-10 มกราคม 2568 จากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,803 คน ครอบคลุมทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้

การตัดสินใจเลือกตั้งในเชียงใหม่

ผลสำรวจพบว่า สำหรับการปราศรัยของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อสนับสนุนผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พรรคเพื่อไทยในเชียงใหม่ ประชาชนร้อยละ 37.11 ระบุว่าไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เพราะจะไม่เลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ขณะที่ร้อยละ 23.24 ระบุว่าส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทย

ส่วนร้อยละ 17.06 ระบุว่าไม่ส่งผลเพราะจะเลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ร้อยละ 13.59 ยังไม่ตัดสินใจ และร้อยละ 9.00 ระบุว่าส่งผลต่อการตัดสินใจไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

ด้านผลต่อการเลือกตั้ง ส.ส. เชียงใหม่ในอนาคต พบว่าร้อยละ 30.37 ระบุว่าไม่ส่งผลเลย รองลงมาร้อยละ 28.87 ระบุว่าส่งผลมาก และร้อยละ 24.74 ระบุว่าค่อนข้างส่งผล

การตัดสินใจเลือกตั้งในเชียงราย

ในเชียงราย ประชาชนร้อยละ 33.01 ระบุว่าการปราศรัยของนายทักษิณไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เพราะจะไม่เลือกพรรคเพื่อไทย รองลงมาร้อยละ 26.09 ระบุว่าส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 17.12 ระบุว่าไม่ส่งผลเพราะจะเลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว

ส่วนร้อยละ 14.54 ยังไม่ตัดสินใจ และร้อยละ 9.24 ระบุว่าส่งผลต่อการตัดสินใจไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามถึงผลกระทบต่อการเลือกตั้ง ส.ส. เชียงรายในอนาคต ร้อยละ 36.96 ระบุว่าไม่ส่งผลเลย ขณะที่ร้อยละ 25.95 ระบุว่าส่งผลมาก

ลักษณะทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม

สำหรับเชียงใหม่ ตัวอย่างร้อยละ 47.05 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.95 เป็นเพศหญิง ส่วนใหญ่มีอายุ 46-59 ปี (ร้อยละ 23.43) และอายุ 60 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 29.52)

ในเชียงราย ตัวอย่างร้อยละ 47.96 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.04 เป็นเพศหญิง โดยกลุ่มอายุ 46-59 ปี คิดเป็นร้อยละ 25.41 และอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 29.07

ทักษิณชี้ผลโพล “อาจคลาดเคลื่อน”

นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงผลโพลดังกล่าวว่า “อ่อ มั่ว” พร้อมตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของผลสำรวจ เขาเปรียบเทียบกับโพลในอดีตที่มักสะท้อนผลตรงข้าม

ศูนย์นิด้าโพลระบุว่าผลการสำรวจครั้งนี้สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนที่หลากหลาย และอาจบ่งชี้ถึงทิศทางการตัดสินใจของประชาชนในอนาคต โดยเฉพาะการเลือกตั้งระดับชาติ

บทสรุป

ผลการสำรวจจากนิด้าโพลสะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการปราศรัยของทักษิณ ชินวัตร ที่มีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งอาจมีผลต่อการเลือกตั้งในอนาคต การสำรวจนี้เป็นการเปิดเวทีให้เห็นถึงความคิดของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ที่มีความสำคัญทางการเมืองอย่างมาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ทักษิณชูการเมืองท้องถิ่นฟื้นเศรษฐกิจเชียงราย ดึงพลังเพื่อไทยสู้ปี 2568

นายทักษิณปราศรัยเชียงราย ย้ำความสำคัญของการเมืองท้องถิ่น ฟื้นเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชน

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่ปราศรัยช่วยหาเสียงในจังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนให้การต้อนรับอย่างล้นหลาม บรรยากาศที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงเต็มไปด้วยผู้สนับสนุนที่สวมใส่เสื้อแดง ร่วมแสดงความยินดีและฟังการปราศรัยอย่างคึกคัก

เวทีปราศรัยแน่น 3 จุด

นายทักษิณขึ้นปราศรัยที่โรงเรียนปล้องวิทยาคม อำเภอเทิง, โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม อำเภอเชียงของ และโรงเรียนแม่จันวิทยาคม อำเภอแม่จัน โดยมีประชาชนจากหลายพื้นที่มาร่วมรับฟังนับหมื่นคน นายทักษิณกล่าวถึงเหตุผลที่มาช่วยหาเสียงครั้งนี้ว่า ตนคิดถึงประชาชนชาวเชียงรายหลังไม่ได้พบปะกันกว่า 20 ปี อีกทั้งยังต้องการสนับสนุนนายยงยุทธ ติยะไพรัช น้องรักที่ร่วมสร้างพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ต้น และเพื่อสนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของตน เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค

ย้ำการเมืองท้องถิ่นสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

นายทักษิณกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมองว่าการเมืองท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มี ส.ส. มากกว่า 200 คนเหมือนในอดีต และระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูโดยด่วน พร้อมระบุว่า หากเศรษฐกิจในต่างจังหวัดฟื้นตัว กรุงเทพฯ จะได้รับผลดีไปด้วย

นอกจากนี้ นายทักษิณยังเผยว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันทรุดหนัก แต่เขามั่นใจว่าสามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาไม่นาน หากมีการบริหารจัดการที่ดี เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และกระตุ้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ

ความคาดหวังจากการบริหารรัฐบาลเพื่อไทย

นายทักษิณกล่าวถึงการลดค่าไฟฟ้าให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยภายในปีนี้ รวมถึงการลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ย และยารักษาโรคเพื่อช่วยประชาชน นอกจากนี้ยังชี้แจงว่ารัฐบาลเพื่อไทยกำลังเร่งดำเนินการปราบปรามยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ประชาชนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย มีประชาชนตะโกนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่เขากล่าวว่า ตนแก่แล้วและขอสนับสนุนลูกสาวแทน พร้อมระบุว่าเคยมีทรัพย์สินมากถึง 60,000 ล้านบาท แต่หลังจากเผชิญปัญหาทางการเมือง ทำให้ทรัพย์สินลดลงจนเทียบเท่าประชาชนในเชียงราย

มุ่งหน้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายทักษิณกล่าวถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการพัฒนาคนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจใหม่ เช่น การผลักดันคนไทยไปเป็นนางแบบระดับโลก หรือการสนับสนุนบุคลากรที่มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ผ่านการฝึกฝนและส่งเสริมศักยภาพ

สรุป

นายทักษิณ ชินวัตร แสดงจุดยืนสนับสนุนการเมืองท้องถิ่น พรรคเพื่อไทย และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกด้าน พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาที่สะสมมาหลายปี และสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนไทยทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / เพจสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

พรรคเพื่อไทยเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ. เชียงรายชู 5 นโยบายหลัก

พรรคเพื่อไทยเชียงรายเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ. และสมาชิกสภา อบจ. ทั้ง 36 เขต

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2567 พรรคเพื่อไทยจังหวัดเชียงรายได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) และสมาชิกสภา อบจ. เชียงราย ทั้ง 36 เขต ณ ห้องประชุมใหญ่สโมสรฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ด ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีผู้นำพรรค ตัวแทนผู้สมัคร และผู้สนับสนุนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

ในงานแถลงข่าว นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้สมัครนายก อบจ. เชียงราย พร้อมเปิดตัวผู้สมัครสมาชิก อบจ. เชียงราย ทั้ง 36 เขต โดยมีการปราศรัยที่เน้นนโยบายการพัฒนาท้องถิ่นที่สอดคล้องกับแผนงานของรัฐบาล ภายใต้สโลแกน “เชียงราย เข้มแข็ง อีกครั้ง”

การปราศรัยจากแกนนำพรรคเพื่อไทย

ในงานนี้ยังมีการปราศรัยในหัวข้อสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชียงรายจากแกนนำพรรค เช่น:

  • “บทบาทของรัฐบาลสู่การเมืองท้องถิ่น” โดย นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร
  • “การสาธารณสุขท้องถิ่น” โดย น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย
  • “การศึกษายุคใหม่ที่ส่งเสริมศักยภาพของนักเรียนตามความถนัด” โดย ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ ส.ส. เชียงราย
  • “สวัสดิการของรัฐเชื่อมโยงสู่ท้องถิ่น” โดย น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย
  • “การคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” โดย นายปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ส.ส. เชียงราย

นโยบายหลัก 5 ข้อ “พลิกโฉมเชียงราย”

นางสลักจฤฎดิ์ได้เปิดตัวนโยบายหลักที่เน้นการพัฒนาเชียงรายให้ตอบโจทย์ทุกมิติของความยั่งยืน โดยมี 5 แนวทางสำคัญ ดังนี้:

  1. TONY Brand
    ผลักดันสินค้าและบริการของเชียงรายสู่ระดับโลก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรปลอดภัย และการจัดเทศกาลนานาชาติ
  2. ศูนย์โดรนการเกษตรประจำตำบล
    ตั้งศูนย์โดรนใน 124 ตำบล พร้อมฝึกอบรม “1 ตำบล 1 นักบินโดรน” เพื่อลดต้นทุนการเกษตร เพิ่มผลผลิต และแก้ปัญหาไฟป่า
  3. ศูนย์บาดาลการเกษตรทุกตำบล
    สร้างแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืนในทุกตำบล โดยใช้ระบบน้ำประหยัดพลังงาน
  4. ถนนเศรษฐกิจวัฒนธรรมรอบสถานีรถไฟ
    พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจรอบสถานีรถไฟ 18 แห่ง พร้อมจัดระบบขนส่ง EV Cars เชื่อมโยงสถานีสำคัญทั่วเชียงราย
  5. ทุ่งนาสนามกอล์ฟ และ Homestay Agrotourism
    สร้างแหล่งท่องเที่ยวเชิงกีฬาและ Homestay เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน

บทบาทของพรรคเพื่อไทยในการฟื้นฟูเชียงราย

ย้อนกลับไปในปี 2566 พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับพรรคก้าวไกลในเชียงราย ซึ่งพรรคก้าวไกลสามารถคว้าชัยชนะใน 3 เขตจากทั้งหมด 7 เขต คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทยยังห่างจากพรรคก้าวไกลไม่ถึงหนึ่งหมื่นคะแนน การเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงรายครั้งนี้จึงเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับพรรคเพื่อไทยในการฟื้นฟูกระแสนิยมและสร้างความมั่นคงในพื้นที่

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์: ผู้สมัครคู่แข่งในสนาม อบจ.

ด้านนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ อดีตนายก อบจ. เชียงราย ได้เตรียมแถลงข่าวในวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ถึงเจตนารมณ์ในการตัดสินใจลงสมัครเลือกตั้งอีกครั้งในนามอิสระ พร้อมทั้งเปิดตัวผู้สมัครที่มีเจตนารมณ์เดียวกัน ซึ่งมาจากหลากหลายกลุ่มในจังหวัดเชียงราย

ในแถลงข่าวครั้งนี้ยังเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องการให้แก้ไขและพัฒนา ทั้งนี้ นางอทิตาธรยังได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายการพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งความสุขทั้งสำหรับผู้ที่อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว

กกต. เปิดรับสมัครผู้สมัคร อบจ.

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัดเชียงราย ได้ประกาศเปิดรับสมัครนายกและสมาชิก อบจ. ณ หอประชุมคชสาร ระหว่างวันที่ 23-27 ธันวาคม 2567 เวลา 08.30-16.30 น. โดยคาดว่านางสลักจฤฎดิ์จะเดินทางไปสมัครตั้งแต่วันแรก

บทสรุปและความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้

การเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย ครั้งนี้เป็นการประชันระหว่างกลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลสูงในพื้นที่ ทั้งพรรคเพื่อไทยและกลุ่มอิสระ การเลือกตั้งครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการเมืองระดับท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายระดับชาติ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความนิยมของพรรคเพื่อไทยและทิศทางการพัฒนาเชียงรายในอนาคต

ประชาชนชาวเชียงรายร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเชียงรายในการเลือกตั้ง อบจ. เชียงรายครั้งนี้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับจังหวัดเชียงรายอีกครั้ง!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย /ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘สส.โฮม ปิยะรัฐชย์’ หนุนร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไย

 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานจากที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีสส.โฮม ปิยะรัฐชย์’ หนุนร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไยเชื่อจะช่วยยกระดับและส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แนะต้องสร้างการเพิ่มมูลค่าให้สินค้า ยกในอดีตรัฐบาล “ทักษิณ” เคยเดินหน้าเรื่องนี้แล้ว(31 กค.67)นางสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลำไย ว่าในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีการปลูกลำไยและอยากจะหาทางออกให้กับเกษตรกรผู้ปลูกลำไย

โดยใน อดีตลำไย ถือเป็นพืชเศรษฐกิจของเกษตรกรภาคเหนือ แต่ที่ผ่านมามีพ่อค้าชาวจีนนำเอา พันธุ์ลำไยไปแพร่ขยายและ ปลูกในหลายพื้นที่ของประเทศเมื่อมาดูตัวเลขการส่งออกลำไย สดอันดับ 1 ที่ไทยส่งออกคือ จีน อินโดนีเซีย และ เวียดนาม โดยตัวเลขการส่งออกใน ปี 2565 มี ยอดส่งออกกว่า 12,000 ล้านบาท แต่ในปี 2566 กลับมียอดส่งออกลดลง ซึ่งในปีนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้ปลูกลำไยก็หวังว่าตัวเลขการส่งออกจะพุ่งสูงขึ้น โดยเชื่อมั่น ในการบริหารงานของรัฐบาล

พร้อมกันนี้ขอบคุณรัฐบาลที่ออกมาตรการในการจัดการผลไม้ในปี 2567 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ทั้งการรณรงค์บริโภคผลไม้ การส่งเสริมการแปรรูป การจัดทำเกษตรพันธสัญญา รวมทั้งการหาตลาดการขายผลไม้ในต่างประเทศทั้งนี้ ที่ผ่านมาเรามักจะเน้นย้ำในเรื่องของการรับซื้อ การตลาด การช่วยเหลือด้านราคา แต่ปัญหาใหญ่ก็คือปัญหาล้งที่เกิดขึ้นโดยมีประเทศเพื่อนบ้านอยู่เบื้องหลัง ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราพยายามแก้ปัญหา แต่อาจจะไม่มีความยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร

“วันนี้ตนมองว่าเรายังขาดการสร้างการเพิ่มมูลค่าของสินค้า ที่ผ่านมารัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณ ได้มีการส่งเสริมการทำลำไยกระป๋องในน้ำเชื่อม ซึ่งระยะหลังได้เงียบหายไป อาจเป็นเพราะไม่ได้มีการขยายตลาดและไม่มีการสร้างแบรนด์ให้มีความเข้มแข็ง จึงหวังว่าร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไยฉบับนี้ จะออกมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร”

นางสาวปิยะรัฐชย์ ย้ำว่าการรับฟังเสียงของพี่น้อง ถือเป็นส่วนสำคัญซึ่งตนเองได้ลงพื้นที่ไปรับฟังความคิดเห็น โดยประชาชนสะท้อน โดยเน้นย้ำในเรื่องของ ความเสถียรของราคาลำไย ซึ่งเกษตรกรไม่สามารถรู้ล่วงหน้า โดยเป็นการกำหนดราคาเองจากโรงงาน รวมทั้งเครื่องคัดเกรดที่อาจจะไม่มีมาตรฐานจึงควรมีหน่วยงานกลางในการที่จะเข้ามากำกับดูแล รวมทั้งอยากให้ภาครัฐได้มีการวิจัยและพัฒนาผู้ปลูกลำไยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้เกษตรได้รับประโยชน์ทั้งจากการส่งเสริมด้านเทคโนโลยี การช่วยเหลือจากภาครัฐหากเกิดภัยธรรมชาติ รวมถึงการเปิดตลาดเส้นทางในต่างประเทศทั้งยุโรปอินเดียหรือตะวันออกกลางซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการอำนวยการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนในทุกช่องทางเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกลำไยได้รับประโยชน์สูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อดีต​ รมช.​เกษตร​และ​สหกรณ์​ ไม่เห็นด้วย “ปุ๋ยคนละครึ่ง”

 

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 นายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่และพูดคุยแลกเปลี่ยนกับ สส.หลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจนเสียงสะท้อนจากเกษตรกร พบว่าชาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับโครงการปุ๋ยและชีวภัณฑ์คนละครึ่งของรัฐบาล ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสียงสะท้อนที่ได้รับมาแสดงให้เห็นถึงความกังวลในหลายประเด็นที่สำคัญ เช่น เกษตรกรต้องการให้คงไว้โครงการช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท เพราะมีความคล่องตัวมากกว่าโครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง”

 

นอกจากนี้ยังเห็นว่าโครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” ถือเป็นการมัดมือชกเกษตรกร อีกทั้งยังมีข้อกังวลในเรื่องของคุณภาพปุ๋ยและชีวภัณฑ์ที่ได้รับว่ามีคุณภาพตามมาตรฐานหรือไม่ เพราะมาจากที่กรมการข้าวเป็นผู้คัดเลือกปุ๋ย และเอกชนผู้ขายที่ร่วมโครงการไม่กี่เจ้าได้ประโยชน์ เปรียบเสมือนการยัดเยียดและมัดมือชกเกษตรกรเป็นการซ้ำเติมชาวนาหรือไม่

 

นายไชยา กล่าวว่า ในฐานะ สส. ตัวแทนของประชาชน ซึ่งสัมผัสกับวิถีชีวิตเกษตรกรมาตลอด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเคยทำหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มองว่าโครงการนี้ได้รับการต่อต้านจากเกษตกรทั่วประเทศ ไม่เหมือนกับโครงการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไร่ละ 1,000 บาท ที่ได้รับเงินโดยตรง และสามารถนำไปใช้ลดต้นทุนการผลิตอื่นๆ ทั้งค่าเก็บเกี่ยว ค่าไถ ค่าหว่าน ค่าปุ๋ย ทุกอย่างครบวงจร” ต้องไม่ลืมว่าการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ยังมีปัจจัยอื่นที่สำคัญ เช่น ระบบชลประทาน การวิเคราะห์ดิน กลไกตลาด การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นต้น หากต้องการเห็นผลผลิตต่อไร่ของข้าวไทยสูงขึ้น รัฐบาลควรลงทุนการบริหารจัดการน้ำและระบบชลประทานอย่างเป็นระบบด้วย

 

ดังนั้นทางเลือกของชาวนาที่ต้องการลดต้นทุนการผลิต ยังมีวิธีอื่นอีกมากมาย โครงการปุ๋ยคนละครึ่งกลับสร้างภาระให้ชาวนาต้องหาเงินสดมาจ่ายค่าปุ๋ยในส่วนของตนเองก่อน เปรียบเสมือนการ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด เกาไม่ถูกที่คัน และสร้างภาระให้เกษตรกร

 

ทั้งนี้ ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง ถึงแม้โครงการดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดต้นทุนการผลิตและช่วยเหลือเกษตรกร แต่ยังไม่ตอบโจทย์ที่แท้จริงของพี่น้องเกษตรกร รัฐบาลยังมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เช่น การจัดตั้งโรงงานปุ๋ยแห่งชาติซึ่งเป็นเรื่องที่เรียกร้องกันมาเป็นเวลานาน อีกทั้งมีข้อสังเกตว่า โครงการนี้ มีลับลวงพรางนายทุนที่ได้ประโยชน์กับโครงการนี้อยู่เบื้องหลังหรือไม่ และพยายามผลักดันให้กรมวิชาการเกษตรและกรมการข้าวให้ยอมรับสูตรปุ๋ยไม่กี่สูตร ซึ่งจะเป็นการผูกขาดอยู่ไม่กี่รายที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้จึงต้องจับตามองต่อไปว่า มีผู้ประกอบการรายใดผ่านการคัดเลือกและมีการเอื้อประโยชน์ส่วนตัวด้วยหรือไม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าว​ไทย​

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

นิด้าโพล เผย 1,310 ตัวอย่าง “ทักษิณ” เคลื่อนไหวไม่ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยม “เพื่อไทย”

 
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2567 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง จากบทบาททักษิณ ถึง ฝันของนายกฯ เศรษฐา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 9-11 เมษายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาทของทักษิณ ชินวัตร และความเป็นไปได้ ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะในการเลือกตั้งในครั้งต่อไป การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

 

                จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย จากความเคลื่อนไหว ของทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลตำรวจ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.61 ระบุว่า ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย รองลงมา ร้อยละ 33.21 ระบุว่า ส่งผลกระทบในทางลบต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 19.54 ระบุว่า ส่งผลกระทบในทางบวกต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 6.64 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อคำกล่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคผู้นำในการเปลี่ยนแปลง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.47 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 18.85 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 15.73 ระบุว่า เห็นด้วยมาก และร้อยละ 8.01 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไป พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 29.24 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่ค่อยเป็นไปได้ ร้อยละ 12.82 ระบุว่า เป็นไปได้มาก และร้อยละ 3.82 ระบุว่า เฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 18.01 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.74 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.71 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.93 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 23.74 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.34 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.44 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 1.22 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 36.11 สถานภาพโสด ร้อยละ 61.45 สมรส และร้อยละ 2.44 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 22.44 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 38.24 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.32 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 26.11 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.89 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 8.70 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 15.95 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.68 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.07 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 16.11 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.46 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 6.03 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 22.90 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 18.40 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 27.94 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 10.31 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.34 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 6.03 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.08 ไม่ระบุรายได้

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI VIDEO

“ศิริกัญญา” กางงบฯ 67 ถามรัฐบาลวิกฤตเศรษฐกิจ แต่กลาโหมงบเพิ่มขึ้น

 

เมื่อเวลา 13.55 น. วันที่ 3 มกราคม 2567 น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำงบประมาณ พ.ศ. 2567 ว่า ใช้เวลา 7 วันเต็มกับการดูงบประมาณ 2567 โดยเมื่อดูแล้วเกิดคำถามว่า วิกฤติเศรษฐกิจแบบใด ทำไมงบไม่เหมือนมีวิกฤติ

 

น.ส.ศิริกัญญา อภิปรายรายงานภาวะเศรษฐกิจและการคลัง ดูแล้วยังไม่ค่อยวิกฤติ ซึ่งจากคำแถลงของนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีตรงที่บอกได้ว่าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ขณะที่งบประมาณฉบับประชาชนยังพบด้วยว่า อัตราการขยายตัวของจีดีพี (GDP) โต 5.4% ในปี 2567 รู้สึกตกใจว่าต้องแพ้พนัน นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (ประธานวิปฝ่ายค้าน) แล้วไปบวชชีหรือไม่ ถ้าเศรษฐกิจโต 5% ซึ่งเมื่อดูดีๆ แล้ว นี่คือการเติบโตของจีดีพีที่รวมเงินเฟ้อ เกิดคำถามว่า รัฐบาลโกงสูตรปรับจีดีพีหรือไม่ ซึ่งไม่มีประเทศไหนทำมาก่อน ขอร้องว่าอย่าโกงสูตรเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้าหมาย

 

ขณะที่การพักหนี้เกษตรกร ก็ไม่ได้ใช้งบปี 2567 เป็นงบในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่วนการลดภาระใช้จ่ายพลังงาน จะเคลมลดค่าไฟที่ทำมาหลายปีแล้วใช่หรือไม่ รวมถึงการผลักดันการท่องเที่ยว ซึ่งหลายเรื่องต่อเนื่องมาจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 

 

“วิกฤติแบบใด ทำไมงบกลาโหมเพิ่มขึ้น ทุกครั้งที่ประเทศเกิดวิกฤติ กระทรวงกลาโหมจะเสียสละเพื่อประเทศโดยการตัดลดงบประมาณของตัวเอง เพื่อนำไปใช้ในการพยุงเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในวิกฤติของ ท่านเศรษฐา งบกลาโหมเพิ่มขึ้น 2% สรุปแล้วนี่มันวิกฤติแบบใดกันแน่” 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News