Categories
ECONOMY

เกมรุกโลจิสติกส์! ไทย-จีนเปิดด่านผลไม้ใหม่ 5 แห่ง ลดคอขวด ดันมูลค่าส่งออก

เชียงราย–กรุงเทพฯชี้ชัด “เปิดด่านผลไม้ใหม่ไทย–จีน 5 แห่ง 1 ก.ย. 2568” เกมรุกโลจิสติกส์ลดคอขวด ดันมูลค่าส่งออกแตะ 1.8 แสนล้านบาท

เชียงราย, 17 สิงหาคม 2568 – เส้นทางการค้าผลไม้ไทยกับจีนกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อไทยและจีนตกลง “เพิ่มจุดนำเข้า–ส่งออกผลไม้” อีก 5 แห่ง ภายใต้กรอบความร่วมมือขนส่งผ่านประเทศที่สาม กำหนดเริ่มใช้ “1 กันยายน 2568” เป้าหมายชัดเจน คือ ลดต้นทุนและคลายความแออัดของด่านเดิมในฤดูกาลผลไม้ พร้อมขยายทางเลือกสู่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ข่าวนี้ถูกจับตาในฐานะ “เครื่องมือเชิงโครงสร้าง” ที่อาจยกระดับโซ่อุปทานผลไม้ไทยทั้งระบบ หากสามารถปิดความเสี่ยงเรื่องความพร้อมของด่านฝั่งไทยและการพึ่งพาตัวกลางได้อย่างเป็นรูปธรรม

จุดเปลี่ยนเริ่มที่ด่าน เปิดทางใหม่ 5 แห่ง เชื่อมไทย–ยูนนานโดยตรง

ข้อตกลงครั้งนี้เพิ่มด่านฝั่งไทย 3 แห่ง และฝั่งจีน 2 แห่ง ดังนี้

  • ฝั่งไทย: ด่านทุ่งช้าง จ.น่าน, ด่านบ้านฮวก จ.พะเยา, ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์
  • ฝั่งจีน: เมิ่งคัง (Mengkang) และ ต๋าลั่ว (Daluo) มณฑลยูนนาน

การเปิดใช้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 มีนัยต่อการระบายผลไม้ฤดูกาลปลายปี และฤดูกาลต้นปีถัดไปโดยตรง โดยด่านยูนนานช่วยย่นเวลาสู่ “ตลาดภายในจีน” ได้มากขึ้น ไม่ต้องกระจุกที่ชายแดนกว่างซีเพียงไม่กี่จุดเหมือนที่ผ่านมา

ทำไมต้องเร่งเปิดด่านใหม่ในปีนี้

หนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเผชิญ “คอขวดชายแดน” ซ้ำๆ โดยเฉพาะ ด่านโหย่วอี้กวาน ในกว่างซีที่มีรถบรรทุกหนาแน่นทุกฤดูกาลทุเรียน แม้ทางการจีนและเวียดนามทยอยยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในช่วงผลไม้ทะลักเข้าด่าน ปัญหาแออัดยังเกิดซ้ำ โยงสู่ความเสี่ยงคุณภาพและต้นทุนที่พุ่งขึ้น. การเพิ่มด่านใหม่จึงถูกวางเป็น “วาล์วระบาย” เพื่อเสริมความยืดหยุ่นของระบบโลจิสติกส์ทั้งเครือข่าย

ปลายไตรมาสสองปีนี้ จีนยัง “ขยายเวลาเปิดทำการบางด่าน” และเพิ่มห้องปฏิบัติการตรวจสารต้องห้ามสำหรับทุเรียนไทย เพื่อลดคิวและเร่งรัดการตรวจปล่อย สะท้อนแรงจูงใจของจีนที่ต้องการสินค้าผลไม้คุณภาพจากไทยอย่างต่อเนื่อง

มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาท ตัวเลขที่ “ต้องรักษาและต่อยอด”

ข้อมูลภาครัฐระบุว่า จีนยังเป็นตลาดหลักของผลไม้ไทย มูลค่าส่งออกปีล่าสุด “เกิน 1.8 แสนล้านบาท” ตัวเลขนี้ไม่ได้หมายถึงรายได้ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นทันทีในปีเดียว แต่สะท้อน “ฐานตลาด” ที่นโยบายเปิดด่านใหม่มุ่งรักษาและผลักดันให้เติบโตต่อเนื่อง ด้วยการลดต้นทุนโลจิสติกส์และลดการสูญเสียจากความล่าช้าที่ด่าน

ในทางปฏิบัติ “การคลายคอขวด” มีผลโดยตรงต่อราคาและคุณภาพ โดยเฉพาะทุเรียนและลำไยที่อ่อนไหวต่อเวลา การกระจายไปยูนนานผ่านเมิ่งคัง–ต๋าลั่ว ช่วยเปิดทางสู่ตลาดตะวันตกและภาคกลางของจีนเร็วขึ้น ซึ่งต่างจากเส้นทางชายฝั่งเดิมที่ต้องแย่งคิวท่าเรือหรือสนามบิน

ความพร้อมฝั่งไทย คือจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่

แม้มีกรอบวันเริ่มใช้ชัดเจน แต่ “ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน” ฝั่งไทยยังเป็นโจทย์สำคัญที่ต้องเร่งปิดงานให้ทันกำหนด

  • ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์: โครงการก่อสร้างด่านและอาคารประกอบเพิ่งอยู่ในขั้น “ประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)” กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สะท้อนว่าการก่อสร้างยังเดินหน้าไล่กับกรอบเวลา ต้องเร่งมือทั้งงานอาคารและระบบกำกับมาตรฐานสินค้าเกษตร
  • ด่านทุ่งช้าง จ.น่าน / ด่านพรมแดนห้วยโก๋น: ผู้บริหารกรมศุลกากรลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เป้าหมายคือเตรียมความพร้อมอาคาร สายพานตรวจปล่อย และประสานงานชายแดน เพื่อให้รองรับรถบรรทุกผลไม้ได้ทันฤดูกาล
  • ด่านบ้านฮวก จ.พะเยา: จังหวัดจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อ “ยกระดับจุดผ่านแดนถาวร” เร่งคลี่คลายงานเชื่อมต่อด่านสากลฝั่งลาวที่ปางมอน เพื่อให้ลำเลียงผลไม้เข้าสายเหนือได้คล่องตัวกว่าเดิม

ภาพรวมสะท้อน “เส้นตายที่ชัด แต่เส้นทางยังต้องเร่ง” การประสานระหว่างจังหวัด ชายแดน และศุลกากรจึงเป็นคอขวดใหม่ที่ต้องบริหารจัดการให้ทันฤดูกาล.

ภูมิทัศน์โลจิสติกส์ใหม่จากกว่างซี สู่ยูนนาน และรางจีน–ลาว

สองปีที่ผ่านมา จีนและภูมิภาคเร่งต่อจิ๊กซอว์โลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดด่านใหม่ในกว่างซี เช่น หลงปัง (Longbang) ที่เริ่มรับทุเรียนไทย และ “โมหาน” ในยูนนานที่เติบโตเร็วจาก รถไฟจีน–ลาว ทำให้ผลไม้ไทยเข้าลึกสู่มณฑลตอนในได้เร็วกว่าการขนส่งทางทะเล. การมี “เมิ่งคัง–ต๋าลั่ว” เพิ่มในยูนนาน จะช่วยเฉลี่ยภาระงานระหว่างด่านทางเหนือ ลดการกระจุกที่โหย่วอี้กวาน และช่วยให้ผู้ประกอบการออกแบบเส้นทางผสมผสาน “ถนน–ราง” ได้คุ้มค่าขึ้น

วิเคราะห์ความเสี่ยง เปิดด่านใหม่ยังไม่พอ ถ้า “โครงสร้างตลาด” เดิมไม่เปลี่ยน

หนึ่ง ความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ คือ “ความพร้อมหน้างาน” ในวันเปิดใช้จริง หากอาคาร ระบบตรวจสอบ เอกสารดิจิทัล และการประสานงานข้ามหน่วยยังไม่เสถียร อาจสร้าง “คอขวดก้อนใหม่” แทนที่จะคลายคอขวดเดิม นี่คือเหตุผลที่ต้องตั้ง War room ระดับจังหวัด–ชายแดน เพื่อเคลียร์ปัญหาแบบรายวันใน 4–6 สัปดาห์แรก. ข้อมูล e-bidding ของด่านภูดู่บอกชัดว่า งานก่อสร้างยังเดินอยู่ ต้องเร่งกำลังคนและเครื่องจักรให้เข้าใกล้เส้นตายมากที่สุด

สอง ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง คือ “การพึ่งพาตัวกลาง” หรือที่อุตสาหกรรมเรียกติดปากว่า ล้งจีน แม้ด่านจะเพิ่ม แต่หากผู้ส่งออกไทยยังต้องพึ่งผู้รับซื้อรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย อำนาจต่อรองราคาและเงื่อนไขการชำระเงินก็ยัง “เปราะบาง” ทางรอดคือ เพิ่มสัดส่วนการส่งออกโดยตรง และใช้แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ในจีนควบคู่ เพื่อเข้าถึงผู้ค้าปลีกและผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือเชิงนโยบายด้านกฎระเบียบและข้อมูลตลาด.

สาม ความเสี่ยงภายนอก คือภูมิรัฐศาสตร์การค้า หากข้อพิพาทการค้าระหว่างมหาอำนาจยกระดับ ไทยอาจเผชิญแรงสั่นสะเทือนทางอ้อม จึงควรกระจายความเสี่ยงตลาด และรักษามาตรฐานความปลอดภัยอาหารให้เข้ม เพื่อผ่านด่านตรวจของจีนได้ราบรื่นในทุกสถานการณ์. แนวโน้มจีน “คุมเข้มคุณภาพ” เช่น การเพิ่มห้องแล็บตรวจสารต้องห้ามและการยืดเวลาเปิดด่าน สะท้อนมาตรฐานที่สูงขึ้นและการบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัยผู้บริโภค

ตัวเลขที่ต้องเฝ้าดู “เวลา–คิว–สูญเสีย”

เมื่อด่านแออัด สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่เวลา แต่คือคุณภาพ สินค้าบางชนิดมี อายุการขาย สั้น การจอดคารอแดด 24–48 ชั่วโมง สามารถทำให้ ชั้นคุณภาพตกสเปค และราคาต่อหน่วยลดลงทันที การเพิ่มด่านยูนนานสองจุดเท่ากับเพิ่มท่อระบายใหม่ ให้ผู้ส่งออกเลือก “จราจรเบาบางกว่า” เพื่อรักษาคุณภาพและราคาขายปลายทาง โดยเฉพาะช่วงพีกของทุเรียนและลำไยที่ออกพร้อมกันในบางสัปดาห์. ข้อมูลภาคสนามชี้ว่า ในวันเร่งด่วน โหย่วอี้กวาน รองรับตู้ผลไม้ได้มากที่สุดในทุกด่าน แต่ก็ยอมรับว่าความแออัดยังเกิดซ้ำในฤดูกาล จึงต้องพึ่งด่านทางเลือกมากขึ้น

ภาพใหญ่ของ “1.8 แสนล้าน”โตได้อีก หากแก้โจทย์ “คุณภาพ–มาตรฐาน–รางเย็น”

ตลาดจีนยังโตต่อ โดยเฉพาะกลุ่มเมืองชั้นรองในยูนนาน เสฉวน ฉงชิ่ง การรักษามูลค่า 1.8 แสนล้านบาทให้ “โตแบบยั่งยืน” ต้องทำสามเรื่องพร้อมกัน

  1. มาตรฐานคุณภาพ: GAP, GMP และ Traceability ต้องเข้ม ระบบตรวจย้อนกลับช่วยลดความเสี่ยงการปฏิเสธสินค้าเมื่อเกิดปัญหา ปัจจุบันจีนเน้นความปลอดภัยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  2. โครงสร้างเย็น (Cold Chain): การลงทุน “รางเย็น” เชื่อมไทย–ลาว–จีน จะยกระดับคุณภาพถึงมือผู้บริโภค เพิ่มราคาต่อหน่วยและสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยในตลาดบน
  3. ข้อมูลและการตลาดดิจิทัล: ใช้แพลตฟอร์มค้าปลีกในจีนเชื่อมผู้ซื้อปลายทาง เพิ่มยอดขายตรง ลดการพึ่งพาตัวกลางในบางสินค้า.

ทำวันนี้ให้ทัน 1 กันยา และทำพรุ่งนี้ให้ยั่งยืน

สำหรับภาครัฐ

  • ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการด่าน ชั่วคราว 60 วันแรก หลัง 1 กันยายน เพื่อแก้ปัญหาทันที ทั้งคิวตรวจ รถเข้า–ออก เอกสาร และระบบ IT หน้างาน
  • เร่ง “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ติดงานก่อสร้าง โดยเฉพาะด่านภูดู่ พร้อมวางแผนสำรองจุดพักรถ แดดร่มกันฝน และระบบคิวอัจฉริยะ ลดความร้อนของสินค้าในระหว่างรอ
  • จัดทำ ไกด์ไลน์ส่งออกตรง ให้ผู้ประกอบการไทยที่พร้อม สามารถขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าฝั่งจีนได้ง่ายขึ้น ร่วมกับการอบรมข้อกำหนด GACC และมาตรฐานจีนสมัยใหม่
  • ทำ MoU ด้าน ข้อมูลคิวด่านแบบเรียลไทม์ แลกเปลี่ยนกับฝั่งจีน ให้ผู้ประกอบการเลือกเส้นทางได้แม่นยำยิ่งขึ้น

สำหรับผู้ประกอบการ–เกษตรกร

  • วางแผนเส้นทางใหม่ “ผ่านยูนนาน” เข้าสู่ตลาดตอนใน ลดการพึ่งด่านกว่างซีเพียงเส้นทางเดียว
  • ลงทุนในบรรจุภัณฑ์และ พรีคูล เพื่อคุมอุณหภูมิ ตั้งแต่สวนถึงด่าน ลดการตกชั้นคุณภาพ
  • สำรวจช่องทาง อีคอมเมิร์ซจีน ร่วมกับคู่ค้า เพื่อขายตรงในเมืองเป้าหมาย

สำหรับโลจิสติกส์

  • เตรียม Fleet Management รองรับหลายด่าน กระจายรถและคนขับ ลด Dead time หน้าด่าน
  • ลงทุน Cold Chain Mobile และระบบติดตามอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ ส่งข้อมูลให้ผู้ซื้อปลายทาง สร้างความเชื่อมั่น

 “เปิดด่านใหม่คือการต่อยอดพิธีสารเดิม”

สาระสำคัญของข้อตกลงคือ “การปรับปรุงภาคผนวกของพิธีสารขนส่งผลไม้ผ่านประเทศที่สาม” ซึ่งไทย–จีนเคยลงนามร่วมกันไว้ก่อนหน้า การเพิ่มด่านครั้งนี้จึงเป็นการ “ต่อยอดกรอบเดิม” ให้ความร่วมมือเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ภาครัฐไทยสื่อสารชัดว่า การเปิดใช้ 1 กันยายน จะ “ลดต้นทุน เพิ่มทางเลือก” และหนุนให้การค้าผลไม้ไทยในจีนเติบโตมากขึ้น

ในทางปฏิบัติ ฝั่งไทยยังเดินหน้าตรวจเยี่ยมด่านและประชุมเชิงปฏิบัติการอย่างถี่ยิบ ตั้งแต่ทุ่งช้าง–ห้วยโก๋น ไปจนถึงบ้านฮวก ขณะที่ฝั่งอุตรดิตถ์เร่งเครื่องก่อสร้างภูดู่ เพื่อไล่ให้ทันกำหนดการเปิดด่านพร้อมกันทั้งแพ็ก ความต่อเนื่องเช่นนี้คือสัญญาณบวก ว่าจิ๊กซอว์ฝั่งไทยกำลังถูกวางลงกระดานอย่างจริงจัง

จับตา 4 ตัวชี้วัด หลัง 1 กันยายน 2568

  1. เวลารอคิวหน้าด่าน เฉลี่ยลดลงกี่ชั่วโมง เมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน
  2. สัดส่วนสินค้าผ่านยูนนาน เทียบกว่างซี เพิ่มขึ้นแค่ไหนใน 60 วันแรก
  3. อัตราการปฏิเสธสินค้า จากปัญหามาตรฐาน ลดลงหรือไม่ หลังจีนเพิ่มห้องปฏิบัติการและขยายเวลาเปิดด่าน
  4. ราคาหน้าสวน ของทุเรียน–ลำไยในจุดผลิตหลัก ดีขึ้นตามต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลงหรือไม่

ด่านใหม่คือ “จุดเริ่มต้น” ไม่ใช่ “ปลายทาง”

การเปิดด่านผลไม้ใหม่ 5 แห่งในวันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นก้าวครั้งใหญ่ของห่วงโซ่อุปทานผลไม้ไทย–จีน เป้าหมายคือคลายคอขวด ลดต้นทุน และกระจายเส้นทางสู่ตลาดตอนในของจีน แต่ความสำเร็จระยะยาวจะเกิดขึ้น ต่อเมื่อเราจัดการ “งานในบ้าน” ให้เรียบร้อย เร่งโครงสร้างพื้นฐานให้ทันเส้นตาย ยกระดับมาตรฐานคุณภาพเชิงรุก และลดการพึ่งพาตัวกลางด้วยช่องทางการตลาดใหม่ๆ หากทำครบถ้วน ด่านใหม่จะไม่ใช่แค่ทางผ่าน แต่จะเป็น “สะพานแห่งความสามารถแข่งขัน” ที่ช่วยให้มูลค่าตลาด 1.8 แสนล้านบาทเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคงในปีต่อๆ ไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ (PRD)
  • กรมศุลกากร
  • ด่านศุลกากรทุ่งช้าง / ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง: หลักฐานสถานะ e-bidding โครงการก่อสร้าง ด่านภูดู่ กลางเดือนกรกฎาคม 2568.
  • จังหวัดพะเยา (สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัด): รายงานประชุมเชิงปฏิบัติการยกระดับ จุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก 6 ส.ค. 2568.
  • Global Times: รายงานการเพิ่มขึ้นของปริมาณผลไม้ไทยผ่าน โมหาน–รถไฟจีน–ลาว ยืนยันบทบาทเส้นทางรางในระบบโลจิสติกส์ใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ข้าวเหนียวมะม่วงดัง! ดันส่งออกมะม่วงไทย เกาหลีใต้อันดับ 1

Soft Power ไทยดันมะม่วงไทยครองตลาดเกาหลีใต้ ส่งออกพุ่งกว่า 132%

ซอฟต์พาวเวอร์ไทยผลักดันมะม่วงขึ้นแท่นสินค้าส่งออกยอดนิยม

ประทเศไทย, 2 มีนาคม 2568 – มะม่วงไทยกำลังกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดเกาหลีใต้ซึ่งได้ก้าวขึ้นเป็น ตลาดนำเข้ามะม่วงสดไทยอันดับ 1 จากกระแส Soft Power ไทย ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกผ่านโซเชียลมีเดียและวัฒนธรรมอาหาร เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง

มูลค่าการส่งออกมะม่วงไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในปี 2567 การส่งออกมะม่วงสดของไทยมีมูลค่ารวม 4,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.68% โดย 5 ประเทศนำเข้าหลัก ได้แก่:

  1. เกาหลีใต้ มูลค่า 2,931 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132.7% (คิดเป็น 62.2% ของการส่งออกมะม่วงทั้งหมด)
  2. มาเลเซีย มูลค่า 1,191 ล้านบาท ลดลง 12.8%
  3. ญี่ปุ่น มูลค่า 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.8%
  4. เวียดนาม มูลค่า 131 ล้านบาท ลดลง 15.7%
  5. สปป.ลาว มูลค่า 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.3%

Soft Power ไทยผลักดันมะม่วงเข้าสู่กระแสหลักในต่างประเทศ

นายอนุกูล ระบุว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้มะม่วงไทยเป็นที่นิยมใน เกาหลีใต้ คือกระแส Soft Power โดยเฉพาะ “ข้าวเหนียวมะม่วง” ที่ได้รับความนิยมจากการแพร่กระจายผ่านโซเชียลมีเดียและรายการบันเทิงไทย นอกจากนี้ พฤติกรรมการบริโภคของชาวเกาหลีใต้ที่นิยมรับประทานผลไม้สดหลังอาหาร รวมถึงการบริโภคเป็นอาหารว่าง ทำให้มะม่วงกลายเป็นสินค้าขายดี

อีกปัจจัยที่ส่งผลให้เกาหลีใต้กลายเป็นผู้นำเข้ามะม่วงอันดับหนึ่ง คือ มาตรการลดภาษีของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ปรับอัตราภาษีนำเข้ามะม่วงจากไทยเหลือ 0% จากเดิม 30% ทำให้ต้นทุนการนำเข้าลดลงและช่วยเพิ่มปริมาณการนำเข้าอย่างมาก

ตลาดต่างประเทศกับแนวโน้มการบริโภคมะม่วงไทย

  • มาเลเซีย: แม้การส่งออกจะลดลง แต่ยังเป็นตลาดสำคัญ โดยนิยมบริโภคผลไม้สดและนำไปทำเครื่องดื่ม เช่น Mango Shake
  • ญี่ปุ่น: มีความต้องการมะม่วงสดเพิ่มขึ้น เนื่องจากกระแสรักสุขภาพและการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมขนมหวาน
  • เวียดนาม และ สปป.ลาว: ยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ แม้จะมีความผันผวนของปริมาณการนำเข้า

ผลไม้ไทยที่ได้รับอนุญาตนำเข้าจากเกาหลีใต้

ปัจจุบันเกาหลีใต้อนุญาตให้มีการนำเข้าผลไม้จากไทยเพียง 6 ชนิด ได้แก่ มะม่วง, มังคุด, ทุเรียน, กล้วย, มะพร้าว และสับปะรด โดยผลไม้เหล่านี้ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคเกาหลีใต้ เนื่องจากมีรสชาติหวานอร่อย และได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพสูง

มะม่วงไทยที่ขึ้นทะเบียน GI สร้างจุดขายในตลาดโลก

ขณะนี้ ประเทศไทยมีมะม่วง 12 ชนิดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าและความน่าเชื่อถือในตลาดส่งออก ได้แก่:

  • มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก
  • มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบางคล้า
  • มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกระเจ้า
  • มะม่วงน้ำดอกไม้สระแก้ว
  • มะม่วงเบาสงขลา
  • มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบ้านโหล๋น
  • มะม่วงยายกล่ำนนทบุรี
  • มะม่วงน้ำดอกไม้สมุทรปราการ
  • มะม่วงมันหนองแซงสระบุรี
  • มะม่วงเขียวเสวยแปดริ้ว
  • มะม่วงขายตึกแปดริ้ว
  • มะม่วงแรดแปดริ้ว

แนวทางส่งเสริมการส่งออกผลไม้ไทย

รัฐบาลไทยกำลังเร่งผลักดัน ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement – EPA) กับเกาหลีใต้ เพื่อขยายโอกาสทางการค้า หากมีการลดภาษีเพิ่มเติม จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ในตลาดเอเชีย

นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับมาตรฐานคุณภาพผลไม้ไทย โดยเน้น

  • การควบคุมคุณภาพสินค้า ให้ได้มาตรฐานส่งออก
  • การสนับสนุนเกษตรกร ในการเพิ่มผลผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาดโลก
  • การพัฒนาบรรจุภัณฑ์และโลจิสติกส์ เพื่อคงความสดใหม่ของผลไม้ไทย

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

  • ฝ่ายที่สนับสนุน: มองว่าการที่มะม่วงไทยเป็นที่นิยมในตลาดโลก เป็นผลจากนโยบายส่งเสริมการส่งออกของรัฐบาลไทย และ Soft Power ของวัฒนธรรมอาหารไทยที่แพร่กระจายผ่านสื่อดิจิทัล ทำให้เกษตรกรไทยได้รับประโยชน์โดยตรง
  • ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์: มีข้อกังวลว่า ภาครัฐควรส่งเสริมเกษตรกรให้สามารถผลิตสินค้าได้อย่างยั่งยืน และควบคุมมาตรฐานคุณภาพให้คงที่ รวมถึงพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้รองรับปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า:

  • ปี 2567 การส่งออกมะม่วงไทยมีมูลค่า 4,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.68%
  • เกาหลีใต้เพิ่มปริมาณนำเข้ามะม่วงจากไทยกว่า 132.7% ภายใน 1 ปี
  • ปัจจุบันผลไม้ไทย 6 ชนิดได้รับอนุญาตนำเข้าในเกาหลีใต้
  • การบริโภคผลไม้ไทยในตลาดเอเชียมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

กระทรวงพาณิชย์ / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ / สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE